Dataset Viewer
id
stringlengths 8
27
| url
stringlengths 33
421
| title
stringlengths 10
176
| source
stringlengths 205
21.2k
| target
stringlengths 5
591
|
---|---|---|---|---|
international-40986185
|
https://www.bbc.com/thai/international-40986185
|
หญิงผู้โปรดปรานภูเขาไฟคุกรุ่น
|
โรซาลีเล่าว่า "คุณต้องรู้ถึงอันตรายต่าง ๆ และดูว่าคุณพอจะทำอะไรได้บ้าง ที่ปรึกษาของฉัน ตอนที่เราดู การปะทุขนาดเล็กของภูเขาไฟเอตนา มีเศษวัตถุขนาดเล็กตกลงมา เขาจะบอกเราให้เข้าไปเก็บตัวอย่าง คุณต้องได้รับการฝึกอย่างดี อย่าวิ่ง ให้อยู่กับที่ และมองขึ้นด้านบน ถ้ามีวัตถุขนาดใหญ่ตกลงมาใส่ ก็จะได้หลบออกด้านข้าง" สำหรับผู้ที่ต้องการชมภูเขาไฟคุกรุ่น โรซาลี แนะนำให้ไป วานูอาตู มีภูเขาไฟชื่อ ยาซูร์ ซึ่งมีการปะทุขนาดเล็ก คล้ายกับดอกไม้ไฟ มีความสวยงาม และเป็นภูเขาไฟที่ไปง่าย เธอบอกว่า สามารถขับรถขึ้นไปเกือบถึงปากปล่อง จากนั้นก็มีบันไดคอนกรีต ที่สามารถเดินขึ้นไปได้ และยังมีม้านั่งให้นั่งเล่นด้วย นอกจากภูเขาไฟบนโลก เธอยังพบภูเขาไฟที่คุกรุ่น 71 ลูก บนดวงจันทร์ไอโอของดาวพฤหัสฯ ด้วย
|
โรซาลี โลเปส นักภูเขาไฟวิทยาของนาซาโปรดปรานการปีนภูเขาไฟที่ยังคุกรุ่นอยู่ เพื่อไปชมการปะทุขนาดเล็ก โดยเธอได้เยือนภูเขาไฟที่คุกรุ่นในทุกทวีปทั่วโลกมาแล้ว 63 ลูก
|
international-44426466
|
https://www.bbc.com/thai/international-44426466
|
ฟุตบอลโลก 2018: รวมตัวเลขที่น่าสนใจในอดีต
|
หมายเลข 1 มีเพียง 1 ทีมที่เข้าร่วมเวิลด์คัพทุกครั้ง นั่นคือ บราซิล โดยการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายที่ประเทศรัสเซียที่กำลังจะเริ่มขึ้นเป็นครั้งที่ 21 ของบราซิล หมายเลข 2 2 ประเทศที่ได้เข้ารอบสุดท้ายฟุตบอลโลกครั้งแรกในรัสเซียคือ ไอซ์แลนด์ และ ปานามา ทั้งสองประเทศมีประชากรรวมกันเพียงแค่ 4.4 ล้านคน หมายเลข 3 3 ทีมที่ได้กลับมาเข้ารอบสุดท้ายหลังจากห่างหายไปกว่า 20 ปี ได้แก่ โมร็อกโก, อียิปต์ และ เปรู หมายเลข 4 นับตั้งเข้ารอบเวิลด์คัพครั้งก่อน อียิปต์คว้าชัยชนะ 4 ครั้งในการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติแอฟริกา แต่จนถึงตอนนี้ ยังไม่เคยชนะการเตะนัดไหนเลยในเวิลด์คัพ หมายเลข 5 มีผู้เล่น 5 คนที่เคยได้รับใบแดงถูกไล่ออกจากสนามในการเตะนัดชิงชนะเลิศเวิลด์คัพ รวมถึง ซีเนดีน ซีดาน ปี 2006 ถึงขนาดมีการสร้างรูปปั้น 'หัวโขก' จากเหตุการณ์ที่ทำให้ซีดานได้ใบแดงเลยทีเดียว หมายเลข 6 6 ผู้เล่นของเบลเยี่ยมตั้งแถวสกัดผู้เล่นเพียงคนเดียว เป็นภาพที่โด่งดังในปี 1982 โดยนักเตะเพียงคนเดียวคนนั้นก็คือ ดิเอโก อาร์มันโด มาราโดนา จากอาร์เจนตินา หมายเลข 7 7 ครั้งคือชัยชนะมากสุดในการเตะ กับทีมอื่น ๆ ในเวิลด์คัพ 1 ครั้ง บราซิลทำได้ในปี 2002 ทีมชาติบราซิลปีนั้นมี โรนัลโด นักเตะที่มีทรงผมสุดพิเศษรวมอยู่ด้วย หมายเลข 8 แฮตทริก 8 ครั้ง เกิดขึ้นในปี 1954 มากที่สุดในเวิลด์คัพทุกครั้ง ส่วนการแข่งขันปี 2006 ไม่มีใครทำแฮตทริกได้เลยสักครั้ง หมายเลข 9 9 นัด คือการห้ามลงแข่งขัน เพราะ หลุยส์ ซัวเรซ จากอุรุกวัย กัด จิออร์จิโอ คิเอลลินี 4 ปีต่อมา ซัวเรซ กลับมาอีกครั้ง ส่วนทีมอิตาลีของ คิเอลลินีไม่ผ่านเข้ารอบสุดท้าย หมายเลข 10 10 หมายถึงปี 2010 ซึ่งเป็นครั้้งเดียวที่เจ้าภาพตกรอบแรกในการแข่งเวิลด์คัพ แอฟริกาใต้ครองสถิติที่ไม่มีใครอยากครองนี้อยู่ รัสเซียหวังว่าจะไม่ดำเนินรอยตาม
|
มีสถิติที่น่าสนใจอะไรบ้างตั้งแต่หมายเลข 1 ถึง หมายเลข 10 ในการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
|
international-38740875
|
https://www.bbc.com/thai/international-38740875
|
เพิ่มอักษรรหัสพันธุกรรมอีก 2 ตัว หลังสร้างแบคทีเรียชนิดใหม่สำเร็จ
|
เชื้อแบคทีเรียอีโคไลที่นักวิจัยนำไปตัดต่อพันธุกรรมให้มีคู่เบสในดีเอ็นเอเพิ่มได้สำเร็จ คณะนักวิจัยนานาชาติจากสหรัฐฯ จีน และฝรั่งเศส ซึ่งทำงานที่สถาบันวิจัย Scripps Research Institute ในรัฐแคลิฟอร์เนีย ตีพิมพ์ผลการศึกษาดังกล่าวลงในวารสาร PNAS โดยใช้เทคนิคล้ำสมัยในการดัดแปลงรหัสพันธุกรรมของเชื้อแบคทีเรียอีโคไลให้มีคู่เบสที่ผิดแผกจากธรรมชาติ (UBP) เพิ่มเข้ามาสองตัว โดยใช้ตัวอักษรแทนคู่เบสนี้ว่า X และ Y ซึ่งเทคนิคล่าสุดจะทำให้คู่เบสนี้คงอยู่ในดีเอ็นเอของแบคทีเรียไปตลอด ไม่ว่าจะมีการแบ่งตัวของเซลล์และทำสำเนาดีเอ็นเอซ้ำกี่ครั้งก็ตาม ศาสตราจารย์ ฟลอยด์ โรเมสเบิร์ก หนึ่งในทีมวิจัยกล่าวว่า เคยมีการดัดแปลงพันธุกรรมของแบคทีเรียอีโคไลในลักษณะนี้มาแล้ว แต่เชื้อแบคทีเรียที่ได้เติบโตช้า และคู่เบส X และ Y ไม่ถูกทำสำเนาซ้ำเมื่อเซลล์แบ่งตัวไปหลายครั้ง แต่ในการทดลองครั้งใหม่นี้ ใช้ตัวส่งผ่านระดับโมเลกุลที่ทำให้เชื้ออีโคไลรับคู่เบส X และ Y เข้าสู่เซลล์ได้ดีขึ้น และทำให้เบส Y ถูกเอ็นไซม์ที่สังเคราะห์โมเลกุลเพื่อทำสำเนาดีเอ็นเอตรวจจับได้ง่ายขึ้น เทคนิคดังกล่าวทำให้เซลล์แบคทีเรียแบ่งตัวโดยยังคงมีสำเนาของคู่เบส X และ Y ติดตัวไปตลอด แม้จะทำซ้ำถึง 60 ครั้งก็ตาม ซึ่งแสดงถึงความสำเร็จในการเข้าแทรกแซงควบคุมกระบวนการทางพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตอีกขั้นหนึ่ง ซึ่งอาจเป็นกุญแจไขไปสู่การค้นพบทางชีววิทยาใหม่ ๆ และยาปฏิชีวนะที่ต้านทานเชื้อดื้อยาอย่างรุนแรง หรือซูเปอร์บั๊กได้
|
นักวิทยาศาสตร์ได้เพิ่มตัวอักษรแทนลำดับเบสในรหัสพันธุกรรม (ดีเอ็นเอ) ของสิ่งมีชีวิตอีก 2 ตัวคือ X และ Y นอกเหนือไปจากตัวอักษรพื้นฐาน 4 ตัวที่มีมาแต่เดิมคือ A T G C หลังใช้เทคนิคตัดต่อพันธุกรรมล่าสุดสร้างแบคทีเรียที่มีรหัสพันธุกรรมผิดแผกจากธรรมชาติได้สำเร็จ และคาดว่าแบคทีเรียนี้จะนำไปสู่การคิดค้นยารักษาโรคเช่นยาปฏิชีวนะประเภทใหม่ได้
|
international-43917108
|
https://www.bbc.com/thai/international-43917108
|
"คิม จอง อึน" ข้ามชายแดนมายังเขตเกาหลีใต้เพื่อประชุมสุดยอดสองผู้นำเกาหลีแล้ว
|
นายมุน แจ อิน ประธานาธิบดีเกาหลีใต้เดินทางมาถึงชายแดนระหว่างสองประเทศเมื่อเวลา 9.30 น. หรือ เวลา 7.30 น. ตามเวลาในไทย ก่อนการประชุมสุดยอดจะเริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ นี่จะเป็นการหารือครั้งประวัติศาสตร์ระหว่างนายคิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือ และประธานาธิบดีเกาหลีใต้ โดยจะให้ความสำคัญกับข้อเสนอล่าสุดของทางการเกาหลีเหนือที่ต้องการยุติโครงการพัฒนาขีปนาวุธและโครงการนิวเคลียร์ และคาดว่าจะมีการลงนามในข้อตกลงร่วมกันระหว่างสองผู้นำและจะมีการกล่าวแถลงการณ์ร่วมอีกด้วย ทั้งนี้ การประชุมสุดยอดดังกล่าวถือเป็นการโหมโรงก่อนที่จะมีการประชุมระหว่างนายคิมและประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ในช่วงต้นเดือน มิ.ย. นี้ ซึ่งถือว่าเป็นเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญของโลก เนื่องจากไม่เคยมีผู้นำคนใดที่ยังคงดำรงตำแหน่งจากสองประเทศ ได้เคยร่วมหารือกันมาก่อน สิ่งที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในวันประวัติศาสตร์
|
นายคิม จอง อึน ได้กลายเป็นผู้นำคนแรกของเกาหลีเหนือที่ได้ย่างเท้าเข้ามายังเขตของเกาหลีใต้ ผ่านเส้นพรมแดนที่แบ่งแยกคาบสมุทรเกาหลีออกจากกันนับตั้งแต่สงครามเกาหลีสิ้นสุดในปี 1953
|
thailand-42242212
|
https://www.bbc.com/thai/thailand-42242212
|
ประวิตรมีทรัพย์เท่าไร ถึงใส่นาฬิกาเรือนละหลายล้านบาทได้
|
พล.อ.ประวิตร ยังยิ้มสู้ พร้อมแจงหลักฐานการครอบครองนาฬิกาหรูด้วยตัวเอง หลักเกณฑ์การยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช กำหนดให้ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองยื่นบัญชีดังกล่าว 3 กรณีด้วยกัน คือ เมื่อเข้ารับตำแหน่ง เมื่อพ้นตำแหน่ง และหลังพ้นจากตำแหน่งครบหนึ่งปี โดยในกรณีของ พล.อ.ประวิตร นั้น มีการยื่นเพียงครั้งเดียวเนื่องจากไม่เคยโยกย้ายตำแหน่งแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม ในจำนวนทรัพย์สินดังกล่าวไม่ปรากฏ "ทรัพย์สินอื่น" ซึ่งกำหนดให้แจ้งหากมีมูลค่าตั้งแต่สองแสนบาทขึ้นไป แต่อย่างใด พล.อ.ประวิตร ยังยิ้มสู้พร้อมแจงหลักฐานด้วยตัวเอง แม้ว่าจะถูกกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมเกี่ยวกับการครอบครองนาฬิกาหรู ในวันนี้ (6 ธ.ค.) พล.อ.ประวิตร ยังคงปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนต่อกรณีดังกล่าว โดยระบุเพียงว่าจะไปชี้แจงต่อต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ด้วยตัวเอง พร้อมย้ำว่าที่ผ่านมาไม่เคยมีเรื่องทุจริต บัญชีทรัพย์สินที่ยื่นต่อ ป.ป.ช เมื่อปี 2557 87,373,757 บาท คือ ทรัพย์สินโดยรวม 53,197,562 บาท เป็นเงินฝาก 7, 076,195 บาท เป็นเงินลงทุน 17 ล้านบาท เป็นที่ดิน 10 ล้านบาท เป็นโรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง และยานพาหนะอีก 1 แสนบาท ในขณะที่เว็บไซต์ข่าวมติชนวันที่ 5 ธ.ค. อ้างข้อมูลจากเพจเฟซบุ๊กอย่าง CSI LA ที่ระบุว่านาฬิกาของ พล.อ.ประวิตร นั้นมีราคาอย่างน้อย 10 ล้านบาท แต่ "ดร.บอย" คอลัมนิสต์ประจำนิตยสารนาฬิกา QP บอกกับบีบีซีไทยว่า นาฬิกาของ พล.อ.ประวิตร น่าจะเป็นรุ่น RM 010 ซึ่งราคาไม่ต่ำกว่า 3 ล้านบาท แต่ไม่ใช่รุ่นที่ราคาถึง 10 ล้านบาท แบบที่นักแสดงและผู้มีชื่อเสียงระดับโลกใส่ อย่างที่หลายฝ่ายพูดถึง ด้าน พล.อ.ประวิตร กล่าวถึงกระแสวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการสวมนาฬิกา ในการประชุมคณะรัฐมนตรีนัดแรกว่า ไม่รู้จะวิจารณ์กันทำไมมากมาย โดยนาฬิกา "เป็นของเดิมที่เคยใส่เป็นประจำ" สิ่งที่น่าสังเกตอีกประการหนึ่งคือ ในขณะที่คาดว่านาฬิกาของ พล.อ.ประวิตร มีมูลค่าราว 3 ล้านบาท ยานพาหนะที่แจ้งไว้ในบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินกลับมีมูลค่าเพียง 1 แสนบาท หาก "ของเดิม" ที่ว่า มีมาก่อนการเข้ารับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จะหมายความว่า พล.อ.ประวิตร ไม่ได้แจ้ง "ทรัพย์สินอื่น" ตามที่กฎเกณฑ์กำหนด แต่หากเป็น "ของเดิม" ที่เพิ่งซื้อหลังจากนั้น ก็อาจหมายความว่าเป็นการซื้อจากเงินเดือนในตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี หรือรายได้ประจำที่เแจ้งไว้บัญชีแสดงรายการทรัพย์สินอย่าง เงินเบี้ยหวัด บำเหน็จ บำนาญ และเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดและบำนาญ ปีละ 874,308 บาท
|
การยกมือขึ้นบังแดดของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ระหว่างรอถ่ายรูปกับคณะรัฐมนตรีใหม่ "ประยุทธ์ 5" เมื่อวันที่ 4 ธ.ค. กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการตั้งคำถามว่าเหตุใด นาฬิกาเรือนโตยี่ห้อ Richard Mille จึงไม่ปรากฏอยู่ในประเภท "ทรัพย์สินอื่น" ที่มีราคามากกว่าสองแสนบาท ในบัญชีทรัพย์สินที่ยื่นต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช ของ พล.อ.ประวิตร เมื่อครั้งเข้ารับตำแหน่ง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เมื่อ ปี 2557
