id
stringlengths 8
27
| url
stringlengths 33
421
| title
stringlengths 10
176
| source
stringlengths 205
21.2k
| target
stringlengths 5
591
|
---|---|---|---|---|
features-53891214
|
https://www.bbc.com/thai/features-53891214
|
มารี โบนาปาร์ต เจ้าหญิงฝรั่งเศสผู้บุกเบิกการศึกษาเรื่องเพศของสตรี
|
มารี โบนาปาร์ต เป็นราชนิกุลผู้ปฏิวัติการศึกษาเรื่องเพศของผู้หญิง ความจริงก็คือ เจ้าหญิงมารี โบนาปาร์ต ผู้มีชีวิตอยู่ระหว่างปี ค.ศ. 1882-1962 เป็นเหลนของอดีตจักรพรรดินโปเลียนที่ 1 แห่งฝรั่งเศส และยังมีศักดิ์เป็นพระปิตุจฉา (ป้า) ของเจ้าชายฟิลิป ดยุคแห่งเอดินบะระ พระราชสวามีในสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่สองแห่งสหราชอาณาจักร ความสนใจหลักของเจ้าหญิงผู้นี้คือการศึกษาเรื่องการถึงจุดสุดยอดทางเพศของผู้หญิง (female orgasm) และเรื่องจิตวิเคราะห์ (psychoanalysis) ทางจิตวิทยา ซึ่งนำพาให้เธอได้กลายเป็นลูกศิษย์ของซิกมันด์ ฟรอยด์ จิตแพทย์ชาวออสเตรีย ผู้เป็นบิดาแห่งทฤษฎีจิตวิเคราะห์ และครั้งหนึ่งเธอได้เคยช่วยชีวิตเขาเอาไว้ แต่เหนือสิ่งอื่นใด มารี โบนาปาร์ต คือ "หญิงผู้มีความคิดอิสระ" ในหนังสืออัตชีวประวัติของมารี โบนาปาร์ตหลายเล่ม บรรยายถึงเธอในฐานะสตรีผู้มีความโดดเด่นทั้งในแวดวงวิทยาศาสตร์ และในหมู่ราชวงศ์ชนชั้นสูง รวมทั้งในฐานะบุคคลผู้เฝ้าค้นหาคำตอบเรื่องความสุขสมทางเพศของผู้หญิง เจ้าหญิง มารี โบนาปาร์ต ถือกำเนิดในกรุงปารีส ในตระกูลที่มั่งคั่งและมีชื่อเสียง เธอเป็นบุตรสาวของ มารี-เฟลิกซ์ (สกุลเดิม บล็องค์) และเจ้าชายโรลังด์ นโปเลียน โบนาปาร์ต แห่งฝรั่งเศส ฟรองซัวส์ บล็องค์ ตาของเธอเป็นนักธุรกิจผู้มั่งคั่ง และผู้ก่อตั้งคาสิโนมอนติคาร์โล (Monte Carlo Casino) อันโด่งดังในโมนาโก มารี มีวัยเด็กที่โดดเดี่ยว และโตมาเป็นวัยรุ่นหัวขบถ ทว่าชีวิตของเธอต้องเผชิญกับโศกนาฏกรรมตั้งแต่เริ่มต้น ทั้งการเกือบเอาชีวิตไม่รอดตอนคลอดออกมา และการที่แม่ผู้ให้กำเนิดต้องเสียชีวิตลง 1 เดือนหลังจากนั้น ชีวิตวัยเด็กของเธอเต็มไปด้วยปัญหาและความรู้สึกโดดเดี่ยวเดียวดาย การไม่มีเพื่อนเล่นในวัยเดียวกัน ทำให้มารีใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับพ่อผู้เป็นนักมานุษยวิทยาและนักภูมิศาสตร์ รวมทั้งย่าผู้ที่เธอรู้สึกยำเกรง มารีเป็นคนช่างสงสัยใคร่รู้ตั้งแต่เด็ก ทั้งในเรื่องวิทยาศาสตร์ วรรณคดี การเขียน รวมทั้งเรื่องเกี่ยวกับร่างกายของเธอ... วันหนึ่ง พี่เลี้ยงเข้าไปพบมารีกำลังสำเร็จความใคร่ด้วยตัวเอง "มันเป็นบาป! มันเป็นเรื่องชั่วร้าย! คุณจะต้องตายถ้าคุณทำแบบนี้!" พี่เลี้ยงคนดังกล่าวบอกมารี ซึ่งเธอได้เขียนบันทึกเรื่องนี้ไว้ในไดอารี่เมื่อปี 1952 เนลลี ธอมป์สัน เขียนในบทความเรื่อง The Theory of Female Sexuality of Marie Bonaparte: Fantasy and Biology เอาไว้ว่า "โบนาปาร์ต ระบุว่าเธอเลิกสำเร็จความใคร่ด้วยการสัมผัสที่ปุ่มกระสัน หรือ คลิตอริส (clitoris) ตอนอายุ 8-9 ปี เพราะกลัวคำที่พี่เลี้ยงขู่เอาไว้ว่าความตายคือสิ่งที่ต้องแลกกับความสุขสมทางเพศ" ตั้งแต่เด็ก มารีมีความคิดแบบคนหัวขบถ และไม่ยอมรับแนวคิดที่ว่าผู้หญิงควรเป็นคนหัวอ่อนและยอมจำนน ในช่วงวัยรุ่น มารีเริ่มเรียนภาษาต่างประเทศ ส่วนใหญ่เป็นภาษาอังกฤษ และภาษาเยอรมัน แต่จู่ ๆ ย่าและพ่อก็สั่งห้ามเธอเข้าสอบวัดความรู้ในวิชาเหล่านี้ "เธอ (ย่า) และโรลังด์ อ้างว่าบรรดาศัตรูของตระกูลโบนาปาร์ต ซึ่งเป็นฝ่ายนิยมการปกครองระบอบสาธารณรัฐอาจเข้าก่อกวนการสอบเพื่อสร้างความอับอายให้แก่วงศ์ตระกูลของพวกเขา" เนลลี ธอมป์สัน อ้างอิงจากไดอารี่ของมารี เหตุการณ์นี้ทำให้มารีต้องสบถออกมาว่า "ชื่อเสียง ชนชั้น และความร่ำรวยที่เฮงซวยของฉัน...โดยเฉพาะเพศหญิงของฉัน! เพราะถ้าฉันเป็นผู้ชาย พวกเขาคงไม่ห้ามฉันแบบนี้!" ก่อนอายุจะครบ 20 ปี มารี โบนาปาร์ต ซึ่งอยู่ในวัยที่ความรู้สึกทางเพศกำลังพุ่งพล่าน ได้ลักลอบมีสัมพันธ์สวาทกับชายที่แต่งงานแล้วคนหนึ่ง ซึ่งทำงานเป็นผู้ช่วยของพ่อเธอ ทว่ามันต้องจบลงด้วยความอื้อฉาว และการแบล็คเมล์ ที่สร้างความอับอายให้แก่เธอ พ่อของมารีจึงแก้ปัญหาด้วยการแนะนำให้เธอรู้จักกับผู้ชายที่เขาอยากได้มาเป็นลูกเขย นั่นคือ เจ้าชายจอร์จแห่งกรีซและเดนมาร์ก ผู้มีชีวิตอยู่ระหว่างปี 1869-1957 และแก่กว่ามารี 13 ปี มารียอมตกลงและทั้งคู่ก็แต่งงานกันในวันที่ 12 ธ.ค.ปี 1907 ในกรุงเอเธนส์ จากนั้นได้ให้กำเนิดทายาท 2 คน คือ เจ้าหญิงยูเชนี และเจ้าชายปีเตอร์ แม้ทั้งสองจะแต่งงานกันนาน 50 ปี แต่มันก็ไม่ใช่ชีวิตคู่ที่มีความสุขเท่าใดนัก มารีได้รับรู้อย่างรวดเร็วถึงความผูกพันทางอารมณ์ที่แท้จริงที่สามีของเธอมีให้กับเจ้าชายวัลเดอมาร์แห่งเดนมาร์ก ผู้มีศักดิ์เป็นลุงของเขา นั่นจึงทำให้มารี ซึ่งตอนนั้นตัดสินใจมีชู้รักหลายคน และกลัวว่าตัวเองจะตายด้านทางความรู้สึก ได้ค้นพบหนทางปลอบประโลมจิตใจจากชีวิตที่มีปัญหารุมเร้าผ่านทางการศึกษา สำรวจเรื่องทางเพศของผู้หญิง ความกระหายใคร่รู้ที่จะทำความเข้าใจถึงธรรมชาติทางเพศและความสุขสมของผู้หญิงผลักดันให้มารีลงมือศึกษาเรื่องนี้อย่างจริงจัง ในปี 1924 เธอได้ตีพิมพ์บทความเรื่อง Notes on the anatomical causes of frigidity in women หรือ "ข้อสังเกตสาเหตุทางกายภาพของภาวะกามตายด้านในผู้หญิง" โดยใช้นามแฝงว่า เอ.เจ นาร์ยานี แม้มารีและสามีจะแต่งงานกันนาน 50 ปี แต่ก็ไม่ได้มีชีวิตคู่ที่มีความสุขเท่าใดนัก ศาสตราจารย์คิม วอลเลน ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยา และระบบต่อมไร้ท่อที่ส่งผลต่อพฤติกรรมมนุษย์ จากมหาวิทยาลัยเอมโมรี ในสหรัฐฯ กล่าวว่า "เธอ (มารี) คับข้องใจที่ตัวเองไม่เคยถึงจุดสุดยอดระหว่างมีเพศสัมพันธ์แบบสอดใส่" "เธอไม่ยอมรับกับความเชื่อที่ว่าผู้หญิงสามารถถึงจุดสุดยอดทางเพศได้จากการกระตุ้นปุ่มคลิตอริสโดยตรงเพียงอย่างเดียว" ศาสตราจารย์วอลเลน กล่าวกับบีบีซี มารีคิดว่าหากผู้หญิงไม่สามารถบรรลุจุดสุดยอดได้ตอนที่ถูกสอดใส่ นี่เผยให้เห็นถึงปัญหาทางกายภาพ ดังนั้นเธอจึงสร้างทฤษฎีที่ว่า ยิ่งปุ่มคลิตอริสมีตำแหน่งอยู่ใกล้กับช่องคลอดมากเท่าไหร่ก็ยิ่งมีโอกาสมากขึ้นเท่านั้นที่ผู้หญิงคนนั้นจะถึงจุดสุดยอดขณะมีเพศสัมพันธ์แบบสอดใส่ เพื่อยืนยันสมมุติฐานของเธอ มารีได้เก็บข้อมูลการวัดขนาดดังกล่าวของผู้หญิงกว่า 240 คน ในกรุงปารีส เมื่อปี 1920 ดร.เอลิซาเบธ ลอยด์ ผู้ศึกษางานวิจัยของมารี ร่วมกับศาสตราจารย์วอลเลน กล่าวว่า "โบนาปาร์ตมีสมมุติฐานที่น่าสนใจ เธอได้บุกเบิกทฤษฎีที่ว่าผู้หญิงถูกสร้างขึ้นมาไม่เหมือนกัน ซึ่งทำให้พวกเธอมีการตอบสนองที่แตกต่างกันขณะมีเพศสัมพันธ์แบบสอดใส่" แต่ทฤษฎีของเธอ "ได้มุ่งเน้นเรื่องทางกายภาพของผู้หญิง โดยไม่คำนึงถึงปัจจัยอื่น ๆ เช่น วุฒิภาวะทางด้านจิตใจ หรือการที่ผู้หญิงมีความพึงพอใจในชีวิต เป็นต้น..." ดร.ลอยด์ ระบุ มารี เริ่มต้นจากการเป็นคนไข้ของซิกมันด์ ฟรอยด์ ก่อนจะกลายเป็นลูกศิษย์ของเขาในที่สุด นี่ทำให้มารีมีความเชื่อว่า หากผู้หญิงเข้ารับการผ่าตัดเพื่อย้ายปุ่มคลิตอริสไปอยู่ใกล้กับช่องคลอดมากขึ้น ก็จะทำให้พวกเธอสามารถบรรลุจุดสุดยอดในการมีเพศสัมพันธ์แบบสอดใส่ได้ แต่ท้ายที่สุดเธอก็พบว่าความเชื่อดังกล่าวไม่เป็นไปตามที่คาด "การผ่าตัดกลายเป็นหายนะ ผู้หญิงบางคนสูญเสียความรู้สึกไปทั้งหมด แต่มารี โบนาปาร์ต เชื่อมั่นอย่างแรงกล้าในการค้นพบของตัวเอง และเข้ารับการผ่าตัดด้วย แต่ก็ต้องพบกับความล้มเหลว" ศาสตราจารย์วอลเลนกล่าว แต่เธอไม่ย่อท้อ และเข้ารับการผ่าตัดอีกถึง 3 ครั้ง ดร.ลอยด์ ผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์และปรัชญาวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลับอินดิแอนา ในสหรัฐฯ ระบุว่า "เมื่อคุณตัดระบบประสาทรอบปุ่มคลิตอริสออกไปมาก ๆ คุณจะสูญเสียความสามารถในการรับความรู้สึกไป..." มิตรภาพอันแน่นแฟ้นกับซิกมันด์ ฟรอยด์ แต่ถึงอย่างนั้น มารี โบนาปาร์ต ก็ไม่ยอมแพ้ เธอยังคงพยายามค้นหาคำตอบเพื่อแก้ไขความคับข้องใจทางเพศของตัวเอง ในปี 1925 เธอเดินทางไปกรุงเวียนนาเพื่อขอรับคำปรึกษาจากนักจิตวิเคราะห์ผู้กำลังได้รับการพูดถึงจากวงการแพทย์ในกรุงปารีส นั่นคือ ซิกมันด์ ฟรอยด์ เนลลี ธอมป์สัน เขียนในบทความของเธอว่า "ฟรอยด์ทำให้เธอ (มารี) ได้พบสิ่งที่โหยหา นั่นคือ 'พ่อ' คนใหม่ที่เธอจะได้รักและรับใช้" ฟรอยด์ชอบมีมารีเป็นเพื่อน ส่วนเธอคือคนที่คอยโต้แย้งกับเขา มารีกลายเป็นคนไข้ของเขา ก่อนจะพัฒนาความสัมพันธ์ไปสู่มิตรภาพอย่างรวดเร็ว และเมื่อความสนใจด้านจิตวิเคราะห์เพิ่มพูนขึ้นก็ทำให้เธอกลายเป็นลูกศิษย์ของเขาในที่สุด ศาสตราจารย์เรมี อามูโรซ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยโลซานน์ ในสวิตเซอร์แลนด์ เล่าให้บีบีซีฟังว่า "เธอ (มารี) เป็นผู้หญิงคนแรกในฝรั่งเศสที่ศึกษาด้านจิตวิเคราะห์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้ศึกษากับฟรอยด์" "ฟรอยด์ชอบมีเธอเป็นเพื่อนเพราะเธอไม่ใช่ 'ผู้หญิงอันตราย' หรือ เป็นนักวิชาการ โดยตอนที่พวกเขาได้รู้จักกันนั้น ฟรอยด์มีอายุเกือบ 70 ปีแล้ว ส่วนเธอก็เป็นผู้หญิงที่น่าสนใจ ฉลาด และร่ำรวย ที่คอยโต้แย้งกับเขา" ศาสตราจารย์อามูโรซ์ระบุ มารี โบนาปาร์ต กลายเป็นบุคคลมีชื่อเสียงในแวดวงจิตวิเคราะห์ของกรุงปารีส และยังรับคนไข้หลายคนในตารางการทำงานประจำวันของเธอด้วย เธอยังช่วยชีวิตของฟรอยด์เอาไว้ในตอนที่กองทัพนาซีเยอรมนีบุกยึดออสเตรีย โดยใช้ความมั่งคั่งและอิทธิพลของเธอจัดการให้ฟรอยด์และครอบครัวของเขาหลบหนีออกจากกรุงเวียนนาไปยังกรุงลอนดอน ซึ่งเขาอาศัยอยู่จนถึงวาระสุดท้ายในชีวิต มารี โบนาปาร์ต ช่วยฟรอยด์และครอบครัวของเขาหลบหนีนาซีไปอยู่ในอังกฤษ "ในวัย 82 ปี ผมได้ละทิ้งบ้านในเวียนนาจากการรุกรานของเยอรมนี แล้วมาอยู่ในอังกฤษ ซึ่งผมหวังว่าจะได้ใช้ชีวิตในช่วงสุดท้ายโดยอิสระ" ฟรอยด์ให้สัมภาษณ์กับบีบีซีในปี 1938 หญิงผู้มีความคิดอิสระ ประสบการณ์ในสายอาชีพที่เพิ่มพูนขึ้น ทำให้มารี โบนาปาร์ต มีความคิดขัดแย้งกับทฤษฎีทางเพศของสตรีที่มีอยู่ดั้งเดิมของตัวเองในที่สุด "มารี โบนาปาร์ต ละทิ้งแนวคิดดั้งเดิมของเธออย่างสิ้นเชิง" ศาสตราจารย์วอลเลนกล่าว "เธอตีพิมพ์หนังสือเล่มใหม่ในปี 1950 ที่มีชื่อว่า Female Sexuality ซึ่งเธอระบุว่าปัจจัยทางกายภาพไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ทุกอย่างล้วนมาจากปัจจัยทางด้านจิตใจ ซึ่งตอนนั้นเธอได้ศึกษาด้านจิตวิเคราะห์มาเกือบ 25 ปีแล้ว" ศาสตราจารย์วอลเลนระบุว่า "แม้จะเปลี่ยนแนวคิด แต่ดิฉันคิดว่างานวิจัยดั้งเดิมของเธอน่าทึ่งมาก" และมองว่ามารี โบนาปาร์ต คือสตรีผู้ปฏิวัติการศึกษาเรื่องเพศของผู้หญิง ในที่สุด มารีได้ตระหนักว่าตนเข้าใจผิดเรื่องเพศของผู้หญิง เพราะมันเป็นประเด็นที่ได้รับการวิเคราะห์จากมุมมองของผู้ชายเสมอมา สำหรับ ดร.ลอยด์ นั้น มารี โบนาปาร์ต คือ "บุคคลที่น่าทึ่ง เธอเป็นหนึ่งในวีรสตรีของดิฉัน แม้ว่าจะมีชีวิตที่น่าเศร้าอยู่ด้วยก็ตาม" เมื่อพูดถึงการศึกษาเรื่องเพศของผู้หญิง "เธอเป็นผู้มีความรู้และความเข้าใจล้ำหน้ากว่าผู้คนในยุคนั้น แม้ที่จริงเธอจะไม่พึงพอใจหรือมีความสุขกับร่างกายของตัวเองเลยก็ตาม" ศาสตราจารย์อามูโรซ์ ซึ่งใช้เวลาหลายปีในการทำรายการผลงานของมารี โบนาปาร์ต ในกรุงปารีส ก็คิดว่า "เธอเป็นสตรีที่น่าทึ่งผู้มีสายสัมพันธ์ใกล้ชิดกับบุคคลในแวดวงวรรณกรรม การเมือง และคนในราชวงศ์ เรียกได้ว่าเธอรู้จักคนมีชื่อเสียงแทบทั้งหมดในช่วงครึ่งแรกของของศตวรรษที่ 20" "เธอเป็นบุคคลที่น่าสนใจสำหรับขบวนการสตรีนิยมเช่นกัน" เขากล่าว พร้อมกับชี้ว่า ในที่สุด มารี โบนาปาร์ต ก็ได้ข้อสรุปว่า "มุมมองเรื่องทางเพศของเธอได้รับอิทธิพลอย่างมากจากผู้ชาย เพราะเธอเข้าใจมาตลอดว่าการบรรลุจุดสุดยอดทางเพศนั้นมีอยู่เพียงทางเดียวเท่านั้น" "แต่ขณะเดียวกันเธอก็มีความคิดที่เป็นอิสระเปิดกว้างมาก เธอเป็นผู้หญิงที่ซับซ้อนผู้ไม่เกรงกลัวที่จะท้าทายซิกมันด์ ฟรอยด์"
|
สำหรับใครหลายคนเธอคือผู้บุกเบิกการศึกษาเรื่องเพศของสตรี แต่สำหรับบางคนเธอเป็นเพียงสตรีสูงศักดิ์ผู้มีสายสัมพันธ์กับบุคคลทรงอิทธิพลมากมาย
|
international-38249595
|
https://www.bbc.com/thai/international-38249595
|
จัสติน ทรูโด น้ำตาซึมเมื่อพบกับผู้ลี้ภัยชาวซีเรียอีกครั้ง
|
นายการาเบเดียนเล่าถึงความทรงจำจากเหตุการณ์ประทับใจครั้งนั้น โดยเฉพาะตอนที่นายทรูโดกล่าวต้อนรับด้วยคำพูดว่า "ยินดีต้อนรับสู่บ้าน" การที่เขาได้รับการปฏิบัติเช่นนั้นทำให้เขายิ่งมีสำนึกรักบ้านเกิดมากขึ้น เขาบอกด้วยว่าเขาภูมิใจที่ได้เป็นพลเมืองแคนาดาและภูมิใจเสมอที่เป็นชาวซีเรีย นายทรูโดที่นั่งฟังอยู่ด้วยถึงกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ และกล่าวถึงเหตุการณ์ในวันนั้นว่า ตอนที่เขาเห็นนายการาเบเดียนและลูกสาวที่สนามบิน เขาคิดทันทีว่าแคนาดาต้องทำอะไรสักอย่างเพื่ออนาคตของเด็ก ๆ เหล่านี้ นับตั้งแต่เดือน พ.ย. ปีที่แล้ว มีผู้ลี้ภัยจากซีเรียเดินทางมายังแคนาดาแล้วกว่า 350,000 คน
|
นายวานิก การาเบเดียน หนึ่งในผู้ลี้ภัยชาวซีเรียที่หนีสงครามในบ้านเกิดมาสู่แคนาดาเมื่อปีก่อน ต้องประหลาดใจ เมื่อพบว่านายจัสติน ทรูโด นายกรัฐมนตรีแคนาดามารอรับกลุ่มผู้ลี้ภัยที่สนามบินโทรอนโตด้วยตัวเอง
|
thailand-47668726
|
https://www.bbc.com/thai/thailand-47668726
|
ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนฯ เสด็จงานสมรส “อุ๊งอิ๊ง”
|
ก่อนหน้านี้พรรคไทยรักษาชาติ ได้เสนอพระนามทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี เป็น "นายกฯ ในบัญชี" ของพรรค ต่อมาในหลวงรัชกาลที่ 10 ทรงมีพระราชโองการระบุว่า "พระมหากษัตริย์และพระบรมราชวงศ์ทุกพระองค์ ทรงดำรงสถานะอยู่เหนือการเมือง" นำมาสู่มติคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ให้ "ยุบพรรค" โดยอ้างถึงพระราชโองการ และศาลรัฐธรรมนูญได้ลงมติยุบพรรคเมื่อวันที่ 7 มีนาคมที่ผ่านมา เมื่อสัปดาห์ที่แล้วเซาท์ไชน่ามอร์นิงโพสต์ รายงานว่า ทางการไทยกำลังขอให้ทางการฮ่องกงส่งตัวนายทักษิณ ซึ่งอยู่ในฮ่องกงในขณะนี้เป็นผู้ร้ายข้ามแดนกลับประเทศ
|
ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี เสด็จร่วมงานมงคลสมรส ของนางสาวแพทองธาร หรืออุ๊งอิ๊ง ชินวัตร และนายปิฎก สุขสวัสดิ์ ที่โรงแรมโรสวูด ในฮ่องกง เมื่อค่ำที่ผ่านมา โดยนายทักษิณ ชินวัตร ถวายการต้อนรับ
|
international-42298339
|
https://www.bbc.com/thai/international-42298339
|
ลูกสาวที่เกิดเมื่อแม่สูงวัย เสี่ยงเป็นหมัน-มีบุตรยาก
|
ลูกสาวที่เกิดเมื่อแม่สูงวัย เสี่ยงเป็นหมัน-มีบุตรยาก ผลการสำรวจสตรีอเมริกัน 43,000 คนครั้งนี้ ได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสาร Human Reproduction โดยระบุว่าโอกาสตั้งครรภ์มีบุตรของสตรีจะมีมากหรือน้อยเพียงใด ขึ้นอยู่กับอายุของแม่ขณะให้กำเนิดหญิงผู้นั้นด้วย ผลการศึกษาวิเคราะห์กลุ่มตัวอย่างชี้ว่า 20% ของลูกสาวที่เกิดมาเมื่อแม่มีอายุมากกว่า 30 ปีนั้น ไม่มีบุตรของตนเองในเวลาต่อมา ในขณะที่หญิงซึ่งเกิดเมื่อแม่ของตนมีอายุระหว่าง 20-24 ปี มีแนวโน้มไร้บุตรสืบสกุลเพียง 15% ส่วนหญิงที่เกิดเมื่อแม่ของตนมีอายุในช่วงวัยรุ่นนั้น มีแนวโน้มที่จะไม่มีบุตรเพียง 13% ส่วนผู้หญิงที่มีคุณวุฒิการศึกษาสูงกว่าระดับปริญญาตรีนั้น ทีมวิจัยระบุว่าเป็นกลุ่มที่มีแนวโน้มจะไม่มีบุตรมากที่สุด ซึ่งแนวโน้มนี้สูงกว่ากลุ่มเลสเบียนและสตรีโสดที่ไม่เคยผ่านการสมรสเสียอีก ในปัจจุบัน การที่ผู้หญิงยุคใหม่ใส่ใจต่อความก้าวหน้าในการงานอาชีพมากขึ้น ทำให้ตัดสินใจสร้างครอบครัวและมีบุตรช้าลง และมีแนวโน้มว่าจะมีบุตรคนแรกในวัยกลางคนกันมากขึ้น ซึ่งก่อนหน้านี้มีผลการวิจัยของมหาวิทยาลัยในโปรตุเกสเมื่อปี 2006 ที่ชี้ว่า แม่อายุมากจะมีความเสียหายบกพร่องทางพันธุกรรมที่ส่งต่อไปยังบุตรโดยไม่รู้ตัว อย่างไรก็ตาม ดร.โอลกา บาสโซ หัวหน้าทีมวิจัยบอกว่า ยังไม่ทราบถึงสาเหตุที่แน่ชัดของปรากฏการณ์นี้ และยังไม่อาจชี้ได้ว่าอายุของแม่ขณะที่ให้กำเนิดลูกสาว จะเชื่อมโยงเกี่ยวข้องกับความสามารถในการตั้งครรภ์ของลูกสาวในอนาคตมากน้อยเพียงใด ทั้งยังเป็นไปได้ว่าลูกสาวที่เกิดจากแม่สูงวัยมีพฤติกรรมบางอย่างแตกต่างไปจากหญิงอื่นก็เป็นได้ ซึ่งจะต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมกันต่อไป
|
ผลการวิจัยล่าสุดโดยมหาวิทยาลัยแม็คกิลล์ในแคนาดาระบุว่า หญิงที่เกิดเมื่อแม่ของตนมีอายุมากกว่า 30 ปีขึ้นไป มีแนวโน้มความเสี่ยงที่จะไม่มีบุตรสูงกว่าหญิงกลุ่มอื่น โดยเกือบ 20% ของหญิงที่เข้าข่ายนี้ไม่มีบุตรเลยแม้แต่คนเดียว แม้จะต้องการมีบุตรและมีอายุล่วงเลยวัยเจริญพันธุ์ไปแล้วก็ตาม
|
international-42636017
|
https://www.bbc.com/thai/international-42636017
|
กาวส้มช่วยให้คนเป็นเหมือน 'ซูเปอร์ฮีโร'
|
เมื่อบีบีซีสตูดิโอส์ทดลองใช้โฟมมาตรฐานวางบนแผ่นกระเบื้องก่อนรับแรงกระแทก ผลคือ กระเบื้องแตก แต่เมื่อใช้โฟมกาวส้มแทน แรงกระแทกถูกดูดซับไว้ และกระเบื้องยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์ตามเดิม ด้วยคุณลักษณะนี้ ทำให้โฟมกาวส้มถูกใช้เป็นแผ่นรองกันกระแทกในกีฬาเอ็กซ์ตรีมต่าง ๆ โดยกาวส้มจัดอยู่ในกลุ่มสารที่มีลักษณะเฉพาะเรียกว่า ของไหลที่ไม่เป็นไปตามกฎของนิวตัน (non-Newtonian fluids) "ถ้าผมเอามือกดลงไปเบา ๆ แบบนี้ มันจะไหลผ่านมือผมเหมือนกับ ของเหลวอย่างหนึ่ง แต่ถ้าคุณใช้แรงกระแทกอย่างเร็ว แบบนี้ มันจะไม่เหมือนกับของเหลวอีกต่อไป และเริ่มเป็นเหมือนของแข็งแทน" ผู้ทดสอบกล่าว เขาอธิบายต่อว่า เมื่อลูกบอลตกลงมาบนโฟมที่ไม่เป็นไปตามกฎของนิวตัน โมเลกุลทุกโมเลกุลจะยึดกันแน่น ทำให้โฟมแข็ง ดูดซับพลังงาน และป้องกันแผ่นกระเบื้องได้ล่าง
|
กาวสีส้มที่มีคุณลักษณะเฉพาะทั้งนุ่มและแข็ง รองรับแรงกระแทกได้ดี และถูกใช้ในกีฬาเอ็กซ์ตรีมต่าง ๆ โดยได้รับการขนานนามว่าเป็นกาวช่วยชีวิต และทำให้ผู้ใช้งานกลายเป็นเหมือนกับซูเปอร์ฮีโรที่เผชิญกับแรงกระแทกรุนแรงได้โดยไม่เป็นอันตราย
|
international-47471752
|
https://www.bbc.com/thai/international-47471752
|
รัสเซีย เตรียมทดสอบตัดการเชื่อมต่อจากอินเทอร์เน็ตโลก เพื่อป้องกันการโจมตีไซเบอร์
|
การป้องกันทางไซเบอร์ (Cyber-defence) กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว ทั้งในภาครัฐและธุรกิจเอกชน วันที่จะทดสอบระบบยังไม่ได้ระบุชัดเจน แต่คาดว่าจะเกิดขึ้นก่อนวันที่ 1 เม.ย. เพราะวันนั้นเป็นวันสุดท้ายที่สมาชิกรัฐสภาจะเสนอให้เปลี่ยนแปลงกฎหมายที่เรียกว่า โครงการเศรษฐกิจดิจิทัลแห่งชาติ (Digital Economy National Program) การทดสอบดังกล่าว เป็นการเคลื่อนไหวล่าสุดของรัสเซียในการสร้าง 'อินเทอร์เน็ตที่มีอธิปไตย' (sovereign internet) เพื่อปกป้องตัวเองจากการโจมตีทางไซเบอร์ในช่วงวิกฤต ยกตัวอย่างเช่น ช่วงสงคราม แม้ว่า รัสเซียจะมีความกังวลอยู่ แต่การทดสอบนี้จะเป็นความก้าวหน้าอีกขั้นหนึ่ง ควบคู่ไปกับแนวทางในการสร้างอินเทอร์เน็ตที่ควบคุมได้ หรือมีความเข้มงวดมากขึ้น คล้ายกับการควบคุมเนื้อหาด้วย 'เกรต ไฟร์วอลล์' (Great Firewall) ของจีน ผู้เชี่ยวชาญ กล่าวว่า นี่เป็นส่วนหนึ่งของแนวโน้มในการสร้างสิ่งที่เรียกว่า 'สปลินเทอร์เน็ต' (splinternet) ซึ่งอินเทอร์เน็ตยังคงมีอยู่ แต่จะมีความแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ ขึ้นอยู่กับการควบคุมของรัฐบาล อย่างไรก็ตาม ยังคงมีหลายคำถามเกี่ยวกับแผนการตัดการเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตโลกของรัสเซีย แผนการเป็นอิสระทางอินเทอร์เน็ตของปูติน ถูกนักวิจารณ์มองว่า เป็นวิธีในการควบคุมชีวิตในโลกออนไลน์ของชาวรัสเซียเพิ่มมากขึ้น เป็นไปได้หรือไม่ที่จะ 'ถอดปลั๊ก' ประเทศจากการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตกับชาวโลก? ตอบสั้น ๆ ว่า เป็นไปได้ เมื่อพิจารณาลักษณะทางกายภาพของ อินเทอร์เน็ต ถ้าคุณตัดสายที่เชื่อมต่อประเทศกับเครือข่ายทั่วโลก ประเทศก็จะถูกตัดขาด เรื่องนี้เกิดขึ้นมาแล้วจากความผิดพลาดในปี 2018 เมื่อสายเคเบิลไฟเบอร์ใต้ทะเลที่เชื่อมต่อประเทศมอริเตเนียขาดจากอุบัติเหตุ ซึ่งมีรายงานว่าเป็นเพราะเรืออวนลาก ทำให้ผู้คน 4 ล้านคนในชาติแอฟริกาตะวันตกชาตินี้ไม่สามารถใช้อินเทอร์เน็ตได้ 2 วัน รัสเซีย ไม่ต้องการจะถอดปลั๊กตัวเองอย่างสิ้นเชิง รัสเซียต้องการให้อินเทอร์เน็ตยังใช้งานได้ในประเทศ เพียงแต่ปิดกั้นการเข้าถึงทั้งขาเข้าและขาออก ประเทศหนึ่งจะตัดขาดตัวเองจากเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่เหลืออย่างไร? มันเป็นระบบที่คล้ายกับเครือข่ายอินทราเน็ต ซึ่งมักใช้ในองค์กรและสถาบันขนาดใหญ่ต่าง ๆ อย่างเช่น รัฐบาล หรือมหาวิทยาลัย จีนปิดกั้นผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตจากการเข้าถึงเครือข่ายอินเทอร์เน็ตโลกได้อย่างเต็มที่ แมต ฟอร์ด ผู้จัดการโครงการเทคโนโลยีเพื่อสังคมอินเทอร์เน็ต กล่าวว่า "สมมุติว่า มันทำได้สำเร็จ ผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตในรัสเซียจะสามารถเข้าถึงเนื้อหาต่าง ๆ ในอินเทอร์เน็ตและติดต่อสื่อสารกับผู้ใช้งานคนอื่น ๆ ที่ใช้บริการต่าง ๆ ที่ตั้งอยู่ในรัสเซียได้ แต่จะไม่สามารถติอต่อสื่อสารกับบริการใด ๆ ที่อยู่นอกรัสเซียได้" การทำเช่นนี้ในระดับประเทศ มีลักษณะคล้ายคลึงกับระบบอินทราเน็ตอื่น ๆ แต่มีความซับซ้อนกว่ามาก มันจะได้ผลหรือไม่ในทางหลักการ? ในทางทฤษฎีมีอุปสรรคหลักที่จะต้องก้าวข้ามให้ได้ 2 ประการ ประการแรกคือ ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตของรัสเซีย จะต้องเชื่อมต่อ การสัญจรบนเว็บไซต์ (web traffic) ซึ่งหมายถึงจำนวนคนและเวลาที่คนเข้าเว็บ ไปยังจุดที่มีการส่งข้อมูลต่าง ๆ (routing points) ภายในประเทศ หมายความว่า บริษัทต่าง ๆ ที่รับผิดชอบในการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตในรัสเซียจะต้องทำให้มั่นใจว่า ข้อมูลทุกอย่างต้องถูกส่งผ่านจุดแลกเปลี่ยนที่ควบคุมโดย Roskomnazor หน่วยงานกำกับดูแลโทรคมนาคมของรัสเซีย ประการที่สองคือ รัสเซียจะต้องทำสำเนาระบบโดเมนเนม (Domain Name System--DNS) ของตัวเอง ซึ่งเป็นสารบบโดเมนและที่อยู่ของอินเทอร์เน็ตโลก ระบบดีเอ็นเอส เป็นสิ่งที่ช่วยแปลงรหัสปลายทางที่ซับซ้อนของแต่ละเว็บไซต์และเซิร์ฟเวอร์ ให้เป็น URL ที่มนุษย์เข้าใจได้ง่ายกว่า ยกตัวอย่างเช่น ที่อยู่ของเว็บไซต์ 'www.example.com' จริง ๆ แล้ว คือ 192.168.1.1. มอริเตเนีย ถูกตัดขาดจากโลกออนไลน์นาน 48 ชั่วโมงในปี 2018 เพราะเคเบิลใต้ทะเลได้รับความเสียหาย การสร้างสารบบใหม่ของแต่ละเว็บไซต์และเซิร์ฟเวอร์ในโลก เป็นส่วนสำคัญของแผนการนี้ของรัสเซีย เพราะว่าไม่มีองค์กรที่มีข้อมูลสารบบดีเอ็นเอสเหล่านี้เป็นของรัสเซีย การทำเช่นนี้จะทำให้พวกเขาสามารถแยกประเภทบริการเป็น ภายในประเทศและ 'ปลอดภัย' กับ ระหว่างประเทศ และ 'ไม่ปลอดภัย' นี่คือจุดที่มีความกังวลว่า จะเกิดการตรวจสอบเนื้อหาเกิดขึ้น ถ้ารัฐบาลรัสเซียตัดสินใจเพียงแค่ย้ายการสัญจรบนเว็บไซต์ไปผ่านสารบบที่อยู่ดีเอ็นเอสของตัวเอง เพราะจะทำให้รัสเซียสามารถปฏิเสธการเข้าถึงเว็บไซต์ใดก็ได้ ยากแค่ไหนที่จะทำเช่นนั้นได้? แมต ฟอร์ด ระบุว่า จะเป็นเรื่องยากอย่างยิ่งสำหรับรัฐบาลรัสเซียในการบอกได้ว่า เว็บไซต์และเซิร์ฟเวอร์ใดที่เป็นของรัสเซียอย่างแท้จริง เพราะมีบริการจำนวนมากที่พึ่งรหัสเลขฐานสอง (bits of code) ที่พบได้ทั่วไปในอินเทอร์เน็ตโลก นอกจากนี้ รัสเซียจะเผชิญกับความยุ่งยากในการบริหารจัดการจุดเข้าและออกของข้อมูลหลายร้อยจุดทั่วประเทศ นี่คือเหตุผลที่ทำให้ต้องให้ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตเข้ามาช่วย โดยรายงานหลายแหล่งระบุว่า รัฐบาลได้มอบเงินช่วยเหลือแก่บริษัทผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตเหล่านี้ จากการที่พวกเขาต้องเผชิญกับความยุ่งยากทางเทคนิค ข้อมูลของธนาคารโลกระบุว่า รัสเซียมีแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียของตัวเองที่เรียกว่า VK มีผู้ใช้งาน 90 ล้านคน ส่วนเฟซบุ๊กมีผู้ใช้งาน 20 ล้านคน มันจะได้ผลไหม? การสร้างพรมแดนเทียมรอบประเทศในระดับนี้ คงจะไม่ได้เกิดขึ้นอย่างราบรื่น และผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากคาดว่า การทดสอบนี้จะทำให้เกิดปัญหาสำคัญหลายอย่างขึ้น แมต ฟอร์ด กล่าวว่า "อาจจะมีความติดขัดที่คาดไม่ถึงหลายอย่าง ผมคิดว่าบริการหลักของรัสเซียจะใช้งานได้ แต่ธรรมชาติของอินเทอร์เน็ตที่ต้องมีการพึ่งพากันทั่วโลก จะทำให้บริการหลายอย่างถูกปิดกั้นหรือใช้งานไม่ได้อย่างไม่ต้องสงสัย มันจะเป็นการเรียนรู้ แน่นอนว่า เมื่อการทดสอบเกิดขึ้น"
|
ในอีก 2-3 สัปดาห์ข้างหน้า รัฐบาลรัสเซียจะทดลอง 'ถอดปลั๊ก' ประเทศจากการเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตโลก
|
international-40623610
|
https://www.bbc.com/thai/international-40623610
|
เราพร้อม "เทเลพอร์ต" กันแล้วหรือยัง ?
|
เทคโนโลยี "เทเลพอร์ต" ยังเป็นเพียงเรื่องในภาพยนตร์หรือใกล้จะเป็นจริงแล้ว ? ศาสตราจารย์ซานดู โปเปสคู จากมหาวิทยาลัยบริสทอลของสหราชอาณาจักรตอบคำถามนี้ว่า "หากพูดถึงการเคลื่อนย้ายมวลสารในชั่วพริบตาแบบในภาพยนตร์สตาร์เทร็ก มันจะไม่ใช่แค่การเคลื่อนย้ายอนุภาคเพียงตัวเดียวเท่านั้น แต่หมายถึงการเคลื่อนย้ายอนุภาคกว่าหลายพันล้านล้านล้านอนุภาค จากคนผู้หนึ่งไปยังดวงดาวที่ห่างไกล ซึ่งนอกจากอนุภาคที่เป็นมวลสารของร่างกายแล้ว ยังต้องส่งข้อมูลที่ประกอบกันขึ้นเป็นความคิดจิตใจของคนผู้นั้นไปด้วย นี่ไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ เลย" ศาสตราจารย์โปเปสคูชี้ว่า แม้การ "เทเลพอร์ต" แบบที่เกิดขึ้นในนิยายวิทยาศาสตร์ จะยังไม่สามารถเกิดขึ้นได้ในอนาคตอันใกล้ แต่เทคโนโลยีล่าสุดในการส่งข้อมูลควอนตัมของนักวิทยาศาสตร์จีน ก็สามารถทำให้เกิดปรากฎการณ์ที่เป็นเสมือนการเทเลพอร์ตขึ้นได้ในระดับอนุภาค โดยเป็นการถ่ายทอดข้อมูลสถานะของสิ่งต่าง ๆ ไปยังที่ห่างไกล มากกว่าจะเป็นการเคลื่อนย้ายมวลสารนั้นไปโดยตรง เปรียบเสมือนเครื่องส่งแฟ็กซ์ ซึ่งส่งข้อมูลต่าง ๆ ไปพิมพ์ลงบนกระดาษที่ปลายทาง แต่ไม่ได้ส่งกระดาษที่มีข้อมูลต้นฉบับไปถึงยังจุดหมายจริง ๆ ดาวเทียมม่อจื๊อขึ้นสู่วงโคจรในอวกาศจากศูนย์ยิงปล่อยดาวเทียมทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีน อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีการส่งข้อมูลด้วยอนุภาคควอนตัมผ่านดาวเทียม ซึ่งคิดค้นและพัฒนาโดยนายผาน เจียนเว่ย นักวิทยาศาสตร์ชาวจีนและศาสตราจารย์แอนทัน เซลิงเกอร์ จากมหาวิทยาลัยเวียนนาของออสเตรีย สามารถทำการเทเลพอร์ตสถานะของอนุภาคโฟตอนได้ โดยใช้หลักการพัวพันเชิงควอนตัม (Quantum entanglement) ซึ่งชี้ว่าคู่ของอนุภาคซึ่งมีความพัวพันกันจะมีปฏิกิริยาตอบสนองตามกันในทันทีที่เกิดความเปลี่ยนแปลงกับอนุภาคใดอนุภาคหนึ่ง ไม่ว่าทั้งสองจะอยู่ในตำแหน่งที่ห่างกันไปเท่าใดก็ตาม มีการตีพิมพ์รายละเอียดของการเทเลพอร์ตอนุภาคโฟตอนนี้ในวารสาร Science โดยระบุว่าทีมนักวิทยาศาสตร์ได้สร้างคู่อนุภาคโฟตอนขึ้นมาพร้อมกัน ซึ่งจะทำให้เกิดความพัวพันกันระหว่างอนุภาคทั้งสอง จากนั้นได้ "เทเลพอร์ต" สถานะของอนุภาคตัวหนึ่งให้ขึ้นไปตามลำแสงซึ่งนำทางไปสู่ดาวเทียมม่อจื๊อในอวกาศได้ในชั่วพริบตา เกิดเป็นคู่อนุภาคโฟตอนใหม่ที่มีความพัวพันกันแต่แยกกันอยู่ไกลกว่าร้อยกิโลเมตร เครือข่ายคอมพิวเตอร์ควอนตัมจะมีความปลอดภัยกว่าระบบคอมพิวเตอร์ทั่วไป คู่อนุภาคโฟตอนที่แยกกันอยู่นี้ จะเป็นสื่อรับส่งข้อมูลทางไกลที่มีประสิทธิภาพต่อไป โดยหากอนุภาคตัวใดตัวหนึ่งเกิดความเปลี่ยนแปลงจากการมีปฏิกิริยากับอนุภาคอื่น ๆ ข้อมูลนี้จะถูกส่งผ่านไปยังคู่อนุภาคของตนด้วย นอกจากนี้ ความพัวพันเชิงควอนตัมของอนุภาคทั้งสอง จะไม่เปิดโอกาสให้มัลแวร์หรือนักเจาะล้วงข้อมูลเข้ามาแทรกแซงกระบวนการเข้ารหัสและถอดรหัสข้อมูลในระหว่างนั้นได้ เพราะความพยายามแทรกแซงทุกครั้งจะสะท้อนให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในคู่อนุภาคโฟตอนเสมอ แม้ความสำเร็จในการเทเลพอร์ตสถานะของอนุภาคโฟตอนนี้ จะไม่สามารถนำไปใช้พัฒนาเทคโนโลยีเทเลพอร์ตที่เคลื่อนย้ายมวลสารรวมทั้งมนุษย์ไปยังที่ต่าง ๆ ได้ แต่ก็มีความสำคัญในการพัฒนาเครือข่ายการสื่อสารหรือระบบอินเทอร์เน็ตควอนตัมที่มีความปลอดภัยสูง เพื่อใช้ในการทำธุรกรรมทางการเงิน หรือส่งข้อมูลความลับเช่นข้อมูลการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งได้
|
เมื่อเดือนที่แล้ว นักวิทยาศาสตร์จีนสร้างความฮือฮาหลังประสบความสำเร็จในการส่งข้อมูลด้วยอนุภาคควอนตัมผ่านดาวเทียมม่อจื๊อ (Micius) ซึ่งในการส่งข้อมูลดังกล่าว นักวิทยาศาสตร์ประจำโครงการอ้างว่าได้ทำการ "เทเลพอร์ต" (Teleportation) หรือเคลื่อนย้ายข้อมูลสถานะของอนุภาคโฟตอนซึ่งเป็นอนุภาคของแสงจากพื้นโลกขึ้นไปยังดาวเทียมม่อจื๊อในอวกาศได้ในชั่วพริบตา ความสำเร็จนี้จะทำให้ในอนาคตอันใกล้ มนุษย์จะสามารถเคลื่อนย้ายมวลสารต่าง ๆ รวมทั้งตนเองไปยังห้วงอวกาศอันไกลโพ้นได้ในชั่วอึดใจ เหมือนกับในภาพยนตร์วิทยาศาสตร์หรือไม่ ?
|
features-46660173
|
https://www.bbc.com/thai/features-46660173
|
ทารก : ลูบเบา ๆ ช่วยบรรเทาความเจ็บปวดให้ลูกน้อย
|
งานวิจัยชิ้นนี้ตีพิมพ์ในวารสาร Current Biology โดยเป็นการศึกษาร่วมกันระหว่างมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ดและมหาวิทยาลัยลิเวอร์พูล จอห์น มัวร์ส ที่ได้เฝ้าสังเกตการทำงานของสมองทารก 32 คนในระหว่างที่เข้ารับการตรวจเลือด ทีมนักวิจัยได้แบ่งทารกออกเป็น 2 กลุ่มเท่ากัน แล้วใช้แปรงขนอ่อนนุ่มลูบไล้ทารกกลุ่มหนึ่งก่อนที่จะเข้ารับการเจาะเลือด และพบว่าทารกกลุ่มนี้มีกิจกรรมในสมองที่เกี่ยวกับความรู้สึกเจ็บปวดน้อยกว่าอีกกลุ่มถึง 40% ผลการศึกษายังพบว่า อัตราความเร็วที่เหมาะสมในการลูบไล้เพื่อบรรเทาปวดคือประมาณ 3 ซม.(1 นิ้ว) ต่อวินาที ซึ่งนักวิจัยชี้ว่า อัตราความเร็วนี้ช่วยกระตุ้นการทำงานของประสาทรับความรู้สึกในผิวหนังที่เรียกว่า C-tactile afferent ซึ่งงานวิจัยก่อนหน้านี้พบว่าอัตราความเร็วดังกล่าวสามารถบรรเทาความเจ็บปวดในผู้ใหญ่ได้เช่นกัน
|
งานวิจัยชิ้นล่าสุดจากสหราชอาณาจักรพบหลักฐานบ่งชี้ว่า การลูบทารกเพียงเบา ๆ ช่วยลดกิจกรรมภายในสมองที่เกี่ยวข้องกับความรู้สึกเจ็บปวดได้ ถือเป็นวิธีการบรรเทาปวดให้ทารกโดยไม่ต้องใช้ยาและไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียง
|
international-49920460
|
https://www.bbc.com/thai/international-49920460
|
สกอตแลนด์เป็นประเทศแรกในสหราชอาณาจักรที่กำหนดให้การ "ตีเด็ก" เป็นอาชญากรรม
|
กฎหมายห้ามลงโทษเด็กทางร่างกายได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาสกอตแลนด์ด้วยคะแนนเสียง 84 ต่อ 29 เสียงเมื่อวานนี้ (3 ต.ค.) ตามเวลาท้องถิ่น ขณะนี้ พ่อแม่และผู้ดูแลเด็กสามารถใช้กำลังอย่าง "สมเหตุสมผล" ในการฝึกให้เด็กอยู่ในระเบียบวินัย แต่รัฐบาลสกอตแลนด์สนับสนุนขั้นตอนที่จะทำให้เด็กได้รับการปกป้องจากการถูกทำร้ายร่างกาย เช่นเดียวกับการคุ้มครองผู้ใหญ่ สวีเดนเป็นประเทศแรกในโลกที่กำหนดให้การตีลูกผิดกฎหมายในปี 1979 และสกอตแลนด์จะเป็นประเทศลำดับที่ 58 กฎหมายปัจจุบันว่าอย่างไร ภายใต้กฎหมายสกอตแลนด์ปัจจุบัน ผู้ใหญ่ได้รับการปกป้องจากการถูกทำร้ายร่างกาย แต่เด็ก ๆ กลับไม่ได้รับการปกป้องเพราะ ผู้กระทำสามารถอ้างได้ว่าเป็นการ "ลงโทษที่สมเหตุสมผล" เพื่อฝึกระเบียบเด็กที่อายุต่ำกว่า 16 ปี ในการพิจารณาว่าการลงโทษนั้นสมเหตุสมผลหรือไม่ ศาลจะดูปัจจัยต่าง ๆ อาทิ ลักษณะการลงโทษ ระยะเวลาและความถี่ในการลงโทษ อายุของเด็กที่ถูกลงโทษ ตลอดจนผลกระทบต่อร่างกายและจิตใจของเด็ก ในทางปฏิบัติแล้ว นี่หมายความว่าพ่อแม่สามารถตีตัวเด็กได้ แต่การตีหัว เขย่าตัว หรือใช้อุปกรณ์อื่น ๆ ช่วย ถือว่าผิดกฎหมาย ตอนนี้ มีข้อห้ามการทำร้ายร่างกายเพื่อลงโทษในโรงเรียนและสถานศึกษาอื่น ๆ แล้ว ผู้วิพากษ์วิจารณ์มองว่าการแก้กฎหมายในครั้งนี้มีความเสี่ยงที่จะทำให้การกระทำของพ่อแม่ที่ดีกลายเป็นอาชญากรรม สำนักสำรวจความคิดเห็นหลายแหล่งชี้ว่า คนส่วนใหญ่ในสกอตแลนด์ไม่เห็นด้วยกับกฎหมายห้ามตีเด็ก หลายคนวิจารณ์ว่ากฎหมายที่มีอยู่ก็เพียงพอแล้ว และการแก้กฎหมายในครั้งนี้มีความเสี่ยงที่จะทำให้การกระทำของพ่อแม่ที่ดีกลายเป็นอาชญากรรม นิยามการลงโทษทางร่างกายในกฎหมายฉบับนี้เป็นนิยามเดียวกับที่คณะกรรมการว่าด้วยสิทธิเด็กของสหประชาชาติกำหนด พ่อแม่ในสหราชอาณาจักรตีเด็กกันมากแค่ไหน รายงานโดยกลุ่มองค์กรการกุศลสกอตแลนด์เมื่อปี 2015 พบว่า พ่อแม่ผู้ปกครองในสหราชอาณาจักรลงโทษเด็กด้วยการตีมากกว่าประเทศอื่น ๆ อย่างสหรัฐฯ แคนาดา อิตาลี เยอรมนี และสวีเดน ทีมนักวิจัยคาดการณ์ว่าพ่อแม่ในสหราชอาณาจักรราว 70-80 เปอร์เซ็นต์ เคยลงโทษเด็กด้วยการทำร้ายร่างกาย พวกเขายังพบอีกว่า พ่อแม่หลายคนไม่ได้มองว่าการตีเด็กเป็น "สิ่งที่ดี" แต่เชื่อว่านี่อาจเป็น "วิธีเดียวที่ได้ผล" ชาติอื่นในสหราชอาณาจักร พ่อแม่ในอังกฤษและเวลส์อาจโดนตั้งข้อหาทางอาญาได้หากตีลูกแรงจนเกิดรอยช้ำ บวม หรือเป็นแผล อย่างไรก็ตาม เวลส์กำลังอยู่ในกระบวนการที่จะออกกฎหมายห้ามตีเด็กโดยสิ้นเชิง ห้ามแม้แต่การลงโทษอย่างสมเหตุสมผล ซึ่งบังคับใช้มาในอังกฤษและเวลส์ตั้งแต่ยุควิกตอเรียนหรือช่วงศตวรรษที่ 19 ในอังกฤษก็มีการเรียกร้องให้ออกกฎหมายนี้เช่นกัน โดยเมื่อปีที่แล้วสมาคมนักจิตวิทยาด้านการศึกษาออกมาระบุว่า การตีเป็นอันตรายต่อสุขภาพจิตของเด็กและควรออกกฎหมายห้าม
|
สกอตแลนด์เป็นประเทศแรกในสหราชอาณาจักรที่กำหนดให้การตีเด็กเป็นความผิดทางอาญา
|
international-40084387
|
https://www.bbc.com/thai/international-40084387
|
ทีวีโดยผู้หญิงเพื่อผู้หญิงในอัฟกานิสถาน
|
สถานีโทรทัศน์แห่งนี้มีทีมงานเป็นผู้หญิง 54 คน ในจำนวนนี้หลายคนยังเป็นนักศึกษา โดยต้องแข่งขันกับสถานีโทรทัศน์ช่องอื่น ๆ ราว 40 ช่องของอัฟกานิสถาน ชามีลา ราซูลี พิธีกรของซานทีวี กล่าวว่า "เราสร้างสถานีโทรทัศน์แห่งนี้ขึ้นมาเพื่อใช้เรียกร้องสิทธิสตรี และเป็นกระบอกเสียงให้ทุกคนเห็นว่าผู้หญิงก็มีความสามารถในการทำงานในสังคม" การเปิดตัวทีวีสำหรับผู้หญิงแห่งแรกเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญ สำหรับประเทศที่ย้อนกลับไปเมื่อ 16 ปีที่แล้ว ผู้หญิงไม่ได้รับอนุญาตให้เรียนหนังสือ
|
ซานทีวี สถานีโทรทัศน์สำหรับผู้หญิงแห่งแรกในอัฟกานิสถาน พลิกโฉมสื่อในประเทศที่ถูกครอบงำโดยผู้ชาย
|
international-38232972
|
https://www.bbc.com/thai/international-38232972
|
โคฟี่ อันนัน ปฏิเสธใช้คำว่า "ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์" กับกรณีโรฮิงญา
|
นายอันนันกล่าวดังข้างต้น หลังจากที่นายนาจิบ ราซัค นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ได้ออกมากล่าวหารัฐบาลเมียนมาเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า มีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวโรฮิงญาเกิดขึ้น ทั้งเรียกร้องให้รัฐบาลและกองทัพเมียนมายุติการกระทำดังกล่าวเสีย นายนาจิบ ราซัค นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ออกร่วมประท้วงกรณีที่มีการใช้ความรุนแรงกับชาวมุสลิมโรฮิงญาเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม นายอันนันยังกล่าวอีกว่า ชุมชนสองฝ่ายในรัฐยะไข่ คือชุมชนชาวพุทธและชาวมุสลิม ต่างมีความหวาดกลัวและไม่ไว้วางใจกันและกัน ในระยะหลังความหวาดกลัวยิ่งเพิ่มทวีขึ้น จึงจำเป็นต้องหาทางทำลายความกลัวนั้นลง และสนับสนุนให้ชุมชนทั้งสองเชื่อมความสัมพันธ์เข้าหากัน โดยบรรดาผู้สังเกตการณ์นั้นจะต้องระมัดระวังอย่างมากในการใช้คำที่สุ่มเสี่ยงอย่างเช่นคำว่าฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ นายอันนันยังขอให้ทุกคนให้โอกาส เวลา และความอดทน แก่รัฐบาลของนางออง ซาน ซูจี ในการแก้ไขปัญหาชาวโรฮิงญาด้วย ชุมชนชาวพุทธรัฐยะไข่ออกมาประท้วง นายโคฟี อันนัน ขณะเดินทางลงพื้นที่ ด้านองค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐาน (ไอโอเอ็ม) ได้เผยตัวเลขสถิติล่าสุด ว่ามีชาวโรฮิงญาอพยพหนีภัยไปยังบังกลาเทศแล้ว 21,900 คน ในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงกว่าการคาดการณ์ของสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นเอชซีอาร์) เมื่อสัปดาห์ที่แล้วถึงสองเท่า
|
นายโคฟี่ อันนัน อดีตเลขาธิการสหประชาชาติ ซึ่งขณะนี้เป็นประธานคณะที่ปรึกษาของรัฐบาลเมียนมาเพื่อการแก้ปัญหาความขัดแย้งในรัฐยะไข่ ระบุในการให้สัมภาษณ์กับบีบีซีว่า ตนไม่เห็นด้วยกับการใช้คำว่า "ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์" กับกรณีที่มีการใช้ความรุนแรงกับชาวมุสลิมโรฮิงญา แม้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะมีความตึงเครียดและมีการสู้รบกันรุนแรงก็ตาม
|
international-44265634
|
https://www.bbc.com/thai/international-44265634
|
ผู้นำสองเกาหลีหารือกันเป็นครั้งที่ 2
|
การหารือกันครั้งที่ 2 ระหว่างผู้นำสองเกาหลี T การหารือกันครั้งที่ 2 ระหว่างประธานาธิบดีมุน แจ อิน ของเกาหลีใต้ และนายคิม จอง อึน ผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือ เกิดขึ้นในช่วงที่ทั้งสองฝ่ายพยายามที่จะทำให้การประชุมสุดยอดระหว่างสหรัฐฯ-เกาหลีเหนือ เกิดขึ้น หลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ได้ยกเลิกการประชุมที่มีกำหนดจัดขึ้น 12 มิถุนายนนี้ ไปเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา แต่ต่อมาก็ได้ระบุว่า การประชุมนี้อาจจะเดินหน้าต่อไป ทำเนียบประธานาธิบดีเกาหลีใต้ระบุว่า การพูดคุยกันระหว่างสองผู้นำเกาหลีเกิดขึ้นที่ทางตอนเหนือของหมู่บ้านพักรบปันมุนจอม ระหว่างเวลา 15.00-17.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น ทำเนียบประธานาธิบดีเกาหลีใต้ระบุเพิ่มเติมว่า"ผู้นำทั้งสองได้แลกเปลี่ยนความเห็น เพื่อจัดประชุมสุดยอดเกาหลีเหนือ-สหรัฐฯ ให้ประสบสำเร็จ" และยังระบุว่า ประธานาธิบดีมุน จะประกาศผลการหารือในช่วงเช้าวันอาทิตย์ หากการพบกันระหว่างนายทรัมป์ และนายคิม เดินหน้าต่อไป จะเป็นการหารือที่มุ่งเน้นไปที่วิธีการปลดอาวุธนิวเคลียร์บนคาบสมุทรเกาหลี และการลดความตึงเครียดลง
|
ผู้นำของเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้พบกันที่เขตปลอดทหาร ซึ่งเป็นพรมแดนกั้นระหว่างสองประเทศ
|
international-46721525
|
https://www.bbc.com/thai/international-46721525
|
ยอมไม่มีลูก เพื่อช่วยลดปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
|
"ผมตัดสินใจไม่มีลูก เพื่อช่วยแก้ปัญหา การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ" เจสัน แม็กเกรเกอร์ ซึ่งเป็นนักสิ่งแวดล้อม กล่าว เขาบอกว่า "ต้องใช้มาตรการเด็ดขาดในช่วงเวลาที่เป็นวิกฤต" "ผมมาจากเกาะที่ชื่อว่า พรินซ์ เอ็ดเวิร์ด ในแคนาดา เราเห็นคลื่นพายุซัดฝั่งที่รุนแรง ซึ่งสร้างความเสียหายต่อ ท่าจอดเรือหลายแห่งของเรา เราเห็นเฮอร์ริเคนที่รุนแรงมากขึ้น เพราะกระแสน้ำกัลฟ์สตรีมที่มีอุณหภูมิอุ่นขึ้น" ผลการศึกษาระบุว่า ชายฝั่งของเกาะแห่งนี้เสี่ยงต่อการถูกกัดเซาะจากระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น "มันทั้งน่าเศร้าและน่าโมโห ที่ต้องเห็นผลกระทบที่รุนแรงเกิดขึ้นในที่ที่ผมเรียกว่าบ้าน" เจสัน กล่าว "ยิ่งน้อยยิ่งดี คือหลักการต่อสู้กับความซับซ้อนของปัญหานี้ ใช้ทรัพยากรให้น้อยลง นั่นหมายถึง มีลูกน้อยลง ลดการกินเนื้อสัตว์ ขับรถให้น้อย และเดินทางให้น้อยลง" เขาบอกว่า เขาหารือกับคู่รักเกี่ยวกับเรื่องนี้ และทั้งคู่ตัดสินใจว่าจะไม่มีลูก เพื่อมีส่วนช่วยเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ "มันเป็นอะไรที่เราไม่ได้ทำเล่น ๆ บางครั้งก็คิดว่า เราอาจจะเสียใจที่ตัดสินใจเช่นนี้ ถ้าผมสามารถทำในส่วนของผมได้ ด้วยการไม่มีลูก ก็ถือว่าเป็นเรื่องดีที่ผมได้ทำเพื่อสิ่งแวดล้อม"
|
เจสัน แม็กเกรเกอร์ ตัดสินใจไม่มีลูก เพื่อต่อสู้กับปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เขามาจากเกาะพรินซ์เอ็ดเวิร์ดในแคนาดา ซึ่งเขาระบุว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทำให้บ้านเกิดของเขาได้รับผลกระทบจากระดับน้ำทะเลที่เพิ่มสูงขึ้นและคลื่นพายุซัดฝั่ง เขาและคู่รักจึงคิดว่า การมีลูกจะเป็นการเพิ่มปัญหาเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
|
thailand-38173269
|
https://www.bbc.com/thai/thailand-38173269
|
ร.10 : พระราชประวัติสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณบดินทรเทพยวรางกูร
|
เกร็ดความรู้ 5 ประการเกี่ยวกับรัชกาลที่ 10 หลังจากประเทศไทยตกอยู่ท่ามกลางความไม่แน่นอนเรื่องการสืบราชสันตติวงศ์มานานหลายทศวรรษ การประสูติขององค์รัชทายาทชายจึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับสถาบันกษัตริย์ไทย โดยเฉพาะในยามที่ลำดับชั้นผู้กุมอำนาจทางการเมืองของไทยมีความไม่ชัดเจน หลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในปี พ.ศ.2475 ตามด้วยการสละราชสมบัติของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ในปี พ.ศ. 2478 และตามด้วยช่วงเวลาที่ไทยมีผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์นานถึง 11 ปี สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ทรงสำเร็จการศึกษาขั้นต้นจากโรงเรียนจิตรลดา และเมื่อพระชนมายุ 13 พรรษาได้เสด็จ ฯ ไปทรงศึกษาต่อที่โรงเรียนเอกชน 2 แห่งในประเทศอังกฤษเป็นเวลา 5 ปี หลังจากนั้น ทรงศึกษาต่อจนจบระดับมัธยมศึกษาที่โรงเรียนในนครซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย แล้วทรงเข้าศึกษาต่อที่วิทยาลัยการทหารดันทรูน ในกรุงแคนเบอร์รา เป็นเวลา 4 ปี ครั้งหนึ่ง พระองค์เคยตรัสว่า ทรงประสบปัญหาในการเรียน อันเป็นผลมาจากการได้รับการเลี้ยงดูอย่างประคบประหงม นอกจากนี้ยังทรงมีผลการเรียนไม่ดีนักขณะทรงศึกษาที่วิทยาลัยการทหารดันทรูน สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ทรงได้รับการศึกษาด้านการทหารขั้นสูงในประเทศไทย สหราชอาณาจักร สหรัฐฯ และออสเตรเลีย ทรงเข้ารับราชการในกองทัพไทย ทั้งยังทรงเป็นนักบินขับไล่และนักบินพลเรือน พระองค์มักทรงขับเครื่องบินโบอิ้ง 737 ด้วยพระองค์เองเวลาเสด็จ ฯ เยือนต่างประเทศ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช โปรดเกล้า ฯ ให้สถาปนาสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าวชิราลงกรณ ขึ้นเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เมื่อปี พ.ศ. 2515 แต่ขณะนั้นได้เกิดข้อกังขาถึงความเหมาะสมของพระองค์ พระองค์มิได้แสดงความสนพระทัยในโครงการพัฒนาประเทศต่าง ๆ ของพระราชบิดาดังเช่นสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระขนิษฐา ทั้งยังทรงตกเป็นข่าวลือเกี่ยวกับสตรี การพนัน และธุรกิจผิดกฎหมาย ในปี พ.ศ.2524 สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เคยตรัสเป็นนัยว่าพระราชโอรสของพระองค์ทรงคล้ายกับ "ดอน ฮวน" ที่ทรงโปรดการใช้เวลาในช่วงสุดสัปดาห์กับเหล่าหญิงงามมากกว่าการปฏิบัติพระราชกรณียกิจ ในการพระราชทานสัมภาษณ์กับสื่อไทยเมื่อปี 2535 สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงปฏิเสธข่าวลือเรื่องที่พระองค์เกี่ยวข้องกับบรรดาผู้มีอิทธิพล รวมทั้งข่าวลือเรื่องธุรกิจผิดกฎหมาย ในปี พ.ศ.2520 พระองค์อภิเษกสมรสกับพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ และทรงมีพระธิดาด้วยกันหนึ่งพระองค์ คือพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา ซึ่งประสูติในปี พ.ศ. 2521 แต่ในช่วงเดียวกันนั้นเองมีกระแสข่าวว่าพระองค์ทรงมีความสัมพันธ์กับดาราสาว สุจาริณี วิวัชรวงศ์ (นามเดิม ยุวธิดา ผลประเสริฐ) มีพระโอรสและพระธิดารวม 5 พระองค์ ระหว่างปี พ.ศ.2522-2530 พระองค์อภิเษกสมรสกับหม่อมสุจาริณี ในปี พ.ศ. 2537 ทว่า ในปี พ.ศ. 2539 ได้ทรงประกาศหย่าขาดจากหม่อมสุจาริณี และถอดถอนฐานันดรศักดิ์พระโอรสทั้ง 4 พระองค์ ซึ่งขณะนั้น กำลังศึกษาในสหราชอาณาจักร ในปี พ.ศ. 2544 สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร อภิเษกสมรสกับพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายา และมีพระโอรสด้วยกันหนึ่งพระองค์ คือ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าทีปังกรรัศมีโชติ ซึ่งประสูติเมื่อปี พ.ศ. 2548 ในปี พ.ศ. 2557 พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายา ถูกถอดถอนออกจากฐานันดรศักดิ์ มาเป็นท่านผู้หญิงศรีรัศมิ์ สุวะดี ขณะเดียวกันบิดามารดาและญาติของท่านผู้หญิงศรีรัศมิ์จำนวน 9 คน ถูกจับกุมในความผิดตามมาตรา 112 ฐานแอบอ้างเบื้องสูง ส่วนตำรวจนายหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับครอบครัวท่านผู้หญิงศรีรัศมิ์ ได้เสียชีวิตขณะถูกควบคุมตัว นอกจากนี้ ข้อกล่าวหาฐานแอบอ้างเบื้องสูงได้ถูกใช้กับบุคคลใกล้ชิดกับสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร อีกหลายคน อาทิ นายสุริยัน สุจริตพลวงศ์ หรือ หมอหยอง และตำรวจอีกนายหนึ่งที่ถูกจับกุมในคดี มาตรา112 เมื่อปีก่อนและเสียชีวิตขณะถูกควบคุมตัว ขณะเดียวกันองครักษ์ส่วนพระองค์คนหนึ่งได้ถูกถอดยศในความผิดฐาน "ไม่ปฏิบัติตามพระราชบัณฑูร" และ "เป็นภัยต่อราชวงศ์โดยการหาผลประโยชน์ส่วนตัว" ซึ่งต่อมาองครักษ์ส่วนพระองค์ผู้นี้ได้หายตัวไปและเชื่อว่าอาจเสียชีวิตแล้ว ปัจจุบัน สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ทรงใช้ชีวิตร่วมกับพลโทหญิง สุทิดา วชิราลงกรณ์ ณ อยุธยา อดีตพนักงานต้อนรับสายการบินไทย ซึ่งได้รับพระราชยศนายทหารปฏิบัติการพิเศษสำนักงานนายทหารปฏิบัติการพิเศษ ในพระองค์สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ฯ สยามมกุฎราชกุมาร หน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงเคยพระราชทานยศ "พลอากาศเอก" ประจำกองทัพอากาศไทยให้แก่ "ฟูฟู" สุนัขพูเดิลทรงเลี้ยงด้วย บทลงโทษที่รุนแรงของกฎหมาย มาตรา 112 ส่งผลให้ในประเทศไทยไม่มีผู้ใดกล้าอภิปรายอย่างเปิดเผยถึงเรื่องความเหมาะสมของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ฯ สยามมกุฎราชกุมาร ในฐานะกษัตริย์พระองค์ใหม่ ทว่ามีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่มักพูดคุยกันอย่างลับ ๆ ถึงความเป็นไปได้ที่ตำแหน่งพระประมุขของไทยจะตกเป็นของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ผู้ทรงได้รับความนิยมจากประชาชนและทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจเพื่อประชาชนมากกว่า อีกทั้งก่อนหน้านี้ยังมีการแก้ไขกฎหมายว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ที่เปิดทางให้ผู้หญิงสามารถสืบราชสันตติวงศ์ได้ หากไม่มีองค์รัชทายาทผู้ชาย อย่างไรก็ตาม พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ไม่ทรงมีพระราชประสงค์ให้ผู้อื่นสืบราชสมบัตินอกจากพระราชโอรสของพระองค์ ในช่วงที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมีพระพลานามัยทรุดลง สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ฯ สยามมกุฎราชกุมาร ได้ทรงปรากฏพระองค์ต่อสาธารณชน และประกอบพระราชกรณียกิจแทนพระราชบิดาบ่อยขึ้น ในอดีตมีข่าวลือว่าพระองค์ทรงมีความสัมพันธ์ด้านธุรกิจกับอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ผู้ถูกมองว่าเป็นภัยต่อกลุ่มอำมาตย์ที่จงรักภักดีต่อราชวงศ์ แต่หลังจากเหตุรัฐประหารในปี 2557 ที่ทหารยึดอำนาจจากรัฐบาลของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รัฐบาลทหารชุดใหม่ก็ดูจะให้การสนับสนุนสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ฯ สยามมกุฎราชกุมาร เพื่อให้พระองค์ขึ้นเป็นกษัตริย์ต่อจากพระราชบิดา ด้วยการจัดกิจกรรม Bike for Dad หรือปั่นเพื่อพ่อ เพื่อนำเสนอภาพลักษณ์ที่เป็นกันเองของว่าที่กษัตริย์พระองค์ใหม่ เป็นการยากที่จะคาดเดาได้ว่าสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร จะทรงเป็นกษัตริย์แบบใด แม้จะทรงเป็นกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญแต่พระองค์ยังคงมีพระราชอำนาจอย่างมาก และคงไม่มีผู้ใดจะกล้าปฏิเสธพระราชประสงค์หรือพระราชโองการของพระองค์ นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงมีพระราชอำนาจเด็ดขาดในสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ซึ่งถือเป็นสถาบันที่ร่ำรวยที่สุดในประเทศไทย ด้วยทรัพย์สินราว 30,000-40,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และมีรายได้ต่อปีซึ่งได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีราว 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ทั้งยังทรงบัญชาการกองทหารรักษาพระองค์ ที่มีกำลังพลราว 5,000 นาย อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญด้านราชวงศ์ไทยชี้ว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ทรงไม่น่าจะมีพระบารมีและเป็นที่เคารพสักการะเท่าพระราชบิดา เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ต้องสร้างขึ้นด้วยพระองค์เอง มิใช่สิ่งที่ทรงรับสืบทอดจากพระราชบิดา และการที่ทรงราชย์ขณะมีพระชนมพรรษาถึง 64 พรรษาแล้ว พระองค์คงมีเวลาในการสั่งสมพระบารมีไม่ยาวนานนัก จากนี้สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ทรงมีพระราชกรณียกิจที่สำคัญในการจัดพระราชพิธีพระบรมศพของพระราชบิดา ซึ่งนี่อาจเป็นโอกาสดีที่จะช่วยเสริมบทบาทของพระองค์ ขณะเดียวกันพระองค์ยังคงสามารถพึ่งพาความจงรักภักดีที่พสกนิกรมีให้ต่อพระราชบิดาของพระองค์ ในการค้ำจุนสถาบันพระมหากษัตริย์ให้เป็นสถาบันหลักของสังคมไทย
|
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณบดินทรเทพยวรางกูร กษัตริย์พระองค์ใหม่ของไทย พระนามวชิราลงกรณมีความหมายว่า "ทรงเครื่องเพชรนิลจินดา หรืออสนีบาต" ทรงพระราชสมภพ เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2495 ทรงเป็นพระราชบุตรพระองค์ที่สอง และเป็นพระราชโอรสพระองค์เดียว ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ และพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ผู้ทรงขึ้นครองราชย์โดยมิได้คาดหมายเมื่อ 6 ปีก่อนหน้านั้น
|
thailand-49711668
|
https://www.bbc.com/thai/thailand-49711668
|
ธรรมนัส พรหมเผ่า : บทความวิชาการของ "ดอกเตอร์" มีข้อความหลายส่วนตรงกับผลงานปริญญาเอกของนักศึกษาในฟินแลนด์
|
ร.อ. ธรรมนัส เป็นหนึ่งในผู้เขียนงานวิจัยเกี่ยวกับเรื่องการพัฒนาท้องถิ่น ซึ่งเป็นหัวข้อเดียวกับงานวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาเอกของเขา บีบีซีไทยนำบทความวิชาการของ ร.อ.ธรรมนัส มาเปรียบเทียบกับวิทยานิพนธ์ระดับดุษฎีบัณฑิต สาขาการตลาด ของ ดร. ยานนิกา นีมาน (Jannica Nyman) ผู้สำเร็จการศึกษาจากวิทยาลัยเศรษฐศาสตร์ฮังเกน (Hanken School of Economics ) ซึ่งตั้งอยู่ที่กรุงเฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์ พบว่า มีข้อความเหมือนกันอย่างน้อย 14 จุด โดยส่วนใหญ่เป็นการลอกผลงานทบทวนวรรณกรรม (literature review) ชนิดคำต่อคำ บทความดังกล่าวของ ร.อ. ธรรมนัสมีชื่อว่า "รูปแบบของการพัฒนาประสิทธิภาพท้องถิ่น รวมทั้งการส่งเสริมภาพลักษณ์และอัตลักษณ์เพื่อสร้างและเพิ่มมูลค่า: กรณีศึกษาจังหวัดพะเยา" ( The Forms of the Local Performance Development and Promotion with Image and Identity in Order to Increase the Value Added and Value Creation: A Case Study of Phayao Province ) มีเนื้อหารวม 12 หน้า ได้ลงตีพิมพ์ใน "วารสารการวิจัยทางวิทยาศาสตร์แห่งยุโรป" (European Journal of Scientific Research - EJSR) เมื่อเดือนพ.ค. ปี 2014 อย่างไรก็ตาม สถาบันวิชาการต่าง ๆ ทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้งฐานข้อมูลวารสารวิชาการนานาชาติ ไม่รับรองคุณภาพของวารสาร EJSR ทั้งยังชี้ว่าเข้าข่าย "วารสารนักล่าเหยื่อ" (predatory journal) ซึ่งเรียกเก็บค่าธรรมเนียมเพื่อแลกกับการเผยแพร่ผลงานด้วย บทความของ ร.อ. ธรรมนัสระบุชื่อผู้ร่วมประพันธ์ 5 ราย ซึ่งปรากฏชื่อของ ร.อ. ธรรมนัส เป็นชื่อแรก แต่กลับมีเนื้อหาที่ตรงกับข้อความทบทวนวรรณกรรมในวิทยานิพนธ์และบทความของผู้เขียนชาวต่างประเทศหลายคน โดยส่วนใหญ่มาจากวิทยานิพนธ์เรื่อง "การสร้างอัตลักษณ์องค์กรที่เป็นเอกภาพในกลุ่มธุรกิจสตาร์ทอัพ ถือเป็นเรื่องสำคัญหรือควรมีความสำคัญหรือไม่: มุมมองด้านการจัดการ" (Building a Coherent Corporate Identity in Startups - Is it or should it be Important?: A Managerial perspective) ของ ดร.ยานนิกา นีมาน (Jannica Nyman) ชาวฟินแลนด์ ดังตัวอย่างต่อไปนี้ ตัวอย่าง 1: หน้า 3 "Overall, the coherent and positive corporate image has been proven to lead to competitive advantages (Aaker, 1996). Witt and Rode (2005) added that a strong corporate image improves customer's acceptance of a company's services or products, it makes recruiting easier as employees are drawn to the company and it reduced the cost of capital." ข้อความข้างต้นเป็นการอ้างอิงผลงานวิจัยในอดีต ซึ่ง ดร. นีมาน ได้ค้นคว้าและเรียบเรียงมาเองเพื่อใช้สนับสนุนความคิดในวิทยานิพนธ์ของตน โดยข้อความนี้ปรากฏอยู่ในหน้า 37 ของวิทยานิพนธ์ต้นฉบับ ที่เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อปี 2013 ในขณะที่บทความของ ร.อ.ธรรมนัส ตีพิมพ์ภายหลังวิทยานิพนธ์ดังกล่าวในราวหนึ่งปีต่อมา แต่กลับปรากฏข้อความข้างต้นในหน้า 3 ของบทความ ชนิดที่เหมือนกันแบบคำต่อคำ ซ้ำยังไม่มีการระบุผลงานวิจัยที่กล่าวถึงในรายการอ้างอิง (references)ตรงท้ายบทความแต่อย่างใดด้วย ด้านซ้ายเป็นบทความของ ร.อ. ธรรมนัส ด้านขวาเป็นวิทยานิพนธ์ของ ดร.นยูมาน ตัวอย่าง2 : หน้า 4 "Karaosmanoglu and Melewar (2006) pointed out that the corporate identity is strategically planned expressions of the corporation that are communicated through clues given by the company's behavior and symbols." ข้อความส่วนนี้ตรงกันแบบคำต่อคำกับเนื้อหาหน้า 21 ในวิทยานิพนธ์ของ ดร.นีมาน ที่ว่าด้วยนิยามของอัตลักษณ์องค์กรโดยอ้างอิงงานวิชาการของ Karaosmanoglu และ Melewar (2006) ตัวอย่าง 3 : หน้า 4 "...the presence of strong corporate symbolism can be a key ingredient in successful brand development while its absence can develop a serious handicap as it makes visual differentiation problematic." บทความของ ร.อ. ธรรมนัส ในส่วนนี้อ้างถึงงานวิจัยของ Aeker (1996) ซึ่งมีข้อความตรงกันกับวิทยานิพนธ์ของ ดร. นีมาน ในหน้า 30 เพียงแต่มีการย้ายชื่อผู้เขียนงานวิจัยที่อ้างอิงมาจากข้างหลังมาไว้ข้างหน้าเท่านั้น ผลการตรวจสอบเบื้องต้นยังพบข้อความที่ตรงกับวิทยานิพนธ์ของ ดร. นีมานในลักษณะนี้เกือบสิบจุด ทั้งยังปรากฏเนื้อหาที่ตรงกับผลงานของนักวิชาการต่างประเทศคนอื่น ๆ อีก อาทิ William S. Chang (2010), S. Saraniemi (2010), Chen Ching-Fu & Odonchimeg Myagmarsuren (2011) ตัวอย่าง 4 : หน้า 5 "The concept of structural capital is that allows the intellectual capital to be measured and developed in an organization. Structural capital of the organization is conceived as a product process that contains elements of efficiency, transaction time, procedural innovativeness and access to information for codification into knowledge." ซึ่งตรงกับบทความวิชาการเรื่อง "The Different Proportion of IC Components and Firms' Market Performance: Evidence from Taiwan." ของ William S. Chang ที่ตีพิมพ์ในวารสาร The International Journal of Business and Finance Research 4, (4): 121-134 เปรียบเทียบข้อความในบทความของ ร.อ. ธรรมนัส (ซ้าย) กับบทความของ ดร. วิลเลียมส์ เอส. ชาง (ขวา) โดยทั่วไปแล้วบทความวิชาการที่ตีพิมพ์เพื่อขอจบการศึกษา มักจะมีความเกี่ยวข้องกับเนื้อหาสำคัญของวิทยานิพนธ์เป็นอย่างมาก โดยอาจจะเป็นบทหนึ่งของวิทยานิพนธ์หรือเป็นการสรุปใจความสำคัญโดยย่อ ดังนั้นการที่บทความวิชาการของ ร.อ. ธรรมนัสมีข้อความบางส่วนตรงกันกับงานวิชาการของผู้อื่น ในลักษณะที่หยิบยกมาใช้โดยไม่ได้อ้างอิงตามหลักเกณฑ์การเขียนงานวิชาการ อาจทำให้เกิดข้อสงสัยต่อวิทยานิพนธ์ที่เขาใช้ยื่นขอสำเร็จการศึกษาต่อมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ยูนิเวอร์ซิตี เอฟซีอี ด้วย ร.อ. ธรรมนัส นำใบทรานสคริปต์มาโชว์ผู้สื่อข่าว หลังถูกตั้งข้อสงสัยเรื่องวุฒิปริญญาเอก แค่ไหนเรียก "ลักลอก" รศ. มานิตย์ จุมปา อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการตรวจสอบการลักลอกงานวิชาการ (plagiarism) ให้ข้อมูลกับบีบีซีไทย ถึงหลักเกณฑ์การพิจารณาว่างานวิชาการใดที่เข้าข่ายลักลอกงานของผู้อื่นว่า โดยทั่วไปมหาวิทยาลัยที่ให้ปริญญาจะใช้โปรแกรมตรวจจับการลักลอก เช่น turnitin ซึ่งสามารถบอกได้ว่างานวิชาการชิ้นนั้นมีข้อความที่ซ้ำกับงานวิชาการของคนอื่นมากน้อยแค่ไหน โดยระบุเป็นเปอร์เซ็นต์ของเนื้อหาทั้งหมด หากเปอร์เซ็นต์การซ้ำกันสูงจนน่าสงสัย เช่น มากกว่า 20 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไป อาจารย์ที่ปรึกษาก็จะมาดูในรายละเอียดว่า ข้อความส่วนที่ซ้ำนั้น เป็นการยกมาทั้งย่อหน้าแบบคำต่อคำ หรือเป็นเพียงคำสามัญทั่วไปที่ใช้เหมือนกัน อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันไม่มีมาตรฐานสากลว่าข้อความซ้ำกันกี่เปอร์เซ็นต์ถึงจะเรียกว่าเป็นการลักลอกหรือขโมยงานวิชาการ โดยมหาวิทยาลัยแต่ละแห่งกำหนดหลักเกณฑ์ที่ต้องเฝ้าระวังเอง "ถ้าเป็นถ้อยคำสั้น ๆ แล้วซ้ำกัน เราไม่ถือว่าลักลอก แต่ถ้าเป็นลักษณะย่อหน้าต่อย่อหน้า ลอกทั้งเนื้อหาและถ้อยคำก็จะต้องเอามาดูกันโดยละเอียด หากเป็นงานวิชาการภาษาอังกฤษ ส่วนใหญ่จะใช้โปรแกรม turnitin แต่ถ้าเป็นงานภาษาไทย จุฬาฯ ได้พัฒนาซอฟต์แวร์ที่ชื่อว่าอักขราวิสุทธิ์ โดยนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาต้องส่งไฟล์วิทยานิพนธ์หรือสารนิพนธ์ให้อาจารย์ที่ปรึกษานำเข้าโปรแกรมตรวจสอบ ถ้าพบว่ามีข้อความซ้ำกัน 3-5 เปอร์เซ็นต์ ถือเป็นเรื่องปกติ โดยหลักวิชาการจะไม่ถือว่าเป็นการลักลอก แต่ถ้าเขยิบไปเป็น 10-20 กว่าเปอร์เซ็นต์ ก็ต้องเข้าไปดูในรายละเอียดว่าส่วนที่เหมือนหรือซ้ำมันมีลักษณะเป็นย่อหน้าต่อย่อหน้าหรือไม่" นักวิชาการนิติศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญการตรวจสอบการลักลอกงานวิชาการอธิบายเพิ่มเติมว่า กรณีการลักลอกงานวิชาการที่เคยเกิดขึ้นมักจะมีความชัดเจนว่าเป็นการลอกมาเป็นย่อหน้า อาจเปลี่ยนแค่คำขึ้นต้นย่อหน้าเท่านั้น ซึ่งหากตรวจพบตั้งแต่ก่อนที่จะสอบวิทยานิพนธ์ อาจารย์ที่ปรึกษาก็อาจจะสั่งแก้ แต่ถ้าตรวจพบหลังจากรับปริญญาบัตรไปแล้ว ก็ต้องดำเนินเรื่องเพื่อเพิกถอนปริญญาบัตร "ความเห็นของผม ถ้าอยู่ในหลักที่ต่ำกว่า 20 เปอร์เซ็นต์ ยังไม่สามารถฟันธงได้ว่าลอกหรือไม่ลอก ต้องเข้าไปดูในเนื้อหา ถ้าปรากฏว่าเข้าไปเอามาเป็นย่อหน้าต่อย่อหน้า แม้จะเป็นเพียงแค่ 1-2 หน้า ก็ถือว่าคัดลอกผลงานทางวิชาการ เพราะหลักการของการเป็นบัณฑิตในระดับปริญญาโทและปริญญาเอก งานวิจัยนั้นจะต้องมีความใหม่ ถ้าไปลอกคนอื่นมา แปลว่าไม่มีความใหม่ ปริญญาที่ได้รับก็ต้องโดนเพิกถอน" รศ. มานิตย์กล่าว เขาให้ความเห็นด้วยว่า ยิ่งงานวิชาการนั้นได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารวิชาการที่ได้มาตรฐาน การตรวจสอบยิ่งต้องเป็นไปอย่างเข้มข้น เพราะเป็นการเผยแพร่ต่อสาธารณะ ขณะที่วิทยานิพนธ์อาจไม่มีการตีพิมพ์เลยก็ได้ เมื่อถามว่าหากงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารวิชาการมีลักษณะลักลอกงานของผู้อื่นจะส่งผลต่อวิทยานิพนธ์ที่ขอจบการศึกษาหรือไม่ รศ. มานิตย์อธิบายว่า ขึ้นอยู่กับข้อกำหนดของมหาวิทยาลัยนั้น ๆ กล่าวคือ หากมีข้อกำหนดว่านักศึกษาจะจบปริญญาโทหรือเอกได้ ต้องเอาวิทยานิพนธ์ไปทำเป็นบทความแล้วตีพิมพ์ก็หมายความว่า หากตรวจพบว่าบทความนั้นมีการลักลอก ก็จะทำให้กระบวนการในการได้ปริญญาไม่สมบูรณ์ ก็ต้องเพิกถอนปริญญา ผู้สื่อข่าวบีบีซีไทย พยายามโทรศัพท์ไปหา ร.อ. ธรรมนัส ในวันที่ 16 ก.ย. หลายครั้ง เพื่อขอคำชี้แจงในเรื่องนี้ แต่ไม่สามารถติดต่อได้
