id
stringlengths 8
27
| url
stringlengths 33
421
| title
stringlengths 10
176
| source
stringlengths 205
21.2k
| target
stringlengths 5
591
|
---|---|---|---|---|
international-48317979
|
https://www.bbc.com/thai/international-48317979
|
เกิดความผิดพลาดอะไรในห้องนักบินเครื่องโบอิ้ง 737 แม็กซ์
|
โดย ธีโอ เลกเก็ตต์ เมื่อสัญญาณเตือนดังขึ้น กัปตันและผู้ช่วยนักบินก็พยายามเข้าควบคุมเครื่องบินที่กำลังมีปัญหา เครื่องอยู่ในระดับใกล้พื้นดินเกินไป กัปตัน ยาเร็ด เก็ตทาชิว พยายามจะบังคับเครื่องบินโบอิ้ง 737 แม็กซ์ ของสายการบินเอธิโอเปียนแอร์ไลน์ส ให้เชิดหน้าขึ้น แต่ระบบอิเล็กทรอนิกส์ก็บังคับเครื่องให้ดำดิ่งลงอีก เมื่อดึงคันบังคับก็ไม่ช่วยอะไร นักบินจึงใช้นิ้วปรับสวิตช์เพื่อหาสมดุลของเครื่องบินเอง พยายามให้เครื่องปรับระดับสูงขึ้น แต่ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น ระบบก็เปลี่ยนกลับไปเหมือนเดิมโดยอัตโนมัติ "อย่าลดระดับลง" เสียงจากระบบเครื่องเตือนนักบิน 3 ครั้ง เป็นสัญญาณว่าเครื่องกำลังดำดิ่งลง เก็ตทาชิว และผู้ช่วยนักบิน อาห์เหม็ดนูร์ โมฮัมเหม็ด โอมาร์ พยายามช่วยกันแก้ปัญหาด้วยการปิดระบบอิเล็กทรอนิกส์บางส่วน และเข้าบังคับเครื่องเอง แต่พวกเขาก็ไม่สามารถควบคุมเครื่องได้ เครื่องบินเร็วขึ้นเรื่อย ๆ จนพวกเขาไม่อาจจะต้านทานด้วยแรงตัวเองไหว ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง นักบินทั้งสองตัดสินใจเปิดระบบบินอัตโนมัติขึ้นอีกครั้ง เครื่องตอบสนองอยู่พักหนึ่ง และเครื่องก็เริ่มเชิดหน้าบินสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม ระบบคอมพิวเตอร์ก็กลับมาเข้าควบคุมอีก พร้อมกับระบบเตือนที่บอกว่าเครื่องบินเร็วเกินไป และกำลังจะพุ่งลงชนพื้นดิน นักบินทั้งสองพยายามเข้างัดคันบังคับอย่างสุดกำลัง แต่เครื่องก็บินดิ่งลงจนกระทั่งพุ่งชนพื้นดินด้วยความเร็วกว่า 500 ไมล์ต่อชั่วโมง หลังจากเครื่องบินเพิ่งทะยานขึ้นจากสนามบินได้แค่ 6 นาทีเท่านั้น มีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 157 ราย มาจาก 35 ประเทศ นี่เป็นเครื่องบินเที่ยวเช้าตรู่จากกรุงแอดดิสอาบาบาของเอธิโอเปียไปกรุงไนโรบีในเคนยา อากาศและทัศนวิสัยเช้านั้นก็ดี และเครื่องบินดังกล่าว โบอิ้ง 737 แม็กซ์ 8 ก็เป็นเครื่องใหม่ ไลอ้อนแอร์ 5 เดือนก่อนหน้านั้น เครื่องโบอิ้ง 737 แม็กซ์ 8 ของสายการบินไลอ้อนแอร์ ก็เพิ่งตกลงหลังจากทะยานขึ้นจากสนามบินในกรุงจาการ์ตาได้ไม่นาน ทำให้มีผู้เสียชีวิต 189 คน นักบินพยายามจะเข้าควบคุมเครื่องเอง แต่คล้ายกับกรณีของสายการบินเอธิโอเปียนแอร์ไลน์ส พวกเขาพยายามจะบังคับให้เครื่องบินเชิดหน้าขึ้นมากกว่า 20 ครั้ง แต่ระบบก็บังคับให้เครื่องดำดิ่งลงอีก และในที่สุดเครื่องก็เสียการควบคุม และพุ่งตกลงในทะเลชวา สองเหตุการณ์นี้เหมือนกันอย่างน่าตกใจ และไม่นาน เจ้าหน้าที่สอบสวนก็พบว่ามีความคล้ายคลึงอย่างชัดเจน โดยมุ่งความสนใจไปที่ซอฟต์แวร์ควบคุมการบินซึ่งออกแบบมาให้ทำงานอยู่เบื้องหลังโดยที่นักบินไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ เครื่องบินสายการบินเอธิโอเปียนแอร์ไลน์สตกลงหลังจากเพิ่งทะยานขึ้นจากสนามบินได้แค่ 6 นาทีเท่านั้น มันถูกสร้างมาเพื่อทำให้นักบินที่เคยบินเครื่องโบอิ้ง 737 คุ้นเคยและทำงานง่ายขึ้น ทำหน้าที่กดหัวเครื่องโบอิ้ง 737 แม็กซ์ ที่มีแนวโน้มจะเชิดขึ้นเกิดไป แต่ดูเหมือนว่า ระบบดังกล่าวถูกสั่งให้ทำงานผิดเวลา และบังคับให้เครื่องบินดิ่งลงตอนที่ควรจะเชิดหน้าสูงขึ้น ปีกเล็ก ๆ สองข้างที่ท้ายเครื่อง ซึ่งมีไว้เพื่อสร้างความสมดุล ถูกสั่งโดยระบบคอมพิวเตอร์ให้ปรับตำแหน่งอย่างผิดพลาด ก่อนหน้านี้ โบอิ้งยืนยันว่าเครื่องบินของพวกเขาปลอดภัย และมีคู่มือคอยบอกว่ามีสิ่งใดอาจจะเกิดขึ้น และหากเกิดขึ้น ต้องทำอย่างไร จากรายงานฉบับกลาง (interim report) ของการสอบสวน นักบินสายการบินเอธิโอเปียนแอร์ไลน์สทำตามที่ผู้ผลิตเครื่องบินบอกไว้ แต่นี่ก็ไม่อาจช่วยชีวิตพวกเขาและผู้โดยสารได้ ตอนนี้ โบอิ้งต้องตอบคำถามแล้วว่า บริษัททำถูกหรือไม่ที่ออกมายืนยันว่าเครื่องบินปลอดภัย และควรจะมีมาตรการจัดการอะไรที่เด็ดขาดกว่านี้หรือไม่หลังจากเครื่องบินสายการบินไลอ้อนแอร์ตก ซากเครื่องบินสายการบินเอธิโอเปียนแอร์ไลน์ส ตอนนี้ มีการสั่งระงับบินเครื่อง 737 แม็กซ์ แล้ว เหตุดังกล่าวทำให้เกิดการตั้งคำถามถึงการฝึกของนักบินทั่วโลกกับเทคโนโลยีการบินที่พัฒนามากขึ้นเรื่อย ๆ และความสัมพันธ์อันใกล้ชิดระหว่างบริษัทผู้ผลิตเครื่องบินยักษ์ใหญ่อย่างโบอิ้ง และสำนักงานบริหารการบินแห่งชาติแห่งสหรัฐฯ (Federal Aviation Administration) สร้าง 737 แม็กซ์ ทำไม การเปิดตัวเครื่องโบอิ้ง 737 แม็กซ์ นับเป็นวินาทีแห่งความภาคภูมิใจของบริษัทหลังจากการทำงานหนักเพื่อออกแบบและผลิตยาวนาน 4 ปี และเครื่องรุ่นใหม่นี้ก็กลายเป็นเครื่องบินที่ขายได้เร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ของบริษัท อย่างไรก็ดี 737 แม็กซ์ ไม่ใช่เครื่องใหม่ทั้งหมด แต่เป็นการพัฒนาต่อเนื่องมาจากโบอิ้ง 737 ซึ่งบินครั้งแรกในปี 1967 โดย 737 แม็กซ์ ถือเป็นรุ่นที่ 4 ซึ่งสร้างมลพิษทางเสียงน้อยกว่า มีประสิทธิภาพ ประหยัดพลังงานกว่ารุ่นที่ผ่านมา โบอิ้งต้องการให้เครื่องรุ่นใหม่นี้ประสบความสำเร็จมาก เพราะ 4 ปีก่อนหน้าที่โบอิ้งจะเปิดตัวเครื่องรุ่นใหม่ แอร์บัส บริษัทผู้ผลิตเครื่องบินจากยุโรป ก็กำลังพัฒนา เครื่อง A320 รุ่นใหม่ซึ่งเป็นคู่แข่งของเครื่อง 737 อยู่แล้ว การแข่งขันระหว่างโบอิ้งและแอร์บัส ดำเนินมาอย่างเข้มข้นโดยตลอด ทุก ๆ วัน มีเครื่องแอร์บัส A320 และโบอิ้ง 737 หลายพันเครื่องที่บินในเส้นทางระยะกลางและไกลรอบโลก เครื่องทั้ง 2 รุ่น เป็นตัวทำรายได้ให้บริษัทอย่างต่อเนื่อง โดยทั้งสองได้ส่วนแบ่งทางการตลาดเท่า ๆ กัน อย่างไรก็ดี โบอิ้งต้องทำอะไรสักอย่าง เมื่อแอร์บัสกำลังเตรียมเปิดตัวเครื่อง A320 รุ่นใหม่ ซึ่งแอร์บัสบอกว่าเครื่องจะประหยัดพลังงานมากกว่าเดิม 15 เปอร์เซ็นต์ ในตอนนั้น เครื่องโบอิ้ง 787 ดรีมไลเนอร์ ซึ่งว่ากันว่าจะเป็นเครื่องที่ประหยัดพลังงานมาก ต้องใช้เวลาในการผลิตเกินกำหนดหลายปี ทั้งยังใช้งบเกินกำหนดหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ อีกด้วย ผู้บริหารโบอิ้งไม่อยากจะตั้งต้นออกแบบเครื่องบินรุ่นใหม่ และด้วยแรงกดดันที่จะต้องแข่งขันกับแอร์บัส พวกเขาจึงตัดสินใจสร้างเครื่อง 737 แม็กซ์ ในที่สุด โดยหลักการแล้ว เครื่อง A320 ซึ่งเริ่มบินตอนปลายยุค 80 มีความสมัยใหม่กว่าเครื่อง 737 ซึ่งตัวลำเตี้ยกว่า เพราะว่ายังใช้โครงจากเครื่องจากยุค 60 นี่ทำให้โบอิ้งติดตั้งเครื่องยนต์ใหม่ได้ยากลำบาก บริษัทต้องหาทางออก และทางออกนั้นก็ทำให้เกิดผลกระทบในแบบที่พวกเขาไม่ได้คาดการณ์ไว้ ระบบล้มเหลว เครื่อง 737 ซึ่งเปิดตัวครั้งแรกช่วงปี 60 ถูกออกแบบให้ออกมาให้อยู่ระดับต่ำใกล้พื้น ซึ่งทำให้ขนกระเป๋า และให้ผู้โดยสารขึ้นเครื่องสะดวกขึ้น แต่เมื่อเทคโนโลยีเครื่องยนต์พัฒนาขึ้น นี่ก็เริ่มเป็นปัญหา โบอิ้งต้องการใช้เครื่องที่ประหยัดพลังงานสูงสุด ซึ่งคือ CFM International LEAP ซึ่งคือเครื่องยนต์ที่แอร์บัส A320 ใช้อยู่แล้ว อย่างไรก็ดี เครื่อง CFM International LEAP ใหญ่เกินไปที่จะติดตั้งไว้ที่ปีกของเครื่อง 737 ที่อยู่ในระดับต่ำติดพื้นมาก โบอิ้งแก้ปัญหาด้วยการเลื่อนตำแหน่งติดตั้งเครื่องยนต์สูงขึ้นไปทางข้างหน้าของปีกมากขึ้น ญาติผู้เสียชีวิตจากเหตุเครื่องบินสายการบินไลอ้อนแอร์ตก นี่ทำให้เกิดปัญหาใหม่ โดยบริษัทพบว่าเครื่องบินมีแนวโน้มที่จะเงยหน้าสูงขึ้น เป็นผลให้เครื่องลดระดับลงเพราะไม่มีแรงลมพอในการพยุงตัว แม้แต่นักบินที่มีประสบการณ์ก็ไม่คุ้นชินกับการบังคับเครื่องรุ่นนี้เมื่อเทียบกับรุ่น 737 ที่ผ่าน ๆ มา วิศวกรโบอิ้งแก้ปัญหาด้วยการสร้างซอฟต์แวร์ระบบควบคุมที่เรียกว่า MCAS หรือ Manoeuvring Characteristics Augmentation System เพื่อให้มั่นใจว่าเครื่อง 737 แม็กซ์ ปฏิบัติการอย่างเสถียรเหมือนกับรุ่นที่ผ่าน ๆ มา ซอฟต์แวร์ดังกล่าวทำให้เครื่องกดหัวลงโดยอัตโนมัติ โดยที่นักบินไม่ต้องบังคับ แม้ว่าขณะนี้การสอบสวนเหตุเครื่องตกทั้ง 2 เหตุ จะยังดำเนินอยู่ แต่มีแนวโน้มแล้วว่าต้นเหตุของปัญหาคือซอฟต์แวร์ดังกล่าว ตอนนี้ เห็นได้ชัดแล้วว่า MCAS มีข้อผิดพลาด 2 ประการด้วยกัน หนึ่ง ซอฟต์แวร์อาศัยข้อมูลจากเซ็นเซอร์ที่หัวเครื่องบินเพียงหนึ่งตัวเท่านั้น ทั้ง ๆ ที่เครื่องมีเซ็นเซอร์ 2 ตัว นี่หมายความว่า หากเซ็นเซอร์ตัวดังกล่าวไม่ทำงาน ระบบ MCAS อาจเริ่มทำงานผิดเวลา และกดหัวเครื่องบินให้ต่ำลงแทนที่ควรจะเชิดหัวให้สูงขึ้น สอง แม้ว่านักบินจะใช้นิ้วควบคุมสวิตช์ที่คันบังคับแทนแล้ว แต่ระบบ MCAS ก็ยังออกคำสั่งให้เครื่องบินกดหัวลงซ้ำแล้วซ้ำอีก แล้วเหตุใดจึงมีการออกใบอนุญาตให้เครื่องบินรุ่นนี้บินได้ตั้งแต่แรก และเหตุใดไม่มีการห้ามบินเมื่อพบข้อผิดพลาดตั้งแต่แรก โบอิ้งและสำนักงานบริหารการบินแห่งชาติ นักวิเคราะห์หลายคนกำลังมุ่งความสนใจไปที่ความสัมพันธ์อันใกล้ชิดระหว่างบริษัทโบอิ้งและสำนักงานบริหารการบินแห่งชาติแห่งสหรัฐฯ ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบในการออกใบอนุญาตให้เครื่องรุ่นนี้บินได้ แมรี ชีอาโว อดีตผู้ตรวจราชการสังกัดกรมการขนส่งสหรัฐฯ ระบุว่า สำนักงานบริหารการบินแห่งชาติ ไม่มีทรัพยากรเพียงพอที่จะทำงานตรวจสอบเครื่องบินได้อย่างถี่ถ้วน "พวกเขาทำเหมือนตรวจสอบ และโบอิ้งก็ทำเป็นโดนตรวจสอบ แต่จริง ๆ แล้วโบอิ้งทำเกือบทุกอย่างด้วยตัวเอง" นอกจากนี้ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าพวกเขามีอำนาจทางเศรษฐกิจแค่ไหน โดยเป็นผู้จ้างงานคนกว่า 1.35 แสนคน บริษัทบอกว่าเป็นผู้สนับสนุนให้คนกว่าหนึ่งล้านคนมีงาน และเป็นบริษัทด้านการบินที่ใหญ่ที่สุดในโลก นอกจากนี้ บาร์บารา ลิชแมน ทนายความด้านการบินและอดีตล็อบบี้ยิสต์ ยังบอกว่าบริษัทมีอำนาจทางการเมืองมาก และสามารถกดดันให้รัฐสภาสหรัฐ ทำตามที่บริษัทต้องการได้ แต่ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเมืองหรือไม่ เห็นได้ชัดว่า สำนักงานบริหารการบินแห่งชาติ มีความลังเลที่จะประกาศระงับไม่ให้เครื่อง 737 แม็กซ์ บินต่อหลังจากเครื่องบินสายการบินเอธิโอเปียนแอร์ไลน์ส ตก ข้อกล่าวหาที่ฟังดูน่ากังวัลกว่านั้นคือ กระบวนการตรวจสอบและให้ใบอนุญาตบินนั้นทำโดยบริษัทโบอิ้งเองเสียส่วนใหญ่ ผ่านระบบที่เรียกว่า Organisation Designation Authorisation ซึ่งเป็นการให้ผู้แทนสามารถเป็นผู้ตรวจสอบและให้ใบอนุญาตแทนสำนักงานบริหารการบินแห่งชาติได้ นี่เป็นเพราะเครื่องบินสมัยใหม่มีความซับซ้อนทางเทคโนโลยีสูงแต่สำนักงานบริหารการบินแห่งชาติได้เป็นเพียงหน่วยงานรัฐเล็ก ๆ ที่มีทรัพยากรอย่างจำกัด ในกรณีของเครื่อง 737 แม็กซ์ ผู้วิพากษ์วิจารณ์เชื่อว่า ด้วยความรีบอยากจะให้วางขายเครื่องรุ่นนี้มาก ข้อผิดพลาดของซอฟต์แวร์ MCAS ไม่ได้รับการตรวจสอบเพียงพอ และสำนักงานบริหารการบินแห่งชาติ ก็ไม่ได้เข้ามายับยั้งไว้ทัน อย่างไรก็ดี ทั้งโบอิ้งและสำนักงานบริหารการบินแห่งชาติ ก็ออกมาปฏิเสธข้อกล่าวหานี้ อนาคตจะเป็นอย่างไร โบอิ้งได้พัฒนาปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานของซอฟต์แวร์ MCAS ขึ้นใหม่แล้ว ในอนาคต ระบบจะอาศัยข้อมูลจากเซ็นเซอร์ทั้ง 2 ตัวแทนที่จะเป็นแค่ตัวเดียว และหากทั้งสองตัวแสดงค่าที่แตกต่างกันเกินไปก็จะปิดการทำงานของ MCAS ลง ดาเนียล เอลเวลล์ รักษาการผู้อำนวยการสำนักงานบริหารการบินแห่งชาติ ย้ำว่า จะมีการตรวจสอบเครื่องอย่างละเอียดถี่ถ้วนและจะไม่มีการอนุญาตให้บินในสหรัฐฯ นอกเสียจากจะมั่นใจได้ว่าปลอดภัยจริง ๆ ในตอนนี้ ไม่ใช่เรื่องง่ายที่โบอิ้งจะเรียกความมั่นใจของผู้ใช้บริการกลับมา แต่ เชีย โอคลีย์ นักประวัติศาสตร์ด้านการบิน เชื่อว่า เครื่องรุ่นนี้จะสามารถกลับมาประสบความสำเร็จได้เมื่อได้รับอนุญาตให้กลับมาบินอีกครั้ง โบอิ้งยังต้องผลิตเครื่อง 737 แม็กซ์ อีก 4,500 ลำ และสายการบินต่าง ๆ ก็ยังต้องการเครื่องบินเหล่านี้ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า โบอิ้งจะนำเครื่อง 737 แม็กซ์ กลับไปบินและทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้ หลังมีผู้เสียชีวิตจาก 2 เหตุการณ์ ถึง 346 คน ยังต้องมีการสอบสวนอย่างเป็นทางการต่อไป ญาติของผู้เสียชีวิตยังต้องการคำตอบ และคดีความฟ้องร้องก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ กรมการขนส่งสหรัฐฯ กำลังสอบสวนกระบวนการการออกใบอนญาตบินของเครื่องรุ่นนี้ และกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ก็ให้ความสนใจในเรื่องนี้เช่นกัน ยังไม่แน่ว่าเรื่องนี้จะจบเช่นไร และจะมีผลอย่างไรต่อบริษัทและผู้บริหารระดับสูง ที่ไม่ควรลืมคือผลกระทบของอุบัติเหตุเหล่านี้ต่อพนักงานบริษัทโบอิ้งเอง เห็นได้ชัดว่าพวกเขาภาคภูมิใจในสิ่งประดิษฐ์ของบริษัท และพวกเขาก็ไม่ได้ตั้งใจจะสร้างยานพาหนะที่ไม่ปลอดภัย พวกเขาบอกว่ารู้สึกใจสลายกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อย่างไรก็ดี ค่อนข้างแน่นอนว่าโบอิ้งจะฟื้นตัวกลับมาได้ในที่สุด แม้โศกนาฏกรรมทั้ง 2 ครั้งจะเกิดขึ้น มีความเป็นไปได้ว่าเครื่อง 737 แม็กซ์จะกลับมาบินต่อได้อีกหลายปี หรือไม่ก็อีกหลายทศวรรษเลยทีเดียว
|
ไม่มีอะไรที่นักบินทั้ง 2 คนจะทำได้อีก
|
thailand-50746483
|
https://www.bbc.com/thai/thailand-50746483
|
กูเกิล : คนไทย ถามอะไร "อากู๋" ในปีหมู
|