|
thailand-47445713
|
https://www.bbc.com/thai/thailand-47445713
|
ศาลอาญายกฟ้อง 21 จำเลยคดีพันธมิตรฯ ปิดล้อมรัฐสภา หลังศาลฎีกาจำคุก 6 แกนนำคดียึดทำเนียบฯ
|
พิภพ ธงไชย, สมศักดิ์ โกศัยสุข, สนธิ ลิ้มทองกุล (จากซ้ายไปขวา) คือ 3 จาก 5 แกนนำคนสำคัญของกลุ่มพันธมิตรฯ กลุ่มพันธมิตรฯ นำโดยนายสนธิ ลิ้มทองกุล นักธุรกิจเจ้าของสื่อเครือผู้จัดการ เป็นกลุ่มที่ต่อต้านนายทักษิณ ชินวัตร และรัฐบาลภายใต้การนำของนายสมัคร สุนทรเวช และนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ซึ่งพวกเขามองว่าตกอยู่ใต้อิทธิพลของนายทักษิณ ในคดีปิดล้อมรัฐสภา พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 10 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำพันธมิตรฯ และอดีตแกนนำพันธมิตรฯ และแนวร่วมคนอื่น ๆ รวม 21 คน เป็นจำเลยที่ 1 - 21 ความผิดที่โจทก์ฟ้อง มี 5 ข้อหา รวมถึง ใช้กำลังข่มขืนใจหรือใช้กำลังประทุษร้ายเพื่อให้เกิดความปั่นป่วนหรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน ถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร หรือเพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน เมื่อวันที่ 4 มี.ค. ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ได้อ่านคำพิพากษายกฟ้องจำเลยทั้ง 21 คน โดยข้อความตอนหนึ่งระบุว่า ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานที่นำสืบของคู่ความทั้งสองเเล้ว เห็นว่าการที่เเกนนำปราศรัยให้ประชาชนมาชุมนุมขับไล่รัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ที่ถูกมองว่าเป็นตัวเเทนของ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร (ยศขณะนั้น) เป็นการปราศรัยให้ความรู้ต่อประชาชนในการตรวจสอบการทุจริตของรัฐบาล เเละกรณีที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรค รวมถึงคดีที่ทำให้กัมพูชาได้ขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก กรณีความวุ่นวายในการชุมนุมช่วงเช้าวันที่ 7 ต.ค. 2551 ตามการรายงานของข่าวสด ศาลระบุว่า เป็นความวุ่นวายที่เกิดขึ้นจากการถูกละเมิดสิทธิ ไม่ใช่ว่าการชุมนุมที่ผ่านมาของกลุ่มจำเลยก่อนหน้านั้นจะไม่สงบ อีกทั้งการชุมนุมของจำเลยทั้ง 21 เป็นการชุมนุมเเสดงสัญลักษณ์ มีการปราศรัยที่สมเหตุผล ห้ามปรามไม่ให้ก่อความรุนเเรง ถือเป็นการชุมนุมโดยสงบตามรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 มาตรา 63 ได้รองรับไว้ เเละเเม้จะมีการกีดขวางกระทบการจราจรไปบ้าง เเต่ก็เป็นปกติของการชุมนุมเเสดงออกตามสิทธิ การชุมนุมตั้งเเต่วันที่ 5-7 ต.ค. ไม่ปรากฏว่ามีความรุนเเรงหรือมีผู้ใดฝ่าฝืนทำให้ทรัพย์สินเสียหาย ส่วนกรณีความวุ่นวายในการชุมนุมช่วงเช้าวันที่ 7 ต.ค. 2551 ศาลระบุว่า เริ่มจากมีเจ้าหน้าที่ตำรวจใช้กำลังยิงเเก๊สน้ำตาสลายการชุมนุมเปิดทางให้นายสมชาย เข้าไปเเถลงนโยบายต่อรัฐสภา โดยพลันด่วน ทำให้ผู้ชุมนุมซึ่งไม่ทันตั้งตัวเเละได้รับบาดเจ็บความเสียหายไม่สามารถระงับอารมณ์ ขว้างปาขวดน้ำสิ่งของโต้ตอบ กรณีเป็นความวุ่นวายที่เกิดขึ้นจากการถูกละเมิดสิทธิ ไม่ใช่ว่าการชุมนุมที่ผ่านมาของกลุ่มจำเลยก่อนหน้านั้นจะไม่สงบ นอกจากนี้ศาลยังระบุว่า อีกทั้งเหตุการณ์อื่นตามฟ้องของอัยการก็ไม่ปรากฏว่า มีเเกนนำไปอยู่บริเวณที่เกิดเหตุที่จะเกี่ยวข้อง เเละเป็นผลต่อเนื่องจากการที่ผู้ชุมนุมถูกสลายการชุมนุมเมื่อช่วงเช้าวันที่ 7 ต.ค. การกระทำของจำเลยทั้ง 21 จึงเป็นการชุมนุมโดยสงบตามรัฐธรรมนูญ พิพากษายกฟ้อง ด้านทนายฝ่ายจำเลยระบุภายหลังรับฟังคำพิพากษาว่า ต้องรอดูว่าอัยการจะยื่นอุทธรณ์คดีหรือไม่ ถ้าไม่อุทธรณ์ก็เป็นบุญของเรา จะได้เบาลงหน่อย นายสนธิ ลิ้มทองกุล (ซ้าย) และ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ ก่อนหน้านี้มื่อ 13 ก.พ. 2561 ศาลฎีกามีคำพิพากษาคดีที่อดีตแกนนำพันธมิตรฯ บุกยึดทำเนียบรัฐบาล ระหว่างวันที่ 26 ส.ค. - 3 ธ.ค. 2551 โดยแกนนำพันธมิตร 6 คน ถูกตัดสินจำคุก คนละ 8 เดือนโดยไม่รอลงอาญา จำเลยดังกล่าวประกอบด้วย พล.ต. จำลอง ศรีเมือง อายุ 83 ปี, นายสนธิ ลิ้มทองกุล อายุ 70 ปี, นายพิภพ ธงไชย อายุ 72 ปี, นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ อายุ 68 ปี, นายสมศักดิ์ โกศัยสุข อายุ 72 ปี แกนนำพันธมิตรฯ และนายสุริยะใส กตะศิลา อายุ 45 ปี อดีตผู้ประสานงานพันธมิตรฯ เว็บไซต์ข่าวสดรายงานว่า อัยการโจทก์ฟ้องระบุความผิดสรุปว่า เมื่อวันที่ 25 พ.ค. 2551 ผู้ชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯ ซึ่งมีจำเลยดังกล่าวเป็นแกนนำจัดปราศรัยชักชวนประชาชนเข้าร่วมชุมนุมที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถ.ราชดำเนิน เพื่อกดดันให้ นายสมัคร สุนทรเวช ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ศาลอาญาพิพากษายกฟ้องคดีที่กลุ่มพันธมิตรปิดล้อมรัฐสภาเมื่อวันที่ 7 ต.ค. 2551 ผู้ชุมนุมเคลื่อนขบวนฝ่าแนวกั้นของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ไปทำเนียบรัฐบาลและกระจายกำลังปิดล้อมสถานที่ราชการ เช่น สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย และสถานีวิทยุกระจายเสียง กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรฯ ต่อมาหลังจากนายสมัคร พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตามคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญ แล้วนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ขึ้นดำรงตำแหน่งแทน และมีกำหนดวันแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ในวันที่ 7 ต.ค. 2551 ปรากฏว่าวันที่ 26 ส.ค. 2551 เวลากลางวัน จำเลยกับพวก ได้เคลื่อนขบวนไปยังทำเนียบรัฐบาล โดยปิดล้อมทางเข้าออกทำเนียบทุกด้าน ได้ใช้เครื่องมือทำลายกุญแจประตูทำเนียบ และทำลายแผงกั้นที่เจ้าหน้าที่ใช้ควบคุมดูแลความสงบในทำเนียบ จนถึงวันที่ 3 ธ.ค. 2551 พวกจำเลยซึ่งไม่ได้รับอนุญาต ได้ร่วมกันรื้อทำลายสิ่งกีดขวางแล้วปีนรั้วเข้าไปในทำเนียบรัฐบาล รวมทั้งนำรถยนต์ 6 ล้อที่ติดเครื่องขยายเสียงขนาดใหญ่ ไปจอดหน้าตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาลแล้วผลัดเปลี่ยนกันขึ้นปราศรัย ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำพิพากษายกฟ้อง 4 จำเลย คดีสลายชุมนุมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) 7 ต.ค. 2551 รวมถึงนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในช่วงเกิดเหตุ และช่วงวันที่ 26 ส.ค. - 3 ธ.ค. 2551 ระหว่างที่พวกจำเลยจัดเวทีปราศรัยในทำเนียบรัฐบาลซึ่งมีผู้ชุมนุมจำนวนมาก เหยียบสนามหญ้าและต้นไม้ประดับจนตาย และยังทำให้ระบบสปริงเกอร์อัตโนมัติ ระบบไฟสนาม หน้าตึกไทยคู่ฟ้าและหน้าตึกสันติไมตรี ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ได้รับความเสียหายรวม 5 ล้านบาท อีกทั้งเมื่อมีฝนตกทำให้น้ำฝนซึมเข้าขังในถุงดำที่ห่อหุ้มกล้องวงจรปิด ทำให้ระบบอิเล็กโทรนิกส์ของกล้องเสียหายรวม 10 ตัว ค่าเสียหายอีก 1,766,548 บาท โดยจำเลยทั้ง 6 คนให้การปฏิเสธ ข่าวสดรายงานว่า ศาลพิจารณาฎีกาของจำเลยทั้ง 6 แล้วเห็นว่า ไม่ได้เป็นการชุมนุมโดยสงบตามที่จำเลยอ้าง เพราะพฤติการณ์ของจำเลยและผู้ชุมนุมได้ปีนรั้วเข้าทำเนียบรัฐบาลที่ล็อกไว้ และอยู่ต่อเนื่อง ทำลายทรัพย์สินเสียหาย ดังนั้นที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยทั้ง 6 ฐานร่วมกันบุกรุกทำให้เสียทรัพย์นั้นชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยทั้ง 6 ฟังไม่ขึ้น กลุ่มพันธมิตรบุกยึดทำเนียบระหว่าง 26 ส.ค. - 3 ธ.ค. 2551 ส่วนที่จำเลยทั้ง 6 ฎีกาขอให้ลงโทษสถานเบาหรือรอการลงโทษนั้น ศาลเห็นว่าเมื่อการกระทำของจำเลยทั้ง 6 และพวก ได้บุกเข้าทำเนียบซึ่งแม้เป็นสาธารณสมบัติ แต่ก็เป็นสถานที่บริหารราชการแผ่นดิน เป็นศูนย์รวมหน่วยงานราชการหลายแห่ง มีการทำลายทรัพย์สินหลายรายการ ดังนั้นที่ศาลอุทธรณ์ลงโทษจำคุกจำเลยทั้ง 6 เป็นเวลา 8 เดือน ไม่รอลงอาญานั้นเหมาะสมแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย พิพากษายืน รายงานของฮิวแมนไรท์วอทช์เกี่ยวกับเหตุการณ์ในประเทศไทย ปี 2551 ระบุเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า กลุ่มพันธมิตรฯ ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 25 พ.ค. 2551 และได้เริ่มการประท้วงต่อต้านรัฐบาลอย่างยืดเยื้อทั้งในกรุงเทพฯ และจังหวัดอื่น ๆ โดยระบุว่า รัฐบาลสมัคร สุนทรเวช และรัฐบาลสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ซึ่งเป็นน้องเขยของนายทักษิณ เป็นหุ่นเชิดตัวแทนของนายทักษิณ รวมทั้งยังได้กล่าวหารัฐบาลว่า ฉ้อราษฎร์บังหลวง ใช้อำนาจโดยมิชอบ และไม่รักชาติ ผู้ประท้วงได้ปิดถนนและการจราจรในกรุงเทพฯ นานหลายเดือน ระหว่างนั้นได้เกิดเหตุการณ์ที่กลุ่มที่สนับสนุนรัฐบาลใช้กำลังทำร้ายผู้เข้าร่วมชุมนุมของพันธมิตรฯ หลายครั้ง โดยที่ตำรวจไม่ได้ดำเนินการป้องกันและระงับเหตุอย่างจริงจัง ปัจจุบันแกนนำกลุ่มพันธมิตร เผชิญคดีที่ยังไม่ถึงที่สุดรวม 6 คดี แบ่งเป็น คดีอาญา 4 คดี และคดีแพ่งอีก 2 คดี ได้แก่ คดีก่อการร้ายจากการชุมนุมปิดสนามบินปี 2551 (คดีหมายเลขดำ อ.973/2556), คดีชุมนุมปิดล้อมรัฐสภาปี 2551 (คดีหมายเลขดำ อ.4924/2555), คดีชุมนุมดาวกระจายขับไล่รัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช ปี 2551 (คดีหมายเลขดำ อ.3973/2558), คดีชุมนุมต้านการขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก ผิด พ.ร.บ.มั่นคง เมื่อปี 2554 (คดีหมายเลขดำ อ.607/2548), คดีฟ้องละเมิดเรียกค่าเสียหายจากการชุมนุมปิดสนามบินปี 2551 (คดีหมายเลขดำ 6453/2551), และคดีฟ้องละเมิดเรียกค่าเสียหายจากการชุมนุมปิดสนามบินปี 2551 โดยบริษัท วิทยุการบิน เรียกค่าเสียหายกว่า 103 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี (คดีหมายเลขดำ 6412/2552)
|
ในปี 2551 กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ได้ชุมนุมบุกยึดทำเนียบรัฐบาลในสมัยที่นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี และชุมนุมปิดล้อมรัฐสภา เพื่อไม่ให้นายกรัฐมนตรีแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ทำให้แกนนำถูกฟ้อง และศาลฎีกาเพิ่งมีคำตัดสินเมื่อไม่นานนี้ ให้จำคุกแกนนำ 6 คน เป็นเวลา 8 เดือนในคดีบุกยึดทำเนียบ ส่วนคดีปิดล้อมรัฐสภา ศาลอาญายกฟ้อง วานนี้ (4 มี.ค.)