|
หลังจากที่สื่อมวลชนและผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์บางส่วนตั้งข้อสงสัยว่า วุฒิการศึกษาระดับปริญญาเอกของ ร.อ. ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ อาจได้มาโดยไม่ถูกต้องจากสถาบันการศึกษาซึ่งไม่เป็นที่รับรองนั้น บีบีซีไทยได้ตรวจสอบบทความวิชาการของ ร.อ. ธรรมนัส ซึ่งเป็นผลงานส่วนหนึ่งที่ใช้ยื่นขอจบการศึกษากับมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ยูนิเวอร์ซิตี เอฟซีอี เพิ่มเติม และพบว่ามีข้อความที่ตรงกับงานวิชาการของผู้อื่นอยู่นับสิบจุด
|
thailand-55623129
|
https://www.bbc.com/thai/thailand-55623129
|
วัคซีนโควิด: เรารู้อะไรบ้างเกี่ยวกับวัคซีนของซิโนแวคที่ทางการจีนอนุมัติล่าสุด
|
โฉมหน้าวัคซีนโควิด-19 ที่ชื่อว่า "โคโรนาแวค" ของ บ.ซิโนแวค ไบโอเทค ชื่อบริษัทผู้ผลิตวัคซีนโควิด-19 ของจีนที่ผลิตวัคซีนได้สำเร็จและส่งไปให้ประเทศต่าง ๆ ที่สั่งจองแล้ว ได้แก่ ทั้ง "ซิโนแวค ไบโอเทค" และ "ซิโนฟาร์ม" ซึ่งไทยก็เป็นหนึ่งในประเทศที่มีการสั่งซื้อวัคซีนจาก บ.ซิโนแวค เดิมทีรัฐบาลไทยประกาศว่าวัคซีนที่ผลิตโดย บ.ซิโนแวค ซึ่งมีชื่อว่า "โคโรนาแวค" ล็อตแรกจำนวน 2 แสนโดสจากที่ไทยสั่งซื้อทั้งหมด 2 ล้านโดสจะมาถึงประเทศไทยภายในสิ้นเดือน ก.พ. โดยองค์การอาหารและยา (อย.) เตรียมขึ้นทะเบียนภายในวันที่ 14 ก.พ. แต่เมื่อทางการจีนยังไม่รับรองวัคซีนตัวนี้ อย. ของไทยจึงยังไม่สามารถขึ้นทะเบียนเพื่ออนุญาตให้นำเข้ามาใช้ในประเทศได้ เมื่อต้องรอทางการจีนขึ้นทะเบียนวัคซีนของซิโนแวคอย่างไม่มีกำหนด รัฐบาลไทยซึ่งถูกตั้งคำถามอย่างหนักจากสาธารณะเรื่องความล่าช้าในการจัดหาวัคซีนและการไม่หาทางเลือกที่หลากหลายจึงได้ไปเจรจากับ บ.แอสตร้าเซนเนก้าให้ส่งวัคซีนล็อตแรกจำนวน 50,000 โดสจากที่ไทยสั่งซื้อไว้ และ อย.ได้ขึ้นทะเบียนแล้วมาให้ก่อน ขณะที่ยังไม่มีความชัดเจนว่าแอสตร้าเซนเนก้าจะส่งวัคซีนล็อตแรกมาให้ไทยได้หรือไม่ องค์การเวชภัณฑ์แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน (China National Medical Products Administration--NMPA) ก็ได้อนุมัติให้มีการจำหน่ายวัคซีนโคโรนาแวคของซิโนแวคช่วงสัปดาห์แรกของเดือน ก.พ. บ.ซิโนแวคออกแถลงการณ์เมื่อวันที่ 8 ก.พ. ยืนยันว่าทางการจีนได้อนุญาตให้บริษัทจำหน่ายและฉีดวัคซีนโควิด-19 กับผู้ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป "ซิโนแวคกำลังดำเนินการขอขึ้นทะเบียนวัคซีนโคโรนาแวคในประเทศอื่น ๆ ทั่วโลกซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามที่จะกระจายวัคซีนโควิด-19 ให้ทั่วถึงและครอบคลุมประชากรโลกให้มากที่สุดเพื่อป้องกันและยับยั้งการแพร่ระบาด" บริษัทระบุในแถลงการณ์ พร้อมกับให้ข้อมูลว่าขณะนี้มีประเทศที่อนุมัติให้ใช้วัคซีนโคโรนาแวคภายใต้สถานการณ์ฉุกเฉินแล้ว 4 ประเทศ ได้แก่ อินโดนีเซีย บราซิล ตุรกีและชิลี นายหยิน เว่ยตง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของซิโนแวคระบุว่า องค์การเวชภัณฑ์ฯ อนุมัติการจำหน่ายหลังจากพิจารณารายงานผลการทดสอบระยะสามซึ่งใช้เวลาทดสอบเป็นเวลา 2 เดือน อย่างไรก็ตามผลการทดสอบที่สมบูรณ์ยังไม่เสร็จสิ้น เช่นเดียวกับผลการศึกษาด้านประสิทธิภาพและความปลอดภัยที่ยังต้องรอการสรุปอย่างเป็นทางการอีกครั้ง หลังจากที่ทางการจีนอนุมัติการใช้และจำหน่ายวัคซีนของซิโนแวค นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขกล่าวเมื่อวันที่ 10 ก.พ. ว่าวัคซีนของซิโนแวคที่ไทยสั่งซื้อไป 2 ล้านโดสนั้นจะจัดส่งถึงไทยตามแผนที่วางไว้ คือ 2 แสนโดสแรกจะจัดส่งภายในเดือน ก.พ. ส่วนที่เหลือจะตามมาในเดือน มี.ค. และ เม.ย. จากนั้นในปลายเดือน พ.ค.หรือมิ.ย. วัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้าที่ บ. สยามไบโอไซเอนซ์ผลิตในไทยจะเริ่มทยอยออกมา สำหรับประเด็นการขึ้นทะเบียนวัคซีนซิโนแวคโดยองค์การอาหารและยา (อย.) ของไทยนั้น นายอนุทินกล่าวว่า อย. ได้รับเอกสารจาก บ. ซิโนแวคแล้ว และหลังจากที่ทางการจีนได้อนุญาตให้ใช้วคซีนของซิโนแวคแล้ว ก็ไม่ใช่เรื่องยากที่ อย. จะเร่งขึ้นทะเบียนก่อนในไทย หากทั้งหมดเป็นไปตามนี้ นายอนุทินคาดว่าจะเริ่มฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้คนไทยกลุ่มแรกได้ภายในต้นเดือน มี.ค. เรารู้อะไรบ้างเกี่ยวกับวัคซีนของซิโนแวค ที่มีแนวโน้มว่าจะเป็นวัคซีนโควิด-19 ยี่ห้อแรกที่จะเดินทางมาถึงและฉีดให้คนไทยในอีกไม่นานนี้ 1. ซิโนแวคทำอะไร "ซิโนแวค" หรือชื่อเต็มว่า ซิโนแวค ไบโอเทค เป็นบริษัทผู้ผลิตยาและชีวเภสัชภัณฑ์สัญชาติจีน ตั้งอยู่ในกรุงปักกิ่ง เชี่ยวชาญการวิจัย พัฒนา ผลิตและจำหน่ายวัคซีนป้องกันโรคระบาด ก่อตั้งในปี 1999 โดยนายหยิน เว่ยตง อดีตเจ้าหน้าที่สาธารณสุขของจีน ปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในกรุงปักกิ่ง ก่อนหน้านี้ซิโนแวคเคยผลิตวัคซีนมาแล้วหลายตัว เช่น วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบเอ (ชื่อทางการค้า Healive) วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบเอและบี (ชื่อทางการค้า Bilive) วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์เอ ชนิด H5N1 (ชื่อทางการค้า Panflu) และวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ (ชื่อทางการค้า Anflu) วัคซีนโควิด-19 ที่ซิโนแวคเป็นผู้ผลิตเป็นวัคซีนเชื้อตายที่มีชื่อว่า "โคโรนาแวค" (CoronaVac) วัคซีนตัวนี้ ทำงานโดยการเหนี่ยวนำระบบภูมิคุ้มกันร่างกายมนุษย์ให้สร้างแอนติบอดีต้านโควิด-19 โดยแอนติบอดีจะยึดติดกับโปรตีนบางส่วนของไวรัสไม่ให้เข้าสู่เซลล์ร่างกาย ไวรัสเชื้อตายเป็นเทคโนโลยีดั้งเดิมที่ถูกใช้มานานกว่าศตวรรษ โดยโจนัส ซัลก์ (Jonas Salk) ได้ใช้เทคโนโลยีวัคซีนเชื้อตายในการสร้างวัคซีนโปลิโอในปี 1955 การใช้เชื้อตายทำให้โคโรนาแวคแตกต่างจากวัคซีนที่ผลิตในโลกตะวันตกอย่างของบริษัทโมเดอร์นา (Moderna) และไฟเซอร์ (Pfizer) ที่เป็นวัคซีน mRNA ซึ่งเป็นการฉีดพันธุกรรมโมเลกุลที่เรียกว่าเอ็มอาร์เอ็นเอเข้าไปในร่างกายเพื่อกระตุ้นให้ร่างกายสร้างโปรตีนของไวรัสเพื่อกระตุ้นภูมิต้านทาน มีการทดลอง "โคโรนาแวค" กับอาสาสมัครกลุ่มใหญ่ในบราซิล อินโดนีเซีย และตุรกี รองศาสตราจารย์หลัว ต้าไห่ จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีนันยางให้ข้อมูลกับบีบีซีว่า โคโรนาแวค เป็นวัคซีนในรูปแบบดั้งเดิมที่ประสบความสำเร็จในการป้องกันโรคที่เกิดจากไวรัสในอดีต เช่น โรคพิษสุนัขบ้า ขณะที่วัคซีนเอ็มอาร์เอ็นเอ เป็นวัคซีนชนิดใหม่และในปัจจุบันยังไม่มีกรณีตัวอย่างที่ยืนยันถึงความสำเร็จของวัคซีนรูปแบบนี้ในกลุ่มประชากร การวิจัยพบว่าข้อได้เปรียบหลักอย่างหนึ่งของวัคซีนที่ผลิตโดยซิโนแวค คือมันสามารถเก็บไว้ในตู้เย็นธรรมดาที่อุณหภูมิ 2-8 องศาเซลเซียสได้ เช่นเดียวกับวัคซีนของอ็อกซ์ฟอร์ดซึ่งพัฒนาขึ้นจากเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคหวัดในชิมแปนซี ต่างจากวัคซีนของโมเดอร์นาซึ่งต้องเก็บไว้ที่อุณหภูมิ -20 องศาเซลเซียส และวัคซีนของไฟเซอร์ต้องเก็บที่อุณหภูมิ -70 องศาเซลเซียส ถ้าพิจารณาจากอุณหภูมิที่ใช้ในการเก็บวัคซีนจะเห็นได้ว่าวัคซีนของซิโนแวคและของอ็อกซ์ฟอร์ดที่ร่วมผลิตกับ บ.แอสตราเซเนกา น่าจะเหมาะกับประเทศกำลังพัฒนาที่อาจไม่มีศักยภาพในการเก็บวัคซีนจำนวนมากในอุณหภูมิที่ต่ำขนาดนั้นได้ โควิด-19 : เรารู้อะไรบ้างเกี่ยวกับวัคซีนของซิโนฟาร์มและซิโนแวคจากจีน 2. "ซีพี" กับ "ซิโนแวค" หลังจากคณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 5 ม.ค.อนุมัติงบกลางกว่า 1,200 ล้านบาทให้กระทรวงสาธารณสุขจัดซื้อวัคซีนต้านโควิด-19 จำนวน 2 ล้านโดสจากซิโนแวค และต่อมาคณะกรรมการองค์การเภสัชกรรมได้เห็นชอบสำรองงบประมาณในการสั่งซื้อไปก่อน 1 พันกว่าล้านบาท ก็ปรากฏข่าวว่าบริษัท ซีพี ฟาร์มาซูติคอล กรุ๊ป ซึ่งเป็น บริษัทในเครือซีพี ของเจ้าสัวธนินท์ เจียรวนนท์ ได้เข้าถือหุ้น 15.03 % ของซิโนแวคตั้งแต่เดือน ธ.ค. 2563 ซีพีจึงกลายเป็นอีกหนึ่งตัวละครสำคัญในการจัดซื้อวัคซีนโควิด-19 ของรัฐบาลไทย ข้อมูลจากเว็บไซต์บริษัท ซีพี ฟาร์มาซูติคอล กรุ๊ป ซึ่งเป็นบริษัทในเครือซีพีของนายธนินท์ เจียรวนนท์ ที่ดำเนินธุรกิจยาในประเทศจีนและจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงในนามบริษัท ซิโนไบโอฟาร์มาซูติคอล จำกัด ระบุว่าบริษัทซิโนไบโอฟาร์มาซูติคอลได้ทุ่มเงินกว่า 515 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 15,400 ล้านบาท เพื่อซื้อหุ้น 15.03 % ของบริษัทซิโนแวคเมื่อวันที่ 7 ธ.ค. 2563 โดยซีพี ฟาร์มาซูติคอลระบุว่าการเข้าถือหุ้นในครั้งนี้จะส่งผลดีต่อทั้งบริษัทและผู้ถือหุ้น และตอบสนองยุทธศาสตร์ของบริษัทในการ "รับผิดชอบต่อสังคมด้วยการช่วยควบคุมการระบาดของโควิด-19 ให้รวดเร็วยิ่งขึ้น เพื่อปกป้องสุขภาพของประชาชนจีนและผู้คนทั่วโลก อีกทั้งยังเป็นการขยายธุรกิจจากเน้นที่การรักษาเป็นการป้องกันโรค" ธนินท์ เจียรวนนท์ และครอบครัวของเขา คือมหาเศรษฐีหมายเลขหนึ่งของไทย ขณะที่เว็บไซต์ฐานเศรษฐกิจรายงานคำชี้แจงของซีพีกรณีที่มีการตั้งข้อสังเกตถึงผลประโยชน์ที่บริษัทยาในเครือซีพีได้รับจากการที่รัฐบาลไทยสั่งซื้อวัคซีนจากซิโนแวคจำนวน 2 ล้านโดสว่า ยอดการสั่งซื้อวัคซีนของซิโนแวคจำนวน 2 ล้านโดสของไทย คิดเป็นเพียง 0.33% ของกำลังการผลิต 600 ล้านโดสต่อปีเพื่อกระจายวัคซีนไปทั่วโลก "นั่นจึงคงไม่ใช่เหตุผลที่ซีพีเข้าไปลงทุนในครั้งนี้" ฐานเศรษฐกิจรายงานคำชี้แจงของซีพี ซึ่งย้ำด้วยว่าบริษัทซิโนไบโอฟาร์มาซูติคอลของซีพีมีหุ้นในซิโนแวคเพียงส่วนน้อยคือ 15.03% และดีลนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ซิโนแวคขยายข้อตกลงจัดหาวัคซีนโคโรนาแวค และทดลองกับหลายประเทศเพิ่มมากขึ้น 3. รัฐบาลไทยมีแผนอย่างไรในการจัดซื้อและแจกจ่ายวัคซีนของซิโนแวค หลังได้รับอนุมัติจาก ครม.ให้จัดซื้อวัคซีนของบริษัทซิโนแวคจำนวน 2 ล้านโดน วงเงิน 1,228 ล้านบาท นพ. เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุขแถลงความคืบหน้าเรื่องการขึ้นทะเบียนและจัดซื้อวัคซีนจากจีนเมื่อวันที่ 10 ม.ค. ว่าองค์การเภสัชกรรม (อภ.) จะเป็นผู้ดำเนินการจัดซื้อ เป็นตัวแทนจำหน่าย และทำเอกสารเพื่อยื่นขึ้นทะเบียนจากองค์การอาหารและยา คาดว่าจะขึ้นทะเบียนให้ได้ภายในวันที่ 14 ก.พ. โดย อภ.จะสำรองงบประมาณ 1,228 ล้านบาทในการสั่งซื้อไปก่อน จากการชี้แจงของปลัด สธ. และ ครม. สรุปปฏิทินการนำเข้าวัคซีนโคโรนาแวคของบริษัท ซิโนแวค และแผนการแจกจ่ายได้ดังนี้ 4. วัคซีนของซิโนแวคได้ผลมากน้อยแค่ไหน บทความวิชาการในวารสารทางวิทยาศาสตร์ เดอะแลนแซตระบุว่าขณะนี้มีข้อมูลจากการทดลองวัคซีนโคโรนาแวคแค่ในระยะแรกและระยะที่สองเท่านั้น บทความนี้ยังระบุด้วยว่าผลจากการฉีดวัคซีน ซึ่งอ้างอิงจากผู้เข้าร่วม 144 คนในการทดลองระยะที่หนึ่ง และ 600 คนในการทดลองระยะที่สอง ระบุไว้ว่าวัคซีน "เหมาะสำหรับใช้ในกรณีฉุกเฉิน" ขณะที่สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่ามีการตั้งคำถามถึงความโปร่งใสเกี่ยวกับประสิทธิภาพของโคโรนาแวค หลังจากที่บริษัทเปิดเผยผลการทดลองฉีดวัคซีนโคโรนาแวค ระยะที่สามในตุรกีว่าได้ผลมากถึง 91.25% แต่บริษัทไม่ได้เปิดเผยตัวเลขจริง การทดลองระยะที่สามในตุรกีเริ่มขึ้นเมื่อ ก.ย. 2563 โดยมีผู้เข้าร่วมทดลองในเฟสที่สาม 7,000 คน และผลรายงานออกมาเมื่อเดือน ธ.ค. โดยอ้างอิงผลจากผู้เข้าร่วมเพียงแค่ 1,322 คนเท่านั้น โดยทางตุรกีซึ่งมีประชากรมากกว่า 84 ล้านคน ได้สั่งวัคซีนตัวนี้ไปถึง 50 ล้านโดส ซิโนแวครายงานด้วยว่าอาสาสมัครรับวัคซีน "บางคนมีอาการอ่อนเพลียหรือไม่สบายเพียงเล็กน้อย ซึ่งไม่เกิน 5%" ต่อมาในเดือน ต.ค. ได้มีการทดลองวัคซีนตัวนี้ในบราซิลซึ่งเป็นประเทศที่มีผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 สูงเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก แต่การทดลองก็ต้องหยุดชะงักลงในเดือน พ.ย. หลังจากมีรายงานการเสียชีวิตของอาสาสมัคร แต่กลับมาดำเนินการต่อหลังจากพบว่าการเสียชีวิตไม่มีความเชื่อมโยงกับวัคซีน รองศาสตราจารย์หลัวจากมหาวิทยาลัยนันยางให้ความเห็นว่า "จากข้อมูลเบื้องต้นโคโรนาแวค น่าจะเป็นวัคซีนที่มีประสิทธิภาพ แต่เราจำเป็นต้องรอผลการทดลองระยะที่สามที่สมบูรณ์ก่อน" แม้จะยังมีข้อกังขาในระดับนานาชาติ แต่ นพ. เกียรติภูมิ ปลัด สธ. ยืนยันว่าวัคซีนจากซิโนแวคเป็นวัคซีนชนิดเชื้อตายแบบดั้งเดิม มีความปลอดภัยสูง หลังฉีดยังไม่พบผลข้างเคียงรุนแรง และคาดว่าจะได้รับการขึ้นทะเบียนในประเทศจีนเร็ว ๆ นี้ เพื่อใช้ในกรณีฉุกเฉิน ขณะที่ นพ.นคร เปรมศรี ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ กล่าวว่า จากการศึกษาเปรียบเทียบวัคซีนโควิด 19 ที่มีผลการทดสอบประสิทธิภาพในมนุษย์ระยะที่ 3 ซึ่งเป็นขั้นตอนสุดท้ายก่อนการขึ้นทะเบียนพบว่า ทั้งนี้วัคซีน 5 ตัวแรกได้รับการขึ้นทะเบียนในประเทศต้นทางแล้ว 5. ประเทศใดบ้างที่สั่งซื้อวัคซีนของจีน เว็บไซต์ของบริษัทซีพี ฟาร์มาซูติคอล กรุ๊ป รายงานเมื่อต้นเดือน ธ.ค. ว่ามี "หลายประเทศ" สั่งซื้อวัคซีนโคโรนาแวคแล้ว แต่ไม่ได้เปิดชื่อประเทศ หลังจากนั้นไม่นานมีรายงานว่าวัคซีนล็อตแรกส่งมาถึงอินโดนีเซียเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการฉีดวัคซีนให้ประชากรกลุ่มใหญ่ และอีก 1.8 ล้านโดสจะมาถึงภายในเดือน ม.ค. ไม่กี่วันต่อมาสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และบาห์เรนได้อนุมัติวัคซีนจากบริษัทซิโนฟาร์ม ซึ่งเป็นบริษัทของรัฐบาลจีน เป็นวัคซีนที่ทำงานในลักษณะเดียวกันกับซิโนแวค โดยทางการบาห์เรนระบุว่าประชาชนสามารถลงทะเบียนออนไลน์เพื่อรับวัคซีนได้ฟรี ขณะที่สิงคโปร์กล่าวว่าได้ลงนามในข้อตกลงการสั่งซื้อล่วงหน้ากับผู้ผลิตวัคซีนรวมถึงซิโนแวค โมเดอร์นา และไฟเซอร์ ด้านซิโนแวคเปิดเผยว่าขณะนี้มีประเทศที่อนุมัติให้ใช้วัคซีนโคโรนาแวคภายใต้สถานการณ์ฉุกเฉินแล้ว 4 ประเทศ ได้แก่ อินโดนีเซีย บราซิล ตุรกีและชิลี ส่วนในอาเซียนนอกจากอินโดนีเซีและสิงคโปร์แล้ว ไทยและฟิลิปปินส์เป็นอีก 2 ประเทศ ที่สั่งซื้อวัคซีนของซิโนแวคมาใช้
|
หลังจากถูกจับตามองจากทั่วโลกในฐานะประเทศที่เป็นจุดเริ่มต้นการระบาดครั้งใหญ่ของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ 2019 ที่กระทบผู้คนมหาศาลอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน จีนกำลังถูกจับตามองอีกครั้งในฐานะประเทศผู้ผลิตและจำหน่ายวัคซีนโควิด-19
|
features-48515935
|
https://www.bbc.com/thai/features-48515935
|
ค้านทฤษฎี “แมวของชโรดิงเงอร์” ชี้ทำนายการเปลี่ยนสถานะควอนตัมล่วงหน้าได้
|
การค้นพบดังกล่าวตีพิมพ์ในวารสาร Nature โดยทีมนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเยลของสหรัฐฯ แถลงว่าทฤษฎี "แมวของชโรดิงเงอร์" (Schrödinger's cat) ที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางนั้น อาจไม่ถูกต้องตรงกับความเป็นจริงในระดับควอนตัมบางเรื่อง เมื่อปี 1935 ชโรดิงเงอร์ได้กล่าวถึงการทดลองในจินตนาการ ซึ่งสมมติให้มีแมวถูกขังไว้ในกล่องปิดสนิทซึ่งมีสารกัมมันตรังสีและขวดบรรจุไอพิษอยู่ด้วย หากสารกัมมันตรังสีเกิดการสลายตัว กลไกในกล่องจะทุบขวดบรรจุไอพิษให้แตกออกซึ่งจะทำให้แมวตายในที่สุด อย่างไรก็ตาม โอกาสที่สารกัมมันตรังสีจะสลายตัวมีอยู่ครึ่งต่อครึ่ง (50%) ทำให้ไม่อาจทราบได้แน่ว่า ขณะที่กล่องปิดอยู่และยังไม่ถูกเปิดออกดู แมวที่เป็นสัตว์ทดลองจะยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ ซึ่งเท่ากับว่าแมวในกล่องมีสองสถานะคือทั้งเป็นและตายอยู่ในขณะเดียวกัน แต่แมวจะเปลี่ยนไปมีสถานะอย่างใดอย่างหนึ่งโดยฉับพลัน ในชั่วขณะที่ผู้สังเกตการณ์เปิดกล่องออกดูเท่านั้น การทดลองสมมตินี้คือการเปรียบเปรยให้เข้าใจถึงหลักกลศาสตร์ควอนตัม ซึ่งอนุภาคในระดับที่เล็กกว่าอะตอมเช่นอิเล็กตรอนจะสามารถอยู่ในหลายสถานะ หรืออยู่ในระดับพลังงานที่แตกต่างกันได้ในคราวเดียวกัน (Superposition) แต่อนุภาคนั้นจะเปลี่ยนไปอยู่ในสถานะใดสถานะหนึ่งอย่างฉับพลันแบบก้าวกระโดด หรือที่เรียกว่าควอนตัมลีป (Quantum leap) ในชั่วขณะที่ผู้ทดลองเริ่มลงมือตรวจวัดสังเกตการณ์เท่านั้น ทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเยลได้ทำการทดลองเพื่อทดสอบทฤษฎีนี้ โดยยิงรังสีจากคลื่นไมโครเวฟไปยังคิวบิตนำไฟฟ้ายิ่งยวด ซึ่งเป็นอนุภาคที่ใช้ในควอนตัมคอมพิวเตอร์ เพื่อให้อนุภาคดังกล่าวเกิดการเปลี่ยนสถานะไปอยู่ในระดับพลังงานต่าง ๆ และใช้วิธีสังเกตการณ์ทางอ้อมผ่านคลื่นไมโครเวฟ เพื่อดูว่าจะสามารถตรวจจับสัญญาณที่บ่งชี้ล่วงหน้าว่า อนุภาคกำลังจะ "กระโดด" เปลี่ยนสถานะ หรือกำลังจะเกิดควอนตัมลีปขึ้นได้หรือไม่ การค้นพบใหม่นี้จะช่วยพัฒนาเทคโนโลยีควอนตัมคอมพิวเตอร์ให้ก้าวไปอีกขั้น ผลปรากฏว่าทีมผู้วิจัยสามารถตรวจจับสัญญาณดังกล่าวได้ ซึ่งหากตรวจพบว่ามีอนุภาคโปรตอนออกมา ก็แสดงว่าอนุภาคที่ทดลองกำลังเข้าสู่สถานะพื้น (Ground state) แต่หากโปรตอนหายไปอย่างกะทันหัน ก็แสดงว่าอนุภาคที่ทดลองกำลังเข้าสู่สถานะกระตุ้น (Excited state) ที่มีพลังงานสูงกว่า ดร. ซลาตโก มีเนฟ ผู้นำทีมวิจัยบอกว่า "เราพบว่าปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ใช่การกระโดดข้ามสถานะอย่างฉับพลัน แต่เป็นการเลื่อนไหลเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในพริบตาจนทำให้รู้สึกเหมือนกับว่าเป็นการก้าวกระโดด" "นอกจากนี้ เรายังสามารถควบคุมการให้พลังงานกับอนุภาคที่กำลังจะกระโดด จนทำให้มันถอยกลับไปอยู่ในสถานะพื้นตามเดิมได้ ซึ่งเท่ากับว่าเราช่วยชีวิตแมวของชโรดิงเงอร์ที่กำลังเปลี่ยนสถานะไปสู่ความตาย ให้คืนสู่สถานะปลอดภัยและมีชีวิตอยู่ได้" "ข้อมูลที่เราค้นพบใหม่นี้ สามารถจะนำไปใช้พัฒนาควอนตัมคอมพิวเตอร์ โดยใช้ตรวจจับอนุภาคที่กำลังจะเกิดควอนตัมลีป ซึ่งเป็นที่มาของการประมวลผลผิดพลาด" "ถึงกระนั้นก็ตาม วิธีทำนายแนวโน้มการเปลี่ยนสถานะของอนุภาคที่เราทำได้ ถือว่ายังไม่เป็นประโยชน์ในระยะยาว เพราะคล้ายกับการทำนายเหตุภูเขาไฟระเบิด ซึ่งเราอาจจับสัญญาณการสั่นสะเทือนที่ส่งมาล่วงหน้าได้ แต่บอกไม่ได้ว่ามันจะระเบิดขึ้นเมื่อไหร่กันแน่" ดร. มีเนฟกล่าว
|
ทฤษฎีกลศาสตร์ควอนตัมที่โด่งดังมานานของแอร์วิน ชโรดิงเงอร์ (Erwin Schrödinger) นักฟิสิกส์ชาวออสเตรีย ถูกท้าทายด้วยผลการทดลองล่าสุดของนักวิทยาศาสตร์อเมริกัน ซึ่งชี้ว่าเราอาจจะทำนายถึงสถานะทางควอนตัมของอนุภาคได้ก่อนจะเริ่มสังเกตการณ์ รวมทั้งเข้าควบคุมการเปลี่ยนแปลงสถานะนั้นให้ย้อนกลับไปได้อีกด้วย อันเป็นสิ่งตรงกันข้ามกับหลักการที่ชโรดิงเงอร์เคยระบุไว้
|
thailand-49108330
|
https://www.bbc.com/thai/thailand-49108330
|
ประชุมสภา : ฝ่ายค้านรุมวิจารณ์รัฐบาลประยุทธ์ แถลงนโยบายวันแรก
|
น.ส. จิราพร สินธุไพร ส.ส. ร้อยเอ็ด พรรคเพื่อไทย อภิปรายตั้งสังเกตนโยบายด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลเพื่อรองรับความผันผวนของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะการรับมือสงครามทางการค้าระหว่างจีน-สหรัฐฯ โดยตั้งคำถามถึงนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศของรัฐบาล นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ว่าที่ผู้นำฝ่ายค้านในสภาฯ กล่าวว่า รัฐบาลขาดความสง่างาม อาจเรียกได้ว่ามีการใช้เล่ห์เหลี่ยมทางการกฎหมาย ใช้อำนาจไม่เป็นธรรม เริ่มจากใช้ชื่อนโยบายของอดีตรัฐบาล มาตั้งเป็นชื่อพรรค และตัว พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กลับมาสมัครเป็นนายกฯครั้งที่สอง โดยอยู่ในพรรคนั้น อีกทั้งก่อนเลือกตั้งไม่นาน มีการอนุมัติงบประมาณเพิ่มค่าตอบแทนให้บัตรคนจน ร้ายที่สุดคือการโอนงบประมาณจำนวนหนึ่งให้อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน 2 วันก่อนวันเลือกตั้ง ทำให้เป็นรัฐบาล ที่ขาดความชอบธรรม ไม่สง่างาม อย่างไรก็ตาม รัฐธรรมนูญฉบับนี้ ได้เพิ่มคุณสมบัติรัฐมนตรีไว้อย่างเข้มข้น มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ไม่มีพฤติกรรมฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรง แต่ในคณะรัฐมนตรี มีรัฐมนตรีหลายคนที่มีคดีความผิดติดตัวอยู่ บางคนเกี่ยวกับคดียาเสพติด แต่รองนายกฯ ฝ่ายกฎหมายได้ออกมาแก้ต่างว่าความผิดที่เกิด เกิดต่างประเทศ ไม่ได้เกิดในประเทศไทย "ดังนั้น ที่บอกว่าจะปฏิรูปการเมือง แต่การตั้งคณะรัฐมนตรีที่เป็นอยู่ กลับพบว่าเมื่อพี่เป็นรัฐมนตรีไม่ได้ เอาน้องมาเป็น สามีเป็นไม่ได้เอาภรรยามาเป็น พ่อเป็นไม่ได้ก็เอาลูกมาเป็น มีความพิลึกกึกกือ นี่หรือคือการปฏิรูปการเมือง" นายสมพงษ์ กล่าวว่า จากการบริหารงานรัฐบาลที่ผ่านมา เศรษฐกิจเกิดสภาพรวยกระจุก จนกระจาย การขาดดุลเพิ่มสูงขึ้นมาก หนี้ครัวเรือนเพิ่มสูงเป็นประวัติการณ์ เศรษฐกิจที่ผ่านมาเป็นยุคที่ตกต่ำต่อเนื่อง อยู่ระดับท้าย ๆ อาเซียน ทั้งที่เดิมไทยเป็นอดีตผู้นำมาตลอด ทำให้ตอนนี้ถูกขนานนามว่า "ผู้ป่วยเอเชีย" เป็นเรื่องน่าเศร้าใจมาก และน่าเศร้าใจต่อเพราะ ทีมเศรษฐกิจรัฐบาลชุดที่แล้วยังมาเป็นรัฐมนตรีในชุดนี้ ทั้งนี้ รัฐบาล มีนโยบายอัดฉีดเม็ดเงิน เข้าระบบ ต้องระมัดระวังปัญหาเรื่องหนี้ครัวเรือน เพราะสิ่งที่ทำมาตลอดหลายปี หากหนี้ครัวเรือนยังสูงอยู่จะยิ่งเป็นปัญหา อัดเม็ดเงินไปเท่าไหร่ก็ถูกนำไปใช้หนี้ ไม่ได้เอาไปกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างที่คาดหวัง ส่วนนโยบายช่วยเหลือเกษตรกรก็เป็นเพียงคำพูดสวยเหลือขาดความชัดเจนที่จะเข้าไปช่วยเหลือ นอกจากนี้ ในเรื่องการปฏิรูปการเมือง จากที่ออกคำส่งตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พ.ศ. 2557 ให้นักการเมือง ท้องถิ่นยุติการปฏิบัติงาน แต่ ไม่ทราบไปเจรจาอย่างไร นักการเมืองท้องถิ่นถึงได้กลับมาปฏิบัติงานอย่างเดิม และยังขึ้นเวทีหาเสียงกับพรรคที่นายกฯ สังกัดอยู่ อีกทั้งยังล้มเหลวในการปกป้องสิทธิมนุษยชน จนถึงวันนี้ยังไม่มีคำตอบเรื่องการทำร้ายร่างกาย จ่านิว - สิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ นักกิจกรรมทางการเมือง วันมูหะมัดนอร์ อัด นโยบายรัฐบาลเลื่อนลอย เรื่อยเปื่อย นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาชาติ อภิปรายว่า นี่เป็นนโยบายเลื่อนลอย ทำก็ได้ ไม่ทำก็ได้ พูดเรื่อยเปื่อยไป แม้แต่นายกฯเองก็ไม่อยากอ่าน อ่านข้ามไปมา เพราะไม่จูงใจให้อ่าน และรู้ว่าที่เขียนไปทำก็ได้ ไม่ทำก็ได้ จะบรรลุวัตถุประสงค์ตรงไหนก็ไม่รู้ ไม่สามารถวัดเชิงปริมาณ และคุณภาพ รวมทั้งยากจะติดตามผล ตรวจสอบ โดยเฉพาะจากภาคประชาชน ดังนั้น นี่จึงเป็นเป็นนโยบายที่หาวิสัยทัศน์ชัดเจนได้ยาก และยากที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุน นายวันมูหะมัดนอร์ กล่าวว่า จากนโยบายกำหนดว่าการบริหารราชการแผ่นดิน 4 ปี จะยึดหลัก 4 ประการ หนึ่งในนั้นคือจะยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข แต่คนที่เคยทำปฏิวัติ อย่างน้อยสองครั้งจะบอกว่ายึดมั่นประชาธิปไตยได้อย่างไร เพราะคนที่จะยึดระบอบประชาธิปไตย ต้องเป็นคนที่เคารพต่อระบอบรัฐสภา รัฐธรรมนูญ นายวันมูหะมัดนอร์ กล่าวว่า ปี 2557 ที่มีการยึดอำนาจ พล.อ.ประยุทธ์ บอกในที่ประชุมพรรคการเมืองต่างๆ ว่า เมื่อตกลงกันไม่ได้ก็ยึดอำนาจ และบอกว่าคุณ "สู้ผมไม่ได้ ผมเตรียมการเรื่องนี้มา 3 ปี" ตรงนี้หมายความว่ามีการเตรียมการมาตั้งแต่ 2554 หากนายกฯ ออกมาปฏิเสธก็จะขอชี้แจงต่อว่ามีรายละเอียดอะไรที่ได้เตรียมการมา ไม่อยากบอกว่าคนที่ไม่เป็นประชาธิปไตย จะยื่นประชาธิปไตยให้ประชาชนได้ ดังสุภาษิต ไม่มีวันที่งาจะออกจากปากสุนัข พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ได้ลุกขึ้น ชี้แจงต่อข้อกล่าวหานี้ นอกจากนี้ นายวันมูหะมัดนอร์ กล่าวโจมตีนโยบายการกำกับหน่วยงานรัฐให้ดำเนินการตามกฎหมายและวินัยการเงินอย่างเคร่งครัดของรัฐบาลนี้ ชี้ว่าการแต่งตั้ง นายอุตตม สาวนายน เป็น รมว.คลัง มาดูแลควบคุมเงินประเทศซึ่งมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าไม่มีวินัยการเงินการคลัง สมัยกำกับดูแลธนาคารกรุงไทย กรณีการปล่อยเงินกู้หมื่นกว่าล้าน จนต่อมามีคนติดคุก ซึ่งบันทึกการประชุมไม่ได้พบว่านายอุตตมได้แสดงความเห็นคัดค้านแต่อย่างไร ดังนั้นจะให้มั่นใจได้อย่างไรเมื่อคนเดียวกันนี้จะมากำกับดูแลเงินประเทศ นายวันมูหะมัดนอร์ กล่าวว่า นโยบายเร่งด่วนการแก้ไขปัญหายาเสพติดและสร้างความสงบสุขในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ ในส่วนของจังหวัดชายแดนใต้ ยังมีปัญหาในเรื่องของความไว้วางใจ กฎหมายที่ใช้บังคับ และการปฏิบัติที่ไม่เท่าเทียมกัน ส.ส.ในพื้นที่ แม้กระทั่งในฝ่ายของรัฐบาลเอง ยังขอให้ยกเลิกกฎอัยการศึก กฎหมายความมั่นคง กว่า 10 ปี ใช้งบประมาณกว่า 3 หมื่นล้านบาท สถานการณ์ก็ไม่ดีขึ้น และมีความรุนแรงขึ้น อย่างไรก็ตาม อยากให้นายกรัฐมนตรีไปถาม ส.ส. พรรคพลังประชารัฐ ที่อยู่ในพื้นที่ อย่างนายอาดิลัน อาลีอิสเฮาะ ส.ส.ยะลา ที่เป็นทนายให้คดีความมั่นคงเป็นร้อยคดี ซึ่งคดีเหล่านี้ผู้ถูกจับกุมจะต้องรับสารภาพ เกือบทุกคดีเอาถุงดำปิดหน้า ไม่ให้เขาหายใจ เขาบอกเขารับสารภาพดีกว่าไม่งั้นจะตาย อนาคตใหม่ อัดนโยบาย เลื่อนลอย นายปิยะบุตร แสงกนกกุล ส.ส. บัญชีรายชื่อ พรรคอนาคตใหม่ กล่าวว่า นโยบายของรัฐบาลมีจุดเด่น 3 ประการ 1. เลื่อนลอย ไม่โฟกัสเจาะจงเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ใช้คำสวยหรู ไม่ได้บอกวิธีการทำ 2. โลเล เช่น นโยบายเร่งคืนผืนป่า ให้ประชาชนอยู่ร่วมกับป่าได้ และ 3. หลอกลวง จากการรณรงค์หาเสียง แต่ละพรรคการเมืองนำเสนอนโยบายที่ก้าวหน้าสร้างสรรแต่ไม่ถูกบรรจุในนโยบายรัฐบาล เช่น ค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาทของพรรคพลังประชารัฐ การยกเลิกเกณฑ์ทหาร ของพรรคประชาธิปัตย์ การปลูกกัญชา บ้านละ 6 ต้น ของพรรคภูมิใจไทย นายปิยะบุตร กล่าวว่า ในนโยบายเร่งด่วน เรื่องการสนับสนุนให้มีการศึกษา รับฟังความเห็นประชาชนและการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ เป็นเรื่องสำคัญอย่างเขียนเลื่อนลอยแบบขอไปที แต่ไม่รู้ว่าสุดท้ายจะได้แก้หรือไม่ได้แก้ ส่วนตัวและพรรคอนาคตใหม่สนับสนุนให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะเล็งเห็นว่า รัฐธรรมนูญขาดความชอบธรรม ทั้งเรื่อง สมาชิกวุฒิสภา 250 คนที่มาจากการแต่งตั้งและมีสิทธิเลือกนายกฯ หรือมาตรา 279 ที่รับรองประกาศคำสั่ง คสช. ทำให้รัฐธรรมนูญมีสองระบบดังนั้นจึงต้องเห็นการเปลี่ยนแปลง แม้จะบอกว่ารัฐธรรมนูญ 2560 ผ่านการออกเสียงประชามติ แต่ก็เป็นประชามติที่ไม่ได้มาตรฐานประชาธิปไตย คนที่แสดงแสดงความไม่เห็นด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญในครั้งนั้นยังถูกดำเนินคดีตอนนี้ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ในนโยบายเรื่องแก้ปัญหาน้ำท่วมน้ำแล้งเป็นเรื่องใหญ่แต่ไม่มีรายละเอียดแนวทางการปฏิบัติ และหลายนโยบายของรัฐบาลเลื่อนลอยขาดความชัดเจน ไร้เป้าหมาย ทำให้ไม่สามารถตรวจสอบผลสัมฤทธิ์ได้ เสมือนซ่อนเร้นปิดบังรัฐสภา และยังอาจไปขัดกับหลักธรรมาภิบาล รวมทั้งที่มาของรายได้ ที่ส่อว่าจะขัดรัฐธรรมนูญ เช่น คำชี้แจงว่า มาจากภาษี กองทุนต่างๆ แต่รัฐธรรมนูญกำหนดคาดหวังว่าจะให้แจงที่มาของรายได้แต่ละนโยบาย หากไม่ทำอย่างนั้นจะไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า เรื่องการดำรงตำแหน่งของ นายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง ถูกมองว่าไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และอาจกระทบไปถึงลักษณะต้องห้าม เพราะเรื่องนี้มีความชัดเจนมาก ดังนั้นประเด็นนี้ยิ่งจะทำให้นโยบายที่ไม่มีความชัดเจน คลุมเครือ อุตตม พร้อมให้ตรวจสอบ เตรียมชี้แจงรายละเอียดปมปล่อยกู้กรุงไทย นายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง ชี้แจงว่า คดีทุจริตการปล่อยกู้คดีธนาคารกรุงไทย บริษัทในเครือกฤษฎามหานคร ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำพิพากษาถึงที่สุดเมื่อวันที่ 26 ส.ค.58 ผู้ต้องโทษ 25 ราย แต่มีความพยายามบิดเบือนว่าตนเองมีส่วนเกี่ยวข้องกระทำผิดและทำให้เกิดความเสียหาย และมีคุณสมบัติเหมาะสมดำรงตำแหน่งรมว. คลังหรือไม่ ในฐานะบุคลสาธารณะยินดีให้ตรวจสอบแต่ถ้าคนไม่ผิดแต่เดิมจะมาหาเหตุให้ผิดตอนนี้ได้อย่างไร ซึ่งประเด็นนี้จะมีการชี้แจงในรายละเอียดต่อไป ประยุทธ์ แจงมีแผนแม่บทจัดการน้ำ พล.อ.ประยุทธ์ ลุกขึ้นชี้แจงว่า ตัวเองพูดเร็วไปบ้าง มีพูดไม่ชัดบ้าง มีกลืนน้ำลาย เพราะตัวเองเป็นมนุษย์คนหนึ่ง ส่วนสมาชิกรัฐสภา จะพูดเก่ง ก็ถือเป็นเรื่องของท่าน แต่ตัวเองพูดแล้วทำไปด้วย สำหรับการแก้ไขปัญหาภัยแล้งว่า ยืนยันว่า รัฐบาลทำมาโดยตลอด ผ่านสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ซึ่งเป็นการบริหารจัดการน้ำทั้งประเทศ รวมทั้งน้ำประปา เพื่อการอุปโภคบริโภคด้วย เรามีแผนแม่บทยกระดับทุกอย่าง "แต่ปัญหาคือน้ำไม่เพียงพอ ฝนไม่ตก ทำเกษตรเกินที่ส่งน้ำให้ได้ แต่รัฐบาลจะต้องแก้ไข โดยการพัฒนาแหล่งน้ำต่อไป มีการหารือว่าจะนำน้ำจากแม่น้ำโขง จากประเทศพม่า มาใช้ได้อย่างไร เพราะเป็นแหล่งน้ำระดับประเทศ วันนี้ระดับน้ำแม่น้ำโขงเพิ่มขึ้น ผมได้ติดต่อกับจีนและลาว เพราะน้ำไม่เพียงพอ จีนบอกเขาก็แล้ง ดังนั้น เรื่องนี้ติติงอย่างเดียวไม่สร้างสรรค์ วันนี้ส่งน้ำจนเกินขนาดไปแล้ว อาจกระทบกับน้ำประปาไม่มีนี่คือปัญหาของผม ที่ผ่านมาทำฝนหลวงมาก บินไปห้าพันชั่วโมง ใช้สารเคมีไปห้าพันตัน ตรงไหนมีเมฆก็ทำ" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ส่วนถามว่าเรื่องงบประมาณจะนำมาจากไหนก็มาจากภาษี เงินกู้ รายได้ที่เก็บมา 2 ล้านล้านบาทต้องตั้งงบประมาณขาดดุล จะกู้ก็ได้ ไม่กู้ก็ได้ หากจำเป็นก็กู้เพื่อให้เกิดประโยชน์ ที่ผ่านมาก็เป็นแบบนี้แต่ไม่เห็นเกิดรถไฟ ไม่เกิดถนน เงินมันหายไปไหน ส่วนที่มีการเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจนั้น ไทยก็เป็นแบบนั้นเมื่อ 30 ปีที่แล้วเมื่อมีการปฏิรูปเศรษฐกิจใหม่ วันนี้เขาก็โตแบบนี้บ้าง อย่างไรก็ตามขณะนี้มีหลายประเทศกำลังมาลงทุนในไทย ประยุทธ์ ตอบแก้ไฟใต้ มีแต่ประเทศไทยกันเองที่ไม่เข้าใจ พล.อ. ประยุทธ์ ยังได้ชี้แจงการแก้ปัญหาชายแดนภาคใต้ต่อคำอภิปรายของ พล.ท.พงศกร รอดชมภู ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคอนาคตใหม่ โดย นายกฯ กล่าวว่า การแก้ปัญหาชายแดนภาคใต้ มีความต่างกับที่เกิดขึ้นในต่างประเทศ การจะไปพูดแต่เรื่องละเมิดสิทธิมนุษยชนไม่ได้ เพราะปัญหาที่เกิดไม่ได้มาจากรัฐ รัฐไม่ได้เริ่มไปยิงใครก่อน ทหารเราไม่มีใครอยากยิงใคร ถ้าไม่ได้ถูกยิงก่อนหรือประชาชนถูกยิงก่อน นี่เป็นสิ่งที่ถูกสอนมาตลอด "เวลาเจ้าหน้าที่ถูกยิงไม่เห็นมีใครไปร้องเรียนให้เขา เขาลาดตระเวนไปกับครู ไปดูพระ ไปดูวัด ถูกยิงก็เงียบ แต่เวลามีคนถูกจับก็บอกละเมิดสิทธิมนุษยชน วันนี้กฎหมายไม่สามารถยกระดับใครมาเจรจาได้ เป็นแค่การพูดคุยสันติสุขเพื่อนำมาสู่การแก้ไขปัญหา" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว นายกฯ กล่าวว่า วันนี้ต้องแก้ปัญหาด้วยการพัฒนา ด้วยการทำความเข้าใจและได้ส่งเจ้าหน้าที่ไปเจรจากับเออีซี ประเทศซาอุดิอาระเบีย ประเทศหมู่เกาะ ซึ่งตอบรับมาว่า พอใจกับการแก้ปัญหาของประเทศไทย มีแต่ในประเทศไทยกันเองที่ไม่เข้าใจ "คือ ดูแลผู้ร้ายตลอด ถ้าเจ้าหน้าที่ผิดก็ผิด ผมยอมรับ ไปหาหลักฐานมา อย่าพูดลอย ๆ วันก่อนก็บอกมีการซ้อมอะไรต่าง ๆ มา เขาก็ตรวจสอบโดยหมอ ไม่มีร่องรอยสักอันเลย เป็นลมหน้ามืดไป จับมาแล้วก็เป็นลมหน้ามืด แล้วบอกไปซ้อม ดูหนังมากไปรึเปล่า" ระหว่างที่ พล.อ. ประยุทธ์ กำลังกล่าว นายธีระชัย พันธุมาศ ส.ส. บัญชีรายชื่อ พรรคอนาคตใหม่ ได้ลุกขึ้นประท้วงเรียนต่อประธานสภาว่า นายกฯ ปฏิบัติขัดต่อข้อบังคับการประชุม ที่ห้ามใช้กิริยาวาจาไม่สุภาพ หรือเสียดสี และกล่าวว่า พล.อ. ประยุทธ์ ใช้กิริยาที่กระแทกกระทั้น เหมือนสมาชิกรัฐสภาอยู่ใต้บังคับบัญชา หลังจากนั้นนายกรุงศรีวิไล สุทินเผือก ส.ส. สมุทรปราการ พรรคพลังประชารัฐ ได้พยายามประท้วง แต่ประธานสภาไม่อนุญาต และให้ พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวชี้แจงต่อ "ผมไม่เคยมองท่านเป็นทหารนะ ถ้าเป็นทหารผมไม่เป็นแบบนี้ ไม่งั้นผมก็อยู่กับทหารมาไม่ได้ แต่นี่ผมให้เกียรติท่านเป็นสมาชิกสภา เป็นประชาชน บางทีผมก็พูดเสียงดังบ้างอะไรบ้าง บางทีมันกดดันผมมากไง ท่านก็บอกให้ผมรักษากิริยาบางครั้งผมฟังท่านพูด ก็ไม่มีกิริยาให้ผมเหมือนกันแหล่ะ ในคลิปต่าง ๆ จำไว้ด้วย ไม่ได้อาฆาตหรอก" นายกรัฐมนตรีคนที่ 29 กล่าว รมช.เกษตร แจง เตรียมแผนเยียวยาภัยแล้ง นายประภัตร โพธสุธน รมช.เกษตรและสหกรณ์ กล่าวชี้แจงเรื่องปัญหาภัยแล้งว่า มีการปล่อยน้ำจากเขื่อนภูมิพล 25 ล้าน ลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) และเขื่อนสิริกิตติ์ 20 ล้านลบ.ม. รวม 45 ล้านลบ.ม. คาดว่าน้ำจะมาถึงลุ่มน้ำเจ้าพระยาวันเสาร์นี้ พื้นที่นาในภาคกลางก็จะสามารถทำนาได้ตลอดเดือนส.ค. และจะเริ่มลดการปล่อยน้ำเหลือ 40 ล้านลบ.ม.เพราะเริ่มมีฝนตก อย่างไรก็ตาม ในส่วนของความเสียหายภาคอีสานที่ฝนทิ้งช่วง. 2 เดือนจนกระทบกับนา 8 แสนไร่ รัฐได้เตรียมเมล็ดพันธุ์ปลูกใหม่ 1 หมื่นตัน พร้อมทั้งมีมาตรการเยียวยาความเสียหาย "แต่วันนี้ถือว่าไม่เป็นรุ่นพี่ผม" เมื่อเวลา 21.00 น. การประชุมรัฐสภาเกิดเหตุความวุ่นวายในช่วงที่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ส.ส.พรรคเสรีรวมไทย กำลังอภิปราย โดย พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ อภิปรายพาดพิงไปถึงเรื่องคดี ของคนใน ครม.และคนใกล้ชิด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี รวมทั้งระบุว่าได้ยินชาวบ้านพูดว่ารัฐบาลนี้ชนะเลือกตั้งมาจากการโกงเลือกตั้ง ทำให้เกิดการประท้วงขอให้ถอนคำพูด แต่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ไม่ถอนคำพูด ทำให้เกิดการประท้วงไปมา พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งนั่งอยู่ในที่ประชุมได้ลุกขึ้นตอบโต้ว่า "ทนฟังมานาน ผมกับท่านรู้จักกันมานาน แต่งงานก็วันเดียวกัน สมรสพระราชทานมาด้วยกัน เป็นรุ่นพี่ผม แต่วันนี้ถือว่าไม่เป็นรุ่นพี่ผม เพราะท่านไม่เคยให้เกียรติผมเลย ตอนนั้นท่านบอกจะชักปืนยิงผม ตั้งแต่วันนั้น ถ้าท่านชักปืนยิงวันนั้นก็ติดคุก เหรียญรามาท่านได้ ผมก็ได้ แต่ผมไม่เคยคุย ไม่เคยเอาไปแอบอ้าง ผลงานผมมีมากมาย พูดจาหยาบคาย อวดอ้างอำนาจ ท่านไปทบทวนตัวท่านเอง" บรรยากาศยังเกิดการประท้วงวุ่นวายจนนายพรเพชร วิชิตชลชัย รองประธานรัฐสภาที่ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุมได้ลุกขึ้นยืนเพื่อให้สมาชิกนั่งลง แต่บรรยากาศยังคงปั่นป่วน ทำให้ต้องสักพักการประชุม 10 นาที ภายหลังการเปิดประชุมอีกครั้ง นายชาดา ไทยเศรษฐ์ ส.ส.พรรคภูมิใจไทย ระบุว่ามาตรการที่ผ่านมาหากประธานขอให้ถอนคำพูดแล้วสมาชิกไม่ถอนคำพูดก็จะต้องเชิญตัวสมาชิก ออกจากที่ประชุม หากไม่เป็นเช่นนั้นต่อไป หากสั่งให้ถอนคำพูดแล้วไม่ยอมถอนได้ คนอื่นก็จะทำเช่นนี้ต่อไป ขณะที่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวว่า สิ่งที่พูดนั้นเป็นการฟังมาจากชาวบ้านที่ได้ยินมา และยืนยันว่าจะไม่ถอนคำพูด ทำให้ นายพรเพชร สั่งให้ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ออกจากห้องประชุม
|
การแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีต่อรัฐสภาในวันแรก สมาชิกพรรคฝ่ายค้านอภิปรายวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง ตั้งแต่ที่มาของรัฐบาลที่ขาดความสง่างาม และรัฐมนตรีที่เกี่ยวกับคดีความไปจนถึงนโนบายที่ขาดแนวทางการปฏิบัติ และงบประมาณที่จะนำมาใช้ ผู้นำฝ่ายค้านอัดรัฐบาลไร้ความสง่างาม
|
thailand-48294627
|
https://www.bbc.com/thai/thailand-48294627
|
อนาคตใหม่ : กกต. ส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ธนาธร ขาดคุณสมบัติ ส.ส. ส่วนเจ้าตัวประกาศเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล
|
มติ กกต. ที่ออกมาถูกชี้แจงผ่านเอกสารข่าวที่มีเนื้อหาเพียง 6 บรรทัด และนำมาแจกจ่ายสื่อมวลชนวันนี้ (16 พ.ค.) โดยไม่มีการเปิดแถลงข่าวแต่อย่างใด สำหรับนายธนาธร เป็นหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ที่ผันตัวจากการเป็นนักธุรกิจมาสู่สนามการเมืองครั้งแรก โดยสามารถนำลูกพรรคเข้าสภาได้ถึง 80 คน โดยที่พรรคการเมืองที่มีอายุเพียงขวบเดียวได้รับคะแนนมหาชน (ป๊อบปูลาร์โหวต) ถึง 6.25 ล้านเสียง กกต. มีมติเมื่อ 23 เม.ย. แจ้งข้อกล่าวหาต่อนายธนาธร หลังพบว่ามีหลักฐานเบื้องต้นฟังได้ว่าเขาเป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในบริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด จำนวน 675,000 หุ้น โดยมีนายศรีสุวรรณ จรรยา เป็นผู้ร้องว่าการถือหุ้นดังกล่าวเข้าข่ายเป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส. ตามรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 มาตรา 98(3) และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. มาตรา 42(3) กำหนดห้ามมิให้ผู้สมัคร ส.ส. "เป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใด ๆ" ต่อมาวันที่ 30 เม.ย. นายธนาธรได้เข้าชี้แจงข้อกล่าวหา ก่อนออกมายอมรับกับสื่อมวลชนว่าในระหว่างการเผชิญหน้ากับคณะกรรมการสืบสวนฯ บางช่วงเป็นไปอย่างตึงเครียดและบางช่วงผ่อนคลาย ส่วนตัวรู้สึกว่าคดีนี้มี "มูลเหตุจูงใจทางการเมืองมาก" พร้อมประกาศว่า จะรอให้ คสช. หมดอำนาจ แล้วจะฟ้องดำเนินการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ซึ่งมีอายุความ 15 ปี ประกาศเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ในเวลาไล่เลี่ยกัน ที่พรรคอนาคตใหม่ นายธนาธร แถลงประกาศความพร้อมในการเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล โดย กล่าวว่า ก่อนการเลือกตั้ง ประชาชนทุกภูมิภาค อยากเห็นความเปลี่ยนแปลง คาดหวังว่าการเลือกตั้งจะเป็นทางออก เป็นความหวังให้ว่าสังคมไทยได้เดินทางจะกลับสู่ความเป็นประชาธิปไตย แต่สิ่งที่เกิดขึ้นหลัง 24 มี.ค. ทำให้ ความหวัง ความตื่นตัว ที่อยากเห็นประเทศก้าวไปข้างหน้า เป็นประชาธิปไตยของประชาชนเริ่มลดน้อยถอยลง ประชาชนรู้สึกว่ามีเลือกตั้งหรือไม่มีเลือกตั้งก็เหมือนเดิม ก่อนการเลือกตั้งหรือหลังเลือกตั้งก็เหมือนเดิม "พรรคอนาคตใหม่ไม่อาจปล่อยให้สังคมสิ้นหวัง เราจะไม่ยอมให้สังคมไทยเดินหน้าต่อไปอย่างไม่มีความหวัง พวกเราขอยืนยันเจตนารมย์ที่ได้ประกาศไว้ตั้งแต่การก่อตั้งพรรค นั่นคือ ภารกิจอันดับ 1 ในการเลือกตั้งครั้งนี้ของพรรคอนาคตใหม่ คือ การหยุดยั้งการสืบทอดอำนาจของ คสช." นายธนาธรกล่าว นายธนาธรกล่าวอีกว่า ขณะนี้สังคมไทยมีแต่ความคลุมเครือ ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับประเทศไทย ด้วยการนี้ เพื่อจะเพื่อหยุดยั้งความคลุมเครือทั้งหมด พรรคอนาคตใหม่จึงขอประกาศตัวเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล "ดังนั้น เพื่อขจัดความคลุมเครือ สิ้นหวัง เราจะจัดตั้งรัฐบาลเอง และถ้าหากพรรคอนาคตใหม่สามารถรวบรวมเสียงและจัดตั้งรัฐบาลได้ ผม ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ จะเป็นนายกรัฐมนตรี ผมขอประกาศตัวเป็นนายกรัฐมนตรีแห่งการหยุดยั้งการสืบทอดอำนาจของ คสช." นายธนาธรกล่าว
|
คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อขอให้พิจารณาวินิจฉัยสมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) สิ้นสุดลง ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 มาตรา 82 วรรคสี่ กรณีความปรากฏหรือมีเหตุอันควรสงสัยต่อ กกต. ว่า นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อ เป็นผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใด อันเป็นลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส. ซึ่งเป็นเหตุให้สมาชิกภาพของ ส.ส. สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 101(6) ประกอบมาตรา 98(3)
|
international-50911560
|
https://www.bbc.com/thai/international-50911560
|
จีนกำลังเร่งพัฒนาเมืองอัจฉริยะหลายแห่ง แต่ประชาชนมีต้นทุนที่ต้องจ่าย
|
เซินเจิ้น พัฒนากลายเป็นเมืองแห่งโลกอนาคตภายในเวลาเพียง 30 ปี จากนั้นแผนการสร้างเขตเศรษฐกิจพิเศษแห่งแรกของจีนจึงเริ่มขึ้น เพื่อเปิดรับการลงทุนจากต่างชาติ จากชนบทที่เงียบสงบกลายเป็นที่ตั้งของโรงงานและห้างร้านของเอกชน ซึ่งต่อมาก็ได้กลายเป็นเมืองอย่างเต็มตัว ตอนนี้เซินเจิ้นมีประชากร 12 ล้านคน เป็นหนึ่งในเมืองที่ใหญ่ที่สุดบริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำจูเจียง หรือ แม่น้ำเพิร์ล (Pearl River Delta) จีนเป็นประเทศหนึ่งที่มีความทะเยอทะยานสูงสุดในโลกในการสร้างเมืองอัจฉริยะ แต่มีหลายคนตั้งคำถามว่า เทคโนโลยีทันสมัยที่ใช้ในเมืองอัจฉริยะเหล่านี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้ที่อยู่อาศัยในเมืองหรือเพื่อสอดแนมพฤติกรรมของผู้คนกันแน่ เมืองสะอาด ปัจจุบันประชากรจีนที่อาศัยอยู่ในเมืองมีมากกว่า 58% ของประชากรทั้งหมด เพิ่มขึ้นจาก 18% ในปี 1980 และคาดว่าในปี 2050 ประชากรจีนที่อาศัยอยู่ในเขตเมืองจะเพิ่มขึ้นอีก 292 ล้านคน ทางการจีนระบุว่า ประเทศจีนมีเมืองอยู่ทั้งหมด 662 เมือง ในจำนวนนี้กว่า 160 เมืองมีประชากรมากกว่า 1 ล้านคนขึ้นไป ในงานนิทรรศการเมืองอัจฉริยะ (Smart Cities Expo) ที่จัดขึ้นในนครบาร์เซโลนาของสเปนเมื่อไม่นานนี้ นิทรรศการของนครเซินเจิ้นเป็นหนึ่งในนิทรรศการที่ใหญ่ที่สุดในงาน เทคโนโลยีถูกนำมาใช้อย่างกว้่างขวางในนครเซินเจิ้น โดยเฉพาะในการจัดการจราจรและการบรรเทาความแออัด เจียง เว่ย ตง ผู้จัดการทั่วไปของคณะผู้แทนจากเมืองเซินเจิ้นอธิบายให้บีบีซีฟังว่าเมืองของเขาใช้เทคโนโลยีทำอะไรบ้าง เขาบอกว่าเทคโนโลยีมีบทบาทอย่างมากในการ "จัดการมลพิษ" ซึ่งผลให้เซินเจิ้นเป็น "เมืองที่สะอาดเมื่อเทียบกับเมืองอื่น ๆ" เซินเจิ้นเป็นเมืองแรกในจีนที่รถบัสและแท็กซี่ทุกคันบนท้องถนนใช้พลังงานไฟฟ้า นอกจากเทคโนโลยีจะทำให้มีระบบขนส่งอัจฉริยะในเมืองแล้ว ยังทำให้คนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นด้วยระบบดูแลสุขภาพอัจฉริยะอีกด้วย ซึ่งเป็นระบบที่ช่วยให้ผู้คนจากมณฑลที่อยู่ห่างไกลที่เข้ามาอยู่ในเมืองนี้ เข้าถึงประวัติสุขภาพของตัวเองได้ในทันที แต่เมื่อถูกถามเกี่ยวกับเรื่องระบบความปลอดภัย ดูเขาไม่ค่อยอยากจะพูดถึงเรื่องนี้นัก "เราคุ้นเคยแต่กับเทคโนโลยีด้านการจราจร นครเซินเจิ้นไม่มีการสอดส่องพฤติกรรมพลเมือง" เขากล่าว แต่ในงานนิทรรศการอีกแห่งหนึ่งที่จัดขึ้นในนครเซินเจิ้น มีการเชิญชวนให้ประชาชนจับตาจับตาดูการใช้เทคโนโลยีสอดแนมที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว สถานีฝูเถียนของเซินเจิ้นกำลังจัดงาน อายส์ ออฟ เดอะ ซิตี้ (Eyes of the City) นิทรรศการที่ทำให้เกิดคำถามว่า "ชีวิตของผู้คนและภูมิทัศน์ของเมืองจะเป็นอย่างไรเมื่อมีอุปกรณ์สอดส่องต่าง ๆ ติดตั้งอยู่ทั่วไปหมด" นิทรรศการอายส์ ออฟ เดอะ ซิตี้ (Eyes of the City) แสดงให้เห็นว่า เทคโนโลยีในเมืองอัจฉริยะกำลังจับตามองประชาชน ผลงานที่นำมาจัดแสดงในนิทรรศการนี้รวมถึง ระบบจดจำใบหน้า ซึ่งผู้เข้าชมนิทรรศการสามารถเลือกที่จะไม่ให้ถูกจดจำใบหน้าได้ด้วยการสวมหน้ากากชนิดพิเศษ และยังมีการสาธิตการวิเคราะห์การแสดงออกทางอารมณ์ของพนักงานเก็บตั๋วด้วย คาร์โล รัตติ ภัณฑารักษ์ กล่าวว่า "หนึ่งในเป้าหมายหลักของนิทรรศการอายส์ ออฟ เดอะ ซิตี้ ก็คือกระตุ้นให้ประชาชนแสดงจุดยืนของตัวเองในเรื่องนี้ เพราะการเพิกเฉยจะทำให้เราตกอยู่ในอันตราย" เก็บข้อมูล จีนกำลังสร้างเมืองใหม่หลายแห่งในอัตราที่รวดเร็วมาก มีแผนการสร้างกลุ่มเมืองขนาดใหญ่ 19 แห่ง และซูเปอร์ซิตี้แห่งแรกของโลกที่มีผู้อยู่อาศัยมากกว่า 40 ล้านคน การพัฒนาเมืองระดับมหึมาขนาดนี้จำเป็นต้องคำนึงถึงประสิทธิภาพขั้นสูงสุดในทุกมิติ ต้องมีการควบคุมการจราจรเพื่อหลีกเลี่ยงรถติดยาวนานทั้งสัปดาห์ และการขนส่งจะต้องเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อไม่ให้เกิดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาส่งผลกระทบต่อผู้คนในเมือง แต่พลเมืองเองก็จำเป็นต้องมีคุณภาพมากขึ้นด้วย การทิ้งขยะไม่เป็นที่ การเปิดเพลงเสียงดังเกินไปบนรถไฟ การฝ่าไฟแดงข้ามถนน เรื่องเหล่านี้จะไม่ใช่ความประมาทเล็ก ๆ น้อย ๆ อีกต่อไป แต่จะกลายเป็นปัญหาสำคัญในเมืองต่าง ๆ ตั้งแต่ปี 2014 เป็นต้นมา มีการนำระบบความน่าเชื่อถือทางสังคม (social credit system) มาใช้ ซึ่งเป็นการให้รางวัลพลเมืองที่มีพฤติกรรมดีและลงโทษคนที่มีพฤติกรรมแย่ โดยในเดือน มี.ค. ปีนี้ มีนักท่องเที่ยวที่หลายล้านคนถูกลงโทษด้วยการห้ามใช้บริการเครื่องบินหรือรถไฟเนื่องจากมีความประพฤติแย่ เช่น แอบใช้ตั๋วที่หมดอายุแล้วหรือสูบบุหรี่บนรถไฟ ข้อมูลความน่าเชื่อถือทางสังคม ทำให้คนจำนวนมากถูกห้ามใช้บริการขนส่งสาธารณะ ชาร์ลส์ รีด แอนเดอร์สัน ที่ปรึกษาเมืองอัจฉริยะหลายแห่ง กล่าวว่า "ในจีน การทดลองให้คะแนนความน่าเชื่อถือทางสังคมน่าทึ่งมาก แต่ผมดีใจที่ผมไม่ต้องใช้ชีวิตอยู่กับระบบนี้" ปัจจุบัน ยังไม่มีระบบการให้คะแนนความน่าเชื่อถือทางสังคมที่เป็นระบบเดียวกัน รัฐบาลท้องถิ่นแต่ละแห่งจะใช้ระบบนี้ในแบบที่แตกต่างกันไป ซึ่งบางครั้งอาจจะส่งผลกระทบทางอ้อมต่อชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในประเทศ นายแอนเดอร์สันเล่าเรื่องราวของเพื่อนคนหนึ่งที่เพิ่งเดินทางเยือนเมืองแห่งหนึ่งของจีนช่วงไม่นานนี้ "เขาไปถึงโรงแรมแล้วก็นึกขึ้นได้ว่า ลืม [โทรศัพท์ไว้บนแท็กซี่] ดังนั้น ทางโรงแรมจึงพาเขาไปสถานีตำรวจ" เขาเล่า "ตำรวจดึงข้อมูลเกี่ยวกับรถคันดังกล่าว แต่ไม่พบภาพถ่ายจราจร พวกเขาจึงพาเขาไปอีกแผนกหนึ่งที่อยู่ห่างไป 2-3 ช่วงถนน พวกเขาสามารถแกะรอยแท็กซี่คันนั้นในเวลานั้นได้เลย และโทรหาคนขับรถขอให้นำโทรศัพท์มาส่งคืน" "ภายใน 2 ชั่วโมง เขาก็ได้โทรศัพท์กลับคืนมา" "คนขับรถแท็กซี่อาจจะกังวลว่า ถ้าเขาไม่คืนโทรศัพท์ เขาจะต้องได้คะแนนติดลบแน่" กำลังมีการใช้ระบบจดจำใบหน้ามากขึ้นในจีน นายแอนเดอร์สันกล่าวว่า มีการวิพากษ์วิจารณ์ระบบนี้อย่างมาก แต่สำหรับพลเมืองชาวจีนที่เติบโตมาท่ามกลางการถูกจับตามองจากรัฐ อาจจะไม่ได้รู้สึกอะไรมากนัก "ผมไม่ได้สนับสนุน 100% มันอาจจะทำให้เกิดผลดีบางอย่างขึ้น แต่ถ้าเริ่มมีการใช้งานมันในทางที่ผิด ก็จะกลายเป็นปัญหาใหญ่" เขากล่าว ฮิวแมนไรท์วอทช์ เปิดเผยเมื่อเร็ว ๆ นี้ว่า กำลังมีการใช้งานระบบให้คะแนนความน่าเชื่อถือในภูมิภาคซินเจียง ซึ่งมีประชากรมุสลิมอาศัยอยู่จำนวนมาก ระบบนี้ถูกเชื่อมโยงเข้ากับแอปพลิเคชั่นที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่รัฐบาลจีนใช้งาน สมองของเมือง รัฐบาลกำลังได้รับข้อมูลเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ จากอุปกรณ์ตรวจจับและเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่ติดตั้งอยู่ทั่วเมือง แต่เกิดอะไรขึ้นเมื่อเมืองต่าง ๆ ต้องรับมือกับบริษัทเทคโนโลยีเอกชนยักษ์ใหญ่อย่าง อาลีบาบา (Alibaba) และเท็นเซ็นต์ (Tencent) ซึ่งมีฐานข้อมูลมหาศาลของพลเมือง อาลีบาบามีสำนักงานใหญ่ในเมืองหังโจวทางตะวันออกของจีน ได้ใช้เวลา 2 ปีในการพัฒนาสิ่งที่เรียกว่า สมองของเมือง (City Brain) ซึ่งจะช่วยวิเคราะห์ข้อมูลจากกล้องต่าง ๆ และตำแหน่งพิกัดของรถยนต์และรถบัส และมันยังถูกใช้เพื่อควบคุมสัญญาณไฟจราจรมากกว่า 1,000 แห่งเพื่อไม่ให้เกิดการจราจรติดขัด อาลีบาบาอ้างว่าได้ช่วยทำให้การจราจรของผู้คนในเมืองซึ่งมีประชากร 7 ล้านคนดีขึ้น จากที่เคยติดอันดับเมืองที่มีการจราจรติดขัดมากที่สุดลำดับที่ 5 ในจีน ขณะนี้ลดลงมาอยู่ที่ลำดับที่ 57 แล้ว ตอนนี้ทางการกำลังส่งมอบที่ดินในเมืองต่าง ๆ ให้แก่บริษัทเทคโนโลยีหลายแห่ง รัฐบาลเซินเจิ้นเพิ่งมอบที่ดินที่เกิดจากการถมทะเลขนาด 809 ตารางเมตรให้แก่เท็นเซ็นต์ เพื่อให้ทางบริษัทก่อสร้างสิ่งที่เรียกว่า "เมืองอนาคตที่มุ่งเน้นเทคโนโลยีและนวัตกรรม" ไซด์วอล์ก แล็บส์ (Sidewalk Labs) บริษัทในเครือของกูเกิล วางแผนในการสร้างเมืองดิจิทัลในนครโทรอนโตของแคนาดา เมืองในประเทศตะวันตกหลายแห่งกำลังติดต่อกับบริษัทของจีนเพิ่มมากขึ้น สมาชิกสภาในเมืองดาร์วินของออสเตรเลียหลายคน เดินทางไปจีนเพื่อหารือกับหัวเว่ย และชมเทคโนโลยีของทางบริษัทในนครเซินเจิ้น หัวเว่ยใช้โครงการมูลค่า 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 300 ล้านบาท ในการติดตั้ง ไฟแอลอีดีอัจฉริยะ 900 ดวง, อุปกรณ์ตรวจจับด้านสิ่งแวดล้อม 24 ตัว และเครือข่ายกล้องวงจรปิดอีก 138 ตัว นายกเทศมนตรีคอน วัตสกาลิส ปฏิเสธกระแสข่าวที่ว่าเมืองดาร์วินกำลังจะใช้งานระบบให้คะแนนความน่าเชื่อถือทางสังคมของตัวเองด้วย เขากล่าวกับเอบีซีนิวส์ว่า "ไม่มีการจดจำใบหน้า...และกล้องของเราไม่สามารถบอกได้ว่าคุณคือใครหรือทำงานอะไร"
|
30 ปีก่อน นครเซินเจิ้นของจีนเคยเป็นหมู่บ้านประมงที่มีทุ่งนาล้อมรอบ
|
international-43873369
|
https://www.bbc.com/thai/international-43873369
|
ดยุคและดัชเชสแห่งเคมบริดจ์เสด็จออกจากโรงพยาบาลพร้อมพระโอรส
|
เจ้าชายพระองค์ใหม่ประสูติเวลา 11:01 น. ทรงหนักกว่า 3.8 กก. ทรงเป็นทายาทพระองค์ที่ 3 ของดยุคและดัชเชสแห่งเคมบริดจ์ และทรงเป็นพระอนุชาของเจ้าชายจอร์จ และเจ้าหญิงชาร์ลอตต์ เจ้าชายวิลเลียมทรงประทับอยู่ด้วย ในขณะที่เจ้าชายน้อยประสูติ ดยุคและดัชเชสแห่งเคมบริดจ์ เสด็จออกจากโรงพยาบาลเซ็นต์แมรี หลังการประสูติไม่ถึง 7 ชั่วโมง ขณะนี้ยังไม่มีการยืนยัน พระนามของเจ้าชายพระองค์ใหม่
|
เจ้าชายวิลเลียม ดยุคแห่งเคมบริดจ์ และแคทเธอรีน ดัชเชสแห่งเคมบริดจ์ พระชายา เสด็จออกจากโรงพยาบาลพร้อมพระโอรสพระองค์ใหม่ หลังประสูติเมื่อ 11.01 น. ตามเวลาท้องถิ่น
|
thailand-54741254
|
https://www.bbc.com/thai/thailand-54741254
|
แฟลชม็อบนักศึกษา ถึง ชุมนุมใหญ่ของ "คณะราษฎร 2563" ลำดับเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองปี 2563
|