วิธีลงทะเบียนชิมช้อปใช้ รวมถึง วิธีกดเงินจาก "บัตรคนจน" ขึ้นแท่น How to หรือ วิธี ที่คนไทยถามหาเป็นอันดับต้น ๆ ผ่านเว็บไซต์กูเกิลประจำปี 2562 กูเกิลเทรนด์ (Google Trends) เปิดอันดับคำค้นหายอดฮิตในเว็บไซต์กูเกิลประจำปี 2562 ของประเทศไทย โดยพบว่า วิธีการ หรือ คู่มือ (How to) ที่คนไทยนำไปถามกูเกิลมากที่สุด ประกอบไปด้วยโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ถึง 2 โครงการ ได้แก่ วิธีลงทะเบียนชิมช้อปใช้ และ วิธีกดเงินบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 1 วิธีลงทะเบียนชิมช้อปใช้ 2 วิธีเลือกตั้ง 3 วิธีเช็คพัสดุ Kerry 4 วิธีใส่หน้ากาก N95 5 วิธีกดเงินบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 6 วิธีเติมเกม Free Fire 7 วิธีบูชาปี่เซียะข้อมือ 8 วิธีทำพานไหว้ครู 9 วิธีไหว้แม่ย่านางรถ 10 วิธีทำต้มจับฉ่าย เทสโก โลตัส เป็นหนึ่งในห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ที่เข้าร่วมโครงการ ชิมช้อปใช้ โดยชำระเงินผ่านแอปพลิเคชัน "เป๋าตัง" บนมือถือได้ ทั้งนี้ ชิมช้อปใช้เป็นโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจของกระทรวงการคลังที่อนุมัติแจกเงินคนไทย 10 ล้านคน คนละ 1,000 บาท เพื่อให้ใช้ระหว่างการเดินทางท่องเที่ยวข้ามจังหวัด โดยโครงการดังกล่าวมีด้วยกันทั้งหมด 3 ระยะ และได้รับความนิยมอย่างมาก เพียงครึ่งวันแรกของ 23 ก.ย. 2562 ก็มีประชาชนเกือบแปดแสนคนเข้าไปลงทะเบียนแล้ว ส่วนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือ "บัตรคนจน" เป็นมาตรการกระตุ้นศรษฐกิจอีกโครงการหนึ่งที่เริ่มเปิดให้บริการตั้งแต่เมื่อเดือน ต.ค. 2560 จนถึงปัจจุบัน โดยเป็นการแจกเงินให้ประชาชนผู้ถือบัตรสามารถนำมาจับจ่ายใช้สอย หรือได้รับส่วนลด และสิทธิพิเศษต่าง ๆ อย่างไรก็ตาม โครงการ "ประชานิยม" ทั้งสองโครงการดังกล่าวถูกวิพากษ์วิจารณ์จากทั้งนักวิชาการและประชาชนส่วนหนึ่งว่า เป็นการ "แจกเงิน" ที่แก้ปัญหาไม่ตรงจุด มีผู้ยากไร้ตกหล่นเพราะไม่ผ่านเกณฑ์ "คนจน" หรือแม้กระทั่งมีคน "จนไม่จริง" ได้รับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐไปใช้ เป็นต้น นอกจากนี้ โครงการ "ชิมช้อปใช้" ยังติดอันดับคำค้นหายอดฮิตอันดับหนึ่งบนกูเกิลของประเทศไทยประจำปี 2019 อีกด้วย โดยเอาชนะละครไทยกว่า 6 เรื่อง เช่น กรงกรรม เมียน้อย และ รักฉุดใจนายฉุกเฉิน เลยทีเดียว ลำดับคำค้นหาประจำปี 2562 1 ชิมช้อปใช้ 2 กรงกรรม 3 เมียน้อย 4 ใบไม้ที่ปลิดปลิว 5 หัวใจศิลา 6 ผลการเลือกตั้ง 2562 7 คริปโต Binance 8 แชร์ลูกโซ่ Nice Review 9 มธุรสโลกันตร์ 10 รักฉุดใจนายฉุกเฉิน ทางด้านข่าวที่ชาวไทยค้นหามากที่สุดในปีนี้ ได้แก่ ข่าวของ "ลัลลาเบล" หรือ ธิติมา นรพันธ์พิพัฒน์ พริตตี้สาวที่เสียชีวิตเพราะถูก "น้ำอุ่น" นายรัชเดช วงศ์ทะบุตร และพวก มอมเหล้าในงานปาร์ตี้ก่อนพาตัวไปกระทำอนาจารที่ห้องพักส่วนตัว ข่าวที่ติดอันดับรองลงมาเป็นข่าวเกี่ยวกับดาราและนักร้องที่มีชื่อเสียงมากถึง 6 ข่าว เช่น เมื่อเดือน ก.พ. มีข่าวการเลิกกันของ ปองกูล สืบซึ้ง หรือ "ป๊อบ" กับแฟนสาวที่คบซ้อนกันสองคน ซึ่งก่อให้เกิดวลีอันโด่งดังในสื่อสังคมออนไลน์อย่าง "โลกสองใบ" นั่นเอง นอกจากนี้ ยังมีข่าวการเสียชีวิตอย่างกะทันหันของคนดังถึง 3 คน คือ "น้ำตาล" - บุตรศรัณย์ ทองชิว นักร้องสาวจากรายการเดอะสตาร์ ที่ถูกวัณโรคโพรงจมูกพรากลมหายใจไปเมื่อเดือน มิ.ย. และ ข่าวการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถชนของ "เซนติเมตร" - จตุรภัทร เข็มนาค พิธีกรวัยรุ่นชื่อดัง สุดท้ายคือข่าวของ "เหม" - ภูมิภาฑิต นิตยารส ซึ่งป่วยเป็นโรคซึมเศร้าและได้กระทำอัตวินิบาตกรรมเมื่อวันที่ 25 ก.ย. ที่ผ่านมา ปี 2019 นี้มีข่าวคนดังเสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายหลายราย เช่น เหม - ภูมิภาฑิต ทางฝั่งเกาหลี เช่น ซอลลี่ คูฮารา และ ชาอินฮา นักร้องและนักแสดงอายุน้อย ลำดับคำค้นหาหมวดข่าวในประเทศ ประจำปี 2562 1 ข่าวลัลลาเบล 2 ข่าวออฟฟี่ แม็กซิม 3 ข่าวน้องโยโย่ 4 ข่าวป๊อบ ปองกูล 5 ข่าวปุ๊กกี้ ปริศนา 6 ข่าวน้ําตาล เดอะสตาร์ 7 ข่าวเซนติเมตร 8 ข่าวระเบิด 9 ข่าวเหม ภูมิภาฑิต 10 ข่าวแม่มณี ทั้งนี้ ลำดับคำค้นหายอดฮิตในกูเกิลยังประกอบไปด้วยหมวดข่าวต่างประเทศ สถานที่ท่องเที่ยวทั้งในและนอกประเทศ ละคร เพลง และร้านค้า อีกด้วย สถานที่ท่องเที่ยวในประเทศ 1 กาญจนบุรี 2 นครนายก 3 เชียงใหม่ 4 จันทบุรี 5 สุราษฎร์ธานี จ.กาญจนบุรี ติดอันดับหนึ่งคำค้นหาบนกูเกิลประจำปี 2019 ในหมวดสถานที่ท่องเที่ยวในประเทศ ภาพนี้ คือ น้ำตกเอราวัณ สถานที่ท่องเที่ยวต่างประเทศ 1 จอร์เจีย 2 สิงคโปร์ 3 ฮ่องกง 4 อินเดีย 5 จีน ข่าวต่างประเทศ 1 ข่าวพายุเข้าญี่ปุ่น 2 ข่าวพายุปาบึก 3 ข่าวดาวเคราะห์น้อยชนโลก 4 ข่าวซึงรี 5 ข่าวฮ่องกง "ข่าวพายุเข้าญี่ปุ่น" ติดอันดับหนึ่งข่าวต่างประเทศที่คนไทยค้นหามากที่สุดในปีนี้ โดยชื่อของพายุลูกนี้ คือ ฮากีบีส (Hagibis)
|
ลำดับคำค้นหาหมวดวิธี ประจำปี 2562
|
thailand-54969586
|
https://www.bbc.com/thai/thailand-54969586
|
ร. 10: เซลฟี ป้ายไฟ ขอลายพระหัตถ์ ธรรมเนียมที่เปลี่ยนไปของการเฝ้ารับเสด็จฯ
|
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีทรงทักทายประชาชนที่มารอรับเสด็จในการเสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดโครงการรถไฟฟ้ามหานครสายเฉลิมรัชมงคล (สายสีน้ำเงิน) ส่วนต่อขยายเมื่อวันที่ 14 พ.ย. เสียงพสกนิกรที่ต่างใส่เสื้อสีเหลืองดังขึ้นระงม ลั่นลานบริเวณหน้าห้างเดอะมอลล์บางแค เมื่อวันที่ 14 พ.ย. ความเหนื่อยล้าของการเฝ้ารอตั้งแต่เช้าจรดเย็นหายเป็นปลิดทิ้งเมื่อได้เห็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ทรงพระดำเนินมาทักทายผู้ที่มาเฝ้ารับเสด็จฯ ทั้งสองพระองค์เสด็จพระราชดำเนินมาทรงเปิดโครงการรถไฟฟ้ามหานครสายเฉลิมรัชมงคล (สายสีน้ำเงิน) ส่วนต่อขยาย ณ สถานีรถไฟฟ้าสนามไชย-สถานีรถไฟฟ้าหลักสอง โดยมีการประกาศเชิญชวนประชาชนมาเฝ้าทูลละอองทุลีพระบาทรับเสด็จในเวลา 17.00 น. นับเป็นการเสด็จพระราชดำเนินประกอบพิธีและทรงพบปะประชาชนในกรุงเทพมหานครเป็นครั้งที่ 2 ในรอบ 2 สัปดาห์ หลังจากที่ทรงพระราชทานพระวโรกาสให้พสนิกรได้เข้าเฝ้าอย่างใกล้ชิดบริเวณหน้าพระบรมมหาราชวังเมื่อวันที่ 1 พ.ย. ซึ่งการเฝ้ารับเสด็จครั้งนั้นเกิดสีสันขึ้นหลากหลาย ทั้งการส่งเสียงให้กำลังใจที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน รวมถึงอุปกรณ์ประกอบการรับเสด็จต่าง ๆ ซึ่งแตกต่าง ไปจากธรรมเนียมปฏิบัติเดิมในอดีต ท่ามกลางการรักษาความปลอดภัยและมาตรการควบคุมโรค หัวอกคนรักเจ้า “ผมไปเรียกร้องในสิทธิของผม แต่กลับโดนคุกคาม” "วิถีใหม่" ของการรับเสด็จฯ แม้หมายกำหนดการระบุว่าในหลวงและพระราชินีจะเสด็จฯ มาในช่วงเย็นของวันที่ 14 พ.ย. ซึ่งตรงกับวันเสาร์ แต่ประชาชนก็เริ่มทยอยเดินทางมาจับจองพื้นที่ตั้งแต่ยังไม่เที่ยง โดยมีเจ้าหน้าที่นำเสื่อมาปูไว้บริการ บางคนใช้ช่วงเวลาระหว่างรอจัดแจงรับประทานอาหารซึ่งบางคนเตรียมาเอง บางคนได้รับแจกจากเจ้าหน้าที่ และหากใครที่เคยมีโอกาสเข้าเฝ้ารับเสด็จในช่วงที่ผ่านมา ก็จะทราบว่าต้องเผื่อเวลาให้กับขั้นตอนการคัดกรอง ครั้งนี้เจ้าหน้าที่ได้แบ่งจุดคัดกรองเป็นสองช่องทาง คือ บริเวณหน้าศูนย์การค้าและใต้บันไดทางขึ้นสถานีรถไฟฟ้าสถานีหลักสอง เพื่ออำนวยความสะดวก เราจึงได้เห็นบรรยากาศประชาชนที่รอเข้าแถวพร้อมถือบัตรประชาชนในมือ เดินเรียงผ่านเครื่องสแกนตรวจจับโลหะ และผ่านการตรวจวัดอุณหภูมิเพื่อรับสติกเกอร์สีเขียว ก่อนที่จะต้องแสดงบัตรประชาชนต่อเจ้าหน้าที่ เพื่อเก็บข้อมูลผ่านเครื่องอ่านบัตร จากนั้นจะได้สติ๊กเกอร์สีส้มหรือสีน้ำเงินซึ่งมีหมายเลขกำกับ เป็นอันเสร็จสิ้นสามารถเข้าสู่พื้นที่ได้ ไม่เพียงประชาชนทั่วไป สื่อมวลชนที่มาเฝ้ารายงานข่าวก็เข้าจับจองพื้นที่เช่นกัน โดยการเสด็จพระราชดำเนินครั้งก่อน สื่อมวลชนต่างประเทศได้สัมภาษณ์ในหลวงเป็นครั้งแรก อย่างไรก็ตาม ก่อนเสด็จพระราชดำเนินครั้งนี้ กรมประชาสัมพันธ์ได้ขอความร่วมมือกับสื่อมวลชนไว้ล่วงหน้าว่าไม่อนุญาตให้ผู้สื่อข่าวสัมภาษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ และพระบรมวงศานุวงศ์ 6 ชม.ก่อนเสด็จ ประชาชนดังขึ้นเริ่มหนาแน่นขึ้นตามเวลา เสียงพูดคุยดังผสมปนเปกับเสียงเพลงเทิดพระเกียรติที่เปิดสลับกับเพลงลูกทุ่งตามสมัยนิยมที่เปิดขับกล่อมอย่างต่อเนื่อง หลายคนฆ่าเวลาด้วยการทำความรู้จักคนที่นั่งข้าง ๆ ที่อาจจะเพิ่งเคยเจอะเจอกันครั้งแรก "เรารักในหลวง ทั้งชีวิตอยู่ด้วยในหลวง ดูแบงก์แล้วคิดทุกวัน ถ้าไม่มีท่านจะเอาอะไรกิน" หญิงสูงวัยในย่านบางแคเล่าความรู้สึกให้คนข้าง ๆ ฟัง เธอชักชวนเพื่อนสนิทมาเฝ้ารับเสด็จในวันนี้ แม้บ้านพักอยู่ไม่ไกล แต่ก็ตั้งใจเดินทางมาตั้งแต่ 8 โมงเช้า เพื่อจะได้มีเวลารับประทานอาหารให้พร้อมเสียก่อน เพราะจากประสบการณ์การเฝ้ารับเสด็จฯ มาหลายครั้งทำให้รู้ว่าต้องจัดการเรื่องอาหารการกินให้เรียบร้อยก่อน ส่วนสตรีสูงวัยอีกคนบอกกับหญิงสาววัยลูกข้าง ๆ ว่า เธออายุ 65 ปี ตั้งใจที่จะมาหลังทราบข่าวผ่านกลุ่มสนทนาในแอปพลิเคชันไลน์ เธอออกเดินทางมาจากบ้านจาก จ.ชลบุรี ตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง โดยเดินทางมาตัวคนเดียวด้วยรถโดยสารสาธารณะ ทั้งรถตู้ รถไฟฟ้าบีทีเอสและเอ็มอาร์ที เล่าอย่างปลื้มใจว่าได้รับความช่วยเหลือมาตลอดทาง ซึ่งและยังเล่าอย่างภูมิใจว่าเมื่อครั้งในหลวง ร.9 เสด็จฯ เยี่ยมพสกนิกร เธอก็พาลูกหลานไปนอนจองที่ข้ามวันข้ามคืนมาแล้ว ในหลวงและพระราชินีเสด็จพระราชดำเนินมาถึงสถานีรถไฟฟ้าหลักสอง โดยตลอดเวลาการรอนั้น เจ้าหน้าที่สวมเสื้อสีเหลืองสวมหมวกสีม่วงนำน้ำดื่ม แอมโมเนียมาบริการ อีกทั้งเจ้าหน้าที่เขตบางแคยังได้นำอาหารมากแจกจ่ายให้กับประชาชนอีกด้วย "เมื่อก่อนเข้าไม่ถึง มีเชือกกั้นตลอด เดี๋ยวนี้ใกล้มากก็ดีใจ" ส่วนหญิงชาวใต้วัยกลางคน ที่นั่งห่างออกไปไม่ไกล เล่าว่า เธอเข้ามาทำงานในเมืองหลวงมานานกว่า 15 ปี สมัยอยู่ต่างจังหวัดไม่โอกาสเช่นนี้ เมื่อเข้ามาทำงานกรุงเทพฯ จึงไปเฝ้ารับเสด็จฯ บ่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ เธอเล่าถึงความตื่นเต้นที่มี แม้จะเฝ้ารับเสด็จฯ มาหลายครั้งแล้ว ตั้งแต่ครั้งพระองค์ยังเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช จึงได้เห็นการเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับการรับเสด็จฯ ที่ชัดเจนว่าไม่เข้มงวดเช่นที่ผ่านมา เช่นเดียวกับกลุ่มหญิงวัยกลางคนชาวศาลายา จ.นครปฐม ที่ช่วยยืนยันด้วยอีกเสียงถึงการเปลี่ยนแปลงนี้ "ก่อนหน้านี้ไม่มีอะไรแบบนี้ หลังมีม็อบนี่แหละ ตอนเป็นฟ้าชายก็ไม่ได้สัมผัส ตอนนี้นี่แหละท่านเปลี่ยนแปลงให้เข้ากับประชาชนได้ดีมาก" ด้วยความปิติยินดีเช่นนี้ วันนี้เธอจึงชักชวนเพื่อนอีกคนหนึ่งทำช่อดอกไม้จากใบเตยหอมโดยคาดหวังจะได้ถวายพระองค์ท่าน "ถ้าบุญเรามี บุญเราถึงนะ จะถวายถึงมือท่าน แต่ถ้าไม่ก็เก็บไปถวายพระต่อ" บรรดาพ่อค้าแม่ค้า ก็เป็นคนอีกกลุ่มหนึ่งที่จะขาดไปไม่ได้ แต่ละคนต่างมาจับจองพื้นที่ตั้งแต่เช้า โดยหวังให้กิจกรรมเช่นนี้สร้างรายได้ในยามที่เศรษฐกิจย่ำแย่ แม่ค้าจาก จ.นครปฐม เป็นคนหนึ่งที่ตั้งใจเดินทางมาเพื่อหวังฟื้นตัวจากเศรษฐกิจซบเซา โดยเลือกที่จะเดินเร่ขายพัด และแผ่นปูรองนั่ง ซึ่งเป็นของใช้จำเป็น "พี่ไปหมดทุกที่ทุกม็อบ รับเสด็จไป ปลดแอกไป เสื้อเหลือง เสื้อแดงไปหมด ต้องพลิกวิกฤตเป็นโอกาส" เธอเล่าว่า กิจกรรมเช่นนี้สามารถสร้างกำไรให้บรรดาแม่ค้าได้ แต่ก็เป็นเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ ดังนั้นเธอจึงไปขายสินค้าในกิจกรรมชุมนุมต่าง ๆ มาตลอด นอกจากการเดินทางมาเป็นกลุ่มเล็ก ๆ แล้ว ยังมีกลุ่มประชาชนที่ชักชวนกันมาเป็นกลุ่มก้อน โดยเฉพาะประชาชนในเขตพื้นที่ใกล้เคียงกรุงเทพมหานคร ซักซ้อมเปล่งเสียง "ทรงพระเจริญ" เวลาประมาณ 15.15 น. เจ้าหน้าที่คนหนึ่งเดินแจ้งข้อกำหนดกับประชาชนว่าใครก็ตามที่นำดอกไม้มาถวาย ขอให้นำมาให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบความปลอดภัยก่อน โดยหากเป็นดอกกุหลาบก็ขอความร่วมมือเด็ดหนามออกทั้งหมด เช่นเดียวกับการถ่ายภาพ ขอให้งดการถ่ายเซลฟี และหากจะถ่ายภาพให้ขอประทานอนุญาตจากพระองค์เสียก่อน เวลาต่อมา มีการซักซ้อมการเปล่งเสียง "ทรงพระเจริญ" เกิดขึ้นเป็นระยะ ๆ ประชาชนก็ร่วมส่งเสียงตอบรับ พร้อมโบกธงชาติและธงสัญลักษณ์ประจำ ร.10 ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ยังแนะนำข้อปฏิบัติอื่น ๆ เช่น การเก็บร่ม ถอดหมวกในช่วงเข้ารับเสด็จฯ การสัมผัสพระหัตถ์ การไม่ควรดึงพระบาทหรือเช็ดรองพระบาทเพราะอาจทำให้พระองค์เกิดอันตรายได้ ยิ่งใกล้กำหนดการรับเสด็จ บรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก เวลา 16.10 น. ทหารองครักษ์แต่งชุดเครื่องแบบและอาวุธเต็มยศ และตัวแทนนักเรียนที่สวมชุดพิธีการเริ่มตั้งแถวเตรียมรับเสด็จตามแนวถนน เจ้าหน้าที่อีกส่วนหนึ่งก็จัดระเบียบประชาชนตามเส้นทางเสด็จฯ ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น เครื่องขยายเสียงขนาดเล็กยังคงดังขึ้นต่อเนื่อง พร้อมด้วยเสียงใส ๆ ของเจ้าหน้าที่ผู้หญิง เล่าเรื่องราวความประทับใจในการถวายงานรับใช้ในหลวง รวมถึงถ่ายทอดพระราชดำรัสต่าง ๆ ของในหลวงที่ห่วงใยประชาชนที่มาเฝ้ารับเสด็จ และย้ำกับเจ้าหน้าที่ให้ดูแลอย่างเต็มที่ ในหลวงและพระราชินีประทับรถไฟฟ้าจากสถานีสนามไชยมายังสถานีหลักสอง สำหรับประชาชนที่มาเฝ้ารับเสด็จนั้น มีจำนวนไม่น้อยที่ตั้งใจนำพระบรมฉายาลักษณ์มาให้พระองค์ลงพระนามเช่นที่เคยเห็นมา เจ้าหน้าที่จึงขอความร่วมมือว่า จะเป็นการดีกว่าที่จะให้พระองค์สัมผัสศีรษะ เนื่องจากพระองค์ไม่สามารถลงพระนามให้ได้ทั้งหมดในเวลาจำกัด ทั้งนี้เจ้าหน้าที่มีการแจกกระดาษที่มีคิวอาร์โค้ดกลุ่มไลน์ "เรารักสถาบัน" เพื่อให้ประชาชนเข้าร่วมอีกด้วย ผ่านไปสักครู่บรรยากาศกลับมาคึกคักอีกครั้ง เมื่อบิณฑ์ บันลือฤทธิ์ นักแสดงชื่อดัง มาถึงบริเวณนี้เพื่อร่วมรับเสด็จฯ ประชาชนส่งเสียงกรี๊ด และเรียกชื่อ พร้อมทั้งขอถ่ายรูปกันคึกคักจนเจ้าหน้าที่ต้องขอความร่วมมือให้งดการถ่ายรูปเพื่อความเป็นระเบียบ เวลา 16.55 น. ก่อนกำหนดการเสด็จเพียงไม่นาน เจ้าหน้าที่แจ้งเปลี่ยนจุดรอการรับเสด็จจากเดิมหน้าลานศูนย์การค้า เป็นบริเวณริมถนนตามแนวเส้นทางเสด็จฯแทน ประกาศนี้สร้างความโกลาหลไม่น้อย ด้วยประชาชนที่มารอรับเสด็จจำนวนมากเป็นผู้สูงอายุที่เดินลำบาก โดยเฉพาะหลังจากที่ต้องนั่งคอยมาเป็นเวลานาน ต้องย้ายที่ที่ตัวเองคิดว่าเป็นทำเลที่ดีที่สุดแล้ว เวลาที่รอคอย เวลา 17.35 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระราชินีเสด็จฯ ถึงสถานีรถไฟฟ้าสนามไชย โดยมีพสกนิกรจำนวนหนึ่งที่ไปรอรับเสด็จในจุดดังกล่าว หลังทรงประกอบพิธีเปิดและทอดพระเนตรนิทรรศการภายในสถานี ทั้งสองพระองค์ก็ประทับตู้โดยสารแรกของขบวนรถไฟฟ้าใต้ดินหมายเลข 44 และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประชาชนที่มาเฝ้ารับเสด็จได้ร่วมขบวนรถไฟฟ้าไปยังสถานีหลักสองด้วย ขณะที่ในหลวงและพระราชินีประทับรถไฟฟ้าจากสถานีสนามไชยมายังสถานีหลักสอง บรรยากาศหน้าศูนย์การค้าเริ่มคึกคัก เจ้าหน้าที่เดินกันขวักไขว่ เข้าประจำตำแหน่ง แล้วเวลาที่ทุกคนรอคอยก็มาถึงเมื่อในหลวงและพระราชินีเสด็จฯ มาถึงในเวลาประมาณ 19.00 น. และทรงพระดำเนินเยี่ยมพสกนิกร สลับกับทรงหยุดมีพระราชปฏิสันถารกับประชาชนอย่างใกล้ชิด ท่ามกลางเสียง "ทรงพระเจริญ" ที่ดังขึ้นเป็นระยะ ๆ สมเด็จพระราชินีแย้มพระสรวลและโบกพระหัตถ์ให้ประชาชนอยู่ตลอดเวลา เช่นเดียวกับในหลวงที่พระราชทานลายพระหัตถ์บนรูปถ่ายให้ประชาชนบางส่วน บางจังหวะมีการหยุดถ่ายรูปร่วมกับประชาขน "ในหลวงสู้ ๆ" ยังเป็นอีกหนึ่งวลียอดนิยมที่ได้ยินในการรับเสด็จฯ ในช่วงเวลาที่ผ่านมา เช่นเดียวกับคำที่คุ้นชินอย่าง "เรารักในหลวง" ที่ดังสลับกันอย่างต่อเนื่องตลอดช่วงเวลาเสด็จฯ นอกจากมีการชูพระบรมฉายาลักษณ์แล้ว ยังมีประชาชนบางส่วนถือป้ายไฟหลากหลายสี ให้กำลังใจมีข้อความว่า "เรารักในหลวง" "เรารักราชินี" การผ่อนปรนในเรื่องระเบียบการเฝ้ารับเสด็จฯ ทำให้ประชาชนเข้าถึงได้อย่างใกล้ชิดโดยไม่ได้มีเขตแนวกั้น สามารถใช้โทรศัพท์บันทึกภาพได้ จึงมีประชาชนจำนวนมากพยายามกรูเข้าไปให้ได้ใกล้ชิดที่สุด สำหรับโอกาสสำคัญครั้งหนึ่งของชีวิต ความโกลาหลจึงเกิดขึ้นประปราย เมื่อบรรดาผู้สูงอายุรวมถึงเด็ก ๆ ไม่อาจมองเห็นได้โดยสะดวกตะโกนบอกให้คนด้านหน้านั่งลง หรือบอกให้ระวังล้มเกิดขึ้นเป็นระยะ ๆ สลับกับเสียงชื่นชมอย่าง "ราชินีตัวจริงสวยมาก" "ได้ถ่ายรูปใกล้เลย" จากประชาชนที่ได้เห็นทั้งสองพระองค์ชัด ๆ อย่างไรก็ตามขบวนเสด็จดำเนินไปอย่างช้า ๆ เนื่องจากทั้งสองพระองค์ทรงแวะทักทายประชาชนตลอดสองข้างทาง ทำให้ทั้งสองพระองค์ต้องใช้เวลากว่าครึ่งชั่วโมง กับระยะทางเสด็จพระราชดำเนินเพียงไม่เกิน 300 เมตร ก่อนที่เวลา 19.30 น. ขบวนรถพระที่นั่งเคลื่อนจะออกไป ทิ้งไว้เพียงรอยยิ้ม และความปลื้มปิติของประชาชนที่มาเฝ้ารับเสด็จฯ