|
features-45563976
|
https://www.bbc.com/thai/features-45563976
|
ศิลปะลวงตาบนเรือนร่าง
|
ศิลปินวัย 25 ปีผู้นี้ โด่งดังจากการโพสต์ภาพแต่งหน้าทางอินสตาแกรม ซึ่งมีผู้ติดตามเกือบ 4 แสนคน และยังเคยได้รับเชิญไปออกรายการโทรทัศน์ของพิธีกรชื่อดังชาวอเมริกัน เอลเลน ดีเจนเนอเรส เธอเล่าว่า สิ่งที่เธอทำ คืองานศิลปะอีกแขนงหนึ่งซึ่งใช้เครื่องสำอางวาดไปบนในหน้าและร่างกายของตัวเอง เพื่อทำหน้าที่เสมือนกระจกเงาสะท้อนสิ่งที่คนเรามองโลก ทาอิน ยูน บอกว่า ดวงตาคือสิ่งน่าสนใจในงานศิลปะของเธอ เพราะเธอคิดว่าดวงตาคือประตูเชื่อมผู้คนเข้าหากัน และแม้คนเราจะใช้ชีวิตด้วยดวงตาที่เปิดกว้าง แต่หลายครั้งเรากลับมองอะไรด้วยมุมมองที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง "ผู้คนใช้ชีวิตอยู่กับภาพลวงตา" เธอเขียนในโพสต์หนึ่งทางอินสตาแกรม "ผู้คนมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ไปตามความคิดเห็นส่วนตัว เช่น เวลาที่มองท้องฟ้า พวกเขาก็คิดว่าท้องฟ้ามีแต่สีฟ้า ทั้งที่ในความเป็นจริงท้องฟ้าประกอบไปด้วยสีต่าง ๆ มากมาย...ภาพลวงตาบิดเบือนความจริงและมุมมองของผู้คน"
|
ทาอิน ยูน ไม่ใช่นักมายากล แต่เธอคือศิลปินชาวเกาหลีใต้ผู้ใช้เรือนร่างของตัวเองแทนผืนผ้าใบสร้างสรรค์งานศิลปะภาพลวงตาที่ทำให้ผู้พบเห็นต้องทึ่งและอาจไม่เชื่อสายตาตัวเอง
|
international-47846927
|
https://www.bbc.com/thai/international-47846927
|
ผู้หญิง : รู้จักเศรษฐีนีผู้ร่ำรวยที่สุดในโลก
|
นางแมคเคนซี เบซอส จะถือหุ้น 4% ของอาณาจักรธุรกิจอีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่ของโลกอย่าง แอมะซอน สัปดาห์ที่ผ่านมา นายเจฟฟ์ เบซอส ผู้ก่อตั้งและซีอีโอแอมะซอน กับนางแมคเคนซี เบซอส ภรรยา บรรลุข้อตกลงหย่าได้สำเร็จ โดยนางเบซอส จะถือหุ้น 4% ของอาณาจักรธุรกิจอีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่ของโลกอย่าง แอมะซอน ซึ่งหุ้นดังกล่าวมีมูลค่า 3.56 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 1.13 ล้านล้านบาท) ทำให้เธอกลายเป็นผู้หญิงร่ำรวยอันดับที่ 3 ของโลก และเป็นบุคคลร่ำรวยที่สุดอันดับที่ 24 ของโลก แล้วใครครองตำแหน่งผู้หญิงที่มีฐานะร่ำรวยที่สุดในโลก 1. ฟร็องซัวส์ เบตตองกูร์ต-เมแยร์ส มีทรัพย์สินรวม 4.93 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 1.57 ล้านล้านบาท) เป็นบุคคลร่ำรวยอันดับที่ 15 ของโลก เธอคือใคร นางเบตตองกูร์ต-เมแยร์ส เป็นทายาทของธุรกิจเครื่องสำอางชื่อดัง ลอรีอัล ซึ่งเธอและครอบครัวถือหุ้น 33% ของอาณาจักรสินค้าความงามแห่งนี้ เศรษฐีนี วัย 65 ปีผู้นี้ รับมรดกความมั่งคั่งจากนางลิเลียน เบตตองกูร์ส มารดาที่เสียชีวิตลงเมื่อเดือน ก.ย.2017 ขณะมีอายุ 94 ปี ทั้งคู่มีความสัมพันธ์ไม่ราบรื่นนัก โดยมีปัญหาความขัดแย้งกันมาตั้งแต่ปี 2007 นางเบตตองกูร์ต-เมแยร์ส ยื่นฟ้องต่อศาลจากความกังวลว่ามารดาที่มีสุขภาพย่ำแย่กำลังถูกกลุ่มคนสนิทแสวงหาผลประโยชน์ และทั้งสองได้กลับมาคืนดีกันหลายปีก่อนที่นางเบตตองกูร์ส จะเสียชีวิตลง นางเบตตองกูร์ต-เมแยร์ส ยังเป็นนักวิชาการ และออกหนังสือเกี่ยวกับเทพเจ้ากรีก และความสัมพันธ์ระหว่างชาวยิวกับชาวคริสต์ 2. อลิซ วอลตัน มีทรัพย์สินรวม 4.44 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 1.41 ล้านล้านบาท) เป็นบุคคลร่ำรวยอันดับที่ 17 ของโลก เธอคือใคร นางวอลตัน วัย 69 ปี เป็นบุตรสาวคนเดียวของนายแซม วอลตัน ผู้ก่อตั้งธุรกิจซูเปอร์มาร์เก็ตยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ อย่าง วอลมาร์ท ในขณะที่พี่น้องผู้ชายทั้ง 2 คนช่วยธุรกิจครอบครัว แต่นางวอลตันกลับเลือกที่จะมุ่งทำงานด้านศิลปะ และกลายเป็นประธาน Crystal Bridges Museum of American Art พิพิธภัณฑ์ศิลปะในเมืองเบนตันวิลล์ รัฐอาร์คันซอ บ้านเกิดของเธอและครอบครัว 3. แมคเคนซี เบซอส มีทรัพย์สินรวม อย่างน้อย 3.56 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 1.13 ล้านล้านบาท) ซึ่งเป็นมูลค่าหุ้นแอมะซอนเพียงอย่างเดียว แต่คาดว่ามูลค่าทรัพย์สินรวมที่แท้จริงของเธอจะสูงกว่านี้ ดังนั้นเราคงต้องรอดูการจัดอันดับบุคคลร่ำรวยที่สุดในโลกประจำปี 2020 ของนิตยสารฟอร์บสว่าทรัพย์สินของเธอจะเพิ่มขึ้นกว่านี้เท่าใด เธอคือใคร นางเบซอส วัย 48 ปี มีลูก 4 คนกับผู้ก่อตั้งแอมะซอน โดยทั้งคู่แต่งงานกันเมื่อปี 1993 หลังจากพบรักขณะทำงานด้วยกันที่กองทุนบริหารความเสี่ยง หรือ เฮดจ์ฟันด์แห่งหนึ่ง นางเบซอส ซึ่งเป็นชาวแคลฟอร์เนีย คือหนึ่งในลูกจ้างคนแรก ๆ ของแอมะซอน โดยทำงานในตำแหน่งพนักงานบัญชี เธอเคยเขียนหนังสือที่ได้รับเสียงตอบรับที่ดี 2 เรื่อง โดยเข้าฝึกเป็นนักเขียนกับ โทนี มอร์ริสัน นักเขียนนวนิยายเจ้าของรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม ซึ่งชื่นชมว่านางเบซอส คือหนึ่งในลูกศิษย์ฝีมือดีที่สุดของเธอ นอกจากงานเขียนแล้ว นางเบซอส ยังก่อตั้งองค์กรต่อต้านการกลั่นแกล้งรังแก Bystander Revolution ซึ่งส่งเสริมให้ผู้คนมีความเมตตา ความกล้าหาญ และความใจกว้าง ไม่แบ่งแยกกีดกันผู้อื่น 4. แจคเกอลีน มาร์ส มีทรัพย์สินรวม 2.39 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 7.62 แสนล้านบาท) เป็นบุคคลร่ำรวยอันดับที่ 33 ของโลก (อันดับนี้จัดขึ้นก่อนจะมีการบรรลุข้อตกลงเรื่องแบ่งทรัพย์สินของนางเบซอสสำเร็จ ซึ่งจะมีผลต่อบุคคลร่ำรวยในอันดับต่อจากนี้) เธอคือใคร สตรีวัย 79 ปีผู้นี้เป็นเจ้าของ 1 ใน 3 ของธุรกิจขนมหวานยักษ์ใหญ่อย่าง มาร์ส ซึ่งก่อตั้งขึ้นโดยนายแฟรงก์ มาร์ส เมื่อปี 1911 เธอทำงานให้ธุรกิจครอบครัวเกือบ 20 ปี และนั่งอยู่ในตำแหน่งกรรมการบริหารบริษัทจนถึงปี 2016 ปัจจุบันเธอหันมาทำงานเพื่อการกุศล โดยนั่งเก้าอี้กรรมการบริหาร Washington National Opera โรงละครโอเปร่าแห่งชาติในกรุงวอชิงตัน ดีซี และหอจดหมายเหตุแห่งชาติของสหรัฐฯ เป็นต้น อีกเรื่องที่คุณอาจไม่รู้เกี่ยวกับบริษัทมาร์ส ก็คือ บริษัทนี้ยังเป็นผู้ผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงรายใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในสหรัฐฯ ด้วย 5. หยาง ฮุยหยาน มีทรัพย์สินรวม 2.21 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 7.07 แสนล้านบาท) เป็นผู้หญิงที่ร่ำรวยที่สุดในจีน และเป็นบุคคลร่ำรวยอันดับที่ 42 ของโลก เธอคือใคร หญิงสาววัย 37 ปีที่จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยโอไฮโอสเตต ในสหรัฐฯ ผู้นี้ ถือหุ้น 57% ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่ของจีนอย่าง คันทรี การ์เด้น โฮลดิ้งส์ ซึ่งเติบโตจากภาคอสังหาริมทรัพย์ที่เฟื่องฟูของจีน โดยหุ้นดังกล่าวเป็นมรดกที่เธอได้รับมาจากบิดา ข้อมูลจากเว็บไซต์บริษัท ระบุว่า คันทรี การ์เด้น โฮลดิ้งส์ เป็นบริษัทผู้พัฒนาด้านอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่อันดับ 3 ของโลกในปี 2016 6. ซูซานเน คลัตเตน มีทรัพย์สินรวม 2.1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 6.72 แสนล้านบาท) เป็นบุคคลร่ำรวยอันดับที่ 46 ของโลก เธอคือใคร ความมั่งคั่งของสตรีชาวเยอรมันวัย 56 ปี ผู้นี้มาจากธุรกิจรถยนต์และเวชภัณฑ์ โดยเธอได้รับมรดกจากพ่อแม่ที่เสียชีวิตเป็นหุ้น 50% ของบริษัทเคมีภัณฑ์ อัลตานา เอจี นอกจากนี้เธอกับน้องชายยังเป็นเจ้าของหุ้นเกือบ 50% ของบีเอ็มดับเบิลยูด้วย นับแต่ได้รับมรดกหุ้นของอัลตานา เอจี เธอได้ทำให้ธุรกิจนี้เป็นเอกชนและเป็นของเธอเพียงผู้เดียว นอกจากนี้ยังซื้อหุ้นในอีกหลายบริษัท ตั้งแต่ธุรกิจพลังงานจากลม ไปจนถึงแร่แกรไฟท์ที่ใช้ในการทำไส้ดินสอ เบ้าหลอมโลหะ และไส้ถ่านไฟฉาย เป็นต้น 7. ลอเรนซ์ โพเวลล์ จอบส์ มีทรัพย์สินรวม 1.86 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 5.95 แสนล้านบาท) เป็นบุคคลร่ำรวยอันดับที่ 54 ของโลก เธอคือใคร เธอคือภรรยาหม้ายของ สตีฟ จอบส์ ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทแอปเปิล โดยหลังจากเขาเสียชีวิตลงเธอและครอบครัวก็ได้รับหุ้นบริษัทแอปเปิลและดิสนีย์ มูลค่า 2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 6.4 แสนล้านบาท) นับจากนั้น หญิงวัย 55 ปีผู้นี้ ก็นำเงินไปลงทุนในด้านสิ่งพิมพ์ โดยซื้อหุ้นใหญ่ของนิตยสารดิแอตแลนติก รวมทั้งลงทุนในสำนักพิมพ์ที่ไม่แสวงหาผลกำไร เช่น มาเธอร์โจนส์ และโปรพับลิกา นอกจากนี้เธอยังลงทุนในโรงเรียนสอนเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ และก่อตั้ง เอเมอร์สัน คอลเลคทีฟ องค์กรที่ทำงานช่วยเหลือผู้อพยพและปฏิรูปการศึกษา เมื่อเดือน พ.ค.ปี 2018 นางโพเวลล์ จอบส์ ทุ่มเงิน 16.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 537 ล้านบาท) ซื้อคฤหาสน์หรูในนครซานฟรานซิสโกที่มีวิวมองเห็นสะพานสะพานโกลเดนเกตอันโด่งดัง
|
เมื่อชายผู้ร่ำรวยที่สุดในโลกหย่าขาดจากภรรยา ทั่วโลกจึงจับตามองไปที่เรื่องการแบ่งทรัพย์สินมูลค่ามหาศาล
|
international-46389378
|
https://www.bbc.com/thai/international-46389378
|
อะไรคืออุปสรรคที่ขวางกั้นไม่ให้ผู้หญิงในศตวรรษที่ 21 ใช้ชีวิตในแบบที่พวกเธอต้องการ
|
โครงการ Freedom Trashcan ของบีบีซีคือการประท้วงในรูปแบบดิจิทัลของการประท้วงอันโด่งดังของกลุ่มนักสตรีนิยมชาวอเมริกันเมื่อปี 1978 เราขอถามผู้หญิงทั่วโลกว่าสิ่งของอะไรทำให้พวกเธอรู้สึกว่าเป็นอุปสรรคในการใช้ชีวิตในแบบที่พวกเธอต้องการ อ่านเรื่องอื่น ๆ ใน 100 Women ของบีบีซี
|
โครงการ Freedom Trash Can พาไปค้นหาว่าสิ่งของใดเป็นสัญลักษณ์ของอุปสรรคที่ขวางกั้นไม่ให้ผู้หญิงในศตวรรษที่ 21 บรรลุศักยภาพสูงสุดของตนเอง
|
international-56311620
|
https://www.bbc.com/thai/international-56311620
|
ความบาดหมางระหว่างดยุคและดัชเชสแห่งซัสเซกซ์กับราชสำนักและสื่ออังกฤษมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร
|