แม้ว่าการระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้การชุมนุมเรียกร้องของกลุ่มนักเรียนนักศึกษาและประชาชนต้องยุติลงระยะหนึ่งระหว่างเดือน มี.ค.-มิ.ย. แต่ทันทีที่สถานการณ์โรคระบาดคลี่คลายลงและรัฐบาลผ่อนปรนมาตรการควบคุมโรคลง การเคลื่อนไหวก็กลับมาอีกครั้งอย่างรวดเร็ว การหายตัวไปอย่างปริศนาของนายวันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ ผู้ลี้ภัยทางการเมืองวัย 35 ปี จากบริเวณหน้าที่พักในเมืองหลวงของกัมพูชาเมื่อวันที่ 4 มิ.ย. และการรวบตัวสมาชิกกลุ่ม "เยาวชนตะวันออกเพื่อประชาธิปไตย" ขณะชูป้ายประท้วง พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ จ.ระยอง เมื่อกลางเดือน ก.ค. ได้ปลุกกระแสความไม่พอใจต่อรัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์และบรรดาผู้มีอำนาจ นำมาสู่การชุมนุมบนท้องถนนอย่างต่อเนื่อง ที่ต้องบันทึกไว้ก็คือ การเคลื่อนไหวที่นำโดยนักศึกษาและเยาวชนในครั้งนี้ได้มีข้อเรียกร้องเรื่องการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ และการพูดถึงสถาบันฯ อย่างเปิดเผยในที่สาธารณะซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึนมาก่อน จนหลายคนเรียกว่าเป็นการเคลื่อนไหวที่ "ทะลุเพดาน" บีบีซีไทยลำดับเหตุการณ์การชุมนุมและการเคลื่อนไหวทางการเมืองครั้งสำคัญ ๆ เกิดขึ้นตั้งแต่ต้นปี 2563 และลากยาวมาจนถึงปลายปี จนหลายฝ่ายกังวลว่าความตึงเครียดที่ทวีขึ้นจะนำไปสู่การซ้ำรอยความรุนแรงในอดีตหรือไม่ ย้อนเหตุการณ์สำคัญในการเคลื่อนไหวของกลุ่มเยาวชนเรียกร้องประชาธิปไตย 23-25 ก.พ. 2563 หลังศาลรัฐธรรมนูญมีมติยุบพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) เมื่อ 21 ก.พ. ได้เกิด “แฟลชม็อบ” ของกลุ่มนักศึกษาและคนรุ่นใหม่ในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ โดยเฉพาะในสถาบันการศึกษา เช่น ม. ธรรมศาสตร์ ม.เกษตรศาสตร์ ม. รามคำแหง และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นต้น ก.พ. - ก.ค. 2563 การชุมนุมประท้วงต้องยุติลงชั่วคราว เนื่องจากการระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 4 มิ.ย. 2563 นายวันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ ผู้ลี้ภัยทางการเมืองที่ตำรวจกล่าวหาว่าเป็นแอดมินเพจ “กูต้องได้ 100 ล้าน จากทักษิณแน่ๆ” ถูกอุ้มหายไปจากหน้าที่พักในกรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา 5 มิ.ย. 2563 นักศึกษาและประชาชนนำโดยนายพริษฐ์ ชิวารักษ์ จัดชุมนุมที่ลานสกายวอล์ก หน้าหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพฯ เพื่อทวงความเป็นธรรมให้กับนายวันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ ท่ามกลางกระแส “Saveวันเฉลิม” 18 ก.ค. 2563 กลุ่ม “เยาวชนปลดแอก" นัดชุมนุมที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ยื่น 3 ข้อเรียกร้อง คือ หยุดคุกคามประชาชน ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และยุบสภา หลังจากสมาชิกกลุ่ม "เยาวชนตะวันออกเพื่อประชาธิปไตย” ถูกจับกุมขณะถือป้ายประท้วง พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ จ.ระยอง 19-26 ก.ค. 2563 การชุมนุมเกิดขึ้นในหลายจังหวัด ควบคู่ไปกับการรณรงค์ทางโลกออนไลน์ด้วยการใช้แฮชแท็ก วันที่ 23 ก.ค. มีการจัดการชุมนุมอย่างน้อยใน 20 จังหวัด 26 ก.ค. 2563 กลุ่มนักเรียน นิสิตนักศึกษาและประชาชนเข้าร่วมกิจกรรม #วิ่งกันนะแฮมทาโร่ พากันวิ่งวนรอบอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย พร้อมกับร้องเพลงที่ดัดแปลงมาจากเพลงประกอบการ์ตูนญี่ปุ่น “แฮมทาโร่" เพื่อล้อเลียนรัฐบาลและ ส.ส. เนื้อเพลงท่อนหนึ่งร้องว่า "วิ่งนะวิ่งนะแฮมทาโร่...ของอร่อยที่สุดก็คือ ภาษีประชาชน” 30 ก.ค. 2563 กลุ่ม “อาชีวะช่วยชาติ" นัดรวมพลที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เพื่ออ่านแถลงการณ์โจมตีการชุมนุมของกลุ่ม "เยาวชนปลดแอก" ว่าเป็นไปเพื่อ "ท้าทาย ต่อต้าน หรือกระทั่งล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์...” 3 ส.ค. 2563 กลุ่ม “มหานครเพื่อประชาธิปไตย" และ "มอกะเสด" จัดชุมนุมที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยในธีม "แฮร์รี พอตเตอร์ ไม้เท้าเสกคาถา ปกป้องประชาธิปไตย” นายอานนท์ นำภา ขึ้นปราศรัยในประเด็นการขยายพระราชอำนาจของสถาบันพระมหากษัตริย์และการปฏิรูปสถาบันฯ เป็นครั้งแรก 7 ส.ค. 2563 เปิดตัว “คณะประชาชนปลดแอก" เป็นการขยายแนวร่วมจาก "เยาวชนปลดแอก” เพื่อเปิดให้ประชาชนมีส่วนร่วมมากขึ้น 10 ส.ค. 2563 “แนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม" จัดการชุมนุมโดยใช้ชื่อกิจกรรม "ธรรมศาสตร์จะไม่ทน” ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ศูนย์รังสิต ตำรวจคาดว่ามีผู้ร่วมชุมนุมราว 2,500 คน ไฮไลท์ของการปราศรัยในครั้งนี้คือ การอ่านข้อเรียกร้อง 10 ประการเกี่ยวกับการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ 14 ส.ค. 2563 บีบีซีไทยรวบรวมข้อมูลการชุมนุมของสองกลุ่มความคิดทางการเมืองที่จัดขึ้นตั้งแต่วันที่ 18 ก.ค. พบว่า มีการชุมนุมย่อย ๆ เพื่อประท้วงรัฐบาล หรือ “แฟลชม็อบ” อย่างน้อย 49 จังหวัด และมีกลุ่มประชาชนที่รวมตัวกันเพื่อแสดงจุดยืนปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ในอย่างน้อย 11 จังหวัด 16 ส.ค. 2563 กลุ่มที่เรียกตัวเองว่า “คณะประชาชนปลดแอก” จัดการชุมนุมครั้งใหญ่ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย โดยมีผู้ร่วมชุมนุมหลายหมื่นคน ถือว่ามากที่สุดในรอบ 6 ปี นับตั้งแต่การรัฐประหาร คสช. โดยแกนนำย้ำ 3 ข้อเรียกร้อง 2 หลักการ และ 1 ความฝัน 17-18 ส.ค. 2563 เกิดปรากฏการณ์นักเรียนมัธยม “ชูสามนิ้ว” และติดโบว์ขาวต้านเผด็จการในอย่างน้อย 16 จังหวัด 19 ส.ค. 2563 นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม เปิดตัวกลุ่ม “ไทยภักดี" เป็นองค์กรกลางในการประสานงานผู้ปกป้องสถาบันฯ ก่อนจัดชุมนุมใหญ่คนเสื้อเหลืองครั้งแรก 30 ส.ค. ที่สนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่น กทม. ด้านกลุ่ม "นักเรียนเลว" เดินทางไป "ผูกโบว์ขาว ชูสามนิ้ว เป่านกหวีดไล่ รัฐมนตรี” ที่กระทรวงศึกษาธิการ 26 ส.ค. 2563 น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือรุ้ง แกนนำกลุ่มธรรมศาสตร์และการชุมนุม เดินทางเข้ายื่นหนังสือข้อเรียกร้อง 10 ข้อเกี่ยวกับการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ จากการชุมนุมเมื่อวันที่ 10 ส.ค. ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ต่อนายปดิพัทธ์ สันติภาดา ส.ส.พิษณุโลก พรรคก้าวไกล ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน สภาผู้แทนราษฎร 19-20 ก.ย. 2563 “แนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม" จัดกิจกรรม "19 กันยา ทวงอำนาจคืนราษฎร" ที่สนามหลวง เป็นครั้งแรกที่ปักหลักค้างคืน เช้า 20 ก.ย. ผู้ชุมนุมร่วมทำพิธี "ฝังหมุดคณะราษฎร 2563” และเคลื่อนขบวนไปยื่นจดหมายถึงองคมนตรีเรียกร้องการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ แต่ถูกตำรวจสกัดไว้ จึงยื่นผ่าน ผบช.น. แทน 22 ก.ย. 2563 ประชาชนนำโดยกลุ่ม “ไอลอว์” เดินจากสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินเตาปูนไปรัฐสภา เพื่อยื่นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน พร้อมแนบรายชื่อประชาชน 100,732 รายชื่อ 24 ก.ย. 2563 ที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภามีมติ 432 ต่อ 255 เสียง ให้ตั้งคณะกรรมาธิการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญก่อนรับหลักการ ขณะที่ด้านนอกสภา “คณะประชาชนปลดแอก" และ "กลุ่มฟื้นฟูประชาธิปไตย" ชุมนุมในชื่อกิจกรรม "ไปสภาไล่ขี้ข้าศักดินา” 30 ก.ย. 2563 คณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ 6 ฉบับ เริ่มประชุมกันนัดแรก โดยมีกรอบเวลาทำงาน 30 วัน 2 ต.ค. 2563 นักเรียนมัธยมนำโดยกลุ่ม “นักเรียนเลว” ชุมนุมที่หน้ากระทรวงศึกษาธิการ ทวงถามความคืบหน้าในการดำเนินการตาม 3 ข้อเรียกร้อง ได้แก่ หยุดคุกคามนักเรียน, ยกเลิกกฎระเบียบล้าหลัง และปฏิรูปการศึกษา 12 ต.ค. 2563 “ศูนย์กลางประสานงาน นักศึกษา อาชีวะประชาชนปกป้องสถาบัน" (ศอปส.) จัดแรลลี่ "เชิญธนาธรพ้นประเทศไทย” เคลื่อนขบวนสู่ตึกไทยซัมมิทซึ่งเป็นที่ตั้งสำนักงานคณะก้าวหน้าที่มีธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เป็นประธาน 13 ต.ค. 2563 ตำรวจเข้ารื้อเต็นท์และเวทีปราศรัยของกลุ่ม “คณะราษฎร 2563" ซึ่งเดินทางมาร่วมชุมนุมใหญ่ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ผู้ชุมนุมสาดสีน้ำเงินใส่ตำรวจก่อนที่นายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือ "ไผ่ ดาวดิน" นายไชยอมร แก้ววิบูลย์พันธุ์ หรือ "แอมมี่” และผู้ชุมนุมอีกนับสิบคนจะถูกตำรวจควบคุมตัวไป 14 ต.ค. 2563 “คณะราษฎร 2563” ซึ่งเป็นการรวมตัวของกลุ่มต่าง ๆ เช่น แนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม, เยาวชนปลดแอก, กลุ่มดาวดิน และกลุ่มฟื้นฟูประชาธิปไตย จัดการชุมนุมใหญ่ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ก่อนเคลื่อนขบวนไปปักหลักค้างคืนที่ทำเนียบรัฐบาล เรียกร้องให้นายกฯ ลาออก ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ และปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ 15 ต.ค. 2563 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตท้องที่กรุงเทพฯ เปิดทางให้เจ้าหน้าที่สลายการชุมนุมที่ทำเนียบรัฐบาลช่วงเช้ามืด แกนนำ 3 คน คือ อานนท์ นำภา พริษฐ์ ชิวารักษ์ และปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล ถูกจับกุม ช่วงเย็นผู้ชุมนุมรวมตัวที่แยกราชประสงค์จนถึงเวลา 22.17 น. 16 ต.ค. 2563 “คณะราษฎร” นัดชุมนุมที่แยกปทุมวันช่วงเย็น ตำรวจใช้เครื่องขยายเสียงประกาศให้ยุติการชุมนุมแต่ไม่เป็นผล เวลา 18.10 น. ตำรวจเริ่มฉีดน้ำแรงดันสูงใส่ผู้ชุมนุมและกระชับพื้นที่ทั้งด้าน ถ.พระราม 1 และ ถ.พญาไท จนสลายการชุมนุมและยึดพื้นที่แยกปทุมวันได้สำเร็จในเวลาประมาณ 23.00 น. 17 ต.ค. 2563 “คณะราษฎร 2563" เปลี่ยนชื่อมาเป็น "กลุ่มราษฎร" เพื่อสะท้อนการชุมนุมแบบ "ทุกคนคือแกนนำ” จัดแฟลชม็อบหลายจุดในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ในกรุงเทพฯ มี 3 จุดหลักคือ ห้าแยกลาดพร้าว อุดมสุข และวงเวียนใหญ่ 18 ต.ค. 2563 แฟลชม็อบในกรุงเทพฯ เป็นวันที่สอง โดยมีจุดหลักอยู่ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิและแยกอโศก การชุมนุมแบบไร้แกนนำมีรูปแบบและการจัดการที่ชัดเจนขึ้น เช่น การสื่อสารด้วยภาษามือ การป้องปากบอกต่อ การสวมชุดสีดำ การใช้แอปพลิเคชั่นเทเลแกรมในการแจ้งข่าวสาร 19 ต.ค. 2563 นายกฯ ย้ำว่ารัฐบาลสนับสนุนให้เปิดการประชุมสภาสมัยวิสามัญเพื่อหาทางออกให้ประเทศจากสถานการณ์การชุมนุมทางการเมือง ช่วงเย็นกลุ่ม “เยาวชนปลดแอก” นัดแฟลชม็อบ 3 จุดในกรุงเทพฯ ได้แก่ แยกเกษตร เรือนจำพิเศษกรุงเทพ และสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน (เอ็มอาร์ที) กระทรวงสาธารณสุข 20 ต.ค. 2563 ครม. เห็นชอบร่าง พ.ร.ก. เปิดประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญ วันที่ 26-27 ต.ค. ด้าน “เยาวชนปลดแอก" รวมตัวที่สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสหลายแห่งในเวลา 18.00 น. เพื่อรอฟัง "บิ๊กเซอร์ไพรส์” จากแกนนำซึ่งประกาศงดชุมนุม 1 วัน 21 ต.ค. 2563 กลุ่ม “ราษฎร" รวมตัวที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิเวลา 16.00 น. ก่อนเคลื่อนขบวนไปทำเนียบฯ เพื่อนำ "จดหมายลาออก" ไปยื่นให้นายกฯ ลงนาม ขีดเส้นตายให้ พล.อ. ประยุทธ์ลาออกและปล่อยผู้ชุมนุมภายใน 3 วัน เวลา 19.00 น. นายกฯ แถลงการณ์ผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจฯ เรียกร้องให้ทุกฝ่าย "ถอยคนละก้าว” 22 ต.ค. 2563 เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่ประกาศ “ยกเลิกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง” ในเขตกรุงเทพฯ รวมทั้งประกาศและข้อกำหนดที่เกี่ยวข้อง มีผลตั้งแต่ 12.00 น. เป็นต้นไป พล.ต.นพ.เหรียญทอง แน่นหนา ผอ. รพ. มงกุฎวัฒนะ และแกนนำ “องค์กรเก็บขยะแผ่นดิน” นัดประชาชนสวมเสื้อสีเหลืองรวมตัวกันเพื่อแสดงพลังปกป้องสถาบันฯ ที่ศูนย์ราชการ ถ. แจ้งวัฒนะ 23 ต.ค. 2563 ในหลวงและพระราชินีเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมพสกนิกรที่มารับเสด็จฯ ณ ลานพระราชวังดุสิต ในหลวงตรัสกับชายที่ชูพระบรมฉายาลักษณ์ในหลวง ร.9 ไว้เหนือหัวระหว่างการชุมนุมของกลุ่ม “ราษฎร" ว่า "กล้ามาก เก่งมาก ขอบใจ” 24 ต.ค. 2563 “ไผ่ ดาวดิน" ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวเมื่อ 23 ต.ค. หลังจากถูกคุมขังมานาน 10 วัน ประกาศนัดชุมนุมที่แยกราชประสงค์เย็นวันที่ 25 ต.ค. เพื่อแสดงท่าทีต่อการที่นายกฯ ไม่ลาออกภายในเส้นตาย 3 วันที่กลุ่ม "ราษฎร” กำหนด 25 ต.ค. 2563 กลุ่ม “ราษฎร" รวมตัวที่แยกราชประสงค์เวลา 17.00 น. เพื่อกดดันให้นายกฯ ลาออกและปล่อยตัวผู้ที่ถูกจับกุม ผู้ชุมนุมร่วมกันตะโกน "กล้ามาก ๆ เก่งมาก ๆ ขอบใจนะ” ซ้ำหลายครั้งก่อนสลายการชุมนุมในเวลาประมาณ 21.00 น. 26 ต.ค. 2563 วันแรกของการประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญเพื่อหาทางออกให้ประเทศจากสถานการณ์การชุมนุมทางการเมือง ซึ่งเป็นการเปิดอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติ ตามมาตรา 165 ของรัฐธรรมนูญ ด้านกลุ่มปกป้องสถาบันฯ และกลุ่ม “ราษฎร" เดินทางไปชุมนุมที่หน้าสถานทูตเยอรมนีคนละช่วงเวลาและยื่นจดหมายต่อเอกอัครราชทูต โดยคนเสื้อเหลืองในนามกลุ่ม "ประชาชนคนไทย" เรียกร้องให้รัฐบาลเยอรมนีรับฟังข้อมูลจากทุกฝ่าย ส่วนกลุ่ม "ราษฎร” เรียกร้องให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการประทับอยู่ในรัฐบาวาเรียของรัชกาลที่ 10 27 ต.ค. 2563 มวลชนเสื้อเหลืองหลายกลุ่มแสดงพลังปกป้องสถาบันกษัตริย์ ช่วงเช้า “อุ๊ หฤทัย ม่วงบุญศรี" รวมตัวที่สถานทูตสหรัฐฯ เรียกร้องให้สหรัฐฯ "เคารพในกิจการภายในของประเทศไทย” เพราะเชื่อว่ามีต่างประเทศอยู่เบื้องหลังการโจมตีสถาบันพระมหากษัตริย์ ช่วงเย็นกลุ่มเสื้อเหลืองนำโดย นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม และอดีตแกนนำ กปปส. บางคน รวมตัวที่สวนลุมพินี นอกจากพัฒนาการทางการเมืองผ่านการชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตยของกลุ่มคนรุ่นใหม่ในกรุงเทพมหานครแล้ว ความเคลื่อนไหวทางการเมืองยังกระจายไปยังส่วนต่าง ๆ ของประเทศ โดยเฉพาะหัวเมืองใหญ่ ๆ เช่น เชียงใหม่ และขอนแก่น ผู้ชุมนุม “(คณะ)ราษฎร” จัด “แฟลชม็อบ” ที่ไหนบ้าง ที่มา : บีบีซีไทยรวบรวมข้อมูลที่ปรากฏในสื่อกระแสหลัก และสื่อสังคมออนไลน์ของกลุ่มการเมืองต่าง ๆ ณ วันที่ 27 ต.ค. 2563 ข่าว-วิดีโอที่เกี่ยวข้องกับการชุมนุม 2563 คณะราษฎร 2563: ประท้วงแบบไร้แกนนำ ทำได้อย่างไร แดร็กควีนร่วมชุมนุมแยกราชประสงค์
|
นับตั้งแต่ศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคอนาคตใหม่เมื่อเดือน ก.พ. ที่ผ่านมา ได้กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของหน้าประวัติศาสตร์การเมืองของไทย ที่ทำให้บรรดากลุ่มเยาวชนคนรุ่นใหม่ออกมาแสดงออกทางการเมืองผ่านการชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตยและการแก้ไขรัฐธรรมนูญอย่างต่อเนื่องจนถึงขณะนี้
|
international-43941223
|
https://www.bbc.com/thai/international-43941223
|
อพยพนักศึกษาหลายร้อย ทุเรียนเน่าเป็นเหตุ
|
นักศึกษาและเจ้าหน้าที่แจ้งไปยังกองดับเพลิงนครเมลเบิร์นหลังได้กลิ่นคล้ายแก๊สรั่วในห้องสมุดของสถาบันเทคโนโลยีรอยัลเมลเบิร์น (Royal Melbourne Institute of Technology) เจ้าหน้าที่ดับเพลิงระบุว่ามีการจัดเก็บสารเคมีที่อาจเป็นอันตรายได้ในอาคารนี้จึงได้สั่งอพยพคนออกจากตึกและทำการตรวจสอบที่มาอย่างถี่ถ้วน และค้นพบในที่สุดว่าที่มาของกลิ่นคือทุเรียนที่กำลังเน่าอยู่ในตู้ เจ้าหน้าที่ดับเพลิงระบุว่า กลิ่นได้กระจายไปทั่วตัวอาคารผ่านระบบเครื่องปรับอากาศ และขณะนี้อาคารห้องสมุดก็กลับมาเปิดให้ใช้บริการตามปกติแล้ว
|
นักศึกษาและอาจารย์กว่า 500 คน ต้องอพยพออกจากมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในนครเมลเบิร์นของออสเตรเลีย จากการคาดการณ์ว่าเป็นเหตุแก๊สรั่ว แต่พบว่าจริง ๆ แล้วคือกลิ่นทุเรียนเน่า
|
international-54151193
|
https://www.bbc.com/thai/international-54151193
|
นายกฯญี่ปุ่น : ทำความรู้จัก โยชิฮิเดะ สึกะ ลูกชาวไร่สตรอว์เบอร์รี ว่าที่หัวหน้ารัฐบาลคนใหม่ของญี่ปุ่น
|
เส้นทางขึ้นสู่อำนาจที่ดำเนินมาอย่างเสมอต้นเสมอปลายของเขาแตกต่างจากชนชั้นนำทางการเมืองคนอื่น ๆ ที่ครองอำนาจในญี่ปุ่นมาเนิ่นนาน หลังจบมหาวิทยาลัยโฮเซในกรุงโตเกียวเขาก็เริ่มทำงานในแคมเปญหาเสียงเลือกตั้งทันที และต่อมารับตำแหน่งเป็นเลขานุการในพรรคเสรีประชาธิปไตย (LDP) ก่อนที่จะเริ่มเส้นทางการเป็นนักการเมืองของตัวเอง ปี 1987 เขาได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภาเมืองโยโกฮามา ก่อนจะได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในปี 1996 ปี 2005 นายกรัฐมนตรีจุนอิชิโร โคอิซูมิ แต่งตั้งให้เขาเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยและการสื่อสาร และปีต่อมา ชินโซ อาเบะ นายกรัฐมนตรีคนถัดมา ก็แต่งตั้งให้เขาเป็นรัฐมนตรีถึงสามกระทรวง ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับนายอาเบะ พัฒนาเรื่อยมาจนนายอาเบะกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีในสมัยที่สองและแต่งตั้งให้เขาเป็นเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ทรงอิทธิพลมาก แปดปีที่ผ่านมา เขาในฐานะ "มือขวา" ของอาเบะ ตกเป็นเป้าความสนใจโดยเป็นตัวแทนแถลงข่าวในนามรัฐบาลบ่อยครั้ง และได้รับคำชมว่าจัดการรับมือกับระบบราชการอันซับซ้อนของญี่ปุ่นได้เป็นอย่างดี เขาได้รับการขนานนามเล่น ๆ ว่า "ลุงเรวะ" หลังเป็นผู้ประกาศชื่อรัชสมัยใหม่ "เรวะ" ซึ่งมีความหมายว่า ความสันติปรองดองอันรุ่งเรือง อย่างเป็นทางการเมื่อปีที่แล้ว นายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะ ของญี่ปุ่นประกาศลาออกจากตำแหน่งด้วยเหตุผลเรื่องสุขภาพเมื่อเดือนที่แล้ว ขั้วขัดแย้งในพรรคเสรีประชาธิปไตยต่างก็ให้การสนับสนุนเขาให้เป็นนายกรัฐมนตรีคนถัดไป หลังเป็นเลขาธิการคณะรัฐมนตรีที่ทำหน้าที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น และวันที่ 14 ก.ย. เขาสร้างประวัติศาสตร์ด้วยการเป็นผู้นำคนแรกของพรรคเสรีประชาธิปไตยที่ไม่ได้มาจากขั้วการเมืองหรือตระกูลผู้ทรงอิทธิพลทางการเมือง หลังประกาศลงสมัครเป็นหัวหน้าพรรคเสรีประชาธิปไตย เขาระบุว่าจะดำเนินยุทธศาสตร์กระตุ้นเศรษฐกิจซึ่งเป็นที่รู้จักในชื่อ "อาเบะโนมิกส์" (Abenomics) ของนายอาเบะ ต่อไป ซึ่งประกอบไปด้วยการดำเนินมาตรการผ่อนปรนทางการเงิน นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ และการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจ เขาได้รับการขนานนามเล่น ๆ ว่า "ลุงเรวะ" หลังเป็นผู้ประกาศชื่อรัชสมัยใหม่ "เรวะ" ซึ่งมีความหมายว่า ความสันติปรองดองอันรุ่งเรือง เขายังมุ่งที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญของญี่ปุ่นให้ได้ โดยจะให้ญี่ปุ่นสามารถมีกองทัพเพื่อป้องกันตัวเองได้อย่างถูกกฎหมาย ซึ่งเป็นสิ่งที่นายอาเบะตั้งใจไว้ อย่างไรก็ดี ตอนนี้นายสึกะ ต้องมุ่งจัดการกับผลกระทบทางเศรษฐกิจที่มาจากวิกฤตโควิด-19 เขาวางแผนจะขยายระบบการตรวจเชื้อและให้มีการฉีดวัคซีนภายในครึ่งปีแรกของปีหน้า นอกจากนี้ เขายังวางแผนที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจในส่วนภูมิภาคด้วยการเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ ปฏิรูปเกษตรกรรม และส่งเสริมการท่องเที่ยวด้วย ในเรื่องนโยบายการต่างประเทศ เขาจะให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และญี่ปุ่น ก่อน และก็จะพยายามรักษาสัมพันธ์กับจีนให้อยู่ในระดับที่คงที่ นอกจากนี้ เขาอยากจะสะสางกรณีการลักพาตัวพลเมืองญี่ปุ่นโดยเกาหลีเหนือเมื่อช่วงทศวรรษ 70 และ 80 และตั้งใจจะหาโอกาสนัดพบกับคิม จอง-อึน ผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือ ด้วย โดยให้ไม่ต้องมีการตั้งข้อแม้ใด ๆ ก่อนหน้าจะพบกัน
|
โยชิฮิเดะ สึกะ เกิดเมื่อปี 1948 ในครอบครัวชาวไร่สตรอว์เบอร์รี
|
international-53580160
|
https://www.bbc.com/thai/international-53580160
|
ฮ่องกง : ความสัมพันธ์ระหว่างสหราชอาณาจักร-จีน-ฮ่องกง ฉบับย่อ
|
ล่าสุด สหราชอาณาจักรประกาศระงับสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนกับฮ่องกงอดีตดินแดนในอาณานิคม หลังมีการบังคับใช้กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติ ทำให้จีนออกมากล่าวเตือนว่าสหราชอาณาจักรกำลัง "แทรกแซงกิจการภายในของจีน" เหตุใดสหราชอาณาจักรจึงมีบทบาทในความเป็นไปของฮ่องกง ติดตามได้ในวิดีโอนี้
|
หลังจากที่จีนผ่านกฎหมายความมั่นคงที่เกี่ยวกับฮ่องกง สหราชอาณาจักรและจีนตอบโต้กันอยู่บ่อยครั้ง
|
international-47908990
|
https://www.bbc.com/thai/international-47908990
|
เมืองลอยน้ำ เรื่องเพ้อฝัน หรือ โลกอนาคต
|
เมืองลอยน้ำ เรื่องเพ้อฝัน หรือความเป็นจริงในโลกอนาคต? แต่สัปดาห์นี้ แนวคิดนี้ จะขยับเข้าใกล้ความเป็นจริงขึ้นมาอีกขั้นหนึ่ง จากโครงการความร่วมมือที่สหประชาชาติให้การสนับสนุน UN-Habitat ซึ่งทำงานด้านการพัฒนาเมืองแบบยั่งยืนจะร่วมมือกับบริษัทเอกชน Oceanix, สถาบันเทคโนโลยีแห่งแมสซาชูเซตส์ (Massachusetts Institute of Technology--MIT) และ The Explorers Club ซึ่งเป็นสมาคมวิชาชีพที่สนับสนุนการสำรวจทางวิทยาศาสตร์ทั่วโลก เพื่อผลักดันแนวคิดนี้ ขณะที่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลกดำเนินต่อไปในอัตราที่น่าตกใจ และมีผู้คนจำนวนมากที่ต้องอาศัยอยู่อย่างแออัดภายในเมืองต่าง ๆ ไมมูนาห์ โมห์ด ชารีฟ ผู้อำนวยการบริหารของ UN-Habitat บอกว่า "เมืองลอยน้ำ เป็นหนึ่งในทางออกที่เป็นไปได้" โครงสร้างเป็นอย่างไร Oceanix City หรือเมืองลอยน้ำพึ่งพาตัวเองแห่งแรกของโลก จะประกอบด้วยกลุ่มแท่นรูปทรงหกเหลี่ยม ที่ยึดไว้กับสมอใต้ท้องทะเล แท่นหกเหลี่ยมแต่ละแท่นสามารถรองรับคนอยู่อาศัยได้ 300 คน ทำให้สามารถที่จะสร้างชุมชนที่มีผู้พักอาศัย 10,000 คนได้ กระชังที่อยู่ใต้เมืองลอยน้ำ สามารถใช้เลี้ยงหอยเชลล์ สาหร่ายทะเล หรืออาหารทะเลชนิดอื่นได้ มาร์ก คอลลินส์ เฉิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Oceanix กล่าวว่า เทคโนโลยีที่จะใช้สร้างโครงสร้างหรือบ้านลอยน้ำขนาดใหญ่มีอยู่แล้ว "คำถามที่ใหญ่ที่สุดในใจของผู้คนคือ เมืองพวกนี้ลอยน้ำได้จริง ๆ เหรอ" นายคอลลินส์ เฉิน กล่าวกับ บีบีซี "บ้านแบบนี้มีอยู่ในเนเธอร์แลนด์หลายพันหลัง และในชุมชนอื่น ๆ อีกทั่วโลก คำถามในขณะนี้จึงเป็นเรื่องของการยกระดับห้เป็นโครงการขนาดใหญ่ การเชื่อมระบบเข้าไว้ด้วยกัน และการสร้างชุมชนขึ้น" มีความกังวลว่า เมืองลอยน้ำอาจถูกมองว่าเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เพื่อรับมือกับอันตรายจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น "สิ่งที่ผมต้องระวังก็คือ บางครั้ง ผู้คนเห็นแนวคิดในโลกอนาคตประเภทนี้ แล้วบอกว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศไม่ใช่เรื่องน่ากลัวขนาดนั้น เพราะถ้ามันเกิดขึ้น เราก็จะหาทางเลี่ยงมันได้" ไมเคิล เจอร์ราร์ด ผู้อำนวยการศูนย์ซาบินเพื่อกฎหมายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย กล่าวกับ มูลนิธิทอมป์สันรอยเตอร์ใปปี 2017 แต่นายคอลลินส์ เฉิน กล่าวว่า Oceanix กำลังร่วมมือกับ ผู้เชี่ยวชาญ "ที่มีความแข็งแกร่ง" ในด้านการบริหารจัดการของเสีย, วิศวกรรมน้ำ, การฟื้นฟูทางทะเล และประสิทธิภาพพลังงาน เขากล่าวว่า เมืองลอยน้ำอาจจะเป็นการรับมือกับภัยธรรมชาติได้อย่างดีด้วย "เมืองลอยน้ำจะตั้งอยู่เฉพาะในจุดที่มีน้ำลึกเพียงพอที่จะไม่ได้รับผลกระทบจากสึนามิ" เขากล่าวเพิ่มเติมว่า แท่นต่าง ๆ สามารถทานทนกับน้ำท่วมและเฮอร์ริเคนได้ด้วย แผนการนี้เกิดขึ้นจริงได้หรือ "อุปสรรคหลัก ๆ ตอนนี้คือเรื่องของจิตใจ ไม่ใช่หลักการ" ริชาร์ด วีส ประธาน The Explorers Club กล่าวกับ บีบีซี "ผู้คนตื่นตระหนกกับคำว่า 'เมืองลอยน้ำ' ผมเคยใช้คำนี้กับภรรยาของผม ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นในทันทีของเธอ ไม่ใช่เรื่องของหลักการ แต่เป็นเรื่องของอารมณ์มากกว่า เธอไม่ชอบความคิดที่ว่า อะไรบางอย่างที่ลอยเคว้งคว้าง" การทำให้ประชาชนทั่วไปและนักการเมืองเชื่อมั่น นายวีส บอกว่า จำเป็นต้องเริ่มด้วยการสร้างส่วนต่อขยายขนาดเล็กเข้ากับเมืองที่มีอยู่แล้วในตอนนี้ก่อน อาจจะเลือกจาก ฮ่องกง, นิวยอร์ก หรือ บอสตัน เพราะเป็นฐานทดสอบที่เป็นไปได้ นอกเหนือจากใช้เป็นที่อยู่อาศัยแล้ว นายวีส บอกว่า กำลังมีความคิดที่จะสร้างโรงพยาบาลลอยน้ำที่ถูกลากไปในพื้นที่ประสบภัยพิบัติได้ หนึ่งในปัญหาที่เห็นได้ชัดที่ Oceanix City กำลังเผชิญอยู่คือ การขาดเงินทุน "[คน]ที่ให้เงินสนับโครงสร้างพื้นฐาน มักจะเป็นคนที่อนุรักษ์นิยมอย่างมาก" สตีฟ ลูอิส ผู้ก่อตั้ง Living PlanIT กล่าว Living PlanIT เป็นกลุ่มที่มุ่งเน้นวิธีการใหม่ ๆ ในการพัฒนาและวางแผนชุมชนเมือง "พวกเขามักจะลงทุนในสิ่งที่พวกเขาเข้าใจอย่างถ่องแท้ และพอคุณเข้าไปหา และบอกว่า คุณกำลังสร้างเมืองที่ลอยในทะเลได้ พวกเขาก็จะพูดว่า 'จริงหรือ'" อย่างไรก็ตาม นายลูอิส ซึ่งขณะนี้มุ่งเน้นไปที่การลงทุนในเมืองอัจฉริยะ ชี้ว่า การเติบโตของฟาร์มพลังงานลมในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา เป็นหลักฐานที่บอกได้ว่า ทัศนคติเปลี่ยนแปลงได้ แม้ว่า การตั้งถิ่นฐานลอยน้ำขนาดใหญ่เช่นนั้น เป็นเรื่องที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน และจะต้องเผชิญกับความท้าทายทางเทคนิคจำนวนมหาศาล นายลูอิส กล่าวว่า โครงสร้างก็คงจะนำมาต่อกันตรง ๆ ไม่มีอะไรซับซ้อน "ตัวป้องกันอยู่ในน้ำ แล้วเราก็จะมาดูกันว่า มันจะเป็นอย่างไร" เขากล่าว "แต่ผมคิดว่า เราต้องผลักดันขอบเขตของรูปแบบการใช้ชีวิตแบบใหม่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมือนเดิม แม้ว่ามันจะไม่ใช่ที่อยู่อาศัยของคน 10,000 คน ผมคิดว่า ชุมชนขนาด 2-3 พันคน ก็จะได้รับผลประโยชน์" นายวีส จาก The Explorers Club กล่าวว่า การขายแนวคิดนี้ให้แก่นักลงทุนและประชาชน ไม่จำเป็นต้องเป็นต้องทำให้เขารู้สึกระทึกใจ "เราจำเป็นต้องทำให้เห็นว่า มันน่ารื่นรมย์, พึ่งพาตัวเองได้ และมีผลดีทางเศรษฐกิจต่อประชากรทุกกลุ่ม ไม่ใช่เพียงแค่กลุ่มคนที่มีฐานะมั่งคั่ง" เขาก่าว "ถ้าคุณลองดู อะพอลโล 11 คุณจะต้องจำไว้ว่า มีขั้นตอนเล็ก ๆ หลายขั้นตอนในการส่งยานไปยังดวงจันทร์" เขากล่าวเพิ่มเติม ทุกรูปมีลิขสิทธิ์
|
เมืองลอยน้ำดูเหมือนจะเป็นเรื่องเพ้อฝันในโลกอุดมคติมาเป็นเวลานานแล้ว
|
thailand-54082961
|
https://www.bbc.com/thai/thailand-54082961
|
ประชุมสภา : ประยุทธ์ลั่น “ไม่ได้มีปัญหา” กับ นร.-นศ. หลังถูกฝ่ายค้านรุมกดดันให้ลาออก
|
การเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อซักถามข้อเท็จจริงหรือเสนอแนะปัญหาต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในเรื่องวิกฤตทางเศรษฐกิจและวิกฤตทางการเมืองโดยไม่มีการลงมติ อาศัยอำนาจตามมาตรา 152 ของรัฐธรรมนูญ เริ่มต้นเมื่อเวลา 10.00 น. ที่ผ่านมา กระบวนการนี้ไม่มีผลทางกฎหมาย แต่ถูกมองว่าฝ่ายค้านมุ่งหวังผลทางการเมืองคู่ขนานกับความเคลื่อนไหวนอกสภาของเครือข่ายนักเรียน นิสิต นักศึกษา และประชาชน น.อ. อนุดิษฐ์ นาครทรรพ ส.ส.กทม. พรรคเพื่อไทย (พท.) ในฐานะเจ้าของญัตติ ได้ "ชู 3 นิ้ว" กลางสภา โดยอ้างว่าเป็นสัญลักษณ์ของการให้คำมั่นสัญญาและปฏิญาณตนต่อคนไทยทั้งประเทศว่าจะขอคืนอำนาจอธิปไตยกลับไปให้ประชาชน และใช้รัฐสภาในการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อหาทางออกของประเทศ พร้อมเรียกร้องให้นายกฯ พูดคุยกับฝ่ายความมั่นคงเพื่อยกเลิกหมายจับและหมายเรียกแกนนำเยาวชนและนักเคลื่อนไหวทั้งประเทศ หยุดคุกคามแล้วเปลี่ยนเป็นการคุ้มครอง หยุดปิดหูแล้วรับฟัง หยุดปิดกั้นแล้วนำเสนอทางออกร่วมกัน น.อ. อนุดิษฐ์ ผู้เป็นเลขาธิการ พท. เป็นนักการเมืองคนที่ 2 ที่ "ชู 3 นิ้ว" กลางสภา หลังจาก น.ส. ญาณธิชา บัวเผื่อน ส.ส.จันทบุรี พรรคก้าวไกล เคยแสดงสัญลักษณ์นี้เมื่อ 27 ส.ค. เรียกร้องให้หยุดคุกคามประชาชน โดยให้เหตุผลว่านักเรียนบางส่วนในพื้นที่ของเธอถูกคุกคามจากการร่วม "ชู 3 นิ้วขณะเคารพธงชาติ" น.อ. อนุดิษฐ์ นาครทรรพ เป็น ส.ส. รายที่ 2 ที่ "ชู 3 นิ้ว" กลางสภา สำหรับการ "ชู 3 นิ้ว" มีที่มาจากภาพยนตร์เรื่อง The Hunger Games ถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ของฝ่ายเรียกร้องประชาธิปไตยในไทยนับจากรัฐประหารปี 2557 และต่อเนื่องมาถึงฝ่ายประท้วงต่อต้านรัฐบาลในปัจจุบัน สื่อความหมายถึงการมีเสรีภาพ ความเสมอภาค และภราดรภาพ แม้ออกตัวว่าการอภิปรายครั้งนี้ไม่ขอใช้โวหารทางการเมือง แต่ น.อ. อนุดิษฐ์ ได้มอบฉายาใหม่ให้ พล.อ. ประยุทธ์ว่าเป็น "นายกฯ ที่ทำให้เกิดการก่อม็อบมากที่สุด" ในประวัติศาสตร์ เนื่องจากเยาวชนมองไม่เห็นอนาคต จึงออกมาชุมนุมต่อต้านรัฐบาลตั้งแต่ระดับชั้นประถมยันอุดมศึกษา พิธาวิจารณ์ผู้นำ 2 อภิสิทธิ์ "ไม่มีฝ่ายค้าน-งบประมาณเต็มมือ" เช่นเดียวกับคำอภิปรายของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล ที่ว่าไม่มีการประท้วงรัฐบาลครั้งไหนเกิดขึ้นจำนวนมากและกระจายไปขนาดนี้ ซ้ำยังลงลึกไปถึงนักเรียนมัธยม ถ้าการเมืองดี พื้นที่ของนักเรียนมัธยมคงไม่ได้อยู่บนท้องถนน นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ระบุว่า การรัฐประหารและการรคุกคามประชาชนเป็นการ "แช่แข็งประเทศ" หัวหน้าพรรคก้าวไกลระบุด้วยว่า รัฐธรรมนญปี 2560 ทำหน้าที่เฉพาะกิจเพื่อสืบทอดอำนาจให้ พล.อ. ประยุทธ์กลับมาเป็นนายกฯ และรักษาอำนาจให้ยาวนานสุด พอเยาวชนออกมาทวงคืนอนาคต นอกจากรัฐบาลจะไม่รับฟัง ยังคุกคามและใช้มาตรา 116 ของประมวลกฎหมายอาญา อย่างไม่สมเหตุสมผล หวังให้สังคมหวาดกลัวและไม่กล้าออกมาเปลี่ยนแปลง เขากล่าวว่า ภาวะผู้นำในปัจจุบันคือสิ่งที่ถ่วงรั้งประเทศที่กำลังเผชิญวิกฤตรอบด้านทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม พร้อมวิจารณ์ พล.อ. ประยุทธ์ว่ามีอภิสิทธิ์ 2 อย่างคือ "ไม่มีฝ่ายค้าน" ในช่วงที่เป็นนายกฯ 5 ปีแรก จึงไม่มีกระบวนการตรวจสอบ และ "มีงบประมาณเต็มมือ" รวมทุกปีงบประมาณสูงถึง 20 ล้านล้านบาทซึ่งมากที่สุดในประวัติศาสตร์ แต่ผลงานที่ได้คือ "เศรษฐกิจรั้งท้ายเกือบบ๊วยของเอเชีย" ตามการสำรวจของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ฝ่ายค้านรุมกดดันนายกฯ ลาออก แกนนำพรรคฝ่ายค้านทั้ง เลขาธิการ พท., หัวหน้าพรรคก้าวไกล, นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา หัวหน้าพรรคประชาชาติ และนายนิคม บุญวิเศษ หัวหน้าพรรคพลังปวงชนไทย ยังพร้อมใจกันเรียกร้องให้ พล.อ. ประยุทธ์ลาออกจากตำแหน่ง นายกฯ ลั่น "ไม่ได้มีปัญหา" นร.-นศ. ด้าน พล.อ. ประยุทธ์ ได้ลุกขึ้นชี้แจงหลังฝ่ายค้านอภิปรายไปได้เพียง 3 คน โดยกล่าวตอนหนึ่งว่า "เรื่องเด็ก ๆ ผมไม่ได้มีปัญหากับเขา มันมีแต่คนที่ทำให้เขามีปัญหากับผม สักวันก็คงรู้บ้างว่าใครไปยุ่งเกี่ยวตรงนั้น ประเทศไทยต้องสงบให้ได้มากที่สุดในเวลานี้ ช่วงเศรษฐกิจกำลังมีปัญหา" พล.อ. ประยุทธ์บอกด้วยว่า รัฐบาลชุดนี้ทำงานเพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และประชาชน แต่ยอมรับว่าการจะทำให้ทุกคนพอใจค่อนข้างทำได้ยาก ก่อนร่ายยาวให้เห็นโครงสร้างของประชากรไทย 66.5 ล้านคน ซึ่งมีนักเรียนระดับมัธยมอยู่ 2.2 ล้านคน หรือคิดเป็น 23% ของคนไทยทั้งประเทศ และนิสิต/นักศึกษาระดับปริญญาตรี 1.5 ล้านคน หรือ 16% พล.อ. ประยุทธ์ย้ำว่า รัฐบาลมีความห่วงใยในสถานการณ์ปัจจุบัน ทั้งการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และสถานการณ์อื่น ๆ จะพยายามทำหน้าที่อย่างเต็มที่ เพื่อดูแลแก้ไขทุกอย่างให้กลับมาสู่ปกติโดยเร็ว และเดินหน้าสู่การพัฒนาประเทศในระยะต่อไป แม้จะมีอุปสรรคอยู่บ้างก็ตาม แต่ก็ยังคงมีความพยายามเพราะนึกถึงชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และประชาชน จำเป็นต้องทำด้วยความรอบคอบ ระมัดระวังข้อกฎหมาย ภายใต้งบประมาณที่มีอยู่จำกัด นายกรัฐมนตรียังขอร้องด้วยว่า "อย่ารังเกียจทหารมากนัก" เพราะทหารก็คือลูกหลานของคนไทยทั้งนั้น ไม่ใช่ลูกหลานของตัวเขาเอง พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า "หลายคนเคยเป็นทหารมาก่อน แต่ไม่ประสบความสำเร็จในวงการทหารเท่าไร ก็มักจะโจมตีทหารเรื่อย" จึงขอว่าอย่าแยกทหารออกจากประชาชน ทหารไทยไม่ได้มีแค่ปฏิวัติ แต่ทุกวันนี้ทหารทำงานเพื่อประชาชนทั้งการป้องกันประเทศ การป้องกันภัยพิบัติ การป้องกันโควิด-19 พปชร. ประท้วงวุ่น หลังก้าวไกลยกข่าวลือรัฐประหารมาเสียดสีนายกฯ ตลอดทั้งวัน ส.ส. ฝ่ายค้านต้องอภิปรายวนเวียนอยู่กับประเด็นการสืบทอดอำนาจของหัวหน้า คสช. การทวงถามความรับผิดชอบต่อการคุกคามเครือข่ายนักศึกษา และการเรียกร้องให้ลาออกจากตำแหน่ง โดย น.ส.จิราพร สินธุไพร ส.ส.ร้อยเอ็ด พท. ถึงขนาดทำหนังสือลาออกมาเผื่อ พล.อ. ประยุทธ์ โดยกรอกรายละเอียดทุกอย่างไว้เรียบร้อยแล้ว เพียงแค่นายกฯ ลงนาม เอกสารก็จะมีผลอย่างสมบูรณ์ เธอชี้ว่านี่จะถือเป็นการ "เสียสละต่อแผ่นดินครั้งยิ่งใหญ่" และ "ไม่เป็นภาระของลูกหลานในอนาคต" ขณะที่ ส.ส. อีก 2 คนได้ใช้วาจาไล่ พล.อ. ประยุทธ์แบบตรง ๆ ก่อนจบการอภิปราย โดย น.ส. นภาพร เพ็ชร์จินดา ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเสรีรวมไทย เรียกร้องให้นายกฯ "ทำความดีสักครั้งก่อนถูกไล่ออกไป" ด้วยการแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2560 พร้อมกล่าวในตอนท้ายว่า "ประยุทธ์ออกไป ๆ" ไม่ต่างจากนายศรัณย์วุฒิ ศรัณย์เกตุ ส.ส.อุตรดิตถ์ พท. ที่ตะโกนปิดท้ายการอภิปรายของตัวเองว่า "เผด็จการประยุทธ์ ออกไป ๆ ๆ คนไทยไม่เอานายกฯ คนนี้แล้ว" ส่วนนางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ได้นำ "ข่าวลือ" เรื่องการรัฐประหารมาพูดกลางสภา โดยอ้างเหตุผลว่าในฐานะที่ พล.อ. ประยุทธ์เคยทำรัฐประหารมาก่อน และอ้างว่าเป็นนายกฯ ที่มาจากการเลือกตั้ง จึงอยากสอบถามว่ามีความคิดจะปกป้องรักษาประชาธิปไตยไม่ให้ถูกทำลายด้วยกองทัพอย่างไร และถ้ากองทัพใช้อาวุธยึดอำนาจ จะรับมือกับการกระทำอันป่าเถื่อนอย่างไร "ในฐานะที่ได้ดิบได้ดีจากการรัฐประหาร จะช่วยให้ประชาชนสบายใจขึ้นได้หรือไม่ โดยการจูงมือกองทัพมาประกาศจะไม่มีการทำรัฐประหารอีก" นางอมรัตน์กล่าว เพื่อนร่วมพรรคร่วมแสดงความชื่นชมนางอมรัตน์ หลังอภิปรายจบ คำอภิปรายของ ส.ส. ฝ่ายค้านรายนี้ สร้างความไม่พอใจให้แก่ ส.ส. พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) พรรคที่เสนอชื่อ พล.อ. ประยุทธ์เป็นนายกฯ ในบัญชีในช่วงเลือกตั้ง โดยมี ส.ส. หลายคนลุกขึ้นมาประท้วงนางอมรัตน์ตั้งแต่ประเด็นเนื้อหาซึ่งทำผิดข้อบังคับการประชุม เนื่องจากกรณีพูดจาเสียดสีและขอให้ประธานควบคุมการประชุมด้วย, การไม่เข้าใจว่านี่ไม่ใช้เวทีอภิปรายไม่ไว้วางใจ แต่เป็นการอภิปรายทั่วไป ไปจนถึงประเด็นแต่งกายผิดข้อบังคับ เนื่องจากใส่ชุดคอระบายมาประชุม ไม่ใช่สูทสากล ทำให้ ส.ส. ก้าวไกลตั้งท่าประท้วงกลับเพื่อชี้แจงแทนเพื่อนร่วมพรรค และมีการโต้เถียงกันไปมานับ 10 นาที ก่อนที่นายศุภชัย โพธิ์สุ รองประธานสภา ปฏิบัติหน้าที่ประธานที่ประชุม ต้องตัดบทไม่ให้มีใครพูดต่อ ก่อนเริ่มอภิปรายกันต่อไป ประยุทธ์ปัดถูกเศรษฐีบังคับ ส่วนประเด็นอื่น ๆ ที่ฝ่ายค้านหยิบยกขึ้นมาอภิปรายเพื่อโจมตีรัฐบาลคือการบริหารเศรษฐกิจล้มเหลว ขาดวินัยทางการเงินการคลัง สะท้อนผ่านการก่อหนี้ให้ลูกหลานด้วยการกู้เงินต่อเนื่องจากยุครัฐบาล "ประยุทธ์ 1" ถึง "ประยุทธ์ 2" นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเศรษฐกิจใหม่ อภิปรายตอนหนึ่งว่า พล.อ. ประยุทธ์เป็นนายกฯ คนเดียวที่เอานายทุนมานั่งล้อมตัวเองเอาไว้ หากยังทำอย่างนี้อยู่ เจ๊ง "ภาษีทั้งหมดกำลังจะเทเข้ากระเป๋านายทุน เขาถึงได้รวยกันพุงปลิ้น" พร้อมตั้งคำถามว่าการเตรียมแจกเงินให้ประชาชนอีก 3 พันบาท จำนวน 15 ล้านสิทธิ์ เงินจะไปอยู่ที่ใคร จะพ้นเงื้อมมือนายทุนหรือไม่ อยากให้คิดให้รอบคอบ เกี่ยวกับเรื่องนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ปฏิเสธโดยชี้แจงว่า "ที่บอกว่าเศรษฐีห้อมล้อมผมนั้น เขาไม่ได้บังคับผมสักเรื่อง เพราะผมไม่ได้ให้เขาบังคับ ผมไม่ได้ร้องขออะไรเขา และเขาก็ไม่ได้ร้องขออะไรผม ทุกอย่างเป็นไปตามกติกา" พร้อมย้ำว่าที่ผ่านมาได้ประคับประคองให้เศรษฐกิจฟื้นฟูได้ ไม่ต้องเลิกจ้างพนักงาน "ก็ต้องขอบคุณท่านในฐานะอดีตรองนายกฯ มีความรู้ดี ท่านก็คุยกับผมมาหลายรอบ ท่านก็เคยพูดกับผมว่าท่านพร้อมเข้ามาช่วยเป็นรองนายกฯ แต่ผมคงไม่รับเพราะผมมีครบแล้ว มีเต็มแล้ว เอาไว้คราวหน้าก็แล้วกัน" พล.อ. ประยุทธ์กล่าว อย่างไรก็ตามนายมิ่งขวัญได้ลุกขึ้นสวนทันควันว่าคุยกันคุยกันคนละเรื่อง และขออย่าพูดให้คนเข้าใจไขว้เขว ครั้งที่แล้วก็พูดอย่างนี้ เดี๋ยวคนก็บอกว่าผิดหวังแล้วมาด่าตน ขอย้ำว่าไม่ไป ไม่เกี่ยว กลาโหมโต้ "จีทูจีเก๊" ซื้อเรือดำน้ำ อีกประเด็นที่มีการอภิปรายคือ โครงการจัดซื้อเรือดำน้ำของกองทัพเรือ (ทร.) แม้ ทร. จะทำหนังสือถึงคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญเพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 2564 แจ้งชะลอการขอรับงบประมาณปี 2564 จำนวน 3,375 ล้านบาทไปแล้วก็ตาม นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร เป็นรองประธานอนุ กมธ. ครุภัณฑ์ ไอซีที รัฐวิสาหกิจ และทุนหมุนเวียนของ กมธ.งบประมาณปี 2564 ซึ่งออกมาเปิดเผยข้อมูลเรื่องความไม่ชอบมาพากลในการจัดซื้อเรือดำน้ำ ก่อนถูก ทร. ฟ้อง ซึ่งหลังเขาอภิปรายจบ ประธานสภาได้เตือนว่า "ให้เตรียมข้อมูลไว้สู้คดี" นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม ตั้งข้อสังเกตว่า การจัดซื้อเรือดำน้ำของ ทร. ไม่ได้เป็นการจัดซื้อแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) เนื่องจากฝ่ายไทย โดย พล.ร.อ. ลือชัย รุดดิษฐ์ เสนาธิการทหารเรือในขณะนั้น ได้ทำสัญญาซื้อขายกับเฮียลู่ ประธานบริษัท China Shipbuilding & Offshore International (CSOC) ซึ่งไม่ได้เป็นรัฐบาล และการโอนเงินก็ไม่ได้โอนไปยังหน่วยงานรัฐหรือกระทรวงการคลังของจีน ต่อมา พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กลาโหม ชี้แจงว่า การจัดหาเรือดำน้ำเป็นการจัดหายุทโธปกรณ์แบบรัฐต่อรัฐ โดยได้ยกเว้นระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ ซึ่งในการดำเนินการระยะที่ 1 เป็นการดำเนินแบบรัฐต่อรัฐ และผ่านการพิจารณาข้อกฎหมายโดยหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งกระทรวงการต่างประเทศ สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงบประมาณ ส่วนที่ไม่ได้นำเรื่องมาขอความเห็นชอบจากรัฐสภา เพราะเป็น "ข้อตกลงซื้อขายเชิงพาณิชย์ระหว่างรัฐบาลต่อรัฐบาล" ไม่ใช่หนังสือสัญญาระหว่างประเทศตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ มาตรา 178 รมช.กลาโหมยังชี้แจงประเด็นผู้ลงนามในสัญญาว่า รัฐบาลจีนได้มอบอำนาจให้องค์การบริหารงานของรัฐด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและอุตสาหกรรมการป้องกันประเทศ (The State Administration for Science, Technology and Industry for National Defence : SASTIND) ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐที่ขึ้นตรงกับรัฐบาลจีน ต่อมาหน่วยงานี้ได้มอบอำนาจให้ CSOC ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจที่รัฐบาลจีนเป็นเจ้าของ 100% ทั้งนี้หนังสือรับรองการจดทะเบียนบริษัทของ CSOC ระบุคำว่า State-owned ซึ่งย้ำถึงความเป็นรัฐวิสาหกิจ นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ รมว.การอุดมศึกษาฯ ทักทายเพื่อน ๆ นักการเมืองในสภาหลังเข้าไปมีอำนาจในฝ่ายบริหารในการปรับครม. "ประยุทธ์ 2/2" ฝ่ายค้านเคยเปิดอภิปรายทั่วไปฯ รัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์ มาแล้วหนหนึ่งเมื่อ 18 ก.ย. 2562 กรณีกล่าวถวายสัตย์ปฏิญาณตนก่อนเข้ารับหน้าที่ไม่ครบถ้วน และเคยเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯ และรัฐมนตรีรวม 6 คน เป็นเวลา 3 คืน 4 วัน เมื่อเดือน ก.พ. 2563 แต่ไม่อาจคว่ำรัฐบาลได้ เนื่องจากทั้ง 6 คนได้รับคะแนน "ไว้วางใจ" มากกว่า ในการเปิดอภิปรายทั่วไปฯ รอบนี้ นายชวน หลีกภัย ประธานสภา คาดการณ์ว่าการประชุมจะเสร็จสิ้นภายในเที่ยงคืนนี้ โดยฝ่ายค้านมีเวลาอภิปราย 10 ชั่วโมง และฝ่ายรัฐบาลมีเวลาชี้แจง 5 ชั่วโมง
|
พรรคฝ่ายค้านพร้อมใจกันใช้เวทีการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติ กดดันให้ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ลาออกจากตำแหน่ง
|
features-37979676
|
https://www.bbc.com/thai/features-37979676
|
รู้จัก “ป๊อง” สตาร์ทอัพไทยในลอนดอน
|
ป๊อง รับพรได้มีโอกาสทำงานต่อในสหราชอาณาจักรหลังจากจบการศึกษา นอกจากนี้ยังได้รับเงินทุนเพื่อเริ่มต้นธุรกิจของตัวเองจากมหาวิทยาลัยเป็นเงิน 15,000 ปอนด์ (ประมาณ 750,000 บาท) ด้วย ป๊องได้รับการคัดเลือกให้ได้รับการสนับสนุนดังกล่าวจากผลงานการออกแบบธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการขายชาแบบสั่งซื้อผ่านอินเตอร์เน็ท ซึ่งเธอทำจนประสบความสำเร็จ ในรางวัล China-UK Entrepreneurship Challenge มีผู้ยื่นเข้าแข่งขันหลายร้อยคน ป๊องได้รางวัลรองชนะเลิศ โดยกรรมการให้เหตุผลว่าโมเดลธุรกิจน่าสนใจและมีโอกาสเติบโตสูง ป๊องบอกว่าธุรกิจที่เธอทำเป็นหนึ่งในธุรกิจ “สตาร์ทอัพ” ซึ่งใช้เทคโนโลยีเป็นส่วนสำคัญในการดำเนินธุรกิจ อย่างไรก็ดี เธอยังต้องใช้ทักษะเรื่องการออกแบบเว็บไซต์ ความสามารถในการติดต่อลูกค้า และต้องมีความอดทน กับทุ่มเทแรงใจ แรงกายซึ่งรวมถึงการแบกขนสินค้าไปส่งให้ลูกค้าด้วยตัวเอง อย่างไรก็ดี งานที่เธอทำเป็นสิ่งที่เธอมีความสนใจจึงไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยกับสิ่งที่ทำ และนี่เป็นคำแนะนำที่เธอบอกกล่าวให้กับคนรุ่นใหม่ที่สนใจทำงานในต่างประเทศ
|
รับพร สุขทัพภ์ สถาปนิกชาวไทยที่กำลังศึกษาในระดับปริญญาโท ด้านเทคโนโลยีการเป็นผู้ประกอบการ (MSc Technology Entrepreneurship) ที่มหาวิทยาลัยลอนดอน เป็นชาวไทยคนเดียวในปี 2558 ที่ได้รับการสนับสนุนจากโครงการ UCL Bright Ideas Award, China-UK Entrepreneurship Challenge และ UCL Advances Idea Accelerator Competition ให้ได้รับวีซ่าประเภท Tier 1 (Graduate Entrepreneur)
|
features-45698827
|
https://www.bbc.com/thai/features-45698827
|
การทานอาหารแบบเมดิเตอร์เรเนียนคืออะไร และช่วยป้องกันโรคซึมเศร้าได้จริงหรือ?
|
ผลการศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Molecular Psychiatry มาจากการวิเคราะห์งานวิจัย 41 ชิ้นที่ตีพิมพ์ในวารสารวิชาการในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา โดยพบว่า การรับประทานอาหารแบบคนในแถบเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งเน้นการทาน ผัก ผลไม้ ธัญพืช ถั่ว น้ำมันปลา และน้ำมันมะกอก รวมทั้งการทานผลิตภัณฑ์จากนมและเนื้อสัตว์แต่น้อยนั้น ส่งผลดีต่ออารมณ์ของคนเรา และช่วยป้องกันภาวะซึมเศร้าได้ ดร.คามิลลา ลาซาลล์ ผู้ศึกษาเรื่องนี้ร่วมกับทีมนักวิจัยจากยูนิเวอร์ซิตี คอลเลจ ลอนดอน บอกว่า หลักฐานที่พบบ่งชี้ว่าการทานอาหารแบบเมดิเตอร์เรเนียนอาจช่วยลดความเสี่ยงในการป่วยเป็นโรคซึมเศร้า แม้ว่าจะยังไม่มีหลักฐานเป็นรูปธรรมจากการทดลองทางคลินิกก็ตาม อย่างไรก็ตาม หลายฝ่ายชี้ว่า ความเกี่ยวโยงระหว่างอารมณ์กับอาหารยังเป็นเรื่องที่ถกเถียงกันไม่มีที่สิ้นสุด เนื่องจากอาหารไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่ก่อให้เกิดภาวะซึมเศร้า เพราะเรื่องสภาพดินฟ้าอากาศก็มีผลอยู่ไม่น้อย และการที่คนในแถบเมดิเตอร์เรเนียนมีสุขภาพจิตและอารมณ์ดีนั้น ส่วนหนึ่งอาจมาจากการใช้ชีวิตอยู่ในสภาพอากาศที่ดีด้วย ดังนั้นบรรดาผู้เชี่ยวชาญด้านระบบเผาผลาญพลังงานในร่างกายระบุว่า จะต้องมีการศึกษาทดลองเรื่องนี้ให้ละเอียด และแม่นยำมากขึ้นเพื่อหาหลักฐานยืนยันทฤษฎีความเชื่อมโยงระหว่างอาหารกับภาวะซึมเศร้า ติดตามข่าววิทยาศาสตร์ และข่าวสุขภาพ ล่าสุดได้ทุกวัน ทางเว็บไซต์ bbcthai.com และเฟซบุ๊กของบีบีซีไทย
|
การทานอาหารแบบคนในแถบเมดิเตอร์เรเนียนไม่เพียงจะส่งผลดีต่อสุขภาพกายในแง่ของการลดระดับคอเลสเตอรอล ช่วยลดน้ำหนัก และลดความเสี่ยงเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 แต่งานวิจัยล่าสุดจากอังกฤษยังอ้างว่าวิธีการรับประทานอาหารแบบนี้ยังช่วยป้องกันโรคซึมเศร้าได้ด้วย
|
thailand-53949416
|
https://www.bbc.com/thai/thailand-53949416
|
พระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง ‘ผบ.ทบ.-ผบ.ตร.-ผบ.ทอ.-ผบ.ทร.’ เป็นราชองครักษ์พิเศษ
|
เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่พระบรมราชโองการ ประกาศให้นายทหารสัญญาบัตรและนายตำรวจชั้นสัญญาบัตร แต่งตั้งเป็นนายทหารราชองครักษ์พิเศษและนายตำรวจราชองครักษ์พิเศษ ความว่า พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้นายทหารสัญญาบัตรและนายตำรวจชั้นสัญญาบัตรแต่งตั้งเป็นนายทหารราชองครักษ์พิเศษและนายตำรวจราชองครักษ์พิเศษ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 15 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 6 มาตรา 7 และมาตรา 10 แห่งพระราชบัญญัติราชองครักษ์ พุทธศักราช 2480 มาตรา 4 มาตรา 5 และมาตรา 6 แห่งพระราชบัญญัตินายตำรวจราชสำนัก พ.ศ. 2495 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้นายทหารสัญญาบัตรและนายตำรวจชั้นสัญญาบัตร แต่งตั้งเป็นนายทหารราชองครักษ์พิเศษและนายตำรวจราชองครักษ์พิเศษ จำนวน 68 นาย ตามบัญชีรายชื่อที่แนบ ทั้งนี้ตั้งแต่วันที่ 19 สิงหาคม พุทธศักราช 2563 ประกาศ ณ วันที่ 27 สิงหาคม พุทธศักราช 2563 เป็นปีที่ 5 ในรัชกาลปัจจุบัน
|
ราชกิจนานุเบกษา เผยแพร่พระบรมราชโองการแต่งตั้งนายทหารสัญญาบัตรและนายตำรวจชั้นสัญญาบัตร รวม 68 นาย เป็นนายทหารราชองครักษ์พิเศษและนายตำรวจราชองครักษ์พิเศษ รวมถึง พล.อ.พรพิพัฒน์ เบญญศรี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด, พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก, พล.ร.อ.ลือชัย รุดดิษฐ์ ผู้บัญชาการทหารเรือ, พล.อ.อ.มานัต วงษ์วาทย์ ผู้บัญชาการทหารอากาศ และ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
|
thailand-48034292
|
https://www.bbc.com/thai/thailand-48034292
|
เลือกตั้ง 2562 : หนึ่งเดือนหลังเข้าคูหา คนไทยรู้อะไรแล้วบ้าง
|
สรุปแล้วคนไทยรู้อะไรแล้วบ้าง และได้อะไรจากการเข้าคูหาเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ในรอบ 8 ปีของไทย เมื่อเดือนก่อน บีบีซีไทยสรุป-สกัดความเคลื่อนไหวสำคัญได้ 6 ประการ ดังนี้ 1. เห็นชื่อผู้ชนะ แต่อาจเป็นชัยชนะแค่ "ชั่วคราว" 4 วันหลังการเลือกตั้ง กกต. แถลงผลการนับคะแนนเลือกตั้ง ส.ส. แบบแบ่งเขตอย่างเป็นทางการ 100 เปอร์เซ็นต์ เมื่อ 28 มี.ค. คนไทยเห็น... 9 พรรคการเมืองหิ้วว่าที่ ส.ส. แบบแบ่งเขตเข้าสภาฯ ได้สำเร็จ โดยที่ "พรรคอันดับ 1" ได้เสียงไม่ถึงกึ่งหนึ่งของ "สภาห้าร้อย" ตามความมุ่งหมายของผู้ยกร่างรัฐธรรมนูญ ประกอบด้วย พรรคเพื่อไทย (พท.) 137 คน, พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) 97 คน, พรรคภูมิใจไทย (ภท.) 39 คน, พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) 33 คน, พรรคอนาคตใหม่ (อนค.) 30 คน, พรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) 6 คน, พรรคประชาชาติ (ปช.) 6 คน, พรรครวมพลังประชาชาติไทย (รปช.) 1 คน และพรรคชาติพัฒนา (ชพน.) 1 คน คนไทยทราบ... คะแนนมหาชน (ป๊อบปูลาร์โหวต) ที่จะนำไปคิดคำนวณเป็นยอด ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อของแต่ละพรรค โดย "พรรคอายุครึ่งขวบ" อย่าง พปชร. ได้คะแนนสูงสุด 8.43 ล้านคะแนน ตามด้วย พท. 7.92 ล้านคะแนน และ อนค. 6.25 ล้านคะแนน แต่ทั้งหมดนี้ยังเปลี่ยนแปลงได้ เนื่องจากมี "ผู้แพ้" ร้องเรียน "ผู้ชนะ" กันแบบอุตลุดอย่างน้อย 66 กรณี ซึ่ง กกต. ได้สั่งยุติเรื่องไปแล้วบางส่วนเพราะไม่มีมูล ขณะที่บางส่วนได้นำไปสู่คำสั่งให้จัดการเลือกตั้งใหม่ หรือนับคะแนนใหม่ นั่นเท่ากับว่าว่าที่ ส.ส. แบบแบ่งเขต อาจ "ชนะแค่ชั่วคราว" และคะแนนมหาชนยังพลิกผันได้ตลอด 2. ยังไม่รู้สูตรไหนได้ปาร์ตี้ลิสต์ แม้ กกต. ยอมเปิด "คะแนนดิบ" ออกมาครบทั้ง 350 เขต แต่กลับไม่เผยวิธีคิดคำนวณหาจำนวน ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อ (ปาร์ตี้ลิสต์) รวม 150 คน ปล่อยให้นักการเมือง นักวิชาการ สื่อมวลชน ไม่เว้นประชาชนทั่วไปนั่ง "คะเนสูตร-กดเครื่องคิดเลข" กันเอาเอง คนไทยรู้... เหมือนอย่างที่ กกต. รู้ตั้งแต่ก่อนวันเลือกตั้งว่าหลักเกณฑ์และวิธีการคำนวณ ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อที่แต่ละพรรคพึงมี เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 91 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. มาตรา 128 และ 129 กำหนดไว้ แต่ที่ กกต. เพิ่งออกมายอมรับว่า "ไม่รู้" หลังวันเลือกตั้งคือจะใช้สูตรไหนในการคำนวณ เป็นผลให้ "นักคณิตศาสตร์การเมือง" ถกเถียงกันหน้าดำหน้าแดงว่าพรรคที่จะได้ ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อ ควรเป็นพรรคที่ได้คะแนนมหาชนเกินกว่าคะแนน "ส.ส. พึงมี" (ราว 71,057.498 คะแนน/1 ส.ส.) หรือควรให้ "ทุกคะแนนเสียงมีความหมาย" โดยนับรวมทุกพรรค-ปัดเศษให้ทุกคนตามเจตนารมณ์ของผู้ยกร่างรัฐธรรมนูญ วิธีคิดที่แตกต่าง ส่งผลต่อจำนวนพรรคการเมืองที่มีโอกาสมีที่นั่งในสภาฯ โดยพรรคที่เรียกตัวเองว่า "ฝ่ายประชาธิปไตย" ขีดเส้นไว้ที่ 16 พรรคที่มีคะแนนดิบเกิน 7.1 หมื่นคะแนน ขณะที่ฝ่ายตรงข้ามอนุญาตให้มี "พรรคจิ๋ว" หรือพรรคที่ได้คะแนนเสียงต่ำกว่าเกณฑ์มี "ส.ส. พึงมี" แต่เมื่อจับมาเข้า "สูตรพิสดาร" แล้วทำให้ได้ ส.ส. พรรคละคน จำนวน 11 พรรค เมื่อรวมแล้วจึงมีถึง 27 พรรคที่มีที่นั่งในสภาฯ 11 เม.ย. กกต. มีมติเอกฉันท์ให้ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าพรรคที่มีคะแนนเสียงต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในการมี ส.ส. ได้ 1 คน หากได้รับการจัดสรร ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อ 1 คน จะชอบด้วยรัฐธรรมนูญ มาตรา 91 หรือไม่ ล่าสุด (24 เม.ย.) ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์ไม่รับคำร้องของ กกต. เนื่องจากเห็นว่า กกต. ไม่สามารถยื่นคำร้องโดยตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญได้ และมีมติด้วยเสียงข้างมาก 7 ต่อ 2 ไม่รับวินิจฉัยสูตรคำนวน ส.ส.ปาร์ตี้สิสต์ เพราะเป็นหน้าที่ของ กกต. "ข้อเท็จจริงยังไม่ปรากฎว่า กกต. ได้ใช้อำนาจหน้าที่และอำนาจตามที่รัฐธรรมนูญและกฎหมายบัญญัติ กรณีนี้ยังถือไม่ได้ว่ามีปัญหาเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของ กกต. เกิดขึ้นแล้ว คำร้องดังกล่าวจึงไม่ต้องด้วยหลักเกณฑ์ตามรัฐธรรมนูญที่ศาลรัฐธรรมนูญจะรับไว้พิจารณาได้" ศาลรัฐธรรมนูญระบุในเอกสารข่าวแจก ท่ามกลางภาวะสับสนอลหม่านของคณิตศาสตร์การเมืองไทย ความชัดเจนเพียงเรื่องเดียวคือ พท. หมดสิทธิหิ้ว ส.ส. ปาร์ตี้ลิสต์เข้าสภาฯ แน่ ๆ เพราะได้ ส.ส. แบบแบ่งเขตเกินกว่ายอด "ส.ส. พึงมี" ไปแล้ว 3. "โหวตนี้ ไม่มีคะแนน" แต่ยังไร้ผู้รับผิดชอบ คนไทยในนิวซีแลนด์ระบายความคับแค้น-เสียใจออกมาอย่างไม่ปิดบัง หลังทราบว่าการออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งนอกราชอาณาจักรของพวกเขาต้อง "สูญเปล่า" เพราะบัตรเลือกตั้งจากกรุงเวลลิงตัน 1,542 ใบเดินทางมาถึงไม่ทันการนับคะแนน กลายเป็น "บัตรที่นำไปนับคะแนนไม่ได้" ตามมติ กกต. เมื่อ 26 มี.ค. ประธาน กกต. เห็น... "ความผิดพลาด" ที่เกิดขึ้นและสั่งตรวจสอบข้อเท็จจริง แต่สิ่งที่คนไทยยังไม่เห็น... คือใครคือผู้ต้องรับผิดชอบต่อการทำให้โหวตนี้ที่ประชาชนรอคอยมานาน ต้องกลายเป็น "โหวตที่ไม่มีคะแนน" 4. จัดเลือกตั้งใหม่-นับคะแนนใหม่ 8 จ. พบ "บัตรเขย่ง" สิ่งที่คนไทยเห็นและเป็นไป... คือคำสั่งนับคะแนนใหม่ 2 จังหวัด และจัดการเลือกตั้งใหม่ 6 จังหวัด รวม 254 หน่วยเลือกตั้ง ที่จำนวนบัตรเลือกตั้งที่ใช้ไปไม่ตรงกับยอดผู้มาแสดงตนขอใช้สิทธิ หรือที่เรียกว่า "บัตรเขย่ง" ตามมติ กกต. เมื่อ 3 เม.ย. และ 18 เม.ย. หน่วยที่ต้องนับคะแนนใหม่ หน่วยเลือกตั้งที่ต้องจัดการเลือกตั้งใหม่ แบ่งเป็น 2 ล็อต ทั้งหมดนี้ไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงตัวผู้แพ้-ชนะในเขตเลือกตั้ง เพราะคะแนนของอันดับ 1 กับ 2 ในเขต "บัตรเขย่ง" ทิ้งห่างกันตั้งแต่ "หลักพันถึงหลักหมื่น" ดังนั้นการจัดการเลือกตั้งใหม่เพียง 1-2 หน่วยในเขตเลือกตั้งนั้น ๆ ซึ่งมีคะแนน "หลักร้อย-หลักพัน" ต่อหน่วย จึงไม่อาจพลิกโฉมว่าที่ ส.ส. ได้ ยกเว้นใน จ. นครปฐม ซึ่งว่าที่ ส.ส. จากพรรคประชาธิปัตย์ เฉือนเอาชนะผู้สมัครจากพรรคอนาคตใหม่ที่ได้คะแนนเป็นอันดับ 2 เพียง 147 คะแนน ซึ่งต้องรอลุ้นผลการนับคะแนนใหม่ในวันอาทิตย์นี้ (28 เม.ย.) ท่ามกลางสารพัดคำสั่งจาก กกต. และการนิยามศัพท์การเมืองใหม่ ๆ จาก กกต. สิ่งที่คนไทยยังไม่มีโอกาสได้เห็น-ได้ฟัง... คือคผละแนนเลือกตั้งรายหน่วยทั้งประเทศ 5. "ใบส้ม" แรกของเพื่อไทย กับกระแสข่าวควัก "ใบส้ม" ให้ ธนาธร กกต. ประเดิมสั่งเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งไว้เป็นการชั่วคราว 1 ปี หรือที่เรียกว่า "แจกใบส้ม" แก่ สุรพล เกียรติไชยากร ว่าที่ ส.ส. เชียงใหม่ เขต 8 พท. หลังพบว่ามีพฤติการณ์ "สัญญาว่าจะให้เงินหรือทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด ไม่ว่าโดยตรง หรือโดยอ้อมแก่ชุมชน สมาคม มูลนิธิวัด สถานศึกษา สถานสงเคราะห์ หรือสถาบันอื่นใด" ผลจากมติ กกต. เมื่อ 23 เม.ย. ทำให้ต้องจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ในเขตนี้ โดยใช้บัญชีผู้สมัครเดิม ไม่ได้เปิดรับสมัครใหม่ นั่นหมายความว่าคะแนนเสียงของ พท. จะหายไปเฉย ๆ 52,165 คะแนน เพราะหมดสิทธิส่งผู้สมัครไปโดยปริยาย นอกจากนี้ทุกคะแนนเสียงที่เกิดขึ้นเมื่อ 24 มี.ค. จะถูก "ยกเลิก" ไม่นำไปคิดคำนวณหา ส.ส. บัญชีรายชื่อของพรรคต่าง ๆ นอกจากนี้ กกต. จะยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาเพื่อพิจารณาสั่งเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง (ใบดำ) หรือสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง (ใบแดง) ต่อไป และยังให้ดำเนินคดีอาญากับว่าที่ ส.ส. รายนี้ด้วย ปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ เปิดแถลงข่าวชี้แจงกรณีการถือหุ้นของหัวหน้าพรรค แทนเจ้าตัวที่อยู่ระหว่างเดินทางไปต่างประเทศ เมื่อ 22 มี.ค. หรือ 1 วันก่อน กกต. มีมติ อีกมติ กกต. ที่ออกมาวันเดียวกันคือ แจ้งข้อกล่าวหาต่อ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) และผู้สมัคร ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อ กรณีถือครองหุ้นในบริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด เข้าข่ายเป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส. ตามรัฐธรรมนูญ และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. กกต. ให้ ธนาธร ชี้แจงข้อกล่าวหาภายใน 7 วัน และยังไม่ตอบชัดเจนว่ากรณีนี้จะนำไปสู่การ "แจกใบส้ม" ให้หัวหน้า อนค. หรือไม่ แต่ถึงกระนั้นเจ้าตัวและฝ่ายกฎหมายของพรรคมั่นใจใน "ข้อเท็จจริง" และ "ข้อกฎหมาย" ว่าจะไม่ทำให้หัวหน้าพรรคต้องอดเข้าสภาฯ พร้อมลูกพรรค 6. "รัฐบาลเงา" และข่าวปล่อย "รัฐบาลแห่งชาติ" ถึงขณะนี้ยังไม่มีเค้าลางว่าการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่จะเกิดขึ้นเมื่อใด เพราะเมื่อแต่ละพรรคยังไม่รู้ "ยอดผู้แทนฯ สุทธิ" ของตนเอง การรวมเสียงประกาศจัดตั้งรัฐบาลจึงเป็นเพียงการเกาะกลุ่มกันแสดงเจตนารมณ์อย่างหลวม ๆ เท่านั้น 3 วันหลังเลือกตั้ง พรรคอันดับ 1 อย่างเพื่อไทยเป็น "หัวหอก" ประกาศจัดตั้งรัฐบาลผสม 7 พรรค "ล็อกเสียง" ได้เบื้องต้น 255 เสียง โดยอ้างถึงประเพณีการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่ให้ "พรรคที่ได้ฉันทานุมัติให้มีที่นั่งในสภาฯ สูงสุดได้จัดตั้งรัฐบาลก่อน" ทว่าสื่อบางสำนักเรียกปรากฏการณ์นี้ว่าการตั้ง "รัฐบาลเงา" เพราะยังไม่เห็นผลจริงในทางปฏิบัติ ต่างจากการเลือกตั้งครั้งก่อน ๆ ที่ได้รัฐบาลในคืนนั้นเลย 6 พรรคการเมืองที่เรียกตัวเองว่า "พรรคฝ่ายประชาธิปไตย" ลงสัตยาบันเพื่อหยุดยั้งการสืบทอดอำนาจของ คสช. และยืนยันว่ารวบรวมเสียงในสภาฯ ได้เกินกว่า 255 เสียงแล้วเมื่อ 27 มี.ค. เกือบทันทีทันใด พปชร. ชิงประกาศจัดตั้งรัฐบาลแข่ง โดยยกเหตุมีคะแนนมหาชนสูงสุด และประชาชน 7.9 ล้านเสียงที่โหวตให้พรรคก็เพื่อพา พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา กลับเข้าทำเนียบฯ อีกครั้ง คนไทยเห็น... แนวร่วมของ "2 ขั้วการเมือง" ที่กำลังชิงไหวชิงพริบ เดินเกมทั้งบนดิน-ใต้ดินเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจฝ่ายบริหาร โดยมีพรรคขนาดกลางและขนาดเล็กที่ขณะนี้ยังสงวนท่าที กลายเป็น "ผู้ชี้ขาดชัยชนะในการจัดตั้งรัฐบาล" คนไทยได้ฟัง... ข่าวลือ-ข่าวปล่อยเรื่อง "รัฐบาลแห่งชาติ" จากนักเลือกตั้งอาชีพ ทั้งที่เพิ่งผ่านการเลือกตั้งมาหยก ๆ หลังพบว่าคะแนนเสียงของพรรคอันดับ 1 และ 2 ก้ำกึ่งกันมาก และมีแนวโน้มเกิด "เงื่อนตายทางการเมือง" เพราะตั้งรัฐบาลไม่ได้ เทพไท เสนพงศ์ ว่าที่ ส.ส. นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ เสนอตั้งรัฐบาลแห่งชาติ มีวาระ 2 ปี พร้อมเปิดชื่อ "นายกฯ คนกลาง" มา 4 ชื่อ นั่นเท่ากับว่านายกฯ คนที่ 30 อาจไม่ได้อยู่ใน 64 รายชื่อแคนดิเดตนายกฯ ที่พรรคต่าง ๆ เปิดออกมาให้คนไทยได้เห็นและได้ใช้เป็นส่วนหนึ่งในการตัดสินใจในวันเข้าคูหา จาก "โหวตคว่ำชื่อกลางสภา" ถึง "ล่าชื่อถอดถอน" กกต. การเลือกตั้ง 24 มี.ค. 2562 เป็นการเลือกตั้งครั้งแรกในรอบ 8 ปีของคนไทย แต่ถึงขณะนี้ก็ยังไม่ชัดเจนว่าจะกลายเป็น "โมฆะ" หรือไม่ หลัง เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีตผู้สมัคร ส.ส .บัญชีรายชื่อ พรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) ยื่นคำร้องต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน ให้ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าการเลือกตั้งเป็นโมฆะหรือไม่ ผู้ตรวจฯ มีมติรับคำร้องไว้พิจารณาเมื่อ 17 เม.ย. และให้ กกต. ชี้แจงภายใน 7 วัน หรือภายใน 25 เม.ย. นี้ สำหรับ กกต. ชุดนี้มีจำนวน 7 คน กกต. ล็อตแรกจำนวน 5 คน เข้ารับหน้าที่เมื่อ 12 ส.ค. 2561 ภายหลังมีพระราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งประธานและกรรมการ กกต. ประกอบด้วย อิทธิพร บุญประคอง ประธาน, สันทัด ศิริอนันต์ไพบูลย์, ธวัชชัย เทอดเผ่าไทย, ฉัตรไชย จันทร์พรายศรี และ ปกรณ์ มหรรณพ ส่วนอีก 2 คนคือ เลิศวิโรจน์ โกวัฒนะ และ ฐิติเชฏฐ์ นุชนาฏ ตามมาสมทบเมื่อ 4 ธ.ค. 2561 ประธาน กกต. นำทีมสักการะสิ่งศักดิ์ประจำศูนย์ราชการ อาคารบี สถานที่ตั้งสำนักงาน กกต. ในโอกาสเข้ารับหน้าที่เมื่อปี 2561 กระบวนการสรรหา กกต. ชุดที่ 5 ใช้เวลาเกือบปี และมีผู้ได้รับการเสนอชื่อให้เป็น กกต. รวม 9 คนถูก "โหวตคว่ำชื่อ" กลางสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ในวันแรกของการเข้าทำงานที่สำนักงาน กกต. อิทธิพรถูกสื่อมวลชนตั้งคำถามว่าคิดว่าคณะกรรมการสรรหา และ คสช. มีความคาดหวังอย่างไรต่อ กกต. ชุดนี้ เขาใช้ลีลานักการทูตเก่าหลีกเลี่ยงการตอบคำถามนี้ตรง ๆ โดยให้เหตุผลว่าไม่อยู่ในฐานะจะตอบเรื่องความคาดหวังของคนอื่นได้ "แต่ผู้รับผิดชอบสรรหาและให้ความเห็นชอบ ก็ต้องตั้งใจมุ่งมั่นว่าจะได้คนที่เชื่อถือได้ว่าเมื่อมาทำงานจะเป็นกลาง ไม่เข้าข้างใคร ซื่อสัตย์ ยึดกฎหมายเป็นหลัก" อิทธิพรกล่าวเมื่อ 17 ส.ค. 2561 และยังเผย "คาถาในการทำงาน" ของ กกต. ชุดนี้คือ "เป็นกลาง กล้าหาญ กล้าตัดสินใจ ไม่อยู่ภายใต้การครอบงำใด ๆ" นักศึกษาและประชาชนร่วมกิจกรรมล่าชื่อเสนอถอดถอน กกต. ออกจากตำแหน่ง หน้าหอศิลปวัฒนธรรมกรุงเทพฯ อย่างไรก็ตามผลงานการจัดการเลือกตั้ง 24 มี.ค. กลับไม่เป็นไปตามความ "คาดหวัง" ของผู้คนในสังคมนัก หลายคน "คลางแคลงใจ" ในบทบาทของ 7 กกต. ถึงขั้นล่ารายชื่อเพื่อยื่นถอดถอนคณะกรรมการอิสระในองค์กรแห่งนี้ออกจากตำแหน่ง ประชาชนไม่น้อยกว่า 8 แสนคนร่วมลงรายมือชื่อผู้สนับสนุนการตรวจสอบการทำหน้าที่ของ กกต. ผ่านเว็บไซต์ Change.org ก่อนยื่นเรื่องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ดำเนินการตามกฎหมาย ประธาน กกต. พร้อมให้ข้อมูลแก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องหากถูกเรียกไปชี้แจง แต่ "ไม่อยากให้มองว่าการทำงานของ กกต. เป็นข้อผิดพลาด หรือเป็นความผิด" (14 เม.ย.) ขณะที่ ปกรณ์ มหรรณพ กรรมการ กกต. บอกว่า "ไม่เสียกำลังใจ" ในเมื่อสมัครใจมาเป็นบุคคลสาธารณะก็ต้องพร้อมต่อการตรวจสอบและวิพากษ์วิจารณ์ "การเรียกร้องให้ถอดถอนหรือลาออกเป็นสิทธิ เรารับฟัง แต่หน้าที่เราต้องทำให้สุจริตเที่ยงธรรม" (5 เม.ย.)
|
ภารกิจสำคัญของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ชุดที่ 5 คือการจัดการเลือกตั้งทั่วไปในขวบปีที่ 5 ของรัฐบาลคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ทว่าผ่านมา 1 เดือน หลังการเลือกตั้ง 24 มี.ค. 2562 ยังไม่มีพรรคการเมืองใดรู้แน่ชัดว่าจะได้จำนวนที่นั่งในสภาฯ เท่าไร และไม่รู้กระทั่งจะใช้สูตรไหนคำนวณหายอด ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อ หลังศาลรัฐธรรมนูญมีมติไม่รับตีความคำร้องของ กกต.