|
"ทรงพระเจริญ"
|
international-40187573
|
https://www.bbc.com/thai/international-40187573
|
เลือกตั้งอังกฤษ: มารู้จักพรรคเลเบอร์
|
หลังเป็นฝ่ายค้านมา 7 ปี พรรคเลเบอร์ ทุ่มสุดตัวเพื่อกลับเข้ามาเป็นรัฐบาล ภายใต้การนำของนายเจเรมี คอร์บิน ผู้สามารถดึงเสียงสนับสนุนจากกลุ่มรากหญ้ากลับมาได้สำเร็จ แต่กลับขาดการสนับสนุนจากส.ส.หลายคนในพรรค พรรคเลเบอร์ ก่อตั้งขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ในฐานะกลุ่มเคลื่อนไหวด้านการเมืองรัฐสภาของขบวนการสหภาพแรงงาน ได้ร่วมรัฐบาลครั้งแรกในช่วงทศวรรษ 1920 แต่มาได้เสียงข้างมากจนเป็นตัวหลักจัดตั้งรัฐบาลได้เมื่อ นายคลีเมนต์ แอตลี หัวหน้าพรรค เอาชนะ เซอร์วินสตัน เชอร์ชิล ของ พรรคคอนเซอร์เวทีฟ หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุด นายคลีเมนต์ แอตลี เป็นผู้นำรัฐบาลพรรคเลเบอร์ เมื่อปี 1945 พรรคเลเบอร์กลับขึ้นสู่อำนาจในช่วงทศวรรษ 1960 และ 1970 ภายใต้การนำของนายฮาร์โรลด์ วิลสัน แต่ความขัดแย้งระหว่างแรงงานกับนายจ้าง และการประท้วงเรียกร้องขึ้นค่าจ้างของสหภาพแรงงานในช่วงฤดูหนาวของปี 1978-1979 ทำให้พรรคเลเบอร์กลับไปเป็นฝ่ายค้านต่ออีก 18 ปี นายโทนี่ แบลร์ ชนะการเลือกตั้งในปี 1997 และชนะการเลือกตั้งครั้งต่อมาอีก รวมทั้งหมด 3 สมัย จากกลยุทธ์การรณรงค์หาเสียงด้วยภาพลักษณ์ของพรรคเลเบอร์ยุคใหม่ รวมถึงเปิดรับบางส่วนของนโยบายตลาดเสรีที่นางมาร์กาเร็ต แธตเชอร์ อดีตนายกรัฐมนตรีและผู้นำพรรคคอนเซอร์เวทีฟเคยใช้ด้วย สมาชิกและที่นั่งในสภา หลังจากการรณรงค์หาเสียงที่นำโดยนายเอ็ด มิลิแบนด์ ไม่ได้ผลตามคาดหมาย เลเบอร์ กลายเป็นพรรคการเมืองใหญ่อันดับสองในสภาผู้แทนราษฎรสหราชอาณาจักรด้วยจำนวน ส.ส. 229 คน จำนวนสมาชิกพรรคเลเบอร์ ณ เดือนมีนาคมปีนี้ อยู่ที่ 517,000 คน เพิ่มขึ้นจาก 189,500 คนเมื่อเดือนธันวาคมปี 2013 แกนนำ 2 ผู้นำสำคัญ คือ นายเจเรมี คอร์บิน หัวหน้าพรรค และนายจอห์น แม็คดอนเนล นักกลยุทธ์ของพรรคเลเบอร์ เชื่อว่าการหาเสียงเลือกตั้งครั้งนี้ เปิดโอกาสให้ประชาชนได้เห็นนายคอร์บินในอีกแง่มุมหนึ่ง คือเป็นคนดีที่ทุ่มเทให้กับความยุติธรรมทางสังคม มากกว่าที่ประชาชนเคยได้เห็นกันตามภาพการ์ตูนล้อเลียนของสื่อฝ่ายขวา ว่าเขาเป็นนักการเมืองที่เชื่อมั่นในลัทธินิยมซ้ายในรูปแบบที่ห่างไกลจากความเป็นจริง นายแม็คดอนเนล ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีเงาด้านการคลัง เป็นอีกคนที่ได้รับการส่งเสริมในการรณรงค์เลือกตั้งครั้งนี้ โดยเน้นที่พื้นฐานความเป็นชนชั้นแรงงาน และแผนเศรษฐกิจของเขา นายคอร์บินถูกพรรคคอนเซอร์เวทีฟ โจมตีว่าเป็นผู้นำที่ไม่มีระเบียบแบบแผนและไม่เหมาะสมจะเป็นนายกรัฐมนตรี แต่นางเทเรซา เมย์ ก็ไม่ยอมร่วมรายการถกเถียงทางโทรทัศน์แบบตัวต่อตัวกับนายคอร์บิน ด้านส.ส.พรรคเบเลอร์สายกลางบางคน ยังเกรงว่านายคอร์บินอาจขาดความใกล้ชิดกับผู้สนับสนุนที่นิยมแนวคิดแบบดั้งเดิมของพรรค ซึ่งนายคอร์บินเองยอมรับว่ากำลังเผชิญกับความท้าทายสูงเป็นประวัติการณ์ แต่นี่ก็ไม่ใช่อุปสรรคครั้งแรก เพราะเขาเคยฝ่าวิกฤต ได้เป็นหัวหน้าพรรคเลเบอร์ด้วยคะแนนท่วมท้นเกินความคาดหมายมาแล้ว วรรคทองของผู้นำ 'เราไม่จำเป็นต้องมีความเหลื่อมล้ำ ไม่ต้องทนกับความอยุติธรรม ความยากจนไม่ใช่สิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้' เสียงวิจารณ์ นายทอม เบรค จากพรรคลิเบอรัล เดโมแครต กล่าวว่า 'ดูเหมือนว่าคอร์บิน และแม็คดอนเนล ต่างแข่งกันว่าใครจะทำให้พรรคเลเบอร์ไม่น่าเลือกกว่ากัน' เป้าหมาย ทั้งนายเจเรมี คอร์บิน และแกนนำพรรคเลเบอร์ต่างพยายามอย่างสุดความสามารถ เพื่อให้ได้ชัยชนะอย่างขาดลอยในการเลือกตั้งครั้งนี้ นายโทนี่ แบลร์ อดีตหัวหน้าพรรคเลเบอร์ เคยออกมาค้านการเลือกนายคอร์บิน เป็นผู้นำพรรค สมาชิกพรรคเลเบอร์บางคนกังวลว่าการเลือกตั้งครั้งนี้จะเป็นความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ปี 1983 เนื่องจาก คะแนนในการเลือกตั้งท้องถิ่นก่อนหน้านี้ของพรรคเลเบอร์ออกมาไม่เป็นที่น่าพอใจนัก จนทำให้ผู้ที่ปกติเคยลงคะแนนให้เลเบอร์หันไปเลือกคอนเซอร์เวทีฟแทน รวมถึงทางพรรคยังมีปัญหา ไม่สามารถฟื้นฟูฐานเสียงในสก็อตแลนด์ได้ อย่างน้อยที่สุด เป้าหมายของเลเบอร์ก็คือการกีดกัน ไม่ให้พรรคคอนเซอร์เวทีฟได้รับชัยชนะอย่างท่วมท้น เพื่อป้องกันการ "เซ็นเช็คเปล่า" ให้นางเทเรซา เมย์ ไปเจรจาเรื่องเบร็กซิทตามประสงค์ คือแยกตัวออกจากสหภาพยุโรปอย่างสิ้นเชิง แม้นมีสัญญาณว่าอาจพ่ายเลือกตั้ง ทีมงานของนายคอร์บินจะพยายามเพิ่มสัดส่วนความนิยมของพรรคให้ได้มากกว่าที่นายเอ็ด มิลิแบนด์ หัวหน้าพรรคเก่า เคยทำไว้ในปี 2015 ที่ 30% เพื่อแสดงให้นักวิจารณ์ในพรรคได้เห็นความคืบหน้าด้วย จุดแข็ง เอ็นเอชเอส หรือแผนงานบริการสุขภาพแห่งชาติ เป็นความสำเร็จที่สำคัญของพรรคเลเบอร์ ซึ่งริเริ่มขึ้นในปี 1948 ในสมัยของนายกรัฐมนตรีคลีเมนต์ แอตลี ทำให้พรรคพยายามเบี่ยงเบนประเด็นหาเสียงจากเบร็กซิท มาเป็นประเด็นภายในประเทศได้ เนื่องจากหลายเดือนที่ผ่านมา เอ็นเอชเอส ต้องเผชิญกับแรงกดดันอย่างหนักในเรื่องเงินอุดหนุน พรรคเลเบอร์ยังเชื่อด้วยว่า จะสามารถเรียกคะแนนเสียงได้มากจากประชาชนกลุ่มที่รู้สึกว่า การบริหารประเทศกำลังถูกบิดเบือนเพื่อเอาเปรียบพวกเขา โดยเลเบอร์ได้เสนอว่าจะออกกฎหมายเพื่อจัดการกับเศรษฐีระดับแนวหน้าที่หลีกเลี่ยงภาษี และออกกฎหมายเพื่อคนทำงานที่มีฐานะปานกลางทั่วไป จุดยืนในการเจรจาเบร็กซิท พรรคเลเบอร์ เคยรณรงค์ต่อต้านเบร็กซิทในช่วงการทำประชามติ แต่นายคอร์บิน กลับมีข้อกังขากับประเด็นเบร็กซิท จึงถูกวิจารณ์ว่ารณรงค์ตามจุดยืนของพรรคได้ไม่ดีพอ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ พรรคเลเบอร์เชื่อว่าสหราชอาณาจักรจะต้องเดินหน้าตามผลประชมมติ โดยต้องรักษาสิทธิของแรงงาน และการเข้าถึงประโยชน์จากตลาดร่วมเอาไว้ นอกจากนี้ ในช่วงการทำประชามติ ส.ส.พรรคเลเบอร์ส่วนใหญ่ เลือกสนับสนุนให้สหราชอาณาจักรอยู่เป็นส่วนหนึ่งของอียูต่อไป ทำให้ในการเลือกตั้งครั้งนี้ จะมีบางคนที่อาจต้องกลับไปเผชิญกับเขตเลือกตั้ง ที่เลือกสนับสนุนการถอนตัวจากสหภาพยุโรป แต่ทางพรรคก็หวังว่า การที่ส.ส.ส่วนใหญ่ปฏิบัติตามจุดยืนของพรรค เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ เพื่อเปิดทางให้รัฐบาลประกาศใช้สิทธิในการถอนตัวจากอียู ตามมาตรตรา 50 ของสนธิสัญญาลิสบอน จะช่วยให้สามารถกลับไปแข่งขันในสนามเลือกตั้งเดิมได้อีกครั้ง นโยบายหลัก 5 ข้อ
|
ประวัติพรรค
|
features-51147611
|
https://www.bbc.com/thai/features-51147611
|
สุขภาพจิต : สาวสเปนเล่าประสบการณ์น่าตะลึงจากการป่วยโรคบูลิเมีย
|
อานาเขียนหนังสือบอกเล่าเรื่องราวที่ตัวเองเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลจิตเวช คำเตือน : บนความนี้มีเนื้อหาที่อาจทำให้รู้สึกไม่สบายใจ เมื่อมองจากภายนอก เธอคือคนที่มีชีวิตเพียบพร้อม ทั้งเพื่อนฝูงและ หน้าที่การงานที่ดี อีกทั้งยังมีฐานะการเงินที่มั่นคง ทว่าในความเป็นจริงเธอกลับกำลังต่อสู้อยู่กับโรคบูลิเมีย เนอร์โวซา (bulimia nervosa) ซึ่งเป็นความผิดปกติในการรับประทานที่ผู้ป่วยจะทานอาหารปริมาณมากในเวลาอันสั้น แล้วจะพยายามกำจัดอาหารที่เพิ่งรับประทานเข้าไปเพื่อไม่ให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น ด้วยการทำให้ตนเองอาเจียน ออกกำลังกายอย่างหนัก ใช้ยาระบาย ยาขับปัสสาวะ รวมทั้งอาจอดและจำกัดปริมาณอาหารที่รับประทาน ผู้ป่วยบูลิเมียมักมีอารมณ์ซึมเศร้า วิตกกังวล และมีปัญหาการใช้ยาเสพติดร่วมด้วย นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงในการทำร้ายตัวเอง หรือฆ่าตัวตาย ซึ่งอานา เป็นโรคนี้มาตั้งแต่วัยรุ่น นอกจากนี้เธอยังได้รับการวินิจฉัยว่ามีภาวะบุคลิกภาพผิดปกติชนิดก้ำกึ่ง (borderline personality disorder) ซึ่งผู้ป่วยจะมีความผิดปกติทางบุคลิกภาพแบบอารมณ์ไม่คงที่ หุนหันพลันแล่น อารมณ์รุนแรงจัด มีพฤติกรรมทำลายตัวเอง และพฤติกรรมที่ส่งผลเสียต่อความสัมพันธ์กับผู้อื่น รวมทั้งอาจมีความกลัวการถูกทอดทิ้งอย่างรุนแรง เมื่อหนึ่งปีที่แล้ว ปัญหาของอานาทำให้เธอคิดสั้นพยายามฆ่าตัวตายด้วยการกระโดดจากสะพาน อานารอดชีวิตมาได้ แต่ได้รับอาการบาดเจ็บรุนแรงที่เท้าและทำให้เธอต้องเข้ารับการผ่าตัดหลายครั้ง เธอยังไม่รู้ว่าตัวเองจะสามารถกลับมาเดินได้ตามปกติหรือไม่ตอนที่เธอถูกนำขึ้นวีลแชร์เพื่อเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลจิตเวชแห่งหนึ่งในเมืองหลวงของสเปน อานาต้องเข้ารับการบำบัดที่นั่นเป็นเวลา 37 วัน ซึ่งตอนนั้นเองเธอได้เขียนบันทึกบอกเล่ารายละเอียดของช่วงเวลาที่เข้ารักษาอาการทางจิต หลังแพทย์อนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาล อานาได้เปลี่ยนการจดบันทึกดังกล่าวของเธอให้เป็นหนังสือที่ชื่อว่า "How I Flew over the Cuckoo's Nest" และใช้นามปากกาว่า ซิดนีย์ บริสโตว์ ก่อนที่จะตีพิมพ์หนังสือเล่มนี้ อานาเคยนำเรื่องราวของเธอไปโพสต์ใน ForoCoches เว็บบอร์ดชื่อดังของสเปน และมีผู้ติดตามอ่านเรื่องราวของเธอเป็นจำนวนมาก อานาเปิดใจให้สัมภาษณ์พิเศษกับบีบีซี นิวส์ มุนโด หรือบีบีซีแผนกภาษาสเปน ถึงชีวิตและการต่อสู้กับปัญหาทางจิตของตัวเอง ชีวิตวัยเด็ก ฉันเป็นเด็กที่โตมากับค่านิยมที่พ่อคอยพร่ำสอน ฉันเชื่อในเรื่องความซื่อสัตย์ ความจริงใจ และความสำคัญของการมีความรู้ พ่อของฉันเป็นวิศวกรที่ทำงานให้บริษัทอเมริกัน ส่วนแม่เป็นนักชีววิทยา แต่ท่านไม่ได้ทำงานประจำมานานแล้ว พ่อประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน ทำให้ตอนเด็กพวกเราได้ย้ายเข้าไปอยู่ในบ้านที่ใหญ่ขึ้นอยู่เสมอ ทว่าการย้ายบ้านแต่ละครั้งก็ทำให้ฉันต้องเปลี่ยนโรงเรียนไปด้วย ความเปลี่ยนแปลง ตอนอายุได้ 13 ปี ฉันต้องย้ายบ้านและโรงเรียนอีกครั้ง พ่อแม่ให้ฉันเข้าโรงเรียนเอกชนที่ดีที่สุด ที่นั่น ค่านิยมที่ฉันได้รับการสั่งสอนจากพ่อกลายเป็นสิ่งที่ไร้ความหมาย และมีแต่จะทำให้ฉันถูกรังแก สิ่งมีค่าที่โรงเรียนนั้นคือการมีหน้าอกใหญ่ การสวมเสื้อผ้าแบรนด์เนม การมีหน้าตาสะสวยและผอม ตอนนั้นเองคือจุดหักเหที่ทำให้ทุกอย่างเลวร้ายลง เพราะฉันมี 2 ทางเลือกคือ ปรับตัวไปตามมันหรือไม่ก็ตาย ฉันตัดสินใจที่จะยอมปรับชีวิตไปตามมัน ละทิ้งความเชื่อทุกอย่างที่พ่อสอนเพื่อให้ได้รับการยอมรับจากสังคมที่นั่น สิ่งสำคัญในตอนนั้นคือการสวมเสื้อผ้าดี ๆ และมีรูปร่างผอมเพรียว แต่มันคือความผิดพลาดครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตของฉัน จุดเริ่มต้นของปัญหาการกิน ฉันเริ่มกินอาหารปริมาณมากผิดปกติ และจะกระตุ้นให้ตัวเองอาเจียนออกมาด้วยการเอานิ้วล้วงคอ อานาเริ่มเป็นโรคบูลิเมียตั้งแต่วัยรุ่น ผู้คนมักคิดว่าบูลิเมียคือแค่ทำให้ตัวเองอาเจียน แต่ที่จริงยังมีอาการ "หิวโหยราวกับวัว" ร่วมด้วย นั่นคือสิ่งที่ฉันเคยเป็นและยังเป็นอยู่ในปัจจุบัน คือกินปริมาณมาก ๆ แล้วรีบทำให้ตัวเองอาเจียนหลังจากนั้น ฉันกินอาหารเท่าปริมาณสำหรับคน 4 คน ฉันเคยกินอาหารสุนัข กินอาหารจากกองขยะ หรือแม้แต่กินอาเจียนของตัวเอง การกินช่วยให้ฉันสงบ เวลาที่ฉันรู้สึกวิตกกังวล การกินช่วยปลอบประโลมใจ มันเป็นวิธีที่ช่วยให้ฉันหลบหนีจากปัญหา ตอนอายุ 16 ปี ฉันถูกส่งตัวเข้าโรงพยาบาลเพราะมีน้ำหนักตัวต่ำกว่าเกณฑ์เป็นครั้งแรก เรียนจบและได้เป็นนักกฎหมาย แม้จะผ่านปัญหาต่าง ๆ แต่อานาก็เรียนจนสำเร็จการศึกษา และได้งานทำเหมือนคนหนุ่มสาวทั่วไป ฉันได้งานทำที่ธนาคารแห่งหนึ่ง และวันที่ฉันเริ่มทำงานวันแรกก็เป็นวันเดียวกับที่ฉันย้ายออกจากบ้านพ่อแม่ ดูเหมือนว่าทุกอย่างกำลังไปได้สวย แต่มันเป็นเรื่องโกหก ฉันไม่เคยหยุดทรมานตัวเองด้วยอาหารและการอาเจียน ที่จริง เหตุผลแท้จริงที่ฉันตัดสินใจออกมาใช้ชีวิตด้วยตัวเอง ก็เพื่อที่จะสามารถทำอะไรก็ได้กับอาหาร โดยที่ไม่มีพ่อแม่คอยจับตาดู ฉันทำเรื่องน่าสะอิดสะเอียนหลายอย่าง ครั้งหนึ่งฉันอาเจียนออกมา และคิดว่า "มันน่าจะยังมีประโยชน์อยู่" ฉันเลยหยิบมันขึ้นมาและกินมันเข้าไปอีก บูลิเมียทำให้อานาหมกมุ่นเรื่องอาหารและการมีรูปร่างผอมเพรียว มีความรัก ฉันพบเดวิดตอนอายุ 28 ปี เขาหน้าตาดีและทำงานเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ เราเริ่มไปไหนมาไหนด้วยกัน ฉันพยายามอย่างหนักให้ความสัมพันธ์ของเราสมบูรณ์แบบ ฉันไม่เคยปริปากบอกเดวิดถึงปัญหาของฉัน เวลาฉันทานมากเกินไปตอนที่เราทานอาหารค่ำด้วยกัน ฉันจะบอกเขาว่าฉันรู้สึกหนาวและอยากอาบน้ำร้อน เสียงน้ำผักบัวที่เปิดช่วยกลบเสียงอาเจียนของฉัน จากนั้นฉันจะทำความสะอาดห้องน้ำไม่ให้เหลือร่องรอย ความสัมพันธ์ที่เป็นพิษ ฉันจะโทรหาเดวิดวันละหลาย ๆ ครั้ง และส่งข้อความจำนวนมาก ความหมกมุ่นของฉันรุนแรงถึงขั้นที่ครั้งหนึ่ง เดวิดไปเยี่ยมเพื่อนที่อเมริกาเป็นเวลาหนึ่งเดือน และฉันเสนอจะขับรถไปรับเขากลับจากสนามบิน ฉันประหม่ามาก และก่อนจะไปถึงสนามบิน ฉันแวะไปที่บ้านพ่อแม่ ซึ่งที่นั่นพ่อเห็นฉันแอบเอามีดใส่กระเป๋าตัวเอง ท่านจึงถามว่าฉันจะเอาไปทำอะไร ฉันตอบไปว่า "เดวิดมีท่าทีเหินห่างมากตอนที่คุยโทรศัพท์ ถ้าเขาบอกเลิกหนูตอนมาถึงสนามบิน หนูจะเอามีดเชือดข้อมือตัวเอง" พ่อทำให้ฉันยอมทิ้งมีดไว้ที่บ้าน และเดวิดก็ไม่ได้บอกเลิกฉันในวันนั้น แต่ในที่สุดเขาก็ขอยุติความสัมพันธ์ในเวลาต่อมา การบอกเลิกที่นำไปสู่การใช้ยาเสพติด ก่อนที่เดวิดจะทิ้งฉัน ฉันเพิ่งจะอาเจียน และตอนนั้นเริ่มมีการใช้ยาเสพติดเป็นครั้งคราว แต่โรคบูลิเมียทวีความรุนแรงขึ้นหลังจากเราเลิกกัน และฉันก็ตกเป็นทาสของยาเสพติดทั้งเฮโรอีน และโคเคน บูลิเมียทำให้อานากินอาหารปริมาณมากผิดปกติ และจะกระตุ้นให้ตัวเองอาเจียนออกมา เพื่อรักษารูปร่างให้ผอมบาง ฉันอาเจียนมากถึงวันละ 5 ครั้ง ข้อนิ้วได้รับบาดเจ็บรุนแรงจากการเสียดสีกับฟันเวลาที่ฉันล้วงนิ้วเข้าไปในลำคอ นอกจากนี้ฉันยังกินยานอนหลับถึงคืนละ 6 เม็ดเพื่อให้หลับไปจนถึงเช้า เข้าสถานบำบัด ฉันผลาญเงินจำนวนมาก จนท้ายที่สุดมีหนี้สินราว 20,000 ยูโร (ราว 6.8 แสนบาท) แต่ฉันยังคงหมกมุ่นเรื่องอาหารและการมีรูปร่างผอมเพรียว ฉันวิ่งวันละ 10 กิโลเมตร และเคยน้ำหนักเหลือ 42 กิโลกรัม หลังเปิดใจกับพ่อ ท่านยอมที่จะช่วยปลดหนี้ให้ฉัน