เชื่อกันว่าการตัดสินพระทัยของคู่ขวัญแห่งราชวงศ์อังกฤษในการย้ายไปปักหลักอยู่ในสหรัฐฯ นั้น ได้สร้างความตกตะลึงให้แก่สมาชิกของราชวงศ์ อีกทั้งยังนำไปสู่ความสัมพันธ์อันร้าวฉานระหว่างสองฝ่าย แต่ความบาดหมางที่เกิดขึ้นได้ทวีความรุนแรงและดำเนินมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร ความรักดั่ง "เทพนิยาย" ช่วงปลายปี 2016 มีกระแสข่าวว่าเจ้าชายแฮร์รีกำลังคบหาอยู่กับ น.ส.เมแกน มาร์เคิล นักแสดงหญิงผู้มีชื่อเสียงจากซีรีส์เรื่อง Suits ทั้งคู่ได้รู้จักกันผ่านการแนะนำของพระสหาย และ 18 เดือนต่อมา เจ้าชายแฮร์รีทรงประกาศว่าได้หมั้นหมายและเตรียมจะเสกสมรสกับดาราสาวชาวอเมริกัน ทรงเผยว่าการได้พบและตกหลุมรัก น.ส.มาร์เคิล อย่างรวดเร็วเหลือเชื่อนั้น เป็นเหมือนโชคชะตาที่ "ดวงดาวช่างเป็นใจ" ให้ได้มาเป็นคู่ครองกัน กระแสความสนใจจากสื่อมวลชนได้เริ่มขึ้นในทันที โดยที่ทั้งสองพระองค์ถูกจับตามองในฐานะผู้ที่จะสร้างความเป็นแปลงครั้งใหญ่ให้แก่ราชวงศ์อังกฤษ เพราะเธอคือดาราสาวผู้เปี่ยมเสน่ห์ และการที่ทั้งสองเป็นคู่รักต่างเชื้อชาติก็ยังดึงดูดความสนใจจากบรรดาคนหนุ่มสาว ในพิธีเสกสมรสของทั้งคู่เมื่อเดือน พ.ค.ปี 2018 มีประชาชนหลายพันคนไปเฝ้าดูตามท้องถนนของเมืองวินด์เซอร์ ขณะที่ประชาชนในสหราชอาณาจักรอีก 13 ล้านคนเฝ้าชมพิธีผ่านทางโทรทัศน์ ทว่าดยุคและดัชเชสแห่งซัสเซกซ์ทรงเป็นที่รักของสื่อมวลชนและผู้คนในอังกฤษอยู่เพียงระยะหนึ่ง สถานการณ์เปลี่ยนไปได้อย่างไร ในช่วงแรก เมแกนมีภาพลักษณ์เป็น "ขวัญใจ" คนใหม่ของราชวงศ์ และบรรดาหนังสือพิมพ์แท็บลอยด์ต่างตีพิมพ์บทความเกี่ยวกับเคล็ดลับการแต่งกายให้ "เรียบหรู" แบบพระองค์ วิคตอเรีย ฮาเวิร์ด นักประชาสัมพันธ์และบรรณาธิการ The Crown Chronicles เว็บไซต์ข่าวสารเกี่ยวกับราชวงศ์อังกฤษ ระบุว่า "หลายคนมองว่านี่ (การเข้ามาของเมแกน) คือรุ่งอรุณใหม่ ที่จะแสดงให้เห็นว่าราชวงศ์อังกฤษมีความเปิดกว้าง และเป็นตัวแทน (ของสังคม) เพราะเธอไม่ได้เป็นแค่ลูกครึ่ง แต่ยังเป็นชาวอเมริกัน อีกทั้งเคยผ่านการสมรสและหย่าร้างมาแล้ว" "ทุกคนคิดว่า มันเยี่ยมมาก เธอเป็นคนพูดตรงไปตรงมา และเป็นนักสตรีนิยม ซึ่งในฐานะคู่รัก ทั้งสองพระองค์ทรงได้รับความนิยมอย่างมาก..." อย่างไรก็ตาม มีสัญญาณว่าเมแกนจะกลายเป็นเหยื่อการนำเสนอข่าวของบรรดาสื่อแท็บลอยด์มาตั้งแต่ต้น โดยช่วงปลายปี 2016 ซึ่งเจ้าชายแฮร์รีทรงยืนยันว่ากำลังคบหาอยู่กับเมแกนนั้น ได้ทรงออกแถลงการณ์ตำหนิสื่อมวลชนที่ "ข่มเหงรังแกและคุกคาม" แฟนสาวของพระองค์ ทั้งยังแสดงความคิดเห็นเชิงเหยียดสีผิวในบทความต่าง ๆ และพยายามบุกรุกบ้านพักของเธอ ฮาเวิร์ด บอกว่าพฤติกรรมเช่นนี้ของสื่อแท็บลอยด์ไม่ใช่เรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับสตรีที่กำลังจะเข้ามาเป็นสมาชิกของราชวงศ์อังกฤษ อันที่จริงตอนที่ เคต มิดเดิลตัน (ดัชเชสแห่งเคมบริดจ์) ประกาศเลิกรากับเจ้าชายวิลเลียม ในปี 2007 ก็มีข่าวว่าการถูกสื่อคุกคามคือหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ทั้งคู่ตัดสินใจแยกทางกัน "ความสัมพันธ์ระหว่างสื่อแท็บลอยด์กับผู้หญิงในราชวงศ์มักเป็นแบบเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ตอนที่พวกเธอเข้ามาเป็นสมาชิกราชวงศ์ในช่วงแรก สื่อมักเสนอข่าวในแง่บวกที่ไม่มีพิษภัยใด ๆ เช่น พวกเธอใช้ครีมอะไรบ้าง" ฮาเวิร์ด กล่าว "ปีต่อมา หนังสือพิมพ์เหล่านี้เริ่มตระหนักว่าบทความดี ๆ เหล่านี้เริ่มน่าเบื่อ จึงเริ่มไปสัมภาษณ์เพื่อนฝูงและอดีตเพื่อนร่วมงานเพื่อขุดคุ้ยหาเรื่องราวอื้อฉาว ซึ่งนี่เป็นจุดเริ่มต้นของการมุ่งนำเสนอเรื่องราวในเชิงลบ" เจ้าชายแฮร์รีทรงแสดงออกอย่างชัดเจนว่าจะไม่นิ่งเฉยต่อการที่สื่อมุ่งโจมตีพระชายา โดยตอนที่ทั้งคู่ประกาศลดบทบาทในฐานะพระราชวงศ์ชั้นสูงนั้น พระองค์ตรัสว่า ทำไปเพื่อปกป้องทั้งคู่จากสิ่งแวดล้อม "เป็นพิษ" ที่สื่อมวลชนอังกฤษสร้างขึ้น เจสซิกา มอร์แกน ผู้สื่อข่าวสายราชสำนักของเว็บไซต์ยาฮู บอกว่า "เจ้าชายแฮร์รีได้เห็นถึงสิ่งที่สื่อปฏิบัติต่อพระมารดา และไม่ต้องการให้เรื่องแบบเดียวกันเกิดขึ้นกับพระชายา" "ไดอานาเป็นคนตรงไปตรงมา และกล้าพูดเพื่อตนเอง โดยไม่ยอมนิ่งเงียบ ซึ่งมีความคล้ายคลึงกับเมแกนที่เป็นคนแบบเดียวกัน อีกทั้งยังเป็นลูกครึ่งผิวดำ" ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย? ตอนที่ เลดี้ ไดอานา สเปนเซอร์ เริ่มก้าวเข้าเป็นสมาชิกของราชวงศ์สื่อมวลชนต่างมีปฏิกิริยาเชิงบวก แบบเดียวกับที่เกิดกับเมแกน ฮาเวิร์ด เล่าว่า "ไดอานาเป็นที่รักของสื่อตั้งแต่แรก...เธอเป็นหญิงสาวอายุน้อย เป็นขุนน้ำขุนนาง และหน้าตาสะสวย เธอเป็นขวัญใจผู้คนและทำอะไรถูกไปหมดเสียทุกอย่าง" แต่หลังจากการหย่าร้างจากเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ ไดอานาก็ตกเป็นเป้าการไล่ล่าจากบรรดาช่างภาพปาปารัสซี โดยในปี 1993 พระองค์ตะโกนใส่ช่างภาพคนหนึ่งที่ตามถ่ายภาพว่า "คุณทำให้ชีวิตฉันเหมือนตกอยู่ในนรก" นอกจากนี้ยังมีการแอบถ่ายภาพพระองค์ตามสถานที่ต่าง ๆ เช่น โรงยิม และมีข่าวว่าภาพของพระองค์กับนายโดดี ฟาเยด คู่รักคนใหม่ มีราคาสูงกว่า 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 30 ล้านบาท) ไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์ ทรงถูกสื่อไล่ล่าตามทำข่าวอย่างไม่หยุดหย่อนจนถึงวาระสุดท้ายในพระชนม์ชีพ การตามไล่ล่าอย่างไม่ลดละของปาปารัสซี นำไปสู่โศกนาฏกรรมที่ทำให้ไดอานาสิ้นพระชนม์ในอุบัติเหตุทางรถยนต์ ขณะที่ถูกเหล่าปาปารัสซีไล่ตามในอุโมงค์แห่งหนึ่งในกรุงปารีส อุบัติเหตุครั้งนั้นคือจุดเริ่มต้นความสัมพันธ์ทั้งรักและเกลียดระหว่างสื่อมวลชนกับพระโอรสทั้งสองของพระองค์ ที่ทรงได้รับผลกระทบโดยตรงจากการที่สื่อตามรังควานพระมารดา การเล่นข่าวอย่างไร้ความปรานี ในฐานะรัชทายาทแห่งราชบัลลังก์อังกฤษ สื่อจึงให้ความสนใจในชีวิตของเจ้าชายแฮร์รีเสมอมา และไม่มีข้อยกเว้นสำหรับพระชายาของพระองค์ แต่ความสนใจของสื่อแท็บลอยด์ที่มีต่อเมแกน ซึ่งมักนิยามตนเองว่าเป็น "ผู้หญิงเลือดผสมที่ภาคภูมิใจ" กลับเปลี่ยนอย่างรวดเร็วไปเป็นการนำเสนอข่าวเกี่ยวกับการหย่าร้างกับสามีคนแรก ชีวิตครอบครัว อาชีพเดิม และเรื่องเชื้อชาติของพระองค์ การถูกสื่ออังกฤษนำเสนอข่าวเชิงลบอย่างหนักทำให้ทั้งสองพระองค์หันหลังให้กับบทบาทในฐานะพระราชวงศ์ชั้นสูง ในช่วงแรก เมลออนไลน์ (Mail Online) นำเสนอข่าวอย่างคลาดเคลื่อนเกี่ยวกับเมแกนว่าเติบโตมาในย่านที่เต็มไปด้วยแก๊งอาชญากรรมในนครลอสแอนเจลิส ทั้งที่ความจริงเธอใช้ชีวิตวัยเด็กในฮอลลีวูดและเข้าเรียนในโรงเรียนเอกชน นอกจากนี้ยังบรรยายถึงมารดาของเธอว่าเป็น "หญิงอเมริกันเชื้อสายแอฟริกันที่ไว้ผมทรงเดดร็อก ผู้มาจากครอบครัวยากจนที่อาศัยอยู่ในแอลเอ" มอร์แกน ระบุว่า การรายงานดังกล่าวของแท็บลอยด์อังกฤษทำให้ "รู้สึกเหมือนว่ากลุ่มคนผิวดำกำลังถูกโจมตี มันรู้สึกเหมือนคนกำลังโจมตีฉัน บุคคลที่ฉันรัก และคนที่เป็นแบบฉัน ในฐานะของผู้หญิงผิวดำที่อาศัยอยู่ในสหราชอาณาจักร เรารู้ว่าการเหยียดเชื้อชาติเป็นอย่างไร..." ขณะเดียวกัน หัวข่าวเกี่ยวกับดัชเชสแห่งซัสเซกซ์ก็มักเรียกพระองค์ว่า เป็นคน "เรื่องเยอะ" "ชอบวางอำนาจ" และ "ชอบข่มเหงรังแก" โดยมีรายงานว่าพระองค์ทรงขับไล่ผู้ช่วยส่วนพระองค์ 2 คนออกจากพระราชวังเคนซิงตัน ซึ่งสำนักพระราชวังบักกิงแฮมระบุว่ากำลังสอบสวนเรื่องนี้ ในขณะที่เมแกนเองได้ปฏิเสธข่าวนี้ พร้อมระบุว่านี่คือการ "การโจมตีชื่อเสียง" ครั้งล่าสุดของพระองค์ ส่วนผู้คนในโลกออนไลน์ต่างแสดงความเห็นต่อเรื่องนี้อย่างแพร่หลาย และเปรียบเทียบถึงความแตกต่างเมื่อสื่อแท็บลอยด์รายงานข่าวเกี่ยวกับแคทเธอรีน ดัชเชสแห่งเคมบริดจ์ พระชายาในเจ้าชายวิลเลียม ดยุคแห่งเคมบริดจ์ นักวิจารณ์หลายคนมองว่าสื่ออังกฤษนำเสนอข่าวดัชเชสแห่งเคมบริดจ์และดัชเชสแห่งซัสเซกซ์อย่างลำเอียง ยกตัวอย่างเช่น ในบทความของเดลีเอ็กซ์เพรส (Daily Express) เมื่อเดือน ม.ค.ปี 2019 ที่เชื่อมโยงความชื่นชอบอะโวคาโดของเมแกนกับปัญหาความแห้งแล้งและการฆาตกรรม ในขณะที่บทความของสื่อรายเดียวกันที่ตีพิมพ์ 15 เดือนก่อนหน้านั้น เกี่ยวกับการเสวยอะโวคาโดของ ดัชเชสแห่งเคมบริดจ์ กลับเขียนถึงเรื่องคุณประโยชน์ของอาหารชนิดนี้ว่าช่วยพระองค์จากอาการแพ้ท้องในตอนเช้า มอร์แกน ชี้ว่า "การเป็นผู้หญิงที่มีชื่อเสียงหมายความว่าคุณจะถูกจับตามองอย่างใกล้ชิด และหากคุณเป็นผู้หญิงและผิวดำด้วย การเฝ้าจับตามองนั้นจะมีมากขึ้นไปอีก เพราะผู้คนตั้งมาตรฐานสำหรับผู้หญิงผิวดำไว้สูงกว่า ผู้หญิงผิวดำจะต้องดีเป็นพิเศษ" มอร์แกน ยกตัวอย่างว่า "เมื่อเคตทำผิดข้อปฏิบัติของราชสำนัก พวกเขาพูดว่าเธอกำลังเรียนรู้ แต่เมื่อเมแกนปิดประตูรถเองกลับเป็นเรื่องใหญ่โต มันเป็นปัญหาที่ฝังลึกอยู่ในระบบและในสถาบัน" กรณีที่เกิดขึ้นทำให้ในเดือน ต.ค.ปี 2019 เจ้าชายแฮร์รี ทรงออกแถลงการณ์ตำหนิสื่อมวลชน โดยเฉพาะหนังสือพิมพ์แท็บลอยด์ว่าออกข่าวเชิงลบโจมตีพระชายาอย่างไร้ความปรานี และเป็น "การประโคมข่าวอย่างไม่หยุดหย่อน" ส่งผลให้ในเดือน เม.ย. ปี 2020 ทั้งคู่ประกาศเลิกให้ข่าวแก่หนังสือพิมพ์แทบลอยด์อย่าง เดลีมิร์เรอร์ (Daily Mirror) เดอะซัน (the Sun) เดลีเมล (Daily Mail) และเดลีเอ็กซ์เพรส ฮาเวิร์ด บอกว่า "สิ่งที่สื่อไม่ชอบใจคือการที่แฮร์รีและเมแกนเริ่มโต้กลับอย่างรวดเร็ว" โดยดัชเชสแห่งซัสเซกซ์เพิ่งจะชนะคดีฟ้องร้องเมลออนซันเดย์ (Mail on Sunday) และเมลออนไลน์ ที่นำจดหมายที่พระองค์สื่อสารกับบิดาออกเผยแพร่ ซึ่งศาลสูงของอังกฤษตัดสินให้สื่อทั้งสองต้องตีพิมพ์แถลงการณ์ในหนังสือพิมพ์และเว็บไซต์เพื่อประกาศให้ทราบถึงชัยชนะของดัชเชสแห่งซัสเซกซ์ ซึ่งสื่อทั้งสองมีแผนจะยื่นเรื่องอุทธรณ์คำตัดสินดังกล่าว บีบีซีได้ติดต่อขอความคิดเห็นจากสื่อทั้งสองรายซึ่งมีเจ้าของเดียวกันแต่ไม่ได้รับการตอบกลับ ในตอนหนึ่งของการสัมภาษณ์นี้ ดัชเชสแห่งซัสเซกซ์ตรัสเป็นนัยว่าราชวงศ์และข้าราชสำนักได้ "กล่าวความเท็จ" เกี่ยวกับทั้งสองพระองค์เสมอมา บทสัมภาษณ์กับโอปราห์จะบอกอะไรเราบ้าง ในขณะที่ความบาดหมางกับสื่ออังกฤษเริ่มเด่นชัดขึ้น ก็เริ่มมีกระแสข่าวเรื่องความไม่ลงรอยกันของดยุคและดัชเชสแห่งซัสเซกซ์กับราชสำนักเกิดขึ้น ตอนที่ทั้งคู่ประกาศลดบทบาทในฐานะพระราชวงศ์ชั้นสูงในเดือน ม.ค. ปี 2020 นั้น ดูเหมือนจะเป็นการตัดสินใจโดยที่ไม่มีการปรึกษาหารือกับคนในราชวงศ์เสียก่อน ซึ่งเจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังระบุว่าพระราชวงศ์ต่าง "ผิดหวัง" ที่ได้ทราบข่าวนี้ จากนั้น เจ้าชายแฮร์รีและพระชายา พร้อมด้วย อาร์ชี พระโอรสได้ย้ายไปพำนักในรัฐแคลิฟอร์เนีย ก่อนที่ในเดือน ก.พ.ปี 2021 สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่สองจะทรงยืนยันว่าทั้งคู่จะไม่กลับไปทรงงานในฐานะสมาชิกราชวงศ์อังกฤษอีกต่อไป คาดว่า บทสัมภาษณ์ที่ดยุคและดัชเชสแห่งซัสเซกซ์ประทานแก่โอปราห์ วินฟรีย์ จะเจาะลึกว่าทั้งคู่ทรงรู้สึกอย่างไรต่อการถูกปฏิบัติจากสื่อมวลชนและราชสำนักอังกฤษ โดยในคลิปตอนหนึ่งที่ถูกตัดออกมาประชาสัมพันธ์บทสัมภาษณ์นี้ ดัชเชสแห่งซัสเซกซ์ตรัสเป็นนัยว่าราชวงศ์และข้าราชสำนักได้ "กล่าวความเท็จ" เกี่ยวกับทั้งสองพระองค์เสมอมา ขณะที่เจ้าชายแฮร์รีทรงชี้ให้เห็นถึงความคล้ายคลึงกันของสิ่งที่ ไดอานา พระมารดา และพระชายาถูกปฏิบัติ โดยเผยว่า พระองค์ทรงกลัวว่าประวัติศาสตร์ "จะซ้ำรอย" "ข้าพเจ้าไม่อาจจะจินตนาการได้ว่ามันเป็นอย่างไรสำหรับ (ไดอานา) ที่ต้องเผชิญกับเรื่องนี้ด้วยพระองค์เองตลอดหลายปีที่ผ่านมา เพราะมันเป็นเรื่องหนักหนาสาหัสอย่างเหลือเชื่อสำหรับเราสองคน แต่อย่างน้อยเราก็มีกันและกัน" ฮาเวิร์ดเชื่อว่า บทสัมภาษณ์ครั้งนี้ที่มีกำหนดออกอากาศในสหรัฐฯ คืนวันอาทิตย์ที่ 7 มี.ค. หรือตรงกับวันจันทร์ที่ 8 มี.ค.ตามเวลาในสหราชอาณาจักร จะถูกบันทึกอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์ "นี่จะเป็นช่วงเวลาประวัติศาสตร์สำหรับราชวงศ์อังกฤษ และมันไม่น่าจะออกมาสวยงามเหมือนดอกกุหลาบเป็นแน่"