|
features-50485863
|
https://www.bbc.com/thai/features-50485863
|
ผิวหนังฉลามอาจช่วยต้านซูเปอร์บั๊ก
|
ผิวหนังฉลามมีเกล็ดนับล้านที่เรียกว่า "เดอร์มัลเดนทิเคิล" (dermal denticle) ที่มีลักษณะคล้ายฟันซี่เล็ก ๆ มีร่องยาวตลอดแนว ช่วยให้น้ำไหลผ่านไปได้โดยไม่ติดขัด โครงสร้างพิเศษนี้ยังทำให้ยากที่จะมีอะไรมาเกาะที่ผิวหนังได้ แม้แต่สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่สุด ซึ่งช่วยให้ฉลามสะอาดอย่างน่าทึ่ง นักวิทยาศาสตร์จึงนำลักษณะเด่นนี้ไปออกแบบวัสดุสังเคราะห์เลียนแบบผิวฉลาม เพื่อป้องกันสาหร่ายและเพรียงเกาะที่เรือเดินสมุทรซึ่งจะทำให้เรือแล่นช้าลง วัสดุดังกล่าวยังอาจมีประโยชน์ในโรงพยาบาล ที่การรักษาพื้นผิวต่าง ๆ ให้ปลอดเชื้อเป็นเรื่องท้าทายมาก โดยการเคลือบวัสดุนี้บริเวณที่มีการสัมผัสบ่อย เช่น ที่จับประตู อาจช่วยลดอัตราการติดเชื้อ และยับยั้งการแพร่ระบาดของเชื้อซูเปอร์บั๊กกลุ่ม MRSA ที่เป็นอันตรายได้
|
ฉลามเป็นสัตว์ที่อยู่คู่โลกมานานหลายล้านปี มันคือหนึ่งในสัตว์นักล่าที่เก่งกาจที่สุดของท้องทะเล เพราะมีประสาทสัมผัสที่เฉียบแหลมและร่างกายที่ปราดเปรียว นอกจากนี้ ผิวหนังของมันยังมีคุณสมบัติพิเศษที่มนุษย์อย่างเราสามารถเรียนรู้ และนำไปใช้พัฒนานวัตกรรมต่าง ๆ ได้ด้วย
|
international-46034110
|
https://www.bbc.com/thai/international-46034110
|
โบอิ้ง 747: จากเครื่องบินขนส่งทางทหาร กลายเป็นเครื่องบินโดยสารพลเรือน
|
วันที่ 30 ก.ย. 1968 ฝูงชนนับพันคนรวมตัวกันที่โรงงานแห่งใหม่ของโบอิ้งที่เมืองเอเวอเรตต์ ห่างจากเมืองซีแอตเทิลไปทางเหนือราว 30 ไมล์ (50 กม.) พวกเขามาที่นี่เพื่อชมเครื่องบินรุ่นใหม่ที่พลิกโฉมการออกแบบของโบอิ้ง ในทศวรรษ 1960 เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมครั้งใหญ่หลายครั้ง เช่น การแข่งกันส่งมนุษย์อวกาศขึ้นไปดวงจันทร์, ความวุ่นวายจากสงครามเวียดนาม และผลกระทบจากความตึงเครียดของสงครามเย็น ในชั่วเวลา 10 ปี การเดินทางทางอากาศได้ปรับเปลี่ยนจากการเดินทางของคนมีเงิน กลายเป็นการเดินทางที่คนทั่วไปใช้บริการได้มากขึ้น กุญแจสำคัญของการเปลี่ยนแปลงนั้นคือ เครื่องบินโดยสารรุ่นใหม่ที่มีขนาดใหญ่กว่า และเดินทางได้เร็วกว่าเครื่องบินรุ่นเก่าที่ขับเคลื่อนด้วยใบพัด เครื่องยนต์ไอพ่นที่ทรงพลังของมันทำให้มันบินได้สูงขึ้น จึงสามารถบินข้ามสภาพอากาศที่เลวร้าย แทนที่จะต้องบินอ้อม นั่นหมายความว่า การบินไปยังจุดหมายปลายทางที่ห่างไกลใช้เวลาน้อยลงกว่าที่เคยมาก ขณะนั้น เครื่องบินรุ่น 707 ของโบอิ้งเป็นพาหนะหลักของสายการบินต่าง ๆ ที่กำลังขยายตัวเพิ่มมากขึ้นอย่างไม่เคยเกิดขึ้นนับตั้งแต่กลางทศวรรษ 1950 และมีสายการบินคู่แข่งหลายราย ทั้งจากสหราชอาณาจักร, ฝรั่งเศส และสหภาพโซเวียต การมีเครื่องบินไอพ่นขนาดใหญ่ขึ้น สามารถบรรทุกผู้โดยสารได้มากขึ้น แต่สนามบินต่าง ๆ ก็ต้องขยายตัวตามไปด้วย เพื่อรองรับกับความต้องการที่เพิ่มขึ้น ที่มาของเครื่องบินรุ่นใหม่ของโบอิ้ง ไม่ได้มาจากตัวบริษัทเอง แต่มาจากลูกค้ารายหนึ่งของโบอิ้ง ฆวน ทริปป์ ประธานสายการบินแพน แอม (Pan Am) ที่มีเส้นทางบินครอบคลุมไปทั่วโลก สังเกตเห็นความแออัดที่เพิ่มขึ้นตามสนามบินต่าง ๆ ขณะที่จำนวนเที่ยวบินกำลังเพิ่มขึ้น แต่เครื่องบินเองยังคงบรรทุกผู้โดยสารได้จำนวนน้อยเท่านั้น เครื่องบินลำใหญ่ขึ้นจะช่วยให้สายการบินลดต้นทุนการดำเนินงานได้ ทริปป์ ได้ขอให้โบอิ้ง ออกแบบเครื่องบินที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง โดยมีขนาดเป็นสองเท่าของเครื่องบินโบอิ้ง 707 เครื่องบินโบอิ้ง 747 เกิดขึ้นจากการหาเครื่องบินขนส่งทางทหารขนาดใหญ่แบบใหม่ เครื่องบินที่โบอิ้งเปิดตัวในเมื่อเดือน ก.ย. ปี 1968 ได้กลายเป็นเครื่องบินระยะไกลที่น่าดึงดูดใจ มันสามารถพาคุณไปยังชายหาดที่สดใสซึ่งอยู่ห่างไปคนละทวีป มันยังช่วยให้สนามบินแห่งต่าง ๆ ปรับเปลี่ยนรูปร่างและขนาดด้วย นอกจากนี้ยังกลายเป็นเครื่องบินขนส่งสินค้าที่แข็งแกร่งของโลกโดยที่ไม่มีใครรู้อีกด้วย มันช่วยขนส่งสินค้าจำนวนมหาศาลไปทั่วโลกมาจนถึงทุกวันนี้ ขนาดที่ใหญ่โตมหึมาของมันทำให้ผู้คนเรียกมันว่า 'จัมโบ เจ็ต' (Jumbo Jet) แต่โบอิ้งเรียกมันว่า 747 *** แต่เรื่องราวของเครื่องบินโบอิ้ง 747 เริ่มมาจากสัญญาทางการทหารที่แทบไม่มีใครรู้ ในช่วงต้นทศวรรษ 1960 กองทัพอากาศสหรัฐฯ กำลังเริ่มรับมอบ ล็อกฮีด ซี-141 สตาร์ลิฟเตอร์ (Lockheed C-141 Starlifter) ซึ่งเป็นเครื่องบินไอพ่น 4 เครื่องยนต์ขนาดใหญ่ ถูกออกแบบมาให้บรรทุกสัมภาระได้ 27 ตัน ในการเดินทางราว 3,500 ไมล์ (5,600 กม.) แต่กองทัพอากาศต้องการเครื่องบินที่ใหญ่กว่านี้อีก มี.ค. 1964 กองทัพอากาศสหรัฐฯ จึงขอให้บรรดาผู้ผลิตเครื่องบินส่งแบบเครื่องบินแบบใหม่ โดยกำหนดว่า เครื่องบินใหม่นี้จะต้องสามารถบรรทุกสัมภาระได้ 52 ตัน เดินทางได้ 5,000 ไมล์ (8,000 กม.) หรือสามารถบรรทุกสัมภาระหนัก 81 ตันในภารกิจที่สั้นกว่า นอกจากนั้น เครื่องบินจะต้องมีห้องเก็บสัมภาระที่มีขนาดกว้าง 5.18 ม. สูง 4.1 ม. และยาว 30 ม. ซึ่งใหญ่พอที่จะขับรถถังเข้าไปได้อย่างสบาย โดยจะต้องมีทางลาดสำหรับขนสัมภาระทั้งด้านหน้าและด้านหลัง เพื่อให้สามารถขับยานพาหนะเข้าออกได้ทั้งสองด้าน โบอิ้ง ได้เสนอแบบเครื่องบินขนส่งขนาดยักษ์ไป พร้อมกับคู่แข่งอย่าง ดักลาส (Douglas), เจเนรัล-ไดนามิกส์ (General-Dynamics), ล็อกฮีด (Lockheed) และมาร์ติน-มารีเอตตา (Martin-Marietta) โดยแบบที่โบอิ้ง, ดักลาส และล็อกฮีด ยื่นไป ต่างได้รับเลือกให้นำไปศึกษาเพิ่มเติม และแต่ละรายต่างก็มีปัญหาใหญ่เรื่องเดียวกันนั่นก็คือ จะให้ห้องนักบินอยู่ตรงไหน เมื่อต้องมีประตูห้องเก็บสัมภาระอยู่ที่ด้านหน้าของเครื่องบิน แบบที่ดักลาสเสนอมีห้องอยู่ที่ด้านบนส่วนลำตัวของเครื่องบิน บริเวณหน้าปีก ขณะที่ของล็อกฮีดมีห้องนักบินและห้องสำหรับผู้โดยสารไปตามแนวด้านบนกลางลำเครื่อง ส่วนแบบของโบอิ้งมีส่วนผสมผสานของทั้งสองแบบนี้ และในเวลาต่อมากลายเป็นการตัดสินใจที่เฉียบแหลม แบบของล็อกฮีด ชนะการแข่งขันของกองทัพ (แบบที่ล็อกฮีดยื่น กลายเป็นเครื่องบิน ซี-5 กาแล็กซี ซึ่งเป็นเครื่องบินที่ใหญ่ที่สุดในโลกนาน 20 ปี) แต่แบบที่โบอิ้งยื่นกลายเป็นแรงบันดาลใจสำหรับเครื่องบินอีกแบบหนึ่งที่มีบทบาทแตกต่างกัน จมูกของเครื่องบินโบอิ้ง 747 เปิดได้เพื่อให้การขนถ่ายสินค้าทำได้อย่างรวดเร็วและสะดวก ในปี 1965 โจ ซัตเตอร์ วิศวกรของโบอิ้ง ซึ่งกำลังผลิตโบอิ้ง 737 เครื่องบินสำหรับพิสัยการบินสั้นแบบใหม่ ได้รับมอบหมายจากบิล อัลเลน ประธานของโบอิ้งให้รับผิดชอบโครงการใหม่นี้ นั่นก็คือเครื่องบินยักษ์ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากสัญญาทางการทหาร และความปรารถนาของฆวน ทริปป์ ที่ต้องการสร้างเครื่องบินโดยสารขนาดใหญ่ เพื่อแก้ปัญหาความแออัดที่สนามบิน ซัตเตอร์ และผลงานของทีมของเขาเริ่มขึ้นจากแบบของเครื่องบินที่เคยเสนอให้กับทหาร โดยได้มีการเก็บชั้นลอยด้านบน และประตูที่เปิดจากจมูกเครื่องไว้ และเครื่องยนต์ 'ไฮ-บายพาส' ที่พัฒนาขึ้นเพื่อเครื่องบินขนส่งทางทหาร (เครื่องยนต์ 'ไฮ-บายพาส' ช่วยทำให้อากาศไหลเวียนรอบใบพัดรวมถึงผ่านเครื่องยนต์ ทำให้เกิดแรงผลักเพิ่มขึ้นมากจากจำนวนเชื้อเพลิงที่ถูกเผาผลาญไป) จากการพูดคุยกับบริษัทที่สนใจซื้อ อย่างแพน แอม ซัตเตอร์ตระหนักว่า สายการบินต้องการเครื่องบินที่สามารถบรรทุกผู้โดยสารได้มากกว่า 190 คน ซึ่งเครื่องบินรุ่น 707 สามารถทำได้อยู่แล้วในขณะนั้น การทำให้แต่ละเที่ยวบินลดความแออัดลง และมีผู้โดยสารเพิ่มขึ้น ทำให้ต้นทุนต่อผู้โดยสารหนึ่งคนลดลง เครื่องบินไอพ่นลำที่ใหญ่ขึ้นก็จะมีต้นทุนที่ต่ำลงในการปฏิบัติงาน แต่ก็มีความซับซ้อนที่เพิ่มเข้ามา ไมก์ ลอมบาร์ดี นักประวัติศาสตร์ของโบอิ้งที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ กล่าวว่า ในช่วงนั้น โบอิ้ง กำลังทำโครงการที่มีความท้าทายมากกว่านั้นอีก "โบอิ้งกำลังสร้าง SST (Supersonic Transport -- การขนส่งเหนือเสียง) อยู่ด้วย ซึ่งจะแข่งขันกับคองคอร์ด (Concorde) ความคิดนี้ในช่วงนั้นคือเมื่อคองคอร์ด และ SST ให้บริการแล้ว ผู้คนก็คงจะอยากใช้บริการเครื่องบินทั้ง 2 แบบนี้ และคงไม่อยากจะนั่งเครื่องบินที่ช้ากว่าความเร็วเสียง "ซัตเตอร์ เข้าใจดีว่า วันหนึ่ง เครื่องบินเหล่านี้ จะต้องกลายเป็นเครื่องบินขนส่งสินค้า" นั่นหมายความว่า เครื่องบินขนาดจัมโบแบบใหม่ จะต้องรักษารูปแบบของเครื่องบินขนส่งสินค้าไว้ โดยห้องนักบินจะต้องอยู่เหนือห้องผู้โดยสาร เพราะการตระหนักว่า ระยะเวลาของการเป็นเครื่องบินโดยสารลดลงทุกขณะ ลอมบาร์ดี กล่าวว่า "การทำให้มั่นใจว่า 747 สามารถเป็นเครื่องบินขนส่งสินค้าที่ดี ส่งผลต่อการออกแบบอย่างมาก" การเข้าใจอย่างถ่องแท้ช่วยทำให้ 747 ประสบความสำเร็จ ด้านเครื่องบินโบอิ้ง SST ซึ่งรู้จักกันในชื่อ 2707 ไม่เคยถูกนำมาให้บริการสายการบิน เนื่องจาก ความกังวลด้านสิ่งแวดล้อมเกี่ยวกับเสียงที่เกิดจากโซนิกบูม และต้นทุนเชื้อเพลิงจำนวนมหาศาล เป็นสาเหตุที่ทำให้เครื่องบินดังกล่าวถูกยกเลิกไปตั้งแต่ก่อนที่จะได้ใช้บิน ก่อนที่โบอิ้งจะสร้าง 747 เสร็จ ทางบริษัทได้มีอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องทำ นั่นก็คือการสร้างโรงงานที่มีขนาดใหญ่พอสำหรับประกอบเครื่องบิน ขนาดของโบอิ้ง 747 ทำให้เครื่องบินลำอื่นดูเล็กลงถนัดตา จนกระทั่งเครื่องบินแอร์บัส เอ 380 เกิดขึ้น เครื่องบินโบอิ้ง 747 มีขนาดมหึมา มีความยาว 70.6 เมตร ตั้งแต่จมูกเครื่องไปจนถึงหางเครื่องบิน ส่วนความกว้างของปีกอยู่ที่ 59 เมตร ทำให้ไม่สามารถสร้างขึ้นในโรงประกอบที่โบอิ้งมีอยู่ในขณะนั้นได้ จึงต้องสร้างโรงงานประกอบเครื่องบินแห่งใหม่ ที่ใหญ่พอที่จะนำเครื่องบิน 747 ออกมาได้เมื่อประกอบเสร็จ "ไม่เพียงแค่พวกเขากำลังสร้างเครื่องบินลำใหญ่ที่สุดในโลกเท่านั้น แต่พวกเขากำลังสร้างอาคารที่ใหญ่ที่สุดในโลกเพื่อประกอบเครื่องบินด้วย" ลอมบาร์ดี กล่าว โรงงานที่เอเวอเรตต์ ยังคงเป็นอาคารปิดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกในปัจจุบัน ลอมบาร์ดี เล่าว่า การสร้างเครื่องบิน 747 เกิดขึ้นในยุคที่โบอิ้งกำลังพยายามขยายตัว ไม่เพียงต้องควบคุมโครงการสร้างเครื่องบิน 747 (และอาคารสำหรับประกอบเครื่องบิน) และโครงการเครื่องบิน SST ที่ล้มเหลวเท่านั้น แต่ยังอยู่ในช่วงกำลังสร้างเครื่องบิน 737 ที่มีพิสัยการบินระยะใกล้ถึงระยะกลาง และระบบต่าง ๆ ที่ใช้ในโครงการอวกาศอพอลโล แซตเทิร์น (Apollo Saturn space programme) และในช่วงเวลานี้ โบอิ้งใช้เงินจำนวนมาก การสนับสนุนโครงการ 747 ทำให้โบอิ้งต้องกู้เงินจากธนาคารไม่ต่ำกว่า 7 แห่ง ซัตเตอร์ ซึ่งกลายเป็นที่รู้จักในฐานะ 'บิดาแห่ง 747' ได้ต่อสู้เพื่อเก็บวิศวกรในทีมของเขาไว้ ไม่ให้ถูกย้ายไปทำงานในโครงการอื่น "การที่โบอิ้งทำอะไรหลายอย่าง ไม่เพียงแค่เงินทุนที่ขาดแคลน แต่ยังขาดแคลนคนที่มีความสามารถด้านวิศวกรรมด้วย" ลอมบาร์ดี กล่าว "วิศวกรเก่ง ๆ ทั้งหมด กำลังจะไปร่วมโครงการ SST โจ ซัตเตอร์ ต้องพยายามอย่างหนักในการหาวิศวกรรมมาทำงานในโครงการสร้าง 747" "ผมได้ยินเรื่องหนึ่งที่บอกว่า เขาเข้าร่วมการประชุมหนึ่งซึ่งเขาถูกขอให้ส่งวิศวกรให้แก่โครงการอื่นเพิ่มเติม" ลอมบาร์ดี เล่า "เขาพูดว่า: 'ถ้าเช่นนั้น ผมสร้างมัน [เครื่องบินโบอิ้ง 747] ให้ไม่ได้หรอก'" "เขายืนขึ้นแล้วบอกว่า 'ไม่' จากนั้นก็ออกไปจากการประชุม คิดว่าก็คงจะจบแค่นั้น เขาคงจะถูกไล่ออก แต่ บิล อัลเลน พูดกับเขาว่า 'ผมเคารพในสิ่งที่คุณทำต่อหน้าทุกคน'" ซัตเตอร์ได้ทำงานของเขาต่อไป ปัญหาอย่างหนึ่งที่สายการบินต่าง ๆ พบก็คือ เครื่องบินโบอิ้ง 747 มักจะมีขนาดใหญ่เกินกว่าโรงเก็บเครื่องบินที่ทางสายการบินมีอยู่ หลังจากสร้างเสร็จในเดือน ก.ย. 1968 ในช่วงที่โลกได้ยลโฉมเครื่องบินยักษ์เป็นครั้งแรก ช่วงเวลาสำคัญถัดมาคือเดือน ก.พ. 1969 แจ็ก วอเดลล์ และไบรน์ วีเกิล นักบินทดสอบ ได้นำเครื่องบิน 747 ขึ้นบินครั้งแรกจากโรงงานในเมืองเอเวอเรตต์ "มีเรื่องเล่าว่า ก่อนที่จะนำเครื่องขึ้นบินครั้งแรก บิล อัลเลน บอก แจ็ก วอเดลล์ ว่า 'ผมหวังว่า คุณคงรู้ว่าเราลงทุนไปกับมันมากแค่ไหน' ลอมบาร์ดี เล่า "ราวกับว่า ยังมีแรงกดดันไม่พอ!" เครื่องบินขนาดจัมโบของโบอิ้ง พิสูจน์ว่า มันบินได้ แต่ สายการบินต่าง ๆ ทั่วโลกจะซื้อมันไหม? แพน แอม คือลูกค้ารายใหญ่ โบอิ้งรับปากว่า จะส่งมอบเครื่องบินนี้ตามคำสั่งซื้อของทางสายการบินได้ภายในสิ้นปี 1969 เครื่องบินได้ถูกออกแบบและสร้างขึ้นในเวลาเพียง 28 เดือนเท่านั้น ขณะที่เวลาในการผลิตเครื่องบินโดยสารลำใหม่ปกติจะอยู่ที่ 42 เดือน การเร่งผลิตของโบอิ้ง ทำให้เครื่องบิน 747 ลำแรกถูกสร้างขึ้นที่โรงงานขนาดใหญ่ในเมืองเอเวอเรตต์ ก่อนที่หลังคาโรงงานจะแล้วเสร็จด้วยซ้ำ ส่วนสายการบินอื่น ตัดสินใจว่า อยากจะสั่งซื้อด้วย หนึ่งในนั้นคือ บริติช แอร์เวย์ส และหนุ่มวิศวกรซ่อมบำรุงที่ชื่อว่า สจ๊วต จอห์น ได้ถูกส่งไปที่เมืองซีแอตเทิล เพื่อตรวจสอบเครื่องบินลำใหม่นี้ จอห์น บอกกับ บีบีซี ฟิวเจอร์ว่า "ผมได้รับเชิญให้ไปที่ซีแอตเทิล ในช่วงที่มีการนำเครื่องบินตัวอย่างลำที่ 2 ซึ่งเป็นสีของ แพน แอม ขึ้นบิน" "เอเวอเรตต์ เพิ่งสร้างเสร็จ มีคนจาก บริติช แอร์เวย์ ไป 2 คน และมีอีกหลายคนมาจากหลายสายการบินทั้ง ลุฟต์ฮันซา, แควนตัส, อเมริกัน แอร์ไลน์ส และเดลต้า "เราทำความคุ้นเคยกันภายในชั้นเรียน ในวันศุกร์ มีข่าวลือในชั้นเรียนว่า 'พวกเขาจะบินลำที่ 2 วันนี้'" "เราทุกคนก็เลยออกไปกันที่ปลายรันเวย์ เราไม่อยากเชื่อว่า มันจะใหญ่ขนาดนั้น เมื่อมันขึ้นไปลอยอยู่เหนือคุณ มันน่าทึ่งมาก" มีการต่อต้านเครื่องบิน 747 ขึ้นในช่วงแรก โดยเฉพาะสายการบินบางแห่งของสหรัฐฯ เพราะขนาดที่ใหญ่โตมโหฬารของมัน มีความกังวลว่า สนามบินส่วนใหญ่จะไม่สามารถรองรับได้ แต่โบอิ้งเชื่อว่า สายการบินเหล่านั้นต้องบินข้ามมหาสมุทร เช่นเดียวกับที่ต้องบินจากนครนิวยอร์กไปยังกรุงลอนดอนและบินกลับ พวกเขาจะเห็นถึงข้อดีของการมีเครื่องบินขนาดใหญ่ ปัจจัยบวกที่สำคัญอีกหนึ่งอย่างคือ มันบรรทุกผู้โดยสารได้ 550 คน คิดเป็นเกือบ 4 เท่าของจำนวนที่เครื่องบิน 707 บรรทุกได้ เครื่องบินโบอิ้ง 747 ถูกสร้างขึ้นให้มีขนาดใหญ่เป็นสองเท่าของเครื่องบินโบอิ้ง 707 วันที่ 15 ม.ค. 1970 นางแพต นิกสัน สตรีหมายเลขหนึ่งของสหรัฐฯ ได้ทำพิธีเปิดตัวเครื่องบินโบอิ้ง 747-100 ลำแรกของแพน แอม (เป็นเครื่องบิน 747 ลำแรกที่ให้บริการ) อย่างเป็นทางการ และทางสายการบินใช้มันบินในอีก 1 สัปดาห์ต่อมา ในเส้นทางระหว่างนครนิวยอร์กและกรุงลอนดอน แต่เครื่องบินโบอิ้ง 747 ก็ยังไม่พ้นขีดอันตราย การใช้จ่ายเงินมหาศาลในโครงการนี้ของโบอิ้ง เกิดขึ้นในช่วงที่สหรัฐฯ เข้าสู่ภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจ ทำให้ทางบริษัทติดหนี้ธนาคาร 1.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 3.95 หมื่นล้านบาท ถือว่าสูงสุดในช่วงนั้น เครื่องบินโบอิ้ง 747 ไม่ได้มีราคาที่ถูก แต่ละลำมีมูลค่า 24 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 790 ล้านบาท ในสมัยนั้น หรือเทียบเท่ากับ 155 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 5.1 พันล้านบาท ในปี 2018 โบอิ้งขายเครื่องบิน 747 ได้เพียง 2 ลำในช่วงเวลา 1 ปีครึ่งนับจากเดือน ก.ย. 1970 สายการบินอื่น ๆ ที่ตัดสินใจซื้อเครื่องบินรุ่นนี้ไปอย่างรวดเร็ว ได้ขอเปลี่ยนเป็นเครื่องบินลำเล็กกว่าแทน เพราะว่า วิกฤตน้ำมันในปี 1973 ทำให้ราคาเชื้อเพลิงเพิ่มสูงขึ้น แม้แต่ บริติช แอร์เวย์ส สายการบินที่จะเป็นเจ้าของ 747 มากกว่าสายการบินอื่น ก็มีปัญหากับเครื่องบินรุ่นนี้เช่นกัน "เราสั่ง 3 ลำ จาก 20 ลำแรกที่สร้างขึ้น" จอห์น เล่า "ตอนแรกมีปัญหารุนแรงของเครื่องยนต์เกิดขึ้น ต่อมาก็มีประท้วงหยุดงานของนักบินบริติช แอร์เวย์ส พวกเขาต้องการเงินเพิ่มเมื่อต้องบินรุ่นนี้" "ตัวเครื่องบินจอดอยู่ตรงนั้น เราตัดสินใจให้แพน แอม เช่าเครื่องยนต์ของเครื่องบินเรา ส่วนเครื่องบินเราก็จอดอยู่ที่สนามบินโดยมีบล็อกคอนกรีตตั้งอยู่บนปีก รอเครื่องยนต์" หนึ่งในจุดขายของเครื่องบินลำนี้ที่บอกว่าจะทำให้ต้นทุนดำเนินงานลดลง เพราะมันบรรทุกผู้โดยสารได้มากกว่า ลูกค้ารายอื่นพบว่า มันเป็นความจริงก็ต่อเมื่อ มีผู้โดยสารเต็มทุกที่นั่ง เครื่องบิน 747 ที่บรรทุกผู้โดยสารเพียง 70% ของที่บรรทุกได้ทั้งหมด ก็ยังคงใช้เชื้อเพลิงมากเกือบเท่ากับการใช้เครื่องบินบรรทุกเต็มกำลัง แต่โบอิ้ง 747 ก้าวข้ามอุปสรรคเหล่านี้ได้ โบอิ้งจำเป็นต้องทำให้ 747 ประสบความสำเร็จ ทางบริษัทจึงปรับรูปแบบและรับฟังคำแนะนำจากสายการบินที่เป็นลูกค้า สายการบินเจแปน แอร์ไลน์ส ต้องการใช้โบอิ้ง 747 เป็นเครื่องบินเดินทางระยะสั้นที่สามารถบรรทุกผู้โดยสารได้สูงสุด 550 ที่นั่ง โบอิ้งก็เลยออกแบบ 747 เวอร์ชั่นที่สั้นลง เพื่อบรรทุกเชื้อเพลิงลดลงแต่บรรทุกสัมภาระได้มากขึ้น จากนั้นโบอิ้ง 747-200 ก็เกิดขึ้นตามมาในปี 1970 โดยมีเครื่องยนต์ที่ทรงพลังมากขึ้น และสามารถบรรทุกน้ำหนักสูงสุดขณะทะยานขึ้นได้เพิ่มขึ้นอย่างมาก แพน แอม ใช้เครื่องบินโบอิ้ง 747 ขึ้นบินครั้งแรกข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกในเดือน ม.ค. 1970 มีสายการบินต่าง ๆ สั่งซื้อเครื่องบินโบอิ้ง 747 เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยรูปลักษณ์ของโบอิ้ง 747 ที่นูนขึ้นบริเวณด้านบนของลำตัวเครื่องเป็นที่กล่าวขานถึงความหรูหราของการเดินทางระยะไกล ตลอดช่วงทศวรรษที่ 1970 และ 1980 ห้องโดยสารของ 747 กว้างขวาง และเครื่องบินมีบันไดวนเพื่อขึ้นไปยังชั้นบนได้ด้วย ในการดึงดูดคนให้มาใช้บริการเครื่องบินยักษ์นี้ สายการบินบางแห่งได้นำขนาดที่ใหญ่ของ 747 มาใช้ให้เป็นประโยชน์ ด้วยการเพิ่มเติมความหรูหราที่คาดไม่ถึงเข้าไป โดยเครื่องบิน 747 ของสายการบินอเมริกัน แอร์ไลน์ส มีบาร์เปียโนในชั้นประหยัดในช่วงทศวรรษ 1970 ส่วนของสายการบินคอนติเนนตัลมีห้องนั่งเล่นที่มีโซฟาหลายตัว โรเบิร์ต สกอตต์ เป็นหนึ่งในนักบินที่ขับเครื่องบินยักษ์นี้ "สายการบินของเขาเป็นหนึ่งในสายการบินแรก ๆ ที่นำเครื่องบิน 747 มาให้บริการ และเราตื่นเต้นมากที่จะได้ขับเครื่องบินที่ดีที่สุดและใหญ่ที่สุดในโลกในเวลานั้น" เขาเล่าให้บีบีซี ฟิวเจอร์ ฟัง "มันใหญ่โตมโหฬารมาก เหมือนกับอาคารชุดหนึ่งแท่ง ก่อนนี้ผมเคยบินให้กับกองบินฟลีต แอร์ อาร์ม ของกองทัพเรือ (Fleet Air Arm of the Royal Navy) ผมก็เลยคุ้นเคยกับเครื่องบินที่มีขนาดเล็กกว่า 747 มาก ผมเคยบินเครื่องบินพลเรือนแบบอื่น ก่อนที่จะได้ไปโบอิ้งเพื่อเรียนขับเครื่องบิน 747 แต่ก็ไม่มีอะไรใกล้เคียงเลยในเรื่องของขนาด" "แม้จะมีขนาดที่ใหญ่โต ผมก็ดีใจที่จะได้ขับมัน คนที่เข้าใกล้คงมีความรู้สึกหวาดหวั่นไม่มากก็น้อย จากมุมมองของคนที่ต้องขับมัน ผมคาดว่ามันคงไม่ใช่แค่หน้าตาเหมือนกับอาคารชุดหนึ่งแท่ง แต่มันยังเหมือนกับ อาคารชุดหนึ่งแท่งที่บินได้ด้วย มันจึงน่าประหลาดใจมากที่พบว่า มันควบคุมได้เหมือนกับเครื่องบินขนาดที่เล็กกว่า และคล่องตัวมาก มีแค่ตอนที่จอดอยู่บนพื้นดินเท่านั้น ที่เราจะรับรู้ถึงขนาดที่ใหญ่ของมัน และการที่จำเป็นต้องใช้ความระมัดระวัง โดยเฉพาะในที่ที่มีพื้นที่จำกัด" สายการบินหลายแห่งสั่งซื้อโบอิ้ง 747 อย่างต่อเนื่อง และสนามบินหลายแห่งก็ได้เพิ่มความยาวของทางขึ้นลงเครื่องบิน และเพิ่มขนาดของอาคารผู้โดยสารเพื่อรับรองเครื่องบิน 747 ส่วนโบอิ้งก็ยังคงปรับรูปลักษณ์ของมันพร้อมไปกับการพัฒนาเทคโนโลยี ช่วงกลางทศวรรษ 1980 สจ๊วต จอห์น ได้ออกจากบริติช แอร์เวย์ส ไปทำงานให้กับคาเธ่ย์ แปซิฟิค ในฮ่องกง "ในปี 1986 ผมเริ่มพูดคุยกับโบอิ้ง เกี่ยวกับว่า พวกเขาจะปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์ขนานใหญ่ได้หรือไม่" "ในฮ่องกง เราได้ใช้งานรุ่น 200 อย่างเต็มขีดจำกัดแล้วในแง่ของพิสัยการบิน เราบินจากฮ่องกงไปแวนคูเวอร์, แวนคูเวอร์มาฮ่องกง ตอนขากลับเราใช้เวลาเพิ่มขึ้นราว 1 ชั่วโมงครึ่ง เพราะลมประจำปี เส้นทางที่ยากคือจากแถบเวสต์โคสต์ของอเมริกากลับมายังเอเชียตะวันออก" "คาเธ่ย์ มีเส้นทางบินที่ยาวที่สุดในโลก โบอิ้งจึงส่งทีมงานมาพูดคุยเพื่อดูว่าต้องทำอะไรบ้าง พวกเขาได้แนวคิดสร้าง 747-400 และเราก็เป็นลูกค้ารายแรกที่ได้ใช้เครื่องบินโบอิ้งรุ่นที่ใช้เครื่องยนต์โรลส์รอยซ์ เครื่องบิน 747-400 เป็นก้าวที่สำคัญอีกก้าวของโบอิ้ง สายการบินบางแห่งเรียกมันว่า "พิสัยไกล" (Longreach) ที่ขีดความสามารถสูงสุด มันบินได้ไกล 7,600 ไมล์ (14,200 กม.) โดยไม่ต้องหยุดพัก มันทำเช่นนี้ได้ส่วนหนึ่งเป็นเพราะมีการเพิ่ม 'ปีกเล็ก' ที่ปลายของปีกแต่ละข้าง ซึ่งช่วยพัฒนาอากาศพลศาสตร์ หมายความว่า เครื่องบินใช้เชื้อเพลิงต่อไมล์ลดลงเล็กน้อย ถ้าสายการบินต้องการ มันสามารถรองรับผู้โดยสารได้ 660 คนในชั้นประหยัด เครื่องบิน 747-400 บินครั้งแรกในปี 1988 ถือเป็นความสำเร็จครั้งใหญ่ ขายได้เกือบ 700 ลำ และหลายลำยังคงมีการใช้งานอยู่ในปัจจุบัน "ห้องนักบินและระบบได้รับการออกแบบใหม่ ทำให้ไม่จำเป็นต้องมีวิศวกรประจำเที่ยวบินอีกต่อไป" สกอตต์ เล่า "ไม่ใช่แค่ช่วยประหยัดเงินจากต้นทุนค่าจ้างลูกเรือที่ลดลงเท่านั้น แต่นี่ยังแสดงให้เห็นว่า เทคโนโลยีกำลังปรับเปลี่ยนอนาคตของรูปลักษณ์ของเครื่องบินอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน" การปรับเปลี่ยนเพิ่มเติมกับเครื่องบินโบอิ้ง 747 เกิดขึ้นในปี 2005 โดยมีการเปิดตัว 747-8 ตอนนี้ ลางสังหรณ์ของซัตเตอร์ที่ว่า วันหนึ่ง จำเป็นต้องมีเครื่องบินที่ขนส่งสินค้าได้กลายเป็นจริงแล้ว โบอิ้งได้เสนอรุ่น 800 เป็นเครื่องบินขนส่งสินค้าตั้งแต่แรก โดยบริษัทที่ให้บริการขนส่งสินค้าไม่ต้องไปรื้อห้องโดยสารบนเครื่องบินที่เลิกให้บริการเป็นเครื่องบินโดยสารออก แต่ในปี 2005 เครื่องบิน 'จัมโบ เจ็ต' นี้ ก็ไม่ได้ยิ่งใหญ่สมชื่ออีกต่อไป แอร์บัส บริษัทยุโรป คู่แข่งของโบอิ้ง ได้ออกแบบเครื่องบินขนาดใหญ่ของตัวเองคือ เอ 380 สามารถบรรทุกผู้โดยสารได้ 853 คน เช่นเดียวกับที่ 747 เคยเผชิญก่อนหน้านี้ ขนาดที่ใหญ่ของมัน ทำให้สนามบินต่าง ๆ ต้องมีการปรับเปลี่ยนเพื่อรองรับการใช้งาน เครื่องบิน 747 น่าจะยังให้บริการได้ต่อไปในช่วงหลายทศวรรษข้างหน้า แต่ตลาดการบินได้เปลี่ยนแปลงไปมาก นับตั้งแต่มีการออกแบบเครื่องบิน 747 ย้อนกลับไปตอนนั้น ไม่มีเครื่องบินเครื่องยนต์แฝดได้รับอนุญาตให้บินห่างจากสนามบินเกินกว่าระยะเวลาที่จะบินไปถึงสนามบินใน 60 นาที เพราะต้องเผื่อกรณีเกิดปัญหาขึ้นกับเครื่องยนต์ ปัจจุบัน เครื่องบินหลายแบบอย่าง โบอิ้ง 777 และ 787 สามารถบินได้ห่างจากนามบินที่ใกล้เคียงที่สุดได้ในระยะนานที่สุด 5 ชั่วโมง ซึ่งหมายความว่า สามารถบินข้ามมหาสมุทรที่กว้างใหญ่อย่าง แอตแลนติก และแปซิฟิก ได้ การเดินทางทางอากาศกำลังเปลี่ยนแปลงไปเช่นกัน การเกิดขึ้นของ โบอิ้ง 747 และแอร์บัส เอ 380 นำไปสู่การมีสนามบินที่เป็นศูนย์กลางขนาดใหญ่ ซึ่งเครื่องบินขนาดจัมโบสามารถบินไปมาได้ ผู้โดยสารที่ใช้สนามบินที่เล็กกว่า ก็จะต้องนั่งเที่ยวบินที่มีเครื่องบินลำเล็กกว่ามาก มันได้ทำให้เกิดการปรับเปลี่ยนเป็นระบบ 'ฮับ-แอนด์-สโปก' (hub and spoke) ในช่วงกว่า 40 ปีที่ผ่านมา ซึ่งหมายถึงระบบขนส่งทางอากาศที่สนามบินในพื้นที่ให้บริการเที่ยวบินพาผู้โดยสารไปยังสนามบินส่วนกลาง ที่มีเที่ยวบินระยะไกลและเที่ยวบินต่างประเทศ แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา สิ่งต่าง ๆ ได้เปลี่ยนแปลงไป เครื่องบินสองเครื่องยนต์ที่มีขนาดเล็กลงสามารถบินได้ไกลขึ้นมาก และเพราะพวกมันใช้แค่ 2 เครื่องยนต์ จึงมีราคาถูกกว่าสำหรับสายการบินในการซื้อมาใช้งาน ดังนั้น จุดหมายปลายทางจึงมีความหลากหลายมากขึ้น เที่ยวบินระยะไกลที่ไม่หยุดพักจากหลากหลายจุดหมายปลายทาง อย่างเช่น ลอนดอน-แนชวิลล์ ระยะทางประมาณ 4,200 ไมล์ (6,720 กม.) จึงใช้เครื่องบินสองเครื่องยนต์ได้ แล้วทันใดนั้น เครื่องบินขนาดยักษ์ที่บินจากสนามบินหนึ่งไปยังสนามบินหนึ่ง ก็ดูหมือนจะเสียเปรียบไปในทันที แอร์บัส ได้เริ่มหาผลกระทบที่จะมีต่อสายการผลิต นอกเหนือจากคำสั่งซื้อแอร์บัส เอ 380 จำนวน 20 ลำ จากสายการบินเอมิเรตส์ ในเดือน ม.ค. 2018 แอร์บัสก็ไม่ได้ขายเครื่องบินยักษ์รุ่นนี้ให้กับใครมานานกว่า 2 ปีแล้ว และสายการบินบางแห่งที่ซื้อไปแล้วก็กำลังยกเลิกคำสั่งซื้อ ข้อดีของ 747 คือ มันเป็นเครื่องบินที่สามารถเปลี่ยนไปเป็นเครื่องบินขนส่งสินค้าได้ค่อนข้างง่าย "คุณสามารถบรรทุกผู้โดยสาร และถ้าไม่มีผู้โดยสารก็บรรทุกสินค้าได้ และถ้าไม่มีทั้งผู้โดยสารและสินค้า ก็บรรทุกเชื้อเพลิงได้" จอห์น กล่าว "แล้ว เอ 380 ล่ะ? คุณบรรทุกสินค้าไม่ได้" สายการผลิตโบอิ้ง 747 จะยังทำงานต่อไป แต่ในช่วงก่อนปี 2020 เครื่องบิน 747 ส่วนใหญ่ที่ถูกสร้าง จะเป็นรูปแบบเครื่องบินขนส่งสินค้า หรือเครื่องบินโดยสารส่วนตัวของเจ้าหน้าที่รัฐบาล และมหาเศรษฐี ในช่วงที่ใกล้ถึงวาระสุดท้ายของการสร้างเครื่องบินขนาดยักษ์นี้มานานกว่า 50 ปี แผนการในช่วง 2 ทศวรรษข้างหน้าของทางโบอิ้งไม่ได้ระบุถึงเครื่องบินรุ่นใดที่มีขนาดใกล้เคียงกับโบอิ้ง 747 เลย หากนับถึงปี 2018 มีการส่งมอบเครื่องบินโบอิ้ง 747 แล้ว 1,500 ลำ "ขณะที่บางคนอาจรู้สึกอาลัยอาวรณ์ถึงบาร์และเปียโนขนาดใหญ่ที่สร้างความสง่างามให้แก่โบอิ้ง 747 โดยเฉพาะในยุคแรก ๆ ปัจจัยทางเศรษฐกิจได้เป็นตัวกำหนดรูปร่างและขนาดของสิ่งต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นต่อไป" โรเบิร์ต สกอตต์ กล่าว "พวกเราซึ่งต่างมี 747 อยู่ในหัวใจ ก็คงจะต้องกล่าวคำอำลากับเครื่องบินที่กำหนดมาตรฐานต่าง ๆ ขึ้น ที่ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้เมื่อหนึ่งชั่วอายุคนที่แล้ว" แต่การสร้างเครื่องบินลำนี้ขึ้นมาของซัตเตอร์ก็จะยังคงมีความสำคัญของสนามบินต่าง ๆ ทั่วโลกต่อไป และทุกครั้งที่ ไมก์ ลอมบาร์ดี มองเห็นมัน เขาก็จะนึกถึงคนที่ออกแบบมันขึ้นมา ซึ่งมีความแน่วแน่ในการทำให้เครื่องบินโบอิ้ง 747 บินขึ้นสู่ท้องฟ้าให้ได้ "เมื่อ 2-3 ปีก่อน ผมกำลังจะบินจากซีแอตเทิลไปลอนดอน ก่อนที่ผมจะเริ่มบิน โจ ซัตเตอร์ ก็จากไป โจ เป็นเหมือนคุณลุงใจดี เขาคอยปกป้องผม ผมเห็นเครื่องบิน 747 เคลื่อนเข้ามาทางผม แล้วผมก็นึกถึงโจ มันช่วงเวลาที่สะเทือนอารมณ์มาก" ลอมบาร์ดี เล่าว่า เครื่องบินโบอิ้ง 747 ที่เหลืออยู่ ซึ่งมีการใช้เพื่อการขนส่งสินค้าเพิ่มมากขึ้นกว่าการบรรทุกผู้โดยสาร จะยังคงให้บริการต่อไปอีกนานหลายปี คนรุ่นต่อไปจะยังคงได้เล่าถึงความทรงจำในวัยเด็ก ขณะกำลังจ้องมองเครื่องบิน 747 ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า และสงสัยว่า มันลอยอยู่เหนือท้องฟ้าได้อย่างไร "ต่อให้คุณเข้าใจศาสตร์ทุกด้านของเครื่องบิน ผมก็ยังคิดว่า มันมีความมหัศจรรย์เล็ก ๆ อยู่เหมือนกัน"
|
โบอิ้ง 747 กลายเป็นสัญลักษณ์ของการเดินทางระยะไกล และวันหยุดที่แสนพิเศษ สามารถบรรทุกผู้โดยสารได้มากกว่าเครื่องบินทุกแบบก่อนหน้านี้ สตีเฟน ดาวลิง พาไปย้อนดูประวัติศาสตร์ 50 ปีของเครื่องบินรุ่นนี้ นับตั้งแต่เปิดตัวเป็นครั้งแรก
|
thailand-56658376
|
https://www.bbc.com/thai/thailand-56658376
|
ศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมต.คนแรกที่ติดโควิด คาดคนใกล้ชิดติดจาก "คลัสเตอร์สถานบันเทิง"
|
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ (ขวา) เลขาธิการพรรคภูมิใจไทยร่วมงานวันเกิดพรรคเมื่อวันที่ 6 เม.ย. เพียงหนึ่งวันก่อนทีผลการตรวจจะยืนยันว่าเขาติดโควิด-19 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ที่ทำเนียบรัฐบาลว่าเขาได้รับรายงานเรื่องนายศักดิ์สยามติดโรคโควิด-19 แล้ว โดยกล่าวสั้น ๆ ว่า "ก็รักษาพยาบาลกันไป ก็เหมือนประชาชนทุกคน" ทั้งนี้ยังไม่มีความแน่ชัดว่านายศักดิ์สยามติดเชื้อไวรัสโคโรนาจากที่ใด แต่เขาให้สัมภาษณ์สื่อว่ามีทีมงานหน้าห้องติดโควิด-19 จากกลุ่มก้อนสถานบันเทิงย่านทองหล่อ พร้อมกับปฏิเสธว่าเขาไม่ได้ติดจากการไปเที่ยวสถานบันเทิงกลางคืนตามที่มีการส่งข้อมูลกันในโซเชียลมีเดีย การติดโรคโควิด-19 ของนายศักดิ์สยาม ซึ่งเป็นเลขาธิการพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ส่งผลให้ ส.ส. และสมาชิกพรรคภูมิใจไทยจำนวนมากต้องกักตัวและลาการประชุมรัฐสภาในวันนี้ เนื่องจากเมื่อวานนี้ (6 เม.ย.) นายศักดิ์สยามได้ร่วมงานทำบุญขึ้นปีที่ 13 ของพรรคภูมิใจไทย นอกจากนี้ยังมีผู้ร่วมงานหลายคน รวมทั้งสมเด็จพระวันรัต เจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศราชวรวิหารและพระสงฆ์อีก 8 รูปที่รับนิมนต์ไปประกอบพิธีทางศาสนา รวมทั้งนักการเมืองจากพรรคอื่น ๆ ตกเป็นผู้เสี่ยงสัมผัสที่มีโอกาสติดเชื้อและต้องกักตัวด้วย รัฐมนตรีที่เข้าร่วมงานวันเกิดพรรคภูมิใจไทยนอกจากนายศักดิ์สยามแล้วยังมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.สาธารณสุข, นายทรงศักดิ์ ทองศรี รมช. มหาดไทย, นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว. การท่องเที่ยวและกีฬา, นางกนกวรรณ วิลาวัลย์ รมว.ศึกษาธิการ, นายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล รมช. คมนาคม เปิดประวัติศักดิ์สยาม อายุ: 58 ปี การศึกษา: ป.ตรี รัฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ป.โท รัฐศาสตร์ จากสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ การงาน: เคยรับราชการในตำแหน่งปลัดอำเภอ สังกัดกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ก่อนผันตัวเข้าสู่การเมืองในฐานะ ส.ส. บุรีรัมย์ สังกัดพรรคชาติไทย, ทรท. ก่อนถูกตัดสิทธิทางการเมือง 5 ปี เนื่องจากเป็นกรรมการบริหารพรรคที่ถูกยุบ แม้ยังไม่พ้นโทษแบนการเมือง แต่เขาได้รับแต่งตั้งให้เป็นประธานคณะทำงาน รมว. มหาดไทย (พล.ต.อ. โกวิท วัฒนะ, นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล) จนถูกมองว่าเป็น "ผู้มีบารมีในกระทรวงมหาดไทย" 2555 หลังพ้นกำหนดถูกตัดสิทธิ เข้าสมัครเป็นสมาชิกพรรคภูมิใจไทย (ภท.) และได้รับเลือกตั้งเป็นเลขาธิการพรรค ภาพลักษณ์/ภาพจำ: เสี่ยโอ๋ (ชื่อเล่น), น้องเนวิน ศบค. ยอมรับ "คลัสเตอร์สถานบันเทิง" น่าห่วง นายศักดิ์สยามติดเชื้อโรคโควิดในช่วงเวลาเดียวกับที่มีการระบาดในสถานบันเทิงในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ซึ่งนายศักดิ์สยามระบุว่าคนใกล้ชิดของเขาก็เป็นหนึ่งในผู้ที่ติดเชื้อจากกลุ่มก้อนนี้เช่นกัน ช่วงสายวันนี้ ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) รายงานว่าจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 จากสถานบันเทิงในกรุงเทพฯ และปริมณฑลหรือ "คลัสเตอร์สถานบันเทิง" เพิ่มขึ้นเป็นเกือบ 300 ราย ในระยะเวลา 15 วัน กระจายตัวอยู่ในเกือบ 20 จังหวัด ขณะที่ผู้ติดเชื้อรายใหม่ทั่วประเทศในรอบ 24 ชั่วโมงที่ผ่านมาอยู่ที่ 334 ราย ในจำนวนนี้เป็นผู้ป่วยในกรุงเทพฯ กว่า 200 ราย การเพิ่มขึ้นของผู้ติดเชื้อโรคโควิด-19 รายใหม่และผู้เสี่ยงสัมผัสส่งผลให้มีรัฐมนตรีและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวนมากลาการประชุมคณะรัฐมนตรีและการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อกักตัว เนื่องจากเป็นผู้เสี่ยงสัมผัสผู้ติดเชื้อ เจ้าหน้าที่สาธารณสุขนั่งพักระหว่างลงพื้นที่สอบสวนโรคที่สถานบันเทิงแห่งหนึ่ง สำหรับการประชุม ครม. มีรัฐมนตรีลาการประชุม 10 คน นอกจากนายศักดิ์สยามแล้วยังมีนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.เกษตรและสหกรณ์ เสี่ยงสัมผัสผู้ติดเชื้อในงานวันเกิดพรรคภูมิใจไทย, น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รมว. ศึกษาธิการ กักตัวหลังจากทราบว่าผู้เข้าร่วมแสดงความยินดีในโอกาสรับตำแหน่งติดเชื้อ ซึ่งส่งผลให้นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ และคุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รมช. ศึกษาธิการ ซึ่งทำงานร่วมกับ น.ส.ตรีนุช ต้องกักตัวด้วย ขณะที่รัฐสภา ซึ่งมีกำหนดการประชุมร่วมกันของรัฐสภาในวันนี้ ปรากฏว่ามี ส.ส. ลาประชุมถึง 68 คน เกือบทั้งหมดเป็น ส.ส. พรรคภูมิใจไทย ที่เหลือเป็น ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ 7 คน ที่ไปร่วมงานวันเกิดพรรคภูมิใจไทย พญ.อภิสมัย ศรีรังสรรค์ ผู้ช่วยโฆษก ศบค. กล่าวว่าอัตราการการติดเชื้อในขณะนี้อยู่ในระดับที่สูงเทียบเท่ากับในช่วงที่มีการระบาดในตลาดบางแคช่วงกลางเดือน มี.ค. ย้อนจุดเริ่มต้น "คลัสเตอร์สถานบันเทิง" จุดเริ่มต้นของการระบาดจากสถานบันเทิงในกรุงเทพฯ และปริมณฑลครั้งนี้ จากการสืบสวนไทม์ไลน์การติดเชื้อของกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) พบว่าเริ่มจากกลุ่มนักศึกษาซึ่งไปเที่ยวในผับชมดาว พร่างพราว ณ ก้ำกึ่ง รังสิต จ.ปทุมธานี เมื่อวันที่ 16 มี.ค. ก่อนที่จะพบการติดเชื้อ 6 ราย ซึ่งในช่วงระหว่างนั้นก็มีนักศึกษาที่ไปในผับดังกล่าว ไปเที่ยวต่อในร้านใกล้เคียงและมีการติดเชื้อตามมา รวมไปถึงมีการไปใช้บริการต่อใน จ.นนทบุรี และนครปฐม ซึ่งนอกจากนักศึกษากลุ่มนักร้อง นักดนตรี และครอบครัวก็เป็นอีกกลุ่มที่นำไปสู่การติดเชื้อต่อเนื่อง อีกกลุ่มหนึ่งคือสถานบันเทิงย่านทองหล่อ ที่พบผู้ติดเชื้อรายแรก เป็นนักธุรกิจที่ไปเที่ยว ผับ คริสตัล ทองหล่อ25 พร้อมกับเพื่อนเมื่อวันที่ 25 มี.ค. ก่อนที่จะยืนยันการติดเชื้อ ซึ่งมีประวัติไปเที่ยวต่อย่านรัชดาและพระราม 9 นอกจากนี้ยังมีนักเที่ยวอีกกลุ่มหนึ่งติดโควิด-19 และมีประวัติไปเที่ยวสถานบันเทิงย่านทองหล่อด้วยเช่นกันหลังไปเที่ยวยังคงใกล้ชิดกับเพื่อน ครอบครัว และเพื่อนที่ทำงาน สถานบันเทิงใน จ.นครปฐม เป็นอีกจุดหนึ่งที่พบการระบาด การสืบสวนพบผู้ติดเชื้อรายแรกเป็นนักร้อง เมื่อวันที่ 16 มี.ค. เป็นเหตุให้มีเพื่อนร่วมงานและคนในครอบครัวติดเชื้อด้วย ผู้ติดเชื้อสะสมคลัสเตอร์สถานบันเทิงใกล้แตะ 300 ราย ผู้ช่วยโฆษก ศบค. กล่าวว่าผู้ติดเชื้อจากกลุ่มก้อนสถานบันเทิงในกรุงเทพฯ และปริมณฑลอาจจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากผู้เสี่ยงสัมผัสมีการกระจายไปยังหลายพื้นที่ เนื่องจากพฤติกรรมของนักเที่ยวและนักดนตรีที่มักจะเดินทางไปยังสถานบันเทิงหลายแห่ง รวมถึงการแพร่เชื้อสู่คนในครอบครัว ซึ่งเจ้าหน้าที่กำลังเร่งทำการค้นหาเชิงรุกผู้เสี่ยงสัมผัส ซึ่งขณะนี้ติดตามได้กว่า 6,000 รายแล้ว สำหรับการติดเชื้อที่สถานบันเทิงนั้นได้รับการยืนยันช่วงวันที่ 22 มี.ค. จนถึงวันที่ 6 เม.ย. พบผู้ติดเชื้อสะสมในกลุ่มก้อนหรือคลัสเตอร์นี้ทั้งหมด 291 รายทั่วประเทศ ส่วนใหญ่คือราว 200 คนอยู่ในกรุงเทพฯ 200 ราย ที่กระจายอยู่ใน จ.ชลบุรี สมุทรปราการ สุพรรณบุรี นนทบุรี นครปฐม ปทุมธานี เชียงใหม่ ชุมพร สมุทรสาคร เลย กาญจนบุรี ตาก ลพบุรี สระแก้ว ล่าสุดทีมสอบสวนโรคยังพบผู้ติดป่วยโควิด-19 ที่เชื่อมโยงกับสถานบันเทิงในกรุงเทพฯ ที่ จ.ยโสธร เพชรบูรณ์ และเชียงราย เพิ่มเติมอีกด้วย ขณะนี้กรุงเทพมหานครร่วมกับตำรวจนครบาล ได้ออกคำสั่งปิดสถานบันเทิงชั่วคราวใน 3 เขต คือ เขตวัฒนา เขตคลองเตย และเขตบางแค ตั้งแต่ 6-19 เม.ย. และเพิ่มความเข้มข้นในการกำกับดูแลสถานที่บันเทิง เจ้าหน้าที่ฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้ประชาชนย่านบางแค การติดเชื้อของ "คลัสเตอร์สถานบันเทิง" เป็นการติดเชื้อไวรัสโคโรนากลุ่มก้อนใหญ่ครั้งที่ 2 ในรอบไม่ถึง 1 เดือนหลังจากการระบาดที่ตลาดบางแคเมื่อกลางเดือน มี.ค. ทั้งนี้เมื่อวันที่ 5 เม.ย. กรมควบคุมโรคแจ้งเตือนประชาชนที่เดินทางไปที่ผับและบาร์ 7 แห่งในช่วงเดือน มี.ค. ให้เข้ารับการตรวจเชื้อโควิด-19 ที่โรงพยาบาลของรัฐทันที ได้แก่ พบไวรัสโคโรนาสายพันธุ์อังกฤษ " B117" ในผู้ติดเชื้อกลุ่มสถานบันเทิงทองหล่อ ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง ด้านไวรัสวิทยาคลินิก กล่าวในการแถลงข่าวที่ สธ. ช่วงบ่ายวันนี้ว่า นับตั้งแต่การระบาดระลอกใหม่ซึ่งเริ่มต้นขึ้นที่ จ.สมุทรสาคร เมื่อกลางเดือน ธ.ค. 2563 ต่อมาจนถึงการระบาดซ้อนระลอกใหม่ในกรุงเทพฯ ตั้งแต่กลางเดือน มี.ค. ทีมผู้เชี่ยวชาญตั้งข้อสงสัยว่าเหตุใดไวรัสจึงแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว ทั้งยังพบผู้ป่วยในลักษณะ "super spreader" ซึ่งพบได้ง่ายในพื้นที่ปิด นพ.ยงกล่าวว่า แพทย์ได้ทำการตรวจปริมาณไวรัสในคอผู้ป่วยและพบว่ามีปริมาณไวรัสสูงมากถึงแม้ไม่มีอาการ จึงรีบทำการตรวจจำเพาะสายพันธุ์และพบว่าผู้ป่วย 24 รายจากสถานบันเทิงย่านทองหล่อ เป็นสายพันธุ์เดียวกันจากอังกฤษทั้งหมด ที่รู้จักในชื่อ "B117" "B117" เป็นสายพันธุ์ GRV ที่เริ่มพบการระบาดตั้งแต่เดือน พ.ย. 2563 ซึ่งติดต่อกันได้ง่ายกว่าปกติถึง 1.7 เท่าโดยประมาณ ที่กำลังระบาดหลักในยุโรป ส่วนสายพันธุ์ที่ระบาดในประเทศไทยในช่วงที่ผ่านมาเป็นสายพันธุ์ GH นพ.ยงอธิบาย "มัน (สายพันธุ์อังกฤษ) แพร่กระจายได้เร็วมาก คงไม่แปลกที่เห็นภาพที่สถานบันเทิง ทำไมมันแพร่มากกว่าปีที่แล้ว...เราคาดคะเนว่าการระบาดปีนี้มากกว่าปีที่แล้ว ประมาณ 10 เท่า" สหราชอาณาจักรเป็นประเทศที่ฉีดวัคซีนโควิด-19 ได้รวดเร็วมากที่สุดประเทศหนึ่ง อย่างไรก็ตามขณะนี้ในสหราชอาณาจักรซึ่งพบสายพันธุ์นี้เป็นที่แรก ๆ กลับพบผู้ติดเชื้อรายใหม่ลดลงอย่างเห็นได้ชัด โดยมีข้อสังเกตว่าสหราชอาณาจักรมีการฉีดวัคซีนมากที่สุดในยุโรป นพ.ยงตั้งข้อสังเกตว่า ขณะที่มาตรการควบคุมโรคระบาดในไทยผ่อนคลายลงกว่าปีที่แล้วนับ 10 เท่า แต่กลับมีการระบาดของไวรัสสายพันธุ์ที่ติดต่อกันได้ง่ายกว่าปกติถึง 1.7 เท่า ย่อมมีความเป็นไปได้ว่าไทยอาจพบการติดเชื้อมากกว่าเดิมถึง 170 เท่า "คนหนุ่มสาวที่ติดเชื้อส่วนใหญ่อาการจะน้อย แต่มีปริมาณไวรัสในลำคอปริมาณมาก...จึงสามารถเดินทางไปได้ไกลโดยไม่รู้ว่ามีไวรัสอยู่" ผู้เชี่ยวชาญด้านไวรัสวิทยาคลินิกตั้งคำถามว่าเหตุใดไวรัสสายพันธุ์ดังกล่าวเข้ามาแพร่กระจายในประเทศได้ ทั้งที่มีมาตรการป้องกันในเรื่องนี้เป็นอย่างดี เขาย้ำให้ประชาชนปฏิบัติการตามมาตรการป้องกันโรคอย่างเคร่งครัดในช่วงนี้ ยืนยันฉีดวัคซีนป้องกันความเสี่ยงได้ สำหรับข้อสงสัยที่ว่า คนที่ฉีดวัคซีนแล้วจะป้องกันการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์อังกฤษที่พบใหม่นี้ รวมทั้งไวรัสกลายพันธุ์ที่พบในแอฟริกาใต้และบราซิลได้หรือไม่ นพ.ยงยืนยันว่าวัคซีนป้องกันได้ เนื่องจากความรุนแรงของโรคเหมือนเดิม เพียงแต่การระบาดเกิดขึ้นง่ายขึ้น "สายพันธุ์อังกฤษนี้แพร่กระจายได้เร็ว แต่วัคซีนยังมีประสิทธิภาพเหมือนเดิม" นพ.ยงกล่าวถึงอาการแพ้และอาการไม่พึงประสงค์หลังได้รับวัคซีนว่ามีโอกาสเกิดขึ้นได้เป็นปกติ แต่ที่ผ่านมากรณีที่เป็นข่าวว่ามีการเกิดลิ่มเลือดนั้น อุบัติการณ์ที่สัมพันธ์กับวัคซีนเช่นนี้ พบได้ 1 รายในการฉีด 1 แสน -1 ล้านโดส ซึ่งส่วนใหญ่พบในผู้หญิงที่อายุน้อยกว่า 55 ปี ซึ่งเกี่ยวข้องกับฮอร์โมนเอสโตรเจน "เมื่อเปรียบเทียบผลดีของการฉีดวัคซีนแล้วป้องกันโรคแล้ว มันเทียบกันไม่ติด โอกาสป้องกันโรคได้มีสูงกว่ามาก เพราะฉะนั้นประโยชน์ (ของการฉีดวัคซีน) มีมากกว่ามาก" นพ.ยง กล่าวว่า ถ้าคนไทยฉีดวัคซีนวันละ 10,000 โดส จะใช้เวลา 30 ปีกว่าจะมีภูมิคุ้มกันหมู่ ดังนั้นจำเป็นต้องฉีดให้ได้ 100,000 โดสต่อวัน เพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันได้ภายใน 3 ปี เป้าหมายคือต้องฉีดให้ได้ถึง 300,000 โดสต่อวัน เพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ใน 1 ปี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ เตือนอาจปิดสถานบันเทิงเพิ่ม ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์กล่าวถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 จากคลัสเตอร์สถานบันเทิงในกรุงเทพฯ และปริมณฑลว่า คณะแพทย์ติดตามความรุนแรงของการแพร่ระบาดและสายพันธุ์ที่พบอย่างใกล้ชิด พร้อมกับเร่งรัดการฉีดวัคซีนให้มากขึ้นให้สอดคล้องจำนวนวัคซีนที่ทยอยเข้ามาในประเทศ แต่เนื่องจากสถานการณ์รุนแรงขึ้นในหลายพื้นที่ ดังนั้นอาจมีปัญหาเรื่องการผลิตวัคซีนบ้าง จึงต้องเตรียมแก้ปัญหาเหล่านี้ "ขอทุกท่านให้คงามร่วมมือกับรัฐด้วย ทุกคนต้องมีมาตรฐานของตัวเอง ใส่หน้ากาก เว้นระยะห่าง อย่าเข้าไปอยู่ในสถานที่ที่มีตวามเสี่ยง สถานที่ท่องเที่ยว สถานบันเทิงต่าง ๆ ซึ่งรัฐบาลจำเป็นต้องปิดสถานบริการบางแห่งไป และหากตรวจสอบพบว่าจัดทำมาตรการไม่พร้อมในการป้องกันโควิด ก็จะปิดทันทีเพิ่มเติมอีก ผมก็ไม่อยากให้ทั่วประเทศ เพราะผมเข้าใจแต่ทุกคนต้องเรียนรู้ที่จะดูแลตัวเองและครอบครัว การสนุกสนาน บันเทิง ขอให้ระงับยับยั้งช่างใจดูด้วย เพราะผลกระทบกับครอบครัวตัวเองและสังคมด้วย ไม่ว่าใครก็ตามผมห่วงใยทั้งสิ้น" พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
|
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กลายเป็นรัฐมนตรีคนแรกในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 โดยวันนี้ (7 เม.ย.) เขามีอาการไข้สูงและเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลใน จ.บุรีรัมย์
|
thailand-54820614
|
https://www.bbc.com/thai/thailand-54820614
|
6 ตุลา : “ทะลุเพดานของความเงียบ” บทใหม่นอกหนังสือ “ลืมไม่ได้ จำไม่ลง” ของ ธงชัย วินิจจะกูล
|
"เกิน 4 ทศวรรษหลังเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 เรายังไม่รู้เลยว่าชายที่ถูกแขวนคอเป็นใคร และผู้ใช้เก้าอี้ทำลายศพเป็นใคร" ศ.ดร. ธงชัย วินิจจะกูล ศาสตราภิชานภาควิชาประวัติศาสตร์ แห่งมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน-แมดิสัน ประเทศสหรัฐฯ เริ่มต้นพูดถึงเหตุการณ์เมื่อ 44 ปีก่อน เขาจงใจเลือก "ภาพจำ" ของเหตุการณ์ที่อยู่ในความรับรู้ของสังคมไทย และกระจายอยู่ในพื้นที่สาธารณะมากว่า 20 ปี แต่ขณะเดียวกันมันกลายเป็นปริศนาอันเหลือเชื่อที่ยังหาคำตอบไม่ได้กระทั่งปัจจุบัน "ภาพนี้และปริศนาความไม่รู้เกี่ยวกับทั้ง 2 คนนี้ เป็นเหมือนสัญลักษณ์หรือตัวแทนของการ 'ลืมไม่ได้ จำไม่ลง' เกี่ยวกับเหตุการณ์ 6 ตุลา เป็นความเงียบที่ส่งเสียงฟ้องว่าสังคมไทยไม่ปกติ ฟ้องประจานการลอยนวลพ้นผิดจากการรับผิดในประเทศนี้ ฟ้องดังลั่นจนเยาวชนในปัจจุบันได้ยิน และมองเห็นคนมีอำนาจและมีอภิสิทธิ์ตามกฎหมาย" ศ.ดร. ธงชัย ซึ่งเป็นอดีตผู้นำนักศึกษาเหตุการณ์ 6 ตุลา กล่าว ศ.ดร. ธงชัยปรากฏตัวผ่านระบบสนทนาออนไลน์ของแอปพลิเคชันซูม เพื่อร่วมงานเสวนา "จาก 6 ตุลา 19 ถึง 6 ตุลา 63 ความเงียบ ความทรงจำ ความจริง" จัดขึ้นที่คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) อันเป็นงานเปิดตัวหนังสือ "Moments of Silence : The Unforgetting of the October 6, 1976, Massacre in Bangkok" ของเขา ซึ่งเจ้าตัวให้ชื่อภาษาไทยว่า "ลืมไม่ได้ จำไม่ลง" หนังสือเล่มนี้มีเนื้อหา 10 บท โดยจบลงด้วยบทสรุปที่ว่า "6 ตุลา ยังหลอกหลอนสังคมไทยจนถึงทุกวันนี้ ตราบเท่าที่ยังไม่มีความยุติธรรม" ทว่าในงานเสวนาครั้งนี้ ศ.ดร. ธงชัย ได้นำเสนอบทที่ 11 ใช้ชื่อว่า "ทะลุเพดานของความเงียบ" หลังได้รับแรงบันดาลใจจากความเคลื่อนไหวของขบวนการนักเรียน นักศึกษา และประชาชนในปี 2563 ซึ่งไปรื้อฟื้นสถานะของ 6 ตุลา อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน "ตัวอย่างชั้นยอด" ที่ถูกนำมาเปิดฉากข้อเรียกร้องให้ปฏิรูปสถาบันฯ หนึ่งในฉากสำคัญที่เกิดขึ้นในระหว่างการชุมนุมของกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า "แนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม" ที่ มธ. รังสิต เมื่อ 10 ส.ค. 2563 และถูกเรียกขานว่าปรากฏการณ์ "ทะลุเพดาน" ถูกเรียบเรียงและบรรยายซ้ำโดยนักวิชาการจากแดนไกล "ผู้ประท้วงฉายคลิปเหตุการณ์สังหารหมู่ที่ มธ. เมื่อ 44 ปีก่อน บนจอขนาดใหญ่ต่อหน้าผู้คนนับหมื่น เป็นบันทึกภาพเดียวกับที่เผยแพร่เมื่อปี 2539 (งานรำลึกเหตุการณ์ 6 ตุลา ในวาระครบ 20 ปี) แต่ภาพที่ฉายบนจอนั้นไม่มีเสียงจากคลิป เพราะว่าเสียงที่ดังคู่ไปกับการฉายภาพยนตร์กลับเป็นเสียงเพลงพระราชนิพนธ์ยูงทอง ไม่มีคำอธิบายใด ๆ ว่าทำไมจึงเป็นภาพนั้น เพลงนั้น ทำไมภาพและเพลงนั้นจึงฉายพร้อมกันทั้งที่ดูผิวเผินแล้วช่างเข้ากันไม่ได้ และไม่เห็นจะมีความเกี่ยวพันใด ๆ การปราศรัยช่วงหลังจากนั้นคือการเรียกร้องให้มีการปฏิรูปสถาบันฯ ซึ่งกลายเป็นเหตุการณ์สำคัญอันลือลั่นในประวัติศาสตร์การเมืองไทยเรียบร้อยแล้ว" ศ.ดร. ธงชัยกล่าว น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล ตัวแทนแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุมอ่าน 10 ข้อเรียกร้องว่าด้วยสถาบันกษัตริย์ นักประวัติศาสตร์รายนี้ชี้ว่า 6 ตุลา เป็น "กรณีตัวอย่างชั้นยอด" ที่สะท้อนภาพความเป็นไปหลายอย่าง และทำให้ขบวนการนักศึกษานำความทรงจำเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้มา "เปิดฉากเรียกร้องให้ปฏิรูปสถาบันฯ เพื่อให้อยู่พ้นเลยไปจากการเมือง" ที่มา : บีบีซีไทยสรุปสาระสำคัญจากคำกล่าวของ ศ.ดร. ธงชัย วินิจจะกูล ผู้ชุมนุมกลุ่ม "ราษฎร" ถือป้ายนี้ร่วมเดินขบวนจากสามย่านไปสถานทูตเยอรมนี เมื่อ 26 ต.ค. เรียกร้องรัฐบาลเยอรมนีให้ความกระจ่างเกี่ยวกับการประทับ การทรงงาน และการเสียภาษีของ ร. 10 ในสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี รื้อฟื้นความทรงจำ 6 ตุลา "ไม่ใช่ความแค้นส่วนตัว" เมื่อมองไปยังนักต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตยรุ่น "ศิษย์" ศ.ดร. ธงชัยวิเคราะห์ว่านักเรียนนักศึกษารุ่นนี้เติบโตมาในยุครัฐบาลเผด็จการแล้วสวมเสื้อคลุมประชาธิปไตยที่ทำลายความหวังของพวกเขาครั้งแล้วครั้งเล่า อีกทั้งยังเติบโตขึ้นมาในช่วงที่ "ลัทธิคลั่งไคล้เจ้า" อ่อนตัวลง นี่เป็นภาวะที่หล่อหลอมพวกเขามาต่างจากบรรยากาศที่หล่อหลอมคนรุ่นเขา พาดหัวข่าวหนังสือพิมพ์ดาวสยาม ฉบับตีพิมพ์วันที่ 6 ต.ค. 2519 อดีตผู้ปราศรัยคนสุดท้ายที่ มธ. เมื่อ 6 ตุลา 2519 เห็นว่า การทะลุทะลวงเพดานเกี่ยวกับเหตุการณ์ 6 ตุลา ปรากฏขึ้นครั้งแรกในปี 2539 ซึ่งสามารถทลายความเงียบเพื่อความสมานฉันท์ลงได้ และมีการพูดถึงสาเหตุมากขึ้น จนเกิดคำขวัญว่า "ต่างความคิด ต้องไม่ใช่ความผิดถึงฆ่ากัน" แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่สามารถพูดว่า "ทำไม" และ "ใคร" อย่างมากพูดแบบใส่รหัส จึงต้องรอดูว่าเพดานที่ทะลุไปในปัจจุบัน จะกลายเป็นสภาวะปกติของสังคมไทย หรือจะมีการตีโต้กลับมา "ถ้าเราสามารถพูดถึงใครพอได้แล้ว หมายถึงว่าเราจะสามารถทะลุเพดานความอยุติธรรมเพื่อเรียกคืนความยุติธรรมให้ 6 ตุลาได้หรือไม่ ถึงเวลาหรือยังที่จะให้มีการสะสาง 6 ตุลา จนเกิดความยุติธรรม" เขาตั้งคำถาม ศ.ดร. ธงชัยยืนยันว่า การต่อสู้เรื่องความทรงจำ 6 ตุลา เป็นไปเพื่อใช้หนี้ผู้เสียชีวิตวันนั้น และเป็นการบุกเบิกให้สังคมไทยเข้าใจการใช้อาชญากรรมของรัฐในกรณีอื่น ๆ เพื่อเรียกหาความยุติธรรมให้อย่างไม่มีข้อยกเว้น ไม่ว่าจะเป็น กรณีสลายการชุมนุมที่ สภ.ตากใบ จ.นราธิวาส ปี 2547 หรือกรณีสลายการชุมนุมคนเสื้อแดง ปี 2553 ทั้งหมดนี้เพื่อสร้างบรรทัดฐานไม่ให้อาชญากรรมโดยรัฐเกิดขึ้นอีก และเพื่อป้องกันไม่ให้เหยื่อกลายเป็นเพียง "ตัวเลขที่ไร้หน้าตา" "ความพยายามรื้อฟื้นเรื่อง 6 ตุลา ไม่ใช่ความแค้นส่วนตัวของผม ไม่ใช่ ผมเลิกแค้นไปตั้งนานแล้ว หรือต่อให้เป็น การผลักความแค้นของเราที่ผจญจากอาชญากรรมมาไม่รู้กี่กรณีแล้วก็ตาม เป็นการผลักดันเพื่อไม่ให้มีใครทำเช่นนั้นอีก ก็เป็นเรื่องดีไม่ใช่หรือ" นักประวัติศาสตร์ผู้ใช้ชีวิตในสหรัฐอเมริกา กล่าว เหตุฆาตกรรม 2 พนักงานการไฟฟ้าที่ร่วมคัดค้านการกลับเข้าประเทศของ "เณรถนอม กิตติขจร" แล้วนำร่างไปแขวนไว้ที่ "ประตูแดง" อ. พระประโทน จ. นครปฐม คือชนวนนัดชุมนุมใหญ่ของขบวนการนักศึกษาประชาชนก่อน 6 ตุลา 2519 ฉากจบของบทที่ 11 "ขึ้นอยู่กับการต่อสู้ในยกปัจจุบัน" เขาย้ำด้วยว่า ความยุติธรรมกรณี 6 ตุลา แยกไม่ออกจากกรณีอื่น ๆ และแยกไม่ออกจากปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้ประชาธิปไตยและนิติรัฐพิกลพิการ พร้อมเสนอว่าความเข้าใจประเด็นเหล่านี้ต้องเริ่มต้นจากการทำความเข้าใจว่า "เราไม่ใช่รัฐประชาชาติ แต่เป็นรัฐราชาชาติ" และเข้าใจนิติศาสตร์และระบบกฎหมายไทย ซึ่งเขาเคยนำเสนอไว้ว่าเป็น "นิติศาสตร์รัฐอภิสิทธิ์" กล่าวคือรัฐและผู้ก่อความรุนแรงเพื่อรัฐจะได้รับความคุ้มครองอย่างเป็นที่ประจักษ์ ขณะที่ฝ่ายตรงข้ามรัฐถูกรังแก "ความไม่เท่าเทียมทางกฎหมายที่ให้อภิสิทธิ์แก่ฝ่ายที่ให้ความมั่นคงต่อรัฐเกิดขึ้นอย่างคงเส้นคงวา หมายความว่าสองมาตรฐานเป็นมาตรฐานของระบบกฎหมายไทย" ศ.ดร. ธงชัยตั้งสมมติฐาน เมื่อเป็นเช่นนี้ การเรียกร้องประชาธิปไตย ให้คนเท่ากัน ให้ยกเลิกอภิสิทธิ์ ยกเลิกวัฒนธรรมลอยนวลพ้นผิด จึงพบกับความยากเย็นตามความเห็นของนักวิชาการรายนี้ เพราะเป็นข้อเรียกร้องที่ขัดแย้งกับรัฐศักดินาที่ดำรงอยู่ในปัจจุบัน แม้นำเสนอภาคต่อของหนังสือว่าด้วยการ "ทะลุเพดานของความเงียบ" แต่ ศ.ดร. ธงชัยยังไม่อาจคาดเดาฉากจบของบทที่ 11 โดยบอกเพียงว่า "ขึ้นอยู่กับการต่อสู้ในยกปัจจุบัน" ป้ายแสดงความคิดเห็นของผู้ชุมนุมที่เรียกตัวเองว่า "ราษฎร" ปลายปี 2559 ศ.ดร. ธงชัย ตัดสินใจลาออกจากงานประจำที่ภาควิชาประวัติศาสตร์ ม. วิสคอนซิน-แมดิสัน ประเทศสหรัฐฯ แล้วใช้เวลากว่า 1 ปีในการเขียนหนังสือเล่มนี้ ศ.ดร. ธงชัยระบุไว้ในคำนำว่า หนังสือเล่มนี้เป็นภารกิจหนึ่งในชีวิตของเขา เพื่อบันทึกความทารุณโหดร้ายในช่วงเช้าวันพุธที่ 6 ตุลา 2519 กลางกรุงเทพฯ "ที่ประเทศไทยพยายามไม่จำ แต่สำหรับผมไม่เคยลืม และไม่เคยมีวันไหนที่ผมไม่คิดถึงมัน" และหวังว่า "ความทรงจำเกี่ยวกับเหตุสังหารหมู่จะยังคงอยู่ ตราบที่หนังสือเล่มนี้ยังถูกวางไว้บนชั้นวางหนังสือที่ไหนสักแห่งในโลก" สภาวะ "ลืมไม่ได้ จำไม่ลง" อันหลากหลายของคนต่างกลุ่ม รศ.ดร. พวงทอง ภวัครพันธุ์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และหัวหน้าโครงการบันทึก 6 ตุลา กล่าวว่า หนังสือเล่มนี้ชี้ให้เห็นว่า สภาวะ "ลืมไม่ได้ จำไม่ลง" ของคนแต่ละกลุ่มมีความแตกต่างหลากหลาย ไม่หยุดนิ่ง แต่แปรเปลี่ยนไปตามกาลเวลา อย่างความทรงจำและเรื่องเล่า 6 ตุลา ของฝ่ายขวาก็ถูกปรับเปลี่ยนด้วยเงื่อนไขเวลา เช่น หลังเหตุการณ์ใหม่ ๆ พวกเขาจะภาคภูมิใจที่ได้ป้องกันชาติจากภัยคอมมิวนิสต์ แต่เมื่อเวลาผ่านไป 6 ตุลา กลายเป็นภาพความเหี้ยมโหดผิดมนุษย์ จึงไม่มีที่ทางให้การเมืองแบบขวาจัด ดังนั้นพวกขวาต้องอยู่อย่างเงียบ ๆ "เป็นความภูมิใจที่ต้องเก็บไว้อย่างเงียบ ๆ เพียงลำพัง" ส่วนฝ่ายผู้ถูกกระทำ "ความเงียบไม่ได้หมายถึงความกลัว แต่อาจหมายถึงความหวังก็ได้" เช่น พ่อแม่ของจารุพงษ์ ทองสินธุ์ นักศึกษา มธ. ที่หายไปในเหตุการณ์ 6 ตุลา ความเงียบหมายถึงการรอคอยว่าวันหนึ่งลูกจะกลับบ้าน แต่ความจริงต่างหากที่ทำลายความหวังที่รอคอยมานาน 45ราย เสียชีวิต (นศ./ปชช. 40 ราย จนท.รัฐ 5 ราย) 145 ราย ได้รับบาดเจ็บ 3,094 ราย ถูกจับกุม 18 ราย ตกเป็นจำเลย 0 ราย ผู้ก่อการสังหารที่ถูกดำเนินคดี ความสัมพันธ์ทางอำนาจ, วาทกรรม, พลังกดขี่ทางกฎหมาย และอีกสารพัดปัจจัย ทำให้ความเข้าใจของผู้คนต่อเหตุการณ์ 6 ตุลา เปลี่ยนแปลงไป ซึ่ง รศ.ดร. พวงทองยกตัวอย่างไว้ว่า ในปี 2539 เกิดนิยามเรื่อง "คนเดือนตุลา" เป็นครั้งแรก ก่อนกลายเป็นอัตลักษณ์ของคนรุ่นหนึ่งที่ภูมิใจหลังถูกกดให้เงียบมานานถึง 20 ปี ในช่วงการเมืองเหลือง-แดง กลายเป็นอัตลักษณ์ที่คนรุ่นใหม่ใช้หัวเราะเยาะเย้ยถากถางด้วย ในยุคปัจจุบัน กลายเป็นความสนใจของขบวนการนักศึกษาประชาชน โดยมีการนำ 6 ตุลาไปเปรียบเทียบกับเหตุการณ์ล้อมปราบคนเสื้อแดงปี 2553, การก่ออาชญากรรมโดยรัฐ, วัฒนธรรมลอยนวลพ้นผิด, ประณามการทำงานของสื่อฝ่ายขวายุคใหม่, การระดมมวลชนจัดตั้งเข้ามาจัดม็อบชนม็อบ, การสร้างความเกลียดชัง ฯลฯ ทำให้ 6 ตุลา กลายเป็น "อาวุธท้าทายผู้มีอำนาจ" ผ่านการตั้งคำถาม และการส่งเสียงว่าไม่ต้องการให้เหตุการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้นอีก "ความพยายามของผู้มีอำนาจที่ทำให้เงียบ ถูกท้าทายเรื่อย ๆ สร้างความอึดอัดใจ และอิหลักอิเหลื่อแก่พวกเขามากขึ้น เขาไม่รู้จะรับมืออย่างไร นอกจากป้ายสีว่าคือพวกล้มเจ้า" รศ.ดร. พวงทองกล่าว ความเงียบเกี่ยวพันอย่างลึกซึ้งกับพระราชอำนาจนำ ร. 9 ศ.ดร. เกษียร เตชะพีระ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มธ. อธิบายความเงียบจากมุมมองของผู้มีส่วนร่วมกับเหตุการณ์เมื่อ 44 ปีก่อน ว่า ดูเหมือนมี "สัญญาที่ไม่ได้เป็นลายลักษณ์อักษรว่าพวกเราต่างคนต่างเงียบทั้งฝ่ายซ้ายฝ่ายขวา ไม่ใช่ว่าไม่มีความในใจนะ มี แต่ไอ้เรื่องที่อยู่ในใจ ไม่ใช่เรื่องที่พูดได้ และเกี่ยวพันอย่างลึกซึ้งกับพระราชอำนาจนำของในหลวง ร. 9" นั่นคือเหตุผลว่าทำไมสังคมไทยจึงได้ยินเพียงบางเสียง แต่เมื่อพระราชอำนาจนำเปลี่ยนไป สิ่งที่เคยเงียบก็อาจจะเปลี่ยนไป โครงการจัดตั้งพิพิธภัณฑ์ 6 ตุลา ระบุว่า ลำโพงนี้ถูกกระสุนปืนลูกซอง 3 นัด ยิงถล่มในวันที่ 6 ตุลา สื่อถึงการ "ถูกปิดปากด้วยความรุนแรง" นักรัฐศาสตร์วัย 62 ปีอ่านวิธีคิด-วิธีเขียนหนังสือ 2 เล่มของ "เพื่อน" ผู้มีประสบการณ์ร่วมในเหตุการณ์ 6 ตุลา แล้วตีความว่า ใน "Siam Mapped : A History of the Geo-Body of a Nation" มี 6 ตุลา ปรากฏอยู่ในหนังสือเล่มนั้นตลอด เพียงแต่มองไม่เห็นมัน และชี้ว่า "เป็นงานเอาคืนทางปัญญาการเมืองอย่างถึงที่สุดต่อ 6 ตุลา แบบขุดรากถอนโคน กัดไม่ปล่อย ปฏิเสธไม่เหลือที่ทางให้ความเป็นไทย/ราชาชาตินิยมแบบเดิม" ส่วน Moments of Silence เป็นการฉายภาพต่อของสังคมการเมืองไทยหลังเหตุการณ์ 6 ตุลา ที่ "ดิ้นรนต่อสู้"กับ "ลืมไม่ได้ จำไม่ลง" อย่างไรภายใต้เงื่อนไขของอำนาจนำแบบหนึ่ง และการประนีประนอมทางการเมืองแบบหนึ่ง ทำให้สังคมที่ลึก ๆ แล้วป่วยและไม่เป็นปกติ กลายเป็นสิ่งปกติตลอดมา ความรัก-ความไม่มี คือปัจจัยกำหนด "ดินแดนแห่งความปรองดอง" หลังเหตุสังหารหมู่ปี 2519 ธงชัยกับแกนนำนักศึกษาและประชาชน 18 คนที่ตกเป็น "จำเลยคดีคอมมิวนิสต์" และอื่น ๆ รวม 11 ข้อหา ก่อนได้รับการปล่อยตัวในปี 2521 หลังมีพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) นิรโทษกรรมแก่ผู้ซึ่งกระทำความผิดเนื่องในการชุมนุมในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ระหว่างวันที่ 4 ถึงวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 สุธรรม แสงประทุม เลขาธิการ ศนท. กับพวกรวม 18 คน ถูกฝากขังระหว่างต่อสู้คดีคอมมิวนิสต์และอื่น ๆ 11 ข้อหา โดยมีอัยการศาลทหารกรุงเทพนำทีมฟ้องคดี เมื่อ 25 ส.ค. 2520 ก่อนมี พ.ร.บ. นิรโทษกรรม ขณะที่เกษียร เจ้าของสมญา "สหายมา" ในระหว่างร่วมต่อสู้ในนามพรรคคอมมิวนืสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) ทยอยกลับเข้าเมืองพร้อมเพื่อนร่วมอุดมการณ์ ด้วยโอกาสที่รัฐหยิบยื่นให้ผ่านคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 66/2523 น่าสนใจว่า 2 ผู้มีส่วนร่วมในเหตุการณ์ 6 ตุลา และ 1 ผู้วิจัย "ประวัติศาสตร์บาดแผล" มีมุมมองต่อ "ดินแดนแห่งความปรองดอง" อย่างไร พสกนิกรกราบและจับพระบาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 เมื่อวันที่ 1 พ.ย. "ปล่อยให้ความต่างเกิดการปะทะในสังคม โดยที่คนทั้ง 2 ฝ่ายไม่ต้องมาปะทะกัน" ในช่วงท้าย ศ.ดร.ธงชัย ถูกตั้งคำถามว่าขบวนการนักศึกษายุคปัจจุบันควรสร้างบทสนทนาอย่างไรในการเสนอความคิดเรื่องการปฏิรูปสถาบันฯ เพื่อไม่ให้ชนชั้นนำ/ฝ่ายอนุรักษนิยม รู้สึกว่าท่าทีและคำพูดที่แสดงออกเป็นความก้าวร้าว รุนแรง สุดโต่ง เป็นการ "ปฏิวัติ" ไม่ใช่ "ปฏิรูป" ศ.ดร. ธงชัยบอกว่า "ผมขอไม่ตอบเลย เห็นอยู่เหมือนกันว่าพูดยาก" สิ่งที่เกิดขึ้นคือเราต้องเรียกร้องให้อย่าฆ่ากัน อย่าทำร้ายกัน ถ้าหากมีการแสดงความเห็น แล้วไม่ต้องพยายามไปโน้มน้าวคนที่ไม่คิดอย่างเรา ซึ่งการได้มาก็ด้วยการให้เหตุผล ก็ต้องทำไป และได้มาด้วยการปล่อยให้ความต่างเกิดการปะทะในสังคม โดยที่คนทั้ง 2 ฝ่ายไม่ต้องมาปะทะหรือชักชวนชักจูงกันเสมอไป "กาลเวลา และคนที่เปลี่ยนรุ่น มันจะทำให้ความคิดเหล่านี้ค่อย ๆ ปรับตัวและเปลี่ยนไปเอง" ศ.ดร. ธงชัยกล่าว
|
ศ.ดร. ธงชัย วินิจจะกูล นำเสนอ "บทใหม่" เพิ่มเติมจากหนังสือประวัติศาสตร์ความทรงจำเกี่ยวกับเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 โดยชี้ว่านี่คือ "กรณีตัวอย่างชั้นยอด" ที่สะท้อนภาพปัญหาสังคมไทย โดยเฉพาะการที่สถาบันพระมหากษัตริย์ไม่อยู่เหนือการเมือง และทำให้ขบวนการนักศึกษานำเหตุการณ์นี้มาเปิดฉากเรียกร้องให้ปฏิรูปสถาบันฯ
|
international-43514348
|
https://www.bbc.com/thai/international-43514348
|
วาฬนับร้อยเกยตื้นที่ชายหาดรัฐออสเตรเลียตะวันตก
|
นายเจเรมี ชิค จากสำนักงานความหลากหลายทางชีวภาพ การอนุรักษ์ และแหล่งท่องเที่ยว กล่าวว่า "ความแข็งแรงของวาฬ รวมถึงสภาพลมแรงและฝนตก จะส่งผลกับช่วงเวลาที่เราจะขนย้ายพวกมันออกทะเล" เจ้าหน้าที่ระบุว่า วาฬที่เกยตื้นนี้เป็นวาฬนำร่องครีบสั้น หรือที่รู้จักกันในชื่อ โลมาหัวกลม ซึ่งมีพฤติกรรมเกยตื้นหมู่ วาฬเกยตื้นหมู่ในออสเตรเลีย สำนักข่าวเอบีซี รายงานว่ามีเจ้าหน้าที่กู้ภัยหลายสิบคนกำลังทำงานอยู่บริเวณชายหาด และทางการได้ออกคำเตือนให้ประชาชนหลีกเลี่ยงบริเวณดังกล่าว โดยสำนักงานประมงของออสเตรเลียออกแถลงการณ์ว่า "มีความเป็นไปได้ที่ซากวาฬ หรือวาฬที่กำลังอ่อนแรง จะเป็นเหตุให้ฉลามว่ายเข้ามาใกล้ชายฝั่งบริเวณนี้" ปกติวาฬนำร่องครีบสั้นจะมีลำตัวยาวประมาณห้าเมตร และพบได้ในน่านน้ำเขตร้อนหรือใกล้เขตร้อน แต่นักวิทยาศาสตร์ ยังไม่ทราบสาเหตุที่ทำให้พวกมันเกยตื้น ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า ปรากฎการณ์เกยตื้นเช่นนี้อาจเกิดขึ้นได้เมื่อวาฬมีอาการเจ็บป่วย ได้รับบาดเจ็บ หรือหลงทิศ โดยเฉพาะในบริเวณที่มีหาดลาดเอียงไม่มาก ซึ่งวาฬที่เกยตื้นอาจส่งเสียงเรียกวาฬตัวอื่นให้ช่วย ทำให้มีอีกหลายตัวเกยตื้นตาม ส่วนสถิติวาฬเกยตื้นจำนวนมากที่สุดในประวัติศาสตร์รัฐออสเตรเลียตะวันตก คือ 320 ตัว เมื่อปี 1996
|
เจ้าหน้าที่อนุรักษ์ของออสเตรเลีย เร่งรับมือกับวาฬเกยตื้นประมาณ 150 ตัว บริเวณชายหาดในอ่าวฮาเมลิน ห่างจากเมืองเพิร์ทในรัฐออสเตรเลียตะวันตกไปทางใต้ประมาณ 300 กิโลเมตร โดยคาดว่ามีวาฬที่ยังมีชีวิตอยู่เพียง 15 ตัวเท่านั้น
|
international-40325966
|
https://www.bbc.com/thai/international-40325966
|
เป็ดแมนดารินเปลี่ยนเพศได้อย่างไร ?