และฉันก็ยอมเข้ารับการบำบัดที่คลินิกแห่งหนึ่ง เวลาที่อยู่ในคลินิกนั้นราวกับชั่วกัปชั่วกัลป์ ฉันน้ำหนักขึ้นและคิดว่าตัวเองดูน่าเกลียดมาก บูลิเมียทำให้อานาเริ่มหันไปใช้ยาเสพติด หลังจากแพทย์อนุญาตให้ออกจากสถานบำบัด ฉันก็ย้ายกลับไปอยู่กับพ่อแม่เพื่อให้อยู่ในสายตาของพวกท่าน ฉันทนอยู่กับพ่อแม่ไม่ได้ มันทำให้ฉันรู้สึกว่าตัวเองอายุ 31 ปีแล้วแต่ยังไม่ทำอะไรที่เป็นหลักเป็นฐานในชีวิต คิดสั้น การอาเจียนคือแรงจูงใจเดียวของฉัน ฉันจึงกินยาพาราเซตามอล 20 เม็ด เพราะรู้ว่ามันจะทำลายตับและทำให้เสียชีวิต ฉันส่งข้อความลาตายไปให้แม่กับน้องสาว ซึ่งเป็นหมอและบอกว่าฉันจะตายแน่นอน แต่อาจต้องใช้เวลาหนึ่งสัปดาห์และจะสร้างความทุกข์ทรมานอย่างมาก เธอบอกให้ฉันกลับไปรอที่บ้าน แต่ฉันตัดสินใจจอดรถแล้วกระโดดลงจากสะพาน เข้าบำบัดอีกครั้ง หลังเกิดเหตุอานาถูกส่งตัวเข้าสถานบำบัดอีกครั้ง ซึ่งมันทำให้เธอได้เรียนรู้มากมาย ฉันได้เรียนรู้จากคนไข้คนอื่น ๆ ฉันเคยเป็นคนที่ชอบตัดสินผู้คนจากการได้พบกันเพียงผิวเผินในครั้งแรก แต่ที่คลินิกแห่งนี้ทำฉันได้บทเรียนที่น่าประหลาดใจ ฉันพบว่าคนประเภทที่มักทำให้ฉันต้องรีบเดินหนีข้ามถนนเมื่อเห็นพวกเขากลับเป็นคนที่น่าชื่นชม และมีความละเอียดอ่อนเป็นพิเศษ ฉันเริ่มเป็นคนที่มีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นมากขึ้น และได้เรียนรู้ว่าผู้ป่วยทางจิตส่วนใหญ่เพียงต้องการให้มีใครสักคนที่รับฟังพวกเขา ไม่มีใครที่อยากรับฟังคนเหล่านี้ แต่ฉันรับฟัง แม้ในช่วงแรกจะทำเพราะถูกบังคับ แต่ในที่สุดฉันก็รู้สึกโชคดีที่ได้รับฟังพวกเขา ในระหว่างที่เข้ารับการบำบัดครั้งนี้เอง อานาได้เริ่มจดบันทึกเล็ก ๆ น้อย ๆ เกี่ยวกับอาหารที่รับประทาน และผู้คนที่เธอได้พบ แต่หลังจากได้ออกจากคลินิก เธอได้พบกับเพื่อนบางคน และเล่าประสบการณ์ที่ได้เจอให้เพื่อนฟัง เพื่อนคนหนึ่งซึ่งเป็นนักจิตวิทยาบอกว่าเรื่องราวของเธอน่าฟัง พร้อมกับแนะนำว่าการเขียนเกี่ยวกับมันจะเป็นประโยชน์ ดังนั้นในวันหนึ่งตอนที่ฉันอยู่บ้าน ไปไหนไม่ได้เพราะอาการบาดเจ็บที่เท้า ฉันจึงเริ่มเขียนเรื่องราวของตัวเองขึ้น และสิ่งต่าง ๆ ก็พรั่งพรูออกมา ชีวิตทุกวันนี้ ฉันกลับมาอาเจียนอีก ฉันเริ่มรู้สึกเศร้าอีก ที่จริง เมื่อไม่นานมานี้ ฉันได้กลับเข้าคลินิกเดิมอีกครั้ง แต่หนังสือช่วยให้ฉันมีความหวัง
|
อานา เป็นสาวชาวสเปนวัย 32 ปีจากกรุงมาดริด
|
international-50281779
|
https://www.bbc.com/thai/international-50281779
|
เรื่องราวของ อันวาร์ คองโก มือสังหารหมู่ในอินโดนีเซียที่แสดงเป็นเหยื่อของตัวเองในภาพยนตร์
|
อันวาร์ คองโก (ขวา) ถูกถ่ายภาพ ขณะแสดงภาพยนตร์สารคดีเรื่อง The Act of Killing ซึ่งมีชื่อเป็นภาษาไทยว่า ฆาตกรรมจำแลง อันวาร์ คองโก มือสังหารที่เคยฆ่าคนมานับร้อยนับพัน กำลังเต้นรำจังหวะชะชะช่า ตอนที่เพื่อนคนหนึ่งกำลังมองดูเขาอยู่ เพียงไม่นานก่อนหน้านั้น ขณะอยู่บนดาดฟ้าอาคารหลังหนึ่งในอินโดนีเซีย เขาเพิ่งสาธิตวิธีที่เขาพอใจที่สุดในการสังหารผู้คน นั่นก็คือการใช้เส้นลวดรัดคอคนเหล่านั้นจนตาย เขาชอบวิธีนี้เพราะการทุบตีให้ตายนั้นยุ่งยากจนเกินไป คาดว่าชายรูปร่างผอมบางที่มีผมหงอกขาวโพลนผู้นี้ ได้สังหารผู้คนไปอย่างน้อย 1,000 คน บ้างก็ประเมินว่าจำนวนผู้เสียชีวิตจากน้ำมือของเขาน่าจะสูงกว่านั้นมาก "ผมพยายามลืมเรื่องราวพวกนั้นทั้งหมด" เขากล่าวอย่างไม่รู้สึกทุกข์ร้อน "[ด้วยการ] เต้นรำ หาความสุข ดื่มแอลกอฮอล์บ้างเล็กน้อย แล้วก็สูบกัญชานิดหน่อย" จากนั้นเขาก็เริ่มร้องเพลง นี่คือหนึ่งในฉากที่กระชากใจผู้ชมมากที่สุดในภาพยนตร์เรื่อง The Act of Killing (ชื่อภาษาไทยว่า ฆาตกรรมจำแลง) ภาพยนตร์สารคดีที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ในปี 2012 ซึ่งบอกเล่าเรื่องราวการสังหารหมู่ในศตวรรษที่ 20 เหตุการณ์หนึ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่ได้รับรู้ ในช่วงปี 1965-1966 การกวาดล้างทางการเมืองครั้งใหญ่หลังการก่อรัฐประหารล้มเหลว ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 500,000 คน ในอินโดนีเซีย โดยกองทัพได้ใช้กำลังจัดการและพุ่งเป้าไปที่ผู้ต้องสงสัยว่าเป็นคอมมิวนิสต์ทั่วประเทศ ฆาตกรรมจำแลง คือเรื่องราวของการติดตามชีวิตของอันวาร์ สมาชิกในกลุ่มมือสังหารที่ฉาวโฉ่ที่สุด ที่เข่นฆ่าผู้ต้องสงสัยว่าเป็นกลุ่มฝ่ายซ้ายจัดหลายร้อยคน หลังจากที่เขาได้รับเชิญให้ร่วมรับบทบาทนักแสดงในฉากตอนสังหารของภาพยนตร์เรื่องนี้ อันวาร์ คองโก เพิ่งเสียชีวิตไปเมื่อวันที่ 25 ต.ค. ที่ผ่านมา ด้วยวัย 78 ปี อันวาร์ เติบโตมาในครอบครัวที่อยู่อาศัยและทำงานในพื้นที่ขุดเจาะน้ำมันแห่งหนึ่งในเมืองเมดานทางตอนเหนือของอินโดนีเซีย ทางบ้านของเขามีฐานะดี และคัดค้านการเป็นเอกราชจากเนเธอร์แลนด์ในปี 1945 เขาออกจากโรงเรียนตอนอายุ 12 ขวบ และไม่นานหลังจากนั้น ก็เข้าไปพัวพันกับกลุ่มอาชญากรรมในเมืองเมดาน ในช่วงแรก เขาและเพื่อน ๆ มักจะเตร็ดเตร่อยู่แถวโรงภาพยนตร์ยอดนิยมที่สุดแห่งหนึ่งของเมือง เอาตั๋วภาพยนตร์ มาขายต่อเอากำไร แต่ไม่นานนัก อันวาร์และเพื่อนก็เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับอาชญากรรมที่ร้ายแรงกว่าเดิม พวกเขาขู่กรรโชกทรัพย์เรียกค่าคุ้มครองจากเจ้าของห้างร้านชาวจีน ลักลอบขนสิ่งของผิดกฎหมายและเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการพนันด้วย อันวาร์มีเพื่อนชื่ออาดี ซุลกาดรี ทั้งสองถูกว่าจ้างให้เป็นมือลอบสังหาร โจชัว โอปเพนไฮเมอร์ ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่องนี้ บอกว่า "ตอนพยายามฆ่าคนครั้งแรก ทั้งสองล้มเหลวไม่เป็นท่า" เขาเล่าว่า "สองคนพยายามใช้ลูกทุเรียนฆ่าคน นั่นก็คงจะบอกได้ว่า มันไม่ได้ผล" ในช่วงก่อนการทำรัฐประหารที่ล้มเหลวในปี 1965 ตามมาด้วยการสังหารหมู่ครั้งใหญ่ อันวาร์และพวกกลายเป็นอาชญากรที่หาตัวจับยาก ซ้ำร้ายกว่านั้น พวกเขามีแนวคิดต่อต้านคอมมิวนิสต์ด้วย ภาพนิ่งจากภาพยนตร์เรื่อง The Act of Killing คนกลางคือ อันวาร์ คองโก ส่วนคนขวาคือ อาดี ซุลกาดรี เพื่อนของเขา ทหารคือผู้บงการให้สังหารหมู่ ขณะที่ผู้ลงมือคือกลุ่มอันธพาลที่เตร็ดเตร่ตามท้องถนน กับทหารพรานที่นิยมขวา ทหารได้เรียกแก๊งของอันวาร์เข้ามารับงานนี้ พวกเขาสอบปากคำ ทรมาน และสังหารผู้ต้องสงสัยฝ่ายซ้ายจัดหลายร้อยคน แก๊งของมือสังหารเหล่านี้เป็นที่รู้จักว่าแก๊งกบ (Frog Squad) ซึ่งเป็นแก๊งปลิดชีพที่ทรงอิทธิพลที่สุดในภูมิภาค อันวาร์ในฐานะมือสังหาร เป็นสมาชิกที่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่ที่สุด วิธีฆ่าคนที่ทางกลุ่มใช้ได้อิทธิพลมาจากภาพยนตร์ฮอลลีวูดหลายเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องที่พวกเขาโปรดปรานมากที่สุดคือ ภาพยนตร์เกี่ยวกับแก๊งมาเฟียอย่าง Al Pacino และ John Wayne's Westerns คาดว่าอันวาร์ลงมือสังหารคนด้วยตัวเองหลายร้อยคน ซัมซุล อารีฟิน ผู้ว่าการจังหวัดสุมาตราเหนือ เล่าถึงความน่ากลัวของอันวาร์ในสมัยนั้นไว้ในภาพยนตร์สารคดีเรื่อง The Act of Killing ว่า "ทุกคนต่างเกรงกลัวเขา" เขากล่าว "แค่ได้ยินชื่อก็หวาดผวาแล้ว" การกวาดล้างอย่างเหี้ยมโหดในครั้งนั้น ยังเป็นเรื่องอ่อนไหวในอินโดนีเซียจนถึงปัจจุบัน และมีผู้ถูกจำคุกโดยไม่ได้รับการไต่สวนราว 100,000 คน พวกเขาถูกโยงใยว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับพรรคคอมมิวนิสต์ ขณะที่ผู้ที่ลงมือฆ่าคนอย่างอันวาร์และแก๊งของเขา ไม่เคยถูกนำตัวมาดำเนินคดี และยังกลายเป็นผู้นำที่ได้รับความเคารพนับถือในกลุ่มเยาวชนปัญจศีล (Pancasila Youth) กลุ่มทหารพรานที่สนับสนุนรัฐบาลอินโดนีเซียในขณะนั้น กลุ่มเยาวชนปัญจศีลแตกแขนงมาจากกลุ่มมือสังหารนั่นเอง ภาพนิ่งจากภาพยนตร์ที่เผยให้เห็นฉากการสังหารหมู่ที่หมู่บ้านกัมปุมโกลัม (Kampung Kolam) ในช่วงหลายปีหลังจากเหตุสังหารหมู่ อันวาร์กลับไปใช้ชีวิตวนเวียนอยู่กับการก่ออาชญากรรมเช่นเดิมในเมืองเมดาน เขาใช้ชื่อเสียงอันฉาวโฉ่เป็นเครื่องมือทำมาหากินด้วยการลักลอบขนสิ่งของผิดกฎหมาย ปล้นทรัพย์ ร่วมขบวนการรีดไถและกรรโชกทรัพย์ขนานใหญ่ ตลอดช่วงทศวรรษ 1990 เขายังทำงานเป็นหัวหน้าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่ไนต์คลับที่ใหญ่ที่สุดในเมดาน แต่ตำแหน่งนี้ดูเหมือนจะเป็นเพียงงานบังหน้าในการค้ายาเสพติดให้กับกลุ่มเยาวชนปัญจศีล ในองค์กรนี้ อันวาร์ถือว่าได้รับการยกย่องเชิดชูจากบทบาทการสังหารหมู่ผู้คนในช่วงทศวรรษ 1960 คนที่กระทำผิดอย่างเขาได้กลายเป็นแบบอย่างของทหารพรานรุ่นใหม่หลายล้านคน และยังได้รับการเชิดชูเป็นวีรบุรุษในเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ที่พวกเขาบอกเล่าสืบต่อกัน โปรดิตา ซาบารินี ถูกปลูกฝังให้เชื่อประวัติศาสตร์นี้ตอนที่เรียนที่โรงเรียน "เราถูกสอนว่า ลัทธิคอมมิวนิสต์เป็นสิ่งชั่วร้าย และพวกเขาไม่นับถือพระเจ้า ซึ่งเป็นการทรยศต่อชาติ" เธอกล่าวกับบีบีซี "เราไม่ตั้งคำถามในสิ่งที่เราถูกสอนที่โรงเรียน แม้แต่ตอนที่ฉันรู้ว่ามีคนเสียชีวิตจำนวนมาก ฉันยังคิดว่า 'พวกเขาเป็นคอมมิวนิสต์ ถูกฆ่าก็ไม่เป็นไร'" จนกระทั่งทีมงานถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้ตามตัวจนพบ อันวาร์จึงจำต้องเผชิญหน้ากับอาชญากรรมที่ก่อไว้ และสำนึกผิดชอบชั่วดีของตัวเอง ตอนที่โอปเพนไฮเมอร์ พบกับอันวาร์ครั้งแรกในปี 2005 เขาพูดอย่างอวดดี อดีตมือสังหารคนนี้สาธิตวิธีลงมือฆ่าคนอย่างหน้าชื่นตาบาน โอปเพนไฮเมอร์บอก "ผมคิดว่าการคุยโวนั้นเป็นหนทางหนึ่งที่จะย้ำว่าสิ่งที่พวกเขากระทำไปคุ้มค่าที่จะพูดคุยโอ้อวด" แต่อันวาร์ก็ยอมเปิดเผยความรู้สึกและความเจ็บปวดของตัวเองอย่างตรงไปตรงมา" ภาพยนตร์เรื่องนี้ ติดตามชีวิตของอันวาร์และพวกซึ่งได้รับเชิญให้ร่วมแสดงฉากสังหารที่เคยลงมือทำเอง พวกเขาทั้งเขียนบทเองและเล่นเองโดยอาศัยแนวทางตามภาพยนตร์ที่ชื่นชอบ พวกเขามักจะล้อกันเรื่องฆ่าคนจีน "เราจะเล่าเรื่องราวที่เราทำสมัยที่เรายังหนุ่มให้ฟัง!" ในช่วงแรกอันวาร์ประกาศอย่างภาคภูมิใจ แต่ไม่นานหลังจากนั้น แรงกดดันของการต้องรับบทเป็นตัวเอกของเรื่อง ก็หนักเกินกว่าที่เขาจะรับไหว และเริ่มเผยให้เห็นถึงความรู้สึกผิดชอบชั่วดี เขายอมรับว่าตัวเองต้องทุกข์ทรมานจากการฝันร้ายเป็นประจำ "ผมนอนหลับไม่สนิท บางทีอาจจะเป็นเพราะผมเคยเห็นคนตายต่อหน้าต่อตา ตอนที่ผมใช้ลวดรัดคอคนเหล่านั้น" เขาเล่าด้วยสีหน้าเคร่งเครียด อันวาร์ คองโก ต้องขอให้หยุดถ่ายทำ ระหว่างที่เขารับบทเป็นเหยื่อในช่วงท้ายของภาพยนตร์ ในช่วงท้ายของของภาพยนตร์เรื่องนี้อันวาร์ได้เล่นเป็นเหยื่อที่เขาฆ่า พอถึงฉากที่เขาถูกลวดพันรอบคอ อันวาร์ร้องขอให้หยุดการถ่ายทำ และนั่งนิ่งไม่ไหวติง "ผมบาปไหม" อันวาร์ถามทั้งน้ำตาตอนนั่งดูตัวเองเล่นบทนี้ "ผมทำแบบนี้กับคนมากมาย" โอปเพนไฮเมอร์ เล่าว่า "เขาไปถึงจุดที่ว่ารู้สึกถึงความผิดของตัวเองอย่างแท้จริงและเอ่ยถึงมันอย่างตรงไปตรงมา" ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่องนี้กล่าวเพิ่มเติมว่า "ผมเดาว่า จุดเตือนใจของภาพยนตร์สารคดีเรื่องนี้คือว่า มนุษย์นั้นสามารถ ทำลายตัวเองได้ด้วยการกระทำของตัวเราเอง" อันวาร์แต่งงานตอนอายุมากแล้วและไม่มีลูก เขายังคงพัวพันกับการก่ออาชญากรรมหลังจากที่ภาพยนตร์เรื่องฆาตกรรมจำแลงออกฉายไปแล้ว อย่างไรก็ดี ภาพยนตร์เรื่องนี้กลับส่งผลสร้างความเปลี่ยนแปลงในชีวิตให้คนอินโดนีเซียคนอื่น ๆ อีกมาก เรื่องเกี่ยวกับประสบการณ์ชีวิตที่คุณอาจสนใจ: อินโดนีเซียห้ามฉายภาพยนตร์เรื่องนี้ในประเทศ แต่ก็มีการลักลอบดูกัน ขณะที่กลุ่มที่สนับสนุนกองทัพบางกลุ่ม ถึงกับลงมือสกัดกั้นการฉายภาพยนตร์นี้อย่างรุนแรงในสถานที่บางแห่ง รีเบกกา เฮนช์เก อดีตบรรณาธิการบีบีซีภาคภาษาอินโดนีเซีย กล่าวว่า "ฉันได้ดูตอนที่มีการฉายภาพยนตร์เรื่องนี้ครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่ง คนดูแน่นขนัด บรรยากาศไม่ต่างจากคอนเสิร์ตร็อก ฉันรู้สึกได้ว่ากำแพงแห่งความเงียบได้ถูกทำลายลงแล้ว" โปรดิตา ซาบารินี ซึ่งเคยถูกบังคับให้ชมภาพยนตร์เกี่ยวกับเหตุการณ์เดียวกันที่โรงเรียน แต่เป็นการบอกเล่าจากมุมมองของฝ่ายทางการ เล่าว่า มุมมองของเธอเปลี่ยนไปทั้งหมดหลังจากได้ชมภาพยนตร์สารคดีเรื่องนี้ ทหารอินโดนีเซียนายหนึ่งกำลังเฝ้าผู้ต้องสงสัยเป็นคอมมิวนิสต์ ระหว่างการกวาดล้างในอินโดนีเซีย "ตอนที่ดูเรื่อง The Act of Killing และได้เห็นบรรดาผู้กระทำผิดคุยโวโอ้อวด มันกระทบใจฉันมากว่า ทำไมความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของพวกเขาถึงผิดไปได้ขนาดนั้น แล้วฉันก็รู้สึกละอายใจที่ ฉันไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน" เธอกล่าว "ฉันละอายใจที่ฉันไม่เคยคิดตั้งคำถามมากกว่านี้" "ฉันอยากให้ประเทศเริ่มกระบวนการบอกเล่าความจริง เพื่อที่จะได้เกิดความเป็นธรรมบางอย่างขึ้น" ผู้รอดชีวิตจากการสังหารหมู่บางส่วนรู้สึกไม่พอใจที่โอปเพนไฮเมอร์ให้มือสังหารอย่างอันวาร์ ได้พูดอะไรอย่างที่ต้องการในภาพยนตร์สารคดีเรื่องนี้ ขณะที่ภาพยนตร์ที่มีเนื้อหาคล้ายกันเรื่อง The Look of Silence ที่ออกฉายทีหลัง ได้มุ่งเน้นไปที่เรื่องราวของผู้รอดชีวิต ส่วนอีกหลายคนรู้สึกว่า ฆาตกรรมจำแลงเป็นภาพยนตร์ที่ช่วยสร้างความตระหนักรู้ถึงอาชญากรรมอันเกิดจากฝีมือของของชายเหล่านี้ เบดโจ อุนตุง อดีตนักโทษการเมือง กล่าวกับบีบีซีว่า The Act of Killing (ฆาตกรรมจำแลง) เผยให้เห็น "การสังหารอย่างเหี้ยมโหดไร้มนุษยธรรม ด้วยฝีมือ [ของคน] อย่างอันวาร์ คองโก ที่กระทำการโดยได้รับการสนับสนุนจากกองทัพ" เขากล่าวด้วยว่า "น่าผิดหวังที่เขาตายไปก่อนที่จะได้รับโทษทัณฑ์" โอปเพนไฮเมอร์ กล่าวว่า การแสดงในภาพยนตร์เรื่องนี้ของอันวาร์อาจมีผลดีที่ไม่คาดคิดบางอย่างเกิดขึ้น "แม้มันจะไม่ใช่สิ่งที่ตั้งใจ แต่เขาได้ช่วยกระตุ้นให้คนอินโดนีเซียทั้งประเทศได้ครุ่นคิดเรื่องนี้" "เขาได้ช่วยทำให้คนในประเทศพูดถึงเรื่องนี้ เขาได้ช่วยให้โลกได้เห็นว่ามีการเข่นฆ่าเหล่านี้เกิดขึ้นจริง"
|
เนื้อหาบางส่วนในบทความนี้อาจทำให้ผู้อ่านรู้สึกไม่สบายใจ
|
international-47337064
|
https://www.bbc.com/thai/international-47337064
|
ผู้เชี่ยวชาญแนะวิธีนอนหลับอย่างมีคุณภาพ เหมือนนักเตะพรีเมียร์ลีก
|