|
เจ้าชายแฮร์รี ดยุคแห่งซัสเซกซ์ และเมแกน ดัชเชสแห่งซัสเซกซ์ พระชายาประทานสัมภาษณ์พิเศษในรายการโทรทัศน์ของพิธีกรชื่อดัง โอปราห์ วินฟรีย์ ถึงสาเหตุการยุติบทบาทในฐานะพระราชวงศ์ชั้นสูงของราชวงศ์วินด์เซอร์แห่งอังกฤษ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยถูกมองว่าเป็นสัญลักษณ์ของสถาบันกษัตริย์ยุคใหม่
|
international-39263889
|
https://www.bbc.com/thai/international-39263889
|
พบวิตามินบีอาจช่วยร่างกายต้านมลพิษทางอากาศได้
|
ฝุ่นละอองและไอเสียจากรถยนต์บนท้องถนนของกรุงนิวเดลีในอินเดียเป็นภัยต่อสุขภาพของมนุษย์ นักวิจัยจากคณะสาธารณสุขศาสตร์ของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด เผยแพร่ผลการทดลองเบื้องต้นในวารสารวิชาการ PNAS ซึ่งชี้ว่าการรับประทานวิตามินบีหลายชนิดในปริมาณสูง มีแนวโน้มจะช่วยให้ร่างกายมนุษย์สามารถต้านทานผลกระทบที่เกิดจากมลพิษทางอากาศได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับมลพิษที่ไปเปลี่ยนแปลงหน่วยพันธุกรรมหรือยีน มีการทดลองให้อาสาสมัคร 10 ราย รับประทานวิตามินเสริมขณะอยู่ในแหล่งที่มีมลพิษทางอากาศสูง โดยในตอนแรกได้ให้อาสาสมัครรับอากาศบริสุทธิ์และรับประทานยาหลอกก่อนเพื่อป้องกันความคลาดเคลื่อนในการทดลอง จากนั้นได้นำอาสาสมัครชุดเดิมไปยังแหล่งที่มีมลพิษทางอากาศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแหล่งที่มีอนุภาคฝุ่นละอองชื่อ PM2.5 อยู่สูง แล้วให้รับประทานวิตามินบี 6 วิตามินบี 12 และกรดโฟลิกในปริมาณสูงทุกวันเป็นเวลาหนึ่งเดือนเต็ม เตาเผาถ่านและฟืนยังเป็นแหล่งกำเนิดมลพิษทางอากาศที่สำคัญโดยเฉพาะฝุ่นละอองขนาดเล็ก ผลการทดลองเบื้องต้นนี้พบว่า การรับวิตามินบีในปริมาณสูงเป็นประจำ สามารถต้านทานผลกระทบของมลพิษต่อร่างกายในระดับหน่วยพันธุกรรมหรือยีนได้อย่างมาก โดยช่วยจำกัดกระบวนการที่มลพิษจะไปเปลี่ยนแปลงการทำงานของยีนได้ราว 26-76 % ใน 10 ตำแหน่งของยีนบนโครโมโซม ทั้งยังช่วยต้านทานความเปลี่ยนแปลงของไมโทคอนเดรียลดีเอ็นเอได้เป็นส่วนใหญ่ด้วย อย่างไรก็ตาม คณะผู้วิจัยเตือนว่าการทดลองนี้แสดงถึงแนวโน้มความเป็นไปได้เบื้องต้นในการใช้วิตามินบีต้านมลพิษทางอากาศเท่านั้น โดยยังคงต้องทำการทดลองเพื่อศึกษาต่อไปกับกลุ่มตัวอย่างที่มีจำนวนมากขึ้น และมีความหลากหลายทางชาติพันธุ์มากขึ้นด้วย นอกจากนี้ การทดลองเบื้องต้นยังไม่ชี้ชัดว่า จำเป็นต้องได้รับวิตามินบีในปริมาณเท่าใดแน่จึงจะเพียงพอต่อการต้านทานมลพิษ เนื่องจากปริมาณวิตามินที่ใช้ในการทดลองครั้งนี้สูงมากจนเกินมาตรฐานที่แนะนำแก่หญิงตั้งครรภ์ด้วยซ้ำ ผู้ประท้วงในมองโกเลียสวมหน้ากาก เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศอย่างจริงจังขึ้น คณะผู้วิจัยยังมีแผนที่จะทำการทดลองขั้นต่อไปในเมืองที่มีมลพิษทางอากาศสูงเป็นอันดับต้น ๆ ของโลกเช่นกรุงปักกิ่ง กรุงเม็กซิโกซิตี้ และหลายเมืองในอินเดีย ทั้งนี้ องค์การอนามัยโลกระบุว่า ประชากรกว่า 90% ของโลก อาศัยอยู่ในเมืองที่มีมลพิษทางอากาศสูงกว่ามาตรฐานความปลอดภัย โดยอนุภาคฝุ่นละอองที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางเล็กกว่า 2.5 ไมโครเมตร หรือที่เรียกว่า PM2.5 นั้นถือว่ามีอันตรายมากที่สุด โดยอนุภาคที่มีขนาดเพียง 1 ใน 30 ส่วนของเส้นผมมนุษย์นี้ เกิดจากเครื่องยนต์ดีเซลและการเผาถ่านไม้ รวมทั้งการทำปฏิกิริยากันของก๊าซมลพิษอื่น ๆ สามารถเข้าสู่ปอดส่วนลึกของมนุษย์และสร้างความเสียหายให้ระบบทางเดินหายใจและหัวใจได้
|
ผลทดลองเบื้องต้นในมนุษย์พบว่า วิตามินบีมีแนวโน้มจะช่วยป้องกันผลเสียต่อร่างกายที่เกิดจากมลพิษทางอากาศได้
|
thailand-50555396
|
https://www.bbc.com/thai/thailand-50555396
|
ศาลฎีกาพิพากษาจำคุก 2 ปี อดีต รมช.คลัง-ขรก.สรรพากร ฐานช่วยโอ๊ค-เอมเลี่ยงภาษีขายหุ้นชินฯ
|
ศาลฎีกาอ่านคำพิพากษาว่า ฎีกาทุกข้อของจำเลยที่ 1-5 ฟังไม่ขึ้น แต่จำเลยทั้งหมดให้ทางนำสืบพอเป็นประโยชน์อยู่บ้าง จึงพิพากษาแก้ลดโทษให้ 1 ใน 3 จำเลยที่ 1-4 มีความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ หรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ประกอบมาตรา 83 จำคุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา จำเลยที่ 5 เลขานุการส่วนตัวของคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร ความผิดฐานสนับสนุนให้เจ้าพนักงานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ หรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ประกอบมาตรา 86 จำคุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา จำเลยทั้ง 5 คน ได้แก่ 1. นางเบญจา หลุยเจริญ อดีต รมช.คลัง ในฐานะอดีตรองอธิบดีกรมสรรพากร จำคุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา 2. น.ส.จำรัส แหยมสร้อยทอง อดีตผู้อำนวยการสำนักกฎหมาย กรมสรรพากร จำคุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา 3. น.ส.โมรีรัตน์ บุญญาศิริ อดีตผู้อำนวยการสำนักกฎหมาย กรมสรรพากร จำคุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา 4. นายกริช วิปุลานุสาสน์ ผู้อำนวยการสำนักกฎหมาย กรมสรรพากร จำคุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา 5. น.ส.ปราณี เวชพฤกษ์พิทักษ์ เลขานุการส่วนตัวของคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร จำคุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา คดีนี้เริ่มต้นขึ้นเมื่อปี 2558 เมื่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนางเบญจา น.ส.จำรัส น.ส.โมรีรัตน์ นายกริช ในความผิดฐานร่วมกันเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หรือโดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และฟ้อง น.ส.ปราณี ฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ป.ป.ช. กล่าวหาว่าจำเลยร่วมกันวินิจฉัยว่านายพานทองแท้และ น.ส.พินทองทา ไม่ต้องเสียภาษีอากรจากการซื้อหุ้นบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด เมื่อปี 2549 คนละ 164 ล้านหุ้นในราคาพาร์หุ้นละ 1 บาท ขณะที่ราคาหุ้นในตลาดขณะนั้นอยู่ที่ 49.25 บาท ทั้งที่ทั้งสองคนถือเป็นผู้ได้รับเงินพึงประเมิน ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 39 และมีหน้าที่ต้องเสียภาษีของส่วนต่างราคาหุ้น ทำให้กรมสรรพากร กระทรวงการคลังและราชการเสียหายราว 7.9 พันล้านบาท 28 ก.ค. 2559 ศาลอาญาแผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พิพากษาจำคุกจำเลยที่ 1-4 ฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และ 83 จำคุกคนละ 3 ปี ส่วน น.ส.ปราณี มีความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และ 86 มีโทษ 2 ใน 3 ให้จำคุกเป็นเวลา 2 ปี ต่อมาวันที่ 19 ต.ค. 2560 ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น คือ จำคุกนางเบญจาและพวก 3 ปี และจำคุก น.ส.ปราณี 2 ปี หลังจากนั้นจำเลยได้ขอประกันตัวออกมาต่อสู้คดีในชั้นฎีกาจนกระทั่งศาลมีคำพิพากษาในวันนี้
|
ศาลฎีกาพิพากษาจำคุกนางเบญจา หลุยเจริญ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังในสมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และจำเลยอีก 4 คน เป็นเวลา 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา ในความผิดฐานช่วยให้นายพานทองแท้ ชินวัตร และ น.ส.พินทองทา คุณากรวงศ์ บุตรของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ไม่ต้องเสียภาษีหรือเสียภาษีน้อยกว่าที่กำหนด จากการซื้อหุ้นบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด เมื่อปี 2549
|
international-39644735
|
https://www.bbc.com/thai/international-39644735
|
ภาพจากกล้องหลังวาฬ
|
ในการศึกษาของกองทุนสัตว์ป่าโลก และมหาวิทยาลัยโอเรกอนของสหรัฐฯ ในเดือนมีนาคม นักวิทยาศาสตร์ในทวีปแอนตาร์กติกได้ติดกล้องที่มีเครื่องวัดความเร็วด้วยถ้วยดูดบนหลังวาฬมิงค์และวาฬหลังค่อมหลายตัว ภาพเหล่านี้ช่วยเผยให้เห็นนิสัยการหาอาหารของวาฬ และปฏิสัมพันธ์ทางสังคม
|
ภาพจากกล้องติดหลังวาฬช่วยเผยโลกที่ซ่อนเร้นของวาฬ ทำให้ได้ภาพที่ไม่เคยมีใครเห็นมาก่อน
|
thailand-47944088
|
https://www.bbc.com/thai/thailand-47944088
|
กัญชา : เดชา ศิริภัทร กับ ภารกิจช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์ด้วยกัญชาทางการแพทย์
|