|
ในฤดูผสมพันธุ์เป็ดแมนดารินตัวผู้จะมีขนสีสันฉูดฉาดสะดุดตากว่าตัวเมีย ศาสตราจารย์ทิม เบิร์กเฮด จากมหาวิทยาลัยเชฟฟีลด์ของสหราชอาณาจักรบอกว่า เป็ดแมนดารินตัวเมียเปลี่ยนเพศได้ เพราะโครโมโซมเพศมีลักษณะพิเศษต่างจากมนุษย์และสัตว์ทั่วไป ทั้งนี้ การกำหนดเพศในมนุษย์นั้นโครโมโซม XX จะเป็นผู้หญิง และโครโมโซม XY จะเป็นผู้ชาย ซึ่งเท่ากับว่าโครโมโซม X นั้นเป็นตัวกำหนดเพศของมนุษย์โดยพื้นฐาน และทำให้เพศหญิงที่มีโครโมโซม X สองตัวถือเป็นเพศยืนพื้น (default) ของมนุษย์ ส่วนโครโมโซม Y นั้นเป็นตัวแปรที่ทำให้เกิดเพศที่ต่างออกไปคือเพศชายขึ้น ในกรณีของเป็ดแมนดาริน การกำหนดเพศยืนพื้นและเพศที่แปรไปในระดับพันธุกรรมนั้นตรงข้ามกับมนุษย์ โดยเป็ดตัวผู้นั้นกลับเป็นเพศยืนพื้นเนื่องจากมีโครโมโซม ZZ ในขณะที่เป็ดตัวเมียซึ่งมีโครโมโซม ZW ถือเป็นเพศที่ผันแปรไป โดยมีโครโมโซม W เป็นตัวแปรที่ทำให้เป็นเพศเมีย เป็ดแมนดารินตัวเมียจึงมีโอกาสที่จะเกิดความผันแปรทางเพศได้ หากโครโมโซม W มีความบกพร่อง เป็ดและนกตัวเมียโดยทั่วไปยังมีระบบรังไข่ที่ใช้งานได้ข้างเดียว โดยรังไข่ข้างที่ใช้งานได้นี้จะผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนมายับยั้งไม่ให้โครโมโซม Z ในตนเองแสดงลักษณะของเพศผู้ออกมา อย่างไรก็ตาม หากรังไข่ด้านที่ใช้งานได้นี้เกิดความเสียหายเช่นเกิดการติดเชื้อ การผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนที่กดลักษณะของตัวผู้ไว้ก็จะระงับไป ทำให้รังไข่อีกฝั่งที่เดิมไม่ทำงานเกิดความเปลี่ยนแปลง จนกลายไปเป็นอัณฑะที่ผลิตสเปิร์มได้ แม้จะยังไม่มีการพัฒนาอวัยวะสืบพันธุ์แบบเพศผู้อย่างสมบูรณ์ก็ตาม ในบางกรณีศาสตราจารย์เบิร์กเฮดยังพบว่า สเปิร์มที่ได้จากเป็ดแมนดารินตัวเมียนี้ สามารถนำไปผสมกับไข่ในห้องทดลองและให้กำเนิดลูกเป็ดได้ด้วย อย่างไรก็ตาม เป็ดแมนดารินตัวเมียที่มีรังไข่ผิดปกติจนสามารถเปลี่ยนเป็นเพศผู้ไปนี้ มักมีอายุไม่ยืน เนื่องจากอาการผิดปกติในร่างกายดังกล่าวนั่นเอง ทำให้มักตายลงในเวลาไม่กี่เดือนหลังจากเปลี่ยนเพศไป แต่ก็ถือได้ว่าพวกมันเป็นเพศผู้ที่สมบูรณ์แม้จะยังมีโครโมโซมแบบเพศเมียอยู่ก็ตาม โดยยึดถือตามนิยามทางชีววิทยาที่นับว่า เพศผู้คือฝ่ายที่ผลิตเซลล์สืบพันธุ์ที่มีขนาดเล็กกว่า ซึ่งก็คือสเปิร์มที่มีขนาดเล็กกว่าไข่นั่นเอง
|
เป็ดแมนดารินที่มีขนสีสันสวยงามและเป็นสัญลักษณ์ของคู่รักหวานชื่นนั้น ตามปกติแล้วตัวผู้จะผลัดขนจากสีน้ำตาลเป็นขนหลากสีน่ามองในฤดูผสมพันธุ์คือฤดูใบไม้ร่วง แต่ในบางครั้งที่มีความผิดปกติในร่างกายเกิดขึ้น เป็ดแมนดารินตัวเมียจะเปลี่ยนเพศไปเป็นตัวผู้ได้เช่นกัน โดยไม่เพียงแค่ผลัดขนจนมีสีสวยงามเหมือนตัวผู้เท่านั้น แต่ระบบสืบพันธุ์ยังเปลี่ยนไปผลิตสเปิร์มแบบตัวผู้ และในบางกรณีสามารถให้กำเนิดลูกในฐานะพ่อเป็ดได้ด้วย
|
international-39960291
|
https://www.bbc.com/thai/international-39960291
|
อินเดียมีแผนสร้างเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์แรงดันน้ำมวลหนัก ลดพึ่งพาถ่านหิน
|
ปัจจุบัน อินเดียมีเตานิวเคลียร์จำนวน 22 เครื่อง มีกำลังการผลิต 6,780 เมกะวัตต์ การสร้างเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ชุดใหม่ จะทำให้มีกำลังการผลิตพลังงานไฟฟ้านิวเคลียร์เพิ่มมากขึ้น แต่ยังไม่ชัดเจนว่าโครงการใหม่นี้จะเริ่มต้นขึ้นเมื่อใด ขณะที่ปัจจุบัน อินเดียมีโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ 22 แห่ง มีกำลังการผลิตไฟฟ้าอยู่ที่ 6,780 เมกะวัตต์ รัฐมนตรีพลังงานของอินเดียระบุว่า "โดยภาพรวมโครงการดังกล่าวจะเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าได้อีก 7,000 เมกะวัตต์ ซึ่งจะเป็นพลังงานสะอาด" รัฐบาลคาดว่าโครงการก่อสร้างเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ล่าสุดนี้จะก่อให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจ 11,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และสร้างงานกว่า 33,000 ตำแหน่ง ทั้งนี้ การลงทุนดังกล่าวเป็นการสร้างเครื่องปฏิกรณ์ที่ผลิตขึ้นเองในประเทศ และเป็นหนึ่งในโครงการที่รัฐบาลอินเดียมุ่งมั่นให้เกิดขึ้นภายใต้นโยบาย "เมค อิน อินเดีย" ซึ่งรัฐบาลกล่าวว่าจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถด้านนิวเคลียร์ของอินเดีย
|
รัฐบาลอินเดียประกาศสร้างเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์แบบแรงดันน้ำมวลหนัก จำนวน 10 เครื่อง เพื่อเพิ่มขีดความสามารถด้านไฟฟ้านิวเคลียร์ จากที่เคยพึ่งพิงถ่านหินเป็นส่วนใหญ่
|
features-43086578
|
https://www.bbc.com/thai/features-43086578
|
โมซาร์ทน้อย
|
อัลมา มักถูกนำไปเปรียบกับ โวล์ฟกัง อะมาเดอุส โมซาร์ท เด็กอัจฉริยะทางด้านดนตรีผู้โด่งดังที่ทำให้ยุโรปตื่นตะลึงกับงานประพันธ์ดนตรีโอเปร่าและดนตรีบรรเลงอื่น ๆ ช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18 อัลมา เป็นนักไวโอลิน นักเปียโน และประพันธ์เพลง สาวน้อยชาวอังกฤษผู้นี้สามารถเล่นได้ทั้งเปียโนและไวโอลินตั้งแต่อายุไม่ถึง 5 ขวบ จากนั้นไม่นานเธอก็เริ่มแต่งเพลงเอง และเขียนโอเปร่าได้ทั้งเรื่องครั้งแรกตอนอายุ 10 ขวบ ตอนอายุ 11 ขวบ อัลมา มีผลงานโอเปร่าภาษาเยอรมันเรื่องซินเดอเรลล่าที่เธอดัดแปลงบท และแต่งดนตรีใหม่ด้วยตัวเอง ซึ่งเปิดการแสดงที่กรุงเวียนนาของออสเตรียไปเมื่อช่วงต้นปีที่แล้ว และได้รับเสียงชื่นชมอย่างท่วมท้นจากบรรดาผู้ชม
|
หากมองอย่างผิวเผิน ด.ญ.อัลมา ดอยท์เชอร์ วัย 12 ปีก็ดูไม่ต่างจากเด็กหญิงในวัยเดียวกันคนอื่น ๆ ทว่าหากได้ทำความรู้จักกับเธอแล้วก็จะรู้ว่าเธอมีพรสวรรค์อันน่าทึ่งทางด้านดนตรีซุกซ่อนอยู่ จนได้รับฉายา "โมซาร์ทน้อย"
|
thailand-48824390
|
https://www.bbc.com/thai/thailand-48824390
|
พลังประชารัฐ : สามมิตร ไล่ สนธิรัตน์ พ้นเลขาฯ ชี้ "เป็นภัยความมั่นคงของพรรค”
|
"กลุ่ม 3 มิตร" มาพร้อมหน้าในวันเปิดนโยบายพรรค โผ ครม. วันที่ 11 มิ.ย. ที่ปรากฏชื่อ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ เป็นว่าที่ รมว. พลังงาน นายสมศักดิ์ เทพสุทิน เป็นว่าที่ รมว. ยุติธรรม และนายอนุชา นาคาศัย เป็นว่าที่ รมช. คลัง ถูกยกขึ้นมาตอกย้ำในระหว่างที่ ส.ส. กลุ่มสามมิตร สังกัด พปชร. เปิดแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน โดยย้ำว่าทั้ง 3 รายชื่อนี้มีความเหมาะสมกับตำแหน่ง และหากมีการสลับตำแหน่งจะก่อให้เกิดปัญหาโดยไม่จำเป็น นายอนุชา นาคาศัย ส.ส. ชัยนาท เปิดแถลงข่าวช่วงบ่ายวันนี้ (1 ก.ค.) ว่าโผ ครม. วันที่ 11 มิ.ย. เป็นสิ่งที่คนทั้งประเทศได้ทราบข่าว ส.ส. กลุ่มสามมิตรก็รับทราบ ปลื้มอกปลื้มใจ และได้ขอบคุณนายกฯ ที่ให้การสนับสนุน แต่มาวันนี้ทุกคนอาจผิดหวังกับกระแสข่าวที่ได้ยินว่ามีการสลับชื่อในโผ ครม. ซึ่งยังไม่ทราบว่าเป็นอย่างไร แต่หวังว่านายกฯ จะยังรักษาคำพูดเดิม เพราะวันนั้นนายกฯ กล่าวไว้ว่าโผวันที่ 11 มิ.ย. "จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งใด ๆ อีกแล้ว" แกนนำกลุ่มสามมิตรบอกด้วยว่า หลังมีการประกาศรายชื่อ ครม. อย่างเป็นทางการหากผลที่ออกมาไม่ตรงกับโผเมื่อ 11 มิ.ย. ทางกลุ่มสามมิตรจะหารือเพื่อแสดงจุดยืนอีกครั้ง ผู้สื่อข่าวถามว่า ขณะนี้กลุ่มสามมิตรรู้แน่ชัดแล้วใช่หรือไม่ว่าจะไม่ได้ตำแหน่งตามที่ตกลงไว้ถึงเปิดแถลงข่าว นายอนุชาปฏิเสธจะตอบคำถามนี้ สำหรับรายชื่อตามโผ ครม. "ประยุทธ์ 2/1" ที่ปรากฏในสื่อสำนักต่าง ๆ ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา รายงานตรงกันว่า นายสุริยะจะถูกโยกไปเป็น รมว. อุตสาหกรรม โดยมีนายสนธิรัตน์ที่เดิมมีชื่อเป็นรัฐมนตรีในกระทรวงดังกล่าว สลับไปนั่งเป็น รมว. พลังงานแทน ส่วนนายอนุชานั้นหลุดจากโผ ครม. และมีการเปรียบเทียบกันอย่างหนักระหว่างกลุ่ม กปปส. และ กทม. ที่มี ส.ส. ในสังกัด 11 คน แต่ได้โควต้ารัฐมนตรี 2 กระทรวง ขณะที่กลุ่มสามมิตรหิ้ว ส.ส. เข้าสภาได้ 30 คน แต่ก็ถูกหั่นโควต้าเหลือ 2 กระทรวงเช่นกัน ไล่ สนธิรัตน์ พ้นเลขาธิการพรรค ชี้ "เป็นภัยต่อความมั่นคงของพรรค" ด้านนายสิระ เจนจาคะ ส.ส. กทม. กลุ่มสามมิตร พปชร. เปิดเผยว่า สมาชิกในกลุ่มสามมิตรเตรียมเสนอญัตติขับไล่นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการ พปชร. ออกจากตำแหน่ง ในที่ประชุมพรรควันที่ 2 ก.ค. โดยให้เหตุผลว่าไม่เหมาะสมจะดำรงตำแหน่ง "เป็นภัยต่อความมั่นคงของพรรคและของรัฐบาลเป็นอย่างสูง ถ้าปล่อยไว้เป็นเลขาฯ เป็นอันตรายต่อพรรคมาก ท่านบริหารงานผิดพลาดหลายเรื่อง ไม่มีภาวะผู้นำ ส.ส. เข้าไม่ถึงตัว ไม่เคยได้รับการแก้ไข ไม่ยึดโยงกับ ส.ส. ในพรรค ไม่เห็นหัว ส.ส. ในพรรคแม้แต่คนเดียว ไม่ให้ความสำคัญกับปัญหาในพรรค ท่านเป็นเลขาฯ พรรคก็คือเป็นแม่บ้านที่จะมาดูแลทุกอย่าง ไม่ว่าเรื่องความเป็นอยู่ ความสามัคคี ท่านทำให้พรรคเราแตกแยก ปัญหาอยู่ที่ตัวเลขาฯ ชัดเจน" สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการ พปชร. เป็นหนึ่งในทีมเจรจาพูดคุยจัดตั้งรัฐบาลผสม นายสิระกล่าวต่อไปว่า ขนาดเกิดวิกฤต นายสนธิรัตน์ยังไม่อยู่ให้สมาชิกได้ปรึกษาหรือหาทางออกเลย จึงเห็นว่าไม่เพียงต้องเสียสละออกจากตำแหน่งเลขาธิการพรรค แต่ควรแสดงความรับผิดชอบด้วยการไม่รับตำแหน่งใน ครม. ด้วยซ้ำ การออกมาประกาศขับไล่เลขาธิการ พปชร. คนแรกเกิดขึ้นหลังมีการเปิดตัวพรรคได้ 10 เดือน ซึ่งตลอดห้วงเวลาที่ผ่านมา ความขัดแย้งในการจัดสรรเก้าอี้รัฐมนตรีภายใน พปชร. ที่ได้โควต้ารวม 17 ตำแหน่ง (ไม่นับนายกฯ) ทำให้มีข้อเสนอให้ พล.อ. ประยุทธ์ ขึ้นเป็นหัวหน้า พปชร. เต็มตัวเพื่อใช้ความเด็ดขาดยุติปัญหาการเมืองภายในพรรค สนธิรัตน์ ชิงจบศึกใน-ไม่ขอรับตำแหน่ง รมว. พลังงาน เย็นวันเดียวกัน นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการ พปชร. กล่าวยืนยันว่าตัวเขาไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดในการเลือกกระทรวงใดกระทรวงหนึ่งเพื่อทำงาน และพร้อมทำงานในกระทรวงที่ได้รับมอบหมายหากเห็นว่าเหมาะสม เช่นตอนแรกที่มีกระแสข่าวว่าได้รับมอบหมายให้ดูแลกระทรวงอุตสาหกรรม ก็ได้เตรียมงานและเตรียมนโยบายในการบริหารกระทรวง ที่จะใช้อุตสาหกรรมในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ และได้เตรียมบุคลากรมืออาชีพเข้ามาเป็นทีมงานในการทำงานในกระทรวง แต่ตอนนี้ มีกระแสข่าวว่าจะให้ไปดำรงตำแหน่งในกระทรวงพลังงาน จนเกิดปัญหา ก็รู้สึกเสียใจ "ผมขอแสดงเจตนารมณ์ไม่มีความประสงค์และไม่ขอรับตำแหน่ง รมว. พลังงาน และหวังว่าทุกสิ่งจะคลี่คลายไปในทางที่ดี เพื่อพวกเราจะได้ร่วมมือกันทำงานเพื่อบ้านเมืองต่อไป" นายสนธิรัตน์กล่าวสนธิรัตน์ ชิงจบศึกใน-ไม่ขอรับตำแหน่ง รมว. พลังงาน นายสนธิรัตน์อยู่ระหว่างไปธุระที่ประเทศสหรัฐฯ แต่ได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่กองโฆษก พปชร. ส่งข้อความชี้แจงถึงผู้สื่อข่าวในแอปพลิเคชันไลน์พรรคในเวลา 18.00 น. ก่อนที่ทั้งภาพและข้อความทั้งหมดจะถูกลบออกไปในเวลาราว 1 ชม. ต่อมา กลุ่มสามมิตรนัดแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนเมื่อ 1 ก.ค. นายกฯ ร่อนสารขอโทษประชาชนแทน พปชร. ที่ขัดแย้ง-แย้งเก้าอี้ การออกมาตั้งโต๊ะแถลงข่าวของสมาชิกกลุ่มสามมิตรเกิดขึ้นในเวลา 2 ชม. เศษ หลังจาก พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เผยแพร่ "สารจากนายกรัฐมนตรี" โดยพิมพ์ใส่กระดาษเอ 4 จำนวน 1 หน้า ก่อนที่ พล.ท. หม่อมหลวง กุลชาต ดิศกุล คณะทำงานของนายกฯ เป็นผู้นำมาแจกจ่ายแก่ผู้สื่อข่าว เนื้อหาระบุว่า นายกรัฐมนตรีมีความรู้สึกไม่สบายใจ และต้องขอโทษพี่น้องประชาชนแทน พปชร. ในฐานะเป็นบุคคลที่พรรคเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรี เนื่องจากในห้วงเวลานี้มีข่าวสารความขัดแย้งภายในพรรคปรากฏตามสื่อต่าง ๆ มากมาย อย่างไรก็ตามนายกรัฐมนตรีจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ถึงแม้จะมีปัญหาอยู่บ้างในการบริหารภายในพรรค เนื่องจากเป็นพรรคที่จัดตั้งขึ้นใหม่สมาชิกมาจากหลายกลุ่มหลายสาขา ที่มีความมุ่งมั่นจะทำหน้าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) และหน้าที่บริหารใน ครม. ให้ดีที่สุด พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา แคนดิเดตนายกฯ ในบัญชี พปชร. ร่วมเวทีปราศรัยนัดสุดท้ายของพรรคเมื่อ 22 มี.ค. 62 สารจากนายกฯ ระบุต่อไปว่า การบริหารบุคลากรเป็นเรื่องยากที่จะทำให้ทุกคนพึงพอใจ แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือทำอย่างไรประชาชนจะมีความเชื่อมั่นในรัฐบาลและทุกพรรคการเมืองทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านให้มากที่สุด โดยหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกอย่างจะเดินหน้าต่อไป เพื่อตอบสนองความต้องการของพี่น้องประชาชน ในฐานะรัฐบาลของคนไทยทั้งประเทศ ซึ่งจะถือเป็นการเริ่มต้นปฏิรูปทางการเมืองของรัฐบาลและพรรคร่วมรัฐบาล เพื่อมิให้การดำเนินการทางการเมืองกลับไปเป็นปัญหาเช่นเดิม จนต้องเกิดการแก้ไขปัญหาแบบเดิม ๆ ที่ทุกคนไม่ต้องการขึ้นมาอีก นายกรัฐมนตรีย้ำว่า ไม่ได้ต้องการตำหนิใครหรือสร้างความขัดแย้งใด ๆ ขึ้นมาอีก อย่างไรก็ตาม นายกฯ ครม. และ ส.ส. ทุกคนทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านก็ต้องทำงานให้ได้ เพราะทุกคนคือคนไทย แผ่นดินไทยทุกตารางนิ้วต้องได้รับการดูแลจากรัฐบาลประชาธิปไตยอย่างทั่วถึงเท่าเทียมและเป็นธรรม อดีตรัฐมนตรี 4 คนในรัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา (ขวามือ 4 คน) ร่วมเปิดตัว พปขร. เมื่อ 29 ก.ย. 2561
|
พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กำลังตกอยู่ในภาวะระส่ำระสายอย่างหนัก เพียง 2 ชม. เศษ หลัง พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เผยแพร่ "สารจากนายกรัฐมนตรี" ขอโทษประชาชนแทน พปชร. ที่เปิดฉากแย่งเก้าอี้รัฐมนตรีกันในระหว่างการจัดโผคณะรัฐมนตรี (ครม.) "ประยุทธ์ 2/1" ปรากฏว่านักการเมืองที่เรียกตัวเองว่า "กลุ่มสามมิตร" ได้ตั้งโต๊ะแถลงยืนยัน 3 แกนนำสำคัญต้องได้นั่งเก้าอี้รัฐมนตรีตามเดิม
|
international-40998823
|
https://www.bbc.com/thai/international-40998823
|
รถยนต์พุ่งชนป้ายรถเมล์ทางใต้ของฝรั่งเศส มีผู้เสียชีวิต 1 คน
|
ตำรวจระบุว่า ผู้เสียชีวิตเป็นหญิงวัย 40 ปีเศษ โดยก่อนหน้านี้คนขับรถรายนี้ได้ขับรถพุ่งชนป้ายรถประจำทางในเขตอื่นของเมืองส่งผลให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัส 1 คน ขณะนี้ตำรวจแนะนำให้ประชาชนหลีกเลี่ยงเข้าไปบริเวณท่าเรือเก่าของเมือง เหตุการณ์ครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อเวลาประมาณ 10.00 น. วันนี้ (21 ส.ค.) ตามเวลาท้องถิ่น เว็บไซต์สถานีโทรทัศน์ Francetvinfo ระบุว่า เหตุรถพุ่งใส่ป้ายรถประจำทางที่มีผู้เสียชีวิตเกิดขึ้นในท้องที่เขต 11 ของเมืองมาร์แซย์ ในขณะที่เหตุการณ์ก่อนหน้านี้เกิดขึ้นในพื้นที่เขต 13 เมื่อเวลา 09.15 น. สื่อฝรั่งเศสรายงานว่า ผู้ก่อเหตุเป็นบุคคลที่เคยมีประวัติก่ออาชญากรรม แต่ไม่ได้เป็นบุคคลที่หน่วยงานด้านข่าวกรองเฝ้าจับตา เมื่อวันชาติฝรั่งเศสปีที่แล้วได้เกิดเหตุคนร้ายขับรถบรรทุกพุ่งชนผู้คนที่ไปร่วมงานฉลองวันชาติบริเวณถนนเรียบชาดหาดเมืองนีซ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 80 คน ซึ่งกลุ่มที่เรียกตัวเองว่ารัฐอิสลาม (ไอเอส) อ้างว่าเป็นผู้ก่อเหตุดังกล่าว
|
ตำรวจฝรั่งเศส เปิดเผยว่า เกิดเหตุรถยนต์พุ่งชนป้ายรถประจำทางแห่งหนึ่งในเมืองมาร์แซย์ ทางภาคใต้ของประเทศ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 1 คน ขณะนี้คนขับรถถูกตำรวจจับกุมตัวไว้แล้ว
|
thailand-39175300
|
https://www.bbc.com/thai/thailand-39175300
|
ประมวลภาพจักรพรรดิญี่ปุ่นเสด็จฯ เยือนไทย
|
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร เสด็จออกทรงรับสมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะ และสมเด็จพระจักรพรรดินีมิชิโกะแห่งญี่ปุ่น ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน สมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะทรงลงพระปรมาภิไธยในสมุดหลวงแสดงความอาลัยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในพระบรมมหาราชวัง สมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะ และสมเด็จพระจักรพรรดินีมิชิโกะทรงถวายพวงมาลาสักการะพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช สมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะ และสมเด็จพระจักรพรรดินีมิชิโกะแห่งญี่ปุ่น ถวายพระราชสักการะพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท สมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะ และสมเด็จพระจักรพรรดินีมิชิโกะแห่งญี่ปุ่นเสด็จพระราชดำเนินถึงพระบรมมหาราชวัง ราชวงศ์ไทยกับราชวงศ์ญี่ปุ่นมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดมายาวนาน โดยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชเสด็จฯ เยือนญี่ปุ่นเป็นครั้งแรกเมื่อปี 2506 สมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะเสด็จฯ เยือนประเทศไทยครั้งล่าสุดเมื่อปี 2549 เพื่อร่วมพระราชพิธีฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปีของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
|
สมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะ และสมเด็จพระจักรพรรดินีมิชิโกะแห่งญี่ปุ่นเสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศไทยระหว่างวันที่ 5-6 มี.ค. ศกนี้ เพื่อถวายพระราชสักการะพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และเข้าเฝ้าฯ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร บีบีซีไทยประมวลภาพเนื่องในวโรกาสนี้มาให้ชม
|
international-48783634
|
https://www.bbc.com/thai/international-48783634
|
อังเกลา แมร์เคิล ตัวสั่นรุนแรงขณะร่วมพิธีต้อนรับประธานาธิบดีคนใหม่ของยูเครน
|
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นระหว่างที่นางแมร์เคิล ร่วมพิธีต้อนรับนายโวโลดีมีร์ เซเลนสกี อดีตนักแสดงตลกที่ชนะเลือกตั้งได้เป็น ประธานาธิบดีคนใหม่ของแห่งยูเครน เมื่อที่ 18 มิ.ย. ที่ผ่านมา นางแมร์เคิล วัย 64 ปี ตัวสั่นเทาอย่างเห็นได้ชัดขณะที่เธอยืนอยู่ข้างนายเซเลนสกี ช่วงที่วงดุริยางค์ของกองทัพบรรเลงเพลงชาติของทั้งสองประเทศ ท่ามกลางแดดจ้า ซึ่งมีอุณหภูมิราว 30 องศาเซลเซียส หลังคลิปวิดีโอนี้ถูกเผยแพร่ออกมา หลายฝ่ายได้แสดงความเป็นห่วงสุขภาพของผู้นำหญิงของเยอรมนีผู้นี้ อย่างไรก็ตาม นางแมร์เคิล กล่าวชี้แจงเรื่องนี้ระหว่างการแถลงข่าวร่วมกับนายเซเลนสกีว่า ช่วงเกิดเหตุเธอมีอาการขาดน้ำ แต่ก็มีอาการดีขึ้นหลังจากได้ดื่มน้ำไปราว 3 แก้ว นางแมร์เคิลดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเยอรมนีตั้งแต่ปี 2005 เธอได้รับยกย่องให้เป็นหนึ่งในสตรีผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในโลก อย่างไรก็ตาม เธอได้ประกาศว่าจะไม่ลงเลือกตั้งอีกหลังจากหมดวาระในปี 2021
|
นายกรัฐมนตรีอังเกลา แมร์เคิล ของเยอรมนียืนยันว่า ตนเองสบายดี หลังจากปรากฏภาพเธอยืนตัวสั่นเทาระหว่างให้การต้อนรับประธานาธิบดียูเครนท่ามกลางสภาพอากาศร้อนในกรุงเบอร์ลิน
|
thailand-54970284
|
https://www.bbc.com/thai/thailand-54970284
|
ประชุมรัฐสภา : ส.ว.ค้านตั้ง ส.ส.ร. ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ ด้าน พปชร. แสดงท่าทีรับเฉพาะร่าง 1 และ 2
|
ด้านไอลอว์ยืนยัน ข้อเสนอไม่ได้ผูกมัด และจะยอมรับความเห็นของ ส.ส.ร. ที่มาจากการเลือกตั้ง แต่จำเป็นต้องรื้อถอนระบอบอำนาจที่มาจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ก่อน นายเสรี สุวรรณภานนท์ ส.ว. และอนุกรรมาธิการของ คณะกรรมาธิการ (กมธ.) ศึกษาร่างแก้รัฐธรรมนูญ เป็นหนึ่งใน ส.ว.ที่ย้ำจุดยืนว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญต้อง "ไม่ก้าวล่วงสถาบันฯ" ขณะที่พรรคฝ่ายค้าน วิจารณ์ว่า รายงานผลศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญของ กมธ. "เสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์" และเป็นการเตะถ่วงเพื่อซื้อเวลาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ การประชุมร่วมกันของรัฐสภา เพื่อพิจารณาญัตติร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม รวม 6 ฉบับ ซึ่งเสนอโดย ส.ส. และอีก 1 ฉบับที่เพิ่มมาของภาคประชาชน เสนอโดยไอลอว์ มีขึ้นในวันที่ 17 พ.ย. เป็นวันแรก ขณะที่นอกรั้วรัฐสภากลุ่มประชาชนที่มีความเห็นต่าง 2 ฝ่าย ได้รวมตัวกดดันรัฐสภา นายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา เริ่มเปิดประชุมในเวลา 09.56 น. ก่อนสรุปเวลาการอภิปรายที่ 14 ชั่วโมงเศษ โดยในการรายงานร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับภาคประชาชนหรือไอลอว์ ใช้เวลาชี้แจงร่างกฎหมาย 30 นาที การประชุมเริ่มต้นด้วยการชี้แจงรายงานผลศึกษาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ 6 ร่าง โดยในประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญว่าด้วยหมวดเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ นายวิรัช รัตนเศรษฐ ประธานวิปรัฐบาล กล่าวสรุปปิดท้ายในการรายงานผลการศึกษาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญว่า ญัตติของพรรคร่วมรัฐบาลไม่ได้มีการเสนอหรือแตะต้องในหมวดนี้ ส่วนข้อกังวลของ ส.ว.เกี่ยวกับประเด็นพระราชอำนาจที่อยู่ในบทบัญญัติมาตราอื่น ๆ อีก 38 มาตรา สามารถเสนอต่อ กมธ.ให้อยู่ในบทบัญญัติของร่างรัฐธรรมนูญใหม่ สามารถเสนอให้อยู่ในพิจารณาวาระที่สอง นายสมชาย แสวงการ (คนกลาง) สมาชิกวุฒิสภา คณะกรรมาธิการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมก่อนรับหลักการหารือกันระหว่างที่สมาชิกรัฐสภาอภิปราย "ส่วนนี้เป็นอีกส่วนที่เราไม่ได้เข้าไปแตะต้อง อันนี้ยืนยันอีกครั้งหนึ่ง" นายวิรัช กล่าว ญัตตินี้กลายเป็นวาระ "ค้างสภา" หลังจากที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาเมื่อ 23-24 ก.ย. ไม่ยอมลงมติรับ/ไม่รับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่ให้ตั้ง กมธ. ศึกษาร่างแก้รัฐธรรมนูญก่อนรับหลักการ โดยอ้างว่า ส.ส. กับ ส.ว. ยังไม่เคยคุยกันเลย สร้างความไม่พอใจให้แก่ผู้ชุมนุมประท้วงบนท้องถนน ที่ชูธงแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็น 1 ใน 3 ข้อเรียกร้องหลัก นายวิรัช ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เป็นเจ้าของร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับรัฐบาล และเป็น "ตัวชง" ข้อเสนอให้ตั้ง กมธ. ก่อนที่ตัวเขาจะนั่งเป็นประธาน กมธ. ชุดที่ไม่มี ส.ส. ฝ่ายค้านร่วมสังฆกรรมแม้แต่คนเดียว ส.ส. และ ส.ว. เริ่มพิจารณาผลการศึกษาของ กมธ.ศึกษาร่างแก้รัฐธรรมนูญก่อนรับหลักการทั้ง 6 ร่าง ก่อนพิจารณาร่างของไอลอว์ โดยคาดว่าจะลงมติได้วันที่ 18 พ.ย. หลังเวลา 19.00 น. ในการผ่านวาระ 1 ขั้นรับหลักการ ต้องได้คะแนนเสียงเห็นชอบจากสมาชิกรัฐสภา "ไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของสมาชิกที่มีอยู่สองสภา" หรือ 366 จาก 732 เสียง (มี ส.ส. ปฏิบัติหน้าที่ได้ 487 คน และ ส.ว. 245 คน) ในจำนวนนี้ต้องเป็นคะแนนเสียงเห็นชอบจาก ส.ว. "ไม่น้อยกว่า 1 ใน 3" ของวุฒิสภาที่มีอยู่ หรือ 84 คน นายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา เดินตรวจเยี่ยมเจ้าหน้าที่บริเวณทางเข้าออกรัฐสภา ภายหลังกลุ่มผู้ชุมนุมราษฎรประกาศสลายการชุมนุมหน้ารัฐสภา ระหว่างการประชุมร่วมกันของรัฐสภา วันที่ 17 พ.ย. 2563 ทั้งนี้ส่วนของ ส.ว. มีสมาชิกเข้าร่วมประชุม 245 คน เนื่องจากผู้บัญชาการเหล่าทัพทั้ง 5 เหล่า (บก-เรือ-อากาศ-กองทัพไทย-ตำรวจ) ประกาศไม่เข้าร่วมประชุมเนื่องจากยังไม่ได้รับการโปรดเกล้าฯ เป็นวุฒิสมาชิกและอยู่ระหว่างขั้นตอนการแต่งตั้ง รายงานผลศึกษาแก้รัฐธรรมนูญ ไร้ข้อสรุป นายนิกร จำนง ประธานอนุกรรมาธิการ จากพรรค ชาติไทยพัฒนา จัดทำรายงานพิจารณาศึกษา ชี้แจงเนื้อหารายงาน เมื่อไม่มีฝ่ายค้านร่วมด้วย จึงไม่มีข้อสรุปหรือข้อยุติใด ๆ มีเพียงบันทึกให้ความเห็นของคณะกรรมาธิการ เช่น เห็นควรว่าควรมีการออกเสียงประชามติเพียง 1 ครั้ง และต้องมีกฎหมายประชามติฉบับใหม่ ส่วนการป้องกันไม่ให้มีการแก้ไขกระทบพระราชอำนาจในมาตราอื่นๆ นอกจากหมวด 1 และ 2 นายนิกร ระบุว่า "กรรมาธิการฯ มีความเห็นว่า หมวด 1 หมวด 2 ไม่มีการแก้ไขเขียนไว้ชัด แต่ว่าในหมวดอื่นที่มีพระราชอำนาจอยู่ในหลายมาตรา จะมีผลกระเทือนหรือไม่ในการจัดตั้ง ส.ส.ร. ขึ้นมา กมธ. มีความเห็นทางเดียวกันว่า ส่วนพระราชอำนาจมาตราอื่นเป็นไปตาม ฐานะของประมุขของรัฐอยู่แล้ว แต่ให้กำหนดเป็นหลักการสำคัญในการพิจารณาวาระต่อไป สมาชิกรัฐสภาติดตามการถ่ายทอดสดเหตุสลายการชุมนุมกลุ่ม "ราษฎร" ด้านหน้ารัฐสภา ซึ่งเกิดขึ้นระหว่างการประชุมร่วมกันของรัฐสภา ครั้งที่ 1 เพื่อพิจารณารับหลักการร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่..) พ.ศ.... ที่ ห้องประชุมรัฐสภา เมื่อ 17 พ.ย. 2563 ส.ว. ค้านตั้ง สงส.ร. ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ ส่วนการอภิปรายของ ส.ว. มีการอภิปราย ในหลากหลายประเด็น โดยการอภิปรายที่น่าสนใจ คือ นายเสรี สุวรรณภานนท์ ซึ่งชี้ประเด็นการแก้ไขมาตรา 255 และ 256 ชี้ว่าให้แก้เพิ่มเติมอย่างเดียว ไม่ใช่การร่างใหม่ทั้งฉบับ และบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญหากแก้ไขเพิ่มเติม หากเป็นเรื่องการเปลี่ยนแปลงการปกครองมี่พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขหรือการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของรัฐจะกระทำมิได้ "สิ่งสำคัญที่สุดการจะมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ หรือออกในรูปแบบใดก็ตาม ต้องไม่ก้าวล่วงสถาบัน ต้องเคารพเทิดทูน แล้วทำความเข้าใจกับพี่น้องประชาชนทั่วประเทศว่าอย่าไปสร้างปัญหา เรื่องความแตกแยก ต้องหยิบยกเรื่องสถาบันอยู่นอกเหนือการเมือง อย่าหยิบยกมาต่อสู้ถกเถียงกัน ล้อเลียนกัน มันเกิดความไม่สงบเรียบร้อยในบ้านเมือง" นายเสรี กล่าว นายเสรี ยังตั้งคำถามถึงการเสนอญัตติให้ตั้ง ส.ส.ร.ว่าการแก้ไขบทบัญญัติให้ตั้ง ส.ส.ร.ขึ้นอาจเป็นการละเมิดมาตรา 255 เนื่องจากรัฐสภามีอำนาจในการเสนอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ แต่กลับไปตั้ง ส.ส.ร.ขึ้นมาอีกชุดหนึ่ง "พอไปบัญญัติให้แก้ไขรัฐธรรมนูญโดยมี ส.ส.ร.เกิดขึ้น รัฐสภามีอำนาจอยู่แล้ว แต่เราไม่ใช้ เรากลับไปมอบอำนาจให้คณะกรรมการอีกชุดหนึ่งจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่" นายสมชาย แสวงการ เป็น ส.ว. อีกคน ที่แสดงความไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยให้ ส.ส.ร.ยกร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาใหม่ทั้งฉบับ เนื่องจากเป็นการขัดรัฐธรรมนูญ หลังจากนี้จะขอให้สภา ยื่นศาลรัฐธรรมนูญเพื่อความรอบคอบ ถ้าทำไม่ได้ จะได้แก้ไขให้ถูกต้อง ถ้าศาลวินิจฉัยให้ทำได้ก็จะเดินหน้าต่อไป "การเสนอญัตติ ยกร่างใหม่ทั้งฉบับ และ การแก้รายมาตรา ถ้าสภารับไปพร้อมกันจะขัดแย้งกันเอง เราเดินมาผิดทางหมด ชัดเจนว่ารัฐธรรมนูญไม่ได้มีความเสียหายอะไรมากมายถึงขั้นไปล้ม ร่างใหม่ทั้งหมด แต่ท่านเดินมาถึงจุดนี้พร้อม ๆ กับการเคลื่อนมวลชนมาสู่สภาเลยทำให้ปัญหาลุกลามบานปลาย" นายสมชายกล่าว ประมวลสถานการณ์สลายการชุมนุมด้วยรถฉีดน้ำแรงดันสูงและแก๊สน้ำตา-ประชุมสภาวันที่ 17 พ.ย. พรรคเพื่อไทย ชี้รายงานไม่มีข้อสรุป ชัดเจนต้องการเตะถ่วงแก้ไขรัฐธรรมนูญ นายประเสริฐ จันทรรวงทอง ส.ส.นครราชสีมา เลขาธิการพรรคเพื่อไทย อภิปรายถึงรายงานของคณะกรรมาธิการ โดยไม่มีสาระสำคัญเพื่อให้สมาชิกรัฐสภาตัดสินใจ เป็นเพียงการรวบรวมความคิดเห็นจากแต่ละคนเท่านั้น ไม่มีแม้แต่ข้อสังเกตที่เป็นประโยชน์ จึงเป็นรายงานที่ไม่ได้มีการศึกษาเพิ่มเติม เป็นเพียงความเห็นที่เคยอภิปรายกันไปแล้ว จึงเสียทั้งเวลา เสียทั้งเงิน เสียความรู้สึก เพราะประชาชนมองว่าเป็นการซื้อเวลา รายงานฉบับนี้จึงแสดงให้เห็นถึงความไม่จริงใจแก้ไขรัฐธรรมนูญ แตะถ่วงให้รัฐธรรมนูญแก้ไขได้ยากยิ่งขึ้นโดยการกระทำการย้อนแย้ง แม้ฝ่ายรัฐบาลจะยื่นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่มี ส.ส.พรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาลถึง 25 คน ไปร่วมเข้าชื่อขอให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ ตอกย้ำความจริงว่าเขาอยากอยู่ยาว รัฐบาลจึงไม่อยากแก้ไขเพราะได้ประโยชน์จากรัฐธรรมนูญฉบับนี้ นายจอน อึ๊งภากรณ์ ผู้ก่อตั้งและผู้อำนวยการไอลอว์ หารือกับนายยิ่งชีพ อัชฌานนท์ ผู้จัดการไอลอว์ระหว่างเตรียมชี้แจงต่อรัฐสภา นายนิยม เวชกามา ส.ส.เพื่อไทย อภิปรายสนับสนุนร่างรัฐธรรมนูญของไอลอว์ และหักล้างเหตุผลของสมาชิกรัฐสภาที่ไม่เห็นด้วยซึ่งอ้างว่า ร่างดังกล่าวขัดต่อรัฐธรรมนูญ โดยเขาได้ยกตัวอย่างข้อเสนอที่ไอลอว์เสนอว่าเคยมีการเสนอกันแล้วในรัฐสภา และหากไม่เห็นด้วยก็สามารถตัดออกได้ นายนิยมได้ยกตัวอย่าง การเสนอไม่ให้มีนายกรัฐมนตรีที่ไม่ใช่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร โดยการยกเลิกมาตรา 272 ว่าเป็นเพียงการเสนอความคิดเห็น "เขาผิดอะไร เป็นการเสนอความเห็น เขาไม่ได้ผูกมัด อันไหนที่รับไม่ได้ ก็ไม่ต้องใส่เข้าไป สมาชิกบางท่านเห็นว่า กลุ่มราษฎรมีส่วนร่วมก็วิตกจริตเลย ดูตรงไหนใน 10 ข้อที่ว่าจะผิดรัฐธรรมนูญ" นายนิยม กล่าว ส่วนการเสนอให้ยกเลิกแผนปฏิรูป สมาชิกรัฐสภาแห่งนี้หลายคนก็มีความคิดไม่แตกต่างกัน ดังนั้นเขาจึงต้องการให้มีการผ่านร่างรัฐธรรมนูญของไอลอว์เพื่อให้บ้านเมืองเดินหน้าต่อไปได้ และหากไม่เห็นด้วยในเรื่องใด ก็สามารถตัดออกได้ในขั้นตอนของคณะกรรมาธิการ "กลุ่มที่เสนอเข้ามา จะมีสิทธิ์เป็นกรรมาธิการกับท่านได้สักกี่คน ท่านกลัวอะไร" นายนิยม กล่าว นอกจากนี้ยังพูดถึงข้อเสนอยกเลิกมาตรา 279 คือการยกเลิกคำสั่งของ คสช. ทั้งหมด ว่า สมาชิกรัฐสภาก็เคยเสนอแล้ว ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องผิด เขาจึงไม่เห็นว่าจะมีข้อเสนอใดที่เป็นการทำร้ายชาติบ้านเมือง โดยเฉพาะการเสนอให้นายกฯ ต้องเป็น ส.ส. และส.ว.ต้องมาจากการเลือกตั้ง ซึ่งในสมัยที่พรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาลก็เคยผลักดันให้ ส.ว. มาจากการเลือกตั้งมาแล้ว แต่เกิดรัฐประหารก่อน ท่าทีพลังประชารัฐ ท่าทีลของ พปชร. คือคาดว่าจะโหวตรับหลักการเพียง 2 ร่างเท่านั้นคือ ร่างรัฐธรรมนูญ แก้ไขมาตรา 256 เสนอโดยพรรคร่วมรัฐบาล และร่างรัฐธรรมนูญ แก้ไขมาตรา 256 เสนอโดย 5 พรรคร่วมฝ่ายค้าน ยกเว้นพรรคก้าวไกล ซึ่งมีหลักการสำคัญคือการเปิดทางตั้งส.ส.ร. มาจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ นายวีรกร คำประกอบ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคพลังประชารัฐ ได้อภิปรายร่างรัฐธรรมนูญที่เสนอโดยไอลอว์ว่า ร่างดังกล่าวไม่ให้อิสระแก่ ส.ส.ร. แต่กลับเป็นการบังคับให้ ส.ส.ร. ทำตามข้อเสนอของไอลอว์ 10 ข้อ "ในกรณีนี้เราให้ประชาชนเลือก ส.ส.ร. ขึ้นมาร่าง เมื่อเรามอบอำนาจให้กับประชาชน เลือกคนที่จะร่างขึ้นมา เราจะต้องให้อิสระกับเขา โดยไม่ไปผูกมัดความคิด" นายวีรกร กล่าว นายวีรกร ระบุว่า เขาเห็นด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญที่เสนอโดยรัฐบาลและฝ่ายค้านซึ่งคือ ร่างที่ 1 และ 2 มากกว่า แม้ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญผ่านความเห็นชอบของสมาชิกรัฐสภา ในวาระ 1 และเข้าสู่การตั้ง กมธ. วิสามัญพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก่อนกลับเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาในวาระ 2 และ 3 แต่ก็ยังไม่มีอะไรการันตีว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะเกิดขึ้นได้ เมื่อมือกฎหมายของพรรคแกนนำรัฐบาลนำทีมส่งศาลรัฐธรรมนูญตีความว่าร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ 3 ฉบับ ที่มีเนื้อหาให้ตั้ง ส.ส.ร. มาร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับว่าทำได้หรือไม่ ขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ ท่ามกลางเสียงวิจารณ์จากฝ่ายค้านว่าจงใจ "ยื้อเวลา" "ตีสองหน้า" และ "ขัดขวางการแก้ไขรัฐธรรมนูญ" สัปดาห์ก่อน 48 ส.ว. และ 25 ส.ส. สังกัด พปชร. นำโดยนายสมชาย แสวงการ ส.ว. และนายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส.บัญชีรายชื่อ พปชร. ร่วมกันลงชื่อเสนอญัตติต่อประธานรัฐสภา เพื่อให้ส่งเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยปัญหาหน้าที่และอำนาจของรัฐสภา ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 210 (2) "หากไม่ทำเช่นนี้ ส.ว. หลายคนไม่สบายใจ และอาจงดออกเสียงในร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ" นายไพบูลย์กล่าว นายไพบูลย์อ้างว่า "ไม่มีเจตนาถ่วง" และสิ่งที่ทำ "เป็นทางออก" ที่ต้องการให้เกิดความชัดเจนก่อนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ จะสิ้นสุดทั้งกระบวนการ ไอลอว์ พูดอะไรในสภา ขณะที่ด้านนอกสภายังเต็มไปด้วยความตึงเครียดและความวุ่นวายมานานกว่า 4 ชั่วโมงแล้ว การอภิปรายร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญยังดำเนินต่อไปในรัฐสภา เวลาประมาณ 16.30 น. ผู้แทนจากโครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชนหรือ "ไอลอว์" ซึ่งเป็นผู้เสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนได้เข้าชี้แจงต่อที่ประชุมรัฐสภา "นี่ไม่ใช่เรื่องสุดโต่งและไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ในบ้านเมืองเรา" นายยิ่งชีพ อัชฌานนท์ ผู้จัดการไอลอว์กล่าวในที่ประชุมสภา ทั้งนี้ไอลอว์ได้ส่งผู้แทน 3 คนมาชี้แจงร่างฉบับประชาชน ได้แก่ น.ส.จิรนุช เปรมชัยพร นายจอน อึ๊งภากรณ์ และนายยิ่งชีพ ระหว่างการอภิปราย นายยิ่งชีพ ได้ลุกขึ้นชี้แจงเป็นระยะ โดยเขาได้ชี้แจงข้อกล่าวหาว่าข้อเสนอของร่างรัฐธรรมนูญของไอลอว์ผูกมัด ส.ส.ร. ว่า ระบบที่ไอลอว์ออกแบบมานั้น ไม่ได้ปิดกั้นความคิดเห็นของ ส.ส.ร.ใหม่ แต่ไอลอว์เสนอให้รื้อถอนอำนาจของ คสช. ก่อน ซึ่งหมายถึงองค์กรอิสระที่ได้รับการแต่งตั้งจาก คสช. รวมถึง คณะกรรมการการเลือกตั้ง และศาลรัฐธรรมนูญ นายยิ่งชีพกล่าวเพิ่มเติมว่า ถ้า ส.ส.ร. ที่มาจากการเลือกตั้ง 100% บอกว่าประชาชนอยากให้มี ส.ว. จากการแต่งตั้ง หรือมีนายกฯ ที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง มีองค์กรอิสระที่ตรวจสอบไม่ได้ ทางไอลอว์ก็ยอมรับ นายยิ่งชีพย้ำถึงความฝัน 5 ข้อ ซึ่งถูกนำเสนอสู่สาธารณะจนกระทั่งมีประชาชนกว่า 1 แสนคน ร่วมลงชื่อภายใน 43 วัน ว่าเป็นข้อเสนอที่เรียกร้องในหลักการพื้นฐานของการปกครองแบบประชาธิปไตยที่หลายประเทศทั่วโลกใช้กัน เขาไล่เรียงถึงความฝันของร่างฉบับประชาชนว่า คือ ความฝันในการอยู่ในประเทศที่กติกาการปกครองสูงสุดถูกเขียนโดยประชาชน มีการยกร่างจากประชาชน 100% ทว่ากลไกต่าง ๆ ในรัฐธรรมนูญ 2560 ทำให้ความฝันเหล่านี้เป็นจริงไม่ได้ "ความฝันนี้ของพวกเราเป็นเรื่องยากเกินไปไหมครับ สิ่งที่พวกเราและอีกแสนคนเสนอเป็นข้อเสนอที่ธรรมดามาก ๆ และเรียกร้องหลักการที่พื้นฐานมาก ๆ" เขากล่าว "นี่ไม่ใช่เรื่องสุดโต่งและไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ในบ้านเมืองเรา...เราเพียงเรียกร้องให้แก้ไขระบอบการเมืองที่ผิดปกติในปัจจุบัน ให้กลับมาเป็นระบอบการเมืองที่ปกติธรรมดาเท่านั้นเอง" รุมโจมตี แหล่งทุน ไอลอว์ นอกจากนี้ ส.ส. รัฐบาล และ ส.ว. อีกหลายคนผลัดกันโจมตีไอลอว์ว่ารับเงินสนับสนุนจากต่างประเทศ ไม่หวังดีต่อประเทศ ซึ่ง น.ส. จีรนุช เปรมชัยพร ผู้แทนจากไอลอว์ ชี้แจงว่า องค์กรภาคประชาสังคมเองก็ไม่อยากรับเงินต่างชาติ หากองค์กรอิสระของรัฐ "ใจกว้างเพียงพอ" ในการอนุมัติงบประมาณให้กับองค์กรที่ทำงานวิพากษ์วิจารณ์รัฐ แต่สิ่งนี้ไม่เกิดขึ้น องค์กรภาคประชาสังคมจึงต้องแสวงหาแหล่งทุนที่พร้อมจะสนับสนุนงบประมาณ เธอยืนยันว่าแหล่งทุน "ไม่สามารถชี้นิ้วสั่งบอกให้ทำอะไร" ได้ อีกทั้งประเทศต้นทางของแหล่งทุนจะมีการตรวจสอบและมีกระบวนการโปร่งใส ไอลอว์ไม่เคยงุบงิบปิดซ่อนถึงกระบวนการรับทุนดังกล่าว น.ส. จีรนุช กล่าวอีกว่า การพยายามนำข้อกล่าวหาเหล่านี้มาทำลายไอลอว์ เป็นการบั่นทอนความเป็นจริงที่ว่า ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นความต้องการในการแก้ไขรัฐธรรมนูญของประชาชนไทยหนึ่งแสนคน ไม่ได้มีแหล่งทุนหรือต่างชาติที่ไหนมากำหนดหรือบงการ "วาทกรรมลักษณะนี้ ขอเถอะค่ะ มันเหนื่อยและไร้สาระมาก เรามีงานใหญ่ที่ต้องทำ มีเรื่องที่ต้องปรึกษาหารือกับประชาชน มีเรื่องใหญ่ ๆ มากมาย ขอเถอะค่ะเรื่องนี้" ชวน: ใครทำให้ผู้ชุมนุมโดยสงบเดือดร้อนต้องรับผิดชอบ ช่วงหนึ่งของการประชุมสมาชิกรัฐสภา ซึ่งดำเนินไปขณะที่เจ้าหน้าที่ฉีดน้ำแรงดันสูงและแก๊สน้ำตาเข้าใส่กลุ่มผู้ชุมนุม รวมทั้งมีการปะทะกันระหว่างกลุ่ม "ราษฎร" และกลุ่มคนเสื้อเหลืองอยู่ด้านนอก สมาชิกรัฐสภาจากพรรคเพื่อไทยได้ลุกขึ้นอภิปรายเรียกร้องให้ประธานรัฐสภา ประสานงานไปยังหน่วยงานด้านความมั่นคงให้ยุติใช้ความรุนแรงกับกลุ่มผู้ชุมนุม บริเวณหน้าอาคารรัฐสภา และปฏิบัติต่อผู้ชุมนุมด้วยความเท่าเทียมกัน โดยนายชวนกล่าวว่า เขาได้สั่งให้เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรทำบันทึกเหตุการณ์ และได้กำชับมาตลอดว่า ยินดีให้กลุ่มผู้ชุมนุมเข้ามาทำกิจกรรมในพื้นที่ของรัฐสภาได้ โดยที่ไม่ต้องมีการเตรียมมาตรการใดใดเป็นพิเศษ แต่จะต้องเป็นการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ ไม่คุกคามในทุกรูปแบบ และยังได้กำชับเจ้าหน้าที่ว่าอย่าทำอะไรที่เกินกว่าเหตุ ใครทำอะไรกับผู้ชุมนุมที่ชุมนุมโดยสงบให้เดือดร้อน คนนั้นต้องรับผิดชอบนายชวนกล่าว โดยนายชวน ได้เดินตรวจเยี่ยมเจ้าหน้าที่บริเวณทางเข้าออกรัฐสภา ภายหลังกลุ่มผู้ชุมนุมราษฎรประกาศสลายการชุมนุมหน้ารัฐสภา ระหว่างการประชุมร่วมกันของรัฐสภา นายชวนสั่งพักการประชุมในเวลา 0.08 น. ของวันที่ 18 พ.ย. และนัดหมายการประชุมในเวลา 09.30 น.
|
สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ฝ่ายรัฐบาลมีท่าทีไม่ยอมรับร่างรัฐธรรมนูญที่เสนอโดย โครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (ไอลอว์) หรือที่เรียกว่า รัฐธรรมนูญที่มาจากภาคประชาชน โดยอ้างว่า ผิดรัฐธรรมนูญ และผูกมัดสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.)
|
features-40341463
|
https://www.bbc.com/thai/features-40341463
|
เส้นทางร้านอาหารไทย กับ สอง "พิณ" ในถิ่นอังกฤษ : "สายพิณฑ์ ลี"
|
เรื่องและวิดีโอโดย สุชีรา มาไกวร์ ผู้สื่อข่าววิดีโอ ชื่อของ สายพิณฑ์ ลี เป็นที่รู้จักกันดีในวงการธุรกิจร้านอาหารไทยในอังกฤษ นอกจากจะดำรงตำแหน่งกรรมการสมาคมธุรกิจไทยในสหราชอาณาจักรแล้ว เธอได้รับความไว้วางใจจากเจ้าของธุรกิจร้านอาหารไทยหลายรายให้เข้ามาบริหารกิจการจนประสบความสำเร็จตลอดช่วง 16 ปีที่ผ่านมา เธอใช้ประสบการณ์ทำงานด้านบริหารอสังหาริมทรัพย์ และความรู้ด้านบริหารธุรกิจมาบริหารบุคคล การตลาด และการเงินสำหรับธุรกิจร้านอาหาร สายพิณฑ์ ลี ได้รับเลือกเป็นหนึ่งในสตรี 100 คนที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดในสาขาร้านอาหารและเชฟ เมื่อปี 2554 สายพิณฑ์มีโอกาสได้ร่วมงานกับเชฟระดับแนวหน้าหลายคนรวมทั้งเชฟมิชลินสองดาว มิเชล รูซ์ จูเนียร์ ซึ่งโด่งดังในวงการอาหารของอังกฤษ ในอดีต สายพิณฑ์ รับก่อร่างสร้างเครือข่ายร้านอาหารไทยมาแล้วหลายแบรนด์ เช่น ภัทรา (เครือเอสแอนด์พี) จนล่าสุด เกรย์ฮาวด์ ที่กำลังจะเปิดในกรุงลอนดอนช่วงปลายปีนี้ นอกเหนือจากงานบริหารแล้ว สายพิณฑ์ริเริ่มโครงการเพื่อช่วยส่งเสริมคุณภาพร้านอาหารไทยที่นี่ด้วย สายพิณฑ์บอกว่าในช่วง 5-7 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลอังกฤษเพิ่มเงื่อนไขมาตรการควบคุมการนำแรงงานจากนอกสหภาพยุโรปเข้ามาทำงานในประเทศ ส่งผลให้พ่อครัวแม่ครัวไทยเข้ามาทำงานที่นี่ได้ยากขึ้น จนขาดแคลนบุคลากรและเกิดการดึงตัวพนักงานระหว่างร้านอาหารไทยด้วยกันมากขึ้น ร้านที่ไม่สามารถสู้ข้อเสนอในการจ้างงานพ่อครัวแม่ครัวไทยที่มีอยู่ได้ จำต้องหันไปจ้างชาวต่างชาติในประเทศแทน ซึ่งทำให้ส่งผลกระทบต่อรสชาติอาหารอย่างเลี่ยงไม่ได้ บางร้านที่ไม่สามารถหาพ่อครัวแม่ครัวได้ เจ้าของร้านก็ต้องมาทำอาหารเอง ทำให้ไม่มีเวลาบริหารร้านอย่างเต็มที่จนต้องปิดกิจการไปก็มี ปัจจุบัน จำนวนร้านอาหารไทยในอังกฤษลดลงเกือบครึ่ง จากเคยมีกว่า 4,000 ร้าน เหลือราว 2,600 ร้าน "การแข่งขันในการเปิดร้านสูง อาหารไทยมีความเป็นพรีเมียมอยู่ ทำให้นักลงทุนอยากใช้แบรนด์ไทยมากขึ้น การดึงตัวก็จะเยอะขึ้น" สายพิณฑ์กล่าว ด้วยเหตุนี้ สายพิณฑ์จึงเกิดแรงบันดาลใจในการรักษาชื่อเสียงร้านอาหารไทยในอังกฤษ เธอริเริ่มโครงการด้วยการประสานงานระหว่างรัฐบาลไทยและหน่วยงานของอังกฤษเพื่อบรรจุวิชาทำอาหารไทยลงในหลักสูตรการเรียนทำอาหารเอเชียที่วิทยาลัยแห่งหนึ่งในกรุงลอนดอน โดยเชฟผู้สอนหลักสูตรนี้ต้องเดินทางไปไทยเพื่อเรียนทำอาหารโดยตรงกับบุคลากรชั้นนำด้านการอาหารของไทย ก่อนจะกลับมาเป็นครูสอนนักเรียนการอาหารชาวต่างชาติที่วิทยาลัย ส่วนนักเรียนที่ลงเรียนหลักสูตรนี้ก็มีงานที่ร้านอาหารไทยรองรับหลังเรียนจบ เธอหวังให้โครงการนี้ช่วยผลักดันให้รสชาติอาหารไทยในอังกฤษได้มาตรฐาน เพื่อเป็นการรักษาคุณภาพของธุรกิจร้านอาหารไทยให้คงอยู่ ต่อยอดไปถึงการต้องการบริโภคผลิตผลของไทยและการท่องเที่ยวไทยด้วย สายพิณฑ์เป็นผู้อำนวยการโครงการร้านอาหารเกรย์ฮาวด์ซึ่งจะเปิดที่กรุงลอนดอนปลายปีนี้ "หลังจากไปคุยกับกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน คิดว่าปีนี้น่าจะเกิดโปรเจคท์ชุดแรก การนำผู้ที่เป็นเชฟอยู่แล้วไปเรียนทำให้ไม่ต้องเริ่มต้นใหม่แต่แรก นอกจากนี้ได้ไปคุยกับร้านอาหารไทยในเครือใหญ่ ๆ ให้มารับผู้จบหลักสูตรไปทำงาน ซึ่งก็ดีสำหรับนักเรียนเพราะจบมามีงานเลย เป็นโปรเจคท์ที่แอบภูมิใจนิดนึง อาหารไทยจะได้ยังอยู่ ผลิตผลไทยจะได้ยังอยู่ รวมทั้งชื่อเสียงของไทย แล้วก็การท่องเที่ยวไทย จะได้ต่อยอดได้หลายส่วน" สายพิณฑ์ บอกด้วยว่ารูปแบบการทำธุรกิจร้านอาหารไทยในอังกฤษในช่วง 10 กว่าปีมานี้เปลี่ยนไปมาก ในอดีตมีการแข่งขันน้อย หัวใจสำคัญของการดำเนินธุรกิจมีเพียงการรักษาความสม่ำเสมอของอาหาร บริการ และบรรยากาศ แต่ปัจจุบันลูกค้านิยมบอกเล่าและแบ่งปันประสบการณ์ในการใช้บริการตามที่ต่าง ๆ บนโลกออนไลน์กันเป็นเรื่องปกติ ทำให้ร้านอาหารต้องเอาใจใส่ในเรื่องรายละเอียดมากขึ้น เพราะคำพูดปากต่อปากของลูกค้าเป็นปัจจัยสำคัญในการรักษาและเพิ่มฐานลูกค้าของร้าน คำแนะนำที่เธอบอกกับเจ้าของร้านอาหารไทยทุกคนคือต้องดูแลเอาใจใส่พนักงานในร้านของตนเอง เพื่อให้พวกเขามีความสุขในการทำงาน ซึ่งจะทำให้ลูกค้าได้รับการบริการที่ดีและมีความสุขไปด้วย
|
ธุรกิจร้านอาหารไทยในอังกฤษเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ผ่านจากช่วงสูงสุดที่มีถึง 4,000 ร้าน สู่การปรับตัวท่ามกลางอุปสรรคลงมาเหลือครึ่งหนึ่งในปัจจุบัน บีบีซีไทยชวน "พิณ" 2 คัน มาเล่าประสบการณ์ในการสร้างธุรกิจร้านอาหารไทย "พิณ" หนึ่ง คือนักบริหารอาชีพที่สร้างเครือข่ายร้านอาหารไทยให้แก่บริษัทใหญ่ในไทยมาแล้วหลายราย พร้อมกับเป้าหมายใหม่ในการสร้างชื่อเสียงและมาตรฐานอาหารไทยให้เป็นที่รู้จักทั่วสหราชอาณาจักร ส่วนอีก "พิณ" หนึ่ง คือ เจ้าของเครือร้านอาหารไทยในอังกฤษที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วและเป็นที่กล่าวขานถึงอย่างมากในสื่ออังกฤษ
|
features-45077665
|
https://www.bbc.com/thai/features-45077665
|
หลุมหลบภัยรับวันนิวเคลียร์ล้างโลก
|
แผนรับมือภัยจากอาวุธนิวเคลียร์ที่ว่านี้ของบรูซ คือการสร้าง "อาร์คทู" (Ark Two) หลุมหลบภัยใต้ดินขนาด 10,000 ตารางฟุตไว้ที่หมู่บ้านฮอร์นิงมิลล์ ซึ่งอยู่ห่างจากนครโทรอนโตไปทางเหนือราว 100 กม. บรูซเล่าว่าเริ่มสร้างหลุมหลบภัยแห่งนี้เมื่อปี 1980 โดยใช้รถโรงเรียน 42 คันมาต่อกันเป็นที่หลบภัยจากแรงระเบิดนิวเคลียร์และฝุ่นกัมมันตรังสี ซึ่งภายในแบ่งเป็นห้องต่าง ๆ กว่า 50 ห้อง และสามารถจุคนได้ประมาณ 500 คน
|
ภัยคุกคามจากอาวุธนิวเคลียร์ดูเหมือนจะผ่านมาแล้วก็ผ่านไป แต่สำหรับ บรูซ บีช เขามีแผนเอาตัวรอดที่เป็นรูปธรรมระยะยาวเอาไว้แล้ว โดยการสร้างที่หลบภัยนิวเคลียร์ขนาดใหญ่ไว้ใต้ผืนดินประเทศแคนาดา
|
international-53116523
|
https://www.bbc.com/thai/international-53116523
|
วิกฤตโรฮิงญา : “ไม่มีใครรู้ว่ามีคนตายกี่คน อาจจะห้าสิบหรือมากกว่านั้น”
|
หญิงวัย 50 ปีผู้นี้เป็นหนึ่งในชาวโรฮิงญา 396 คนที่หน่วยยามฝั่งบังกลาเทศช่วยชีวิตไว้ หลังจากเรือลักลอบขนส่งพวกเขาไปลอยเคว้งคว้างอยู่กลางทะเลนานสองเดือน เธอประเมินเลขผู้เสียชีวิตนี้จากงานศพที่ลูกชายเธอซึ่งเป็นอิหม่ามเป็นผู้นำพิธี และก็พยายามอพยพหนีจากค่ายผู้ลี้ภัยในบังกลาเทศไปมาเลเซียพร้อมกับเธอ ผู้ลักลอบรับปากจะพาพวกเขาไปส่งที่มาเลเซีย แต่ก็ไม่สำเร็จ คาดีซา เป็นชาวโรฮิงญาที่อพยพหนีความรุนแรงในเมียนมาซึ่งสหประชาชาติระบุว่าเป็น "กรณีการกวาดล้างเผ่าพันธุ์ตามนิยามในตำรา" เธอมาอยู่ที่ค่ายผู้ลี้ภัยในเมืองค็อกซ์บาซาร์ในบังกลาเทศ ซึ่งมีผู้ลี้ภัยอาศัยอยู่ราวล้านคน เหมือนกับใครหลาย ๆ คน คาดีซาวาดฝันว่าจะมีชีวิตที่ดีกว่าที่ประเทศมาเลเซีย เรือลักลอบขนส่งลอยเคว้งคว้างอยู่กลางทะเลนานสองเดือน โยนศพทิ้ง ในกรณีของคาดีซา ฝันหวานกลับกลายเป็นฝันร้าย เธอเล่าว่าลูกเรือพยายามจะปิดบังเวลามีผู้อพยพเสียชีวิตบนเรือ ลูกเรือใช้วิธีเปิดเครื่องยนต์เรือทั้งสองตัวเพื่อไม่ให้ได้ยินเสียงเวลาโยนศพทิ้งลงทะเล และมักจะทำช่วงกลางดึก "ฉันมั่นใจว่ามีผู้หญิงอย่างน้อย 14-15 คนที่ตายแน่ ๆ" หนึ่งในนั้นเป็นคนที่เคยนั่งอยู่ข้าง ๆ เธอ และนั่นทำให้เธอสะเทือนใจมาก ผู้หญิงคนนั้นเดินทางมากับลูกสี่คน "ลูกชายฉันเป็นคนไปบอกลูกสาวคนโต ซึ่งอายุแค่ 16 ปี ว่าแม่ของเขาเสียชีวิตแล้ว" สามีและลูกชายคนหนึ่งของคาดีซาถูกสังหารที่รัฐยะไข่ แม่ลูกสี่ คาดีซาเองก็มีลูก 4 คน เธอกลายเป็นคนไร้บ้านและไร้สัญชาติเมื่อปี 2017 หลังจากสามีและลูกชายเธอคนหนึ่งถูกสังหารระหว่างปฏิบัติการทหารที่รัฐยะไข่ของเมียนมา หมู่บ้านเธอถูกเผา และเธอก็ต้องอพยพมาอยู่ค่ายผู้ลี้ภัยในบังกลาเทศ หลังจากลูกสาวอีกคนแต่งงานแยกไปมีครอบครัวของตัวเอง เธอก็หวังให้ลูกชายและลูกสาวที่ยังอยู่กับเธอมีชีวิตที่ดีกว่า "ชีวิตเรายากลำบากมามาก ฉันไม่เห็นว่าเราจะมีอนาคตในค่ายผู้ลี้ภัย" เธอเคยได้ยินเรื่องราวของชาวโรฮิงญาที่เดินทางไปมาเลเซียสำเร็จและก็อยากจะมีชีวิตที่ดีแบบนั้นบ้าง ขายเพชรพลอย คาดีซาขายเพชรพลอยที่มีจนได้เงิน 750 ดอลลาร์สหรัฐฯ และนำไปว่าจ้างผู้ลักลอบที่บอกว่าจะพาไปส่งที่มาเลเซีย เธอเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ บอกเพื่อนฝูงและเพื่อนบ้านว่าจะไปพบแพทย์ ผู้ลักลอบนัดเจอเธอที่ป้ายรถเมล์แห่งหนึ่ง ก่อนจะพาเธอและลูก ๆ ไปที่ฟาร์มแห่งหนึ่ง ซึ่งมีคนอีกหลายร้อยรวมตัวกันอยู่ ลูกชายเธอซึ่งเป็นอิหม่ามเป็นผู้นำประกอบพิธีศพให้กับผู้อพยพที่เสียชีวิตบนเรือ แออัด เรือลำแรกพาพวกเขาออกไปทางอ่าวเบงกอล ก่อนที่สองวันให้หลังจะย้ายไปขึ้นเรืออีกลำที่ใหญ่กว่าและมีผู้คนแออัดมากจนคาซีดาไม่สามารถจะยืดขาได้ "ฉันคิดว่ามีคนมากกว่า 500 คนได้" เรือลำนั้นใหญ่กว่าเรืออวนลากที่เห็นกันทั่วไปในเอเชียใต้ แต่แน่นอนว่าใหญ่ไม่พอจะรองรับผู้โดยสารมากมายเช่นนั้น ลูกเรือซึ่งเป็นชาวเมียนมาได้อยู่ชั้นบน ถัดลงมาเป็นชั้นของผู้หญิง ส่วนที่ท้องเรือเป็นที่อยู่สำหรับผู้ชาย "ตอนแรกฉันรู้สึกกลัว" คาดีซา เล่า "ฉันไม่รู้เลยว่าชะตากรรมเราจะเป็นอย่างไร แต่เมื่อทุกอย่างเริ่มลงตัว ฉันก็เริ่มคิดฝันอีกครั้ง" "ฉันคิดว่าเราจะได้มีชีวิตที่ดีกว่า เพราะฉะนั้นไม่สำคัญว่าเราจะเผชิญปัญหาอะไรอยู่" คนตาย บนเรือแทบไม่มีน้ำใช้และไร้สุขอนามัย คาดีซาได้อาบน้ำเพียงสองครั้งในช่วงสองเดือน โดยใช้น้ำทะเลและก็ต้องอาบต่อหน้าคนอิ่น ส้วมเป็นแค่ไม้สองแผ่นวางทาบลงบนหลุมตรงกลาง "ไม่กี่วันหลังจากออกเดินทางจะไปมาเลเซีย เด็กผู้ชายคนหนึ่งตกหลุมลงไปสู่ทะเล แล้วก็เสียชีวิต" นั่นเป็นครั้งแรกที่คาดีซาต้องเห็นคนเสียชีวิต มาเลเซีย หลังจากเดินทางอยู่ 7 วัน และต้องเผชิญคลื่นรุนแรงในบางครั้ง พวกเขาก็เห็นชายฝั่งมาเลเซียในที่สุด ตรงนี้เองที่พวกเขาหวังว่าจะมีเรือเล็กมารับเข้าฝั่ง แต่วิกฤตโควิด-19 ทำให้เจ้าหน้าที่มาเลเซียตรวจตราแนวชายฝั่งเข้มงวดเป็นพิเศษ และกัปตันเรือก็บอกพวกเขาว่าไม่สามารถเข้าไปจอดเทียบท่าที่มาเลเซียได้ "ไม่มีใครรู้ว่ามีคนตายกี่คน อาจจะห้าสิบหรือมากกว่านั้น" ดื่มน้ำทะเล พวกเขาต้องถอยออกมาจากชายฝั่งมาเลเซีย ขณะนั้นอาหารและน้ำก็เริ่มขาดแคลน ขณะมุ่งหน้าไปมาเลเซีย พวกเขาได้กินข้าววันละสองครั้ง บางทีมาพร้อมกับถั่วเลนทิลและน้ำเหยือกหนึ่ง "ตอนแรก ๆ กลายเป็นแค่หนึ่งมื้อต่อวัน จากนั้นก็หนึ่งมื้อต่อสองวัน มีแค่ข้าวเปล่าอย่างเดียว" จากนั้นก็เริ่มขาดน้ำดื่มจนผู้อพยพบางคนต้องหันไปดื่มน้ำทะเลแทน โอกาสที่สอง อีกหลายวันต่อมา ขณะจอดเรือรออยู่นอกชายฝั่งประเทศไทย มีเรือเล็กอีกลำขนเสบียงมาให้ พวกเขาพยายามมุ่งหน้าไปสู่มาเลเซียอีกครั้ง แต่แล้วก็ถูกกองทัพเรือเมียนมาสกัดไว้ได้ คาดีซาบอกว่า เจ้าหน้าที่จับกุมตัวกัปตันและลูกเรือสามคนไป แต่สุดท้ายก็ปล่อยตัว แรงกดดัน ถึงตอนนั้น ทุกคนเริ่มตระหนักแล้วว่าพวกเขาต้องลอยเคว้งคว้างอยู่กลางทะเล ไม่ได้ไปไหน ผู้อพยพกลุ่มหนึ่งรวมตัวกันไปขอร้องให้กลุ่มผู้ลักลอบช่วยพาพวกเขาไปส่งที่ฝั่ง จะเป็นที่เมียนมาหรือบังกลาเทศก็ได้ แต่พวกเขาก็ถูกปฏิเสธ ลูกเรือบอกว่าเสี่ยงเกินไป พวกเขาอาจถูกจับกุมและยึดเรือไป เมื่อเวลาผ่านไปเรื่อย ๆ ก็เริ่มมีข่าวลือว่าลูกเรือทรมานและข่มขืนผู้อพยพ "ฉันได้ยินว่ามีลูกเรือคนหนึ่งถูกฆ่า แล้วก็จับโยนลงทะเล" บนเรือมีลูกเรือชาวเมียนมา 10 คน ต้องคอยควบคุมผู้อพยพราว 400 คน "พวกเขาตระหนักว่าไม่อาจจะสู้และชนะพวกเราได้" ในที่สุด กลุ่มลูกเรือเรียกร้องเงินจากกลุ่มผู้อพยพอีก 1,200 ดอลลาร์สหรัฐฯ และไม่กี่วันต่อมา เรือลำเล็กก็แล่นมา แต่แล้วกัปตันและลูกเรือส่วนใหญ่ก็รีบกระโดดลงเรือเล็กลำนี้แล้วหนีไป และผู้อพยพที่ถูกทิ้งไว้ต้องพยายามบังคับเรือเข้าหาฝั่งบังกลาเทศเอง โดยมีลูกเรือที่เหลืออยู่สองคนคอยช่วย คาดีซา ต้องกลับมาที่ค่ายผู้ลี้ภัยอีกครั้งพร้อมกับเรื่องสะเทือนใจ สูญสิ้นทุกอย่าง "ฉันดีใจมากที่ในที่สุดก็ได้เห็นชายฝั่งอีกครั้งเป็นครั้งแรกในรอบสองเดือน" คาดีซา เล่า เธอกลับมาอยู่บังกลาเทศอีกครั้ง หลังจากกักตัวอยู่สองสัปดาห์ เธอเดินทางกลับไปที่ค่ายผู้ลี้ภัยเดิมเพื่อพบว่าอีกครอบครัวหนึ่งเข้ามาอยู่แทนที่เธอแล้ว เธอไม่สามารถกลับไปที่บ้านที่เมียนมาที่เธอเคยทำไร่ได้อีก และตอนนี้ต้องอาศัยอยู่ในพื้นที่แคบ ๆ ร่วมกับลูกชายและลูกสาว "ฉันสูญเสียทุกอย่างเพื่อความฝัน" เธอกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบาอย่างครุ่นคิด "อย่าทำพลาดแบบฉันอีก" ภาพประกอบโดย ลู หยาง
|
"ไม่มีใครรู้ว่ามีคนตายกี่คน อาจจะห้าสิบหรือมากกว่านั้น" คาดีซา เบกุม เล่า
|
international-39934335
|
https://www.bbc.com/thai/international-39934335
|
เจ้าตูบเล่นสเก็ตบอร์ด
|
โจล เจ้าของเอร็อก เล่าว่า เด็กแวะดื่มน้ำแล้วก็ลืมทิ้งไว้โดยไม่ตั้งใจ เอร็อกเห็นเข้าจึงเข้าไปเล่น และไถลลงมาจากเนิน ไม่ได้มีการฝึกให้เอร็อกแต่อย่างใด เอร็อกเป็นที่รู้จักจากคลิปวิดีโอที่มันกำลังเล่นสเก็ตบอร์ดบริเวณหน้าสำนักงานของบีบีซี มันอาศัยอยู่กับ โจล และ แคลร์ ทางตอนเหนือของกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ตอนนี้ เอร็อกมีเพื่อนและผู้ติดตามจำนวนมาก
|
เอร็อก เริ่มเล่นสเก็ตบอร์ด หลังจากพบสเก็ตบอร์ดของเด็กที่ลืมทิ้งไว้โดยบังเอิญ
|
thailand-41577796
|
https://www.bbc.com/thai/thailand-41577796
|
วสิษฐ เดชกุญชร เล่าเรื่อง ในหลวง ร. 9 “ประชาชนของพระราชา”
|
15 ปีที่มีโอกาสถวายงานในหลวง ร.9 คือ “ช่วงเวลาที่มีค่าที่สุด” ของ พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร 15 ปีที่มีโอกาสรับใช้ใต้เบื้องพระยุคลบาท พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช คือ "ช่วงเวลาที่มีค่าที่สุด" ในชีวิตของ พล.ต.อ.วสิษฐ เขาไม่เคยนึกฝันมาก่อนว่าจะได้เข้าไปอยู่ในรั้วในวัง และไม่เคยคิดว่าจะได้ถวายงานใกล้ชิดติดพระองค์ ในฐานะนายตำรวจราชสำนักประจำ เป็นเวลา 1 ปี 11 เดือน "มันยิ่งกว่าเกียรติภูมิ มันใหญ่หลวงจริง ๆ และผมก็รู้ด้วยว่าผมไม่ได้เข้าไปเป็นแค่คนใช้ แต่เข้าไปเพื่อจะดูแลความปลอดภัยของพระยุคลบาท ของผู้ที่คนไทยทั้งประเทศรักและเป็นห่วง" พล.ต.อ.วสิษฐกล่าวกับบีบีซีไทย ประชาชนปูผ้ารอรับรอยพระบาท ทุกครั้งที่มีโอกาสตามเสด็จในหลวงรัชกาลที่ 9 ไปเยี่ยมเยียนราษฎร เขารู้สึก "ประทับใจ" เมื่อได้เห็นความใกล้ชิดระหว่างพระมหากษัตริย์กับประชาชน ประชาชนพร้อมใจกันเปล่งวาจา "ทรงพระเจริญ" ดังกึกก้อง ขณะในหลวงรัชกาลที่ 9 ประทับรถยนต์พระที่นั่ง เสด็จพระราชดำเนินไปยังพระบรมมหาราชวัง 5 ธ.ค. 2550 ภาพประชาชนมารอเฝ้าฯ รับเสด็จ นำผ้าขาวมาปูกับพื้น หมายให้ทรงประทับรอยพระบาท ยังติดตา-ตรึงใจอดีตนายตำรวจผู้นี้ "ก่อนเสด็จไปถึงตรงนั้น ราษฎรจะเอาผ้ามาวางไว้ก่อนเลย บางคนผืนใหญ่ บางคนผืนเล็ก เป็นที่เห็นได้ชัดว่าเขาต้องการให้ท่านเหยียบ และพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงพระดำเนินไปบนผ้าเหล่านั้นล่ะครับ บางทีถ้าทัน หลายรายก็เอื้อมมือเอาผ้ามาเช็ดฉลองพระบาท (รองเท้า) ของพระเจ้าอยู่หัว ทั้งหมดนี้เพื่อจะได้เก็บไปบูชาที่บ้าน ผ้าเหล่านี้กลายเป็นเหมือนผ้ายันต์ของตัวเองหรือวงศ์ตระกูลของเขา" กลายเป็นงานหนักของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยอย่าง พล.ต.อ.วสิษฐกับพวก ที่ต้องพยายามเลี่ยง-ไม่เหยียบบนผ้าของประชาชน แม้รู้ว่าผู้ที่มารอเฝ้าฯ เพื่อแสดงความจงรักภักดี และหวังได้ชื่นชมพระบารมีอย่างใกล้ชิด แต่หน้าที่ของนายตำรวจราชองครักษ์คือ "วางใจใครไม่ได้เลย ต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่าทุกคนที่เข้ามาใกล้ อาจจะเป็นศัตรูทั้งนั้น" ประชาชนเฝ้ารับเสด็จ ณ สวนจิตรลดา พระราชวังดุสิต 4 ธ.ค. 2546 "ความจริงที่เขาอยากจะทำส่วนใหญ่ ก็อยากจะสัมผัสพระวรกาย อยากจะมาจับท่าน ขอเพียงแค่แตะรองเท้าก็เอา หรือถ้าสะดวก เช่น กำลังเอื้อมพระหัตถ์ไปรับของ เขาก็ถือโอกาสจับพระหัตถ์ ทั้งหมดนี้เราไม่ชอบทั้งนั้นครับ เพราะมันไม่แน่ว่าจะเป็นอะไร และบางทีเขาเตรียมฎีกามาถวาย เขาอยากถวายกับพระหัตถ์ แล้วเขาก็เอาฎีกาซ่อนใส่อกเสื้อเอาไว้ นั่นล่ะที่ทำให้เราวิตกมาก เพราะเวลาเขาล้วงมือเข้าไปในอกเสื้อ เราไม่รู้ว่าเขาล้วงเข้าไปทำไม หลายครั้งที่ผมต้องเข้าไปใกล้ชิดเข้าไปตัวเข้าเลย แล้วพร้อมจับอะไรก็ตามที่เขาล้วงออกมาจากข้างใน เป็นฎีกาทั้งนั้นล่ะครับ" ทรงรับสั่ง "ให้ประชาชนผิดหวังไม่ได้" พื้นที่ 5.13 แสนตารางกิโลเมตร-ดินแดนประเทศไทย ไม่มีจุดไหนที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ไม่เสด็จพระราชดำเนินไป แม้กระทั่ง "พื้นที่สีแดง" หนึ่งในเหตุการณ์ที่อยู่ในความทรงจำของ พล.ต.อ.วสิษฐ คือเหตุผู้ก่อการร้ายใช้ปืนครกยิงใส่ฐานทหาร จ.น่าน ทำให้มีทหารได้รับบาดเจ็บ และปืนใหญ่ของทางราชการได้รับความเสียหาย เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นก่อนเสด็จเพียง 1 คืน พระบรมฉายาลักษณ์ที่ พล.ต.อ.วสิษฐอัญเชิญมาไว้ที่โต๊ะทำงาน โดยมีตัวเขาขณะปฏิบัติหน้าที่ตำรวจราชองครักษ์อยู่เบื้องหลัง ในฐานะ "ส่วนล่วงหน้า" ที่รุดไปตรวจสอบพื้นที่ ได้กราบบังคมทูลขอพระราชทานให้งดเสด็จพระราชดำเนิน "การใช้ปืนครกขนาดนั้น แปลว่าเขาไม่ได้ยิงด้วยการจ้องยิง แต่ยิงโดยใช้แผนที่จากระยะห่างไปเป็นกิโลฯ ฉะนั้นเขายิงได้อีก โดยหลักยุทธวิธีมันรู้กันทั้งนั้นล่ะครับ.. แต่ปรากฏว่าพอถึงเวลา พระองค์ท่านก็เสด็จพระราชดำเนินตามกำหนด เสด็จออกจากพระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์โดยเฮลิคอปเตอร์ แล้วก็ลงใกล้ ๆ ฐานนั่นล่ะครับ ซึ่งเราไม่ชอบเลย เพราะถ้าเขายิงฐานได้ เขาก็ยิงตรงใกล้ ๆ ฐานได้" หลังจากนั้น พล.ต.อ.วสิษฐมีโอกาสเข้าเฝ้าฯ สิ่งที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชรับสั่งตอบ พล.ต.อ.วสิษฐคือ "คนที่ไปรอเฝ้าฯ เขาไปตั้ง 2-3 คืนก่อนหน้านั้น และคนเป็นหมื่นเลย จะให้ประชาชนผิดหวังไม่ได้ แล้วท่านก็รับสั่งต่อไปด้วยว่าก่อนท่านจะเสด็จ ทรงทราบด้วยว่าเจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการกวาดล้างแล้ว ท่านทรงทราบจากวิทยุของทางราชการ เพราะพระเจ้าอยู่หัวของเราท่านทรงฟังวิทยุของทางราชการทุกข่าย" เรียนรู้วิธีทรงงานผ่านฎีกา นอกจากภารกิจหลักอย่างการถวายความปลอดภัย ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงมอบหมาย "ภารกิจพิเศษ" ให้ พล.ต.อ.วสิษฐ ออกสำรวจความทุกข์ของชาวบ้าน และตามต้นเรื่องฎีกาที่ราษฎรถวายขึ้นมา ในหลวง ร.9 ทรงเกี่ยวข้าวบางส่วนที่ได้จากโครงการในพระราชดำริ ที่ จ.ปราจีนบุรี เมื่อวันที่ 18 พ.ย. 2541 ครั้งหนึ่ง ชาวนา จ.สิงห์บุรีได้ยื่นถวายฎีกากับพระหัตถ์ เพราะได้รับความเดือดร้อนจากการนำที่ดินทำกินไปจำนองกับนายทุน แต่ขาดส่งดอก จนถูกยึดที่ "พอกลับไปทอดพระเนตรฎีกาแล้ว ท่านรับสั่งให้ผมออกไปกับคุณขวัญแก้ว วัชโรทัย รองเลขาธิการสำนักพระราชวัง (ขณะนั้น) ไปดูข้อเท็จจริงเกี่ยวกับชาวนารายนี้ เราก็ไปถึงบ้านเขา ฟังจากปากเขาว่าเป็นอย่างไร ก็กลับมากราบบังคมทูลฯ รายงานว่าเป็นเรื่องจริง และที่นาก็มีไม่มาก พอเลี้ยงครอบครัวเท่านั้น ไม่ถึงขนาดขายเอากำไร ท่านก็รับสั่งให้เอาเงินพระราชทานไปให้ชาวนารายนั้นไปไถ่ที่คืน แต่ท่านบอกว่าไม่ได้ให้เปล่านะ ให้ยืม แล้วดอกเบี้ยไม่ได้ให้ส่งเป็นเงิน ให้ส่งเป็นข้าวเปลือกที่ปลูกจากนานั้น ส่งไปที่สวนจิตรลดาซึ่งมีโรงสีอยู่ข้างใน ไม่นานนัก ท่านก็รับสั่งเรียกคุณขวัญแก้วไปพบ แล้วก็รับสั่งว่าชาวนารายนี้ซื่อตรง ส่งดอกเป็นประจำ ให้ยกเงินที่เหลือ ไม่ต้องคืน นี่คือสิ่งที่ผมได้เรียนรู้วิถีทรงงานของท่าน" เมื่อราชองครักษ์ถวายฎีกา ในแต่ละปีมีราษฎรถวายฎีกานับร้อยนับพันฉบับ ทุกฉบับล้วนผ่านสายพระเนตรของในหลวงรัชกาลที่ 9 ภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ ถูกนำมาจัดแสดงภายในงานนิทรรศการ "ภาพถ่ายฝีพระหัตถ์พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช" ณ หอศิลปฯ จัดโดยสมาคมถ่ายภาพแห่งประเทศไทยฯ ร่วมกับหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร กระทั่งปี 2518 พล.ต.อ.วสิษฐกลายเป็นหนึ่งในบุคคลที่ถวายฎีกาเสียเอง หลังพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงมีพระอาการประชวรหนัก ขณะประทับอยู่ที่พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ จ.เชียงใหม่ "หมอสันนิษฐานว่าท่านไปเยี่ยมชาวเขา เข้าไปในบ้าน แล้วก็โดนหมัดนำเชื้อโรคมา แล้วก็ทรงพระประชวรค่อนข้างหนัก พระปรอท (ไข้) สูงอยู่ราว 40 องศา ทั้งสัปดาห์ไม่ลงเลย ต้องระดมแพทย์จากกรุงเทพฯ ไปถวายการรักษา พวกเราวิตกกันมาก ในที่สุดพระไข้ก็ลง พระอาการทุเลาลง หมอกราบบังคมทูลขอพระราชทานให้งดเสด็จพระราชกรณียกิจอย่างน้อย 1 เดือน พวกเราก็โล่งใจกัน ก็รู้ว่าไม่เสด็จที่ไหน" วันหนึ่ง พล.ต.อ.วสิษฐพักอยู่ภายในเรือนพักของราชองครักษ์ ได้ยินสถานีแม่ข่ายวิทยุสื่อสารค่ายดารารัศมี อ.แม่ริม วิทยุเรียกเฮลิคอปเตอร์ตำรวจตระเวนชายแดน (ตชด.) แต่ไม่มีสัญญาณตอบรับ สักพักหนึ่ง พระสุรเสียงของในหลวงรัชกาลที่ 9 ก็ดังขึ้น ทรงรับสั่งตอบว่าเฮลิคอปเตอร์ลำดังกล่าวลงจอดอยู่ที่ จ.แม่ฮ่องสอน "เราเกือบจำไม่ได้ว่าเป็นพระสุรเสียงท่านเพราะแหบเครือ ท่านได้ยินเสียงแม่ข่าย แต่แม่ข่ายไม่ได้ยินเสียงเครื่องนั้นเพราะมันอยู่สูงกว่า ผมไม่ได้ดูตาม้าตาเรืออะไร นึกอย่างเดียวว่าขัดเคืองที่พระเจ้าอยู่หัวไม่ทรงปฏิบัติตามคำแนะนำของหมอ ท่านลุกมาพูดวิทยุ ผมก็ทำฎีกาถวายเลย" พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร บอกว่า การได้ถวายงานใกล้ชิด เป็นยิ่งกว่า "เหรียญตรา" ของชีวิต จดหมายฎีกาฉบับนั้นถูกนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายผ่านนางสนองพระโอษฐ์ ก่อนที่วันรุ่งขึ้น สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จะเชิญพระราชหัตถเลขาตอบลงมาที่เจ้าของฎีกา ซึ่งในหลวงรัชกาลที่ 9 ไม่ได้ทรงด้วยพระหัตถ์ แต่พิมพ์ดีดโดยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี "ผมระบายอารมณ์ไปในฎีกาของผมด้วยว่าทรงพระประชวรคราวนั้น คนไทยทั้งประเทศเลยที่เป็นห่วงท่าน ตัวผมเองถึงขนาดตั้งใจว่าถ้าหายพระประชวร จะบวชถวายเป็นพระราชกุศล ท่านตอบมาเป็นข้อ ๆ ข้อที่เกี่ยวกับการทรงงาน ท่านบอกว่าท่านไม่ได้ดื้อหมอ ที่นั่งฟังวิทยุเป็นเรื่องพักผ่อนพระอิริยาบถของท่าน เมื่อได้ยินเสียงตำรวจตระเวนชายแดนเขาเรียกเฮลิคอปเตอร์เครื่องที่หาย ก็ทรงทราบว่าเขาก็เป็นห่วง และท่านบังเอิญได้ยินอยู่พระองค์เดียว ท่านก็ตอบ แล้วก็จบ ดังนั้นไม่ได้เป็นเรื่องทำงานหนักหนาอะไร ส่วนข้อที่ผมกราบบังคมทูลฯ ต่อว่าไป แล้วก็กราบบังคมทูลฯ ว่าผมจะบวชถวาย ท่านรับสั่งถามลงมาในข้อนั้นว่าจะบวชให้ใคร เราไม่ตายบวชไม่ได้ ถ้าบวชหน้าไฟ อนุญาตให้บวช" แม้ผ่านมาหลาย 10 ปี แต่ พล.ต.อ.วสิษฐยังเก็บพระราชหัตถเลขาฉบับนั้นไว้อย่างดี วันที่ไร้ปาฏิหาริย์ แต่สำหรับวันที่ 13 ตุลาคม 2559 ห้วงเวลาที่แสนอึดอัดใจของคนไทยทั้งชาติ แม้ประชาชนทั่วทุกสารทิศร่วมตั้งจิตภาวนา ร่วมสวดมนต์บทโพชฌงคปริตรเพื่อถวายเป็นพระราชกุศล หวังให้หายจากพระอาการประชวรแบบทุกครั้งที่ผ่านมา หวังให้มีปาฏิหาริย์ แต่การณ์กลับไม่เป็นเช่นนั้น "ผมอยู่บ้าน ผมรู้ก่อนแถลงการณ์ เพราะว่าพวกในวังเขาโทรศัพท์มาบอก ผมก็นั่งร้องไห้อยู่ 2 คนกับภรรยา เราไม่รู้จะทำอะไร ถ้าเป็นเมื่อก่อนนี้ ผมก็คงแต่งตัวเข้าไปเฝ้าฯ เพราะมีหน้าที่ แต่ผมพ้นหน้าที่มานานแล้ว.." ในฐานะที่ฝึกสมาธิ-เจริญมรณานุสติอยู่เป็นประจำ พล.ต.อ.วสิษฐไม่รู้สึก "ประหลาดใจ" กับข่าวที่ได้รับ "นึกไว้ว่าสักวันหนึ่งก็ต้องเสด็จสวรรคต เพียงแต่ว่าก่อนวันนั้นน่ะ เคยแช่งตัวเองให้ตายก่อนท่าน เพราะไม่อยากอยู่รับฟังข่าว แต่ลงท้ายมันก็เป็นไปอย่างนั้นจริง ๆ ไม่เคยคิดถึงปาฏิหาริย์ มีแต่ความเสียใจ" แม้ผ่านมา 1 ปีหลังเสด็จสวรรคต แต่ พล.ต.อ.วสิษฐยังมิอาจทำใจ "ทุกวันนี้ถ้ามีอะไรมากระทบ ก็ยังอดน้ำตาซึมไม่ได้" ความรู้สึกเช่นนี้คงไม่ต่างจากคนไทยทั้งประเทศ!!! หมายเหตุ: รายงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายงานพิเศษชุด "ในหลวง ร.9" ซึ่งบีบีซีไทยนำเสนอต่อเนื่องตลอดเดือน ต.ค. ขณะนี้ยังอยู่ภายใต้หัวข้อ "เป็น 1 ปี ที่เนิ่นนานนับอนันต์"