ผู้เชี่ยวชาญระบุการต้องนอนหลับให้ได้ 8 ชั่วโมงต่อคืนเป็นเพียงความเชื่อเท่านั้น มีคนจำนวนมากเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ที่ตอบว่า "อยาก" เราเคยได้ยินได้ฟังคำแนะนำทั่ว ๆ ไปเรื่องการนอนหลับให้เพียงพอในตอนกลางคืน โดยมีวิธีต่าง ๆ ตั้งแต่การนำโทรทัศน์ออกจากห้องนอน, หาเตียงนอนที่เหมาะสม, งดใช้อุปกรณ์เทคโนโลยีก่อนนอน 1-2 ชั่วโมง แต่ถ้าคุณอยากจะนอนหลับให้ได้อย่างเยี่ยมยอดไปเลยล่ะ จะทำอย่างไร ? นิก ลิตเติ้ลเฮลส์ เป็นผู้ฝึกสอนการนอนหลับ ซึ่งมุ่งเน้นไปที่การฟื้นฟูสภาพร่างกายของนักกีฬาให้ได้มากที่สุด ด้วยการฝึกให้พวกเขานอนหลับอย่างที่ควรจะเป็น เขาทำงานกับสโมสรฟุตบอลขนาดใหญ่หลายแห่ง รวมถึงแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในยุคที่เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เป็นผู้จัดการทีมในปี 1992 และทีมชาติอังกฤษภายใต้การควบคุมของ สเวน-โกรัน อีริกส์สัน นี่คือคำแนะนำของนิกที่จะทำให้คุณนอนหลับได้อย่างนักเตะพรีเมียร์ลีก มีบางช่วงเวลาใน 1 วัน ที่เราถูกออกแบบมาเพื่อให้พักผ่อน 1. ให้นับการนอนหลับเป็นวงจรไม่ใช่ชั่วโมง การต้องนอน 8 ชั่วโมงต่อคืนเป็นความเชื่อ นิกบอกเช่นนั้น การนอนหลับของคนเราเป็นไปตามวงจรนาน 90 นาที ในระหว่างที่เราเปลี่ยนจากการหลับลึกแบบที่ลูกตาไม่เคลื่อนไหวไปมาอย่างรวดเร็ว หรือ Non-Rapid Eye Movement (NREM) มาเป็นการหลับที่มีการเคลื่อนไหวของลูกตาอย่างรวดเร็ว หรือ Rapid Eye Movement (REM) ซึ่งสมองยังคงมีการทำงานอยู่อย่างหนัก เขาบอกว่า สิ่งสำคัญคืออย่าขัดจังหวะการนอนที่ยังไม่ครบวงจร คุณควรแบ่งโครงสร้างการนอนหลับเป็นจำนวนเท่าของ 90 นาที ซึ่งนั่นอาจจะเป็น 7 ชั่วโมงครึ่ง, 6 ชั่วโมง หรือ 4 ชั่วโมงครึ่ง นิกแนะนำว่า ให้ยึดเวลาตื่นนอนประจำ แล้วให้นับย้อนหลัง เช่น ถ้าวางแผนว่าจะตื่นตอน 6.30 น. คุณควรจะนอนที่เวลา 05.30 น., 03.30 น. 02.00 น 00.30 น. หรือ 23.00 น. 2. วางแผนการนอนต่อสัปดาห์ ไม่ใช่ต่อคืน แทนที่จะกำหนดจำนวนชั่วโมงการนอนต่อคืน นิก เชื่อว่าควรกำหนดการนอนหลับให้ได้ตามวงจรในแต่ละวันและสัปดาห์ มากกว่า นิกกล่าวว่า "ที่เราต้องการคือนอนให้ได้ 35 วงจร ใน 7 วัน หรือประมาณ 5 วงจรต่อวัน" ถ้าคุณเข้านอนดึก ก็ให้เพิ่มวงจรการนอนในคืนถัดไป หรือพยายามเข้านอนให้เร็วขึ้นในวันนั้น เขากล่าวว่า เราควรมองล่วงหน้าสำหรับสัปดาห์ถัดไป และวางแผนวงจรการพักผ่อนตามตารางการทำงานและเวลา เข้าสังคมของเรา แทนที่จะหลับให้ได้ตามจำนวนชั่วโมงต่อคืน นิก เชื่อว่าควรหลับตามวงจรในจำนวนที่เหมาะสมต่อวันและต่อสัปดาห์ 3. นอนหลับสั้นลง แต่บ่อยขึ้น นิกบอกว่า ก่อนที่มนุษย์จะประดิษฐ์หลอดไฟฟ้าได้ คนเรานอนหลับกันเป็นช่วง ๆ หลายช่วง ไม่ต่างจากการนอนหลับของทารกที่ "หลับเป็นช่วงสั้น ๆ แต่บ่อยครั้ง" เขาบอกว่า ความที่ใน 1 วันมี 24 ชั่วโมง "มนุษย์เราจึงถูกผูกติดกับรอบวันอย่างเลี่ยงไม่ได้ " แต่จริง ๆ แล้วยังมีอีกหลายช่วงเวลาในรอบวัน ที่ร่างกายของคนเราถูกกำหนดมาให้พักผ่อน ซึ่งกลางวันเป็น "ช่วงเวลาการนอนหลับตามธรรมชาติครั้งที่ 2" และอีกครั้งอยู่ที่เวลาประมาณ 17.00-19.00 น. นักกีฬาใช้วิธีพักผ่อนตามช่วงเวลาธรรมชาติในลักษณะนี้ช่วยในการฟื้นฟูร่างกาย นิกเชื่อว่า คนเราสามารถนอนหลับได้อย่างมีความสุขด้วยการแบ่งการนอนออกเป็นสองช่วง คือ หลับเป็นช่วงเวลาสั้นกว่าในตอนกลางคืน และไปหลับอีกรอบในตอนกลางวัน หรือไม่ก็แบ่งเป็น 3 ช่วงคือ ช่วงกลางคืน, กลางวัน และช่วงหัวค่ำ 4. คิดถึง "การฟื้นฟูร่างกายในช่วงเวลาที่กำหนด" แทนที่จะเป็นการงีบหลับ ที่สำคัญคือ ช่วงเวลาของการพักผ่อน ไม่จำเป็นต้องเป็นการนอนหลับ นิก อยากให้เราเลิกคิดเรื่อง งีบหลับ และให้หันมาคิดเรื่อง "การฟื้นฟูร่างกายในช่วงเวลาที่กำหนด" (controlled recovery periods) หรือ CRP "CRP ไม่ได้เกี่ยวกับการพยายามนอนให้หลับ" เขากล่าว มันคือการจัดสรรเวลา 30 นาที (1 ใน 3 ของวงจร 90 นาที) "ให้เวลาตัวเองได้หยุดพัก นั่นหมายความว่าคุณจะทำมันที่ไหนก็ได้" ผู้ฝึกสอนการนอนหลับ กล่าวว่า คุณสามารถใช้เสียง, ใช้การทำสมาธิ, การกำหนดจิต, ใช้ผ้าขนหนูคลุมศีรษะ, ไปอยู่ที่เงียบ ๆ, นั่งอยู่ในห้องน้ำ หรือนั่งอยู่ในรถ แต่ไม่จำเป็นต้องหลับ การทำ CRP ถือเป็นส่วนหนึ่งของวงจรการหลับรวม ประจำสัปดาห์ได้ สโมสรฟุตบอลหลายแห่งเห็นความสำคัญของการพักผ่อนและใส่ช่วงเวลาของการ ฟื้นฟูร่างกายไว้ในตารางฝึกซ้อมของนักฟุตบอลด้วย ช่วงเวลาที่คุณกำหนดได้ ไม่จำเป็นต้องซับซ้อนขนาดนั้น 5. ทำกิจกรรมหลังตื่นนอนให้เป็นกิจวัตร นิกบอกว่า ช่วงเวลาที่สำคัญไม่ใช่ช่วง 90 นาทีก่อนหลับ แต่เป็นช่วง 90 นาทีหลังตื่น "จัดการเวลาช่วงนี้ในตอนเช้าให้ดี ทุกอย่างที่ทำตั้งแต่ตื่น จะมีผลต่อคุณภาพในการฟื้นฟูร่างกาย" ดังนั้นคุณควรกำหนดกิจวัตรที่ต้องทำหลังตื่นนอนให้ชัดเจน รวมถึงการยังไม่เริ่มใช้อุปกรณ์เทคโนโลยี แต่ให้ดื่มน้ำ, รับประทานอาหาร, ออกกำลังกายเบา ๆ และขับถ่าย 6. ใช้อุปกรณ์บำบัดด้วยแสง ถ้าคุณเป็นคนตื่นยาก นิกแนะนำให้ใช้อุปกรณ์บำบัดด้วยแสงในการปลุก ซึ่งจะจำลองแสงเหมือนช่วงอาทิตย์ขึ้น และช่วงอาทิตย์ตกในห้องที่มืด แสงสว่างและความมืดจะช่วยกระตุ้นการสลับการทำงานของเมลาโทนินซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ช่วยในการนอนหลับ กับ เซโรโทนินซึ่งช่วยให้ร่างกายตื่นตัว ปัจจุบันมีธุรกิจบางแห่งเริ่มให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ "และมีหลายบริษัทที่วางระบบแสงในตัวอาคารให้เป็นไปตามจังหวะของวัน" เตียงยิ่งใหญ่ ยิ่งดี 7. นอนบนเตียงที่ใหญ่ขึ้น การปรับเปลี่ยนวิธีการนอน และสถานที่นอน เป็นการเปลี่ยนแปลงง่าย ๆ ที่ก่อให้เกิดความแตกต่างได้อย่างมาก "เตียงขนาดซูเปอร์คิง คือเตียงที่มีที่พอสำหรับผู้ใหญ่ 2 คนเท่านั้น" นิกกล่าว "ควรจะเรียกมันว่า เป็นขนาดมาตรฐานสำหรับผู้ใหญ่ 2 คนมากกว่า" เขาเห็นว่าขนาดของเตียงมีความสำคัญ ดังนั้นควรปรับเตียงให้ใหญ่ขึ้นเท่าที่ห้องนอนจะเอื้ออำนวย 8. นอนในท่าเหมือนทารกในครรภ์ และใช้จมูกหายใจ "ท่านอนที่เหมาะสมที่สุดคือท่าทารกในครรภ์ หันไปในด้านตรงข้ามกับด้านที่ถนัด" นิกกล่าว โดยการนอนไม่จำเป็นต้องใช้หมอน สุดท้ายเขาขอให้เราฝึกใช้ "จมูกหายใจ" เขาบอกว่า การหายใจทางปากเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้การนอนถูกรบกวน และยังนอนอย่างไม่ได้คุณภาพด้วย
|
อยากนอนหลับให้ดีขึ้นไหม ?
|
international-55707352
|
https://www.bbc.com/thai/international-55707352
|
จะเกิดอะไรขึ้นหากคุณไม่ได้อาบน้ำนาน 5 ปี
|
นพ. ฮัมบลิน เริ่มทดลองไม่อาบน้ำมาตั้งแต่ปี 2015 นี่คือคำตอบของ นพ. เจมส์ ฮัมบลิน เมื่อถูกถามถึงการตัดสินใจเลิกอาบน้ำเมื่อราว 5 ปีที่แล้ว "คุณจะชินกับมัน และรู้สึกเป็นปกติ" เขาบอกกับทีมข่าวบีบีซี นพ. ฮัมบลิน วัย 37 ปี เป็นอาจารย์ที่คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยเยล ในสหรัฐฯ และเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ป้องกัน (preventive medicine) เขายังเขียนบทความให้นิตยสาร The Atlantic ของสหรัฐฯ ที่ตีพิมพ์เมื่อปี 2016 โดยมีชื่อบทความว่า "ผมเลิกอาบน้ำ และชีวิตยังดำเนินต่อไป" "เราใช้เวลา 2 ปีเต็มในชั่วชีวิตเพื่ออาบน้ำ นั่นทำให้เราต้องเสียเวลา (เสียเงินและน้ำ) กันไปเท่าไหร่" เขาตั้งคำถามในบทความ ในปี 2020 นพ. ฮัมบลิน เล่าถึงประสบการณ์การทดลองไม่อาบน้ำนาน 5 ปี อย่างละเอียดไว้ในหนังสือที่ชื่อ Clean: The New Science of Skin and the Beauty of Doing Less การอาบน้ำทุกวันและการใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวมีความจำเป็นแค่ไหน แม้จะเลิกอาบน้ำ แต่ นพ. ฮัมบลิน ยืนกรานหนักแน่นว่าเราไม่ควรเลิกล้างมือด้วยสบู่และเลิกแปรงฟัน โดยเขาเชื่อว่าเราไม่จำเป็นต้องชำระล้างส่วนอื่น ๆ ของร่างกายบ่อยเท่ากับสองส่วนนี้ การทดลอง นพ. ฮัมบลิน เล่าว่า การไม่อาบน้ำมานาน 5 ปี เริ่มมาจากความสงสัยว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากไม่ได้ใช้น้ำชำระล้างร่างกายเป็นเวลานาน ๆ เขาจึงตัดสินใจเริ่มทำการทดลองกับตัวเอง "ผมอยากเข้าใจว่าจะเกิดอะไรขึ้น" แพทย์หนุ่มชาวอเมริกันเล่า "ผมรู้จักหลายคนที่ไม่ค่อยอาบน้ำ ผมรู้ว่ามันเป็นไปได้ แต่ผมอยากลองด้วยตัวเองเพื่อดูว่ามันจะส่งผลอย่างไร" แล้วเกิดอะไรขึ้นบ้างหลังจากเขาไม่ได้อาบน้ำมาตั้งแต่ปี 2015 "เมื่อเวลาผ่านไป ร่างกายคุณจะค่อย ๆ ชินกับมัน (การไม่อาบน้ำ) ดังนั้นมันจะไม่ค่อยส่งกลิ่นเหม็นมากเวลาที่คุณไม่ได้ใช้ผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายและสบู่" เขากล่าว "และผิวหนังของคุณจะไม่มันเยิ้ม" นพ. ฮัมบลิน ชี้ว่า คนเราอาจอาบน้ำกันบ่อยเกินไป และอาจจะเป็นประโยชน์หากลดการอาบน้ำลง "หลายคนใช้ยาสระผมเพื่อล้างน้ำมันจากเส้นผม แล้วก็ใช้ครีมนวดผมเพื่อเติมน้ำมันสังเคราะห์เข้าไป ถ้าคุณทำลายวงจรนี้ได้ เส้นผมของคุณจะกลับคืนสู่สภาพที่เคยเป็นก่อนที่คุณจะเริ่มใช้ผลิตภัณฑ์พวกนี้" นพ. ฮัมบลิน กล่าว พร้อมกับอธิบายว่านี่เป็นกระบวนการทดลองอย่างค่อยเป็นค่อยไป เขาเริ่มต้นจากการใช้สบู่ ยาสระผม และผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายในปริมาณน้อยลง รวมทั้งลดความถี่ในการอาบน้ำลง โดยแทนที่จะอาบน้ำทุกวัน เขาเปลี่ยนไปอาบน้ำสามวันครั้ง ก่อนที่จะหยุดอาบน้ำไปอย่างสิ้นเชิง "มันมีช่วงที่ผมอยากอาบน้ำ เพราะผมคิดถึงมัน ผมตัวเหม็นและรู้สึกตัว เหนียวเหนอะหนะ" นพ. ฮัมบลิน เล่า "แต่ผมเริ่มมีความรู้สึกแบบนี้ลดลงเรื่อย ๆ" เขาอธิบายว่าเมื่อเขาใช้น้ำและผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดร่างกายลดลง เขาก็เริ่มมีความต้องการใช้มันลดลงเรื่อย ๆ นพ. ฮัมบลิน ชี้ว่า ผู้คนในยุคปัจจุบันใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหนังมากเกินความจำเป็นเพราะมีความเชื่อว่ามันจะทำให้เราสุขภาพดีขึ้น กลิ่นตัวและแบคทีเรีย แพทย์หนุ่มผู้นี้อธิบายว่า กลิ่นตัวของคนเราเกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่อาศัยอยู่บนผิวหนังของเราและดำรงชีพด้วยการกินเหงื่อและสารคัดหลั่งที่ร่างกายขับออกมา นพ. ฮัมบลิน ชี้ว่า การใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่ผิวหนังและผมทุกวันจะไปรบกวนความสมดุลระหว่างน้ำมันบนผิวหนังและแบคทีเรีย "เวลาที่คุณอาบน้ำมากเกินไป คุณจะทำลายระบบนิเวศนี้" เขาเขียนไว้ในบทความเมื่อปี 2016 "พวกมัน (แบคทีเรีย) จะเพิ่มปริมาณอย่างรวดเร็ว ซึ่งส่งผลดีต่อจุลชีพชนิดที่ทำให้เกิดกลิ่นไม่พึงประสงค์" นพ. ฮัมบลิน บอกว่า การไม่อาบน้ำจะกระตุ้นให้เกิดกระบวนการควบคุมที่ทำให้ระบบนิเวศบนผิวหนังเข้าสู่ภาวะสมดุลและทำให้เราหยุดส่งกลิ่นไม่พึงประสงค์ "ตัวคุณจะไม่ได้มีกลิ่นหอมแบบน้ำดอกกุหลาบหรือสเปรย์ฉีดตัว แต่คุณก็จะไม่มีกลิ่นตัวที่ไม่พึงประสงค์เช่นกัน" นพ. ฮัมบลิน ชี้ว่า การใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่ผิวหนังและผมทุกวันจะไปรบกวนความสมดุลระหว่างน้ำมันบนผิวหนังและแบคทีเรีย คำนิยามของ "กลิ่น" ในการให้สัมภาษณ์กับบีบีซี นพ. ฮัมบลิน ถูกถามว่าเขากังวลหรือไม่ว่าเขาอาจ "ตัวเหม็น" แต่ผู้คนรอบข้างต่างสุภาพเกินกว่าที่จะบอกให้เขารู้ตัว แพทย์หนุ่มผู้นี้เล่าว่าเขาได้ขอให้เพื่อนฝูง เพื่อนร่วมงาน และคนรู้จัก บอกกับเขาตรง ๆ ถ้าเขามีกลิ่นกายไม่พึงประสงค์ เขาบอกว่าตัวเองได้ไปถึงจุดที่ร่างกายไม่ผลิตกลิ่นที่คนทั่วไปรู้สึกไม่พึงประสงค์อีกต่อไป อันที่จริง นพ. ฮัมบลิน บอกว่า ภรรยาชอบ "กลิ่นใหม่" ของเขา และมันก็ไม่ใช่กลิ่นที่แย่สำหรับคนอื่น ๆ ด้วย เขาอธิบายว่า "ในประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่ของมนุษย์ เรามักมีกลิ่นที่เป็นส่วนหนึ่งในการสื่อสารกับผู้อื่น" แต่กลิ่นแบบนี้มักถูกขจัดออกไปจากด้านชีววิทยาเชิงสังคมของเรา "ดังนั้นเราจึงคาดหวังว่าคนอื่นจะต้องไม่มีกลิ่นอะไรเลย หรือมีกลิ่นแบบน้ำหอม โคโลญ หรือสบู่... หากผิดไปจากนั้นก็จะถือว่าพวกเขาตัวเหม็น หากสัมผัสได้ถึงกลิ่นกายมนุษย์ ก็จะถือเป็นเรื่องเชิงลบ" แล้ว นพ. ฮัมบลิน ไม่ได้อาบน้ำชำระล้างเนื้อตัวโดยสิ้นเชิงหรือไม่ เขาบอกว่า เขายังคงล้าง "คราบสกปรกที่มองเห็นได้" หรือหลังจากการออกกำลังกาย เขาบอกว่าเรายังสามารถขจัดความมันและเหงื่อไคลตามผิวหนังได้ด้วยการ "ใช้มือขัดถูและหวีผมเป็นครั้งคราว" นพ. ฮัมบลิน บอกว่า สิ่งสำคัญคือการคำนึงถึงการดูแลสุขภาพผิวจาก "ภายในสู่ภายนอก" วิทยาศาสตร์กับการตลาด การตัดสินใจเลิกอาบน้ำของ นพ. ฮัมบลิน ไม่ใช่แค่การทดลอง เขาระบุไว้ในหนังสือเกี่ยวกับกระบวนการวิจัยครั้งนี้เอาไว้ว่า ได้มีการพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญหลายคน อาทิ แพทย์ผิวหนัง ผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิคุ้มกัน ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคภูมิแพ้ หรือแม้แต่นักเทววิทยา หนังสือของ นพ. ฮัมบลิน ยังวิพากษ์วิจารณ์อุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มุ่งขายผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดและสบู่ที่ใช้เฉพาะจุด โดยเขาชี้ว่า แม้บางผลิตภัณฑ์อาจมีประโยชน์ แต่สิ่งสำคัญคือการคำนึงถึงการดูแลสุขภาพผิวจาก "ภายในสู่ภายนอก" ซึ่งหมายความว่า สุขภาพของผิวหนังเป็นเครื่องสะท้อนถึงรูปแบบการดำเนินชีวิตและสิ่งที่เกิดขึ้นภายในร่างกายเรา เขายังชี้ว่า ผู้คนในยุคปัจจุบันใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหนังมากเกินความจำเป็นเพราะมีความเชื่อว่ามันจะทำให้เราสุขภาพดีขึ้น โดยชี้ว่า คนส่วนใหญ่ไม่มีน้ำประปาใช้จนกระทั่งช่วง 100 ปีที่ผ่านมา "บางครั้งพวกเขาจะไปที่แม่น้ำหรือทะเลสาบ แต่มันไม่ใช่สิ่งที่ทำกันทุกวัน" นพ. ฮัมบลิน กล่าวสรุปในหนังสือว่า เราอาจอาบน้ำกันบ่อยเกินไป และอาจจะเป็นประโยชน์หากลดการอาบน้ำลง หนึ่งในสาเหตุที่เขากล่าวเช่นนี้เพราะปัจจุบันเรายังไม่มีความรู้ความเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อเราไปเปลี่ยนแปลงประชากรจุลชีพที่อยู่บนผิวหนัง "แบคทีเรียบนผิวหนังมีความสำคัญต่อรูปลักษณ์และสุขภาพของผิวหนังพอ ๆ กับแบคทีเรียที่อยู่ในระบบย่อยอาหารของเรา" เขากล่าว "แบคทีเรียบนผิวหนังมีความสำคัญต่อรูปลักษณ์และสุขภาพของผิวหนังพอ ๆ กับแบคทีเรียที่อยู่ในระบบย่อยอาหารของเรา" คำแนะนำสำหรับคนที่อยากลองทำตาม นพ. ฮัมบลิน บอกว่า คนเรามีมุมมองเรื่องความสะอาดที่แตกต่างกัน และเขาเชื่อว่าการอาบน้ำเป็นประจำอาจไม่ได้ดีอย่างที่คนทั่วไปเชื่อกัน "ผมคงพูดว่ามันเป็นเรื่องของความพึงพอใจ ไม่ใช่เรื่องจำเป็นทางการแพทย์" "แต่ผมก็ไม่ได้บอกให้ผู้คนเลิกอาบน้ำนะ" นพ. ฮัมบลิน แนะนำคนที่อยากลองทำตามให้เริ่มต้นทีละน้อยอย่างค่อยเป็นค่อยไป เช่น ใช้สบู่น้อยลง นพ. ฮัมบลิน บอกว่าเขาไม่ต้องการชี้นำว่าอะไรผิดอะไรถูก หรือบอกว่าการทำแบบเขาคือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับทุกคน แต่ชี้ว่ามันใช้ได้ผลดีสำหรับเขา "สำหรับคนที่เคยมีปัญหาโรคผิวหนัง หรืออยากลองทำตาม ผมจะแนะนำให้เริ่มต้นทีละน้อยอย่างค่อยเป็นค่อยไป แล้วค่อยปรับขึ้นไปจนถึงจุดที่คุณรู้สึกดี" "ยกตัวอย่างเช่น เริ่มใช้ยาสระผมในปริมาณน้อยลง หรือใช้ยาระงับกลิ่นกายที่มีกลิ่นอ่อนลง... หรือเริ่มด้วยการอาบน้ำที่อุณหภูมิเย็นลง อาบน้ำในเวลาที่สั้นและถี่น้อยลง และใช้สบู่น้อยลง" "มันไม่จำเป็นต้องทำอะไรที่มากเกินไป"
|
"ผมรู้สึกสบายดี"
|
international-43941225
|
https://www.bbc.com/thai/international-43941225
|
ประชุมสุดยอดเกาหลี: การพบปะครั้งประวัติศาสตร์จะนำไปสู่สันติภาพที่ยั่งยืน?