ภายหลังเจ้าหน้าที่เข้ายึดต้นกัญชา ผลิตภัณฑ์จากกัญชา และดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิข้าวขวัญ เดชา ศิริภัทร มีกำหนดหารือเรื่องการสกัดกัญชาเพื่อการแพทย์กับกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก "ใช้กัญชาเต็มศักยภาพในคุณค่า" และ "ทุกคนใช้ได้โดยไม่มีข้อจำกัด" เดชา บอกกับบีบีซีไทยถึง "ความฝันสูงสุด" ของเขา เขาคือประธานมูลนิธิข้าวขวัญ ซึ่งตำรวจ ทหาร เจ้าหน้าที่ ป.ป.ส. เข้าตรวจยึดกัญชา 200 ต้น และผลิตภัณฑ์จากกัญชา และจับกุมเจ้าหน้าที่มูลนิธิ ที่ จ.สุพรรณบุรี ในข้อหาครอบครองกัญชา เมื่อวันที่ 3 เม.ย. ที่ผ่านมา แม้ว่าเป็นช่วงที่มีการนิรโทษกรรม 90 วัน ที่เปิดโอกาสให้ผู้ครอบครองกัญชาทางการแพทย์ ยื่นจดแจ้งโดยไม่ต้องรับโทษ ในวันที่เจ้าหน้าที่บุกค้นมูลนิธิ เดชา ไม่ได้อยู่ในประเทศไทย ทว่าทันทีที่เหยียบสนามบินดอนเมือง เขาบอกกับสังคมว่า การแจกจ่ายน้ำมันกัญชาเพื่อรักษาผู้เจ็บป่วย "เป็นเรื่องศีลธรรมที่ต้องทำ" และ "อยู่เหนือกฎระเบียบล้าหลังใด ๆ" "เพราะสิทธิของผู้ป่วยที่จะได้รับยาและการรักษาเป็นสิทธิพื้นฐาน" เขาประกาศย้ำ กว่าหนึ่งสัปดาห์หลังจากเหตุการณ์นั้น บีบีซีไทยพูดคุยกับเดชา ผู้บุกเบิกแนวทางเกษตรกรรมทางเลือก และต่อสู้เพื่อต้านทานการผูกขาดของทุนใหญ่ ทางการเกษตรมานานกว่า 30 ปี เราคุยกับเขาว่าอะไรคือความคิดเบื้องหลังที่เขาขยับจากเรื่องข้าวมากัญชาเพื่อการแพทย์ "ผมได้ประโยชน์จากกัญชาแบบไหน ประชาชนควรจะได้แบบนั้น" สิทธิในการเข้าถึงกัญชารักษาโรคในมุมมองของ เดชา ศิริภัทร ร่างกายที่เดินเหินคล่องแคล่ว ใบหน้าสดใส และการพูดจาที่กระฉับกระเฉง ที่บีบีซีไทยได้พูดคุยในตอนสายของวันหยุดเทศกาลสงกรานต์ ดูราวกับไม่ใช่ว่า ชายสูงวัยตรงหน้ามีอายุถึง 71 ปี ในแวดวงของภาคประชาสังคม และนักเคลื่อนไหวด้านเกษตรกรรมยั่งยืน เดชา เป็นที่รู้จักดี จากงานด้านการพัฒนาเทคโนโลยีทางการเกษตรที่เหมาะสมกับท้องถิ่น และพัฒนาพันธุกรรมข้าว เริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 2527 และดำเนินการเรื่อยมาจนเป็นที่รู้จักในชื่อของ มูลนิธิข้าวขวัญ นั่นเป็นภาคหนึ่งของเดชา ทว่าในห้วงสัปดาห์ก่อนสงกรานต์ปีนี้ ชื่อของเดชา กลับโด่งดังจากข่าวเจ้าหน้าที่บุกค้นการครอบครองกัญชา "แม่ผมเป็นมะเร็งตับเสียชีวิต ทั้งที่เรามีเงินมีทุกอยางพร้อมเมื่อปี 2519 หลังจากนั้นน้าชายผมอีก 4 คน เป็นแบบเดียวกันทั้งหมดเลย เป็นมะเร็งตับและตายกันหมดทั้งที่ทุกคนมีฐานะดีมาก" นั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่เขาเริ่มสนใจ ก่อนศึกษาศาสตร์ของกัญชาในฐานะตัวยารักษาโรคอย่างจริงจัง เมื่อปี 2556 "เพิ่งจะมีคนรู้จักตอนปีนี้เอง ทำจริงจังแบบแจกปี 61-62 ถือว่าคนรู้จักหลายร้อยหลายพันเท่า เร็วกว่าที่ทำเรื่องข้าว" เดชา เลือกศึกษาข้อมูลจากต่างประเทศถึงวิธีการสกัดกัญชา ออกมาในรูปแบบที่ทำเป็นยาน้ำมันกัญชา โดยใช้วิธีการที่ ริค ซิมป์สัน นักเคลื่อนไหวชาวแคนาดาเพื่อกัญชาทางการแพทย์ใช้ "ผมได้ประโยชน์จากกัญชาแบบไหน ประชาชนควรจะได้แบบนั้นด้วย อันนี้เป็นตัวตั้ง เพราะผมทดสอบตัวเองก่อน มันควรจะไปทุกคน ทำไมต้องอยู่ที่ผมคนเดียว" ทดลองกับตัวเอง และผู้ป่วยคนแรก เรื่องราวต่อไปนี้ เดชา เล่าจากประสบการณ์และความเชื่อส่วนบุคคล "ตอนนั้นอายุ 65 ตื่นมาแป๊บเดียวลืม อาการแรกของอัลไซเมอร์ ฝันก็จำได้ อะไรก็ไม่ลืม มือเริ่มสั่นนิด ๆ เป็นอาการแรกเริ่มของพาร์กินสัน แต่ตอนนี้มือผมนิ่งสนิทแล้ว"เดชา เล่าย้อนถึงช่วงเวลาที่เริ่มทดลองใช้น้ำมันกัญชากับตัวเอง และอ้างว่าเขาใช้น้ำมันกัญชารักษาโรคต้อเนื้อในตาด้วย พอเริ่มใช้กับตัวเองจากจุดเริ่มต้นในการศึกษาและพัฒนาองค์ความรู้กัญชา หลังจากนั้นไม่นานเขาได้พบกับญาติของลูกศิษย์คนใกล้ชิดผู้ป่วยโรคมะเร็งคนแรกซึ่งได้ทดลองใช้ยาน้ำมันสกัดจากกัญชา เขายังจำวันนั้นได้ดี "เขาบอกว่าเขาหมดหวังแล้ว หมอใช้ตั้งแต่ คีโม ฉายแสง ผ่าตัดทุกอย่างหมอหมดปัญญาแล้ว คุณมีเวลาเหลือไม่เกิน 2 เดือน หรอกคุณกลับไปเลย จัดการมรดกให้เสร็จเรียบร้อย" หญิงรายนี้มีอายุกว่า 50 ปี ป่วยเป็นมะเร็งตับในขั้นที่ 4 การใช้น้ำมันสกัดกัญชาที่เขาเริ่มต้นที่แรกที่วัดป่าวชิรโพธิญาณ อ. โพทะเล จ. พิจิตร ครั้งนี้ ต้องมีเงื่อนไขที่ผู้ป่วยต้องปฏิบัติตนในทางธรรมะภาวนาตามทางสายพุทธศาสนา งดกินของแสลง และใช้ในอัตราส่วนและวิธีที่เหมาะกับโรค เดชามีความเชื่อว่า ใช่ว่ากัญชาเป็นยาวิเศษที่ทำให้ผู้ป่วยรอดพ้นการตาย หากการหายจากมะเร็งก็ต้องมีปัจจัยในการดูแลรักษาสุขภาพทางกายและจิต "ต้องเข้าใจว่าทุกคนมันตายทุกคน เกิดแล้วตาย แต่จะตายแบบไหน ไม่ทรมานไม่ต้องเจ็บปวด ถึงจะหายด้วยโรคมะเร็งก็ตายด้วยโรคอื่นอยู่ดี" เดชากล่าวตามวิสัยที่เดินทางในสายพุทธ เป็นหลักในการดำเนินชีวิต "ไม่ใช่ว่ามีกัญชาแล้วไม่ตาย แต่ตายแบบไหน" เจ้าหน้าที่ช่างน้ำหนักกัญชาที่โรงงานผลิตในอิสราเอล ซึ่งเป็นหนึ่งในประเทศที่อนุญาตให้ใช้กัญชาเพื่อการแพทย์ได้ อย่างไรก็ตาม องค์การเภสัชกรรม ให้ข้อมูลว่า สำหรับผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย สารสกัดจากกัญชามีผลในแง่ของการใช้เพื่อควบคุมอาการเท่านั้น สอดคล้องกับ รศ.นพ.วิโรจน์ ศรีอุฬารพงศ์ อดีตนายกสมาคมมะเร็งวิทยาสมาคมแห่งประเทศไทย และหัวหน้าศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์โรคมะเร็งครบวงจร โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ที่บอกว่า การวิจัยที่บอกว่าสารจากกัญชาฆ่าเซลล์มะเร็งได้ยังเป็นการทดลองในห้องปฏิบัติการ ส่วนการใช้น้ำมันกัญชาเพื่อลดผลข้างเคียงจากเคมีบำบัด ก็มีประสิทธิภาพไม่ต่างจากยาแผนปัจจุบัน กัญชาเพื่อทางการแพทย์รักษาอะไรบ้าง มากมายสรรพคุณที่ผ่านการวิจัยทางการแพทย์บอกว่า กัญชา รักษาอาการเจ็บปวดเรื้อรังในผู้ใหญ่ รักษาอาการอาเจียนและคลื่นไส้ที่เกิดจากเคมีบำบัด บรรเทาอาการที่ผู้ป่วยแจ้งว่ากล้ามเนื้อแข็งตัวและหดเกร็ง กลุ่มอาการเหล่านี้มีหลักฐานที่มีน้ำหนักมากยืนยัน นอกจากนี้ ยังทำให้การนอนหลับดีขึ้นในคนที่มีอาการบางอย่างโดยเฉพาะ รวมถึง ผู้ที่มีอาการโรคปวดกล้ามเนื้อเรื้อรัง (fibromyalgia) และอาการหยุดหายใจขณะนอนหลับ (obstructive sleep apnoea syndrome) และลดอาการชักในคนที่มีอาการกลุ่มโรคลมชักที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นในเด็ก (ที่มา : ดู US National Academies of Sciences, Engineering and Medicine; New England Journal of Medicine; NHS) ในไทย เมื่อกฎหมายปลดล็อกกัญชาผ่านเมื่อต้นปี 2562 องค์การเภสัชกรรม ได้เริ่มปลูกกัญชาทางการแพทย์ที่ถูกต้องตามกฎหมายแห่งแรกของอาเซียน เมื่อเดือน ก.พ. เมื่อเดือน ก.พ. องค์การเภสัชกรรมเริ่มปลูกกัญชาทางการแพทย์ที่ถูกต้องตามกฎหมายแห่งแรกของอาเซียน เพื่อใช้ผลิตสารสกัดต้นแบบกัญชาทางการแพทย์ คาดว่าในเดือน ก.ค.นี้ ได้ผลิตภัณฑ์ยาจากกัญชาชุดแรก 2,500 ขวด นายแพทย์วิฑูรย์ ด่านวิบูลย์ ผอ. องค์การเภสัชกรรม ให้ข้อมูลเกี่ยวกับประโยชน์สารสกัดจากกัญชาเพื่อใช้ทางการแพทย์ว่ามีสารสองตัว ได้แก่ THC และ CBD THC มีฤทธิ์ต่อจิตประสาท แก้ปวด ต้านอาเจียน และลดการอักเสบ CBD ระงับอาการวิตกกังวลและมีฤทธิ์ต้านการชัก เป็นตัวที่นำมาใช้ทางการแพทย์และการวิจัย ในกลุ่มที่ใช้เพื่อการรักษาโรค ได้แก่ ภาวะคลื่นไส้อาเจียนจากเคมีบำบัด โรคลมชักรักษายากในเด็กและโรคลมชักที่ดื้อต่อยารักษา ภาวะกล้ามเนื้อหดเกร็งในผู้ป่วยปลอกประสาทเสื่อมแข็ง อาการปวดประสาทที่รักษาด้วยวิธีต่างๆไม่ได้ผล กลุ่มที่น่าจะใช้เพื่อควบคุมอาการ ได้แก่ โรคพาร์กินสัน โรคอัลไซเมอร์ โรคปลอกประสาทอักเสบ โรควิตกกังวล ผู้ป่วยที่ดูแลแบบประคับประคอง ผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย #SaveDecha ชีวิตคนตีมูลค่าไม่ได้ กว่าที่กฎหมายจะรับรองให้กัญชาใช้ทางการแพทย์ได้สำหรับประเทศไทย การซื้อขายน้ำมันกัญชาที่มีผู้ป่วยต้องการก็หาได้ไม่ยากนักในทาง "ใต้ดิน" เดชา แจกจ่ายน้ำมันกัญชา ให้ผู้ป่วย โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ในนามแฝงชื่อว่า "อำนาจ มงคลเสริม" ต้นทุนในการสกัดยามาจากเงินทุนส่วนตัวและลูกศิษย์รวมทั้งผู้ป่วยที่ร่วมบริจาค ก่อนเปิดคอร์สอบรมที่คิดค่าใช้จ่าย หวังให้ความรู้ไปถึงชาวบ้านที่จำเป็น หลายคนเขาคิดหาเงินจากยากัญชาที่ยังผิดกฎหมาย ทำไมเดชาเลือกไม่ทำแบบนั้น "ถ้าคุณยังคิดมิติเงินอย่างเดียว คุณก็ไม่ได้ประโยชน์จากกัญชาเท่าที่ควรหรอก เพราะว่ากัญชามีคุณค่ามหาศาล แต่คุณไปตีมูลค่า ซึ่งมูลค่ามันก็เท่านั้น" เดชาตอบคำถามบีบีซีไทย "คุณค่าชีวิตคน คุณตีมูลค่าได้เหรอ ชีวิตคนที่มีประโยชน์ต่อสังคม แล้วความทุกข์เขาล่ะมันมีมูลค่าเท่าไหร่" นี่อาจเป็นที่มา ที่เราได้เห็นจากกระแส #SaveDecha จากผู้ป่วยที่รับการช่วยเหลือ ผู้ใกล้ชิด และนักเคลื่อนไหวประชาสังคมในภาคเกษตร ออกมาเรียกร้องไม่ให้ดำเนินคดีครอบครองกัญชากับเดชา และผู้ช่วยของเขา รวมทั้งนายวิวัฒน์ ศัลยกำธร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ประกาศเอาตำแหน่งและชีวิตรับประกัน ทั้งวิวัฒน์และเดชา ถือได้ว่าอยู่ในเส้นทางเดียวกันในการขับเคลื่อนเรื่องเกษตรกรรมทางเลือก ก่อนเป็นรัฐมนตรี วิวัฒน์เป็นประธานมูลนิธิกสิกรรมธรรมชาติ และประธานสถาบันเศรษฐกิจพอเพียง ทำงานเผยแพร่ความรู้เกษตรทฤษฎีใหม่แก่เกษตรกรทั่วประเทศ ตามแนวทางพระราชดำริของในหลวง รัชกาลที่ 9 ป.ป.ส. ชี้จับกุม เพราะตีความกฎหมายต่างกัน ผู้สนับสนุนเดชาตั้งข้อสังเกตว่า เหตุใดเจ้าหน้าที่จึงเข้าจับกุมในช่วงที่มีการนิรโทษกรรม 90 วัน ที่เปิดโอกาสให้ผู้ครอบครองกัญชาทางการแพทย์ยื่นจดแจ้งโดยไม่ต้องรับโทษ สิ้นสุดในวันที่ 19 พ.ค. 2562 นายนิยม เติมศรีสุข เลขาสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ชี้แจงการจับกุมว่าเป็นการตีความกฎหมายที่ต่างกันในช่วงการนิรโทษ 60 วัน เลขา ป.ป.ส. ชี้แจงผ่านสื่อมวลชนว่า ผู้ที่ต้องการครอบครองกัญชาจะต้องยื่นเรื่องขออนุญาตไปยังสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) หรือสาธารณสุขจังหวัดก่อน หากถูกเจ้าหน้าที่จับกุมระหว่างยื่นเรื่องก็จะมีข้อมูลสามารถตรวจสอบได้ ทั้งนี้ หากเจ้าหน้าที่ไม่จับกุมอาจเกิดกรณีลักลอบขนกัญชา และอ้างการไปจดแจ้ง ซึ่งจะสร้างความเสียหายได้ การปลดล็อกกัญชาในไทย เป็นไปเพื่อทางการแพทย์เท่านั้น การใช้เพื่อการสันทนาการยังเป็นสิ่งผิดกฎหมาย ด้านเดชา กล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ ช่วงนิรโทษกรรม 90 วัน เขาคิดว่าเป็นโอกาสที่ดีในการเผยแพร่ถึงประโยชน์ของสารสกัดกัญชา "ผมคิดว่าเป็นโอกาสดีและปลอดภัยแน่ ๆ ผมก็เอามาเผยแพร่ เพราะว่าช่วง 90วัน มันปลอดภัยว่าแบบนี้มันดีและได้ผล ให้คนอื่นเอาไปทำบ้าง เลยเปิดเผยเลย" เดชากล่าว อีกด้าน ภญ.สุภัทรา บุญเสริม รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา กล่าวเมื่อ 10 เม.ย. ว่า "การผ่อนคลายกฎหมายให้ใช้กัญชาทางการแพทย์และการอนุญาต มิได้ผูกขาดให้กลุ่มทุนใดเป็นการเฉพาะ" และไม่ได้สงวนเฉพาะสำหรับภาครัฐ แต่ทั้งภาคการเกษตรที่รวมตัวเป็นวิสาหกิจชุมชน หรือภาคการศึกษาสามารถปลูก ผลิต หรือสกัดกัญชาได้ ประชาชนควรมีทางเลือก หนึ่งในความกังวลต่อการเปลี่ยนผ่านเพื่อให้กัญชาเป็นยารักษาโรคที่ทุกคนเข้าถึงได้ เดชา ทิ้งคำถามไว้ว่า รัฐจะถูกผลักไปตามผลประโยชน์หรือไม่ "ใครมีแรงมาก ก็ผลักไปทางนั้น" กรมทรัพย์สินทางปัญญา ยกเลิกคำขอสิทธิบัตรกัญชา7 คำขอ จากบริษัทต่างชาติที่ตกค้าง หลัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ใช้คำสั่งตามมาตรา 44 ออกคำสั่งแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยสิทธิบัตรฯ กรณีพิเศษ เมื่อวันที่ 28 ม.