|
"พระมหากษัตริย์ผู้ทรงงานหนักที่สุดในโลก" หาใช่คำเปรียบเปรยที่เกินจริง หากเทียบกับพระราชกรณียกิจของในหลวงรัชกาลที่ 9 ตลอด 70 ปีแห่งการครองราชย์ กว่าทศวรรษที่มีโอกาสถวายงาน พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร ได้ยินกับหู-ได้เห็นกับตา ทุกภาพยังแจ่มชัดในความทรงจำ ทุกฉากล้วนมี "ประชาชน" อยู่ในนั้น
|
thailand-54225418
|
https://www.bbc.com/thai/thailand-54225418
|
ชุมนุม 19 กันยา : #แบนscb มีผู้ใช้สูงสุดติดอันดับ 4 ในทวิตเตอร์วันนี้ หลังแกนนำผู้ชุมนุมเรียกร้องให้เลิกใช้บริการของธนาคารที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์
|
ทวิตเตอร์ ITRC@charoenpura ของ ทราย เจริญปุระ นักแสดงที่เข้าร่วมกับผู้ชุมนุมประท้วง แจ้งเตือนผู้ที่ต้องการบริจาคเงินช่วยการชุมนุม ไม่ให้โอนเงินเข้าไปยังบัญชีธนาคารไทยพาณิชย์ เพราะจะปิดบัญชี ไปเปิดใช้ธนาคารอื่นแทน ขณะที่ผู้ใช้ทวิตเตอร์อีกหลายรายประกาศว่าจะไปปิดบัญชีเช่นกัน บีบีซีไทยสอบถามไปยังธนาคารไทยพาณิชย์เพื่อขอความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ ได้รับคำตอบว่าไม่สะดวกให้ความเห็นเนื่องจากเป็นประเด็นที่อ่อนไหว ไทยพาณิชย์เป็นธนาคารไทยแห่งแรกที่ก่อตั้งขึ้นโดยพระบรมราชานุญาตเมื่อวันที่ 30 มกราคม 2449 เว็บไซต์ของธนาคารระบุว่า ธนาคารดำเนินธุรกิจเคียงข้างสังคมไทยมายาวนานนับศตวรรษ ด้วยความยึดมั่นในหลักจริยธรรมทางธุรกิจ และคำนึงถึงผู้มีส่วนได้เสียคือ ลูกค้า ผู้ถือหุ้น และพนักงาน โดยมุ่งหวังที่จะยกระดับและพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนในสังคมเพื่อเป็นรากฐานที่ดีในการสร้างสังคมที่แข็งแกร่งอย่างยั่งยืน รายชื่อผู้ถือหุ้นใหญ่ธนาคารไทยพาณิชย์ ข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์ระบุว่าปัจจุบันธนาคารไทยพาณิชย์มีผู้ถือหุ้นรายใหญ่ 5 อันดับแรก ได้แก่ พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว กองทุนรวม วายุภักษ์หนึ่ง โดย บลจ.เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) กองทุนรวม วายุภักษ์หนึ่ง โดย บลจ.กรุงไทย จำกัด (มหาชน) บริษัทไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด และสำนักงานประกันสังคม ขณะที่ พล.อ.อ. สถิตย์พงษ์ สุขวิมล ราชเลขาธิการ เป็นกรรมการคนหนึ่งของธนาคาร การเรียกร้องให้เลิกสนับสนุนการดำเนินการของธนาคารพาณิชย์อาจทำให้นึกถึงเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในฮ่องกง ซึ่งผู้ชุมนุมประท้วงเรียกร้องไม่ให้ใช้บริการธนาคารเอชเอสบีซี (HSBC) และกล่าวหาว่าเอชเอสบีซีช่วยเหลือตำรวจให้จัดการกับกองทุนแห่งหนึ่ง ที่ตั้งขึ้นเพื่อระดมทุนเป็นท่อน้ำเลี้ยงให้แก่ผู้ชุมนุมต่อต้านรัฐบาล และจับกุมผู้เกี่ยวข้องกับกองทุนจำนวน 4 คน ฐานฟอกเงิน
|
หลังนายพริษฐ์ ชิวารักษ์ (เพนกวิน) แกนนำแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม ปราศรัยบนเวทีการชุมนุม 19 กันยาทวงคืนอำนาจราษฎร ที่ท้องสนามหลวงเมื่อคืนที่ผ่านมา เรียกร้องให้ผู้ชุมนุมถอนเงินจากธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) เพราะความเกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์นั้น ในวันนี้ (20 ก.ย.) ผู้ใช้ทวิตเตอร์หลายรายโพสต์ข้อความสนับสนุนข้อเรียกร้องของแกนนำนักศึกษา และ #แบนscb มีผู้ใช้มากกว่า 3 แสนครั้ง สูงสุดติดอันดับที่ 4 ของวัน
|
thailand-52628876
|
https://www.bbc.com/thai/thailand-52628876
|
คณะก้าวหน้าประกาศอยู่เบื้องหลังกิจกรรม “ตามหาความจริง” ในโอกาส 10 ปีสลายการชุมนุมคนเสื้อแดง
|
วัดปทุมวนารามราชวรวิหาร ซึ่งมีผู้เสียชีวิต 6 ราย หลังแกนนำ นปช. ประกาศยุติการชุมนุมบ่ายวันที่ 19 พ.ค. 2553 คือหนึ่งในจุดที่เกิดข้อความปริศนานี้ กระทรวงกลาโหม, อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย, กำแพงวัดปทุมวนารามราชวรวิหาร, ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์, กำแพงอาคารบริเวณซอยรางน้ำฝั่ง ถ.ราชปรารภ และรางรถไฟฟ้าบีทีเอสใกล้แยกราชประสงค์ คือสถานที่อย่างน้อย 6 แห่งที่ถูก "มือที่มองไม่เห็น" เลือกใช้เป็นฉากหลังฉายลำแสงเลเซอร์ที่มีข้อความว่า "ตามหาความจริง" เวลาราว 09.00 น. ของวันที่ 11 พ.ค. ผู้ใช้งานสื่อสังคมออนไลน์ทั้งทวิตเตอร์และเฟซบุ๊ก เริ่มเผยแพร่ภาพชุดดังกล่าว พร้อมขึ้นคำบรรยายว่า "ปรากฏข้อความปริศนา #ตามหาความจริง หลายจุดสำคัญเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์สลายการชุมนุมพฤษภา 2553" ตลอดทั้งวัน ภาพชุดนี้ที่สังคมยังไม่ทราบแน่ชัดว่าใครคือผู้ผลิตได้ถูกเผยแพร่-ผลิตซ้ำอย่างกว้างขวางทั้งในสื่อกระแสหลักและกระแสรอง จน "ตามหาความจริง" ขึ้นเป็นแฮชแท็กยอดนิยมในทวิตเตอร์ประเทศไทย ด้วยยอดทวีตและรีทวีต 1.18 ล้านครั้งในเวลา 24 ชม. (จนถึง 09.00 น. ของวันที่ 12 พ.ค.) ปริศนาคลี่คลาย ใคร "ตามหาความจริง" พรรณิการ์ วานิช นักเคลื่อนไหวทางการเมืองในนามคณะก้าวหน้า คือหนึ่งในบุคคลที่ร่วม "ตามหาความจริง" ผ่านบัญชีทวิตเตอร์ของเธอซึ่งมีผู้ติดตามกว่า 8.3 แสนคน ตลอดวันจันทร์ (11 พ.ค.) พรรณิการ์ทวีตและรีทวีตข้อความที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์สลายการชุมนุมคนเสื้อแดงปี 2553 รวม 10 ข้อความ ในจำนวนนี้คือการทบทวนยอดผู้เสียชีวิต ผู้บาดเจ็บ และผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ โดยอ้างถึงรายงานของศูนย์ข้อมูลประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการสลายการชุมนุมกรณี เม.ย.-พ.ค. 53 (ศปช.) รวมถึงจำนวนกระสุนจริงที่ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) เบิกจ่ายและใช้ไปกว่า 1.9 แสนนัดในช่วงชุมนุม นปช. โดยอ้างอิงข้อมูลจากเอกสารที่ วาสนา นาน่วม ผู้สื่อข่าวอาวุโสสายทหารและความมั่นคง นสพ.บางกอกโพสต์ นำมาเผยแพร่ต่อสาธารณะ ข้อความสุดท้ายของวันที่พรรณิการ์ระบุตอนหนึ่งว่า "ฉายภาพกลางกรุงมันแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น #ความจริงต้องปรากฏ" คล้ายเป็นการเฉลยว่า "นิรนาม" ที่อยู่เบื้องหลัง "ข้อความปริศนา" คือใคร แฟนเพจเฟซบุ๊กของคณะก้าวหน้าที่มีผู้ติดตาม 3.2 ล้านคน ปล่อยคลิปวิดีโอ "พฤษภา 35|53 ความจริงต้องปรากฏ" ความยาว 52 วินาที โดยแสดงให้เห็นภาพชายกลุ่มหนึ่งกำลังง่วนกับการทำงานผ่านคอมพิวเตอร์ โปรเจคเตอร์ และอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ก่อให้เกิดแสงสี โดยใช้รถตู้คันหนึ่งเป็นฐานปฏิบัติการ "ไม่ต้องตามหาให้เหนื่อยแรงอีกต่อไปว่าใครคือคนที่ฉายแสงสว่างส่องหาความจริง ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่คือพวกเรา 'ประชาชน' คนธรรมดาที่ร่วมกัน #ตามหาความจริง" สารจากคณะก้าวหน้าระบุ อย่างไรก็ตาม ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และ ปิยบุตร แสงกนกกุล ยังไม่ได้สื่อสารใด ๆ ต่อสาธารณะ ส่วนสมาชิกคณะก้าวหน้าคนอื่น ๆ อาทิ กุลธิดา รุ่งเรืองเกียรติ และ ไกลก้อง ไวทยการ ได้รีทวีตข้อความ "ตามหาความจริง" จากผู้ใช้งานทวิตเตอร์อื่น ๆ "เราเป็นผู้ฉายเลเซอร์ ไม่ต้องไปตามหาที่ไหน" พรรณิการ์กล่าวกับบีบีซีไทยว่า "ข้อความปริศนา" ที่ปรากฏในหลายพื้นที่รอบกรุงเทพฯ เป็นส่วนหนึ่งของ "หนังตัวอย่าง" เพื่อประชาสัมพันธ์กิจกรรมของคณะก้าวหน้า ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 12-20 พ.ค. โดยกิจกรรมสำคัญคือการฉายหนัง และจัดเสวนา "ไม่อยากให้ใช้คำว่ายอมรับ เพราะเราไม่ได้ปกปิด นี่เป็นแคมเปญที่ไม่มีใครเป็นเจ้าของ แต่ทำโดยประชาชนที่อยากรู้ข้อเท็จจริงของเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์การเมืองไทย" และ "เราเป็นผู้ฉายเลเซอร์ ไม่ต้องไปตามหาที่ไหน และขออย่าตามคุกคามประชาชนคนตัวเล็กตัวน้อยที่ไม่มีปากเสียง" เธอระบุ ก่อนปล่อยแคมเปญ "ตามหาความจริง" คณะก้าวหน้าผ่านการขบคิด-ถกเถียงกัน โดยเห็นว่าเดือน พ.ค. มีเหตุการณ์ "ล้อมปราบประชาชน" ถึง 2 ครั้งในปี 2535 และ 2553 ทว่าประชาชนที่อายุต่ำกว่า 20 ปี กลับไม่มีความทรงจำมากนักเกี่ยวกับเหตุนองเลือดกลางกรุง พวกเขาจึงเริ่มเคลื่อนไหวด้วยการ "ชำระความจริง" อีกมุมจากด้านหน้าห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์ "การฉายโปรเจคเตอร์มันช่วยดึงความสนใจจากคนที่ไม่สนใจการเมือง หรือเกิดไม่ทัน เราเลยใช้จุดที่ตรงกับความสนใจของคนเพื่อกระตุ้นและก่อให้เกิดการสืบค้นข้อมูลข้อเท็จจริง ซึ่งปรากฏว่ามีผลตอบรับเกินคาด มีผู้ทวีต/รีทวีตข้อความกว่าล้านครั้ง และมีคนบางส่วนที่เข้าแชร์ประสบการณ์ตรงของตัวเอง" พรรณิการ์บอก แม้ส่ง "มือที่มองไม่เห็น" ออกยิงเลเซอร์ในช่วงค่ำ แต่พรรณิการ์ยืนยันว่าไม่เกินเวลาห้ามออกนอกเคหสถาน (เคอร์ฟิว) 22.00-04.00 น. ตามคำสั่งของรัฐบาลเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 จึงไม่คิดว่าทำอะไรผิด โดยตรวจสอบแล้วว่าไม่มีการกระทำอะไรที่ขัดกฎหมาย เพราะเป็นสิทธิเสรีภาพของประชาชนที่แสดงออกได้อย่างสันติ เช่นเดียวกับเสียงวิจารณ์ว่าหมิ่นเหม่ต่อการละเมิดสถานที่ราชการและทรัพย์สินของเอกชนที่เธอระบุว่า สถานที่ที่ถูกฉายเลเซอร์ไม่มีที่ไหนได้รับความเสียหาย เพราะแสงไม่ได้ทำอันตรายแก่พื้นผิว อีกทั้งไม่ได้สร้างความเดือดร้อนรำคาญ เพราะไม่ได้ส่องใส่หน้าต่างบ้านใคร ไม่มีเสียงรบกวน และไม่ได้ทำให้รถติดเพราะเป็นช่วงกลางคืนแล้ว "ถ้าการกระทำในนามของความจริงไปกระทบต่อจิตใจของเขา (ผู้มีอำนาจ) บ้าง ก็ต้องให้เป็นไปตามนั้น เพราะ 10 ปีที่ผ่านมา เหตุการณ์ก็กระทบจิตใจญาติของผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บไปตั้งเท่าไร" พรรณิการ์กล่าว แกนนำพรรคอนาคตใหม่ถูกตัดสิทธิการเมือง 10 ปีตามคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ทำให้พวกเขาผันตัวไปเล่นการเมืองภาคประชาชนในนามคณะก้าวหน้า แกนนำหญิงจากคณะก้าวหน้ายังปฏิเสธด้วยว่าคณะของเธอไม่ได้กำลังสร้างความแตกแยกในสังคม แต่มองว่าการสร้างความสมานฉันท์จะเกิดขึ้นได้ ขั้นตอนแรกต้องทำความจริงให้ปรากฏ จากนั้นถึงนำไปสู่การเยียวยา ไม่ใช่ทำด้วยการลืมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แกนนำคณะก้าวหน้าเคยมีประสบการณ์ร่วมชุมนุมกับ นปช. ปี 2553 โดย ช่อ-พรรณิการ์ ซึ่งขณะนั้นเป็นนิสิตคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และฝึกงานอยู่ที่กระทรวงการต่างประเทศ เคยไปสังเกตการณ์ที่เวทีราชประสงค์ และตั้งคำถามกับตัวเองว่า "ประเทศนี้เกิดเหตุยิงประชาชนกลางถนน จนข่าวออกไปทั่วโลกขนาดนี้ แต่ประชาชนกลับไม่ได้รับความเป็นธรรม ไม่มีใครเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม" ขณะที่ผู้นำคณะก้าวหน้าอย่างธนาธรเข้าไปพัวพันกับการชุมนุม นปช. ปี 2553 ในฐานะผู้ชุมนุม โดยเขาเคยบรรยายเหตุผลเอาไว้ว่าทำในฐานะ "นักธุรกิจธรรมดาที่มีความเห็นอกเห็นใจคนเสื้อแดง รักความเป็นธรรม และรักประชาธิปไตย" และระบุว่าวันที่ 10 เม.ย. 2553 เป็น "วันที่มีอิทธิพลกับชีวิตผมมากที่สุดวันหนึ่ง" และเป็นวันที่เขาบอกว่าถูกยิงเข้าที่แขนซ้ายด้วยกระสุนยาง นอกจากนี้ชื่อของธนาธรยังปรากฏใน "ผังล้มเจ้า" ที่โฆษก ศอฉ. นำมาเผยแพร่ต่อสื่อมวลชนเมื่อ 26 เม.ย. 2553 ซึ่งกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) สั่งไม่ฟ้องคดีนี้ เพราะเห็นว่าไม่มีหลักฐานเพียงพอ จึงถือว่าคดีเป็นอันยุติในปี 2555 ตร.-ทหาร เก็บหลักฐานเอาผิดขบวนการ "ตามหาความจริง" ขบวนการ "ตามหาความจริง" ที่เปิดปฏิบัติการในสถานที่จริง แล้วก่อให้เกิดการขุดคุ้ยประวัติศาสตร์ช่วงการชุมนุมและสลายการชุมนุม นปช. เดือน เม.ย.-พ.ค. 2553 สร้างความไม่สบายใจให้แก่ฝ่ายความมั่นคง สองนายพลที่เคยอยู่ใน ศอฉ. และร่วมนาทีตัดสินใจเปิดปฏิบัติการ "ขอคืนพื้นที่" และ "กระชับวงล้อม" ของ นปช. เมื่อ 10 ปีก่อน หลีกเลี่ยงจะให้ความเห็นเรื่องนี้ โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม กล่าวเพียงว่า เป็นเรื่องของฝ่ายความมั่นคงที่ต้องตรวจสอบและพิจารณาว่ามีความผิดหรือไม่ในการกระทำเช่นนั้น ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาไม่เหมาะสมในการนำหลายเรื่องมาพัวพันในช่วงที่มีสถานการณ์โควิด-19 ที่ประชาชนกำลังเดือดร้อนอยู่ เช่นเดียวกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี อดีตรอง ผอ.ศอฉ. ที่ปฏิเสธจะให้ความเห็นว่าคณะก้าวหน้าอยู่เบื้องหลัง "ข้อความปริศนา" หรือไม่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม เดินเคียงคู่กับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ก่อนประชุม ศอฉ. ภายในกรมทหารราบที่ 11 ถ.พหลโยธิน เมื่อ 4 พ.ค. 2553 ด้าน พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม ชี้ว่า เป็นการกระทำไม่เหมาะสมกับสถานที่ราชการหรือองค์กรต่าง ๆ และยั่วยุให้เกิดความแตกแยก หวาดระแวงและไม่เชื่อมั่นกัน "หากมองว่าเป็นการตามหาความจริง เราสามารถค้นหาความจริงจากความคืบหน้าของคดีที่มีกระบวนการตรวจสอบตามกระบวนการยุติธรรมอยู่แล้ว ที่ให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายตามหลักฐานและข้อเท็จจริง ซึ่งก็ไม่ได้ปกปิดอะไร หลายคดีก็อยู่ในกระบวนการยุติธรรม บางคดีก็ได้รับการตัดสินไปแล้ว" พล.ท.คงชีพระบุกับสื่อมวลชน ขณะให้ความเห็นในเรื่องนี้ โฆษกกระทรวงกลาโหมยังไม่ทราบวัตถุประสงค์ของผู้ดำเนินการ แต่คาดว่า "น่าจะทำกันเป็นขบวนการและนำไปขยายผลเผยแพร่ในโซเชียลมีเดียเพื่อต้องการให้นึกถึงเหตุการณ์ต่าง ๆ ในอดีต" และ "เป็นการแสดงออกและมีนัยทางการเมืองแอบแฝงของคนกลุ่มนั้น ๆ มุ่งหวังให้เกิดความเข้าใจผิดต่อสถาบันและองค์กร ซึ่งฝ่ายความมั่นคงกำลังติดตามพิจารณาทางกฎหมายอยู่เพื่อตามหาผู้กระทำผิด และก็คงจะไม่ยากเกินไป" บีบีซีไทยตรวจสอบจุดเกิดเหตุ พบว่า อยู่ในความรับผิดชอบของสถานีตำรวจนครบาล (สน.) 5 แห่ง คนเสื้อแดงจัดกิจกรรมรำลึกที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เมื่อ 10 ต.ค. 2553 หรือ 6 เดือนหลังเหตุการณ์สลายการชุมนุมที่สี่แยกคอกวัว และหน้า รร.สตรีวิทย์ ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิต 24 รายเฉพาะสองจุดนี้ 3 จาก 5 สน. ประกอบด้วย พื้นที่ สน.พระราชวัง, สำราญราษฎร์ และปทุมวัน อยู่ในความรับผิดชอบของกองบังคับการตำรวจนครบาล 6 (ผบก.น.6) โดย พล.ต.ต.เมธี รักพันธุ์ ผบก.น.6 ได้สั่งการตั้งแต่วานนี้ (11 พ.ค.) ให้ตำรวจใน สน.ท้องที่ ตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมข้อมูลรายงานผู้บังคับบัญชาระดับสูงรับทราบ และยังสั่งการให้ออกตรวจตรา หากมีเหตุเกิดขึ้นอีกให้นำตัวผู้ก่อเหตุมาซักถาม แต่ยังไม่สามารถตอบได้ว่ากระทำดังกล่าวมีความผิดหรือไม่อย่างไร พล.ต.ท.ปิยะ อุทาโย โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) เปิดเผยกับบีบีซีไทยว่า พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) รับผิดชอบงานสืบสวนสอบสวน กำลังติดตามเรื่องนี้อยู่ ส่วนตัวไม่ทราบเรื่องและไม่สามารถให้ข้อมูลใด ๆ ได้ ขณะที่สื่อมวลชนหลายสำนัก อาทิ มติชน, ไทยรัฐ, โพสต์ทูเดย์, ผู้จัดการ รายงานตรงกันว่า พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ได้เรียกประชุมติดตามความคืบหน้าคดียิงเลเซอร์ "ตามหาความจริง" ตามสถานที่ต่าง ๆ โดยมี พล.ต.อ.สุวัฒน์, พล.ต.ท.ภัคพงศ์ พงษ์เภตรา ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) พล.ต.ต.อิทธิพล อัจฉริยะประดิษฐ์ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (รอง ผบช.น.), พล.ต.ต.สันติ ชัยนิรามัย ผบก.สส.บช.น. และ พล.ต.ต.เมธี รักพันธ์ ผบก.น.6 เข้าร่วม พล.ต.อ.สุวัฒน์ได้กล่าวผ่านสื่อมวลชน ฝากไปยังกลุ่มผู้ก่อเหตุว่าอย่าทำอะไรที่สร้างความขัดแย้งให้คนในชาติ ขณะนี้ฝ่ายกฎหมายอยู่ระหว่างพิจารณาว่าการกระทำดังกล่าวเข้าข่ายความผิดใดบ้าง ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจมีข้อมูลอยู่แล้ว แต่ยังไม่มีการเตรียมเรียกบุคคลใดเข้ามาสอบปากคำ
|
อดีตนักการเมืองสังกัดพรรคอนาคตใหม่ที่ผันตัวมาเป็นนักเคลื่อนไหวทางการเมืองในนาม "คณะก้าวหน้า" ออกมายอมรับว่าอยู่เบื้องหลังขบวนการ "ตามหาความจริง" และเป็นคนยิงเลเซอร์ฉายทับตามสถานที่ต่าง ๆ ขณะที่รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) อยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐานต่าง ๆ จาก 5 สน.
|
international-44140488
|
https://www.bbc.com/thai/international-44140488
|
ด้วงคีมสู้กันเพื่อผสมพันธุ์กับตัวเมีย
|
ด้วงคีมเป็นแมลงที่อยู่บนบก ที่มีมากที่สุดในยุโรป ชื่อของมันมาจาก ขากรรไกรที่เหมือนกับเขากวาง ซึ่งพวกมันใช้ป้องกันตัวเอง ด้วงคีมหาอาหารและใช้ชีวิต อยู่ใต้ดินนานถึง 7 ปี ส่วนใหญ่มันจะกินไม้ผุ ด้วงคีมตัวผู้ มีเวลาหาคู่ผสมพันธุ์ 2-3 สัปดาห์เท่านั้น ด้วงตัวเมีย จะปล่อยกลิ่นออกมาดึงดูดตัวผู้ ด้วงตัวผู้จะต่อสู้กันเพื่อให้ได้สิทธิ์ผสมพันธุ์ ตัวผู้ที่ชนะจะได้ผสมพันธุ์ และยีนของมันจะถูกถ่ายทอดต่อไป เมื่อวัฏจักรชีวิตของมันสมบูรณ์ ไม่นานหลังจากนั้น มันก็จะตาย
|
ด้วงคีมมีชีวิตอยู่ใต้ดินนาน 7 ปี เมื่อถึงเวลาผสมพันธุ์ ตัวผู้จะต่อสู้กันเพื่อให้ได้ผสมพันธุ์กับตัวเอง หลังจากนั้นวัฏจักรชีวิตสมบูรณ์ ไม่นานมันก็จะตาย
|
international-42294436
|
https://www.bbc.com/thai/international-42294436
|
สนามบินร้างของโมซัมบิก
|
สนามบินนานาชาตินาคาลาที่ควรจะพลุกพล่านเป็นอันดับสองในโมซัมบิก รองรับผู้โดยสารได้ 500,000 คนต่อปี แต่สนามบินใหม่แห่งนี้กลับไม่มีเที่ยวบินขาออก ไม่มีใครรอรับกระเป๋าเดินทาง ไม่มีการรักษาความปลอดภัย ไม่มีใครมานั่งรอ สนามบินแห่งนี้สร้างโดยบริษัท Odebrecht ของบราซิล ซึ่งยอมรับว่ามีการทุจริตเกิดขึ้น ธนาคารรัฐให้เงินกู้ เพราะหวังว่าสนามบินนี้จะเป็นผลดีต่อภูมิภาค แต่โมซัมบิกและบราซิลได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจ สนามบินจึงกลายเป็นเมืองร้าง ผู้คนจำนวนมากตั้งคำถามว่า ทำไมสนามบินราคาแพงเช่นนี้ จึงได้รับอนุญาตให้สร้างได้ในประเทศที่รายได้น้อยอย่างโมซัมบิก
|
สนามบินแห่งใหม่ในโมซัมบิกกลายเป็นเมืองร้าง ไม่มีผู้ใช้บริการ ไม่มีเครื่องบินขึ้นลง หลังเผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจ
|
thailand-40713442
|
https://www.bbc.com/thai/thailand-40713442
|
68 ปีทักษิณ หนีคดี 6 หมายจับ ผลัก “ชินวัตร” เข้าแดนอันตราย
|
กลุ่มคนเสื้อแดงชุมนุมต่อต้านการยึดอำนาจ ที่ถนนอักษะ พุทธมณฑล จ.นครปฐม เมื่อวันที่ 5 เม.ย. 2557 ในขณะที่ กปปส.ชุมนุมอยู่อีกด้านหนึ่งของกรุงเทพฯ บีบีซีไทยพาย้อนดูความนิ่งที่ไม่เคยเงียบของนายทักษิณ นับจากรัฐประหาร 22 พ.ค. 2557 โดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ทุกความเคลื่อนไหวของเขาถูกถ่ายทอดผ่านสื่อสังคมออนไลน์ของคนในตระกูลชินวัตร 2557 : ทักษิณ "จำศีล"-ให้โอกาส คสช.ทำงาน 2 เดือนหลังรัฐบาลของน้องสาวถูกโค่นอำนาจโดย คสช. นายทักษิณ ชินวัตร เลือกจัดงานวันเกิดปีที่ 65 อย่างเงียบๆ และไกลจากประเทศไทย โดยมีเพื่อนนักธุรกิจคนสนิทอย่างนายชาญชัย รวยรุ่งเรือง หรือเหยียน ปิน เป็นเจ้าภาพจัดเลี้ยงที่โรงแรมแรมโฟร์ซีซัน ในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส มีเพียงครอบครัว ญาติสนิท และคนใกล้ชิดไม่กี่คนร่วมงาน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้รับอนุญาตจาก คสช. ให้เดินทางทัวร์ 5 ประเทศ ระหว่างวันที่ 23 ก.ค.-10 ส.ค. 2557 โดยมี ด.ช.ศุภเสกข์ อมรฉัตร หรือน้องไปป์ บุตรชาย ร่วมทริป จึงปรากฏภาพ "2 พี่น้อง-2 ผู้ถูกรัฐประหาร" กอดกันกลมที่สนามบิน ขณะที่นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย โพสต์เฟซบุ๊กอวยพรวันเกิดพ่อ-หวังได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตาทั้งครอบครัวอีกครั้ง "หากได้พ่อกลับคืนมาเป็นครอบครัวที่อบอุ่นดังเดิม พวกเราทุกคน.. จะดึงพ่อให้ออกไปให้ไกลๆ ไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองอีกเลย" ทว่า 3-4 วันหลังจากนั้น ภาพหนังสือที่หน้าปกเขียนว่า "2559 ทักษิณ กลับมา" ถูกแชร์กระหน่ำในสื่อสังคมออนไลน์ โดยระบุว่าเป็นของชำร่วยแจกในงานวันเกิดนายทักษิณ ร้อนถึงหน่วยงานด้านการข่าวต้องเช็คข่าวกันวุ่น ก่อนที่โอ๊ค-อุ๊งอิ๊งจะออกมาปฏิเสธว่าเป็นเพียงข่าวลือ ทักษิณฉลองเบิร์ดเดย์จากแดนไกล 2549 จัดงานวันเกิดที่บ้านจันทร์ส่องหล้าครั้งสุดท้าย 2557 ฝรั่งเศส 2558 ดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรส 2559 อังกฤษ 2560 อังกฤษ 21 ส.ค. 2557 นายทักษิณเคลื่อนตัวมาประชิดไทย เพื่อฉลองวันคล้ายวันเกิดให้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร บุตรสาว ที่ฮ่องกง สมาชิกพรรคเพื่อไทยที่รู้ข่าวรีบรุดไปพบ "นายเก่า" คำสำคัญที่อดีตนายกฯ สื่อสารกับลูกพรรคคือ "เมื่อขณะนี้มีรัฐบาลชุดใหม่แล้ว ก็ต้องให้โอกาสเขาทำงานไป หากเราไปขัดขวาง ก็จะกลายเป็นว่าไม่ให้ความร่วมมือกับประเทศ" (ไทยรัฐออนไลน์ 22 พ.ค. 2557) ต่อมาเมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เรียกประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นัดแรก 9 ก.ย. 2557 พร้อมประกาศกลางวงประชุม "เป็นรัฐบาลต้องติดดิน ดูแลประชาชน" นายพานทองแท้ก็ส่งการ์ตูนแอนิเมชัน "ตาดูดาว เท้าติดดิน" ฉายประวัตินายทักษิณ ออกมาข่มขวัญรัฐบาล ถือเป็นปฏิบัติการทางจิตวิทยาเล็กๆ ในช่วงที่นายทักษิณเลือก "จำศีล" 2558 : ถูกยึดพาสปอร์ต-ถอดยศ-ได้หมายจับใบที่ 6 18 พ.ค. 2558 นายทักษิณออกจากมุมมืด เมื่อได้รับเชิญให้ขึ้นกล่าวปาฐกถาในการประชุมระดับผู้นำ The 6th Asian Leadership Conference ที่กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ ระหว่างวันที่ 19-20 พ.ค. 2558 โดยมิลืมโพสต์ภาพผ่านทวิตเตอร์ส่วนตัวเพื่อรายงานตัวกับแฟนๆ แต่สิ่งที่ทำให้การเมืองร้อนขึ้นมา คือการให้สัมภาษณ์สื่อที่เกาหลีใต้ ซึ่งต่อมาแฟนเพจ "หยุดดัดจริตประเทศไทย" นำคลิปความยาว 1.32 นาทีมาเผยแพร่ ใจความตอนหนึ่งระบุว่า "ก็เที่ยวนี้ก็.. ทหารก็จะฟังองคมนตรี เพราะตอนที่เขาไม่ต้องการให้เราอยู่ เขาก็ให้สุเทพออกมา และให้ทหารเข้ามาช่วย เลยทำให้เราไม่มีอำนาจอะไร ผมก็เลยคุยกับนายกฯ ปูว่าเหตุการณ์เหมือนที่พี่โดนมา" บทสัมภาษณ์นี้นำวิบากกรรมมาสู่นายทักษิณเพิ่มเติม ทั้งถูกเพิกถอนหนังสือเดินทาง-ถูกถอดยศตำรวจ-ถูกกองทัพบกฟ้องหมิ่นประมาท จนนำไปสู่การออกหมายจับเป็น "คดีที่ 6" นายสุเทพ เทือกสุบรรณ นำมวลชน กปปส.เดินขบวนขับไล่รัฐบาล น.ส. ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เมื่อปี 2556-2557 ก่อนที่ก่อนชุมนุมจะยุติลงด้วยการรัฐประหาร 22 พ.ค. 2557 นายทักษิณเลือกตอบโต้ผ่านอินสตราแกรม (22 พ.ค. 2558) ระบุว่าได้แผ่เมตตาให้กับผู้มีอำนาจได้พ้นจากความโลภ โกรธ หลง เพื่อจะได้สติปัญญาในการแก้ไขปัญหาบ้านเมือง พร้อมย้ำว่า "เชื่อในคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ว่า 'ใดๆ ในโลกล้วนอนิจจัง' คือทุกสิ่งไม่มีอยู่จริง เมื่อเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วต้องดับไป พาสปอร์ตก็เช่นกัน.." ที่มา: บีบีซีไทยรวบรวม 22 พ.ค. 2558 ครบขวบปีรัฐประหาร สถานีโทรทัศน์ซีเอ็นเอ็นเผยแพร่บทสัมภาษณ์ 2 ผู้นำต่างขั้วอำนาจ โดยนายทักษิณยอมรับว่า "กังวลอยู่บ้าง" กับเรื่องที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ถูกดำเนินคดี เมื่อซีเอ็นเอ็นถามว่ากลุ่มคนเสื้อแดงจะออกมาชุมนุมบนถนนอีกหรือไม่ เขาบอกว่า "พยายามบอกให้พวกเขาอดทน และหากจะมีการออกมาก็ต้องเป็นไปด้วยความสงบ ไม่เกี่ยวข้องกับความรุนแรงใดๆ แต่ถ้าไม่จำเป็นก็อย่าออกมา" ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ขอใช้โอกาสนี้บอกโลกว่าเหตุใดต้องมาทำหน้าที่ตรงนี้ โดยยืนยัน "ไม่เคยต่อต้านประชาธิปไตย" และ "ไม่อยากอยู่ในอำนาจ แต่ผมเป็นคนเดียวที่สามารถจัดการปัญหาในไทยได้ภายใต้กฎหมายในขณะนี้" ส่วนการฉลองวันเกิดปีที่ 66 ของนายทักษิณเกิดขึ้นที่บ้านพักในนครดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยเปิดให้ลูกในไส้-ลูกพรรคร่วมอวยพร มีพิธีบายศรีเรียกขวัญให้นายทักษิณด้วย แทบทุกกิจกรรมถูกถ่ายทอดผ่าน "สำนักข่าวโอ๊ค-อิ๊ง" พร้อมเชิญชวนแฟนเพจติดแฮชแท็ก #HBDTS เขาขึ้นกล่าวบนเวทีตอนหนึ่งว่า "คนเป็นผู้นำ ถ้าไม่คิดถึงอนาคต แล้วคนที่เป็นผู้ตามก็ลำบาก" นอกจากนี้ยังตั้งวงวิเคราะห์เหตุบ้านการเมืองไทยให้อดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทยฟัง พร้อมอาสาเป็นที่ปรึกษาให้รัฐบาลในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ โดยกล่าวสั้นๆ ว่า "บอกมา ถ้าอยากให้ไปช่วย" (มติชนออนไลน์, 28 ก.ค. 2558) ทว่านอกจากรัฐบาลไม่ตอบรับข้อเสนอนี้ อดีตเพื่อนเตรียมทหารรุ่น 10 (ตท. 10) ของนายทักษิณ ที่ชื่อ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ยังโยนคำถามกลับ "ตามกฎหมายแล้วมาได้หรือ" 2559 : จาก "อย่าระแวงผม" ถึงชวนคนคว่ำร่างรธน. "ฉบับฝันร้าย" อาจเพราะไม่ต้องการให้ "นายกฯ น้อง" ที่เขาบอกกับใครๆ ว่าเป็น "โคลนนิ่ง" ของเขาต้องเผชิญชะตากรรมเดียวกัน พลันที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเริ่มไต่สวนพยาน ในคดีปล่อยปละละเลยให้เกิดการทุจริตโครงการรับจำนำข้าว สร้างความเสียหายแก่รัฐกว่า 5 แสนล้านบาท ที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ตกเป็นจำเลย ก็มีความเคลื่อนไหวจากนายทักษิณ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ขึ้นไต่สวนพยานฝ่ายจำเลยนัดสุดท้าย วันที่ 21 ก.ค. 2560 ท่ามกลางกำลังใจจากมวลชน โดยศาลนัดฟังคำพิพากษา วันที่ 25 ส.ค. 2560 ทว่าไม่ใช่การเร่งเกมรบ แต่คล้ายเป็นการส่งสัญญาณขอเจรจาสงบศึก? ในการให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์วอลล์สตรีต เจอร์นัล (เผยแพร่ 21 ก.พ. 2559) "นายกฯ คนที่ 23" จงใจพูดกับ "นายกฯ คนที่ 29" ว่า "โปรดอย่าได้ระแวงกันเลย ไม่ต้องกลัวหรอกว่าผมจะกลับไปมองหาหนทางแก้แค้น ผมไม่ได้มองหาเงื่อนไขใดๆ ที่จะช่วยตัวผมเอง แต่ถ้าหากคุณมีเจตนาดีจริงๆ ที่จะขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้า ถ้าหากต้องการคืนศักดิ์ศรีให้กับประชาชนไทย ก็มาพูดจากัน" เขายังพูดถึงชะตากรรมของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ว่าเกิดจากแรงจูงใจทางการเมือง "ผมไม่ได้ไม่พอใจผู้พิพากษา แต่ไม่พอใจระบบว่าทำไมต้องตั้งข้อหาเธอ หวังว่าเธอคงไม่ถูกพิพากษาว่าผิด แต่ไม่แน่ใจเท่าไรนัก" เมื่อไม่มีสัญญาณตอบรับจากผู้มีอำนาจ นายทักษิณจึงกลับมาเล่นเกมบู๊ระหว่างให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวอัลจาซีรา (28 ก.พ. 2559) โดยบอกว่า "ผมเลือกที่จะอยู่อย่างเงียบๆ เพื่อปล่อยให้รัฐบาลได้แก้ปัญหากันไป แต่ขณะที่เวลาผ่านมาปีครึ่งแล้ว การปรองดองกลับไม่ได้เกิดขึ้นจริง.." "ดูเหมือนว่าแนวทางแก้ปัญหาจะออกนอกลู่นอกทาง รัฐบาลไม่ได้มีความคิดที่จะปรองดอง.." "ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นฉบับที่เลวร้ายที่สุด ถ้าเราเปรียบเทียบกับเกาหลีเหนือ.." ดัชนีชี้วัดกระแสนิยมในตัว "อดีตผู้นำ-ผู้นำคนปัจจุบัน" ได้ดีที่สุด หนีไม่พ้นสนามประชามติร่างรัฐธรรมนูญ 7 ส.ค. 2559 นั่นทำให้สิ่งที่เกี่ยวข้องกับนายทักษิณกลายเป็นของแสลงของผู้มีอำนาจ สะท้อนผ่านการตั้งข้อหายุยงปลุกปั่นตามประมวลกฎหมายอาญา ม.116 อดีตนักการเมืองและชาวบ้านที่ร่วม "แจกขันน้ำสีแดง" พร้อมภาพถ่ายของนายทักษิณ-น.ส.ยิ่งลักษณ์ ช่วงเทศกาลสงกรานต์ นายทักษิณ ชินวัตร สไกป์มาอวยพรสมาชิกพรรคเพื่อไทย วันที่ 7 เม.ย. 2559 เนื่องในเทศกาลสงกรานต์ พร้อมเรียกร้องให้นักการเมืองรักประชาชน ไม่ว่ามาจากการแต่งตั้งหรือเลือกตั้ง ต่อมาเมื่อนักกิจกรรมที่เรียกตัวเองว่ากลุ่มพลเมืองโต้กลับ เรียกร้องให้ คสช. ปล่อยตัวนายวัฒนา เมืองสุข แกนนำพรรคเพื่อไทย ออกจากค่ายทหาร หลังโพสต์เฟซบุ๊ก "ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ" พล.อ.ประยุทธ์ก็ออกมาร่ายยาวถึงขบวนการที่อยู่เบื้องหลัง (21 เม.ย. 2559) "นักศึกษาก็นักศึกษาแล้วอยู่กับพวกไหน พวกไหน ใครเอารถไปส่ง ใคร วอยส์ทีวีไปส่งหรือเปล่า รถ นปช.ไปหรือเปล่า ใครล่ะ ยึดโยงกันยังไง นี่วิเคราะห์แบบนี้.." "ใครล่ะที่สนับสนุนกันมา ใครมีการวางแผนมา หนึ่งล็อบบี้ยีสต์ต่างประเทศ ใครทักษิณ" เป็นผลให้นายทักษิณออกมาตอบโต้กลับ (22 เม.ย. 2559) ว่า "ไม่มีล็อบบี้ยิสต์ในโลกคนไหนที่จะมีความสามารถทำลายคุณได้ เท่ากับคุณทำลายตัวคุณเอง" 12 วันก่อนลงประชามติ งานวันเกิดปีที่ 67 ของเขาถูกจัดขึ้นที่ประเทศอังกฤษ มีเฉพาะญาติใกล้ชิดไปร่วมงาน แต่ปีนี้ทั้งน้องสาว-น.ส. ยิ่งลักษณ์ และน้องเขย-นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ไม่อาจไปร่วมงาน เพราะติดเงื่อนไขศาลฎีกาฯ เรื่องการออกนอกราชอาณาจักร เมื่อปี 2559 น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โพสต์เฟซบุ๊กชวนสมาชิกแฟนเพจร่วมอวยพรวันเกิด "พี่ชายที่ดิฉันรักและเปรียบเสมือนคุณพ่อ" ขณะที่ คสช. ขอให้นายทักษิณหยุดเคลื่อนไหว ทว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้สร้างดราม่ากระตุกต่อมหน้าตามวลชน กับการโพสต์คลิปวิดีโอทางเฟซบุ๊ก ความยาว 6.28 นาที โดยร้องเพลง "เพลงของเธอ" มอบเป็นของขวัญแด่พี่ชาย พร้อมข้อความตอนหนึ่งว่า "เรามีข้อจำกัดที่เหมือนกัน คือน้องไปได้ทุกที่ในประเทศไทย ยกเว้นต่างประเทศ พี่ชายก็เดินทางไปได้ทุกประเทศ ยกเว้นประเทศไทย อยากจะบอกว่าความรู้สึกนั้นมันทรมานมากค่ะ.." แม้ไม่อยู่ไทย-ไม่มีสิทธิลงประชามติ แต่นายทักษิณก็ประกาศไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ โดยสำนักข่าวรอยเตอร์ (5 ส.ค. 2559) รายงานว่านายทักษิณได้ส่งสารผ่านอีเมลไปที่รอยเตอร์ ระบุว่าร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ถือเป็น "ฝันร้ายที่ขัดแย้งและสับสน" โดย "กลุ่มผู้ร่างรัฐธรรมนูญยกร่างเพื่อให้กลุ่มที่กุมอำนาจในปัจจุบันสืบทอดอำนาจต่อไปได้ แม้ว่าร่างรัฐธรรมนูญจะผ่าน และประกาศใช้บังคับ" หลังก่อนหน้านั้น เขาให้ลูกโอ๊คโพสต์เฟซบุ๊กระบุ 6 เหตุผลไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ อย่างไรก็ตาม ร่างรัฐธรรมนูญได้ผ่านประชามติด้วยคะแนนร้อยละ 61.35 ต่อ 38.65 ซึ่งแกนนำ กปปส. ผู้ประกาศสนับสนุนร่างฯ อย่างแข็งขัน ชี้ว่า "เหตุผลส่วนหนึ่งที่คนไปโหวตรับร่างฯ เพราะนายทักษิณประกาศไม่รับร่างฯ" 2560: "ชินวัตร" ครอบครัวตัวประกัน เข้าสู่ปี 2560 มีนักการเมืองแวะเวียนไปสวัสดีปีใหม่อดีตนายกฯ ตามธรรมเนียม หนึ่งในนั้นคือนายวัฒนา เมืองสุข นอกจากปรับทุกข์-ผูกมิตร นายทักษิณยังยืนยันไม่เคยคิดร้ายกับประเทศไทย "หากคิดไม่ดีกับบ้านเมือง คนที่จะได้รับผลร้ายซึ่งเสมือนเป็นตัวประกันที่อยู่ในเมืองไทยก็คือ บุตร ภรรยา และญาติพี่น้องที่รัก" แม้เข้าสู่ช่วงนับถอยหลังตัดสินคดีจำนำข้าวของน้องสาว และคดีสลายการชุมนุมพันธมิตรฯ ปี 2551 ของน้องเขย แต่เขายังนิ่ง-เงียบ คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร (คนที่ 2 จากขวามือ) อดีตภริยาของนายทักษิณ ชินวัตร ขึ้นศาลเพื่อฟังคำตัดสินคดีเลี่ยงภาษีหุ้นชินคอร์ป 546 ล้านบาท เมื่อวันที่ 24 ส.ค. 2554 โดยมีลูกทั้ง 3 คนเคียงข้าง กระทั่งกรมสรรพากรใช้ "อภินิหารทางกฎหมาย" เรียกเก็บภาษีย้อนหลังจากกรณีขายหุ้นชินคอร์ป เป็นเงินกว่า 1.76 หมื่นล้านบาท หลังก่อนหน้านั้นในปี 2553 เคยถูกศาลพิพากษายึดทรัพย์ 4.63 หมื่นล้านบาทจากกรณีขายหุ้นชินคอร์ปมาแล้ว นายทักษิณจึงไม่อาจอยู่นิ่งอีกต่อไป 31 มี.ค. 2560 เขาโพสต์เฟซบุ๊กบรรยายความในใจที่ถูกใส่ร้าย-ลากเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องร้ายๆ ในบ้านเมือง ทั้งระเบิดราชประสงค์, ระเบิด 7 จังหวัดภาคใต้ตอนบน, สร้างภาพว่าเกี่ยวพันกับขบวนการล้มล้างการปกครอง โดยยืนยัน "มีความจงรักภักดี เทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ และเคยถวายงานเจ้านายทุกพระองค์ ด้วยหัวใจแห่งความจงรักภักดีมาตลอด" "สิ่งที่เป็นอันตรายต่อระบอบการปกครองของไทย คือการปฏิวัติรัฐประหารมากกว่า.." "กระบวนการปรองดองที่จะเกิดขึ้นในเร็ววันนี้ ผมขอให้ทุกฝ่ายโปรดตัดผมออกจากสมการไปได้เลยครับ ผมไม่ต้องการให้ใครมาเสนออะไรเพื่อช่วยตัวผม และในทางกลับกัน ผู้มีอำนาจก็ไม่ควรใช้อภินิหารและกระทำทุกวิถีทางเพื่อขจัดผมเพียงคนเดียว โดยไม่คำนึงถึงหลักนิติธรรม และต้องไม่เลี้ยงไข้ความ 'ขัดแย้ง' ให้ยืดเยื้อ เพื่อเป็นข้ออ้างที่จะอยู่ในอำนาจต่อไป.." "ผมหยุดแล้วครับ ท่านล่ะ เมื่อไหร่จะหยุดสักที" เขาตั้งคำถามทิ้งท้าย ล่าสุดกรมบังคับคดีได้รับอายัด 12 บัญชีธนาคารของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ตามที่คณะกรรมการสืบทรัพย์ โดยกระทรวงการคลัง ร้องขอให้ดำเนินการยึดทรัพย์อดีตนายกฯ เพื่อชดใช้ความเสียหายจากโครงการรับจำนำข้าว วงเงิน 3.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งทีมทนายได้ยื่นคำร้องต่อศาลปกครอง เพื่อขอให้มีคำสั่งทุเลาการบังคับอายัดทรัพย์สินของ น.ส.ยิ่งลักษณ์แล้ว เธอทวิตยืนยันว่า "ยังเข้มแข็ง" และ "ไม่ได้ทำอะไรผิด" ที่มา: บีบีซีไทยรวบรวม ถึงวันนี้ เมื่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ผ่านร่างพ.ร.บ. ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง โดยสาระสำคัญคือให้พิจารณาคดีลับหลังจำเลยได้ และคดีทุจริตไม่มีอายุความ การนับถอยหลังกลับบ้านของผู้นำพเนจร-ผู้ต้องหาที่มีหมายจับ 6 หมาย จึงคล้ายไม่มีวันสิ้นสุด ขณะเดียวกัน 2 ผู้นำที่ตกเป็น "จำเลย" ก็มิอาจใช้แนวทาง "ใช้ชีวิตต่างแดน" ฆ่าเวลาคดีขาดอายุความได้ "ผมเคยอยากกลับ หากผมได้กลับบ้าน แน่นอนผมจะกลับ แต่หากไม่สามารถกลับได้ ผมโอเค เพราะผมอยู่ได้ทุกประเทศ" นั่นคือคำพูดของนายทักษิณเมื่อปี 2559 โดยที่ยังไม่รู้ว่าเขาหมดหนทางกลับบ้าน
|
26 ก.ค. 2560 ครบรอบวันคล้ายวันเกิดปีที่ 68 ของนายทักษิณ ชินวัตร ถือเป็นปีที่ 11 ที่เขาไม่มีโอกาสฉลองวันเกิดในมาตุภูมิ ท่ามกลางการต่อสู้ทางการเมืองทีเข้าสู่ "แดนอันตราย" อีกครั้งเมื่อ น้องสาว และน้องเขย รอการตัดสินคดีในเดือน ส.ค. ซึ่งมีโทษสูงสุดคือ จำคุก 10 ปี
|
international-48573395
|
https://www.bbc.com/thai/international-48573395
|
ฟุตบอลโลกหญิง 2019: ตัวเลขที่น่าสนใจเกี่ยวกับการแข่งขัน
|
การแข่งขันฟุตบอลโลกหญิงในปีนี้คือครั้งที่ 8 ครั้งแรกจัดขึ้นปี 1991 หรือ 61 ปี หลังจากฟุตบอลโลกชาย ผู้หญิงถูกห้ามลงเล่นในสโมสรฟุตบอลต่าง ๆ จนกระทั่งทศวรรษที่ 1970 การแข่งขันปีนี้ จัดขึ้นในฝรั่งเศส ในเดือน มิ.ย.-ก.ค. มีทีมที่ผ่านเข้ารอบสุดท้าย 24 ทีม ที่ผ่านมา มีเพียง 4 ทีมที่เคยคว้าแชมป์ คือ สหรัฐฯ ญี่ปุ่น นอร์เวย์ และเยอรมนี จำนวนผู้ชมการแข่งขันเพิ่มขึ้นทั้งทางทีวี และในสนาม ข้อมูลจากฟีฟ่าเมื่อวันที่ 6 มิ.ย. ระบุว่า ขายบัตรเข้าชมการแข่งขันได้แล้วกว่า 9 แสนใบ การแข่งขันนัดเปิดสนาม, รอบตัดเชือก และรอบชิงชนะเลิศ บัตรขายหมดใน 48 ชั่วโมง ฟุตบอลโลกหญิง 2015 ที่จัดในแคนาดา มีคนรับชมทางทีวีมากกว่า 500 ล้านคน ทั่วโลก โดยรอบชิงชนะเลิศระหว่างสหรัฐฯและญี่ปุ่น เป็นการแข่งฟุตบอลที่มีผู้ชมมากที่สุดในสหรัฐฯ คือ มากกว่า 25 ล้านคน ทีมสหรัฐฯ ซึ่งคว้าชัยได้เงินรางวัล 2 ล้านดอลลาร์ หรือราว 62.5 ล้านบาท ส่วนเงินรางวัลปีนี้ เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า แต่ก็เทียบไม่ได้กับเงินรางวัลฟุตบอลโลกชาย มักมีคนบอกว่า นี่เป็นเพราะรายได้ของการแข่งขันที่ได้จากฟุตบอลโลกชายและหญิงไม่เท่ากัน แต่ฟีฟ่า ซึ่งตั้งเงินรางวัลบอกว่า รายได้จากการแข่งฟุตบอลโลกหญิงไม่สามารถแยกออกมาจากรายได้จากการแข่งขันอื่น ๆ ของฟีฟ่าได้ เพราะสิทธิมักถูกขายเป็นแพ็กเกจ แม้จะเป็นเรื่องน่าเศร้าแต่ผู้หญิงก็มีส่วนร่วมในฟุตบอลเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ข้อมูลจากยูฟ่าระบุว่า ปี 2017 มีนักเตะหญิงกว่า 1.3 ล้านคน ที่ลงทะเบียนกับสโมสรฟุตบอลระดับชาติหรือสโมสรในสังกัด ในยุโรป ฟีฟ่าต้องการเพิ่มการมีส่วนร่วมของผู้หญิงในฟุตบอลทั่วโลก
|
ก่อนที่จะถึง 02.00 น. ของวันพุธที่ 12 มิ.ย. ที่ "ชบาแก้ว" หรือทีมฟุตบอลหญิงทีมชาติไทยจะลงฟาดแข้งกับทีมจากสหรัฐอเมริกา ในสนามแรกของศึกฟุตบอลหญิงชิงแชมป์โลก 2019 ที่ ฝรั่งเศส ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างเดือน มิ.ย.-ก.ค. การแข่งขันรายการนี้ เป็นหนึ่งในการแข่งขันกีฬารายการใหญ่ที่สุดในปีนี้ ลองมาดูกันว่า ตัวเลขที่น่าสนใจเกี่ยวกับการแข่งขันนี้มีอะไรบ้าง
|
53124319
|
https://www.bbc.com/thai/53124319
|
จักรภพ - จิรภพ ภูริเดช สองพี่น้องผู้รับใช้ชาติและราชบัลลังก์
|
พล.ต.ต.จิรภพ ภูริเดช ผู้บังคับการกองปราบปราม ล่าสุด เมื่อ 20 มิ.ย. พล.ต.ต.จิรภพ แถลงถึงกรณีคนร้ายวางแผนชิงตัว พ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์ อดีตรัฐมนตรี ผู้ต้องหาร่วมกันกับพวกอุ้มฆ่าพี่ชายผู้พิพากษาศาลอาญากรุงเทพใต้ ซึ่งถูกคุมขังอยู่ภายในเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครโดย พล.ต.ต.จิรภพ ยืนยันว่ามีการจับกุมผู้ต้องหาในคดีอื่นที่ให้การอ้างว่า พ.ต.ท.บรรยิน มีแผนการตามที่เป็นข่าวจริง ขณะนี้ตำรวจกองปราบปรามกำลังสืบสวนขยายผลเพิ่มเติม ส่วนเมื่อต้นเดือนนี้ ผู้บังคับการกองปราบก็เพิ่งได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานตราสัญลักษณ์ประจำชุดปฏิบัติการพิเศษหนุมาน กองกำกับการสนับสนุน กองบังคับการปราบปราม เพื่อใช้ในการปฏิบัติหน้าที่ เช้าของวันที่ 3 มิ.ย. พล.ต.ต.จิรภพ พร้อมข้าราชการตำรวจกองปราบปราม ได้เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทเข้ารับพระราชทานตราสัญลักษณ์ประจำชุดปฏิบัติการพิเศษ หนุมาน หน้าพระบรมฉายาลักษณ์ ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน ต่อมาได้อัญเชิญตราสัญลักษณ์พระราชทาน มายังกองบังคับการปราบปราม และประกอบพิธีประดับเครื่องหมายตราสัญลักษณ์ประจำหน่วยให้แก่ชุดปฏิบัติการพิเศษหนุมาน พร้อมทั้งนำข้าราชการตำรวจในสังกัด ถวายสัตย์ปฏิญาณต่อหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ ฝีมือของชุดปฏิบัติการพิเศษหนุมานเป็นที่ประจักษ์ไปทั่วประเทศ พวกเขาปรากฏตัวในคดีสะเทือนขวัญที่ใหญ่ที่สุดของปี 2563 คือ เหตุการณ์ จ.ส.อ.จักรพันธ์ ถมมา ทหารสังกัดค่ายสุรธรรมพิทักษ์ กราดยิงประชาชนในพื้นที่และหลบหนีเข้าไปในศูนย์การค้าเทอร์มินอล 21 นครรราชสีมา ตั้งแต่เวลา 14.35 น.ของวันที่ 8 ก.พ. 2563 ก่อนถูกวิสามัญฆาตกรรมในช่วงเช้าวันที่ 9 ก.พ. พล.ต.ต.จิรภพเป็นผู้บัญชาการชุดปฏิบัติการนี้ โดยปฏิบัติงานร่วมกับ พล.ต.ต.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รองผู้บัญชาการ ตำรวจสอบสวนกลางและกองบังคับการตำรวจมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ 904 กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง "หนุมานกองปราบ" ตั้งขึ้นเมื่อ พ.ย. 2562 หลังจากที่พล.ต.ต.จิรภพ รับตำแหน่งผู้บังคับการกองปราบปราม ประสงค์ให้กองปราบปรามมีชุดปฏิบัติการของหน่วยตัวเอง เพื่อจะได้เรียกใช้สำหรับภารกิจต่าง ๆ ซึ่งก่อนหน้านี้ หน่วยคอมมานโด ซึ่งเคยสังกัดกองปราบปราม ได้แยกตัวไปอยู่ในสังกัดกองบังคับการตำรวจมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ 904 ด้วยการเติบโตในราชการอย่างรวดเร็ว และเหลืออายุราชการอีก 16 ปี หลายฝ่ายจึงคาดการณ์ว่า โอกาสที่เขาจะได้คว้าตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จึงไม่ใช่เรื่องไกลเกินจริง พิธีรับพระราชทานตราสัญลักษณ์ประจำชุดปฏิบัติการพิเศษ หนุมาน หน้าพระบรมฉายาลักษณ์ ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน "พ่อคือไอดอล" พล.ต.ต.จิรภพ ก็คือ "ลูกไม้ใต้ต้น" ของบ้าน "ภูริเดช" ที่สมาชิกครอบครัวล้วนมีการศึกษาสูงและมีหน้าที่การงานดี เริ่มตั้งแต่บิดา พล.ร.อ.สมภพ ภูริเดช ดำรงตำแหน่งนายทหารราชองครักษ์พิเศษ หลังเกษียณราชการจากกองทัพเรือ ในตำแหน่งผู้บัญชาการกองเรือภาค 3 นอกจากนี้เขาคือ ต้นแบบและแรงบันดาลใจให้ลูก ๆ "พี่มีคุณพ่อเป็นไอดอล คุณพ่อพี่เป็นผู้การเรือ เป็นนักรบ - นักสู้ เรือหลวงที่ว่าดัง ๆ คุณพ่อพี่เป็นผู้การเรือมาหมดแล้ว ครอบครัวพี่จึงเป็นแรงบันดาลใจผลักดันให้เราประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน" พล.ต.ต.จิรภพกล่าวกับ ไทยรัฐ ในบทสัมภาษณ์ที่เผยแพร่เมื่อ 10 พ.ค. 2560 มารดา คือ นางรสสุคนธ์ ภูริเดช อดีตข้าราชการกรมสรรพากร และอดีตวุฒิสมาชิกผู้ล่วงลับ ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร เสด็จพระราชดำเนินไปในการพระราชทานเพลิงศพเมื่อ 7 ส.ค. 2560 ไทยรัฐออนไลน์ รายงานเมื่อ 8 ส.ค. 2560 ว่า ทรงจุดฝักแคพระราชทานเพลิงศพเป็นครั้งแรกในรัชกาลปัจจุบัน และนับเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 10 ปี พล.อ.จักรภพ ภูริเดช ในงานพระราชทานเพลิงศพนางรสสุคนธ์ ภูริเดช มารดา เมื่อปี 2560 ผู้ช่วยรัฐมนตรี-ผู้บัญชาการทหารมหาดเล็กฯ-หมอฟัน-ตำรวจ พล.ต.ต.จิรภพคือน้องคนสุดท้องของบ้าน ที่มีพี่ ๆ เป็นต้นแบบและแรงบันดาลใจ พี่คนโต คือ ณัฐภพ ภูริเดช หรือ "กล้า" เป็นนักธุรกิจด้านโทรคมนาคมและได้รับการแต่งตั้งจากคณะรัฐมนตรีเมื่อ 20 เม.ย. 2554 ให้ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ในรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ พี่ชายคนที่ 2 คือ พล.อ.จักรภพ ภูริเดช นายทหารที่รับใช้เบื้องพระยุคลบาทด้วยความซื่อสัตย์ ปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองผู้บัญชาการ หน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ และผู้บัญชาการทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ หน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ พี่คนที่ 3 คือ รศ.ทพญ.ดร. ภฑิตา ภูริเดช ที่เป็นทั้งศิษย์เก่าและอาจารย์ปัจจุบันของคณะทันตแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รศ.ทพญ.ดร.ภฑิตา สมรสกับ พล.อ. ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ อดีตผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ปัจจุบันดำรงตำแหน่งนายทหารราชองครักษ์ และ รองผู้บัญชาการทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ หน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ (อัตรา พล.อ.) มีพระราชโองการโปรดเกล้าฯให้ พล.ต.ท. ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง มารับราชการเป็นข้าราชการในพระองค์ ฝ่ายทหารชั้นสัญญาบัตร ในตำแหน่งนายทหารปฏิบัติการประจำสำนักงานผู้บัญชาการทหารมหาดเล็ก ราชวัลลภรักษาพระองค์ หน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ (อัตราพลโท) และพระราชทานยศพลโท แต่งกายทหารบกเหล่าทหารราบ ตั้งแต่ 28 ก.ย. 2561 พล.ต.ต.จิรภพ หรือ "ก้อง" คือ น้องคนเล็กของบ้าน เป็นคนเรียนหนังสือดีไม่น้อยหน้าพี่ ๆ เขาบอกกับ ไทยรัฐเมื่อ 3 ปีก่อนว่า เลือกมาเรียนเหล่าตำรวจ หลังสอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหารได้ แม้รู้สึกว่าตัวเองเหมาะกับการขับเครื่องบินไอพ่นเพราะ "หากเป็นทหารอากาศแล้ว ไม่ได้เป็นนักบินไอพ่น ก็ไม่อยากเป็น เมื่อคำนึงถึงโอกาสต่าง ๆ แล้วจะได้เป็นอย่างที่คาดหวังรึไม่ เลยคิดว่าอาชีพที่ตื่นเต้นรองลงมาก็คือการเป็นตำรวจ จึงเลือกสอบเป็นตำรวจ" ขึ้นเป็นผู้การกองปราบ เมื่ออายุยังไม่ครบ 43 ปีเต็ม พล.ต.ต.จิรภพ เป็นนักเรียนเตรียมทหารรุ่น 34 นักเรียนนายร้อยรุ่นที่ 50 จบปริญญาโทด้านการบริหารข้อมูลสารสนเทศ จากมหาวิทยาลัยเซ็นทรัลมิชิแกน สหรัฐฯ จบปริญญาเอกวิทยาศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาธุรกิจเทคโนโลยีและการจัดการนวัตกรรม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ จบหลักสูตรเอฟบีไอรุ่นที่ 271 จากสหรัฐฯ เขาเริ่มรับราชการตำแหน่งแรกเป็นรองสารวัตรฝ่ายปฏิบัติการ 3 กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ (บก.ปปป.) เป็นรองสารวัตร แผนก 2 กก. 1 บก.ป. ก่อนติดยศ พ.ต.ต. เป็นสารวัตรตำรวจท่องเที่ยว จ.ภูเก็ต จากนั้นก็ขึ้นเป็นรอง ผกก.ท่องเที่ยวภูเก็ต และได้ขึ้นเป็น ผกก.ท่องเที่ยวภูเก็ต ต่อมาได้ย้ายกลับถิ่นเก่ามาเป็น ผกก.1 บก.ป. เมื่อปี 2557 ขึ้นเป็นรอง ผบก.ป.เมื่อ มิ.ย. 2560 ไม่ถึง 2 เดือน ก่อนอายุครบ 43 ปีบริบูรณ์ เขาทำพิธีรับมอบตำแหน่งผู้บังคับการกองปราบจาก พล.ต.ต. ไมตรี ฉิมเฉิด เมื่อ 18 ต.ค. 2561 พล.ต.ต.จิรภพมีผลงานจับกุมคดีใหญ่ ๆ ระดับประเทศมากมาย เช่น คดียักยอกเงินของสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า เจ้าคุณทหารลาดกระบัง, คดีปล้นรถขนเงิน บริษัทโพรเกรส กันภัย จำกัด คดียิงนายสมยศ สุธางค์กูร เจ้าพ่อพระราม 9 คาเฟ่, คดีจับ "หญิงไก่" แอบอ้างเบื้องสูง, คดีฆ่าโบกปูนชาวอิสราเอลซุกไว้บ้านพักบางบัวทอง เป็นต้น เจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการพิเศษหนุมานในเครื่องแบบที่ติดตราสัญลักษณ์พระราชทาน พล.อ. จักรภพ ภูริเดช นายทหารผู้จงรักภักดี ในบทสัมภาษณ์ไทยรัฐที่เผยแพร่เมื่อ 10 พ.ค. 2560 พล.ต.ต.จิรภพกล่าวว่า ความสำเร็จในหน้าที่การงานของพ่อและพี่ชาย คือ พล.อ.จักรภพ ล้วนสร้างแรงบันดาลใจให้เขา "พ่อเคยเป็นผู้การเรือรบหลวงต่าง ๆ ส่วนพี่ชายก็เป็นทหารอากาศ เป็นนักบินไอพ่น F-5, F-16 แต่ละคนก็เท่ระเบิด" พล.อ. จักรภพอายุมากกว่า พล.ต.ต. จิรภพ 6 ปี เขาเกิดเมื่อ 25 พ.ค. 2512 เป็นนักเรียนเตรียมทหารรุ่น 28 และนักเรียนนายเรืออากาศรุ่น 35 เพื่อน ๆ ในรุ่นเรียกเขาว่า "แหบ" และสื่อมวลชนไทยบางแห่ง รายงานว่าเขามีอีกฉายาว่า "นายค๊อก" ล่าสุดเมื่อ 1 พ.ค. 2563 เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันราชาภิเษกสมรส พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีเสด็จ ฯ เป็นการส่วนพระองค์ไปทอดพระเนตรโครงการพระราชทานความช่วยเหลือประชาชน ในความรับผิดชอบของกองบัญชาการทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ ณ กรมทหารรักษาวังมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ โดย พล.อ. จักรภพ ผู้บัญชาการทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ ได้กราบบังคมทูลรายงานเรื่องการเย็บถุงผ้า สำหรับบรรจุเครื่องอุปโภคบริโภค และหน้ากากอนามัย พระราชทานแก่ราษฎร พล.อ.จักรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ กราบบังคมทูลรายงานเรื่องการเย็บถุงผ้าพระราชทาน สำหรับบรรจุเครื่องอุปโภคบริโภค พระราชทานแก่ราษฎร พล.อ. จักรภพเจริญเติบโตในหน้าที่การงานอย่างรวดเร็ว จากการสืบค้นราชกิจจานุเบกษา พบประกาศต่าง ๆ ดังนี้ ปัจจุบันเขาดำรงยศพลเอก ในตำแหน่งรองผู้บัญชาการ หน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ และผู้บัญชาการทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ หน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ และมีตำแหน่งที่ได้รับโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ปฏิบัติหน้าที่ในราชการอีก 5 ตำแหน่ง ประกอบด้วย พล.อ.จักรภพ ภูริเดช และมารดา พ้นวาระราชองครักษ์ 11 วัน 20 ต.ค. 2561 ราชกิจจานุเบกษามีประกาศเผยแพร่พระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้เขาได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ตติยจุลจอมเกล้าวิเศษ ทว่า 6 เดือนต่อมา ราชกิจจานุเบกษา ประกาศ ณ วันที่ 23 เม.ย. 2562 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ข้าราชบริพารพ้นวาระราชองครักษ์ในพระองค์ จำนวน 2 นาย โดยมีชื่อที่ 1 คือ พล.อ. จักรภพ ภูริเดช ตำแหน่งรองผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ / ผู้บัญชาการทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ หน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ และชื่อที่ 2 พ.อ. นราพร แสนธิ ตำแหน่ง รักษาราชการ ผู้บังคับการกรมทหารรักษาวังมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ กองบัญชาการทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์หน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ ต่อมา 2 พ.ค. 2562 ราชกิจจานุเบกษา ประกาศตอนหนึ่งว่า อาศัยมาตรา 10 แห่งพระราชบัญญัติ ราชองครักษ์ พุทธศักราช 2480 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งให้ทั้ง 2 คน เป็นราชองครักษ์ในพระองค์อีกครั้ง ถัดจากนั้น 5 พ.ค. 2562 มีพระราชพิธี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินเลียบพระนครโดยขบวนพยุหยาตราสถลมารคตามโบราณราชประเพณี พล.อ.จักรภพปฏิบัติหน้าที่ในริ้วขบวนพระบรมราชอิสริยยศพระดำเนินกระหนาบข้างคู่เคียงพระราชยาน ในริ้วเจ้าพนักงานอินทร์เชิญทวนเงินคู่เคียงพระราชยาน ได้แก่ แถวทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์แซงเสด็จ ข้างละ 2 สาย สายละ 12 นาย รวมเป็นข้างละ 24 นาย โดยแต่ละข้างจะมีพลแตร 2 นาย และมีนายทหารผู้บังคับบัญชาของแถวแซงเสด็จ ข้างละ5 นาย โดยแถวแซงเสด็จขวา มี พล.อ.จักรภพ ผู้บัญชาการทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ เป็นนายทหารกำกับแถวแซงเสด็จขวา และแถวแซงเสด็จซ้ายมี พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก และผู้บังคับการหน่วยเฉพาะกิจทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ 904 เป็นนายทหารกำกับแถวแซงเสด็จซ้าย
|
ชื่อของ พล.ต.ต.จิรภพ ภูริเดช ผู้บังคับการกองปราบปราม วัย 44 ปีเศษ กำลังโด่งดังในการไขคดีสำคัญที่อยู่ในความสนใจของผู้คน และเกี่ยวพันกับความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน
|
53032653
|
https://www.bbc.com/thai/53032653
|
กลุ่ม CARE ปลุก "ก้าวข้ามความกลัว" อาสาพาประเทศไทย "ออกจากห้องฉุกเฉิน" หลังเผชิญ 3 กับดักในวิกฤตโควิด-19
|
การเปิดตัวของกลุ่ม CARE เกิดขึ้นที่วอยซ์ สเปซ ถ.วิภาวดีรังสิต ในวันที่ 84 ที่ประเทศไทยอยู่ภายใต้การประกาศใช้พระราชกำหนด (พ.ร.ก.) การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน เพื่อรับมือกับการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) ของรัฐบาล มีการเปิดตัวขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมซึ่งเรียกตัวเองว่ากลุ่ม CARE ย่อมาจาก Creative Action for Revival & People Empowerment โดยเป็นการผสมผสานระหว่างนักการเมืองหน้าเก่ากับคนหน้าใหม่ วันเดียวกับที่ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ออกมาประกาศกับประชาชนทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทยว่ารัฐบาลของเขากำลังจะ "ทำงานแบบวิถีใหม่" หลังการระบาด และขอให้ทุกภาคส่วนร่วม "รวมไทยสร้างชาติ" เวทีอภิปรายเรื่อง "150 วันอันตราย : ทางเลือกทางรอด" ถูกจัดขึ้น โดยมีสมาชิกกลุ่ม CARE ร่วมเสวนา "ความเศร้า ความกลัว ความหวัง ความเชื่อมั่น และปัญญา" คือ 5 คำสำคัญที่ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี อดีตรองนายกรัฐมนตรี และสมาชิกกลุ่ม CARE ใช้อธิบายสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในวิกฤตโควิด-19 ก่อนชี้ว่าทุกคนอยู่ในช่วงที่ยังไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นใน 150 วันข้างหน้าที่จะชี้ชะตาประเทศไทย เพราะไม่เคยมีวิกฤตครั้งไหนที่เกิดวิกฤตทั้งการเมือง เศรษฐกิจ และสุขภาพพร้อม ๆ กัน "ผมเชื่อว่าประเทศไทยอยู่ในเขาวงกต ยังมึนงงไม่รู้จะไปไหนต่อไป เพราะเรารู้จักโควิดแค่ 8 เดือน เราเรียนรู้ขึ้นเรื่อย ๆ แต่ไม่มีใครรู้แน่ชัด รู้จริง ไม่มีสัจธรรม" นพ.สุรพงษ์กล่าว นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี ได้รับเชิญให้เข้าไปเป็นที่ปรึกษาพิเศษของ รมว.สาธารณสุข เมื่อต้องรับมือกับไวรัสมรณะโควิด-19 ความไร้สัจธรรมของโควิด-19 ถูกหมอเลี้ยบสรุปไว้ ดังนี้ ประเทศไทยเลือดไหลไม่หยุด ผู้ก่อการกลุ่ม CARE กล่าวต่อไปว่า ขณะนี้ไทยมีผู้ป่วยสะสม 3.1 พันราย เสียชีวิต 58 ราย มีผู้ป่วยที่ยังรักษาตัวในโรงพยาบาล 81 ราย โดยมีเพียง 1 รายที่เป็นผู้ป่วยอาการหนัก ซึ่งในการรักษาต้องใช้งบประมาณราว 1 ล้านบาท/ราย รวมเป็นงบ 3 พันล้านบาท แต่สิ่งที่ต้องแลกมาคือเศรษฐกิจจากการท่องเที่ยว ซึ่งในแต่ละเดือนที่การท่องเที่ยวหยุดชะงัก ประเทศต้องสูญเสียรายได้ถึง 2.6 แสนล้านบาท ทั้งหมดนี้เพราะ "กับดัก" 3 ตัวคือ ความกลัว ความเชื่อผิด ๆ และความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านที่มากำหนดให้คนต้องทำตาม "เราต้องเลิกกลัว เลิกเชื่อความเชื่อผิด ๆ และหาทางออกใหม่ซึ่งขณะนี้ไม่มีสูตรสำเร็จ วิกฤตเศรษฐกิจในอีก 150 วันข้างหน้าไม่มีใครเคยผ่านมาก่อน ถ้าทำแบบเดิม ๆ ไอนสไตน์บอกว่าถ้าเราเคยทำพลาดแล้วทำแบบเดิม อันนั้นคือความเบาปัญญา เราต้องท้าทายความเชื่อมั่น คิดใหม่ตลอดเวลา เราต้องสามารถว่องไวปราดเปรียวในการหาทางออก พร้อมรับเงื่อนไขใหม่ตลอดเวลา" นพ.สุรพงษ์ระบุ เขายังตรวจอาการของประเทศไทยพบว่า "อยู่ในห้องฉุกเฉิน เลือดไหลไม่หยุด ต้องเติมเลือดเข้าไป" พร้อมเรียกร้องให้ผู้รับผิดชอบออกจากหอคอยงาช้าง "มาดูการตกหุบเหว พบความสิ้นหวังของประชาชน" เพื่อก้าวข้ามจากความกลัวไปสู่ความหวัง ระเบิดเวลาจากหนี้ก้อนโต ขณะที่คำว่า "150 วันอันตราย" ถูกอธิบายโดยนายศุภวุฒิ สายเชื้อ ที่ปรึกษาสถาบันวิจัยภัทร กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร สมาชิกกลุ่ม CARE ที่สะท้อนความกังวลใจจากมาตรการผ่อนปรนให้สามารถเลื่อนกำหนดชำระหนี้ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่งมีผู้เข้าร่วมโครงการ 15 ล้านคน คิดเป็นยอดหนี้ 6.6 ล้านล้านบาท โดย 1 ใน 3 ของลูกหนี้ ได้รับการพักหนี้ 6 เดือนนับจากเดือน เม.ย. หรือจะครบกำหนดในเดือน ต.ค. นี้ ศุภวุฒิ สายเชื้อ คาดหวังให้ประเทศไทยพลิกผัน ฟื้นฟู ปรับโครงสร้างให้เป็นประเทศที่สมบูรณ์ (wellness) "ตอนที่กลับมา ใครจะใช้หนี้คืนได้บ้างถ้าเศรษฐกิจไม่ฟื้น" เขาตั้งคำถาม ก่อนแจกแจงข้อมูลต่อว่า ในกลุ่มที่ขอพักหนี้ แบ่งเป็น หนี้ส่วนบุคคล 13.9 ล้านราย คิดเป็นมูลหนี้ 3.8 ล้านล้านบาท และหนี้ธุรกิจรายใหญ่และผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) 1.1 ล้านราย คิดเป็นมูลหนี้ 2.8 ล้านล้านบาท เฉพาะกลุ่มเอสเอ็มอีมีมูลหนี้อยู่ที่ 2 ล้านล้านบาท ขณะที่ พ.ร.ก.ให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (ซอฟต์โลน) แก่เอสเอ็มอี มีวงเงินเพียง 5 แสนล้านบาท "นี่คือความเป็นห่วง รู้สึกว่าเป็นระเบิดเวลา ถ้าถึงวันนั้นจะทำอย่างไร ผมเองก็ยังไม่มีคำตอบ" นายศุภวุฒิ นักเศรษฐศาสตร์ภาคเอกชนซึ่งเป็นที่รู้จักดีในแวดวงการเงินระหว่างประเทศ กล่าว แนะ "คุณลุง" แก้ รธน. เพื่อลงจากหลังเสืออย่างสง่างาม นายบรรยง พงษ์พานิช ประธานกรรมการบริษัทหลักทรัพย์ ภัทร เป็นหนึ่งเดียวบนเวทีที่ไม่ได้เป็นสมาชิกกลุ่ม CARE ซึ่งเขาออกตัวว่า "ไม่ได้หวังจะเปลี่ยนโลก แต่ถือคติว่าใครทำอะไรดี ก็รับใช้โดยไม่เลือกว่าพรรคไหนกลุ่มใด" และยังบอกด้วยว่าตัวเขาเป็นพวกเสรีนิยมใหม่ คือเชื่อว่าประเทศจะไปได้ดีหากมีการจำกัดบทบาทของรัฐ ทว่าพอเกิดวิกฤต ได้ทำให้รัฐขยายตัวอย่างมโหฬาร วิกฤตโควิด-19 ทำให้ประธานภัทรคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยถดถอยไป -9% และไม่ใช่แค่ปีเดียวด้วย ก่อนเปิด 4 ข้อเสนอเพื่อสร้างโอกาสสำหรับประเทศไทย บรรยง พงษ์พานิช เล่าว่าได้ทำโพลในหมู่คนใกล้ชิดว่า "อยู่บ้านหยุดเชื้อเพื่อชาติ" หรือ "หยุดเชื้อเพื่อกู" ปรากฏว่าส่วนใหญ่ตอบอย่างหลัง "ไหน ๆ เป็นวีรบุรุษปราบโควิดได้ ก็มอบประชาธิปไตยที่แท้จริงแก่ประชาชน... สำหรับคุณลุงทั้งหลาย นี่เป็นโอกาสที่ดีที่จะลงจากหลังเสืออย่างสง่างาม จะได้ไม่ซ้ำรอยวินสตัน เชอร์ชิลล์ (อดีตนายกฯ อังกฤษ) ที่พาประเทศชนะสงครามอย่างยิ่งใหญ่ จากนั้นก็แพ้การเลือกตั้งอย่างยับเยิน" นายบรรยงกล่าว ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้เสนอตัวชิงผู้ว่า กทม. กับ ชยิกา วงศ์นภาจันทร์ หลานสาวอดีตนายกฯ ทักษิณ ร่วมสังเกตการณ์ โดยที่ชัชชาติบอกว่ามาให้กำลังใจดวงฤทธิ์ บุนนาค ซึ่งเป็นเพื่อนของเขา นายดวงฤทธิ์ บุนนาค สถาปนิกและนักออกแบบ สมาชิกกลุ่ม CARE เห็นว่า ความปกติใหม่ หรือ New Normal ไม่มีอยู่ แต่คิดว่ามีความสมดุลใหม่ หรือ New Equilibrium หน้าที่ของรัฐคือทำอย่างไรให้มีความสมดุลใหม่ โดยรัฐต้องเลิกพูดว่าต้องรอโควิดหมดก่อน ถึงจะเดินหน้าไปได้ "มันจะไม่มีโลกแบบนั้น แต่ต้องเรียนรู้ว่าจะอยู่อย่างไรให้มีประสิทธิภาพ" เขายังคาดหวังจะเห็นนโยบายของรัฐที่ไปกระตุ้นห่วงโซ่อุปทานให้เข้มแข็ง ส่งเสริมธุรกิจขนาดจิ๋ว (micro enterprise) ให้แข็งแรง และเปิดโอกาสให้เด็กมีอิสระในการคิด พูด และแสดงออก ไม่ใช่ใช้คำว่า "แหกคอก ผิด ลามปาม" กดคนยุคใหม่เอาไว้ นี่จะทำให้ธุรกิจใหม่ ๆ ที่สร้างสรรค์เกิดขึ้นได้ คำประกาศเจตนารมณ์ของกลุ่ม CARE ถูกอ่านโดยคำ ผกา เนื้อหาตอนหนึ่งระบุว่า "ไม่มีครั้งใดที่โลกจะเรียกร้องประชากรของมันมากเท่ากับวันนี้ วันที่โลกทั้งใบต้องเผชิญกับวิกฤตโควิด-19 ซึ่งส่งผลกระทบที่ลึกร้าวยาวนาน อัตคัตสาหัส แผ่ขยายเป็นวงกว้างกว่าทุกครั้งที่มนุษยชาติเคยเผชิญ และซ้ำร้ายยังเกิดในห้วงเวลาที่ประเทศไทยตกต่ำอ่อนแอในแทบทุกมิติอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนในประวัติศาสตร์" ปฏิเสธเปิดตัวไวรับข่าว "เปลี่ยนแปลงใหญ่การเมือง" กลุ่ม CARE ไม่ใช่ขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมการเมืองกลุ่มแรกที่ใช้วิกฤตโควิด-19 เป็นจุดเปิดตัว เพราะก่อนหน้านี้เมื่อ 21 มี.ค. อดีตแกนนำพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) ที่แปรสภาพเป็นคณะก้าวหน้า หลังถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคและเพิกถอนสิทธิการเมืองของคณะกรรมการบริหารพรรค ก็เปิดตัวด้วยการเรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ลาออกจากตำแหน่ง โดยกล่าวหาว่า "ล้มละลายทางการเมือง" จากความล้มเหลวในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคมในช่วงการแพร่ระบาดของไวรัสมรณะ คำถามที่เกิดขึ้นคือทำอย่างไรให้ขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมจะไม่กลายเป็นเพียง "กลุ่มอีเวนท์" ที่จุดกระแสในสังคม-ยึดพาดหัวข่าวหรือแฮชแท็กทวิตเตอร์-จากไป นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช ผู้ก่อการกลุ่ม CARE กล่าวกับบีบีซีไทยว่า CARE เป็นการรวมตัวของกลุ่มแนวคิดและนักปฏิบัติการที่ต้องการนำเสนอแนวทางแก้ปัญหาของประเทศเพื่อให้ผู้เกี่ยวข้องหยิบไปใช้ ส่วนจะไปได้แค่ไหนขอให้รอติดตามดู เพราะคนที่มารวมตัวกันล้วนแต่เป็นคนที่มีความมุ่งมาดปรารถนาทั้งสิ้น "เราเน้นการหาทางออกให้ประเทศ ทางออกนี้เน้นสิ่งที่ทำได้ ไม่ใช่ความเพ้อฝัน แต่เป็นการสานฝัน" หมอมิ้งประกาศ การเปิดตัวคณะก้าวหน้าเมื่อ 21 มี.ค. ต้องปรับรูปแบบเป็นการชี้แจงผ่านแฟนเพจของกลุ่ม หลังมีการแพร่ระบาดโควิด-19 ทว่าสิ่งที่จะไม่เกิดขึ้นแน่ ๆ ตามคำยืนยันของ 2 หมอ นพ.พรหมินทร์-นพ.สุรพงษ์ คือการพัฒนากลุ่ม CARE ให้เป็นพรรคการเมือง ทว่าพวกเขาไม่ได้รังเกียจการเมือง เพราะมองว่าการเชื่อมต่อกับรัฐบาลและรัฐสภามีความจำเป็น "หากสมาชิกในกลุ่มสนใจการเมือง เขาก็อาจไปเล่นการเมือง ไปตั้งพรรคการเมือง โดยที่กลุ่ม CARE จะยังคงอยู่เพื่อผลักดันให้วาระต่าง ๆ เดินหน้า เราต้องล็อบบี้ทั้งในทางลับและทางแจ้ง ต้องพูดคุยกับผู้เกี่ยวข้อง พร้อม ๆ กับเปิดเวทีสาธารณะเพื่อบอกกล่าวกับสังคม" นพ.สุรพงษ์กล่าว ส่วนเสียงลือเสียงเล่าอ้างที่ดังระงมอยู่ในหลายพรรคการเมืองว่าด้วยสัญญาณ "เปลี่ยนแปลงใหญ่ทางการเมือง" คือเหตุผลสำคัญที่กลุ่ม CARE ต้องเปิดตัวไวรับกระแสข่าวนี้หรือไม่นั้น นพ.สุรพงษ์ปฏิเสธว่าไม่เกี่ยวเลย แต่กังวลเรื่อง "150 วันอันตราย" เพราะถ้าปล่อยไว้นาน ต้นทุนก็จะยิ่งสูง จึงเห็นว่าเป็นเรื่องที่รอไม่ได้ รับเคยมีประวัติศาสตร์-ความสัมพันธ์กับทักษิณ แต่ไม่เกี่ยวกับ CARE การเกิดขึ้นของกลุ่ม CARE ทำให้สารพัดคำถามพุ่งเข้าใส่พรรคเพื่อไทย (พท.) เนื่องจาก 4 ผู้ก่อการหลักเคยเป็นอดีต "ขุนพล" คู่คิด-ข้างกายของ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มาก่อน ร้อนถึงแกนนำ พท. ต้องออกมาแถลงเมื่อ 10 มิ.ย. เพื่อสยบข่าวลือเรื่อง "พรรคแตก" และชี้ชวนให้สังคมเห็นว่าตัวกำหนดเกมคือปัจจัยภายนอก หาใช่ปัจจัยภายในไม่ "เป็นความจำเป็นจากรัฐธรรมนูญและกติกาที่บิดเบี้ยว" คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานกรรมการยุทธศาสตร์ พท. ชี้แจง เช่นเดียวกับนายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้า พท. ที่บอกว่า "เมื่อรัฐบาลกำลังเพลี่ยงพล้ำก็ต้องเตรียมตัว" ขณะที่ผู้ก่อการกลุ่ม CARE ก็ปฏิเสธข่าวความแตกแยกหลายครั้ง โดยระบุว่าพวกเขาไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับ พท. นานแล้ว และขอให้สื่อยุติมุมมองการเมืองแบบเดิม ๆ ทักษิณ ชินวัตร ประกาศ "เว้นวรรคการเมือง" เมื่อ 4 เม.ย. 2549 โดยมีบรรดา ครม. ร่วมให้กำลังใจ ส่วนสายตาของคนนอกที่มองว่า "4 สหาย" ถือเป็น "คนในบ้าน" ของอดีตนายกฯ แบบครบทุกสายนั้น หมอเลี้ยบอธิบายว่าเขาไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเมืองและ พท. มา 12 ปีแล้ว และไม่เคยคิดว่าต้องกลับมาการเมืองอีกเพราะทุกวันนี้ก็มีความสุขดีกับบทบาทพิธีกรรายการทางวอยซ์ ทีวี ถ้าไม่มีวิกฤตโควิด-19 ก็คงใช้ชีวิตอย่างที่เป็นมา นายภูมิธรรม เวชยชัย ที่ปรึกษาหัวหน้า พท. และผู้ก่อการกลุ่ม CARE อีกคน กล่าวย้ำว่า ไม่ปฏิเสธประวัติศาสตร์และความสัมพันธ์ครั้งเก่าที่มีกับอดีตนายกฯ ทักษิณ เพราะเคยร่วมงาน เป็นเพื่อน น้อง และผู้ใต้บังคับบัญชามาก่อน แต่การทำงานในนามกลุ่ม CARE ไม่เกี่ยวอะไรกับนายทักษิณ สมาชิกเริ่มต้นแจงทำไมต้อง CARE ที่มา : บีบีซีไทยรวบรวมและสรุปวรรคทองจากคำแถลงเปิดตัวของกลุ่ม CARE วันที่ 17 มิ.ย. 2563