|
การพบกันระหว่าง นายคิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือ และ นายมุน แจ อิน ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ เมื่อวันที่ 27 เม.ย. เป็นเหตุการณ์ครั้งประวัติศาสตร์ แต่การข้ามพรมแดน จับมือ และสวมกอด ของผู้นำทั้งสองจะนำไปสู่สันติภาพที่ยั่งยืนบนคาบสมุทรเกาหลีได้หรือไม่? ดร. จอห์น นิลส์สัน-ไรท์ จากแชทแฮมเฮาส์ และมหาวิทยาลัยแคมบริดจ์ วิเคราะห์ 4 ประเด็นที่น่าจับตามองดังต่อไปนี้ ไม่ว่า "ปฏิญญาปันมุนจอม เพื่อสันติภาพ ความรุ่งเรือง และการรวมชาติบนคาบสมุทรเกาหลี" ("Panmunjom Declaration for Peace, Prosperity and Unification on the Korean Peninsula) ซึ่งมีจุดมุ่งหมายยุติสงครามเกาหลีอย่างเป็นทางการ จะนำไปสู่สันติภาพที่ยั่งยืนได้หรือไม่ อย่างน้อย การพบปะของผู้นำทั้งสองเป็นความประสบความสำเร็จครั้งสำคัญในเชิงภาพลักษณ์ของการปรองดองของสองชาติเกาหลี และเป็นการเพิ่มความหวังให้สาธารณชนเกาหลีใต้ การก้าวข้ามสู่ดินแดนที่โดยทางทฤษฎีแล้วเป็นฝ่ายศัตรูแสดงให้เห็นว่านายคิมนั้นมีความมั่นใจและตระหนักรู้ถึงบทบาทของเขาบนเวทีการเมือง และการที่เขาชักชวนนายมุนให้ก้าวข้ามไปยังดินแดนเกาหลีเหนือบ้างในทันทีก็เป็นการย้ำให้รู้ว่าผู้นำและชาติทั้งสองเท่าเทียมกัน ท่าทีที่เป็นมิตรต่อกันตลอดทั้งวันนั้น ไม่ว่าจะเป็นรอยยิ้ม การสวมกอด และการนั่งคุยกัน เป็นการสร้างเรื่องเล่าขึ้นใหม่ที่บอกว่าทั้งสองชาติเกาหลีจะเป็นผู้กำหนดทิศทางอนาคตของพวกเขาเอง ตรงกันข้ามกับการเข้ามามีส่วนร่วมของชาติมหาอำนาจต่าง ๆ ในช่วงเวลาที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นจีน ญี่ปุ่น หรือ สหรัฐฯ และสหภาพโซเวียต ในยุคสงครามเย็น ปฏิญญาที่ "ลงรายละเอียด" กว่าเดิม เนื้อหาในการแถลงการณ์ร่วมในครั้งนี้เคยปรากฎในการประชุมสุดยอดครั้งก่อน ๆ ของทั้งสองประเทศ ไม่ว่าจะเป็นในปี 2000 หรือ ปี 2007 ซึ่งมุ่งให้ทั้งสองชาติมีการเจรจาแลกเปลี่ยน มีการหารือกันในทางทหาร มีการร่วมมือทางเศรษฐกิจ รวมถึงขยับขยายการติดต่อระหว่างประชาชนของสองประเทศให้มากขึ้น อย่างไรก็ตาม การแถลงการณ์เมื่อวันที่ 27 เม.ย. มีการลงละเอียดที่ชี้ชัดไปกว่าเก่า ตัวอย่างเช่น จะให้ "ยุติการกระทำที่เป็นปฏิปักษ์ต่อกันทุกอย่างอย่างสิ้นเชิงในทุกเขตแดน รวมถึง ทางภาคพื้นดิน ทางอากาศ และทางทะเล" นอกจากนี้ ยังมีการระบุลำดับวันที่ที่ทั้งสองจะเริ่มดำเนินการกระบวนการสร้างความเชื่อมั่นต่อกันและกัน ตัวอย่างเช่น ให้หยุด "ยุติการกระทำที่เป็นปฏิปักษ์ทั้งหมด" ในบริเวณใกล้เขตปลอดทหารตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค. เป็นต้นไป ให้มีการพูดคุยทางการทหารในเดือน พ.ค. ให้ทั้งสองประเทศเข้าร่วมแข่งขันเอเชียนเกมส์ปี 2018 ร่วมกัน ให้กลับมาจัดงานรวมญาติสำหรับชาวเกาหลีที่พลัดพรากอีกครั้งภายในวันที่ 15 ส.ค. และที่น่าจะสำคัญที่สุดคือ ให้นายมุนได้เดินทางไปเยือนเกาหลีเหนือภายในฤดูใบไม้ร่วงปีนี้ ดึงชาติอื่นเข้าร่วมและความได้เปรียบเรื่องเวลา การแถลงการณ์ร่วมในครั้งนี้ยังได้มีการพูดถึงการดึงชาติอื่นอย่างจีนและสหรัฐฯ เข้ามาร่วมพูดคุยด้วย และเหตุผลของการดึง "ตัวละคร" ภายนอกมาเข้าร่วมในแผนการพูดคุยในประเด็นสำคัญ ๆ คือการลดความเสี่ยงการเกิดความขัดแย้งบนคาบสมุทรเกาหลี ซึ่งเป็นสิ่งที่ทั้งสองประเทศต้องการหลีกเลี่ยง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาถึงวลี "ไฟและความพิโรธโกรธเกรี้ยว" ที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เคยกล่าว นายมุน ยังได้เปรียบในเรื่องของเวลาอีกด้วยหากเราพิจารณาถึงความสัมพันธ์อันดีของเขาและนายคิมที่เริ่มต้นขณะที่เขาเพิ่งเริ่มรับตำแหน่งประธานาธิบดีได้ไม่นานและมีโอกาสที่จะได้เจอผู้นำเกาหลีเหนือได้อีกหลายครั้ง ต่างจากผู้นำเกาหลีใต้คนที่ผ่านมาอย่างคิม แด จุง และ โนห์ มู เฮียน กับการประชุมสุดยอดเมื่อปี 2000 และ 2007 ที่มีขึ้นขณะผู้นำทั้งสองเริ่มรับตำแหน่งไปนานแล้ว รอดูสหรัฐฯ แม้เราจะเน้นย้ำว่าชาติเกาหลีทั้งสองมีส่วนในการกำหนดอนาคตของตัวเองแค่ไหน แต่ก็ปฏิเสธความสำคัญของสหรัฐฯ ไม่ได้ และการประชุมสุดยอดระหว่างนายทรัมป์และนายคิม ในเดือน พ.ค. หรือ ต้นเดือน มิ.ย. ถือเป็นปัจจัยสำคัญมากที่จะชี้วัดว่าเกาหลีเหนือหนักแน่นที่จะสร้างสันติภาพแค่ไหน และการบอกว่าจะ "ปลดอาวุธนิวเคลียร์" ของเกาหลีเหนือ ก็มีแนวโน้มที่จะต่างจากคำเรียกร้องของสหรัฐฯ ให้ ปลดอาวุธนิวเคลียร์ "อย่างสิ้นเชิง อย่างไม่อาจย้อนคืนได้ และสามารถตรวจสอบได้" อยู่มาก ด้วยความเฉลียวฉลาด นายมุนยอมให้นายทรัมป์เป็นผู้ได้รับความดีความชอบกับความสำเร็จบนคาบสมุทรเกาหลีในครั้งนี้หลายต่อหลายครั้ง ซึ่งนายมุนอาจจะเห็นว่าการทำให้นายทรัมป์พออกพอในตัวเองน่าจะเป็นวิธีลดความเสี่ยงที่จะเกิดสงครามได้ดีที่สุด และทำให้นายทรัมป์ยังร่วมกระบวนการเจรจากับเกาหลีเหนือต่อไป
|
ภาพลักษณ์ปรองดอง
|
thailand-55473720
|
https://www.bbc.com/thai/thailand-55473720
|
วันเฉลิม: จากปีแห่งความเศร้าสู่ปีแห่งการสู้เพื่อผู้ลี้ภัยการเมืองของสิตานัน สัตย์ศักดิ์สิทธิ์
|
สิตานัน สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ ตอบคำถามที่ถูกถามมาแล้วหลายครั้งในรอบหลายเดือนที่ผ่านมา—คิดว่าจะเจอน้องชายที่หายตัวไปหรือไม่ 4 ม.ค. 2564 ครบรอบ 7 เดือนที่วันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ ผู้ลี้ภัยทางการเมืองวัย 37 ปี หายตัวไปจากหน้าคอนโดมิเนียมในกรุงพนมเปญ ผู้เป็นพี่สาวยังมั่นใจว่าจะได้พบ "ต้าร์"... ไม่ว่าเขาจะยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ ไม่เพียงเชื่อมั่นว่าจะพบน้องชาย แต่สิตานันยังมั่นใจด้วยว่าเธอจะสามารถเปิดโฉมหน้าผู้ก่อเหตุอุ้มหายวันเฉลิมได้ด้วย ความมั่นใจนี้เกิดขึ้นหลังจากที่เธอเดินทางไปให้ข้อมูลและหลักฐานต่อศาลไต่สวนประจำศาลแขวงกรุงพนมเปญ และลงไปสืบสวนหาหลักฐานบางอย่างด้วยตัวเองอยู่นานนับเดือน หากปี 2563 เป็นปีแห่งความเศร้าที่น้องชายต่างมารดาซึ่งเธอรักและสนิทมากที่สุดถูกอุ้มหาย ปี 2564 ของสิตานันจะเป็นปีแห่งการสู้เพื่อทวงคืนความยุติธรรมให้วันเฉลิม รวมถึงผู้ลี้ภัยทางการเมืองคนอื่น ๆ ด้วย แม้จะรู้ดีว่าการต่อสู้ครั้งนี้จะมีความเสี่ยงอะไรบ้าง เธอบอกกับบีบีซีไทยหลังจากเดินทางกลับจากกัมพูชาเมื่อต้นเดือน ธ.ค. "เราเลยจุดกลัวมาแล้ว เราเลือกที่จะเดินทางนี้แล้ว ตอนนี้คนที่จะต้องกลัวไม่ใช่เรา คนกระทำความผิดต่างหากที่ต้องกลัว" สิตานันกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น 2563 ครึ่งปีแรกของปี 2563 สิตานัน วัย 48 ปี ยังสนุกกับการทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ กิจการไปได้ดี ไม่มีเรื่องอะไรให้กังวล จริงอยู่ว่าน้องชายยังลี้ภัยอยู่ในกัมพูชา แต่การได้คุยกันผ่านแอปพลิเคชั่นสนทนาเกือบทุกวันทำให้เธอสบายใจและคิดว่าเขาปลอดภัยดี สองพี่น้องยังคุยกันว่าสถานการณ์โควิดดีขึ้นเมื่อไหร่ก็จะนัดไปเที่ยวกัน ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล ยืนถือป้ายเรียกร้องความเป็นธรรมให้วันเฉลิมเมื่อวันที่ 5 มิ.ย. หลังจากนั้นไม่นานก็เกิดการชุมนุมใหญ่เรียกร้องประชาธิปไตยและปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ แต่แล้วเย็นวันที่ 4 มิ.ย. ทุกอย่างในชีวิตก็เปลี่ยนไป เมื่อได้รับแจ้งจากเพื่อนของน้องว่าน้องชายของเธอถูกชายกลุ่มหนึ่งลักพาตัวขึ้นรถหายไป สิตานันบอกว่าเธอเริ่มตามหาน้องตั้งแต่วันนั้น วันที่ 5 มิ.ย. นักศึกษาและนักสิทธิมนุษยชนราว 50 คน รวมตัวกันที่สกายวอล์ก แยกปทุมวัน หนึ่งในนั้นคือ ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือ "รุ้ง" ซึ่งถือป้ายที่เขียนข้อความว่า "คนต้องไม่ตายเพราะพูดความจริง" สิตานันไม่รู้จักนักกิจกรรมเหล่านั้นสักคน และไม่รู้ด้วยว่าทำไมเขาและเธอถึงออกมาเรียกร้องความยุติธรรมให้น้องชายของเธอ ไม่ใช่แค่ครั้งเดียว แต่หลายครั้ง ประเด็นการหายตัวไปของวันเฉลิมและผู้ลี้ภัยทางการเมืองอีกอย่างน้อย 8 ราย ที่สูญหายและเสียชีวิตหลังรัฐประหารปี 2557 กลายเป็นหนึ่งในชนวนเหตุที่ทำให้การชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตย-ขับไล่รัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา เกิดขึ้นอีกครั้งหลังจากการชุมนุมในช่วงต้นปีหยุดไปเนื่องจากการระบาดของโควิด-19 จากแค่แปลกใจกลายเป็นความอดรนทนไม่ได้ เมื่อนักกิจกรรมหลายคนถูกดำเนินคดีจากการออกมาเรียกร้องความเป็นธรรมให้น้องชายของเธอ "เรามาคิดว่าทุกคนโดนคดีเพื่อเรา ทุกคนเสี่ยงเพื่อเรา เราจะไม่ช่วยตัวเองเหรอ เราอยากให้ทุกคนพูดเรื่องวันเฉลิม แต่ทุกคนก็มีเรื่องที่เขาต้องพูด แต่ทำไมเราไม่ลุกขึ้นมาพูดเรื่องของตัวเอง ทำไมเราต้องให้คนเหล่านั้นไปเสี่ยงกับการพูดเรื่องของเรา ก็เลยคิดว่าต่อจากนี้ เราต้องลุกขึ้นมาพูดเรื่องของเรา" สิตานันเล่าถึงจุดเปลี่ยนที่ทำให้เธอ "เปิดหน้าสู้" ชีวิตของสิตานันเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง จากนักธุรกิจอสังหาฯ มาเป็นนักต่อสู้เพื่อสิทธิของผู้ลี้ภัยการเมือง เธอพักการทำธุรกิจไว้ก่อน แล้วใช้เงินเก็บทั้งหมดที่มีมาเป็นทุนในการตามหาน้องชายและค้นหาความจริงว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขากันแน่ ชีวิตของเธอเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง จากนักธุรกิจอสังหาฯ มาเป็นนักต่อสู้เพื่อสิทธิของผู้ลี้ภัยการเมือง เธอมีเพื่อนใหม่เป็นสมาชิกในครอบครัวของผู้ลี้ภัย และมี "น้อง ๆ" เพิ่มมาอีกหลายคน ทั้งรุ้ง (ปนัสยา) เพนกวิ้น (พริษฐ์ ชิวารักษ์) และไมค์ (ภาณุพงศ์ จาดนอก) ควบคู่ไปกับการรณรงค์เรียกร้องความเป็นธรรมและสิทธิของผู้ลี้ภัยทางการเมืองต่อสาธารณะ สิตานัน ซึ่งได้รับความช่วยเหลือด้านกฎหมายจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนและมูลนิธิผสานวัฒนธรรม ได้จ้างทนายความชาวกัมพูชาเพื่อเดินเรื่องขอให้ทางการกัมพูชาสืบสวนการหายตัวไปของนายวันเฉลิม ในที่สุดศาลไต่สวน (Investigative Judge) ประจำศาลแขวงกรุงพนมเปญ ก็ได้ส่งหมายเรียกเธอไปให้ข้อมูลเกี่ยวกับ "การควบคุมตัวหรือการกักขังโดยผิดกฎหมาย การครอบครองอาวุธที่เกิดขึ้นในบริเวณอพาร์ตเมนต์ Mekong Gardens ที่ตั้งอยู่ใกล้แม่น้ำแม่โขง อำเภอ Chroy Changva ชุมชน Chroy Changva กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา" สิตานันและทีมทนายใช้เวลาและพบอุปสรรคมากมายกว่าจะได้วีซ่าเข้าประเทศกัมพูชาด้วยความช่วยเหลือของกรมการกงสุล และสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงพนมเปญ มูลนิธิผสานวัฒนธรรมรายงานว่าสิตานันให้การต่อศาลว่า ขณะเกิดเหตุตนกำลังพูดคุยกับวันเฉลิมทางแอปพลิเคชั่นไลน์ ได้ยินเสียงดังเหมือนสิ่งของกระแทกกันและได้ยินวันเฉลิมพูดว่า "หายใจไม่ออก" หลายครั้ง และเสียงผู้ชายหลายคนพูดกันเป็นภาษาเขมรประมาณ 16 นาที หลังจากนั้นสัญญาณได้ตัดไป เธอพยายามโทรกลับไปหาวันเฉลิมอีกหลายครั้งแต่ไม่สามารถติดต่อได้อีก "หลักฐานเหล่านี้ดิฉันเชื่อมั่นว่าเพียงพอสำหรับตุลาการผู้ไต่สวนคดีที่จะสั่งให้เจ้าหน้าที่กัมพูชาดำเนินการให้มีการสืบสวนสอบสวนเพิ่มเติมต่อไปได้ว่า ได้เกิดอะไรขึ้นกับวันเฉลิมในวันที่ถูกคนร้ายอุ้มหายไป มีรายละเอียดอย่างไร กลุ่มชายในชุดดำที่มีอาวุธเป็นใคร และใครอยู่เบื้องหลังการก่ออาชญากรรมร้ายแรงดังกล่าว เพื่อนำตัวผู้กระทำผิดฟ้องต่อศาลชั้นต้นแห่งกรุงพนมเปญ เพื่อลงโทษผู้กระทำผิดและผู้อยู่เบื้องหลังต่อไป" มูลนิธิผสานวัฒนธรรมรายงานคำให้การของสิตานัน "อย่างไรก็ตามดิฉันและทีมทนายความก็จะพยายามรวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติมเท่าที่จะทำได้ โดยจะส่งผ่านให้ทนายความกัมพูชายื่นต่อตุลาการผู้ไต่สวนคดีต่อไปหลังจากที่เดินทางกลับประเทศไทยไปแล้ว" แม้การเดินทางครั้งนี้จะมีเป้าหมายอยู่ที่การเข้าให้ข้อมูลต่อศาลในวันที่ 8 ธ.ค. เพื่อพิสูจน์ว่าวันเฉลิมอยู่ในกรุงพนมเปญและถูกลักพาตัวไปจากหน้าคอนโดมิเนียมแม่โขงการ์เดนส์จริง เพื่อให้ศาลรับเป็นคดีและเปิดการไต่สวนหาผู้ก่อเหตุ แต่ภารกิจสำคัญไม่แพ้กันคือการพยายามหาหลักฐานเกี่ยวกับการหายตัวไปของวันเฉลิมให้ได้มากที่สุด เพราะท่าทีที่ผ่านมาของเจ้าหน้าที่รัฐทั้งฝั่งไทยและกัมพูชา ทำให้สิตานันและทีมทนายรู้ดีว่าไม่อาจหวังให้พวกเขาดำเนินการสอบสวนหาข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ได้ 4 ธ.ค. 2563 ครบ 6 เดือนที่วันเฉลิมหายตัวไป สิตานันนิมนต์พระสงฆ์มาทำบุญ ณ จุดที่เขาถูกพบเห็นเป็นครั้งสุดท้ายในกรุงพนมเปญ สิตานันสรุปให้บีบีซีไทยฟังว่า ศาลใช้เวลาไต่สวนเพียงแค่ 1 ชั่วโมง 20 นาที และผู้พิพากษายังไม่มีคำสั่งว่าจะรับเป็นคดีหรือไม่ และขอให้ไปหาพยานหลักฐานเพิ่มอีก 2 สิ่งซึ่ง "เปิดเผยไม่ได้ว่าเป็นอะไร แต่ถ้าเราได้มา ศาลก็อาจจะพิจารณารับเป็นคดี" หลังเสร็จสิ้นกระบวนการที่ศาล สิตานันและทนายสรุปกันว่าความหวังที่ศาลจะรับเป็นคดีนั้นมีไม่มากนัก "เราทำใจไว้อยู่แล้วว่าศาลอาจจะไม่รับเป็นคดี เราแค่อยากไปตั้งต้นกระบวนการยุติธรรม ตอนนี้เราจะนำข้อมูลที่เราหามาได้เองมาตีแผ่ เพราะเรามองว่าหน่วยงานของรัฐไม่มีใครสืบสวนเรื่องนี้ให้เราอยู่แล้ว มีแต่จะกลบเกลื่อน" สิตานันกล่าว "ข้อมูลที่หามาได้เอง" ที่เธอเอ่ยถึงนั้น ได้มาจากการพบปะผู้คนในกัมพูชาหลายสิบคน ตั้งแต่รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติกัมพูชา นักข่าวต่างประเทศที่ยังคงตามขุดคุ้ยเรื่องนี้ในกัมพูชา ไปจนถึงผู้ลี้ภัยการเมืองที่ยังอยู่ในพนมเปญ รวมถึงการลงพื้นที่จุดเกิดเหตุ สถานที่ที่เกี่ยวข้องกับวันเฉลิมและที่เกี่ยวพันกับคดี วันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ ผู้ลี้ภัยการเมืองวัย 37 ปี หายตัวไป 7 เดือนแล้วนับตั้งแต่วันที่ 4 มิ.ย. 2563 แม้เจ้าหน้าที่คอนโดฯ และตำรวจจะไม่อนุญาตให้เธอเข้าไปในห้องพักของวันเฉลิม แต่สิตานันก็ได้ข้อมูลไม่น้อยจากอดีต "รูมเมท" ของวันเฉลิม แม้จะต้องฝ่าฟันขั้นตอนต่าง ๆ มากมายกว่าจะได้เดินทางมา ต้องเสียค่าใช้จ่ายหลายแสนบาท รวมถึงเสี่ยงอันตรายและถูกติดตามในบางวัน สิตานันสรุปว่าการเดินทางไปกรุงพนมเปญครั้งนี้ "ได้ผลที่น่าพอใจ" และทำให้รู้ว่าจะสู้ต่อไปอย่างไรในปี 2564 2564 ระหว่างอยู่พนมเปญ สิตานันและทีมทนายได้รับการติดต่อจากผู้ลี้ภัยการเมืองคนไทยซึ่งอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากและต้องการความช่วยเหลือ "พอรู้ว่าพวกเราไป ผู้ลี้ภัยที่อยู่ในกัมพูชาก็อยากจะมาคุย มาขอความช่วยเหลือ แต่เขากลัว บางคนนัดแล้วไม่มา บางคนมาถึงแล้วไม่กล้าออกมาพบ ซึ่งเราก็เข้าใจเขานะ..." สิตานันเปิดเผยว่าในวันสุดท้ายก่อนกลับ ผู้ลี้ภัยคนหนึ่งตัดสินใจมาพบเธอ "เขาน่าสงสารเขามาก" สิตานันเล่าด้วยเสียงสั่นเครือ โดยขอไม่เปิดเผยชื่อผู้ลี้ภัยที่เธอได้พบ "เขาออกไปไหนก็ไม่ได้ ทำอะไรก็ไม่ได้ คนใกล้ชิดของเขาในไทยขอให้เราหาทางช่วยให้เขาออกมา (จากกัมพูชา) เพราะกลัวว่าเขาจะตาย กลัวจะโดนเหมือนต้าร์... มันก็เลยเหมือนว่ามีงานอีกงานหนึ่งที่เราต้องทำต่อ ที่จะต้องช่วยน้อง ๆ ผู้ลี้ภัยหลาย ๆ คน" สิตานันบอก นับจากนี้ไป การเคลื่อนไหวของเธอไม่ได้เป็นไปเพื่อวันเฉลิมคนเดียวอีกแล้ว แต่ยังเป็นไปเพื่อผู้ลี้ภัยคนอื่น ๆ ทั้งที่สูญหาย เสียชีวิตและที่ยังมีชีวิตอยู่ท่ามกลางความเสี่ยง "หลังจากนี้จะนัดคุยกับคนที่ทำงานเรื่องผู้ลี้ภัยเต็มตัวในปี 2564" เธอบอก ไม่กี่วันหลังจากที่สิตานันให้สัมภาษณ์บีบีซีไทย อานนท์ นำภา ทนายความสิทธิมนุษยชน ผู้นำการชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตยและการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ตลอดปี 2563 โพสต์ข้อความทางโซเชียลมีเดียเมื่อวันที่ 28 ธ.ค. ว่า "ปีหน้า (2564) จะเป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลง ตั้งเป้าไว้ เราจะพาเพื่อนผู้ลี้ภัยทางการเมืองกลับบ้าน มาฉลองปีใหม่ 2565 ด้วยกันที่ราชดำเนิน" ไม่ว่าจะโดยบังเอิญหรือไม่ เป้าหมายการทำงานที่สิตานันและอานนท์เปิดเผยออกมานั้น ส่งสัญญาณชัดว่าปี 2564 จะเป็นอีกปีหนึ่งที่เรื่อง "ผู้ลี้ภัยทางการเมือง" เป็นประเด็นสำคัญในการเคลื่อนไหวของภาคประชาชน ล่าสุดจากทางการไทยและกัมพูชา กรณี "วันเฉลิม" ระหว่างที่สิตานันเดินทางไปกรุงพนมเปญ ทางการไทยและกัมพูชาพูดถึงการดำเนินการกรณีวันเฉลิม ดังนี้ 4 ธ.ค.2563 ไชย คิมเขื่อน โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติกัมพูชา ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวบีบีซีไทยว่าตำรวจกัมพูชารับทราบถึงการเดินทางมาพนมเปญของสิตานันและทีมทนายความ แต่ยังไม่ได้รับการติดต่อจากญาติผู้เสียหายโดยตรง และแนะนำให้ญาตินำหลักฐานที่มีมามอบให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อจะได้เริ่มกระบวนการสืบสวนสอบสวน "(สิตานัน) เรียกร้องให้ตำรวจกัมพูชาตามหาน้องชายของเธอ... ถ้าเธอมีหลักฐานว่านายวันเฉลิมหายตัวไปในกัมพูชา ก็ควรส่งหลักฐานนั้นให้ตำรวจเพื่อนำไปสืบสวนสอบสวนต่อ แทนที่จะให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวว่าตำรวจว่าไม่ดำเนินการใด ๆ ในเรื่องนี้" โฆษกตำรวจกัมพูชากล่าว 6 เดือนกับการหายตัวไปของ "วันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์" 7 ธ.ค. 2563 นายธานี แสงรัตน์ อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ สรุปการดำเนินการของทางการไทยเกี่ยวกับกรณีนายวันเฉลิม ดังนี้
|
"เจอ"
|
international-41968313
|
https://www.bbc.com/thai/international-41968313
|
เปิดแฟ้มประวัติศาสตร์ การปฏิวัติรัสเซีย
|
เดือนพฤศจิกายนปี 2017 เป็นเดือนแห่งการครบรอบ 100 ปี การปฏิวัติรัสเซีย ซึ่งนอกจากจะเป็นเหตุการณ์สำคัญยิ่งทางประวัติศาสตร์เหตุการณ์หนึ่งแล้ว ยังเป็นต้นกำเนิดของระบบการเมืองใหม่ที่เรียกว่าคอมมิวนิสต์ เป็นเวลาราว 300 ปี ที่รัสเซียอยู่ภายใต้การปกครองของราชวงศ์โรมานอฟอันทรงอำนาจ ทว่าพระเจ้าซาร์ นิโคลัส ที่ 2 ซึ่งปกครองรัสเซียในขณะนั้น ถูกมองว่าเป็นจักรพรรดิที่เลวร้าย วันที่ 24 กุมภาพันธ์ ได้เกิดการจลาจลครั้งใหญ่ทั่วเมืองหลวงเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ชาวเมืองต่างแค้นเคืองที่ต้องอยู่อย่างอดอยาก สมาชิกราชวงศ์โรมานอฟ จากซ้ายไปขวา โอลก้า, มารี, พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2, จักรพรรดินีอเล็กซานดรา, อนาสตาเซีย, อเล็กซี และทาเทียน่า ถ่ายไว้ไม่นานก่อนเกิดการปฏิวัติปี 1917 พระเจ้าซาร์ นิโคลัส ที่ 2 ตัดสินพระทัยว่า ทรงไม่อาจปกครองรัสเซียได้อีกต่อไป เพราะเหล่าทหารจำนวนมากไม่ปฏิบัติตามบัญชาของพระองค์ที่ให้ควบคุมจลาจล และทรงสละราชสมบัติ เมื่อวันที่ 2 มีนาคม ซึ่งถือเป็นจุดจบของราชวงศ์โรมานอฟ ในขณะนั้นมีประชาชนจำนวนหนึ่งเรียกร้องให้จัดตั้งรัฐบาลเฉพาะกาลขึ้นปกครองประเทศ สำหรับชาวรัสเซียแล้วพวกเขาหวังว่าเมื่อราชวงศ์โรมานอฟพ้นไปแล้ว จะสามารถลืมตาอ้าปากและได้รับการปฏิบัติที่เป็นธรรม ทว่า รัฐบาลเฉพาะกาลไม่สามารถแก้ไขปัญหาอีกหลายด้านที่ค้างคาได้ และนำไปสู่การปฏิวัติอีกเป็นครั้งที่ 2 ในเดือนตุลาคม หากมองในหลาย ๆ แง่ ถือได้ว่าการเปลี่ยนแปลงในครั้งที่ 2 นี้ มีความสลักสำคัญมากกว่าครั้งแรก เพราะเป็นจุดเริ่มต้นของระบอบการเมืองที่ไม่เคยมีการทดลองใช้มาก่อน นั่นก็คือระบอบคอมมิวนิสต์ ซึ่งมีผู้นำคนแรกคือนายวลาดิเมียร์ เลนิน นายวลาดิเมียร์ เลนิน รู้ดีว่าชนชาวรัสเซียระทมทุกข์มากน้อยเพียงใด เขาประกาศนโยบายแก้ปัญหาหลายอย่าง ภายใต้สโลแกน สันติภาพ ขนมปัง และแผ่นดิน ที่ทำให้เขากลายเป็นที่นิยมในหมู่ชน การปฏิวัติครั้งที่ 2 เป็นจุดเริ่มต้นของระบอบคอมมิวนิสต์ ซึ่งมี นายวลาดิเมียร์ เลนิน เป็นผู้นำคนแรก เหตุแห่งการปฏิวัติ? มีเหตุผลอยู่หลายประการ ส่วนใหญ่เกี่ยวเนื่องกับการบริหารปกครองประเทศในขณะนั้น ชาวรัสเซียจำนวนมากรู้สึกว่าชีวิตเต็มไปด้วยความยากลำบากและไม่เป็นธรรม พวกเขารู้สึกได้ว่าคนกลุ่มน้อยที่ร่ำรวยและทรงพลังนั้นมีทุกสิ่งทุกอย่าง แต่หมู่คนยากจนกลับสิ้นไร้ทรัพย์สิน ชาวบ้านรู้สึกด้วยว่าพระเจ้าซาร์ไม่ได้พยายามนำความเป็นธรรมมาสู่ปวงชน และเพื่อให้เข้าใจถึงเหตุการณ์ในช่วงปี 1917 ได้ถ่องแท้มากขึ้น เราอาจต้องย้อนกลับไปดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้นในปี 1905 วันอาทิตย์ทมิฬ (Bloody Sunday) ในปี 1905 ชาวบ้านไปรวมตัวกันประท้วงต่อต้านพระเจ้าซาร์ นิโคลัส ที่ 2 ที่ด้านนอกพระราชวังฤดูหนาวในเมืองปีเตอร์สเบอร์ก และเรียกร้องสิทธิที่พึงมี รวมทั้งให้ดูแลความเป็นอยู่และสภาพการจ้างงาน แม้การประท้วงครั้งนั้นจะดำเนินไปอย่างสงบ แต่กลุ่มผู้ประท้วงกลับถูกกองกำลังรักษาพระองค์ทำร้าย เหตุการณ์ครั้งนั้นเป็นที่จดจำในประวัติศาสตร์รัสเซียว่าเป็นเหตุการณ์วันอาทิตย์ทมิฬ ภาพถ่ายทอดการชุมนุมประท้วงอย่างสงบในวันอาทิตย์ทมิฬ (Bloody Sunday) ชาวบ้านจำนวนมากพากันตำหนิว่าพระเจ้าซาร์ทรงสั่งให้ทำร้ายประชาชน ดังนั้นเพื่อเรียกความไว้วางใจจากประชาชนกลับคืนมา พระเจ้าซาร์ทรงจัดตั้งสภาดูมาขึ้น ทำหน้าที่ดูแลประชาชนให้ได้รับความเป็นธรรมและมีพลังมากขึ้น อย่างไรก็ดี องค์จักรพรรดิมิได้รักษาคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้ และทรงสั่งยุติการทำหน้าที่ของสภาดูมา เมื่อองค์กรแห่งนี้ดำเนินการในสิ่งที่ไม่ทรงปรารถนา ในเวลาเดียวกัน สภาดูมาเองก็มีอำนาจอยู่เพียงน้อยนิด สงคราม ความยากจนและความหิวโหย ตลอดเวลา 10 ปี จากนั้น รัสเซียภายใต้การปกครองของพระเจ้าซาร์ นิโคลัส ที่ 2 ยังตกอยู่ในห้วงแห่งปัญหา ในปี 1914 เยอรมนีประกาศสงครามกับรัสเซีย นำไปสู่สงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งขยายวงกว้าง หลายชาติประกาศตัวเข้าร่วม ในส่วนของรัสเซียนั้นสูญเสียกองทหารไปจำนวนมาก และต้องพ่ายแพ้ในการสู้รบหลายสมรภูมิ ในขณะที่กองกำลังขาดแคลนทั้งเสบียงและยุทโธปกรณ์ ในรัสเซียเองชาวบ้านต้องเผชิญกับความอดอยาก หิวโหย ท่ามกลางสภาพอากาศหนาวเหน็บและราคาอาหารที่พุ่งสูงลิ่ว ไม่นับรวมปัญหาอื่น ๆ อีกหลายประการ พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 และจักรพรรดินีอเล็กซานดรา (ภาพซ้าย) และกริกอรี รัสปูติน (ภาพขวา) บุรุษลี้ลับจากไซบีเรีย ผู้มีอิทธิพลต่อราชวงศ์โรมานอฟของรัสเซีย ขณะนั้นพระเจ้าซาร์ตัดสินพระทัยที่จะเป็นผู้นำทัพไปสู้รบในแนวหน้า โดยมอบให้พระมเหสี ซารินา อเล็กซานดรา เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ แต่การตัดสินพระทัยดังกล่าวไม่ได้รับการขานรับจากประชาชน เพราะซารินา อเล็กซานดรา ทรงมีเชื้อสายเยอรมันซึ่งไม่ใช่เรื่องที่น่าพึงใจของชาวรัสเซีย นอกจากนี้พระนางยังถูกมองว่าตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของรัสปูติน บุรุษลึกลับที่เข้าไปมีอิทธิพลในราชวงศ์โรมานอฟ โดยรัสปูตินนั้นเป็นที่ชังทั้งในหมู่คนยากจนและร่ำรวย เกิดอะไรขึ้นหลังรัสเซียปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์? หลังจากคอมมิวนิสต์กุมอาจการปกครองในรัสเซียแล้ว รัสเซียและอีกหลายชาติภายใต้การปกครองได้รับการเรียกชื่อใหม่ว่าเป็นสหภาพสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียต (The Union Soviet Socialist Republics-USSR) หรือที่รู้จักกันว่าสหภาพโซเวียต ในยุคนั้นถือได้ว่ารัสเซียมีอำนาจและบทบาทสำคัญต่อภูมิภาคอื่น ๆ ทั่วโลก โดยหลังจากการปฏิวัติเมื่อเดือนตุลาคม หลายชาติรวมทั้งจีน เกาหลีเหนือและคิวบา ต่างหันมายึดแนวทางการปกครองแบบคอมมิวนิสต์ ค้อนและเคียว สัญลักษณ์ของลัทธิคอมมิวนิสต์ สื่อถึงกลุ่มชนชั้นแรงงาน ตลอดช่วงเวลาดังกล่าวชาติคอมมิวนิสต์และประเทศอื่น ๆ อาทิ สหรัฐฯ ก็มีความบาดหมางกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ความตึงเครียดทางการเมืองและการทหารที่เกิดขึ้นนั้น นำโลกให้อยู่ในภาวะสงครามเย็น เป็นเวลายาวนาน จนกระทั่งยุติลงในปี 1991 ขณะที่การคงอยู่ของสหภาพโซเวียตในฐานะชาติคอมมิวนิสต์ดำรงอยู่ในปี 1922 จนถึงปี 1991 ปัจจุบันรัสเซียปกครองด้วยระบอบสาธารณรัฐ มีผู้นำคือประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน
|
เกิดอะไรขึ้นในการปฏิวัติรอบแรกในปี 1917?
|
international-44180557
|
https://www.bbc.com/thai/international-44180557
|
เกร็ดสนุกงานแต่งพระราชวงศ์
|
เป็นที่ทราบกันดีว่าราชวงศ์อังกฤษ มีความเป็นอนุรักษ์นิยมสูงและยึดธรรมเนียมปฏิบัติเก่าแก่สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน ซึ่งรวมถึงเรื่องการแต่งงานของสมาชิกในราชวงศ์ บีบีซีรวบรวมเกร็ดสนุกบางประการเกี่ยวกับงานแต่งของคนในราชวงศ์มาให้อ่านกัน พระราชบัญญัติการสมรสของพระราชวงศ์ ค.ศ. 1772 (Royal Marriages Act 1772) กำหนดให้เชื้อพระวงศ์จะต้องขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตสมรสจากสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่สอง ซึ่งที่ผ่านมา สมเด็จพระราชินีนาถฯ ทรงมีพระบรมราชานุญาตการสมรสของสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ และสมเด็จพระเจ้าหลานเธอ ตั้งแต่เจ้าชายแอนดรูว์ ดยุกแห่งยอร์ก กับ ซาราห์ เฟอร์กูสัน, เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ แห่งเวลส์ กับ เลดี้ไดอานา สเปนเซอร์ รวมทั้ง คามิลลา ปาร์เกอร์ โบลส์ โดยครั้งล่าสุด พระองค์ทรงมีพระบรมราชานุญาตการสมรสของเจ้าชายวิลเลียม และ แคทเธอรีน มิดเดิลตัน รวมทั้งเจ้าชายแฮร์รี กับ เมแกน มาร์เคิล ดอกไมร์เทิล พระราชพิธีสมรสของพระราชวงศ์มีธรรมเนียมปฏิบัติที่สืบทอดมาจากสมัยสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย ซึ่งในช่อดอกไม้ที่เจ้าสาวถือจะต้องมีดอกไมร์เทิลรวมอยู่ด้วย โดยไมร์เทิล เป็นสัญลักษณ์แห่งความหวังและความรัก ซึ่งเจ้าสาวของราชวงศ์ได้ยึดธรรมเนียมนี้สืบต่อกันเรื่อยมา รวมถึง น.ส.แคทเธอรีน มิดเดิลตัน ในวันที่เธอเข้าพิธีเสกสมรสกับเจ้าชายวิลเลียม และคาดว่า น.ส.มาร์เคิล จะทำตามด้วย ในช่อดอกไม้ที่เจ้าสาวของราชวงศ์ถือจะต้องมีดอกไมร์เทิลรวมอยู่ด้วย ชุดเจ้าสาวต้องผ่านความเห็นชอบจากควีน แม้เจ้าสาวของราชวงศ์จะมีอิสระบางประการในการเลือกชุดในวันสำคัญของพวกเธอ เช่น สไตล์ และรูปทรงของชุดแต่งงาน อย่างไรก็ตาม มีรายงานข่าวว่าสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่สอง ทรงเป็นผู้ตัดสินใจขั้นสุดท้ายในเรื่องของการออกแบบชุดและความสวยงาม ยกตัวอย่างกรณีของดัชเชสแห่งเคมบริดจ์ที่ทรงนำชุดเจ้าสาวแบรนด์อเล็กซานเดอร์ แม็คควีน ที่ออกแบบโดยซาราห์ เบอร์ตัน ไปให้สมเด็จพระราชินีนาถฯ ทอดพระเนตรตั้งแต่ยังอยู่ในขั้นตอนของการออกแบบจนถึงช่วงที่การตัดเย็บใกล้จะเสร็จสมบูรณ์ ตามปกติงานเลี้ยงอาหารของราชสำนักอังกฤษจะไม่มีการเสิร์ฟอาหารทะเลประเภทที่มีเปลือก อาหารทะเลประเภทที่มีเปลือกของต้องห้าม ตามปกติงานเลี้ยงอาหารของราชสำนักอังกฤษจะไม่มีการเสิร์ฟอาหารทะเลประเภทที่มีเปลือก เช่น กุ้ง หอย และปู เพราะมองว่ามีความเสี่ยงจะทำให้เกิดอาหารเป็นพิษ หรืออาการแพ้อาหารได้ นอกจากนี้ สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่สอง ยังไม่ทรงโปรดกระเทียม จึงทำให้อาหารที่เสิร์ฟในงานเลี้ยงที่พระองค์เสด็จไปเป็นแขก หรืองานที่พระองค์ทรงเป็นเจ้าภาพไม่มีอาหารที่มีกระเทียมเป็นส่วนผสม
|
ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต
|
features-45110653
|
https://www.bbc.com/thai/features-45110653
|
เนื้อสังเคราะห์ อาหารแห่งอนาคต?
|
ไม่ว่าคุณจะกล้าหรือไม่ แต่แนวคิดเรื่องการใช้อาหารที่สังเคราะห์ขึ้นด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์มาเลี้ยงปากท้องชาวโลกกำลังใกล้ความจริงขึ้นทุกขณะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่โลกกำลังเสี่ยงกับภาวะขาดแคลนอาหารจากประชากรที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมีข้อมูลว่ามนุษย์เราใช้ทรัพยากรซึ่งปกติใช้ได้นาน 1 ปี หมดไปภายในเวลาเพียง 7 เดือน ขณะเดียวกันประชากรโลกก็มีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นเป็น 11,000 ล้านคนภายในช่วงสิ้นสุดศตวรรษนี้ ดังนั้นการผลิตอาหารให้ได้มากขึ้นจึงเป็นภารกิจสำคัญอันดับต้น ๆ ของเรา ส่งผลให้มีธุรกิจสตาร์ทอัพหลายรายหันมาผลิตเนื้อสังเคราะห์ หรือที่เรียกว่า "คลีนมีท" (clean meat) เพื่อหวังให้เป็นแหล่งอาหารแห่งอนาคตของมนุษย์ บริษัท Mosa Meat ของเนเธอร์แลนด์ ถือเป็นผู้บุกเบิกธุรกิจด้านนี้ โดยเมื่อ 5 ปีที่แล้ว ได้คิดค้นการผลิตเนื้อเบอร์เกอร์จากเซลล์ต้นกำเนิดหรือสเต็มเซลล์ในห้องทดลองขึ้นมาเป็นครั้งแรก หวังแก้ปัญหาความต้องการเนื้อสัตว์ที่เพิ่มสูงขึ้น รวมทั้งการที่กระบวนการทำฟาร์มเลี้ยงสัตว์แบบดั้งเดิมที่ต้องใช้ทั้งพลังงาน น้ำ และที่ดิน ซึ่งส่งผลต่อการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ตลอดจนปัญหาทางจริยธรรมในการเลี้ยงสัตว์เพื่อนำเนื้อมาบริโภค ในการทดลองเมื่อ 5 ปีก่อน คณะนักวิจัยนำสเต็มเซลล์จากเนื้อเยื่อของวัวมาเพาะโดยเติมสารอาหารและสารเร่งการเติบโต แล้วปล่อยทิ้งไว้เป็นเวลาสามสัปดาห์ จนสเต็มเซลล์ได้แบ่งตัวเพิ่มนับล้านเซลล์ ก่อนจะนำสเต็มเซลล์เหล่านั้นมาแบ่งและเพาะต่อเพื่อให้ก่อตัวและประสานรวมกันเป็นกล้ามเนื้อ จากนั้นก็เป็นขั้นตอนที่ต้องใช้เวลายาวนานในการนำสเต็มเซลล์กล้ามเนื้อมาเรียงกันเป็นชั้น ใส่สี และผสมกับไขมัน จนได้ออกมาเป็นชิ้นเบอร์เกอร์ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารที่ได้ชิมเนื้อเบอร์เกอร์ดังกล่าว บอกว่ารสชาติใกล้เคียงกับเนื้อสัตว์ แต่ไม่ชุ่มฉ่ำเท่า
|
คุณกล้าทานเนื้อที่ถูกเพาะขึ้นในห้องทดลองหรือเปล่า?