ค. 2562 ประเด็นนี้เป็นที่จับตามองของภาคประชาสังคม ท่ามกลางฝุ่นตลบของกฎหมายปลดล็อกกัญชา ที่เริ่มเปิดให้ใช้กัญชาเพื่อทางการแพทย์ การดำเนินคดีกับมูลนิธิข้าวขวัญ ดูเหมือนจะจุดเชื่อมต่อให้ การผลิตยาโดยหมอพื้นบ้าน ได้เจอกับหน่วยงาน ทั้งมหาวิทยาลัย โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ จ.ปราจีนบุรี และอธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก เพื่อจุดหมายในการให้ผู้ป่วยได้เข้าถึงยา การศึกษาวิจัย และการปรับระเบียบปฏิบัติเกี่ยวกับการใช้กัญชาเพื่อการแพทย์ของหมอพื้นบ้าน "ถ้าไม่ทำแบบนั้น เราก็ทำเต็มศักยภาพไม่ได้ เพราะหมอพื้นบ้านปลูกไม่ได้ ต้องมีงานวิจัยมาช่วยให้ปลูก เช่น คณะเภสัชฯ จุฬาฯ ตอนนี้ก็มาเสนอให้เราทำสายพันธุ์กัญชาไทย" เดชากล่าว ในฐานะนักการเกษตรที่ต่อสู้ต่อการผูกขาดทางการเกษตรมาอย่างยาวนาน ในหลักคิดที่ไม่ต่างกัน เดชา เชื่อในการที่ประชาชนมีสิทธิพื้นฐานในการเลือกวิธีการที่รักษาตัวเองได้ เดชา ศิริภัทร ที่สวนชีววิถี จ.นนทบุรี "ผมไม่ได้เชื่อว่าแนวทางผมจะเป็นแนวทางที่ดีที่สุดหรอกนะ มันต้องหลากหลายมาก เพราะนั้น คนป่วยจะเลือกได้ตั้งแต่แผนโบราณ แผนแบบผม แผนแบบนาโนที่ลาวเค้าทำไปแล้ว หรือว่าแบบสมัยใหม่ คีโม เขาควรจะเลือกได้ ไม่จำเป็นต้องมาแนวเดียวหรอก ถ้าเลือกได้มันเป็นประชาธิปไตยแล้ว เขาสามารถปรับให้เข้ากับความต้องการเขาได้ ผมไม่ได้คิดว่าแพทย์อย่างอื่นจะเลิกไปเลย ไม่ใช่ มันควรจะมีให้ดีที่สุดในแบบของเขาแล้วคนป่วยจะเลือกเอาว่า ต้องการอะไร" "เราใช้กัญชาเต็มศักยภาพในคุณค่าของมัน สำหรับทุกคนโดยไม่มีข้อจำกัด" เป็นความฝันสูงสุดที่เขาอยากเห็น และรูปธรรมที่ไกลกว่านั้นคือการเอากัญชาออกจากการเป็นสารเสพติด "ให้ทุกคนเข้าถึงศักยภาพนั้นยิ่งยากใหญ่ เพราะว่ามันขัดผลประโยชน์ สองเรื่องผมคิดว่าถึงผมตายก็ยังไม่เห็นหรอก แต่ไม่เป็นไรผมจะทำไปก่อน ชีวิตผมผมชัดเจนแล้ว"
|
โรคมะเร็งร้ายที่คร่าชีวิตผู้เป็นแม่เมื่อกว่า 40 ปีก่อน เป็นประสบการณ์ที่ทำให้ เดชา ศิริภัทร ผู้บุกเบิกเกษตรกรรมทางเลือกในประเทศไทย วัย 71 ปี เริ่มต้นศึกษาการผลิตยากัญชาทางการแพทย์ เพื่อช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์
|
international-40393781
|
https://www.bbc.com/thai/international-40393781
|
'แมงมุมยักษ์ทอด' เมนูพิสดารในกัมพูชา
|
คำตอบคือ แมงมุมยักษ์ทอดของกัมพูชา โดยขณะนี้ฤดูล่าแมงมุมยักษ์ หรือ ที่คนไทยหลายภาครับประทานและรู้จักกันในชื่อว่า "บึ้ง" ได้เริ่มต้นขึ้นแล้วในช่วงเข้าฤดูฝนเดือนมิถุนายนของทุกปี เมืองสะกวน จังหวัดกัมปงจามของกัมพูชา ซึ่งอยู่ห่างจากกรุงพนมเปญไปทางเหนือราว 70 กิโลเมตร เป็นแหล่งค้าแมงมุมยักษ์ คนที่นั่นพากันออกไปตามล่าหาแมงมุมยักษ์ตามท้องทุ่งและในป่าเป็นรายได้เสริมจากการทำการเกษตร ออม กุมเพียก ผู้ชื่นชอบการกินแมลง วัย 27 ปี กล่าวว่า "แมงมุมยักษ์มีรสชาติที่แตกต่างเมื่อเทียบกับแมลงอื่น ๆ อย่างเช่น จิ้งหรีด มันรสชาติดีกว่าแมลงอื่นมาก" ช่วงหน้าแล้งแมงมุมจะอยู่ในรูลึกและวางไข่ พอหน้าฝนระหว่างเดือนมิถุนายนถึงพฤศจิกายน จึงออกมาเพราะอากาศเริ่มเย็นลง ทำให้ง่ายในการจับ ช่วงเช้าเป็นช่วงเวลาล่าแมงมุมยักษ์ที่ดีที่สุด ชาวบ้านจะใช้ไม้ยาวและถุงผ้ากระทุ้งรอบ ๆ ใต้พุ่มไม้เพื่อหารูแมงมุม เมื่อจับตัวแมงมุมได้ พวกเขาจะเอาเขี้ยวของมันออก เพื่อไม่ให้ถูกกัดขณะจับตัวมัน เขี้ยวแมงมุมยักษ์จะถูกนำไปขายแยกต่างหากเพื่อนำไปทำยาแผนโบราณ แมงมุมยักษ์ทอดปรุงรสด้วยเกลือ น้ำตาล ผงชูรส และผงซุป ขายตัวละประมาณ 5-10 บาทแล้วแต่ขนาด คิม คอย นักล่าแมงมุมยักษ์ วัย 22 ปี เล่าว่า สามารถหาแมงมุมยักษ์ได้ 30-140 ตัวต่อวัน และไม่เคยกลับบ้านมือเปล่า เขาเรียนรู้วิธีการจับจากชาวบ้าน โดยพวกเขาจะออกไปกันเป็นกลุ่มละประมาณ 20 คนเพื่อหาแมงมุม แมลงเป็นอาหารของคนในชนบทของกัมพูชามาช้านานแล้ว แต่ในช่วงเขมรแดงเรืองอำนาจระหว่าง 1975-1979 การปฏิรูปเกษตรกรรมที่ล้มเหลว ทำให้เกิดการขาดแคลนอาหารอย่างรุนแรงและมีผู้คนล้มตายจำนวนมาก นอกเหนือไปจากการถูกทรมานและไล่ล่าสังหารโดยกลุ่มเขมรแดง ในช่วงนั้นเอง จิ้งหรีด ดักแด้ แมงมุมยักษ์ และแมลงอีกหลายชนิด ได้กลายเป็นแหล่งโปรตีนสำคัญของผู้คนที่อดอยากหิวโหย ปัจจุบัน ชาวบ้านนำแมงมุมที่จับได้ไปขายให้แก่แม่ค้าริมถนน ซึ่งนำมันไปปรุงรสด้วยเกลือ น้ำตาล ผงชูรส และผงซุป เพื่อเพิ่มรสชาติก่อนที่จะนำไปทอดในน้ำมันที่ร้อนจัด จากนั้นนำมาขายตัวละประมาณ 5-10 บาทแล้วแต่ขนาด
|
อะไรเอ่ย กรอบ เค็ม หวานปะแล่ม และธรรมชาติ 100%?
|
international-54131091
|
https://www.bbc.com/thai/international-54131091
|
โรคผมร่วงเป็นหย่อม : "ชีวิตไม่สมบูรณ์แบบ แต่ฉันสามารถอ้าแขนรับมันได้"
|
ซาราเลนา แจ็คสัน ดารารายการเรียลิตี้และนักออกแบบแฟชั่นชาวอังกฤษ เปิดเผยชีวิตส่วนตัวให้คนติดตามหลายแสนคนได้เห็น พอผมเธอเริ่มร่วงเมื่อหกสัปดาห์ก่อน เธอจึงต้องเผชิญกับการตัดสินใจครั้งใหญ่ในชีวิต "ตอนแรกฉันคิดจะเลิกเล่นโซเชียลมีเดีย" เธอเล่าให้รายการวิทยุบีบีซี Radio 1 Newsbeat ฟัง "แรงกดดันกำลังทำให้ฉันพังทลาย" แต่เธอตัดสินใจเล่นโซเชียลมีเดียต่อไป และเล่าให้ผู้ติดตามบนโลกออนไลน์ฟังเรื่องอาการที่ผมเธอค่อย ๆ ร่วงเป็นหย่อม ๆ ขณะเธออาบน้ำ ในช่วงเวลาแค่ห้าสัปดาห์ ผมเธอก็ร่วงจนหมด รวมถึงขนบนร่างกายส่วนอื่น ๆ ด้วย "แพลตฟอร์มที่ฉันมีพูดถึงไลฟ์สไตล์ที่ฉันมีทุกอย่าง ดูดี ต่อผมแบบสวยที่สุด อะไรพวกนั้น" อย่างไรก็ดี เธอบอกว่า ผลตอบรับที่เธอได้หลังออกมาแชร์ประสบการณ์อันเลวร้ายนี้ "ยอดเยี่ยมมาก" "น่าเหลือเชื่อมากว่ามีผู้หญิงที่ส่งข้อความมาหาฉันมากแค่ไหน ไม่ว่าจะเป็นคนที่ผมร่วงจากการทำเคมีบำบัดหรือจากโรคผมร่วงเป็นหย่อม" โรคผมร่วงเป็นหย่อม (alopecia) อาจมีสาเหตุมาจากความเครียด อาการป่วย หรือความผิดปกติบางอย่างของร่างกาย โรคผมร่วงเป็นหย่อมมีหลายประเภท และผมบางคนก็อาจงอกกลับคืนมาได้ ซาราเลนา ไม่รู้เลยว่าทำไมเธอถึงเป็นโรคนี้ และกำลังเข้ารับการตรวจว่าเธอเป็นโรคผมร่วงประเภทไหนกันแน่ คิ้วและขนตาเธอเริ่มจะร่วงแต่ก็ยังไม่หายไปทั้งหมด แม้ว่าจะไม่ใช่ "สไตล์" ที่อินฟลูเอนเซอร์มักจะนิยมเท่าไรแต่เธอก็ตัดสินใจที่จะโกนหัวทั้งหมด "ชีวิตไม่สมบูรณ์แบบ แต่ฉันสามารถอ้าแขนรับมันได้" ตอนนี้ ซาราเลนาอยากให้อินฟลูเอนเซอร์คนอื่น ๆ จริงใจเปิดเผยเรื่องต่าง ๆ ที่ต้องเผชิญในชีวิตมากขึ้น "นี่คือเรื่องจริง และเป็นสิ่งที่ผู้หญิงกำลังเผชิญ บ่อยครั้งที่พวกเขาเล่นอินสตาแกรมและได้แต่เห็นชีวิตและผมของผู้หญิงคนอื่นที่สวยสมบูรณ์แบบ" แม้ว่าเธอจะช่วยให้คนบนโลกออนไลน์คิดได้แง่บวกได้มากขึ้น แต่โรคผมร่วงเป็นหย่อมก็ทำให้เธอหมดความมั่นใจไปเยอะ เธอกังวลว่าแฟนจะไม่ชอบเธออีกต่อไป "ไม่ห่วงที่คนอื่นจะมาเห็นเลยยกเว้นเขา ผมเป็นองค์ประกอบสำคัญที่แสดงความเป็นผู้หญิง และฉันไม่รู้เลยว่าเขาจะยังชอบฉันอยู่ไหม" แต่เธอบอกว่า แฟนเธอให้การสนับสนุนอย่างดีเยี่ยมมาก "เขาเรียกฉันว่ากีวี่น้อย ๆ ของเขาเพราะว่าหัวฉันมีขนปุกปุย" อย่างไรก็ตาม บางวันเธอก็รู้สึกแย่มากจนไม่อยากออกไปไหน "แต่ฉันรายล้อมโดยผู้คนที่ดีที่สุด และฉันก็พยายามจะคิดในแง่บวกไว้" "ฉันไม่อยากให้คนมองฉันแล้วรู้สึกสงสาร" "ฉันหัวล้าน และหัวล้านก็สวยได้ ชีวิตสั้นเกินไปกว่าที่จะมานั่งกังวลเรื่องผม"
|
"มันเหมือนกับคุณเสียตัวตนไป มองตัวเองในกระจกแล้วไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไป"
|
features-48012559
|
https://www.bbc.com/thai/features-48012559
|
'ลูกชายของฉันฆ่าตัวตายหลังขริบหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศ'
|
อเล็กซ์ ฮาร์ดี ส่งอีเมลบอกเล่าเรื่องราวที่เขาไม่เคยเปิดเผยมาก่อนให้แม่ฟัง เลสลีย์ โรเบิร์ตส์ ต้องตกตะลึงเมื่อได้อ่านอีเมลฉบับสุดท้ายที่อเล็กซ์ ฮาร์ดี ลูกชายสุดที่รักส่งถึงเธอ เขาตั้งเวลาให้เธอได้รับอีเมลในวันที่ 25 พฤศจิกายน 2017 สิบสองชั่วโมงหลังจากเขาฆ่าตัวตาย อเล็กซ์ เป็นคนหนุ่มในวัย 23 ปีที่ชาญฉลาดและเป็นที่ชื่นชอบ เขาไม่เคยมีประวัติว่ามีอาการป่วยทางจิต นี่ทำให้เลสลีย์ ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมลูกชายถึงได้ตัดสินใจปลิดชีวิตตัวเอง ในอีเมลของอเล็กซ์ เขาอธิบายถึงเรื่องที่เขาได้รับการขริบหนังหุ้มปลายองคชาต ซึ่งคือการตัดหนังหุ้มปลายอวัยะเพศออกไปเมื่อสองปีก่อน อเล็กซ์มองสิ่งนี้ว่าทำให้ "อวัยวะสืบพันธุ์ต้องพิการ" แต่ว่าอเล็กซ์ไม่เคยบอกกล่าวเรื่องนี้กับคนรอบข้าง และแม่ของเขาก็ไม่เคยรู้เลยว่าลูกชายคนโตจากทั้งหมดสามคนได้รับการขริบ หลังอเล็กซ์เสียชีวิต เลสลีย์เพียรพยายามหาคำตอบว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น เด็กชายที่เรียนเก่งและมีพรสวรรค์ เลสลีย์เล่าว่าลูกชายเป็นเด็กเรียนดีและมีพรสวรรค์ ตอนอายุ 14 ปี เขาไปเล่นสกีที่แคนาดาและหลงใหลในประเทศนี้ จนเมื่อมีอายุได้ 18 ปี อเล็กซ์ตัดสินใจว่าจะยังไม่เข้ามหาวิทยาลัย แต่ได้เดินทางไปแคนาดาเป็นเวลาหนึ่งปี และยืดเวลาอยู่ต่อไปเรื่อย ๆ จนถึงช่วงที่เขาเสีย ชีวิต อเล็กซ์อยู่ในแคนาดามานานห้าปีจนได้สถานะเป็นผู้มีถิ่นฐานที่นั่น แม้เลสลีย์จะเดินทางไปเยี่ยมลูกชายหลายครั้ง แต่ลูกก็ไม่เคยปริปากเรื่องปัญหาที่เกิดกับอวัยวะเพศของตัวเองให้ฟัง เธอได้รับรู้เรื่องทั้งหมดหลังจากเขาเสียชีวิตแล้ว "ผมมีปัญหาเรื่องที่หนังหุ้มปลายมันรัดแน่น" อเล็กซ์ยอมเปิดเผยเรื่องนี้กับแม่ในอีเมลฉบับสุดท้ายที่เขาส่งถึงเธอ "เป็นมาตั้งแต่ช่วงวัยรุ่นตอนปลายแล้วที่หนังมันไม่ม้วนเปิดปลายอวัยวะเพศอย่างที่อยากให้เป็น มันทำให้รู้สึกไม่ดีเลย" อเล็กซ์เคยชอบเล่นสกีและสโนว์บอดร์ด แต่หลังการขริบทำให้เขาต้องรู้สึกเจ็บปวดแม้จะทำกิจกรรมธรรมดา ๆ ในปี 2015 อเล็กซ์ยังไม่ยอมเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง แต่ไปปรึกษาแพทย์ในแคนาดา แพทย์สั่งจ่ายครีมที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์ มาให้ทาเพื่อทำให้หนังหุ้มปลายมีความยืดหยุ่น แต่ก็ไม่ได้ผล อาการที่เกิดกับอเล็กซ์มีชื่อเรียกทางการแพทย์ว่าหนังหุ้มปลายองคชาตตีบ ซึ่งก็คือภาวะที่ผิวหนังบริเวณปลายองคชาตหดตัวจนไม่สามารถดึงให้เปิดขึ้นได้ ภาวะนี้พบได้ทั่วไปในเด็กชายช่วงที่ยังเป็นเด็กเล็ก และเมื่อโตขึ้นผิวหนังส่วนนี้ก็จะค่อย ๆ เปิดออก โดยปกติแล้วผู้ที่มีภาวะนี้ไม่ค่อยประสบปัญหา แต่ในรายที่มีอาจทำให้ปัสสาวะลำบาก และเจ็บปวดขณะมีเพศสัมพันธ์ เลสลีย์รู้สึกตลอดเวลาว่ามีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นกับลูกชาย แต่เขาปฏิเสธ หลังปรึกษาแพทย์ที่แคนาดาแล้วอเล็กซ์ถูกส่งตัวต่อไปพบผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับระบบปัสสาวะ "เขาแนะให้ขริบหนังหุ้มปลายทันทีเลย" อเล็กซ์เขียนในอีเมล "ผมถามว่าถ้าใช้วิธีดึงให้เปิดออกจะได้ไหม เขาโกหกเต็ม ๆ ว่ามันไม่ได้ผลแน่ในกรณีของผม" "ผมเชื่อ เพราะรู้สึกว่าเขาคือผู้เชี่ยวชาญที่รู้ว่าอะไรดีที่สุด ผมยอมทำแม้จะรู้สึกว่าต้องชั่งใจก็ตาม" เลสลีย์ แม่ของอเล็กซ์ ได้อ่านรีวิวที่มีคนไข้เขียนถึงผู้เชี่ยวชาญคนเดียวกันนี้และพบว่าหลายคนประสบปัญหา มีคนไข้หญิงคนหนึ่งเล่าว่าไม่สามารถกลับไปทำงานได้อีกเลยหลังได้รับการผ่าตัดจากอาการที่เกี่ยวกับไต แพทย์คนนี้ "ทำลาย" คุณภาพชีวิตของเธอ บางคนเตือนให้ระวังว่าผู้เชี่ยวชาญคนนี้ไม่มีความสามารถในการรักษา วินิจฉัยผิด เขายังเคยลืมเครื่องมือผ่าตัดไว้ในกระเพาะปัสสาวะของคนไข้ด้วย เลสลีย์ เรียกร้องให้มีการสืบสวนเรื่องการทำงานของผู้เชี่ยวชาญรายนี้ แต่ได้รับคำตอบว่ากำลังดำเนินอยู่ แม่ยังคิดถึงอ้อมกอดของลูกชาย ก่อนเข้ารับการผ่าตัด อเล็กซ์ไม่ได้ค้นคว้าหาข้อมูลเกี่ยวกับผู้เชี่ยวชาญ หรือเรื่องการผ่าตัดหนังหุ้มปลายมากนัก เพราะตอนนั้นแลปท็อปของเขาเสีย เขาไม่สะดวกใจที่จะใช้คอมพิวเตอร์ที่ไม่ใช่ของตัวเองค้นคว้าข้อมูลเรื่องการขริบ และไม่กล้าคุยเรื่องนี้กับเพื่อน ในที่สุดอเล็กซ์มีนัดหมายกับแพทย์เพื่อเข้ารับการผ่าตัดในปี 2015 ตอนที่เขามีอายุ 21 ปี อเล็กซ์รักน้องชายตัวน้อยของเขา ในอีเมลที่ส่งถึงแม่ อเล็กซ์เล่าเรื่องทั้งหมดอย่างละเอียดรวมทั้งปัญหาที่เกิดขึ้นหลังการผ่าตัด เขาเล่าว่ารู้สึกว่าปลายองคชาตมีความรู้สึกไวอยู่ตลอดเวลา เพราะไม่มีหนังหุ้มปลายปิด "เขารู้สึกเจ็บปวดมาก แค่จะทำกิจกรรมปกติก็เจ็บแล้ว" เลสลีย์ บอกว่า "เขาชอบเล่นสกีและสโนว์บอร์ดอย่างมาก คุณคงนึกออกว่าเขาจะรู้สึกเจ็บปวดแค่ไหน" ที่อังกฤษ นายเทรเวอร์ ดอร์กิน ผู้เชี่ยวชาญศัลยกรรมระบบทางเดินปัสสาวะบอกว่าในกรณีส่วนใหญ่แล้วความรู้สึกไวนี้จะค่อย ๆ ลดลง อเล็ซ์ยังเขียนเล่าเรื่องที่เขามีอาการอวัยวะเพศไม่แข็งตัว อาการปวดแสบปวดร้อนโดยเฉพาะบริเวณรอยแผลเป็นจากการที่แพทย์ผ่าตัดเอาเส้นเอ็นที่ยึดระหว่างหัวขององคชาตกับหนังหุ้มปลาย (เส้นสองสลึง) ออกไป เส้นเอ็นนี้ นายดอร์กินชี้ว่าเป็นส่วนสำคัญในการมีเพศสัมพันธ์ "ทั้งหนังหุ้มปลาย ส่วนหัวขององคชาตและเส้นสองสลึง ล้วนเป็นบริเวณที่มีความไวอย่างมาก…เมื่อผ่าตัดหนังหุ้มปลาย บางครั้งเส้นเอ็นนี้ก็ถูกผ่าตัดออกไปด้วย แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีผลต่อการมีเพศสัมพันธ์และความรู้สึกสุขสม" นายดอร์กินอธิบาย กลุ่มรณรงค์มองเรื่องขริบเป็นประเด็นทางสิทธิมนุษยชน แต่สำหรับอเล็กซ์ เส้นเอ็นที่หายไปมีความสำคัญสำหรับเขา "ตั้งแต่ไม่มีมันแล้ว ผมบอกได้เลยว่ามันคือจุดที่ไวต่อความรู้สึกทางเพศมากที่สุด" เขาเขียน "ถ้ามีใครมาผ่าเอาปุ่มกระสันของแม่ออกไป แม่ก็คงพอจะเข้าใจว่ามันเป็นอย่างไร" อเล็กซ์ยังเขียนเล่าเรื่องอาการชา หดรัดและ "ความรู้สึกไม่สบาย" ที่ขยายไปถึงบริเวณหน้าท้องของเขาด้วย ในอีเมลที่เขาเขียนสะท้อนให้เห็นว่า อเล็กซ์รู้สึกว่าเรื่องการขริบหนังหุ้มปลายองคชาตของผู้ชายนี้ถูกทำให้เป็นเรื่องธรรมดาเมื่อเทียบกับการขริบอวัยวะเพศหญิง ทั้งที่เป็นการทำให้อวัยวะสืบพันธุ์ต้องพิการเช่นเดียวกัน "ถ้าผมเป็นผู้หญิง (ในประเทศตะวันตก) นี่คงผิดกฎหมายไปแล้ว หมอที่ขริบให้ผมคงทำผิดอาญา และการผ่าตัดคงไม่ใช่ทางเลือกของแพทย์" อเล็กซ์เขียน "ผมไม่เชื่อว่าเราควรจะปกป้องเพศหนึ่งมากกว่าอีกเพศหนึ่ง ผมรู้สึกจริง ๆ ว่าความเท่าเทียมทางเพศนั้นควรจะเท่าเทียมสำหรับทุกคน" นักรณรงค์เชื่อว่าการขริบอวัยวะเพศทารกหรือเด็ก ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย เป็นสิ่งที่ผิดและถือเป็นประเด็นทางสิทธิมนุษยชน เพราะเด็กเหล่านั้นไม่สามารถให้ความยินยอมได้ เลสลีย์ไม่เคยรู้มาก่อนว่าลูกชายขริบหนังหุ้มปลาย ข้อมูลขององค์การอนามัยโลกชี้ว่าชายในไนจีเรียราว 95 เปอร์เซ็นต์ ผ่านการขริบหนังหุ้มปลาย ส่วนในสหราชอาณาจักรมีประมาณ 8.5 เปอร์เซ็นต์ อเล็กซ์ซึ่งเคยมีอวัยวะเพศที่ใช้การได้ตามปกติเชื่อว่าการขริบอวัยวะเพศชายตั้งแต่ยังเล็กทำให้ไม่สามารถรู้ได้เลยว่าได้สูญเสียความรู้สึกไปมากเท่าไหร่ เขาเองประเมินว่าความรู้สึกเสียวซ่านที่เกิดกับอวัยวะเพศของเขานั้นลดลงไปราว 75 เปอร์เซ็นต์ อย่างไรก็ดี ผู้เชี่ยวชาญอธิบายว่าประสบการณ์ที่เกิดกับผู้ชายที่ได้รับการขริบหนังหุ้มปลายนั้นแตกต่างกันไป บ้างก็พึงพอใจมากกว่าเพราะไม่รู้สึกเจ็บปวดจากการที่หนังหุ้มปลายรัดแน่นหรืออักเสบ ขณะที่รายงานบางชิ้นชี้ว่าหลังการขริบความรู้สึกไวจะลดลงและความพึงพอใจจากการร่วมเพศลดลงไปมากเช่นกัน อเล็กซ์เป็นลูกชายคนโต จากทั้งหมดสามคน ก่อนตัดสินใจจบชีวิตอเล็กซ์พยายามหาทางรักษาอาการที่เกิดกับตัวเอง แต่ไม่เคยบอกเล่าเรื่องราวให้แม่และเพื่อนฟังมาก่อน เลสลีย์เองยอมรับว่าเธอรู้สึกอยู่ตลอดเวลาว่ามีอะไรที่ไม่ปกติเกิดขึ้นกับลูก แต่อเล็กซ์ก็ปฏิเสธทุกครั้งที่ถาม เธอบอกว่าลูกเป็นคนที่ไม่ค่อยเปิดเผยอะไรมากนัก ซึ่งไม่ต่างจากเธอ แต่การที่เลสลีย์ยอมเปิดเผยเรื่องนี้ก็เพราะเป็นความปรารถนาของลูก "ผมไม่รู้สึกสบายใจพอที่จะยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดตอนที่ผมมีโอกาส ดังนั้นถ้าเรื่องของผมจะช่วยสร้างความตระหนักหรือทำให้เรื่องที่เกี่ยวกับสุขภาพของผู้ชายนี้ไม่ใช่เรื่องต้องห้ามในสังคมอีกต่อไป ผมก็ยินดีที่จะให้เปิดเผยเรื่องของผมได้" การเปิดเผยเรื่องราวของอเล็กซ์รวมทั้งความหวังที่จะได้พูดคุยเรื่องนี้กับเด็ก ๆ ในโรงเรียน เป็นสิ่งที่เลสลีย์บอกว่าเป็นสิ่งสุดท้าย"ที่จะทำเพื่อลูกชายสุดที่รัก" ของเธอ อเล็กซ์ขอให้แม่บอกเล่าเรื่องราวของเขาให้เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น
|
"เพียงไม่นานก็เป็นที่ชัดเจนว่าสิ่งที่เพิ่งจะเกิดขึ้นนี้คือจุดจบ…ผมตายตั้งแต่ปี 2015 ไม่ใช่ตอนนี้"
|
international-53587212
|
https://www.bbc.com/thai/international-53587212
|
ตำรวจฮ่องกงใช้กฎหมายความมั่นคงบุกจับ นศ. 4 คน ฐานยุยงผ่านโซเชียลมีเดีย
|
นายชุง เป็นอดีตผู้นำกลุ่มที่เรียกร้องให้ฮ่องกงเป็นเอกราช ตำรวจระบุว่า ทั้ง 4 คน ถูกจับกุมในข้อหา "ยุยงให้แยกตัว" ผ่านทางโซเชียลมีเดีย หลังจากที่กฎหมายนี้มีผลบังคับใช้มาตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. กลุ่มที่สนับสนุนเอกราชกลุ่มหนึ่งระบุว่า โทนี ชุง อดีตผู้นำกลุ่ม เป็นผู้หนึ่งที่ถูกจับกุม กฎหมายใหม่ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักของจีนระบุว่าการบ่อนทำลาย การแยกตัว และการสมรู้ร่วมคิดกับกองกำลังต่างชาติ เป็นความผิดทางอาญา การจับกุมก่อนหน้านี้ภายใต้กฎหมายใหม่ เป็นการจับกุมผู้ที่ถือป้ายและตะโกนประท้วงในการชุมนุม ผู้ไม่เห็นด้วยกล่าวว่า กฎหมายใหม่ของจีนจะบ่อนเซาะเสรีภาพของฮ่องกง แต่รัฐบาลจีนไม่สนใจคำวิพากษ์วิจารณ์ โดยระบุว่า จำเป็นต้องใช้กฎหมายนี้ในการหยุดยั้งการประท้วงสนับสนุนประชาธิปไตยแบบที่พบเห็นในฮ่องกงในช่วงปีที่แล้ว เรารู้อะไรเกี่ยวกับการจับกุมครั้งนี้ ตำรวจบอกว่า ผู้ถูกจับกุมเป็นชาย 3 คน หญิง 1 คน อายุระหว่าง 16-21 ปี เพราะต้องสงสัยว่าจัดตั้งหรือยุยงให้มีการแยกตัว ลี ไคว-วา จากหน่วยความมั่นคงแห่งชาติของตำรวจฮ่องกง กล่าวว่า "สายของเราและการสอบสวนเผยให้เห็นว่า บุคคลกลุ่มนี้ประกาศผ่านทางโซเชียลมีเดียเมื่อไม่นานนี้ว่า จะจัดตั้งองค์กรที่สนับสนุนเอกราชของฮ่องกง" มีการประท้วงหลายครั้งในฮ่องกง เพื่อต่อต้านกฎหมายความมั่นคงแห่งชาติฉบับใหม่ เขากล่าวด้วยว่า มีการยึดคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ และเอกสารไว้ด้วย นักศึกษาเหล่านี้เป็นอดีตสมาชิก หรือไม่ก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มเยาวชนสนับสนุนประชาธิปไตยที่ชื่อว่าสตูเดนต์โลคอลิสม์ (Studentlocalism) ซึ่งถูกยุบในเดือน มิ.ย. ก่อนที่จะมีการบังคับใช้กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติฉบับใหม่ ทางกลุ่มระบุว่าจะจัดการรณรงค์จากต่างประเทศต่อไป แต่นายลีกล่าวว่า กิจกรรมในต่างประเทศก็ยังถูกดำเนินคดีตามกฎหมายนี้ได้ "ถ้าใครก็ตามที่บอกคนอื่นว่า เขาสนับสนุนการละเมิดกฎหมายความมั่นคงแห่งชาติจากต่างประเทศ แม้ว่าเขาจะกระทำการในต่างประเทศ เราก็มีขอบเขตอำนาจที่จะสอบสวนคดีประเภทนี้" เขากล่าว ภาพถ่ายที่ถูกโพสต์ทางโซเชียลมีเดีย เป็นภาพที่นายชุง กำลังถูกนำตัวไปขณะถูกใส่กุญแจมือในเขตหยุ่นหลง (Yuen Long) กลุ่มสตูเดนต์โลคอลิสม์ระบุว่า นายชุงถูกจับกุมตัวเมื่อเวลาประมาณ 20.50 น. ตามเวลาท้องถิ่น เจ้าหน้าที่ตำรวจยังได้ยึดสิ่งของหลายรายการใส่กระเป๋าหลายใบไปด้วย โจชัว หว่อง นักเคลื่อนไหวชื่อดังกล่าวว่า นายชุงถูกตำรวจติดตามมานานหลายวันแล้ว เขากล่าวว่านายชุงถูกจับเพราะโพสต์ข้อความทางเฟซบุ๊กเกี่ยวกับ "ชาตินิยมจีน" และกล่าวหาว่าโทรศัพท์ของผู้ถูกจับกุมถูกแฮ็กหลังจากถูกจับตัวไม่นาน "การจับกุมในคืนนี้จะส่งผลให้เกิดบรรยากาศของความหวาดกลัวในการแสดงความคิดเห็นในโลกออนไลน์ในฮ่องกง" นายหว่องระบุผ่านทางทวิตเตอร์ เนื้อหาสำคัญของกฎหมายความมั่นคงฉบับใหม่ ปฏิกิริยาต่อกฎหมายนี้เป็นอย่างไร เจ้าหน้าที่ทั้งในฮ่องกงและจีนแผ่นดินใหญ่ยืนกรานว่า กฎหมายความมั่นคงนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น และจำเป็นต้องใช้ในการปรามคลื่นความไม่สงบที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในฮ่องกง แต่ผู้ไม่เห็นด้วยกล่าวว่า กฎหมายนี้จะทำลายเสรีภาพต่าง ๆ ที่ทำให้ฮ่องกงแยกออกมาจากส่วนอื่น ๆ ของจีนและเป็นลักษณะเฉพาะตัวของฮ่องกง สหราชอาณาจักร แคนาดา ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ต่างระงับสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนที่ทำกับฮ่องกง นับตั้งแต่กฎหมายนี้มีผลบังคับใช้ ขณะที่สหรัฐฯ ได้ตัดสินใจเพิกถอนสิทธิพิเศษทางการของฮ่องกง ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ฮ่องกงเผชิญกับการประท้วงเรียกร้องสิทธิ์มากขึ้นหลายครั้ง ในปี 2019 การประท้วงต่อต้านร่างกฎหมายที่เปิดโอกาสให้มีการส่งตัวผู้ต้องสงสัยไปดำเนินคดีในจีนแผ่นดินใหญ่ได้กลายเป็นความรุนแรงและทำให้มีการเคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตยเป็นวงกว้าง โดยขณะนี้ร่างกฎหมายดังกล่าวถูกยกเลิกไปแล้ว
|
นักศึกษา 4 คน ถูกบุกจับกุมตัวในฮ่องกงจากปฏิบัติการครั้งแรกของตำรวจในการบังคับใช้กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติฉบับใหม่
|
End of preview. Expand
in Data Studio
README.md exists but content is empty.
- Downloads last month
- 9