|
อดีตนักการเมืองสังกัดพรรคไทยรักไทย (ทรท.) ซึ่งถูกยกให้เป็น "ขุนพล" นายทักษิณ ชินวัตร ร่วมเปิดตัวกลุ่ม CARE ภายใต้คำขวัญ "คิด เคลื่อน ไทย" โดยเรียกร้องให้ผู้รับผิดชอบออกจากหอคอยงาช้างมาดูการตกหุบเหว พบความสิ้นหวังของประชาชน เพื่อก้าวข้ามจากความกลัวไปสู่ความหวัง
|
38429105
|
https://www.bbc.com/thai/38429105
|
ซากฟอสซิลชี้ไดโนเสาร์บางพันธุ์ฟันร่วงหมดปากเมื่อโต
|
ไดโนเสาร์ละอ่อนกินเนื้อ ส่วนพวกโตเต็มวัยกินผักแทน ดร.สตีเฟน บรูเซทท์ แห่งมหาวิทยาลัยเอดินเบอระ ซึ่งไม่ได้เป็นหนึ่งในคณะนักวิทยาศาสตร์ที่ค้นพบดังกล่าว กล่าวว่า ไม่เคยมีใครคิดว่าจะมีไดโนเสาร์ที่เคยมีฟันเมื่อยังเป็นลูกไดโนเสาร์ตัวเล็ก ๆ แต่ฟันหลุดร่วงไปจนเหลือเพียงจะงอยปากเมื่อโตขึ้น ซึ่งเป็นลักษณะที่ไม่เคยพบมาก่อนในซากสัตว์มีกระดูกสันหลังชนิดอื่น ยกเว้นสัตว์อย่างตัวตุ่นปากเป็ดในโลกยุคปัจจุบันที่มีพัฒนาการเกี่ยวกับฟันในลักษณะดังกล่าว ด้าน ดร.สติก เวลช์ แห่งพิพิธภัณฑ์แห่งชาติสกอตแลนด์ กล่าวว่า ไดโนเสาร์เปลี่ยนการกินอาหารจากที่ต้องใช้ฟันในการขบเคี้ยวเป็นการใช้จงอยปากเท่านั้นซึ่งฟันไม่มีประโยชน์อีกต่อไป ในขณะที่ไดโนเสาร์เทอโรพอดชนิดอื่นซึ่งอยู่ในตระกูลเดียวกับไดโนเสาร์ลิมูซอรัสนี้ ล้วนเป็นไดโนเสาร์ประเภทกินเนื้อทั้งสิ้น ทั้งนี้ ไดโนเสาร์ลิมูซอรัส เป็นไดโนเสาร์ในตระกูลเดียวกับไดโนเสาร์กินเนื้อชนิดที่เป็นที่รู้จักอย่างทีเร็กซ์และเวโลซีแรปเตอร์ นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าไดโนเสาร์ที่มีฟันเมื่อยังเล็กนั้นอาจจะกินทั้งพืชและสัตว์ และใช้จงอยกินพืชอย่างเดียวเมื่อมันโตขึ้น การค้นพบครั้งนี้ช่วยอธิบายได้ว่าจะงอยปากซึ่งเป็นลักษณะสำคัญของสัตว์จำพวกนก มีวิวัฒนาการมาอย่างไร ในขณะที่การสูญเสียฟันนั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับสัตว์โลกยุคใหม่ ปลาและสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำหลายชนิดไม่มีฟันเมื่อมันโตขึ้น เช่นเดียวกับตุ่นปากเป็ด งานวิจัยชิ้นนี้เผยแพร่อยู่ในวารสาร Current Biology
|
นักวิทยาศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยแคปิตอล นอร์มัล ในกรุงปักกิ่ง ซึ่งศึกษาฟอสซิลไดโนเสาร์ ชื่อ Limusaurus inextricabilis ที่อาศัยอยู่ในจีนเมื่อราว 150 ล้านปีที่แล้ว พบว่า ไดโนเสาร์ชนิดนี้ใช้ฟันในการขบเคี้ยวเนื้อสัตว์ และใช้จะงอยปากในการจิกกินพืชผักเมื่อมันโตขึ้น จากเดิมที่เข้าใจว่าไดโนเสาร์ในตระกูลเซราโทซอเรียนนี้มีทั้งประเภทที่มีฟันและไม่มีฟัน และมีลักษณะคล้ายคลึงกันมาก อย่างไรก็ดี ล่าสุดนักวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาซากฟอสซิลพบว่าแท้จริงแล้วฟันของไดโนเสาร์ชนิดนี้จะหลุดร่วงลงไปตามกาลเวลา การค้นพบดังกล่าวสร้างความประหลาดใจให้นักวิทยาศาสตร์อย่างยิ่ง
|
international-44319616
|
https://www.bbc.com/thai/international-44319616
|
สถานที่ท่องเที่ยว 5 แห่งใน 5 ประเทศ กำลังรับมือกับจำนวนนักท่องเที่ยวที่มากเกินไป
|
รัฐบาลฟิลิปปินส์ ระบุว่า จะให้ความช่วยเหลือแก่บริษัทท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบจากการเกาะปิดโบราไกย์ เริ่มจาก ทางการไทย ระบุว่า จำเป็นต้องปิดอ่าวมาหยาไม่ให้นักท่องเที่ยวที่เดินทางไปท่องเที่ยวแบบวันเดียวเข้า หลังจากที่นักท่องเที่ยวประเภทนี้เดินทางมาเยือนอ่าวมาหยาจำนวนมาก นับตั้งแต่ภาพของอ่าวมาหยาปรากฏในภาพยนตร์เรื่อง เดอะ บีช (The Beach) ในปี 2000 จากนั้น ประธานาธิบดีโรดริโก ดูแตร์เต ของฟิลิปปินส์ ได้ประกาศว่า จะปิดเกาะโบราไกย์เป็นเวลา 2-3 เดือน ซึ่งเขากล่าวว่า เกาะนี้ได้กลายเป็น "ส้วม" ที่คนใช้มากเกินไป นี่เป็นเพียงสถานที่ 2 แห่งที่ถูกประกาศปิด ยังมีเมืองอีกหลายแห่งในยุโรป รวมถึงเมืองเวนิสของอิตาลี และเมืองดูบรอฟนิกของโครเอเชีย ที่เผชิญกับการหลั่งไหลเข้าไปของนักท่องเที่ยว เช่นเดียวกับเกาะสกาย (Isle of Skye) ในสกอตแลนด์ ในปี 2017 นครบาร์เซโลนาของสเปน ได้ปราบปรามที่พักที่ไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งถูกปล่อยให้เช่าในเครือข่าย AirBnB โดยระบุว่า เป็นการทำให้คนในพื้นที่ต้องเผชิญกับค่าเช่าเพิ่มสูงขึ้น นอกจากนี้ยังมีสถานที่อีกหลายแห่งที่ปรับขึ้นค่าธรรมเนียมสำหรับนักท่องเที่ยวเพื่อรักษาสถานที่ของพวกเขาไม่ให้ได้รับความเสียหายมากเกินไป อย่างเช่น รวันดา ซึ่งคิดค่าใบอนุญาตชมกอริลลา 1,500 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อวัน หรือประมาณ 48,000 บาท ต่อวัน ลองมาดูกันว่า สถานที่ท่องเที่ยว 5 แห่งทั่วโลกมีวิธีการรับมือกับการได้รับความนิยมมากเกินไปอย่างไร 1. ไทย: อ่าวมาหยาได้พักผ่อนเสียที ในเดือนมีนาคม ทางการไทยประกาศว่ากำลังจะปิดอ่าวมาหยา ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของประเทศ เพื่อให้อ่าวมาหยาได้หยุดพักเป็นการชั่วคราว ชายหาดที่มีน้ำใส ทรายขาว และมีหน้าผาหินปูนหลายแห่ง กลายเป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียง หลังจากถูกใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง เดอะ บีช (The Beach) ซึ่งนำแสดงโดยลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ นับจากนั้น มีก็มีผู้เดินทางไปเยือนอ่าวมาหยาราว 4,000-5,000 คนต่อวัน ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า 77% ของปะการังของอ่าวมาหยากำลังเผชิญความเสี่ยงรุนแรง ส่วนใหญ่มาจากการได้รับความเสียหายจากสมอเรือ แต่การปิดอ่าวมาหยา 4 เดือนในปีนี้ ตั้งแต่เดือนมิถุนายนถึงเดือนกันยายน ไม่สามารถที่จะฟื้นฟูความเสียหายนี้ได้ สายเกินไปหรือไม่ที่จะพิทักษ์อ่าวมาหยา? นายธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ นักสมุทรศาสตร์ ไม่คิดเช่นนั้น เขากล่าวกับบีบีซีว่า ถ้าเราคิดว่า สายเกินไป เราจะไม่ทำอะไร เราได้ปิดเกาะแห่งหนึ่งชื่อว่า เกาะยูง เมื่อ 3 ปีก่อน ตอนนี้ปะการังกำลังโตขึ้นมาก เราจะใช้วิธีการเดียวกันนี้กับอ่าวมาหยา และพยายามปลูกปะการังเพิ่มด้วย ประเทศไทยได้ปิดจุดดำน้ำสำหรับนักท่องเที่ยวหลายสิบแห่งในปี 2011 เกาะยูง ซึ่งอยู่ในแนวเกาะพีพีและเกาะตาชัย ในอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน ได้เริ่มจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยวตั้งแต่ช่วงกลางปี 2016 หนึ่งวันก่อนที่อ่าวมาหยาจะถูกปิด เอลิซาเบธ เบ็กเคอร์ ผู้เขียนหนังสือเรื่อง Overbooked: The Exploding Business of Travel and Tourism กล่าวว่า "ฉันคิดว่า มันมีเหตุผลที่ปิดเกาะ อย่างไรก็ตาม ยังมีแรงกดดันทางเศรษฐกิจมหาศาลในประเทศไทย โดยเฉพาะระหว่างช่วงเวลาที่เผชิญความยุ่งยากทางการเมือง การท่องเที่ยวได้เป็นกุญแจสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจของไทย ดังนั้น ภาคธุรกิจและเจ้าหน้าที่ทางการของไทยต่างเกรงว่า การจำกัดการท่องเที่ยวรูปแบบต่าง ๆ จะสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจไทย" นายธรณ์ คิดว่า นี่คือเหตุผล ที่กว่าจะดำเนินการปิดอ่าวมาหยาได้ต้องใช้เวลานานถึงขนาดนี้ เขากล่าวว่า ถ้าคุณอยู่ในประเทศที่มีรายได้มากกว่า 22% ของจีดีพีมาจากการท่องเที่ยว คุณจะเข้าใจว่า ทำไมจึงเป็นเรื่องยาก คนส่วนใหญ่ไม่คิดว่า เรื่องนี้จะเกิดขึ้นได้จริง ๆ เมื่ออ่าวมาหยากลับมาเปิดรับนักท่องเที่ยวอีกครั้ง จะมีการจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยวที่ 2,000 คนต่อวัน และจะไม่อนุญาตให้เรือเข้ามาในเขตปะการังน้ำตื้นอีกต่อไป นอกจากนี้ก็จะมีการปิดเกาะอีก 4 เดือนในปีหน้าด้วย อย่างไรก็ตาม นายวรพจน์ ล้อมลิ้ม หัวหน้าอุทยานแห่งชาติในพื้นที่ กล่าวกับภูเก็ตนิวส์ว่า เขาไม่แน่ใจว่า เขาจะบังคับใช้การห้ามเข้าอ่าวมาหยาได้อย่างไร เขาอาจต้องการเจ้าหน้าที่มาเสริมกำลังของกลุ่มเจ้าหน้าที่ขนาดเล็กที่ลาดตระเวนแนวชายฝั่งอยู่แล้วในขณะนี้ ด้านเว็บไซต์หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์รายงานว่า กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืชได้ออกประกาศเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคมที่ผ่านมา ห้ามนักท่องเที่ยวค้างคืนบนเกาะสิมิลัน ซึ่งเป็นหนึ่งในเกาะ 9 แห่งของหมู่เกาะสิมิลันในจังหวัดพังงาด้วย เพื่อคุ้มครองทรัพยากรทางทะเล โดยจะเริ่มมีผลในเดือนตุลาคม ซึ่งเป็นช่วงที่มีการเปิดอุทยานให้นักท่องเที่ยวเข้าชมอีกครั้ง หลังจากที่เพิ่งปิดไปในเดือนนี้ 2. อิตาลี: ชินเคว เทร์เร ลองใช้เทคโนโลยี นักท่องเที่ยวจำนวนมากหลั่งไหลมายังเมืองที่เต็มไปด้วยสีสัน 5 แห่งที่อยู่ริมหน้าผาทางตอนเหนือของอิตาลี หรือที่รู้จักกันในชื่อชินเคว เทร์เร (Cinque Terre) พื้นที่นี้มีผู้พักอาศัยอยู่ราว 5,000 คน เป็นอุทยานแห่งชาติมาตั้งแต่ปี 1999 และมีนักท่องเที่ยวเดินทางเยือนมากกว่า 2 ล้านคนต่อปี ผู้คนมาที่นี่เพื่อเดินไปตามทางชมวิวที่เชื่อมระหว่างเมืองต่าง ๆ และไร่องุ่นขั้นบันได หลายปีผ่านไป ทางเดินก็ชำรุดทรุดโทรมจากการสึกกร่อนและการถูกใช้งานมากเกินไป เส้นทางยอดนิยมระหว่างเมืองริโอมาจจอเรและเมืองมานาโรลา ถูกปิดมาตั้งแต่เดือนกันยายน 2012 หลังจากกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวออสเตรเลียได้รับบาดเจ็บจากดินถล่ม เว็บไซต์ข่าว La Nazione ยังระบุว่า เส้นทางเดินเขาอีกเส้นทางหนึ่งก็เพิ่งได้รับความเสียหายในช่วงสุดสัปดาห์อีสเตอร์ด้วย มีการพูดคุยกันถึงเรื่องการจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยว แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีการบังคับใช้ เมื่อไม่นานมานี้ เจ้าหน้าที่ทางการอุทยาน ได้ลองใช้แอปพลิเคชัน ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถดาวน์โหลดเพื่อดูจำนวนคนบนเส้นทางต่าง ๆ ได้แบบตามเวลาในขณะนั้น หรือ เรียลไทม์ เมื่อมีสัญญาณเตือนสีแดงปรากฏขึ้น แสดงว่าเส้นทางนั้นมีจำนวนนักท่องเที่ยวมากเกินไป จากนั้นผู้ใช้แอปพลิชั่นสามารถตัดสินใจได้ว่า ต้องการจะใช้เส้นทางนั้นหรือไม่ ในอนาคต อาจจะมีการทดลองใช้ระบบลงรายชื่อรอใช้บริการเสมือนจริง นอกจากนี้ ยังมีการสนับสนุนให้นักท่องเที่ยวซื้อบัตรชินเควเทร์เร ซึ่งจะทำให้ใช้งานเส้นทางต่าง ๆ และบริการขนส่งสาธารณะได้ ขณะนี้กำลังมีแผนการดำเนินการหลายอย่าง รวมถึงการซ่อมแซมเส้นทางที่ได้รับความเสียหาย แต่ยังไม่มีการยืนยันจากทางการ ริชาร์ด แฮมมอนด์ ซึ่งดูแลเว็บไซต์ GreenTraveller.com กล่าวกับบีบีซีว่า ตอนนี้เป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการสร้างความเปลี่ยนแปลงทั่วโลก "ผู้คนกำลังตระหนักถึงการเดินทางและการใช้ชีวิต" เขากล่าว "ยกตัวอย่าง จู่ ๆ ก็มีการตระหนักถึงการใช้พลาสติกอย่างกว้างขวางมากขึ้น เพียงแค่ปีที่แล้วปีเดียว และยังมีการกระจายไปยังเรื่องอื่น ๆ ในชีวิตของคนเราด้วย ทำให้การสร้างความเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องที่คนยอมรับได้มากขึ้น เป็นการเปิดทางให้รัฐบาลและเจ้าหน้าที่ทางการท้องถิ่นเข้ามาดำเนินการ เพราะพวกเขาจะไม่ต้องเผชิญกับการต่อต้านเช่นที่เคยเผชิญในอดีต" 3. เปรู: มาชูปิกชู ใช้ระบบแบ่งเวลาเข้าชม เมืองโบราณมาชูปิกชูของเปรูเป็นหนึ่งในสถานที่ที่ต้องไปเยี่ยมชมของนักเดินทางจำนวนมาก เส้นทางอินคาเป็นเส้นทางที่นักท่องเที่ยวสามารถเดินขึ้นไปยังมาชูปิกชู ซึ่งระหว่างทางจะได้ชมทิวทัศน์ของเทือกเขาแอนดีส และกลุ่มเมฆจำนวนมาก ผู้คนจำนวนมากบอกว่า เป็นประสบการณ์ที่น่าประทับใจอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตาม การมีคนและผู้นำเที่ยวอย่างไม่เป็นทางการมากเกินไป กำลังนำไปสู่เส้นทางที่ชำรุดทรุดโทรม กองขยะทับถม และจุดกางเต็นท์ที่ไม่สามารถควบคุมไม่ได้ ในปี 2005 รัฐบาลเปรูได้จำกัดจำนวนคนที่ได้รับอนุญาตให้เดินขึ้นไปตามเส้นทางนั้นต่อฤดูกาล และยังมีการปิดเพื่อทำความสะอาดและซ่อมบำรุงในเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปีด้วย นักท่องเที่ยวได้ปรับตัวด้วยการจองล่วงหน้า และบริษัทนำเที่ยวต่าง ๆ ต้องปฏิบัติตามกฎเพื่อจะได้ไม่ถูกตัดลดใบอนุญาตที่ได้รับการจัดสรรมา อย่างไรก็ตาม ยังคงมีนักท่องเที่ยวจำนวนมากเดินทางไปยังมาชูปิกชูด้วยตัวเอง ซึ่งคนส่วนใหญ่สามารถเข้าถึงได้ด้วยรถยนต์ ปีที่แล้ว เจ้าหน้าที่ทางการได้นำระบบใหม่มาใช้ ซึ่งจะต้องมีการซื้อตั๋วเข้าชมช่วงเช้าหรือช่วงบ่าย เพื่อพยายามควบคุมจำนวนนักท่องเที่ยว อย่างไรก็ตาม นักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมท้องถิ่นคนหนึ่งกล่าวกับบีบีซีว่า พวกเขาเกรงว่า นี่จะเป็นการแก้ปัญหาที่ไม่ยั่งยืน เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่า ยังมีจำนวนนักท่องเที่ยวเกินจำนวนที่องค์การยูเนสโกแนะนำไว้ที่สูงสุด 2,500 คนต่อวัน 4. เกาหลีใต้: เกาะเชจู คุณเดาออกไหมว่าเส้นทางบินที่พลุกพล่านที่สุดในโลกคือที่ไหน? ปีที่แล้ว เส้นทางนั้นอยู่ระหว่างกรุงโซลและเกาะเชจูของเกาหลีใต้ จุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวแห่งนี้อยู่ห่างจากแผ่นดินใหญ่ราว 90 กิโลเมตร ผู้คนเดินทางมาเพื่อชมวิวภูเขาไฟ น้ำตก และสวนสนุกอีโรติก ซึ่งเป็นที่นิยมสำหรับคู่รักที่อยู่ระหว่างการดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ ในปี 2017 มีเที่ยวบินเกือบ 65,000 เที่ยวระหว่างสนามบินทั้งสองเมืองนี้ หรือประมาณเกือบ 180 เที่ยวต่อวัน เซาท์ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์ระบุว่า แต่ละปี มีนักท่องเที่ยว 15 ล้านคนเดินทางเยือนเกาะเชจู นั่นถือว่าเป็นจำนวนคนที่มาก เมื่อเทียบกับพื้นที่ของเกาะขนาดไม่ถึง 2,000 ตารางกิโลเมตร คัง วอน โบ ผู้อำนวยการกลุ่มประท้วงในพื้นที่ กล่าวกับโคเรียไทมส์ว่า "สิ่งแวดล้อมที่เคยบริสุทธิ์ [ของเกาะเชจู] ได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง หลังจากที่ได้รับความนิยมจากคนภายนอก มีขยะและการจราจรติดขัดเพิ่มมากขึ้น" แคทเธอรีน เกอร์เมียร์-อาเมล ที่ปรึกษาด้านการท่องเที่ยวแบบยั่งยืนในกรุงโซล กล่าวกับบีบีซีว่า "เกาะเชจูกำลังมีนักท่องเที่ยวที่ล่องเรือไปเยือนจำนวนมากด้วย ซึ่งพวกเขาไปแวะเที่ยวเพียงไม่กี่ชั่วโมง และไม่ได้มีส่วนส่งเสริมเศรษฐกิจในพื้นที่สักเท่าไหร่" เกอร์เมียร์-อาเมล กล่าวว่า ผู้คนทั่วโลกมีแนวโน้มที่จะวัดความสำเร็จด้านการท่องเที่ยวโดยพิจารณาจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่มาเยือนเท่านั้น เรื่องนี้จำเป็นต้องมีการแก้ไข แล้วการปล่อยคาร์บอนจากเที่ยวบินที่เดินทางมาทุกเที่ยวเป็นอย่างไร? เรื่องนี้ดูเหมือนจะยังไม่ได้รับการแก้ไขในเวลาอันรวดเร็ว รัฐบาลเกาหลีใต้กำลังพิจารณาใช้สนามบินอีกแห่งหนึ่งทางใต้ของเกาะเชจู ซึ่งทางรัฐบาลคิดว่าจะรองรับนักท่องเที่ยวต่อปีได้ 45 ล้านคนหรือคิดเป็น 3 เท่าจากเดิมภายในปี 2035 เกาะเชจูยังคงเป็นที่นิยมอย่างมากในหมู่นักท่องเที่ยวชาวจีน การเติบโตของตลาดท่องเที่ยวชาวจีนกำลังถูกมองว่า ทำให้เกิดปัญหาใหม่ที่สำคัญไปทั่วภูมิภาค อย่างไรก็ตาม ในกรณีของเกาะเชจู กลับเผชิญกับสิ่งที่ผิดคาด เมื่อจีนห้ามบริษัทนำเที่ยวของจีนขายแพ็คเกจทัวร์ไปเกาหลีใต้ เพื่อแสดงการประท้วงการตัดสินใจของรัฐบาลเกาหลีใต้ที่ใช้ระบบต่อต้านขีปนาวุธของสหรัฐฯ ซึ่งรัฐบาลจีนเห็นว่าเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของจีน แต่การห้ามดังกล่าวได้ถูกยกเลิกแล้วในตอนนี้ 5. โคลอมเบีย: กาโญ กริสตาเลส เริ่มด้วยการออกกฎระเบียบ กาโญ กริสตาเลส ของโคลอมเบีย เป็นสถานที่ที่เหลือเชื่อ มันเป็นแม่น้ำที่มีสีสันหลากหลาย ซึ่งเป็นผลมาจากพืชน้ำและแสง ทำให้มันมีทั้งสีแดง, สีชมพู, สีเขียวมะนาว และสีเหลือง คนในท้องถิ่นในจังหวัดเมตาทางตอนกลางของประเทศเรียกมันว่า รุ้งน้ำ ในอดีต ที่นี่เป็นใจกลางของพื้นที่ที่ถูกยึดครองโดยกลุ่มกองโจรฟาร์ก ซึ่งหมายความว่า การท่องเที่ยว ทั้งจากในประเทศและต่างประเทศ ไม่สามารถเข้าถึงได้ แต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะหลังจากมีการลงนามในข้อตกลงสันติภาพปี 2016 นักท่องเที่ยวได้เริ่มเดินทางเข้ามาพื้นที่ด้านในของประเทศมากขึ้น เพื่อชมทิวทัศน์ที่น่ามหัศจรรย์ด้วยตาตัวเอง โดยมีการพักที่เมืองเล็ก ๆ ที่ชื่อมากาเรนา กาโญ กริสตาเลส ยังไม่ได้มีจำนวนนักท่องเที่ยวมากเช่นเดียวกับสถานที่อื่น ๆ ในบทความนี้ (มีนักท่องเที่ยวราว 16,000 คนในปี 2016) แต่ก็มีภารกิจที่สำคัญในการรักษาสมดุลของจำนวนนักท่องเที่ยวที่หลั่งไหลเข้าไปกับระบบนิเวศที่ละเอียดอ่อนอย่างยิ่ง มีความกังวลหลายอย่างว่า การมีคนเข้าไปในพื้นที่มากขึ้นอาจทำให้มีจำนวนประชากรเพิ่มขึ้นและสร้างความเสียหายต่อพืชน้ำที่มีค่า ไม่เหมือนกับแหล่งท่องเที่ยวที่กลายเป็นที่นิยมอื่น ๆ กาโญ กริสตาเลส มีการเริ่มต้นที่ถูกทางด้วยการออกกฎระเบียบหลายข้อได้แก่ ห้ามขวดน้ำพลาสติก, ห้ามใช้สารกันแมลงและครีมกันแดดเมื่อลงน้ำ, ห้ามว่ายน้ำในบางพื้นที่, ห้ามสูบบุหรี่ และห้ามให้อาหารปลา เมื่อเดินทางไปถึง นักท่องเที่ยวต้องเข้าไปรับฟังการอธิบายถึงกฎระเบียบต่าง ๆ ให้ชัดเจนก่อน เอนรี เกเวโด ประธานกรรมการท่องเที่ยวของกาโญ กริสตาเลส กล่าวว่า การท่องเที่ยวที่นี่เป็นโครงการในพื้นที่ มีผู้คนหลายร้อยครอบครัวกำลังมีบทบาทสำคัญในการทำหน้าที่ไกด์นำเที่ยวและรับนักท่องเที่ยวเข้าไปพัก พวกเขากำลังได้รับการฝึกอบรมและเรียนรู้ภาษาต่าง ๆ อย่างไรก็ตาม ยังคงมีความกังวลด้านสิ่งแวดล้อมอีกหลายอย่างเกี่ยวกับ จำนวนเที่ยวบินที่เพิ่มขึ้น (ปกตินักท่องเที่ยวเดินทางมาจากกรุงโบโกตา ซึ่งอยู่ห่างไปทางเหนือราว 274 กิโลเมตร) และรถตู้เอนกประสงค์ ซึ่งนำคนจากเมืองมากาเรนาไปยังแม่น้ำ ในเดือนธันวาคม มีการจำกัดการเข้าถึงเพื่อให้แม่น้ำสายนี้ได้หยุดพัก ฟาเบร์ รามอส ผู้ประสานงานโครงการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ กล่าวกับเว็บไซต์ข่าวเซมานาโซสเตนิเบลว่า "การเข้าไปของคนอาจทำความเสียหายต่อกระบวนการขยายพันธุ์ของพืชได้ นั่นคือเหตุผลที่เราตัดสินใจบังคับใช้กฎนี้" คุณอาจจะชอบ: ภาพทุกภาพเป็นลิขสิทธิ์ของ Alamy, Getty Images และ Shutterstock
|
ช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ทางการไทยและฟิลิปปินส์ได้ประกาศปิดการท่องเที่ยวในสถานที่ ที่เป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางยอดนิยมที่สุดของนักท่องเที่ยวในทั้งสองประเทศ
|
thailand-57084843
|
https://www.bbc.com/thai/thailand-57084843
|
เมียนมา: จากรุ่นสู่รุ่น ชีวิตที่ต้องลี้ภัยสงครามของชาวกะเหรี่ยง
|
การสู้รบที่ปะทุขึ้นอีกครั้งนับตั้งแต่กองทัพเมียนมาก่อรัฐประหารเมื่อวันที่ 1 ก.พ. ทำให้ชาวกะเหรี่ยงมากกว่า 12,000 คน ต้องอพยพไปอยู่ในค่ายผู้อพยพบริเวณแนวชายแดน และส่วนหนึ่งเดินทางข้ามฝั่งมายังประเทศไทยที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน พลาว ลา เฮ ซึ่งกำลังท้องแก่ต้องอุ้มท้องลูกคนที่สองหนีออกจากหมู่บ้าน พร้อมลูกชายคนโตวัย 4 ปี แม่ และสามี เธอต้องหลบซ่อนอยู่ในป่านาน 12 วัน ในระหว่างที่ทหารทั้งสองฝ่ายปะทะกัน ก่อนจะต้องเดินเท้านาน 2 วัน กว่าจะไปถึงค่ายผู้อพยพอิตูท่า ซึ่งเธอได้รับความช่วยเหลือ "เราลำบากกันมาก เราหุงหาอาหารไม่ได้ เรากลัวว่าถ้าเราหุงหาอาหาร เครื่องบินจะมาทิ้งระเบิดถล่มเรา" พลาว ลา เฮ เล่าเหตุการณ์ขณะอยู่ในป่าให้บีบีซีไทยฟัง พลาว ลา เฮ คลอดลูกคนที่สองอย่างปลอดภัยเมื่อปลายเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา ขณะที่ นาว ลา เซ วา แม่ของ พลาว ลา เฮ บอกว่าเธอต้องหนีภัยสงครามมาตั้งแต่ยังจำความได้ จนถึงวันนี้ในวัย 54 ปี ก็ยังต้องอยู่ในสภาพเดียวกัน เหตุการณ์เลวร้ายที่ต้องเผชิญมาตลอด จากการที่กองทัพเมียนมาและกองทัพกะเหรี่ยงทำสงครามกันมานานหลายสิบปี ทำให้เธอไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไป อย่างไรก็ดี เธอมีความหวังเล็ก ๆ ว่าในอนาคตหลานของเธอจะไม่ต้องเจอเหตุการณ์เช่นนี้อีก "ฉันมีความหวังสูงส่งสำหรับหลานชาย แต่ก็รู้ดีว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้"
|
พลาว ลา เฮ หญิงชาวกะเหรี่ยง วัย 26 ปี และครอบครัวต้องละทิ้งบ้านเรือน และลี้ภัย หลังกองทัพเมียนมาโจมตีทางอากาศที่หมู่บ้านของเธอในรัฐกะเหรี่ยง ในระหว่างที่กองกำลังทหารกะเหรี่ยง ปะทะกับทหารของกองทัพเมียนมาเมื่อปลายเดือน เม.ย. 2564
|
features-45310130
|
https://www.bbc.com/thai/features-45310130
|
หญิงพิการผู้พลิกชีวิตจากขอทานสู่คนขับสามล้อรับจ้าง
|
นี่คือคำพูดของ โรซินา เบกัม หญิงพิการที่เคยยังชีพด้วยการเป็นขอทาน แต่ปัจจุบันเธอยืนหยัดบนลำแข้งตนเอง ด้วยการทำอาชีพคนขับรถสามล้อเครื่อง ในกรุงธากา ของบังกลาเทศ ซึ่งไม่เพียงจะทำให้เธอมีรายได้เลี้ยงตัวเอง แต่ยังสามารถส่งลูก 2 คนเรียนหนังสือได้ด้วย โรซินา เล่าว่าเมื่อ 3 ปีก่อน เธอเคยเป็นขอทาน แต่เธอคิดว่าอาชีพดังกล่าวจะทำให้ลูก ๆ ต้องอับอาย จึงตัดสินใจเลิกและมองหาช่องทางทำกินใหม่ ในตอนแรกเธอคิดจะปั่นรถสามล้อรับจ้าง ทว่ามีความพิการเป็นอุปสรรค แต่หลังจากนั้นไม่นานก็มีรถสามล้อเครื่องออกมา เธอจึงฝึกขับจนคล่องแคล่วและสามารถให้บริการรับส่งลูกค้าได้ โรซินาบอกว่าปัจจุบันคนที่เคยให้ทานเธอได้เห็นแล้วว่าเธอสามารถทำงานหาเงินเองได้โดยไม่ต้องคอยขอทาน และทุกวันนี้พวกเขาไม่ได้ให้เงินเธออีกต่อไปแต่ได้กลายเป็นลูกค้ารถสามล้อของเธอแทน
|
"ทุกวันนี้ฉันมีรายได้จากการขับสามล้อวันละ 100-130 บาท ฉันสามารถเลี้ยงดูลูกและให้สิ่งที่พวกเขาต้องการได้"
|
thailand-56113438
|
https://www.bbc.com/thai/thailand-56113438
|
อภิปรายไม่ไว้วางใจ : เพื่อไทยเปิดผังคนใกล้ชิด รมต. “ทำสัญญาลวง” ทุจริตซื้อถุงมือยาง ด้านจุรินทร์โต้ไม่เคยสมคบ-แอบสั่งการ
|
หนึ่งในรัฐมนตรีที่ถูกอภิปรายวันนี้ (18 ก.พ.) คือนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฐ์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พาณิชย์ จากพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ที่ถูกกล่าวหาว่าปล่อยปละละเลยให้เกิดการทุจริต "ทำสัญญาลวง" ซื้อขายถุงมือยางขององค์การคลังสินค้า (อคส.) มูลค่า 112,500 ล้านบาท สร้างความเสียหายแก่รัฐ 2,000 ล้านบาท โดยมีนายประเสริฐ จันทรรวงทอง ส.ส.นครราชสีมา และเลขาธิการพรรคเพื่อไทย (พท.) เป็นผู้อภิปราย และยังประกาศกลางสภาว่าจะยื่นดำเนินคดีกับ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม และนายจุรินทร์ ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และขอให้เตรียมไปชี้แจงหลังจากนี้ ขณะที่นายจุรินทร์ลุกขึ้นชี้แจงหลังฟังจนจบ โดยระบุว่าสิ่งที่อภิปรายมาไม่ใช่เรื่องใหม่ของสภา เพราะเคยมีการตั้งกระทู้ถามแล้ว "ข้อมูลทั้งหมดเป็นสิ่งที่ผมเห็นด้วยกับผู้อภิปรายเกือบทุกประการ ไม่มีอะไรโต้แย้งโดยไม่จำเป็น แต่ขอปฏิเสธว่าไม่เคยเข้าไปเกี่ยวข้อง ยุ่งเกี่ยวกับการดำเนินการใด ๆ ไม่ว่าจะเป็นทางการหรือไม่เป็นทางการ หรือแอบสั่งการในลับหรือที่แจ้งก็ไม่เคย" รมว.พาณิชย์ กล่าว บีบีซีไทยสรุป 7 ประเด็นสำคัญของคำอภิปรายนายประเสริฐ และคำชี้แจงจากของนายจุรินทร์ มาไว้ ณ ที่นี้ 1) ตัวละครหลัก นายประเสริฐเปิดฉากไล่เรียงรายชื่อ 5 บุคคลซึ่งถือเป็น "ตัวละครหลัก" ที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด พร้อมร่ายความสัมพันธ์ที่มีต่อนายจุรินทร์ คนแรก นายสุชาติ เตชจักรเสมา ประธาน อคส. เป็นสมาชิกพรรค ปชป. นาน 9 ปี ก่อนลาออกในปี 2561, เป็นผู้ช่วย ส.ส. ของนายบัญญัติ บรรทัดฐาน อดีตหัวหน้าพรรค โดยสนิทถึงขั้น "คอยเปิดประตูรถให้", เป็นเพื่อนร่วมหลักสูตรผู้บริหารระดับสูง ด้านการบริหารงานพัฒนาการเมืองมหานคร รุ่น 4 (ปี 2558-2559) ของนายจุรินทร์ นอกจากนี้นายพีระ ตรีชดารัตน์ พี่ชายของนายสุชาติ ยังได้รับแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษา รมว.พาณิชย์ ก่อนที่ตัวของนายสุชาติเองจะได้รับการผลักดันให้ดำรงตำแหน่งประธาน อคส. เมื่อ 5 พ.ค. 2563 ทั้งที่ไม่เคยบริหารองค์กรใหญ่มาก่อน และยังตั้งข้อสังเกตว่ามีพฤติกรรมร่ำรวยผิดปกติหรือไม่โดยดูจากการแจ้งบัญชีทรัพย์สินต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) นายบัญญัติ บรรทัดฐาน ได้ใช้สิทธิพาดพิง แต่มิได้พูดถึงเรื่อง "คนเปิดประตู" เพียงแต่บอกว่าเคยฟัง รมต. ชี้แจงแล้วค่อยข้างสบายใจ คนที่สอง พ.ต.อ. รุ่งโรจน์ พุทธิยาวัฒน์ อดีตรักษาการ ผอ.อคส. ซึ่งลาออกจากราชการตำรวจมารับหน้าที่นี้ และเป็นผู้ลงนามนสัญญาจัดซื้อถุงมือยางจากบริษัท การ์เดียน โกลฟส์ จำกัด โรงงานผลิตถุงมือยาง ซึ่งเป็นคู่สัญญาของ อคส. คนที่สาม นายธณรัสย์ หัดศรี กรรมการบริษัท การ์เดียน โกลฟส์ จำกัด ซึ่งนายประเสริฐระบุว่า "รับสมอ้างผลิตถุงมือยางขายให้ อคส. มูลค่า 112,500 ล้านบาท และฉ้อฉล สบคบกับบุคคลใน อคส. เบิกเงินล่วงหน้า 2,000 ล้านบาท" นอกจากนี้ผังที่เขานำมาแสดงกลางสภายังระบุชื่อบุคคลระดับ "ผอ.ฝ่าย" และ "อดีตผู้สื่อข่าว ซึ่งเป็นคนสนิทของประธาน อคส." ด้วย เกี่ยวกับตัวละครที่ถูกเปิดชื่อมา นายจุรินทร์ยืนยันด้วยว่า ไม่ว่าใครจะรู้จักผู้ใหญ่ รู้จักนายกฯ รู้จักกับรัฐมนตรี ไม่ได้แปลว่ามีอำนาจล้นฟ้า จะทำอะไรก็ได้ เมื่อไรทำผิดกฎหมายก็ต้องเข้าคุก "เรื่องนี้ผมไม่ยอม ไม่ว่าใครทุจริต ต้องถูกจัดการทางวินัย ทางแพ่ง และอาญาจนถึงที่สุด" นายจุรินทร์ชี้แจงว่า การตั้งประธานบอร์ด เป็นอำนาจคณะรัฐมนตรี (ครม.) และมีขั้นตอนกระบวนการตามกฎหมาย ไม่ใช่ตั้งได้ตามอำเภอใจของรัฐมนตรี ก่อนอธิบายขั้นตอนทางกฎหมาย ซึ่งเจ้าตัวต้องแสดงความจำนงประสงค์ที่จะเป็น จากนั้น ผอ.อคส. เสนอชื่อไปสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เสนอประธานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) ที่มีนายกฯ เป็นประธาน ก่อนนำรายชื่อเข้า ครม. และไม่ใช่อยู่ ๆ นายจุรินทร์อยากได้ แต่เพราะประธานบอร์ดคนเก่าลาออก ส่วนกรณีที่ระบุว่าประธานบอร์ดร่ำรวยผิดปกติ นายจุรินทร์ก็ไม่ขอแก้ตัวแทน เพราะไม่ใช่หน้าที่ แต่เป็นอำนาจของ ป.ป.ช. ในการตรวจสอบบัญชีทรัพย์สิน 2) กล่าวหามอบนโยบายเตรียมการทุจริต นายประเสริฐอภิปรายกล่าวหาว่ามี "การมอบนโยบายเพื่อเตรียมการทุจริต" ตั้งแต่ต้น กล่าวคือหลังนายสุชาติเข้าดำรงตำแหน่งประธานบอร์ดก็ได้มอบนโยบายเมื่อ มิ.ย. 2563 ให้ อคส. ดำเนินการซื้อขายถุงมือยางในลักษณะซื้อมาขายไป หรืออาจจัดตั้งโรงงานทำถุงมือยาง เพื่อต่อยอดการรับซื้อยางดิบจากเกษตรกรมาทำถุงมือ ซึ่งถือเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรได้อีกทาง สอดคล้องกับคำพูดของนายจุรินทร์ที่แถลงต่อรัฐสภาเมื่อ 9 ก.ย. 2563 โดยอ้างถึงการตลาดเพื่อระบายยางและการทำตัวเลขการส่งออกผลิตภัณฑ์ถุงมือยาง ก่อนชี้ว่าบุคคลทั้งสองร่วมมือกันมาตั้งแต่ต้น และมีการแบ่งแยกหน้าที่กันทำ นายจุรินทร์ชี้แจงคำกล่าวในอดีตของของเขาว่า เป็นงานของกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ และถุงมือยางที่พูดถึง ก็ไม่ใช่ถุงมือยางเทียมเหมือนกับที่เป็นปัญหาที่ อคส. แต่คือถุงมือยางธรรมชาติ เพราะรัฐบาลและกระทรวงพาณิชย์มีเป้าหมายชัดเจนที่ต้องการช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนยาง หนึ่งในนั้นก็คือการส่งออกถุงมือ 3) "สัญญาอัปยศ" นักการเมืองฝ่ายค้านได้เล่าถึงการทำสัญญาซื้อ-ขายถุงมือของ อคส. กับบริษัทเอกชนชนรวม 8 เจ้า และเรียกมันว่า "สัญญาอัปยศ" โดยมีลำดับความเป็นมา ดังนี้ วันที่ 28 ส.ค. 2563 นายเกียรติขจร แซ่ไต่ ผู้อำนวยการสำนักการขายและจัดจำหน่าย อคส. ได้ทำหนังสือถึงรักษาการ ผอ.อคส. แจ้งว่า บริษัท KRENEC LAW OFFICES, LCCT มีหนังสือแสดงเจตจำนงซื้อถุงมือยางเพื่อนำไปส่งมอบในสหรัฐฯ และยุโรป จำนวน 500 ล้านกล่อง ในราคา 230 บาท/กล่อง อคส. จึงเจรจากับบริษัท การ์เดียน โกลฟส์ จำกัด ซึ่งทางบริษัทมีหนังสือเสนอราคามายัง อคส. ในราคา 225 บาท/กล่อง โดยต้องชำระเงิน 2,000 ล้านบาท ในระหว่างวันที่ 25 ส.ค.-9 ก.ย. รักษาการ ผอ.อคส. ได้ทำสัญญาขายถุงมือยางรวม 7 สัญญา จำนวน 826 ล้านกล่อง มูลค่ารวมทุกสัญญาอยู่ที่ 186,100 ล้านบาท โดยไม่มีการเรียกหลักประกันสัญญาทั้ง 7 บริษัท เลขาธิการ พท. ชี้ว่า การทำสัญญาขายถุงมือยางระหว่าง อคส. กับบริษัท T, G และ K เป็น "สัญญาลวง" ไม่มีอยู่จริง เนื่องจาก อคส. ไม่ได้เรียกเงินมัดจำเพื่อเป็นหลักประกันตามปกติธุระทางการค้า หรือมีข้อตกลงในสัญญาถึงวิธีการและกำหนดการชำระเงินเป็นหลักประกันสัญญา แต่ทำสัญญาขึ้นมาเพื่อให้ อคส. ใช้เป็นข้ออ้างว่าจำเป็นต้องหาถุงมือยางจำนวนมากมาขายให้ 3 บริษัทนี้ เพราะมีคำสั่งซื้อคอยอยู่ จึงเจรจากับบริษัท การ์เดียน โกลฟส์ จำกัด เพื่อซื้อถุงมือยาง ชาร์ตนี้ถูกนำเสนอระหว่าง ส.ส. พท. อภิปราย มิหนำซ้ำบริษัทผู้สั่งซื้อถุงมือยางทั้ง 7 แห่ง ก็ไม่ได้สั่งซื้อถุงมือยางลาเท็กซ์ แต่สั่งถุงมือยางไนไตร (ไม่มีแป้ง) ขณะที่สัญญาสั่งซื้อถุงมือจากบริษัท การ์เดียน โกลฟส์ จำกัด ของ อคส. เป็นถุงมือยางลาเท็กซ์ นายประเสริฐจึงเห็นว่า "เป็นการทำสัญญาลวงเป็นฉากบังหน้า เพื่อทุจริตนำเงิน 2 พันล้านบาท ออกจาก อคส." อีกทั้งยังไม่ได้เป็นการช่วยเหลือเกษตรกรตามที่กล่าวอ้าง เพราะถุงมือไม่ได้ทำจากยางพารา เขายังแสดงความสงสัยด้วยว่า อคส. ทำสัญญาซื้อ-ขายถุงยางแบบขาดทุนไปทำไม เพราะในสัญญาซื้อถุงมือยางจากบริษัท การ์เดียน โกลฟส์ จำกัด จำนวน 500 ล้านกล่อง ซื้อในราคา 225 บาท/กล่อง แต่นำไปขายให้กับ 7 บริษัทในราคาขาดทุน เช่น ขายให้บริษัท A กล่องละ 210 บาท นายจุรินทร์ไม่ได้ชี้แจงหักล้างข้อมูล แต่อธิบายภาพรวม ดูในหัวข้อ 6 4) พิรุธคู่สัญญา อคส. เลขาธิการพรรคอันดับหนึ่งในสภายังชี้ให้เห็นข้อพิรุธของบริษัท การ์เดียน โกลฟส์ จำกัด คู่สัญญาของ อคส. หลายประการ อาทิ เพิ่งจัดตั้งเมื่อ 22 มิ.ย. 2563 ก่อนทำสัญญาเพียง 2 เดือน มีทุนจดทะเบียน 2 ล้านบาท แต่สามารถทำสัญญาแสนล้านกับ อคส.ได้ ทั้งที่ไม่น่าเป็นไปได้, ปรากฏภาพถ่ายในสื่อมวลชนว่าโรงงานตั้งอยู่ที่ จ.นครปฐม เป็นอาคารเช่า และปัจจุบันเปลี่ยนมือผู้เช่าใหม่ไปแล้ว, บริษัทไม่มีการรับรองผลงานของบริษัทตนเอง เพราะไม่มีประสบการณ์ในการผลิตถุงมือยาง แต่ได้นำเอกสารของบริษัทอื่นมาแสดงแทน แต่ อคส. กลับไม่ได้ท้วงติง และไม่ผ่านการตรวจสอบสัญญาจากสำนักงานอัยการสุงสุดแต่อย่างใด เขายังตรวจสอบรายละเอียดในสัญญาซื้อถุงมือยางจากบริษัทแห่งนี้ พบว่า อคส. ไม่มีอำนาจในการทำสัญญา เพราะคนระดับ ผอ. มีอำนาจอนุมัติ 25 ล้านบาท และประธานบอร์ดอนุมัติได้ 50 ล้านบาท อีกทั้งยังมีกระบวนการดึงเงินจำนวน 2,000 ล้านบาทออกจาก อคส. "บริษัทไม่ต้องลงทุน เพราะเบิกเงินจาก อคส. และนำกลับมาวางหลักประกัน ซึ่งยังเหลือเงินทอนอีก 1,800 ล้านบาท" นายประเสริฐระบุ นายจุรินทร์ไม่ได้ชี้แจงหักล้างข้อมูล แต่อธิบายภาพรวม ดูในหัวข้อ 6 5) คลิปเสียงสนทนาที่ รมต. ถาม "แล้วไง" อีกหลักฐานสำคัญที่นายประเสริฐนำมาเปิดกลางสภาซ้ำ 2 ครั้ง คือบันทึกเสียงการประชุมบอร์ด อคส. เมื่อ 26 ส.ค. 2563 หนึ่งวันหลังวันทำสัญญาขายถุงมือยางไนโตร (ไม่มีแป้ง) ให้กับบริษัทเอกชน 3 ราย มูลค่ารวมกว่า 13,000 ล้านบาท ซึ่งปรากฏเสียงของชายที่นายประเสริฐอ้างว่าเป็น พ.ต.อ. รุ่งโรจน์ รักษาการ ผอ.อคส. กับนายสุชาติ ประธาน อคส. (ดูรายละเอียดในภาพ) ชาร์ตนี้ถูกนำเสนอระหว่าง ส.ส. พท. อภิปราย นายประเสริฐตั้งข้อสังเกตต่อคำพูดของชายที่เขาบอกว่าเป็น "ประธาน" ที่ว่า "อ้าว ต้องลับก่อน" ก่อนมีเสียงหัวเราะของผู้ร่วมประชุม และคำพูดของชายคนเดิมที่ว่า "เดี๋ยวให้ท่านรัฐมนตรีมากดเดิน" ทว่าในรายงานฉบับเป็นทางการของบอร์ด อคส. กลับไม่ปรากฏเรื่องนี้แต่อย่างใด นายจุรินทร์บอกว่า ฟังคลิปไม่ชัด แต่จับความได้ว่ามีบุคคลคนหนึ่งบอกว่า "เดี๋ยวจะให้รัฐมนตรีมากด เป็นอะไร ผมก็ไม่ทราบ เป็นประธานเปิดโครงการ หรือทำอะไรก็ไม่ทราบ ผมฟัง 2 ครั้งมันก็รวดเร็ว แต่ท่านไปพูดว่ามากดเงิน ท่านเจตนาอะไร" และตั้งคำถามต่อไปว่า "ฟังเทปแล้วไง มันมีตรงไหนที่บอกว่ารัฐมนตรีเข้าไปเกี่ยวข้องในทางมิชอบกับการทำสัญญาซื้อขายถุงมือยาง และที่สำคัญผมก็ไม่ได้ไปร่วมสนทนาในวงเทปที่ท่านเอามาเปิดด้วย หรือไปร่วมรับรู้ด้วย แค่เอามาเปิดกล่าวอ้าง" เขาบอกด้วยว่า งานนี้มันคือผลงานอัปยศเหมือนที่ผู้อภิปรายพูด "จะนิมนต์ผมไปเป็นประธานกดปุ่มอะไรก็ตาม ผมไม่รับนิมนต์ครับ" และยังเหน็บนายประเสริฐด้วยว่า การเอาคำพูดของอดีตรักษาการ ผอ.อคส. มาอ้าง เป็นการ " ฟังความข้างเดียว เสียยี่ห้ออดีตรัฐมนตรีหมด" 6) จุรินทร์แจงหน้าที่แค่ "บุรุษไปรษณีย์" หลังไล่ข้อมูลมาทั้งหมด นายประเสริฐเรียกสิ่งที่เกิดขึ้นว่า "สัญญาอัปยศ" ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ อคส. 2,000 ล้านบาท กระทำโดยคนสนิทของนายจุรินทร์ พร้อมตั้งคำถามว่า "มีรัฐมนตรีไว้ทำไม" เหตุใดจึงไม่ดำเนินการใด ๆ เลยกับนายสุชาติ ประธานบอร์ด อคส., รักษาการ ผอ.อคส. และบอร์ด อคส. ซึ่งเข้าข่ายปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต จากที่อภิปรายมาทั้งหมด นายประเสริฐสรุปว่านายจุรินทร์ "มีเจตนาพิเศษ แสวงหาประโยชน์ตนและพวกพ้อง ทุจริตเชิงนโยบาย" เสนอ ครม. แต่งตั้งคนสนิทไปเป็นประธานบอร์ด อคส. โดยไม่สนใจความรู้ความสามารถ และเมื่อเกิดกรณีทุจริตการซื้อถุงมือยางใน อคส. ก็ไม่กล้าแจ้งความดำเนินคดีกับนายสุชาติ เพราะกลัวถูกเปิดเผยความจริง ทำให้นายจุรินทร์พยายามตัดตอนเรื่องนี้ให้จบที่ พ.ต.อ.รุ่งโรจน์ จึงไม่อาจไว้วางใจได้ ด้านนายจุรินทร์พูดถึงประเด็นนี้ว่า "ท่านถามว่าก่อนทำสัญญาแสนกว่าล้านนั้น รัฐมนตรีจุรินทร์อยู่ไหน ผมตอบไม่ถูกหรอกครับว่าผมอยู่ที่ไหน เพราะผมก็ไม่ทราบ แล้วก็ไม่ได้ไปร่วมกระบวนการสมคบกับใครทำสัญญาแสนกว่าล้านด้วย" และทันทีที่ทราบจาก ผอ.อคส. คนใหม่ ที่ตรวจพบมีพิรุธโอนเงิน อคส. 2,000 ล้านบาทออกไปจากบัญชี และมีการไปทำสัญญาแสนกว่าล้าน ซื้อขายโดยไม่มีอำนาจ ก็ได้รายงานให้นายกฯ ทราบทันที โดยนายกฯ ได้สั่งย้ายอดีตผู้อำนวยการ อคส. ไปประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเพื่อจะได้สะดวกต่อการนำตัวคนผิดมาลงโทษ พร้อมปฏิเสธว่าเขาไม่ได้ทำตัวเป็น "ทองไม่รู้ร้อน" จากนั้นได้ไล่เรียงข้อกฎหมายมาอธิบายว่า อคส. เป็นรัฐวิสาหกิจ รัฐมนตรีมีหน้าที่เป็นแค่ "บุรุษไปรษณีย์" ไม่มีอำนาจบังคับบัญชา มีอำนาจจำกัดในการรับส่งเรื่องจาก ผอ.อคส. และบอร์ด ไปยัง ครม. ให้พิจารณาเท่านั้น ชาร์ตนี้ถูกนำเสนอระหว่าง รมว.พาณิชย์ ลุกขึ้นชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา ตั้งแต่เกิดเรื่อง นายจุรินทร์ระบุว่า ผอ.อคส.คนใหม่ ได้ทำหนังสือเป็นลายลักษณ์อักษรรายงานขึ้นมา 4 ครั้ง ว่าได้ตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง, แจ้งความดำเนินคดีต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ), ร้องต่อสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และร้องต่อสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ครั้งล่าสุดคือเมื่อวันที่ 4 ก.พ. 2564 ผอ.อคส. คนใหม่แจ้งผลการสอบสวนข้อเท็จจริงที่มีผู้ตรวจราชการกระทรวงพาณิชย์เป็นประธานให้ทราบ มีเอกสารทั้งหมด 2,268 แผ่น พบผู้เกี่ยวข้องเชื่อมโยงทั้งหมด 3 คน รวมถึงอดีตรักษาผู้อำนวยการ อคส. ด้วย ซึ่งทั้งหมดได้แจ้งให้บอร์ด อคส. รับทราบ และส่งต่อเรื่องให้ ป.ป.ช. พิจารณาประกอบการไต่สวนแล้ว ส่วนที่ถามว่าทำไมไม่ตั้งกรรมการสอบ ทำไมไม่ปลดประธานบอร์ด นายจุรินทร์ให้เหตุผลว่า เพราะไม่ต้องการใช้อำนาจที่ลุแก่อำนาจโดยมิชอบ เพราะมีตัวอย่างอดีตนายกฯ คนหนึ่งเทียบเคียงให้เห็นแล้ว สุดท้ายเรื่องไป ป.ป.ช. และถูกชี้มูลว่ามีความผิดอาญา ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ส่งอัยการสูงสุดฟ้องศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมืองต่อไป จึงจำเป็นต้องใช้อำนาจตามที่กฎหมายให้อำนาจ แต่ยืนยันว่าหากวันใด ป.ป.ช. ชี้มูลผู้เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด ไม่เอาไว้แน่ 7) แจงอายัดเงิน 400 ล้านไม่ได้ จนกว่า ป.ป.ช. ชี้มูล ขณะที่ผู้นำสูงสุดอย่าง พล.อ. ประยุทธ์ ก็ถูกฝ่ายค้านตั้งคำถามเรื่องการไม่ปกป้องผลประโยชน์ของชาติ 2,000 ล้านบาท และทำเพียงแต่ออกคำสั่งย้าย พ.ต.อ. รุ่งโรจน์ มาประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 ก.ย. 2563 แต่ไม่ได้อายัดบัญชีของบริษัท การ์เดียน โกลฟส์ จำกัด ซึ่งจากการตรวจสอบของกรรมาธิการพาณิชย์ สภาผู้แทนฯ พบว่าตั้งแต่วันที่ 2-25 ก.ย. 2563 ยังมีเงินอยู่ในบัญชีของบริษัทและกรรมการบริษัท 400 ล้านบาท ทำให้เงินถูกยักย้าย ถ่ายโอน หนีไป จนปัจจุบันไม่มีเงินคงเหลือที่จะอายัดได้ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ร่วมประชุมสภาเป็นวันที่สาม "เมื่อ พล.อ. ประยุทธ์ เพิกเฉยเพราะกลัวกระทบต่อเสถียรภาพรัฐบาล ต้องถือว่า พล.อ. ประยุทธ์ ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่" เลขาธิการ พท. ตั้งข้อสังเกต และเรียกร้องให้ปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) เอานายจุรินทร์ออกจากตำแหน่ง เพื่อไม่ให้เกิดอุปสรรคต่อการสอบสวนและอาจไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน เกี่ยวกับประเด็นนี้ นายจุรินทร์แจกแจงแทนนายกฯ ว่าได้ติดตามความคืบหน้ามาโดยลำดับ ส่วนที่ถามว่าทำไม่ไม่รีบอายัดเงิน ยืนยันว่า ผอ.อคส. คนใหม่ได้ทำสุดวิธีแล้ว ทั้งส่งดีเอสไอ ปปง. ปปช. แต่โดยข้อเท็จจริง ดีเอสไอแจ้งว่ามีอำนาจสอบแค่ 30 วัน แต่เมื่อกรณีนี้เป็นการทำทุจริตของเจ้าหน้าที่รัฐ ต้องส่ง ป.ป.ช. เช่นเดียวกับ ปปง. จะมีอำนาจอายัดและตรวจสอบเส้นทางการเงินของเจ้าหน้าที่รัฐ ก็ต่อเมื่อ ป.ป.ช. ต้องชี้มูลความผิดก่อน
|
ในวันที่ 3 ของการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ฝ่ายค้านเคลื่อนเป้ามาสู่การซักฟอกรัฐมนตรี
|
international-55980689
|
https://www.bbc.com/thai/international-55980689
|
กัปตันอเมริกา: ข้อถกเถียงต่อความเชื่อว่าจีนกำลังสร้าง "ซูเปอร์ทหาร" แข่งกับสหรัฐฯ
|
การที่มีเงินทุนมหาศาล และความต้องการที่จะล้ำสมัย กองทัพหลายประเทศในโลกจึงมักสร้างสิ่งประดิษฐ์ขึ้นมา ตั้งแต่แบบที่ต้องใช้เทคโนโลยีใหม่ล่าสุดไปจนถึงนวัตกรรมแบบง่าย ๆ อย่างการใช้เทปกาวในสมรภูมิรบ ก็มาจากคำแนะนำของคนงานในโรงงานสรรพาวุธในรัฐอิลลินอยส์ ซึ่งมีลูกชายหลายคนทำงานในกองทัพเรือในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ด้วยความกังวลว่าเทปกระดาษที่ฉีกขาดง่ายซึ่งถูกใช้ในการปิดกล่องเก็บกระสุนในสมัยนั้นจะทำให้ทหารต้องพะวักพะวนขณะกำลังยิงปะทะอยู่ในสนามรบ เวสตา สเตาดต์ จึงคิดหาทางออก ด้วยการใช้เทปผ้าที่กันน้ำได้ หัวหน้าของเธอไม่สนับสนุนความคิดนี้ แต่เมื่อเธอเขียนเรื่องนี้ถึงประธานาธิบดีโรสเวลต์ เขาได้ให้ผู้ผลิตสิ่งของที่ใช้ในสงครามนำแนวคิดของเธอไปทำให้เกิดขึ้นจริง ถ้าความจำเป็นทางการทหารทำให้เราได้เทปกาวเหนียว ๆ ที่ดีกว่ามาใช้งาน แล้วความจำเป็นทางทหารจะทำให้เกิดสิ่งประดิษฐ์อะไรขึ้นได้อีกบ้าง ในการประกาศโครงการใหม่ในปี 2014 นายบารัก โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในขณะนั้น บอกกับนักข่าวว่า "จริง ๆ แล้ว ผมมาที่นี่เพื่อที่จะประกาศว่า เรากำลังสร้างไอรอนแมน" มีคนหัวเราะ แต่เขาพูดจริง กองทัพสหรัฐฯ ได้เริ่มโครงการผลิตชุดเกราะป้องกัน ที่รู้จักกันในชื่อว่า ชุดจู่โจมทางยุทธวิธีน้ำหนักเบา (Tactical Assault Light Operator Suit--Talos) หรือ ทาลอส วิดีโอโฆษณาที่คล้ายกับวิดีโอเกมเผยให้เห็นว่า ผู้สวมใส่ชุดเกราะนี้กำลังบุกเข้าไปในพื้นที่ของศัตรู กระสุนที่ยิงโดนชุดเกราะกระเด็นออกไป 5 ปีผ่านไปไอรอนแมนไม่ได้เกิดขึ้น โครงการนี้สิ้นสุดลง แต่ผู้ผลิตหวังว่าจะมีการนำอุปกรณ์ที่ใช้งานเฉพาะบุคคลของชุดเกราะนี้ไปใช้งานที่อื่นต่อไป ชุดเกราะทาลอสของสหรัฐฯ ในวิดีโอโฆษณา เอ็กโซสเกเลตัน (Exoskeleton) เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่มีความหวัง ที่ทางกองทัพต่าง ๆ กำลังศึกษาเพื่อเสริมสมรรถนะให้แก่ทหาร การเสริมสมรรถนะไม่ใช่เรื่องใหม่ นับตั้งแต่สมัยโบราณ มีการเสริมสมรรถนะให้แก่ทหารหลายอย่าง ทั้งด้านอาวุธ เครื่องมือ และการฝึกซ้อม แต่ในปัจจุบัน การเสริมสมรรถนะอาจมีความหมายมากกว่าเพียงแค่การให้ปืนที่ยอดเยี่ยมกว่าเดิมแก่ทหารแต่ละนาย มันอาจหมายถึงการเปลี่ยนแปลงตัวทหารแต่ละนายก็ได้ ในปี 2017 ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย เตือนว่ามนุษย์อาจสร้างสิ่งที่ "เลวร้ายยิ่งกว่าระเบิดนิวเคลียร์" ขึ้นมาในอีกไม่นานนี้ "บางคนอาจจินตนาการไปว่า มนุษย์อาจสร้างมนุษย์ที่มีลักษณะนิสัยบางอย่างติดตัวมา ไม่ใช่เพียงแค่ตามหลักวิทยาศาสตร์เท่านั้น แต่สามารถนำไปใช้งานได้จริงด้วย เขาอาจจะเป็นนักคณิตศาสตร์อัจฉริยะ นักดนตรีที่ยอดเยี่ยม หรือทหารที่สามารถต่อสู้โดยปราศจากความกลัว ความเห็นอกเห็นใจ ความเสียใจ หรือความเจ็บปวดใด ๆ" ปีที่แล้ว จอห์น รัตคลิฟฟ์ อดีตผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติสหรัฐฯ (Office of Director of the National Intelligence--ODNI) กล่าวหาจีนไปไกลยิ่งกว่านั้น "จีนได้ทำการทดลองในมนุษย์โดยใช้สมาชิกกองทัพปลดปล่อยประชาชนจีน โดยหวังว่าจะพัฒนาทหารที่มีการเสริมสร้างขีดความสามารถในทางชีวภาพ ไม่มีขอบเขตทางจริยธรรมสำหรับความต้องการไขว่คว้าอำนาจของรัฐบาลจีน" เขาเขียนไว้ในเดอะวอลล์สตรีตเจอร์นัล จีนตอบโต้ว่าบทความของเขาว่า "โกหกทั้งเพ" เมื่ออาวรีล เฮนส์ ผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติสหรัฐฯ คนใหม่ ถูกถามว่าเธอเห็นด้วยกับการประเมินของนายรัตคลิฟฟ์หรือไม่ เธอตอบว่ายังไม่มีความคิดเห็นในเรื่องนี้ แต่ ได้เตือนถึงภัยคุกคามที่มาจากจีน ขณะที่รัฐบาลของนายโจ ไบเดน ล้มเลิกหลายสิ่งหลายอย่างที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ ทำไว้ แต่ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ กับจีนน่าจะยังมีส่วนสำคัญต่อนโยบายต่างประเทศสหรัฐฯ ความทะเยอทะยานกับความเป็นจริง การมีสุดยอดทหารในกองทัพ เป็นสิ่งที่น่าเย้ายวนใจของกองทัพต่าง ๆ ลองนึกดูว่า ทหารนายหนึ่งที่สามารถทนทานกับความเจ็บปวด อากาศที่หนาวเย็นสุดขั้ว หรือไม่จำเป็นต้องนอนหลับพักผ่อน แต่ข้อจำกัดด้านเทคโนโลยีอาจฉุดรั้งความทะเยอทะยานนั้นกลับลงมาสู่พื้นดิน อย่างที่เกิดขึ้นกับความพยายามของสหรัฐฯ ในการสร้าง "ไอรอนแมน" รายงานในปี 2019 จากนักวิชาการสหรัฐฯ 2 คน ระบุว่า กองทัพจีน "กำลังสำรวจ" เทคนิคต่าง ๆ อย่างการตัดต่อพันธุกรรม เอ็กโซสเกเลตัน และการผสานกันระหว่างมนุษย์กับเครื่องจักร รายงานนี้มาจากความเห็นของนักยุทธศาสตร์ทางทหารของจีนเป็นหลัก เอลซา คาเนีย หนึ่งในผู้เขียนรายงาน กังขาเกี่ยวกับความเห็นของนายรัตคลิฟฟ์ "เป็นเรื่องสำคัญในการทำความเข้าใจสิ่งที่กองทัพจีนกำลังหารือกันอยู่และกำลังต้องการทำให้เกิดขึ้นจริง แต่ก็ต้องยอมรับถึงความห่างไกลระหว่างความทะเยอทะยานกับความเป็นจริงที่เทคโนโลยีเป็นอยู่ในขณะนี้ด้วย" นางคาเนีย นักวิจัยอาวุโสที่ศูนย์เพื่อความมั่นคงใหม่ของอเมริกัน(Center for a New American Security) กล่าว "แม้ว่ากองทัพทั่วโลกอาจจะค่อนข้างสนใจในความเป็นไปได้ของสุดยอดทหาร... แต่สุดท้ายแล้ว สิ่งที่เป็นไปได้ภายในขอบเขตของวิทยาศาสตร์ก็มีส่วนในการยับยั้งความพยายามที่จะผลักดันขอบเขตนี้ออกไป" นายรัตคลิฟฟ์กำลังหมายถึงการทดลองในมนุษย์ แม้ว่าลักษณะนิสัยบางอย่างอาจเปลี่ยนแปลงในตัวมนุษย์ได้โดยการตัดต่อพันธุกรรม การแก้ไขดีเอ็นเอของตัวอ่อนจะเป็นหนึ่งในทางเลือกที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุดในการสร้าง "ซูเปอร์ทหาร" ขึ้น ดร.เฮเลน โอ'นีลล์ นักพันธุศาสตร์โมเลกุล จากยูนิเวอร์ซิตี้ คอลเลจ ลอนดอน กล่าวว่า คำถามน่าจะอยู่ที่นักวิทยาศาสตร์จะพร้อมใช้เทคโนโลยีนี้หรือไม่ มากกว่าเทคโนโลยีนี้เป็นไปได้หรือไม่ "เทคโนโลยีต่าง ๆ ทั้งการตัดต่อจีโนม และการผสานจีโนมกับการเจริญพันธุ์ภายใต้การช่วยเหลือ กำลังกลายเป็นแนวทางที่ถูกใช้ในการเปลี่ยนแปลงพันธุกรรมและการเกษตร มันเป็นเพียงการผสานกันระหว่างสองสิ่งเพื่อการใช้งานในมนุษย์ที่ถูกมองว่า ขัดต่อจริยธรรมในขณะนี้" ในปี 2018 เฮ่อ เจี้ยนขุย นักวิทยาศาสตร์จีนออกประกาศที่น่าตกตะลึง เขาบอกว่า เขาประสบความสำเร็จในการแก้ไขดีเอ็นเอในตัวอ่อนของฝาแฝดหญิงเพื่อป้องกันไม่ให้พวกเธอติดเชื้อไวรัสเอชไอวี การพัฒนานี้ได้ทำให้เกิดความไม่พอใจขึ้น ประเทศส่วนใหญ่ห้ามการตัดต่อพันธุกรรมเช่นนี้ รวมถึงจีนด้วย ปกติการทำเช่นนี้จะจำกัดอยู่เฉพาะตัวอ่อนจากการทำเด็กหลอดแก้วที่ถูกคัดทิ้ง และตัวอ่อนเหล่านี้จะต้องถูกทำลายทันทีในภายหลัง จะต้องไม่ถูกนำไปใช้ในการทำให้เกิดทารกขึ้นมา นักวิทยาศาสตร์คนนี้ปกป้องสิ่งที่เขาค้นพบ แต่สุดท้ายเขาก็ถูกจำคุกจากการฝ่าฝืนข้อห้ามของทางรัฐบาล ผู้ที่ให้สัมภาษณ์ลงบทความนี้หลายคนพาดพึงถึงกรณีของนายเฮ่อ เจี้ยนขุย ว่าเป็นช่วงเวลาสำคัญในด้านพันธุจริยศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์หลายคนได้รายงานว่า การที่ปกป้องทารกแฝดจากการติดเชื้อเอชไอวี ถือเป็นการเสริมสร้างทางปัญญาที่การรักษาของเขาทำให้เกิดขึ้น เฮ่อ เจี้ยนขุย ได้ใช้เทคโนโลยีคริสเปอร์ (Crispr) ในการให้กำเนิดฝาแฝดดังกล่าวขึ้นมา ซึ่งเป็นวิธีที่มีการแก้ไขดีเอ็นเอในเซลล์สิ่งมีชีวิตเฉพาะจุดอย่างแม่นยำ ทำให้มีการกำจัดคุณสมบัติบางอย่างออกไป และเพิ่มคุณสมบัติอื่นเข้ามาได้ วิธีนี้มีความหวังว่า อาจจะใช้ในการรักษาหรือถึงขั้นกำจัดโรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้ แล้วทหารจะนำเทคโนโลยีนี้มาใช้ทำอะไรได้ คริสตอฟ กาลิเชต์ นักวิทยาศาสตร์วิจัยอาวุโส ที่สถาบันฟรานซิส คริก (Francis Crick Institute) ในกรุงลอนดอน เรียก คริสเปอร์ ว่า "การปฏิวัติ" แต่เขาบอกว่า ยังมีข้อจำกัดอีกมาก เขาเปรียบเทียบเทคนิคนี้กับเครื่องมือค้นหาและแทนที่ข้อความ คุณสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงข้อความเฉพาะบางข้อความได้อย่างง่ายดาย แต่ข้อความที่แก้ไขอาจจะเหมาะสมในจุดหนึ่ง แต่ในอีกจุดหนึ่งอาจจะดูไม่เข้าทีก็เป็นได้ "เป็นเรื่องผิดที่คิดว่า ยีนหนึ่งตัวจะส่งผลกระทบเพียงหนึ่งอย่าง" เขากล่าว "ถ้าคุณนำยีนออกไป 1 ตัว คุณอาจจะทำให้คนคนหนึ่งมีกล้ามเนื้อเพิ่มขึ้น หรือสามารถที่จะหายใจได้ดีขึ้นในที่ที่อยู่สูงจากระดับน้ำทะเล แต่มันก็อาจจะทำให้คนคนนั้นเป็นมะเร็งได้ในเวลาต่อมา" ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะแยกคุณสมบัติบางอย่างออกไป ยกตัวอย่างเช่น ยีนที่เกี่ยวข้องกับความสูงมีหลายตัว และการเปลี่ยนแปลงคุณสมบัติใด ๆ ก็จะส่งต่อไปยังคนรุ่นต่อไปด้วย นักวิเคราะห์บางคนเห็นความพยายามของจีนว่าเป็นการตอบโต้โดยตรงกับสหรัฐฯ รายงานในปี 2017 ใน เดอะ การ์เดียน ระบุว่า หน่วยงานทางทหารแห่งหนึ่งของสหรัฐฯ กำลังลงทุนหลายสิบล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในเทคโนโลยีการทำลายทางพันธุกรรม ที่สามารถกำจัดสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์ต่าง ๆ ที่แพร่กระจายอย่างรวดเร็วได้ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญสหประชาชาติเตือนว่า อาจจะมีการนำไปใช้ทางการทหาร จีนและสหรัฐฯ ไม่ได้เป็นเพียงสองประเทศที่กำลังช่วงชิงความได้เปรียบ กองทัพของฝรั่งเศสได้รับการอนุมัติให้พัฒนา "ทหารเสริมสมรรถนะ" แล้วเช่นกัน โดยมีเอกสารที่ระบุถึงขอบเขตทางจริยธรรมในการทำวิจัยนี้ นางฟลอรองซ์ พาร์ลี รัฐมนตรีกลาโหมของฝรั่งเศส กล่าวว่า "เราต้องยอมรับความจริง ไม่ใช่ทุกคนที่คำนึงถึงศีลธรรมเช่นเดียวกับเรา และเราต้องเตรียมพร้อมสำหรับทุกอย่างที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต" พันธุศาสตร์อาจจะทำให้ทหารรับมือกับสภาพแวดล้อมที่เลวร้ายได้ดีขึ้น ถึงแม้นักวิทยาศาสตร์อาจจะพัฒนาคุณสมบัติบางอย่างของคนขึ้นมาได้อย่างปลอดภัย แต่การนำไปใช้งานในวงการทหารก็ทำให้กลายเป็นปัญหาขึ้นมาได้ ยกตัวอย่าง ทหารแต่ละนายสามารถที่จะยินยอมเข้ารับการรักษาที่มีความเสี่ยงภายในโครงสร้างการบังคับบัญชาของกองทัพได้อย่างอิสระหรือไม่ มีรายงานว่า ทั้งจีนและรัสเซียได้ทดลองวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 กับทหารของตัวเอง "กองทัพไม่ได้มีไว้เพื่อสนับสนุนผลประโยชน์ของทหาร มันมีไว้เพื่อชิงความได้เปรียบทางยุทธศาสตร์หรือชนะสงคราม" ศ.จูเลียน ซาวูเลสกู ผู้เชี่ยวชาญด้านจริยศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ดกล่าว "มีข้อจำกัดหลายอย่างที่คุณอาจทำให้ทหารต้องรับความเสี่ยง แต่ยิ่งมีข้อจำกัดมากขึ้นไปอีกเมื่อต้องทำให้สังคมปกติมีความเสี่ยงเหล่านั้น" ศ.ซาวูเลสกู กล่าวว่า เป็นเรื่องสำคัญสำหรับทุกคนในการชั่งน้ำหนักความเสี่ยงของการเสริมสมรรถนะกับผลดีที่ได้รับ "แต่แน่นอน" เขากล่าวเพิ่มเติม "สมการนี้แตกต่างไปในกองทัพ บุคคลจะทนทานกับความเสี่ยง แต่มักจะไม่ใช่ข้อดี" ทหารตกอยู่ในสถานการณ์ความเป็นความตาย และอาจจะคิดว่า การเสริมสร้างสมรรถนะเป็นเรื่องน่ายินดี ถ้ามันทำให้พวกเขามั่นใจได้ว่าจะมีชีวิตรอด แต่ ศ.แพทริก หลิน นักปรัชญาที่มหาวิทยาลัยโพลีเทคนิคแห่งรัฐแคลิฟอร์เนีย กล่าวว่า มันไม่ได้ง่ายดายเช่นนั้น "การเสริมสมรรถนะทางการทหารหมายถึงการทดลองและการทำให้พลเมืองของตัวเองต้องรับความเสี่ยง ดังนั้นจึงไม่แน่ชัดว่า ทหารเสริมสมรรถนะจะได้รับการปกป้องดีขึ้นมากแค่ไหน ในทางตรงกันข้าม พวกเขาอาจจะถูกส่งไปปฏิบัติภารกิจที่อันตรายมากยิ่งขึ้น หรือมีความเสี่ยงมากกว่าที่ทหารที่ไม่ได้รับการเสริมสมรรถนะได้รับ" กัปตัน อเมริกา อาจจะยังไม่ได้เกิดขึ้นในเร็ววันนี้ แต่มีความเป็นไปได้เสมอในการพัฒนาเทคโนโลยีนี้ขึ้น "มันเป็นเรื่องยากในควบคุมทางจริยธรรมหรือการควบคุมทางประชาธิปไตยเกี่ยวกับสิ่งที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาในกองทัพ เพราะโดยธรรมชาติแล้ว มันจะต้องเก็บเป็นความลับและเป็นเรื่องส่วนตัวเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของชาติ" ศ.ซาวูเลสกู กล่าว "ดังนั้น มันจึงเป็นเรื่องยากในทางจริยธรรม ปัจจุบันในวงการวิทยาศาสตร์และการแพทย์ซึ่งเปิดรับสิ่งต่าง ๆ อย่างมีเหตุผล ก็เป็นเรื่องยากอยู่แล้ว" ศ. หลิน บอกว่า สิ่งที่อาจทำได้หรือสมควรทำในการควบคุมวงการนี้ "ความท้าทายที่สำคัญคือ เกือบทุกอย่างในเรื่องนี้เป็นการวิจัยที่มีการใช้งานสองทาง ยกตัวอย่าง การวิจัยเอ็กโซสเกเลตัน ตอนแรกมีเป้าหมายในการช่วยเหลือ หรือรักษาคนที่มีอาการเจ็บป่วย อย่างเช่น ช่วยเหลือผู้ป่วยอัมพาตให้กลับมาเดินได้อีกครั้ง" เอ็กโซสเกเลตัน ที่ควบคุมด้วยจิตใจ ทำให้ชายที่เป็นอัมพาตกลับมาเดินได้อีกครั้ง "แต่การใช้งานในทางการแพทย์นี้ก็อาจถูกนำไปเป็นอาวุธได้อย่างง่ายดายและมันก็ยังไม่มีความชัดเจนว่า จะป้องกันไม่ให้เรื่องนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร ซึ่งหมายความว่า มันไม่มีความชัดเจนว่า จะควบคุมเรื่องนี้อย่างไร โดยปราศจากการออกกฎเกณฑ์กว้าง ๆ คลุมไว้ ซึ่งก็จะสร้างความหงุดหงิดให้กับการวิจัยทางการแพทย์" ดร.โอ'นีลล์ ระบุว่า จีนมีความรุดหน้าในด้านการวิจัยทางพันธุศาสตร์ และหลายประเทศเสียเปรียบจีนอยู่ในขณะนี้ "ฉันคิดว่า เราเสียเวลากับการถกเถียงเรื่องจริยศาสตร์กันมาก แทนที่จะมุ่งเน้นไปที่ความเป็นจริงในปัจจุบัน" เธอกล่าว "ใช้พลังงานมากเกินไปกับการคาดเดาและโลกที่ไม่พึงปรารถนา ใช้พลังงานมากขึ้นไปอีกกับความเสี่ยงต่าง ๆ และการใช้เทคโนโลยีเพื่อที่จะได้เข้าใจมันดีขึ้น เพราะจะมีการทำมันขึ้นในที่อื่น หรือกำลังมีการทำมันอยู่ในที่อื่น มีเพียงแค่การวิจัยอย่างต่อเนื่องเท่านั้น เราจึงจะเข้าใจได้ว่า จุดไหนที่อาจจะเป็นข้อผิดพลาด"
|
หน่วยข่าวกรองสหรัฐฯ ระบุว่าจีนกำลังพยายามสร้าง "กัปตันอเมริกา" ในแบบของตัวเองขึ้นมา ความเป็นไปได้ของสุดยอดทหารไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาด และไม่ได้มีแค่จีนที่สนใจสร้างทหารเสริมสมรรถนะของตัวเองขึ้นมา
|
features-49738836
|
https://www.bbc.com/thai/features-49738836
|
ช่องคลอดหดเกร็ง: “ร่างกายไม่ยอมให้ฉันมีเซ็กส์”
|
ฮันนาห์ บรรยายประสบการณ์ทางเพศครั้งแรกที่สร้างความเจ็บปวดแสนสาหัสว่า "เหมือนถูกมีดเสียบเข้าไป แล้วบิดเป็นเกลียวไปรอบ ๆ ช่องคลอด" ฮันนาห์ แวน เดอ เพียร์ มีปัญหาความผิดปกติทางเพศที่เรียกว่า Vaginismus หรือ ภาวะช่องคลอดหดเกร็ง ซึ่งส่งผลกระทบต่อชีวิตของผู้หญิงทั่วโลก แต่ขณะเดียวกันกลับไม่ค่อยมีการพูดถึงมากนักในสังคม "ฉันได้คุยกับผู้หญิงหลายคนที่ประสบปัญหาเดียวกัน มันแทบจะเหมือนกับว่าเรามีประสบการณ์เดียวกัน และนั่นคือความรู้สึกโดดเดี่ยว" ฮันนาห์ กล่าว ภาวะช่องคลอดหดเกร็ง เป็นปฏิกิริยาอัตโนมัติของร่างกายที่เกิดขึ้นจากความกลัวการล่วงล้ำอวัยวะเพศในทุกรูปแบบ ส่งผลให้กล้ามเนื้อช่องคลอดมีอาการหดเกร็งขณะมีเพศสัมพันธ์ โดยที่ผู้หญิงไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ ทำให้การร่วมเพศเต็มไปด้วยความลำบาก ผู้หญิงที่มีภาวะนี้ประสบความยากลำบากในการมีเพศสัมพันธ์ โดยมีอาการปวดแสบร้อน หรือ ปวดเหมือนถูกแมลงกัดต่อย นอกจากนี้ยังอาจมีปัญหาในการใช้ผ้าอนามัยแบบสอด ฮันนาห์ ซึ่งปัจจุบันอายุ 21 ปี ยังจำประสบการณ์ทางเพศครั้งแรกที่สร้างความเจ็บปวดแสนสาหัสได้ "ฉันมีความคิดมาตลอดว่าการเสียพรหมจรรย์จะต้องเจ็บปวดบ้าง แต่มันกลับเหมือนถูกมีดเสียบเข้าไป แล้วบิดเป็นเกลียวไปรอบ ๆ ช่องคลอด" ผู้หญิงบางคนบรรยายความรู้สึกดังกล่าวว่าเหมือนถูกมีดกรีดหรือถูกเข็มทิ่มแทงตามผิวหนัง ผู้หญิงที่มีภาวะนี้ประสบความยากลำบากในการใช้ผ้าอนามัยแบบสอด ดร.เลลา ฟร็อดแชม สูตินรีแพทย์ ที่ทำงานในสหราชอาณาจักร ระบุว่า ภาวะนี้คือหนึ่งในประเด็นปัญหาทางเพศที่ไม่ค่อยมีใครอยากพูดถึงในปัจจุบัน "มันเป็นเรื่องปกติที่จะรู้สึกวิตกกังวลกับการมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก และเราทุกคนน่าจะเคยรู้สึกแบบนั้น แต่ผู้หญิงที่มีภาวะช่องคลอดหดเกร็งอาจต้องอยู่กับความรู้สึกแบบนี้ไปตลอดชีวิต" อามีนา (นามสมมุติ) ซึ่งอยู่ในวัย 20 ตอนต้น ก็เป็นอีกคนที่มีภาวะช่องคลอดหดเกร็ง และเธอบอกว่ามันเปลี่ยนชีวิตของเธอไปตลอดกาล "ภาวะช่องคลอดหดเกร็งเป็นตัวกำหนดชีวิตคู่ของฉัน และความสามารถในการเลือกว่าจะฉันมีลูกเมื่อใด" ภาวะนี้อาจเกิดขึ้นได้ในทุกช่วงชีวิตของผู้หญิง และอาจเกิดขึ้นได้จากปัจจัยต่าง ๆ เช่นหลังจากมีอาการเชื้อราในช่องคลอดไปจนถึงการคลอดบุตร การถูกทารุณทางเพศ หรือการเข้าสู่ภาวะหมดประจำเดือน บางคนพบว่าตัวเองมีภาวะนี้หลังจากพยายามจะมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกแต่ล้มเหลว แต่ ดร.ฟร็อดแชม ชี้ว่า การถูกเลี้ยงดูมาในครอบครัวที่เคร่งศาสนาก็อาจมีส่วนให้เกิดภาวะนี้ได้ "มีบางคนที่โตมาในครอบครัวเคร่งศาสนาและไม่มีปัญหานี้เลย แต่บางคนเป็นเหมือนฟองน้ำและซึมซับทุกคำสอนและทุกความเห็น" ดร.ฟร็อดแชม กล่าวกับบีบีซี "ความเชื่ออย่างหนึ่งก็คือ เซ็กส์ในคืนแต่งงานจะเจ็บปวดมาก และเราอยากเห็นเลือดไหลออกมาเป็นเครื่องพิสูจน์ความบริสุทธิ์ (ของผู้หญิง)" แม้ว่า อามีนาจะไม่ต้องแสดงหลักฐานถึงความเป็นสาวพรหมจรรย์ของตัวเอง แต่เธอก็มีความคิดเช่นนั้นฝังหัวเสมอมา "นั่นอาจเป็นหนึ่งในสิ่งที่ทำให้ฉันรู้สึกกลัวเกี่ยวกับเรื่องเซ็กส์มาก ๆ" เธอกล่าว การรักษาภาวะช่องคลอดหดเกร็ง ทำโดยการใช้อุปกรณ์ขยายช่องคลอด และการพูดคุยกับนักจิตวิทยาที่ให้คำปรึกษาทางเพศ "ในคืนแต่งงานของฉัน มันรู้สึกราวกับร่างกายฉันหยุดการทำงาน มันยากที่จะพูดถึงเรื่องนี้เพราะผู้คนไม่เข้าใจ พวกเขาอาจคิดว่าฉันแสดงอาการเกินเหตุ หรือแสร้งทำมัน" ฮันนาห์ ยังจำได้ว่าเคยถูกสอนว่าเซ็กส์ไม่ได้นำความสุขมาให้ผู้หญิง "ฉันไปโรงเรียนของโบสถ์และถูกสั่งสอนว่าเซ็กส์อาจสร้างความเจ็บปวดรุนแรง อาจทำให้ตั้งครรภ์ หรือเป็นกามโรค" ส่วนคนอื่น เช่น ไอส์ลีย์ ลีนน์ ภาวะช่องคลอดหดเกร็งยังส่งผลกระทบใหญ่หลวงต่อความสัมพันธ์ของเธอ "ฉันยังจำได้ว่า ฉันกลัวว่าคนที่ฉันคบหาอยู่จะคิดว่าฉันไม่ได้รักเขา หรือเขาไม่ดึงดูดใจฉันมากพอ" เธอเล่า ความรู้สึกอับอายและการที่ภาวะนี้ไม่ค่อยมีการพูดถึงมากนักมักทำให้ผู้หญิงไม่กล้าไปขอความช่วยเหลือ แม้ว่าในความเป็นจริงภาวะช่องคลอดหดเกร็งจะสามารถรักษาได้ก็ตาม ทั้งฮันนาห์และอามีนาพยายามรักษาภาวะนี้โดยการใช้อุปกรณ์ขยายช่องคลอด ซึ่งมีลักษณะคล้ายผ้าอนามัยแบบสอดที่มีผิวเรียบและจะค่อย ๆ เพิ่มขนาดขึ้นเพื่อช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อ รวมทั้งเข้ารับการบำบัดกับนักจิตวิทยาทางเพศด้วย อามีนา บอกว่า วิธีเหล่านี้ช่วยเธอได้ในระดับหนึ่ง "ฉันแต่งงานมากว่า 5 ปี และฉันคิดว่าฉันเริ่มมีอาการดีขึ้น...แต่ยิ่งอุปกรณ์มีขนาดใหญ่ขึ้น คุณจะรู้สึกได้เลยว่ามันใช้งานได้ไม่ง่ายนัก เพราะมันให้ความรู้สึกไม่สบายตัว" ผู้หญิงบางคนที่มีภาวะช่องคลอดหดเกร็ง บรรยายความรู้สึกเจ็บปวดในการมีเพศสัมพันธ์ว่าเหมือนถูกของมีคมบาด การรักษาภาวะนี้ยังเน้นไปทางด้านจิตใจ นั่นคือความรู้สึกกลัวการถูกล่วงล้ำเข้าไปในอวัยวะเพศ โดยใช้วิธีพูดคุยกับนักจิตวิทยาที่ให้คำปรึกษาทางเพศ "มันคือการบำบัดด้วยการพูดคุยซึ่งช่วยให้คุณเข้าใจและเปลี่ยนความรู้สึกต่อร่างกายของคุณ" ดร.วาเนสซา แมคเคย์ สูตินรีแพทย์ที่โรงพยาบาลควีนเอลิซาเบธในเมืองกลาสโกว์ของสกอตแลนด์ ส่วนฮันนาห์ บอกว่าเธอดีขึ้นมาก แต่การมีเพศสัมพันธ์แบบสอดใส่ยังคงเป็นเรื่องยาก "ฉันอยากมีเพศสัมพันธ์แบบสอดใส่ที่ฉันสามารถมีความสุขได้ ฉันอยากไปไหนมาไหนโดยใส่ผ้าอนามัยแบบสอดในช่วงที่มีประจำเดือนได้" เธอบอก "ฉันตั้งเป้าหมายเล็ก ๆ ไว้ให้ตัวเองสามารถทำได้ในอนาคต"
|
"ร่างกายไม่ยอมให้ฉันมีเซ็กส์ และพอมี มันก็เหมือนมีใครเอามีดมาทิ่มแทงฉัน"
|
international-44292978
|
https://www.bbc.com/thai/international-44292978
|
ผู้ลี้ภัยชาวซีเรียอพยพออกจากยุโรป
|
ในวิดีโอเป็นเหตุการณ์ที่ตำรวจพรมแดนกรีซจับตัวชาวซีเรียหลายสิบคน แต่ผู้ลี้ภัยและผู้อพยพเหล่านี้ไม่ได้ต้องการเข้ายุโรป พวกเขาต้องการออกจากยุโรป บีบีซีได้พูดคุยกับชาวซีเรียที่พยายามออกจากยุโรป กลับไปยังบ้านของพวกเขา ซาการิยา ผู้ลี้ภัยในเยอรมนี เล่าว่า "ผมลักลอบเดินทางกลับไปซีเรียด้วยเส้นทางเดิมที่ผมใช้เดินทางมา" ซาการิยา บอกว่า เขารู้สึกเป็นคนนอกในเยอรมนี และไม่ได้ในสิ่งที่เขาคาดหวัง เขาจึงต้องการกลับไปยังซีเรีย โดยเดินทางผ่านกรีซ สถานีรถโดยสารในเมืองเทสซาโลนีกีของกรีซ เป็นศูนย์กลาง สำหรับชาวซีเรียอย่างซาการิยา ซาการิยา และผู้ลี้ภัยคนอื่น ๆ กำลังลักลอบเดินเท้าข้ามพรมแดนจากกรีซเข้าไปในตุรกี ทางการไม่มีตัวเลขผู้ลี้ภัยที่เดินทางออกจากยุโรป แต่มีคนหลายร้อยคน เดินทางผ่านที่นี่ในแต่ละสัปดาห์ "ผมตื่นเต้น และแทบรอไม่ไหว แม้การเดินทางจะยากลำบาก อากาศจะหนาว หรือ ฝนตก ก็ตาม" เขากล่าว มีชาวซีเรียมากกว่า 50 คน นั่งรถโดยสารคันเดียวกับซาการิยานาน 5 ชั่วโมง ไปยังพรมแดนกรีซ-ตุรกี พวกเขาเตรียมเดินเท้าเข้าตุรกีอย่างผิดกฎหมาย หลายคนเคยถูกจับที่นี่ในอดีต "มันเป็นไปไม่ได้สำหรับผมที่จะกลับไปเยอรมนีหรือประเทศยุโรปอื่น ๆ เราเป็นมุสลิม แต่พวกเขาบอกว่า เราเป็นผู้ก่อการร้าย พวกเขามองและหวาดกลัวเราเหมือนเราเป็นตัวประหลาดไม่ใช่มนุษย์" ซาการิยา เล่า ทุกคนในผู้ลี้ภัยและผู้อพยพกลุ่มนี้ข้ามพรมแดนได้อย่างปลอดภัย ซาการิยายังไปไม่ถึงซีเรีย ตอนนี้เขากำลังทำงานกับน้องชายในตุรกี
|
ผู้ลี้ภัยชาวซีเรียเดินทางออกจากยุโรป เพื่อกลับประเทศ โดยใช้เส้นทางเดิมที่ลักลอบเดินทางเข้ามา
|
international-40290221
|
https://www.bbc.com/thai/international-40290221
|
รู้จักหุ่นยนต์คล้ายมนุษย์รุ่นล่าสุด
|
ดร.เดวิด แฮนสัน ผู้ก่อตั้งบริษัทแฮนสัน โรบอติกส์ ผู้สร้างหุ่นยนต์โซเฟีย และหุ่นยนต์อีกหลายตัวที่มีทั้งลักษณะและอากัปกิริยาคล้ายคลึงกับมนุษย์ หวังว่าสักวันหนึ่งจะสร้างหุ่นยนต์ที่มีความเฉลียวฉลาดเกินคน เข้าอกเข้าใจ และเห็นใจคนอื่นขึ้นมาได้ โดยเชื่อว่าสิ่งนี้จะต้องพัฒนาควบคู่กับการนำปัญญาประดิษฐ์มาใช้เพื่อให้หุ่นยนต์สามารถแก้ปัญหาที่มีความสลับซับซ้อนซึ่งเกินกว่าที่มนุษย์เองจะแก้ได้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่าโซเฟียซึ่งเป็นหุ่นยนต์ที่มีความก้าวหน้ามากที่สุดตัวนี้ กลายเป็นขวัญใจสื่อหลายแขนง วิดีโอบทสัมภาษณ์ของเธอมีผู้เข้าชมและพูดถึงนับล้านคน นอกจากนี้โซเฟียยังเคยร่วมหารือธุรกิจกับนักธุรกิจ นักการธนาคาร เคยปรากฏตัวบนเวทีประชุมสำคัญ ๆ หลายครั้งด้วย
|
บริษัทแฮนสัน โรบอติกส์ ผลิต "โซเฟีย" หุ่นยนต์ที่มีรูปร่างหน้าตาคล้ายมนุษย์รุ่นล่าสุด โดยตั้งใจออกแบบหุ่นยนต์ตัวนี้ให้ละม้ายคล้ายคลึงอดีตดาราฮอลลีวูด ออเดรีย เฮปเบิร์น
|
international-47960621
|
https://www.bbc.com/thai/international-47960621
|
จีนเปิดสนามบินใหม่ในปักกิ่ง รับผู้โดยสาร 100 ล้านคนต่อปี
|
กรุงปักกิ่งของจีน กำลังจะเปิดใช้สนามบินขนาดมหึมาอีกแห่งหนึ่ง สนามบินแห่งนี้มี "อาคารผู้โดยสารแบบอาคารหลังเดียว ที่ใหญ่ที่สุดในโลก" สนามบินต้าซิงจะรองรับผู้โดยสารกว่า 100 ล้านคนต่อปี มี 2 ชั้น แต่ละชั้นสำหรับการเดินทางขาเข้าและขาออก มีรายงานว่า อาคารนี้มีพื้นที่ 1 ล้านตารางเมตร เมืองหลวงของจีนจำเป็นต้องมีสนามบินอีกแห่งหนึ่งที่ใหญ่ขนาดนี้เลยหรือ? อี้ เหว่ย กรมก่อสร้างสนามบินตอบคำถามนี้ว่า "เราได้ทำการศึกษารอบคอบแล้ว จากการประเมินขั้นต่ำ ภายในปี 2025 จำนวนผู้โดยสารรวมในกรุงปักกิ่งจะเพิ่มเป็น 170 ล้านคน จะมีรถไฟความเร็วสูงสำหรับการเดินทางระหว่างเมืองและรถไฟใต้ดิน ในการเดินทางเข้าปักกิ่ง" การก่อสร้างเพิ่งเริ่มในปี 2016 สนามบินแห่งนี้มีจุดเด่นด้านประหยัดพลังงานหลายเรื่อง เช่น มีการกักเก็บน้ำฝนได้ 100% พื้นที่ผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์และยานพาหนะที่ใช้พลังงานสะอาดโดยจะเปิดใช้งานในเดือน ก.ย. นี้ บรรยากาศภายในสนามบินต้าซิงระหว่างการทดลองให้บริการจริงเมื่อวันที่ 30 ส.ค. 2562 . . . . .