|
thailand-40850015
|
https://www.bbc.com/thai/thailand-40850015
|
ทิลเลอร์สันเยือนไทย: เรา กับ เขา หวัง อะไรกัน
|
สหรัฐอเมริกา และ ไทย คาดหวังอะไรจากการเยือนกรุงเทพฯ ในวันอังคารนี้ (8 ส.ค.) ของ นายเร็กซ์ ทิลเลอร์สัน รมว. ตปท. สหรัฐฯ เขาคือ เจ้าหน้าที่ระดับรัฐมนตรีว่าการคนแรกของรัฐบาลอเมริกันที่มาเยือนไทยหลังรัฐประหาร 2557 กระทรวงการต่างประเทศ สหรัฐฯ แถลงในเอกสารว่าการเยือนประเทศไทยของนาย ทิลเลอร์สันในวันที่ 8 ส.ค. นี้ เพื่อ ถวายบังคมพระบรมศพ ในหลวง รัชกาลที่ 9 แต่นักการทูตรายหนึ่งกล่าวกับ บีบีซีไทย ว่า รัฐบาลของนายโดนัลด์ ทรัมป์ อยากจะให้ความสัมพันธ์กับประเทศไทยมี "ความหมายในเชิงยุทธศาสตร์" มากกว่าที่ผ่านมา ให้สอดรับกับสถานการณ์ของภูมิศาสตร์ทางการเมืองในภูมิภาคที่กำลังเปลี่ยนไป นายทิลเลอร์สัน (กลาง) พบกับนายดอน ปรมัตถ์วินัย (ขวา) รมว.ตปท. ในการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนที่กรุงมะนิลาของฟิลิปปินส์ สิ่งที่นักการทูตใหญ่จากวอชิงตันจะบอกกับผู้นำรัฐบาลทหารของไทย คือ สหรัฐฯ อยากให้ความเป็นพันธมิตรแบบมีพันธสัญญาหรือ treaty ally (ซึ่ง ไทย เป็น 1 ใน 5 ชาติในเอเชีย-แปซิฟิกที่มีกับสหรัฐอเมริกา) มีความหมายต่อสถานการณ์ที่สหรัฐฯ กำลังจะแข่งขันทางอำนาจกับจีนและจัดการกับปัญหาสำคัญในภูมิภาคที่สำคัญ 2 เรื่องคือ คาบสมุทรเกาหลีและทะเลจีนใต้ ซึ่งมีจีนเป็นผู้เล่นสำคัญทั้งคู่ "เข้าใจว่าประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ จะฝากคำพูดบางประการมาหาผู้นำไทยด้วยเพื่อจะยืนยันว่า คำเชิญทางโทรศัพท์เมื่อเดือนเมษายนตอนที่ทรัมป์รับตำแหน่งครบ 100 วันนั้นเป็นเรื่องจริงจังมากว่าเชิญเพื่อนไปกินข้าวกลางวัน" นักการทูตผู้นี้กล่าว พันมิตรที่เก่าแก่ เว็บไซต์ของกระทรวงต่างประเทศของไทย ระบุว่า ไทยและสหรัฐฯ มีความสัมพันธ์มายาวนาน โดยเริ่มต้นอย่างเป็นทางการเมื่อ พ.ศ. 2376 จากที่ทั้งสองฝ่ายมีสนธิสัญญาไมตรีและการพาณิชย์ (Treaty of Amity and Commerce) ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 โดยในปีดังกล่าว ประธานาธิบดีแอนดรูว์ แจ็กสัน ของสหรัฐฯ (ดำรงตำแหน่งปี 2372-2380) ได้ส่งนายเอ็ดมันด์ โรเบิตส์ เป็นเอกอัครราชทูตเดินทางมายังกรุงเทพฯ พร้อมทั้งนำสิ่งของมาทูลเกล้าฯ ถวายแด่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ ซึ่งรวมถึงดาบฝักทองคำที่ด้ามสลักเป็นรูปนกอินทรีและช้าง และพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ ได้พระราชทานสิ่งของตอบแทนซึ่งเป็นของพื้นเมือง เช่น งาช้าง ดีบุก เนื้อไม้ และกำยาน เป็นต้น โดยภารกิจสำคัญของนายโรเบิตส์ คือการเจรจาจัดทำสนธิสัญญาทางการค้ากับไทย ไทย-สหรัฐฯ มีสายสัมพันธ์มายาวนาน ทั้งโอบ ทั้งตี หลังการโค่นล้มรัฐบาลพลเรือนที่มาจากการเลือกตั้งในไทยเมื่อ 22 พ.ค. 2557 รัฐบาลของประธานาธิบดีบารัค โอบามา สั่งระงับความช่วยเหลือด้านการทหารแบบให้เปล่าแก่ไทย ระงับการเยือนในระดับรัฐมนตรีว่าการฯ ขึ้นไป แต่ยังคงระดับความร่วมมือทางการทหาร ด้านการซ้อมรบ และขายอาวุธ และเรียกร้องให้พลเอกประยุทธ์ จันโอชา หัวหน้าคณะรัฐประหาร และนายกรัฐมนตรี จัดการเลือกตั้งทั่วไปโดยเร็วเพื่อคืนอำนาจสู่รัฐบาลพลเรือน รัฐบาลทหารของไทย กลับไม่ให้ความสนใจมากนัก หันมาให้ความสำคัญกับรัฐบาลจีนมากขึ้นทั้งด้านเศรษฐกิจ และการทหาร ในขณะที่โลกเผชิญกับภัยคุกคามของการพัฒนาขีปนาวุธของเกาหลีเหนือ จนทำให้ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ หันกลับมาให้ความสนใจไทยมากขึ้น สายตรงจากวอชิงตัน สามเดือนเศษ หลังรับตำแหน่งเป็นทางการ ทรัมป์โทรหา พล.อ.ประยุทธ์ และ นายลีเซียนลุง นายกรัฐมนตรีของสิงคโปร์ เชิญให้มาเยือนวอชิงตัน เพื่อกระชับสัมพันธ์และขอการสนับสนุนในศึกพิพาทกับเกาหลีเหนือ คำเชิญดังกล่าว ทำให้ฝ่ายไทยพยามขอไปเยือนเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา แต่วอชิงตันเห็นว่า ข้อเสนอนี้เป็นอาการ "ใจเร็วด่วนได้" หรือ "jump the gun" เพราะทั้งสองฝ่ายยังไม่ได้เตรียมการอะไรเลย "เราอยากให้ผู้นำทั้งสองประกาศอะไรสักอย่างที่มีความหมายทางยุทธศาสตร์ความมั่นคงในภูมิภาคตอนพลเอกประยุทธ์ไปเยือน...ไม่ใช่แค่ไปกินข้าวกันสักมื้อแล้วก็กลับ" "สองคน ยลตามช่อง" เกาหลีเหนือ การตอบสนองของไทยเรื่องเกาหลีเหนือแบบ "เสียไม่ได้" และการซื้ออาวุธจากจีนอย่างขนานใหญ่ ทำให้วอชิงตันตีความว่า ไทยมุ่งหน้า "เล่นไพ่จีน" แม้ว่าฝ่ายไทยโต้แย้งเสมอว่า การคว่ำบาตรของไทยต่อเกาหลีเหนือคงไม่ช่วยอะไรได้มากนัก เพราะมีแต่ "ล็อกซ์เล่ย์" เท่านั้นที่ไปลงทุนในเกาหลีเหนือ ทั้งมูลค่าการค้าสองฝ่ายก็เพียงเล็กน้อย แต่สิ่งที่สหรัฐฯ มองเห็นคือ ไทยผูกพันและค้าขายกับจีนมากและการค้าของเกาหลีเหนือ 90 เปอร์เซ็นต์นั้นผูกพันอยู่กับจีน "ถ้าประเทศที่ค้าขายกับจีนแสดงท่าทีชัดเจนว่า จะไม่ทำธุรกิจกับบริษัทของจีนที่ทำธุรกิจกับเกาหลีเหนือด้วย มาตรการแบบนั้นจะส่งผลต่อเกาหลีเหนือได้อย่างแน่นอน" ผู้เชี่ยวชาญเรื่องเกาหลีเหนือรายหนึ่งกล่าว และว่า นั่นคือสิ่งที่วอชิงตันคาดหวังว่าพันธมิตรอย่างไทยจะทำ นับการรัฐประหารในปี 2549 การค้าขายอาวุธระหว่างไทย-สหรัฐฯ คิดเป็นมูลค่ามากกว่า 960 ล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ ซึ่งรวมถึงการซื้อ เฮลิคอปเตอร์ UH60 แบล็กฮอร์ค จากสหรัฐฯ นับตั้งแต่การรัฐประหารปี 2549 การค้าขายอาวุธระหว่างไทยและสหรัฐฯ คิดเป็นมูลค่ามากกว่า 960 ล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ ประกอบไปด้วย เฮลิคอปเตอร์ UH60 แบล็กฮอร์ค, ฮ.UH 72 ลาโกตา, ขีปนาวุธ ESSM, ปรับปรุงเครื่องบิน F-16, เรือเอนกประสงค์และตอปิโดว์ แม้แต่ตอนเกิดรัฐประหารแล้วมีการตัดความช่วยทางทหารส่วนหนึ่งและสมัยโอบามาวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลทหารอย่างหนัก สถานทูตสหรัฐฯ ให้ข้อมูลว่า หลังปี 2557 สหรัฐฯ ขายยุทโธปกรณ์ให้ทหารไทยผ่าน Foreign Military Sale (FMS) มีมูลค่ามากถึง 380 ล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ เฉพาะปีนี้ ไทยและสหรัฐฯ ทำความตกลงซื้อขายอาวุธกันไปแล้วมูลค่าถึง 133 ล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ รวมทั้ง ขีปนาวุธ Harpoon Block II และเฮลิคอปเตอร์แบลกฮอร์คที่อยากจะได้มาเพิ่มเติมเป็นมานาน นี่ยังไม่พูดถึงแผนใหม่ล่าสุดที่จะปรับปรุงเครื่องบินรบเอฟ 5 อีกด้วย ความคาดหวังฝั่งไทย สำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานวันนี้ว่า นอกจากเรื่องความมั่นคงแล้ว นายทิลเลอร์สันจะหารือเรื่องการค้าและการลงทุนกับฝั่งไทยด้วย ซึ่งทางกระทรวงพาณิชย์ของไทยหวังว่า แนวโน้มการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐที่เพิ่มขึ้น จะช่วยลดความเสี่ยงในการถูกสหรัฐฯ ออกมาตรการตอบโต้ทางการค้าได้ ไทยมียอดเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯในครึ่งแรกของปี 2560 ลดลงมาที่ 4.82 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ จากยอด 6 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ในช่วงเดียวกันของปีก่อน เมื่อ มี.ค.ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีทรัมป์ ได้ลงนามคำสั่งพิเศษ เพื่อดำเนินการตรวจสอบการขาดดุลการค้ากับ ไทย และอีก 15 ประเทศ โดยในปี 2559 ไทยได้ดุลการค้าสหรัฐราว 1.89 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ นับเป็นอันดับที่ 11 ของประเทศที่ได้ดุลการค้ากับสหรัฐฯ ต่อมาในเดือน พ.ค. กระทรวงพาณิชย์ของไทยได้ยื่นเอกสารข้อมูลและคำชี้แจง ต่อสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐ ถึงสาเหตุที่สหรัฐฯขาดดุลการค้ากับไทย โดยระบุว่า สหรัฐฯ มีมูลค่าการขาดดุลการค้ากับไทยเพียง 1.5% ของมูลค่าการขาดดุลการค้ารวมของสหรัฐฯ ในช่วง 6 เดือนแรกปีนี้ ไทยนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ คิดเป็นมูลค่า 7.79 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 35% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่มูลค่าการส่งออกไปสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเพียง 7% ส่งผลให้ยอดการเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ ลดลงมาที่ 4.82 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ จากที่เกินดุล 6 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา นางสาวพิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์ กล่าวกับ รอยเตอร์ว่า แนวโน้มการนำเข้าจากสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้น และหวังว่าจะช่วยลดความเสี่ยงของไทย ในการถูกเพ่งเล็งจากสหรัฐฯ ว่าเป็นประเทศที่มีการปกป้องค่าเงิน เพื่อประโยชน์ทางการค้าของตัวเองด้วย สำหรับปีนี้การนำเข้าจากสหรัฐฯ ที่พิ่มขึ้นมาจากสินค้าเครื่องบิน และส่วนประกอบ, แผงวงจรไฟฟ้า, เคมีภัณฑ์, ผลิตภัณฑ์โลหะ รวมถึงเครื่องจักรกลและส่วนประกอบ ซึ่ง 40% ของสินค้าส่งออกจากไทยไปสหรัฐฯ เป็นผลิตภัณฑ์ที่มาจากบริษัทอเมริกันในไทย
|
ความคาดหวังฝั่งอเมริกัน
|
international-57298950
|
https://www.bbc.com/thai/international-57298950
|
ช่างสักเกาหลีใต้ใช้ "ใบสั่งยาดอกไม้" เยียวยาจิตใจผู้เคยคิดฆ่าตัวตาย
|
นี่คือคำบอกเล่าของ ซึงฮี ซอ หญิงสาวชาวเกาหลีใต้ เกี่ยวกับรอยแผลเป็นจากการพยายามฆ่าตัวตายในอดีตที่ยังส่งผลกระทบต่อทั้งร่างกายและจิตใจของเธอมาจนถึงปัจจุบัน "ไม่ว่าจะเป็นตอนจ่ายเงินที่แคชเชียร์ หรือตอนเอื้อมจับราวจับบนรถเมล์ เมื่อไหร่ที่ฉันยื่นแขนออกไป ฉันจะรู้สึกว่าตัวเองหดแขนกลับ ผู้คนมักสังเกตเห็นข้อมือของฉันแล้วก็ซุบซิบกัน" หญิงสาววัย 27 ปีบอก ด้วยเหตุนี้ ซึงฮี จึงตัดสินใจไปใช้บริการสักลายเพื่อปกปิดรอยแผลเป็นจากการทำร้ายตัวเองที่เปรียบเสมือนตราบาปทำให้เธอสูญเสียความมั่นใจเมื่อต้องเข้าสังคม ซึงฮี ใช้บริการของช่างสักลายที่ชื่อ "ยอน" ที่ใช้ลวดลายอันงดงามของดอกไม้ปกปิดรอยแผลเป็นจากการทำร้ายตัวเองและการพยายามฆ่าตัวตาย ยอนเล่าว่า เธอมักดูแลลูกค้ากลุ่มนี้ด้วยความห่วงใยเป็นพิเศษ เพราะเธอเองก็เผชิญปัญหาเหมือนกัน จึงเข้าใจความเจ็บปวดของพวกเขาเป็นอย่างดี "ฉันเข้าใจว่าทำไมพวกเขาถึงอยากปกปิดรอยแผลเป็น" ยอน ใช้การสักรูปดอกไม้ที่เธอเรียกว่า "ใบสั่งยาดอกไม้" เพื่อเยียวยาจิตใจให้แก่ลูกค้า ซึ่งลายสักแต่ละลายจะมีลักษณะเฉพาะตัวเพื่อให้เหมาะสมกับรอยแผลเป็นของลูกค้าแต่ละคน และเป็นสัญลักษณ์ที่มีความหมายสำหรับพวกเขา ยอนให้บริการ "ใบสั่งยาดอกไม้" แก่ลูกค้าไปแล้วเกือบ 60 ราย นับแต่เธอเริ่มทำเมื่อปีก่อน ซึงฮีบอกว่า "ใบสั่งยาดอกไม้" ที่ยอนสักให้เธอนั้นมีชื่อว่า "ที่ที่ความเศร้าได้ผ่านพ้นไป" "ความหมายของมันเหมาะกับแผลเป็นของฉัน รอยสักนี้มีเพื่อฉันโดยเฉพาะ…สำหรับฉัน ดอกไม้คือสัญลักษณ์ของชีวิตใหม่ ดอกไม้ช่วยให้ผู้คนได้ก้าวต่อไป เมื่อเราเจอความยากลำบาก ความงามของดอกไม้จะช่วยให้เราเอาชนะไปได้" "มันคือพลังของดอกไม้" ซึงฮีบอกว่า หลังจากเธอได้ใบสั่งยาดอกไม้ เธอก็เลิกทำร้ายตัวเอง และสามารถเอาชนะแรงกระตุ้นที่จะทำร้ายตัวเองได้ ข้อมูลในปี 2020 ของรัฐบาลเกาหลีใต้ระบุว่า มีผู้เสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายเฉลี่ยวันละ 38 คนในประเทศ หากคุณต้องการปรึกษาปัญหาสุขภาพจิต สามารถโทรขอความช่วยเหลือได้ทางสายด่วนสุขภาพจิต 1323 หรือโทรสายด่วนคลายทุกข์ของสมาคมสะมาริตันส์แห่งประเทศไทย ที่หมายเลข 02-713-6793 รวมทั้งขอความช่วยเหลือจากองค์กรระหว่างประเทศได้ที่ www.befrienders.org
|
"ฉันไม่สามารถโชว์ข้อมือตัวเองได้"
|
international-47945455
|
https://www.bbc.com/thai/international-47945455
|
คำแนะนำ 7 ข้อ สำหรับการหาคู่ทางออนไลน์ให้สำเร็จ
|
การใช้แอปพลิเคชั่นหาคู่สามารถทำได้ แต่คุณต้องมั่นใจว่า คุณสนุกกับการหาคู่รักทางออนไลน์จริง ๆ ข้อมูลจาก Online Dating Statistics & Facts ซึ่งเป็นเว็บไซต์ที่วิเคราะห์การหาคู่ทางออนไลน์ ระบุว่า มีผู้คนทั่วโลกราว 91 ล้านคนใช้แอปพลิเคชั่นหาคู่ แต่คนจำนวนมากในกลุ่มนั้นไม่สามารถหาคู่ได้ตามต้องการ ในสหราชอาณาจักร ผลการสำรวจความคิดเห็นที่จัดทำโดย YouGov บริษัทวิเคราะห์ข้อมูลและสำรวจความคิดเห็นของประชาชน ระบุว่า 10% ของคนในสหราชอาณาจักร ใช้แอปฯ หาคู่ แต่มีไม่ถึงครึ่งที่ได้คบหาดูใจกับคนที่พวกเขาพบผ่านทางแอปฯ โซอี สตริมเพิล นักประวัติศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยซัสเซกส์ และผู้เขียนหนังสือเรื่อง The Man Diet และ ซูซี เฮย์แมน เจ้าของคอลัมน์ปรึกษาปัญหาหัวใจและที่ปรึกษาด้านความสัมพันธ์ ได้รวบรวมคำแนะนำเกี่ยวกับการหาคู่ที่อาจช่วยให้มีคนมาสนใจคุณได้ 1.อย่าหาคู่เพราะมีข้อผูกมัดว่า 'ต้องมีคู่' กฎข้อที่ 1: คุณไม่จำเป็นต้องทำ ถ้าคุณไม่อยากทำ ถ้าคุณรู้สึกไม่อยากทำ ก็หยุด ถ้าคุณไม่ชอบใคร ก็ไม่ต้องพบเขาอีก 'การลอง' เป็นเรื่องอันตราย มันทำร้ายเรา ทำให้เราเหนื่อยล้า และทำให้เกิดความรู้สึกลบเกี่ยวตัวเองและคนอื่น 2.เชื่อสัญชาตญาณของตัวเอง ถ้าคุณ 'ไม่รู้สึกอะไร' หรือมีความรู้สึกว่า ไม่ไว้ใจคู่เดตของคุณ ก็แสดงออกมาตรง ๆ ถ้าคุณตรวจพบสัญญาณว่า จะมีปัญหาเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ก็ให้ระมัดระวัง อาจจะคิดว่า 'มันเป็นความผิดของฉัน' หรือตรงกันข้าม มันอาจเป็นความผิดของพวกเขา 3. ผลวิจัยระบุว่า จะเป็นการดีถ้าส่งข้อความคุยกันให้น้อย ให้เน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ การสนทนาดี ๆ เพียง 2-3 คน น่าจะทำให้คุณรู้สึกดีกว่า การมีปฏิสัมพันธ์กันอย่างตื้นเขินกับคนหลายสิบคน การคุยกับคนหลายร้อยคนในเวลาเดียวกัน กับทุกคนที่คุณจับคู่ได้ในโลกออนไลน์เป็นประจำทุกสัปดาห์ จะทำให้รู้สึกเหนื่อยหน่ายเมื่อต้องใช้ความคิด ควรใช้เวลาและหยอกล้อกับคนที่คุยด้วยแล้วรู้สึกสนุก คนที่ดูเหมือนจะเข้ากันได้ดีที่สุด 4. การหาคู่เป็นเกมของตัวเลข ไปในที่ที่มีคนมากไว้ ถ้าคนจำนวนมากรายล้อมคุณ คุณก็มีโอกาสจะเจอกับคนที่คุณชอบได้มากกว่า การที่ยืนอยู่คนเดียวในทะเลทราย แอปฯ หาคู่ ก็เช่นเดียวกัน หลีกเลี่ยงบริการหาคู่เฉพาะทาง ให้ไปที่ที่มีคนอยู่เยอะ ๆ การหาคู่เป็นเกมตัวเลข ดังนั้น การจะตามหาเพชรในตม คุณจำเป็นต้องเจอตม อย่าเชื่อธุรกิจที่อ้างว่า พวกเขามีแต่เพชรเม็ดงามให้คุณเลือก พวกเขาไม่มีหรอก ไม่มีทางลัด 5. หาเพื่อนก่อนเป็นอันดับแรก ในเรื่องของความสัมพันธ์ มิตรภาพคือจุดเริ่มต้นที่ยอดเยี่ยม ความสัมพันธ์ที่ดีที่สุด น่าจะเกิดขึ้นเมื่อคุณเริ่มต้นด้วยการเป็นเพื่อน และค่อยกลายเป็นคู่รัก แน่นอน เพื่อนใหม่อาจจะแนะนำให้คุณรู้จักกับคนที่มีโอกาสจะเป็นคนรักของคุณได้ 6. ยืดหยุ่น 'คุณไม่ใช่แบบที่ฉันชอบ' - 'คุณก็เหมือนกัน!' คุณอาจคิดว่า คุณรู้ว่าอะไรดึงดูดคุณ แต่... ถ้าคุณมีข้อจำกัดในการเลือกมากเกินไป คุณอาจจะพลาดคนที่จะมาเปิดประตูหัวใจของคุณจริง ๆ แล้วก็ไม่เจอคนอย่างที่คุณวาดภาพไว้ในหัวเลยก็ได้ 7.ให้ระมัดระวังและสังเกต คุณอาจสนุกกับการหาคู่ทางออนไลน์ แต่คุณไม่อาจละเลยการศึกษาหาข้อมูลและการตัดสินใจที่ถูกต้อง ข้อเสียของการรู้จักกันผ่านทางอินเทอร์เน็ตอย่างหนึ่งก็คือ คุณไม่มีคนที่รู้จักเขา คุณก็เลยไม่รู้อะไรเกี่ยวกับอีกฝ่ายเลย ให้ระวังสัญญาณเตือน เมื่อเกิดเรื่องที่ดูไม่ค่อยสมเหตุสมผลขึ้น มีการร้องขอเงินจากคู่เดตใหม่ หรือคนที่ผิดนัดอยู่เรื่อย ๆ คุณควรเลิกติดต่อกับพวกเขา อย่าทำให้ตัวเองต้องมาวุ่นวายใจ เรื่องนี้ ดัดแปลงมาจากรายการ You & Yours ของบีบีซี
|
มีผู้คนนับล้านทั่วโลกคนแสวงหาความรักผ่านโลกออนไลน์
|
Subsets and Splits
No community queries yet
The top public SQL queries from the community will appear here once available.