|
รัฐบาลจีนสร้างสนามบินแห่งใหม่ที่มีอาคารผู้โดยสารที่ใหญ่ที่สุดในโลกภายในตัวอาคารเดียว ซึ่งจะทำให้ความสามารถในการรองรับผู้โดยสารของกรุงปักกิ่ง แซงหน้า 6 สนามบินในกรุงลอนดอน นี่คือหน้าตามของ ต้าซิง สนามบินแห่งใหม่ของเมืองหลวงจีน
|
thailand-54767098
|
https://www.bbc.com/thai/thailand-54767098
|
ชุมนุม กลุ่มราษฎร : ภารกิจคนตัวเล็ก ๆ ในขบวนเคลื่อนไหวกลุ่ม "ราษฎร"
|
อาสาผู้ร่วมขบวนเป็นกำลังในการจัดการชุมนุมและเดินขบวนของกลุ่ม "ราษฎร" มีทั้งนักศึกษามหาวิทยาลัย นักเรียนอาชีวะ และประชาชน รวมตัวที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย...เคลื่อนออกจากธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ไปสนามหลวง...เดินขบวนจากอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยไปทำเนียบรัฐบาล และจากอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิไปทำเนียบรัฐบาล จนถึงการเคลื่อนขบวนครั้งล่าสุดจากแยกสามย่านไปสถานทูตเยอรมนี ภารกิจตรงหน้าของ "มดงาน" ผู้ขับเคลื่อนการชุมนุมไม่เอื้อให้เราได้พูดคุยเพื่อรับรู้เรื่องราวของคนตัวเล็ก ๆ ที่ทำภารกิจในม็อบแต่ละครั้งมากนัก แต่นับเป็นความน่าสนใจเมื่อพวกเขาล้วนเป็น "ทีมงานอาสา" ที่ลงแรงกายและใจ ในฐานะส่วนหนึ่งของขบวนการคนรุ่นใหม่ ที่หน้าสถานทูตเยอรมนีคืนนั้น เราแจ้งจุดประสงค์กับทีมการ์ดแนวหน้า เพื่อทำความรู้จักกับบางชีวิตที่เดินคล้องแขนนำหน้าผู้ชุมนุม หนึ่งในนั้นตอบรับและขอให้เราบันทึกเบอร์โทรศัพท์ของเธอในชื่อว่า "การ์ด" ปกปิดตัวตนเพื่อความปลอดภัย เพราะไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่พวกเขาและเธออาจถูกดำเนินคดีหรือกระทั่งถูกจับกุม ต่อไปนี้คือเรื่องราวของคนเล็กคนน้อยบางชีวิตในการชุมนุมของกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า "ราษฎร" "ตอนที่ตำรวจนับถอยหลัง หนูกลับรู้สึกไม่กลัว" สองวันถัดมา นักศึกษาหญิงผู้เป็นการ์ดอาสาในนามกลุ่ม "วี โวลันเทียร์" ขอให้เราเรียกเธอด้วยนามสมมติว่า "เอ" ทำไมถึงมาเป็นการ์ด เราถามไปยังปลายสายโทรศัพท์ "ตอนแรกเลยหนูก็เป็นผู้ชุมนุมธรรมดา" นักศึกษาหญิงวัย 20 ปี ซึ่งกำลังเรียนในคณะนิเทศศาสตร์ ปี 3 มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เริ่มต้นเล่าเรื่องราวของเธอ "หนูรู้สึกแค่ว่า... ยังอินกับความเป็นการเมืองได้ไม่มากเท่าไหร่ ในฐานะที่เป็นผู้ชุมนุม ก็เลยอยากมาทำอะไรสักอย่าง ความรู้เรื่องกฎหมาย การเมือง หนูก็น้อยด้วย พอดีเห็นเขาเปิดรับสมัคร เราคิดว่าเราเหมาะสมกับงานตรงนี้นะ เลยมาช่วยทำ" เธอบอกต่อไปว่า การเป็นการ์ดคอยปกป้องผู้ชุมนุมเป็นสิ่งเดียวที่เธอนึกออกว่าน่าจะทำได้เพื่อช่วยขบวนการกลุ่มคนรุ่นใหม่ การ์ดอาสาในนามกลุ่มที่ใช้ชื่อว่า วี โวลันเทียร์ เป็นการรวมตัวของอาสานักศึกษาชายหญิงหลายมหาวิทยาลัย ไม่เพียงการชุมนุมในกรุงเทพฯ ที่พวกเขาทำหน้าที่ดูแลมวลชน แต่รวมถึงการชุมนุมครั้งใหญ่ ๆ ในต่างจังหวัด "เอ" บอกว่าเธอสนใจการเมือง เพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับคนทุกคน สำหรับเอแล้ว มันเริ่มจากเรื่องเล็ก ๆ ในบ้านเกิดที่ จ.สระแก้ว ที่ทำให้เธอตั้งคำถามถึงการมี "การเมืองและรัฐที่ดี" และความเหลื่อมล้ำระหว่างชาวบ้านและนายทุน ผันตัวจากการเป็นผู้ร่วมชุมนุมมาเป็นอาสาสมัครรักษาความปลอดภัยมวลชนและแกนนำ เธอทำหน้าที่ครั้งแรกในการชุมนุมที่สนามหลวงของแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม เมื่อวันที่ 19-20 ก.ย. วันเคลื่อนขบวนจาก "สนามราษฎร" ซึ่งเป็นชื่อที่แกนนำแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุมใช้เรียก "สนามหลวง" ผู้ชุมนุมมีแผนที่จะมุ่งหน้าไปยังทำเนียบองคมนตรีเพื่อยื่นจดหมายข้อเสนอปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ 10 ข้อ นับเป็นการเคลื่อนขบวนออกจากที่ตั้งครั้งแรกของการชุมนุมนักศึกษา นักเรียน และประชาชน นับตั้งแต่มีการชุมนุมในเดือน ก.ค. "เรื่องเดินขบวน เอาจริง ๆ แกนนำเก็บเป็นความลับมาก จนการ์ดก็เพิ่งรู้พร้อม ๆ กับมวลชนและพี่นักข่าว อาจรู้ก่อนแค่แป๊บเดียว ก็ต้องรีบปรับหน้างาน" เอ ซึ่งประจำจุดอารักขาขบวนรถปราศรัยของแกนนำ เล่า เธอยอมรับว่าตอนนั้น "ใจหนึ่งมันก็ตื่นเต้นและกลัวด้วย กลัวว่าจะมีการสลาย (การชุมนุม)" ทว่าเธอก็พยายามควบคุมสติให้ภารกิจตรงหน้าเดินต่อ และช่วยเพื่อนทีมการ์ดด้วยกัน การชุมนุมที่ใช้ชื่อว่า "ทวงอำนาจคืนราษฎร" ของ "แนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม" ที่มีการเคลื่อนขบวนมวลชนจากสนามหลวงไปยังทำเนียบองคมนตรี เมื่อวันที่ 20 ก.ย. จบลงภายหลัง "รุุ้ง ปนัสยา" แกนนำ ยื่นหนังสือ 10 ข้อเรียกร้องในการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ ผ่านผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ที่บริเวณจุดสกัดบน ถ.ราชดำเนินใน หน้าศาลฎีกา จากก่อนหน้าที่ไม่เคยรู้ว่าการเป็นการ์ดต้องมีความชำนาญและทักษะอะไรบ้าง หลังจากนั้นไม่ว่าจะเป็นการชุมนุมใหญ่ หรือแบบดาวกระจาย ในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด เธอไปในฐานะการ์ดมาแล้วนับสิบ ๆ ครั้ง "ห้ามอย่างเดียว ห้ามไม่ให้ปะทะ" "เป็นความลับสูงมาก" คือ หลักการทำหน้าที่ที่เหล่าการ์ดถูกฝึกมา 16 ต.ค. ที่สี่แยกปทุมวัน เอทำหน้าที่การ์ดเช่นเดียวกับการชุมนุมครั้งก่อน ๆ กระจายกำลังคนร่วมกับเพื่อนการ์ดแฝงตามจุดต่าง ๆ ก่อนมีการสลายการชุมนุมช่วงหลัง 6 โมงเย็น "น้องแนวร่วมที่ไม่ได้เป็นการ์ด โทรบอกว่า พี่...ช่วยวิ่งไปดูทางด้านฝั่งสยามเซ็นเตอร์ให้หน่อย มีคนบอกว่าเขา (ตำรวจ) เอารถน้ำมาเลย ตรงนั้นไม่มีการ์ดเลย ติดต่อการ์ดคนไหนไม่ได้เลย" เธอเล่าถึงขณะที่เริ่มชุลมุน ที่หน้าเวทีปราศรัยสี่แยกปทุมวันเวลานั้น เหตุการณ์เริ่มสับสน ยังมีการปราศรัยไปเรื่อย ๆ แนวตำรวจควบคุมฝูงชนเริ่มรุกคืบมาจากแยกเฉลิมเผ่า ทางถนนพระราม 1 ระยะห่างจากเวทีกลางและแนวหน้าทำให้ไม่อาจรู้ได้ว่า ตำรวจจะเริ่มปฏิบัติการในนาทีไหน มีความวุ่นวายเป็นระยะในหมู่มวลชนซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักเรียนมัธยม ด้วยไม่รู้ว่าพวกเขากำลังจะเจอกับอะไร "เราพยายามติดต่อเพื่อนคนอื่น ๆ ที่อยู่ฝั่งสยามเซ็นเตอร์ แต่เหมือนเน็ตช้า โทรไม่รับ เลยตัดสินใจวิ่งกับเพื่อน 4 คนไปดู ภาพที่เห็นคือ ตำรวจถือโล่ตั้งแล้ว มีแค่น้องนักเรียน นักศึกษา คล้องแขนนั่งหันหลัง ประมาณ 4-5 แถว ด้านหน้าของแนวรั้วเหล็กเป็นร่ม วิ่งไปถึงสักพักนึงตำรวจก็พูดบนรถ จะนับถอยหลังแล้ว จำเป็นต้องทำ เลยรีบประสานให้เพื่อน และประสานเวทีว่าจุดนี้กำลังเริ่มสลายชุมนุมแล้ว เพื่อให้ตรงนั้นควบคุมมวลชน" เอเล่านาทีระทึก "พอเห็นตรงนั้นแล้ว ตอนที่ตำรวจนับถอยหลัง หนูกลับรู้สึกไม่กลัว... ตอนนั้นก็คิดแค่ว่าอยากจะช่วย อยากจะช่วยพวกเราด้วยกันเอง" เหตุการณ์คืนนั้น เอทั้งโดนน้ำแรงดันสูงฉีดอัดเข้าที่แผ่นหลัง บางจังหวะล้มลงไปกับพื้นถนน แสบตา แสบผิว และอาเจียนไปหลายรอบจากน้ำผสมสารเคมีที่เจ้าหน้าที่ใช้ฉีดสลายผู้ชมนุม เธอวิ่งเข้าวิ่งออกระหว่างแนวหน้าสลับกับการเปิดน้ำก๊อกล้างตา ล้างตัว เพื่อจัดแจงมวลชนและนักข่าวที่ยังไม่ล่าถอยให้หลบพ้นออกจากแนวที่ตำรวจฉีดน้ำผสมสารเคมีบริเวณหน้าโรงหนังลิโด้ เนื้อตัวเปรอะไปด้วยสีน้ำเงิน และโดนรั้วเหล็กกระแทกตอนเข้าไปห้ามปรามมวลชนที่เผชิญหน้ากับเจ้าหน้าที่ "เดินไปเจอใครก็ห้าม มีลุงคนหนึ่งแบกแผงเหล็กตำรวจมาคนเดียว จะไปทุ่มใส่ฝั่งแนวโล่ แต่หนูออกไปกระโดดยื้อรั้วเขาได้ทัน ด้วยความที่เฮดการ์ด (หัวหน้าฝ่ายรักษาความปลอดภัย) สอนมา ถ้าเราไปโยนรั้วใส่เจ้าหน้าที่ เราจะเสียเปรียบ เขาจะทำเราแรงขึ้น และเราจะไม่มีอุปกรณ์ไว้กั้นเขา" เธอเล่าเหตุการณ์บริเวณสยามสแควร์ ในฐานะการ์ดของผู้ชุมนุม แม้จะรู้และเตรียมตัวมาอย่างดีว่าเจ้าหน้าที่มีระดับการปฏิบัติการตั้งแต่เบาไปหาหนักอย่างไร และถึงจะ "คิดไว้อยู่แล้วว่าอาจจะถึงขั้นเจอน้ำผสมสารพิษหรือแก๊สน้ำตา" ทว่าเมื่อเจอเหตุการณ์จริง นักศึกษาสาวรายนี้บอกว่ายิ่งรู้สึกโกรธกว่าเดิม และยิ่งรู้สึกว่าฝ่ายนักศึกษาประชาชนต้องชนะให้ได้ "มันยิ่งจุดไฟให้เราว่าเราต้องเดินต่อ ต้องทำต่อ ให้มันชนะ ให้รัฐบาลออก ให้มันเปลี่ยนแปลงให้ได้" เธอกล่าว เธอทิ้งท้ายว่า "วันหนึ่งถ้าเกิดว่าเราทำสำเร็จขึ้นมา เราจะไม่เสียดายเลยที่เราออกมาทำตรงนี้" ก่อนตอบข้อสงสัยที่เราสังเกตถึงรองเท้าที่ใส่ไปในการเดินขบวนวันนั้น "คู่ที่ออกงานก็เป็นคู่นี้ เหมือนเข้ากับเท้าเราได้ดีที่สุด" เอกล่าวถึงรองเท้าผ้าใบสีดำที่เธอสวมใส่ทำภารกิจการ์ดรักษาความปลอดภัยกับเธอในการชุมนุมทุกครั้ง เหตุสลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 16 ต.ค. กองอำนวยการร่วมแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง (กอร.ฉ.) โต้แย้งการปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมฝูงชนว่าเป็นการ "ปฏิบัติตามขั้นตอนสากล" มีการประกาศแจ้งเตือนก่อนหน้า แต่เมื่อไม่ปฏิบัติตามจึงมีความจำเป็นในการบังคับใช้กฎหมายจากเบาไปหนัก เนื่องจากเป็นการชุมนุมที่มิชอบ สำหรับประเด็นการใช้อุปกรณ์ตามหลักสากลในการเข้าปฏิบัติการนั้น โฆษกตร. กล่าวว่า เป็นการใช้น้ำ และ "น้ำที่ผสมสารเคมีประเภทสี" เพื่อแยกกลุ่มผู้ชุมนุมออกจากประชาชนทั่วไป เพื่อการดำเนินคดีในอนาคต ซึ่งไม่เป็นอันตรายแต่อย่างใด และเป็นเพียงการใช้สารเคมีที่ใช้ตามหลักสากลเท่านั้น "เป้าหมายระยะสั้นคือการดูแลทุกคนที่มาที่นี่ให้ปลอดภัย" หลังแกนนำประกาศยุติการชุมนุมหน้าสถานทูตเยอรมนีราวสามทุ่ม เมื่อคืนวันที่ 26 ต.ค. "เอก" หนุ่มนักศึกษาวิศวะและอดีตนักเรียนแพทย์วัย 28 ปี เดินปะปนไปกับมวลชนบนถนนสาทร มือสองข้างอุ้มน้ำดื่มหนึ่งแพ็ค ที่หลังสะพายเป้บรรจุชุดปฐมพยาบาลเบื้องต้น ทั้งชุดอุปกรณ์ห้ามเลือด แอมโมเนีย น้ำเกลือสองลิตรสำหรับล้างตาโดยเฉพาะยามเมื่อถูกแก๊สน้ำตา หมวกนิรภัยสีขาวที่มีสัญลักษณ์กากบาทสีแดง พร้อมธงสีขาวที่เหน็บไว้ที่หลังบ่งบอกว่านี้คือ "ER" หรือหน่วยปฐมพยาบาลอาสาเพื่อประชาชน "ตอนแรกมาแบบไม่รู้จักใคร มาเจอคนที่เข้ามาเป็นพยาบาลอาสาเหมือนกัน เลยเข้ามาร่วมกลุ่มกันและแบ่งงาน พวกเรามาเจอกันที่นี่ ไม่รู้จักกันมาก่อน" เอกเล่าถึงจุดเริ่มต้น "ระยะยาวเราอยากเห็นการปฏิรูปประเทศในหลายมิติตามที่ผู้ชุมนุมได้กล่าวมา แต่เป้าหมายระยะสั้นวันต่อวัน คือการดูแลทุกคนที่มาที่นี่ให้ปลอดภัยกันทุกคน..." ER หน่วยอาสาเพื่อประชาชน บอกกับบีบีซีไทย เขาบอกว่า แม้ส่วนตัวจะไม่เห็นด้วยกับแนวทางของแกนนำแบบเต็มร้อย แต่เป้าหมายของเขาและการชุมนุมครั้งนี้ไปด้วยกันได้ จึงอยากสนับสนุนในส่วนที่ตัวเองทำได้คือการเป็นหน่วยปฐมพยาบาล โดยใช้ความรู้ที่ได้จากการเป็นนักศึกษาแพทย์มาสองปี ก่อนจะเปลี่ยนมาเรียนด้านวิศวะ ในช่วงที่รัฐบาลประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรงในท้องที่กรุงเทพฯ และมีการสลายการชุมนุมที่แยกปทุมวัน เขากังวลว่าอาจจะเกิดความรุนแรงเหมือนเช่นการประท้วงในฮ่องกง พลันวิตกนึกไปถึงการใช้แก๊สน้ำตาของเจ้าหน้าที่ "วันที่เดินจากอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยไปทำเนียบ ผมว่าน่ากลัวนิดหน่อย เตรียมหน้ากาก เตรียมอะไรพร้อม ผมกลัว ๆ อยู่ว่าจะเป็นแบบฮ่องกงโมเดล" เหตุการณ์ที่แยกปทุมวันเมื่อ 16 ต.ค. ทำให้เอกพบว่าปัญหาหลักคือผู้ชุมนุมมีจำนวนมาก ทำให้ไม่สามารถปฐมพยาบาลผู้ป่วยในจุดที่เกิดเหตุได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผู้ชุมนุมกลุ่ม "ราษฎร" ยกระดับการเคลื่อนไหวย้ำข้อเรียกร้องเรื่องการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วยการเดินขบวนไปสถานทูตเยอรมนี เมื่อวันที่ 26 ต.ค. "เวลาใครเป็นลม มันขอพื้นที่ยาก" เขาเล่าประสบการณ์การเป็นอาสาในการชุมนุมครั้งใหญ่ ๆ อย่างน้อยสามครั้ง นักศึกษาวิศวะผู้รับหน้าที่พยาบาลอาสาบอกว่า กรณีที่ร้ายแรงที่สุดที่เจอ คือ ผู้ชุมนุมนิ้วฉีกจนต้องส่งไปเย็บแผลที่โรงพยาบาล และการบาดเจ็บที่ศีรษะแต่ไม่ถึงขั้นสลบ เขาหวังว่าหลังจากนี้จะไม่เกิดสถานการณ์รุนแรงใด ๆ อีก เอกมองว่าพยาบาลอาสาอย่างเขาเป็นฟันเฟืองเล็ก ๆ ในหมู่มวลชนที่ออกมาเรียกร้องเพื่อความเท่าเทียมและเพื่อประชาธิปไตย แต่ในฐานะผู้เห็นด้วยกับเป้าหมายการเคลื่อนไหวของกลุ่ม "ราษฎร" เขาอยากเห็นจุดมุ่งหมายการชุมนุมไปถึงจุดความสำเร็จบรรลุตามข้อเรียกร้อง "ระยะยาวเราอยากเห็นการปฏิรูปประเทศในหลายมิติตามที่ผู้ชุมนุมได้กล่าวมา แต่เป้าหมายระยะสั้นวันต่อวัน คือการดูแลทุกคนที่มาที่นี่ให้ปลอดภัยกันทุกคน เราไม่ได้หวังสูงอะไรมาก แต่หวังว่าจะเกิดประโยชน์ต่อคนที่มาด้วยกัน คนรอบข้าง ๆ ที่เราได้ช่วยดูแลกัน" เขากล่าว รามคำแหงเพื่อประชาธิปไตย ท้องฟ้ามืดลงแล้ว ขณะขบวนผู้ชุมนุมกลุ่มที่ใช้ชื่อว่า "ราษฎร" กำลังผ่านแยกศาลาแดง ไม่กี่ร้อยเมตรบนถนนพระราม 4 ก่อนถึงแยกวิทยุ รถกระบะ 2 คัน บรรทุกหมวกนิรภัย อุปกรณ์ป้องกันตัว เสื้อกันฝนและน้ำดื่มมาเต็มรถ อาสาสมัครบนหลังรถกระบะบอกบีบีซีไทยว่าเขามาจาก "เครือข่ายรามคำแหงเพื่อประชาธิปไตย" พวกเขาเตรียมตัวกันตั้งแต่ก่อน 4 โมงเย็น เพื่อขนสิ่งของที่มีผู้สนุบสนุนบริจาคไว้ให้สำหรับการชุมนุมเคลื่อนไปยังสถานทูตเยอรมนี "เรากลัวว่าอาจจะถูกขว้างปาสิ่งของใส่ได้ ต้องพยายามแจกหมวก ให้ทีมการ์ดและผู้ชุมนุม แล้วก็รอส่งผู้ชุมนุมกลับบ้าน" อานนท์ แม้นเพชร นักศึกษาคณะรัฐศาสตร์ สาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ชั้นปีที่ 3 ม.รามคำแหง บอกถึงภารกิจของพวกเขาในวันนั้น ขณะรถค่อย ๆ ขยับเคลื่อนอย่างช้า ๆ เพื่อรอขบวนมวลชนที่เดินอยู่เบื้องหลัง ในการชุมนุมแต่ละครั้ง กลุ่มนักศึกษาที่เรียกตัวเองว่า "เครือข่ายรามคำแหงเพื่อประชาธิปไตย" มักจะทำหน้าที่ลงแรงในส่วนงานเตรียมสถานที่ หรืองานอื่นแล้วแต่ว่าในหมู่นักศึกษาจากแต่ละกลุ่ม แต่ละมหาวิทยาลัยจะตกลงกันหน้างาน "คนที่มาไม่ว่าจะเป็นคนตัวเล็กตัวน้อย ณ ตอนนี้ ทุกคนออกมาก็คือส่วนหนึ่งของขบวนแล้ว มันไม่จำเป็นว่าทุกคนต้องเป็นแกนนำ เราอาจจะไม่ได้นำ แต่เรามีหน้าที่ในฐานะของคนตัวเล็กตัวน้อยที่เข้าร่วมเป็นแรงงานของขบวน" กฤษณะ ไก่แก้ว นักศึกษารัฐศาสตร์ ม.รามคำแหง วัย 28 ปี เล่า "อาจจะไม่ได้ออกหน้าออกตา แต่ไม่เป็นไรครับ นั่นไม่ใช่จุดใหญ่" เขาพูดด้วยสีหน้าจริงจัง เมื่อถามว่าเขาคิดอย่างไรกับเหตุการณ์เมื่อวันที่ 21 ต.ค. ที่มีกลุ่มคนที่ไม่พอใจการเคลื่อนไหวของนักศึกษาทำร้ายผู้ชุมนุมภายใน ม.รามคำแหง จนมีผู้ได้รับบาดเจ็บ มีการแจ้งความผู้ที่ก่อเหตุทำร้ายร่างกายนึกศึกษา และมีการเรียกร้องให้อธิการบดีดำเนินการทางกฎหมายกับบุคคลที่ทำร้ายนักศึกษา "เสียใจ" คือคำตอบของกฤษณะ เขามองว่าคนเห็นต่างทางการเมืองไม่จำเป็นต้องทำร้ายร่างกายกัน และมหาวิทยาลัยก็ควรเป็นพื้นที่ปลอดภัยเพราะเป็นสถานที่สำหรับศึกษาเล่าเรียน อีกทั้งควรเป็นพื้นที่พูดคุยและแลกเปลี่ยนที่ปลอดจากการใช้ความรุนแรง เขามีความหวังในการเคลื่อนไหวมากน้อยแค่ไหน นักศึกษารามฯ ผู้กำลังเรียนปริญญาตรีใบที่สอง บอกว่า "เปอร์เซ็นต์คงพูดไม่ได้ว่ามันจะชนะ แต่อย่างน้อย ๆ คนออกมามากขึ้น นั่นเป็นชัยชนะก้าวแรกแล้ว" "มันอาจจะไม่ใช่เปลี่ยนวันนี้พรุ่งนี้ แต่ผมว่าการที่คนส่วนมากเห็นเหมือนกัน นี่คือการแสวงหาฉันทามติใหม่ของสังคมแล้ว" เขาทิ้งท้าย "อาชีวะไม่ได้แย่ทุกอย่าง" ความรู้สึกของเด็กอาชีวะในแนวหน้า เด็กหนุ่มวัย 20 ในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาว ปฏิเสธที่จะบอกว่าเขาเรียนที่สถาบันไหน เขาและเพื่อนอีก 4-5 คน ยังรวมกลุ่มดูเหตุการณ์บริเวณสะพานชมัยมรุเชฐ หน้าทำเนียบรัฐบาล ในค่ำคืนของวันที่ 21 ต.ค. แม้แกนนำประกาศยุติการชุมนุมไปแล้ว หลังจากยื่นเส้นตายและใบลาออกผ่านตัวแทนรัฐบาลไปยัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี การเคลื่อนขบวนของผู้ชุมนุมกลุ่ม "ราษฎร" จากอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ไปยังทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 21 ต.ค. เป็นอีกครั้งที่มีการปรากฏตัวของกลุ่มเด็กอาชีวะ หรือ "เด็กช่าง" พวกเขาไม่ได้รวมตัวอย่างเป็นทางการแบบทีมการ์ดรักษาความปลอดภัย แต่มาเจอกันเองในที่ชุมนุม "พี่ก็เห็นว่าตำรวจเป็นยังไง ดูเอา ไม่ต้องพูดหรอก เด็กอ่ะ อนาคตนะพี่ อนาคตของชาติ เด็กยังออกมา เด็กอายุเท่าไหร่ ส่วนใหญ่ ม. 4 ม.5 ม.ต้น ก็มี" เด็กหนุ่มพูดถึงเหตุการณ์สลายการชุมนุมของตำรวจควบคุมฝูงชนและรถฉีดน้ำแรงดันสูงที่สี่แยกปทุมวัน หน้าพาณิชยการพระนคร อีกราว 100 เมตรก่อนประชิดทำเนียบรัฐบาล ชายที่ดูเหมือนเป็นหัวหน้าทีม ตะโกนซ้ำ ๆ ผ่านโทรโข่ง "แนวหน้ามาตรงนี้ แนวหน้ามาตรงนี้" ขณะที่ขบวนผู้ชุมนุมหลัก ยังอยู่แนวหลังห่างไปหลายร้อยเมตรที่หน้าโรงพยาบาลมิชชั่น พวกเขานับสิบชีวิตในชุดเสื้อช็อป เชิ้ตสีขาว ส่วนใหญ่ไม่ได้ใส่อุปกรณ์ป้องกัน ไม่มีหมวกนิรภัยหรือ หน้ากากป้องกันแก๊สน้ำตาใด ๆ ป้ายผ้าสีขาวขนาดกว่า 1 เมตร ถูกชูขึ้นในแนวหน้า มีข้อความเขียนว่า "สู้ ๆ นะน้อง เดี๋ยวพี่ ๆ อาชีวะปกป้องเอง" "วันนี้วันแรกที่รวมครบเลย 20 โรงเรียนได้มั้ง ปกติโดนแต่เขาด่า รอบนี้โดนเขาชม" เด็กหนุ่มคนเดิมพูดติดตลก อาจเพราะรู้ว่าที่ผ่านมาภาพลักษณ์ของพวกเขาถูกมองแบบไหน เมื่อถามว่าเขาคิดอย่างไรก็ข้อเรียกร้องของกลุ่ม "ราษฎร" เขาตอบสั้น ๆ ว่า "อยู่มากี่ปีแล้ว 5-6 ปี ไม่มีอะไรดี" ส่วนข้อเรียกร้องปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ เด็กหนุ่มผู้นี้ขอสงวนความเห็น คิดอย่างไรกับกระแสสังคมที่พูดถึงการที่อาชีวะฯ ออกมาร่วมเคลื่อนไหวในครั้งนี้ "อาชีวะไม่ได้แย่ทุกอย่าง...ผมพูดเลย"
|
เกือบสี่ทุ่มของคืนวันจันทร์ที่ 26 ตุลา หน้าสถานทูตเยอรมนี ผู้ชุมนุมทยอยกลับไปทางแยกถนนวิทยุจนเกือบหมดแล้ว กลุ่มหนุ่มสาวจำนวนหนึ่งที่เป็นแกนนำและการ์ดแนวหน้า ยังสอดส่องดูความเรียบร้อยเพื่อส่งมวลชนกลับบ้าน ภายหลังพวกเขายื่นจดหมายเปิดผนึกต่อสถานทูตเรียกร้องให้ตรวจสอบเกี่ยวกับประมุขของประเทศ
|
thailand-49252041
|
https://www.bbc.com/thai/thailand-49252041
|
ชายแดนใต้ : นายกฯ พบประชาชนที่ยะลา กับ 4 เหตุการณ์สำคัญ
|
ยะลาถูกเลือกให้เป็น "พื้นที่แรก" ที่ พล.อ. ประยุทธ์ จะขนรัฐมนตรีบางส่วนไปตรวจราชการ หลังได้รับการ "ขยายอำนาจ" ออกไปในฐานะผู้นำคนที่ 29 สมัยที่ 2 นอกจากนี้ยังเปิดให้กองทัพสื่อมวลชนที่ร่วมโครงการ "โฆษกสัญจร" ตามไปดู-ไปเห็นสถานการณ์ในพื้นที่จริงด้วย ซึ่งไม่บ่อยครั้งนักที่เกิดกับพื้นที่อ่อนไหว ครั้งนี้ พล.อ. ประยุทธ์ มีกำหนดพบกับผู้คนหลากกลุ่มพร้อมหลายกิจกรรม ดังนี้ ที่มา : บีบีซีไทยสรุปจากคำแถลงของ ศ. นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เมื่อ 6 ส.ค. 2562 นายกรัฐมนตรีตรวจเยี่ยมโครงการทุเรียนคุณภาพและการบริหารจัดการทุเรียนคุณภาพของเกษตรกรและกลุ่มเกษตรกร ที่ ตลาดกลางยางพารา จ. ยะลา พล.อ. ประยุทธ์ เริ่มต้นกล่าวทักทายประชาชนด้วยภาษายาวี "อัสลามูอาลัยกุม" (แปลว่าสวัสดี) ในระหว่างเปิดอาคารศูนย์ราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ เขาระบุตอนหนึ่งว่า นายกรัฐมนตรีห่วงใยทุกคน ทุกเชื้อชาติ ศาสนา แม้ที่นี้ชาวมุสลิมจะมากกว่าชาวพุทธ แต่ทุกอย่างอยู่ที่สันติสุข ซึ่งอยู่กันมาอดีตกาล สงบเรียบร้อยปลอดภัย อาจจะมีอะไรบ้างในช่วงที่ผ่านมา อยู่ที่ว่าพวกเราจะแก้ไขกันอย่างไร "ทุกศาสนาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นองค์อุปถัมภก ทุกศาสนาเราคนไทยด้วยกัน จะแปลกแยกไม่ได้ แม้ว่าจะแต่งตัวต่างกัน แต่คนไทยด้วยกัน" พล.อ. ประยุทธ์ ย้ำด้วยว่า ความมั่นคงความปลอดภัยจะเป็นพื้นฐานในการพัฒนา และความร่วมมือของประชาชนทุกภาคส่วน ทุกศาสนาที่อยู่ในพื้นแผ่นดินไทยมาตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตาย นี่คือแผ่นดินของเราจะแบ่งแยกไม่ได้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรก็ตาม เราคือคนไทย ต้องช่วยกันบำรุงรักษาชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ดำรงไว้ ก่อนลาเวที พล.อ. ประยุทธ์ ไม่ลืมลงท้ายคำอำลาประชาชนว่า "กินข้าวด้วยกันนะ บาแกนาซิ" (แปลว่ากินข้าว) การเดินทางลงพื้นที่ของนายกฯ มี พล.ท. พรศักดิ์ พูลสวัสดิ์ แม่ทัพภาคที่ 4 มารอต้อนรับที่ท่าอากาศยานปัตตานี ก่อนเดินไปปฏิบัติภารกิจที่ จ. ยะลา ย้อนอดีตผู้นำ "เหยียบชายแดนใต้" ปรากฏการณ์ "นายกฯ เหยียบชายแดนใต้" ที่อยู่ในความทรงจำของสังคม น่าจะเกิดขึ้นกับนายกฯ 2 คน ในต่างกรรมต่างวาระ คนหนึ่งคือ ทักษิณ ชินวัตร นายกฯ คนที่ 23 เจ้าของวาทะ "โจรกระจอก" ที่พาสื่อมวลชนไปเหยียบ "พื้นที่สีแดง" เมื่อปี 2548 ตะลุยไปทั้งบ้านพักและโรงเรียนของผู้ต้องหาคดีที่ถูกทางการไทยตั้ง "ค่าหัว" เป็นตัวเลข 7-8 หลัก อีกคนคือ พล.อ. สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกฯ คนที่ 24 เจ้าของวาทะ "ยินดีกราบเท้า" ผู้ก่อความไม่สงบหากหยุดความรุนแรงในพื้นที่ได้ "ผมขอโทษแทนรัฐบาลชุดที่แล้ว (รัฐบาลทักษิณ) และขอโทษแทนรัฐบาลนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นเพราะรัฐบาลชุดที่แล้ว ผมมาขอโทษแทน ผมอยากยื่นมือออกไปแล้วบอกว่าผมเป็นคนผิด ผมขอกล่าวคำขอโทษด้วยด้วยใจจริง" พล.อ. สุรยุทธ์ กล่าวต่อหน้าประชาชนผู้สูญเสียและผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์สลายการชุมนุมหน้า สภ.อ. ตากใบ จ. นราธิวาส เมื่อปี 2547 ในระหว่างนำคณะลงพื้นที่ จ. ปัตตานี เมื่อ 2 พ.ย. 2549 โดยมีผู้นำศาสนา, ข้าราชการ, ผู้นำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคเอกชน ร่วมเป็นสักขีพยาน ท่ามกลางเสียงปรบมือกึกก้อง พล.อ. สุรยุทธ์ จุลานนท์ ร่วมพิธีเปิดสะพานข้ามแม่น้ำโก-ลกแห่งที่ 2 โดยเชื่อมระหว่างบ้านบูเก๊ะตา อ. แว้ง จ. นราธิวาส กับ บ้านบูกิตบุหงา รัฐกลันตัน มาเลเซีย เมื่อ ธ.ค. 2550 รุ่งรวี เฉลิมศรีภิญโญรัช นักวิจัยอิสระด้านการจัดการความขัดแย้ง ซึ่งร่วมอยู่ในเหตุการณ์ครั้งนั้นขณะนั้นเป็นผู้สื่อข่าวสำนักข่าวเอพี เห็นว่า ท่าทีของ พล.อ. สุรยุทธ์ เป็นการส่งสัญญาณทางการเมืองที่ดี ยอมรับกับการกระทำผิดในอดีต แต่คงจะไม่เกิดในการเยือนของ พล.อ. ประยุทธ์ เพราะมีเงื่อนไขต่างกัน "ตอนนั้นเพิ่งเปลี่ยนนายกฯ พล.อ. สุรยุทธ์ ได้ขอโทษแทนสิ่งที่ทักษิณทำ โดยที่เขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความรุนแรง ทั้งในเหตุการณ์ตากใบ และเหตุการณ์กรือเซะ (กราดยิงในมัสยิดกรือเซะ จ. ปัตตานี เมื่อปี 2547) การที่รัฐบาลเอ่ยคำขอโทษมันก็ง่ายกว่า ขณะเดียวกันยังเป็นการแสดงท่าทีที่ดี แสดงให้เห็นถึงการให้ความเคารพคนในพื้นที่" รุ่งรวี กล่าวกับบีบีซีไทย หลังการเอ่ยคำขอโทษโดยผู้นำสูงสุดของฝ่ายบริหาร ซึ่งถูกมองว่าเป็นการ "แสดงความจริงใจ" รุ่งรวี เห็นว่า การดำเนินการเพื่อแก้ปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ก็ยังไม่เกิดผลเป็นรูปธรรมอย่างจริงจัง เนื่องจากรัฐบาล "ขิงแก่" ที่มาจากการรัฐประหารอยู่ในอำนาจเพียงปีเดียว แม้มีความพยายามพูดคุยในทางลับกับฝ่ายผู้เห็นต่างทางการเมืองก็ตาม ภาพจากงานรำลึกเหตุการณ์สลายการชุมนุมประท้วงหน้า สภ. ตากใบ ซึ่งทำให้มีผู้ถูกยิงเสียชีวิต 6 คน และผู้ชุมนุมที่ถูกนำตัวขึ้นรถบรรทุกให้นอนทับซ้อนเป็นชั้น ๆ เสียชีวิตอีก 85 คน แต่มาถึงการลงพื้นที่ปลายด้ามขวานของ พล.อ. ประยุทธ์ หากต้องการแสดงความจริงใจ นักวิจัยอิสระด้านการจัดการความขัดแย้งรายนี้เห็นว่า ควรพิจารณายกเลิกการบังคับใช้ "กฎหมายพิเศษ" ในพื้นที่ "ถ้ารัฐบาลยอมยกเลิกก็จะซื้อใจได้เยอะเลย เพราะคนในพื้นที่รู้สึกว่าไม่ยุติธรรม ดังนั้นรัฐบาลต้องทำให้กระบวนการทางกฎหมายเป็นที่ยอมรับของประชาชน เพราะที่ผ่านมาในหลายกรณี รัฐไทยไม่สามารถตอบคำถามอะไรได้" รุ่งรวี ระบุ การเดินทางลงพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของ พล.อ. ประยุทธ์ มีขึ้น ท่ามกลางบริบททางการเมืองและความมั่นคงที่สำคัญ คือ 1. เหตุระเบิด กทม. และการคุมตัวผู้ต้องสงสัยจากนราธิวาส การเดินทางไปจังหวัดชายแดนภาคใต้ของ พล.อ. ประยุทธ์ เกิดขึ้นในเวลาไม่ถึงสัปดาห์หลังเหตุลอบวางเพลิงและระเบิดป่วนกรุงเทพมหานครรวม 5 พื้นที่ ระหว่างวันที่ 1-2 ส.ค. ภายหลังเกิดเหตุ ตำรวจตามรวบตัว 2 ผู้ต้องสงสัยซุกระเบิดหน้าป้ายสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ได้ทันควันคือ นายลูไอ แซแง อายุ 22 ปี และนายวิลดัน มาหะ อายุ 29 ปี ทั้งคู่เป็นชาว อ. รือเสาะ จ. นราธิวาส พล.ต.อ. จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) และ พล.อ. อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ชิงสรุปตรงกันว่าเป็นฝีมือของ "กลุ่มเดิม ๆ ความคิดเดิม ๆ คนสั่งการคนเดิม แต่ใช้คนหน้าใหม่ก่อเหตุ" ทว่า ผบ.ตร. เผยแนวทางการสืบสวนพบว่าผู้ก่อเหตุเป็นกลุ่มเดียวกับที่ก่อเหตุระเบิด 7 จังหวัดภาคใต้ตอนบนเมื่อปี 2559 ส่วน ผบ.ทบ. มองว่าลักษณะเหตุการณ์รูปแบบการก่อเหตุคล้ายกับเหตุการณ์กลางกรุง 9 จุดในวันส่งท้ายปี 2549 เจ้าหน้าที่หน่วยอีโอดีเข้าตรวจสอบในพื้นที่เกิดเหตุที่บริเวณภายนอกอาคารคิง เพาเวอร์ มหานคร เชื่อมกับสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสช่องนนทรี หนึ่งในจุดที่เกิดเหตุการณ์ไม่สงบ เมื่อเวลา 10.30 น. ขณะนี้ผู้ต้องสงสัยชาวนราธิวาส 2 คนถูกคุมตัวและซักถามอยู่ที่ศูนย์พิทักษ์สันติ ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติส่วนหน้า (ศปก.ตร.สน.) อ. เมือง จ. ยะลา เพื่อสอบสวนขยายผล ท่ามกลางความกังวลใจของญาติพี่น้องที่เกรงไม่ได้รับความเป็นธรรมและถูกทำร้ายร่างกาย ต่อมาวันที่ 6 ส.ค. สื่อไทยหลายแห่งต่างรายงานว่า เจ้าหน้าที่ได้คุมตัวชาวนราธิวาสรายที่ 3 ในฐานะผู้ต้องสงสัยซึ่ง พล.อ. ประยุทธ์ใช้คำว่า "ผู้เกี่ยวข้องมีเป็นสิบคน" ทั้งหมดยังไม่ถูกตั้งข้อหาใด ๆ แต่อาศัยอำนาจตามพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ในการควบคุมตัวได้ 7 วัน 2. ข้อกล่าวหาเรื่องการซ้อมทรมานผู้ต้องสงสัยคดีมั่นคง ข้อกล่าวหาเรื่องการซ้อมทรมานผู้ต้องหาคดีความมั่นคง และเสียงเรียกร้องให้ยกเลิกการบังคับใช้ "กฎหมายพิเศษ" ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ดังขึ้นเป็นระยะ ๆ นายอับดุลเลาะ อีซอมูซอ อายุ 34 ปี คือผู้ต้องสงสัยคดีความมั่นคงรายล่าสุด ที่เกิดหมดสติและหัวใจหยุดเต้นในระหว่างถูกคุมตัวภายในศูนย์ซักถาม ค่ายอิงคยุทธบริหาร จ. ปัตตานี เมื่อ 20 ก.ค. แพทย์ระบุว่าเขามีอาการสมองบวมจากการขาดออกซิเจน ทำให้นักสิทธิมนุษยชนและสื่อมวลชนตั้งข้อสังเกตว่าถูกซ้อมทรมานหรือไม่ จน พล.อ. ประยุทธ์ ออกอาการฉุนขาด "เขาก็ตรวจสอบโดยหมอ ไม่มีร่องรอยสักอันเลย เป็นลมหน้ามืดไป จับมาแล้วก็เป็นลมหน้ามืด แล้วบอกไปซ้อม ดูหนังมากไปรึเปล่า" พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวระหว่างการแถลงนโยบายของรัฐบาลต่อรัฐสภาเมื่อ 25 ก.ค. คำกล่าวของนายกฯ สอดคล้องกับผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง โดยคณะกรรมการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ระบุว่า "ไม่พบร่องรอยการถูกทำร้าย ไม่มีร่องรอยฟกช้ำ ไม่มีร่องรอยจากอุบัติเหต" ส่วนผู้ป่วยมีอาการสมองบวมจากสาเหตุใดนั้น คณะกรรมการฯ ยังต้องแสวงหาข้อมูลและข้อเท็จจริงเพิ่มเติมจากทุกภาคส่วนอย่างรอบด้านต่อไป ในเรื่องนี้ รุ่งรวี เห็นว่า รัฐบาลควรพิจารณาเรื่องการยกเลิกกฎหมายพิเศษในจังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างจริงจัง เพราะทั้ง พ.ร.ก. ฉุกเฉิน และกฎอัยการศึก ต่างมีปัญหาในตัวเอง โดยเฉพาะการให้อำนาจเจ้าหน้าที่คุมตัวผู้ต้องสงสัยได้ 7 วันโดยไม่ต้องมีหมายศาล ซึ่งก่อให้เกิดข้อกล่าวหาเรื่องการซ้อมทรมาน และไม่มีกลไกใดในการตรวจสอบ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า นำภาพมาประกอบการแถลงข่าวเพื่อยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ปฏิบัติตามขั้นตอนการเชิญตัวผู้ต้องสงสัยมาซักถาม 3. เจรจาดับไฟใต้ชะงักงัน กระบวนการพูดคุยสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ตกอยู่ในภาวะชะงักงัน หลังฝ่ายผู้เห็นต่างที่เรียกตัวเองว่ากลุ่ม "มารา ปาตานี" (MARA Patani) ประกาศผ่านคลิปวิดีโอที่เผยแพร่เมื่อ 3 ก.พ. ขอ "ระงับการพูดคุยจนกว่าการเลือกตั้งทั่วไปจะแล้วเสร็จ" ขณะที่สถานะของหัวหน้าคณะพูดคุยสันติสุขฯ ทั้ง 2 ฝ่ายก็ไม่ชัดเจน เมื่อกลุ่มมารา ปาตานี เรียกร้องวันเดียวกัน (3 ก.พ.) ให้ถอด พล.อ. อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์ ออกจากการเป็นหัวหน้าทีมฝ่ายไทย ขณะที่ในฟากฝั่งของกลุ่มมารา ปาตานี นายสุกรีได้ร่อนจดหมายลงวันที่ 15 พ.ค. ขอลาออกจากการเป็นหัวหน้าทีมพูดคุยฝ่ายมาราฯ โดยอ้างปัญหาสุขภาพ นายสุกรี ฮารี (ซ้าย) อดีตหัวหน้าคณะพูดคุยสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ จากฝ่ายมารา ปาตานี พล.อ. ประยุทธ์ แถลงต่อสื่อมวลชนในระหว่างการพื้นที่ว่าคณะพูดคุยสันติสุขฯ ทำงานอยู่แล้ว นโยบายไม่ได้เปลี่ยนแปลง แต่ต้องประสานกับรัฐบาลใหม่ พร้อมย้ำว่า "หัวหน้าคณะพูดคุยฯ ยังเป็น พล.อ.อุดมชัย แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับทีมงานทั้งหมดที่ยึดถือนโยบายลงไป เพราะนายกฯ ก็เป็นคนเดิม และผมก็เป็น รมว. กลาโหม ด้วย เพียงแต่ต้องไปปรับแก้บางอย่างให้สอดคล้องกับบริบทต่าง ๆ ที่เปลี่ยนแปลงไป" อย่างไรก็ตามก่อนหน้านี้ 2 วัน (วันที่ 5 ส.ค.) พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามสื่อมวลชนที่ว่าหัวหน้าคณะการพูดคุยสันติสุขฯ ยังเป็น พล.อ. อุดมชัย อยู่หรือไม่ โดยกล่าวว่า "กำลังพิจารณาอยู่ เพราะท่านไปทำหน้าที่ ส.ว. ขอให้ใจเย็น ๆ" รุ่งรวี เห็นว่า เรื่องหัวหน้าคณะพูดคุยสันติสุขฯ ไม่ได้เป็นปัญหาขนาดทำให้กระบวนการเดินต่อไปไม่ได้ แต่ปัญหาอยู่ที่วิธีคิดและวิธีจัดการของฝ่ายรัฐไทย หากไม่สามารถเปลี่ยนกระบวนทัศน์ได้ ก็คงยากจะทำให้อีกฝ่ายอยากเข้ามาร่วมกระบวนการพูดคุย "รัฐไทยพยายามทำทุกวิถีทางให้กระบวนการพูดคุยสันติสุขฯ เป็นเรื่องภายใน เช่น ไม่ยอมรับองค์กรอื่นให้เข้ามามีส่วนร่วมพูดคุย ซึ่งเป็นข้อเรียกร้องหลักของกลุ่มบีอาร์เอ็นตลอด ในการให้มีผู้สังเกตการณ์จากภายนอกมาร่วมด้วย หรือการไม่ยอมรับชื่อของฝ่ายผู้เห็นต่างเพราะเกรงเป็นการยกระดับองค์กร เหล่านี้ถือเป็นมายาคติซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการเดินหน้า ของกระบวนการพูดคุย ที่จริงแล้ว ประสบการณ์ในพื้นที่ความขัดแย้งทั่วโลกพบว่า การพูดคุยที่มีองค์กรจากต่างประเทศเข้ามามีส่วนร่วม ให้การสนับสนุนมักจะส่งผลในทางที่ดี ทำให้มีแนวโน้มที่จะประสบความสำเร็จมากขึ้น และไม่ใช่เงื่อนไขที่จะนำไปสู่การแบ่งแยกดินแดน อย่างที่รัฐบาลเกรงกลัว" รุ่งรวีกล่าว ตัน สรี อับดุล ราฮิม บิน โมฮัมหมัด นูร์ (ซ้าย) และ พล.อ. อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์ (ขวา) ส่วนตัวผู้อำนวยความสะดวกจากมาเลเซีย ตัน สรี อับดุล ราฮิม บิน โมฮัมหมัด นูร์ เธอเห็นว่าไม่ใช่ปัญหาอันดับหนึ่ง เว้นแต่มีการบีบให้บีอาร์เอ็นมาร่วมวงพูดคุยแทนที่จะเสนอเงื่อนไขที่เอื้อต่อการตัดสินใจมาร่วมเองของบีอาร์เอ็น ตัน สรี อับดุล ราฮิม บิน โมฮัมหมัด นูร์ เคยแสดงความมั่นใจว่าการดำเนินการจะ "มีความคืบหน้าภายในระยะเวลา 1-2 ปี" โดยเขาพูดเรื่องนี้เมื่อ 4 ม.ค. ระหว่างเดินทางมากรุงเทพฯ เพื่อแนะนำตัว 4. เริ่มต้นกระบวนการจัดทำงบปี 2563 ในทัศนะของ รุ่งรวี ปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็น "ปัญหาการเมือง" ไม่ใช่ "ปัญหาอาชญากรรม" การระดมกำลังพลหลายหมื่นนายลงไปในพื้นที่ จึงเป็นการแก้ไขปัญหาที่ปลายเหตุ "ทหารทำหน้าที่เสมือน รปภ. เลย นี่นายทหารระดับ ผบ. หน่วยเป็นคนพูดเอง... รัฐไทยใช้กำลังพลมากและทุ่มงบประมาณลงไปในพื้นที่มหาศาล แต่ไม่ได้นำไปสู่การแก้ไขปัญหาในระยะยาว เพราะวิธีที่ถูกต้องคือต้องแก้ด้วยการเมือง ก็คือกระบวนการพูดคุย ซึ่งใช้งบน้อยกว่ามากหากเทียบกับการงานด้านอื่น ๆ โดยเฉพาะการซื้อยุทโธปกรณ์" นักวิจัยอิสระด้านการจัดการความขัดแย้งกล่าว ที่ประชุม ครม. เมื่อ 6 ส.ค. เพิ่งอนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณปี 2563 ไว้ที่ 3.2 ล้านล้านบาท และคาดว่าร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2563 จะมีผลบังคับใช้ปลายเดือน ม.ค. 2563 ซึ่งล่าช้ากว่าปีงบประมาณปกติซึ่งเริ่ม 1 ต.ค. เนื่องจากการเลือกตั้งทั่วไปและการจัดตั้งรัฐบาล หลายฝ่ายจับตาว่า "งบดับไฟใต้" ซึ่งจะถูกบรรจุลงในยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคง จะเพิ่มขึ้นอีกเป็นวงเงินเท่าไร เงินจำนวนนี้จะถูกวางไว้เพื่อกิจกรรมอะไรบ้าง สำนักข่าวอิศราเคยสรุปภาพรวมของงบประมาณแก้ไขปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ทั้งในมิติงานความมั่นคงและงานพัฒนา รวม 16 ปีงบประมาณ (2547-2562) พบว่า มีเม็ดเงินทะลุ 3 แสนล้านบาท โดยรัฐบาลได้ตั้งงบประมาณ 1.2 หมื่นล้านบาท ถึง 3 หมื่นล้านบาท/ปี สรุปสถิติ 16 ปีไฟใต้ ที่มา : สรุปจากคำให้สัมภาษณ์ของ พล.ร.อ. สมเกียรติ ผลประยูร เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) เมื่อ 5 ส.ค. 2562
|
พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว. กลาโหม เดินลงพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ วันนี้ (7 ส.ค.) ด้านนักวิชาการใต้แนะหากต้องการแสดงความจริงใจ ควรพิจารณายกเลิก "กฎหมายพิเศษ"ในพื้นที่ ทว่าผู้นำรัฐบาลไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้
|
international-47927397
|
https://www.bbc.com/thai/international-47927397
|
วิกฤตเวเนซุเอลา : เงินเฟ้อรุนแรงทำคนเวเนซุเอลาต้องเอาข้าวของมาแลกเปลี่ยนกัน
|
กิลเลอร์โม โอลโม ผู้สื่อข่าวบีบีซีในเวเนซุเอลา ได้ลงพื้นที่สำรวจตลาดแห่งหนึ่งในเมืองปวยร์โตลาครูซ ซึ่งเป็นเมืองท่าทางภาคตะวันออกของประเทศ และได้พูดคุยกับบรรดาชาวประมงที่นำปลาที่จับได้มาแลกกับข้าวของต่าง ๆ จากชาวบ้าน นายโบดิส มาร์ติเนซ ชาวประมง เล่าว่า ชาวบ้านนำข้าว แป้ง นม น้ำมัน หรืออะไรก็ตามที่พวกเขามีมาแลกกับปลาที่เขาจับได้ เพราะแถวนี้ไม่มีอะไรขาย นายมาร์ติเนซ บอกว่า ผู้คนที่นี่เคยแต่ซื้อของด้วยเงินสด แต่เพราะเกิดปัญหาเงินสดขาดแคลน จึงทำให้พวกเขาต้องใช้วิธีแลกเปลี่ยนสินค้ากัน พร้อมเล่าว่าครั้งหนึ่ง หลานชายของเขาล้มป่วยและต้องใช้ยาปฏิชีวนะ และเขาหาซื้อจากร้านขายยาไม่ได้เลย แต่มาได้ยาจากการแลกเปลี่ยนสินค้าที่ตลาดแห่งนี้ ส่วนนางโยไมรา เฮอร์เรรา เล่าว่า เธอใช้เวลาราว 4 ชม. กว่าจะหาแลกปลาซาร์ดีนมาทำอาหารได้แพ็คหนึ่ง เธอบอกว่า เงินเวเนซุเอลาอ่อนค่ามากและมีไม่พอที่จะใช้ซื้อของ และว่า "ถ้าคุณเอาข้าวไปแลกอย่างอื่นได้ ก็เท่ากับเอาตัวรอดไปได้อีกวัน" งานวิจัยที่ทำขึ้นโดยสภานิติบัญญัติแห่งชาติของเวเนซุเอลาซึ่งพรรคฝ่ายค้านครองเสียงข้างมาก ระบุว่า อัตราเงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้นถึง 1,300,000% ในช่วง 12 เดือนจนถึงเดือน พ.ย. 2018 จนถึงสิ้นปีที่แล้ว ราคาสินค้าในประเทศเพิ่มขึ้น 2 เท่าโดยเฉลี่ยทุก ๆ 19 วัน ทำให้เป็นเรื่องยากที่ชาวเวเนซุเอลาจะซื้อข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นได้
|
ภาวะเงินเฟ้อรุนแรง (Hyperinflation) ในประเทศเวเนซุเอลา ส่งผลให้เงินโบลิวาร์แทบจะกลายเป็นเพียงแผ่นกระดาษที่ไร้ค่า และภายหลังจากทางการออกธนบัตรสกุลโบลิวาร์แบบใหม่ ที่มีการตัดจำนวนเลขศูนย์ลง 5 หลักเพื่อแก้ภาวะเงินเฟ้อนั้น เงินสดได้กลายเป็นของหายากในประเทศนี้ ส่งผลให้ประชาชนต้องหันไปพึ่งพาวิธีการอันเก่าแก่ในการยังชีพ นั่นคือการเอาข้าวของมาแลกเปลี่ยนกัน
|
thailand-57167759
|
https://www.bbc.com/thai/thailand-57167759
|
โควิด-19: โควิดระบาดในคุกจะจัดการได้ด้วยวิธีไหน ถอดประสบการณ์หมอคุมระบาดในห้องกัก ตม.
|
สภาพภายในโรงพยาบาลสนามของทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ที่เปิดเผยต่อสื่อมวลชนเมื่อวันที่ 8 พ.ค. ก่อนการตรวจพบคลัสเตอร์กลุ่มก้อนใหญ่ในเรือนจำ จากผู้ติดเชื้อเพียงหลักสิบในการระบาดสองระลอกแรกเมื่อปีที่แล้ว ปีนี้กรมราชทัณฑ์ต้องรับมือกับจำนวนผู้ต้องขังที่ติดเชื้อเป็นหลักหมื่น เริ่มต้นจากผู้ติดเชื้อกลุ่มแรกที่พบไม่ถึงร้อยคนในแดนเด็ดขาด เรือนจำแห่งหนึ่งช่วงต้นเดือน เม.ย. ต่อด้วยการพบกลุ่มก้อนใหญ่หลักหมื่นจากการตรวจเชิงรุก 100% ในช่วงต้นเดือน พ.ค. แม้ทางกรมราชทัณฑ์จะได้มีการขยายช่วงเวลากักตัวผู้ต้องขังเข้าใหม่จาก 14 วัน เป็น 21 วันแล้วก็ตาม สถานการณ์เช่นนี้อธิบายได้ว่า หากไม่มีการค้นหาเชิงรุกก็จะไม่พบว่ามีผู้ต้องขังติดเชื้อจำนวนมาก ล่าสุดวันนี้ (19 พ.ค.) กรมราชทัณฑ์รายงานว่ามีผู้ตัองขังติดเชื้อเพิ่ม 1,117 ราย รวมยอดสะสม 12,767 ราย นี่ไม่ใช่ครั้งแรก ที่พบการติดเชื้อกลุ่มใหญ่ในเขตคุมขังของเรือนจำในการระบาดระลอกล่าสุด แต่เคยมีกรณีพบผู้ต้องขังและเจ้าหน้าที่ติดเชื้อกลุ่มใหญ่จำนวน 120 คนมาแล้วในเรือนจำนราธิวาสเมื่อต้นเดือน เม.ย. ที่ผ่านมา นอกจากนี้ภายในศูนย์กักที่คุมขังบุคคลลักลอบเข้าเมืองของตำรวจตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ก็พบการระบาดกลุ่มใหญ่ เช่นที่ ตม.บางเขน และปีที่แล้ว ที่ห้องกัก ตม.สะเดา จ.สงขลา "ผมคิดว่าอัตราติดเชื้อมันสูงอยู่แล้ว ด้วยสภาพที่แออัด ด้วยลักษณะทางกายภาพของเรือนจำ ถ้าเราตรวจก็เจออยู่แล้ว" นพ.สุวัฒน์ วิริยะพงษ์สุกิจ ผอ.โรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ณ อำเภอนาทวี จ.สงขลา ที่ผ่านประสบการณ์ควบคุมการระบาดและรักษาผู้ป่วยโควิดที่ห้องกัก ตม.สะเดา เมื่อเดือน เม.ย. 2563 ระบุ จะดูแลผู้ป่วยที่มีจำนวนหลายร้อยหลายพันคนในนั้นได้อย่างไร ในทัศนะของนายแพทย์จากสงขลารายนี้มองว่า "ยิ่งมากยิ่งง่าย" และเห็นว่า "เปอร์เซ็นต์ (ผู้ติดเชื้อ) เยอะ ๆ สามารถซีล (จำกัดพื้นที่) ได้เลยและจะทำให้จัดการได้เร็ว" แต่มีข้อพึงระวังคือ ต้องดึงผู้ป่วยกลุ่มพิเศษแยกออกมาต่างหาก "เราซีลข้างในเอาอยู่ แต่จัดระบบโลจิสติกส์ (การขนส่งและจัดการอุปกรณ์) ให้พร้อม จัดระบบการดูแลบุคคลเปราะบาง และจัดการทางการแพทย์ดูแลคนกลุ่มนี้ เช่น มีโรคประจำตัว ผู้สูงอายุ กลุ่มตั้งครรภ์ และจัดให้ออกมาอยู่อีกบริเวณที่กักกันชัดเจนในเรือนจำ รวมทั้งดูคนป่วยที่มีอาการ" จากประสบการณ์รับมือการติดเชื้อในห้องกัก ตม.เมื่อปีที่แล้ว นพ.สุวัฒน์ยังมีข้อเสนออะไรอีกบ้างในการควบคุมการระบาดในเรือนจำและรักษาผู้ต้องขังที่ติดเชื้อในเรือนจำที่กำลังเป็นปัญหาใหญ่ในขณะนี้ บทเรียนจากห้องกัก ตม. ย้อนกลับไปปีที่แล้ว การระบาดภายในศูนย์กักกันของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) สะเดา จ.สงขลาในครั้งแรกพบผู้ต้องกักติดเชื้อ 42 ราย ผ่านไปอีก 2 สัปดาห์ ผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอีก 18 ราย นพ.สุวัฒน์เล่าว่า วิธีการจัดการในเวลานั้นคือการแยกผู้ที่ติดเชื้อออกไปรักษาในโคฮอร์ทวอร์ด (cohort ward - หอผู้ป่วยแยกโรค) 2 แห่ง "ตอนนั้นเรายังไม่มีความรู้มากพอ เราก็พยายามแยกผลลบออกไป แต่ปรากฏว่าพอเราติดตามสักระยะหนึ่ง คนที่ผลลบพอสว็อบ (เก็บตัวอย่างเชื้อไปตรวจ) ใหม่ก็กลายเป็นบวก บอกได้ว่ามันยังไม่ถึงเวลาที่เชื้อจะฟักตัวหลังจากตรวจรอบแรก" แพทย์สวมอุปกรณ์ป้องกันก่อนเข้าไปให้การรักษาผู้ต้องกักในศูนย์กักคนเข้าเมืองสะเดา จ.สงขลา ในการระบาดเมื่อเดือน เม.ย. 2563 นพ.สุวัฒน์เล่าว่าเมื่อแยกผู้ต้องกักที่ยังไม่ติดเชื้อออกไปอยู่อีกที่และตรวจหาเชื้อซ้ำในอีก 7 และ 14 วันต่อมา พบว่าผลตรวจเป็นบวก เมื่อจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นจึงไม่ได้มีการแยกกลุ่มผู้ต้องขัง เนื่องจากโดยลักษณะการอยู่ร่วมกันในห้องกักมีการติดเชื้ออยู่แล้ว ผู้ป่วยโควิดส่วนใหญ่ที่ไม่มีอาการหรือมีอาการเล็กน้อยสามารถอยู่รวมกันได้และจะมีภูมิคุ้มกันหมู่ (herd immunity) เกิดขึ้น ส่วนการดูแลผู้ติดเชื้อในเรือนจำในขณะนี้ กรมราชทัณฑ์และกรมควบคุมโรค ใช้วิธีการ "คนในห้ามออก คนนอกห้ามเข้า (Bubble and seal)" และตอนนี้มีความพยายามในการแยกแดนผู้ติดเชื้อออกจากผู้ที่ผลตรวจยังเป็นลบ "เราพยายามให้เกิดการแยกแดนที่ชัดเจน ว่าแดนนี้เป็นการติดเชื้อ ตอนนี้ก็เริ่มทำในหลายพื้นที่" นพ.ปรีชา เปรมปรี รองอธิบดีกรมควบคุมโรคระบุในรายการของ ศบค. วานนี้ (18 พ.ค.) แยกผู้ป่วยกลุ่มเปราะบาง นพ.สุวัฒน์ระบุว่า สภาพการณ์ในเรือนจำที่มีอัตราการติดเชื้อสูง ๆ ขณะนี้ไม่น่าจะต่างกับกับสิ่งที่เกิดขึ้นในห้องกัก ตม. เมื่อปีที่แล้วมากนัก แต่จุดสำคัญคือการเฝ้าระวังและติดตามกลุ่มเปราะบาง ไม่ว่าจะเป็นผู้ต้องขังผู้สูงอายุ หญิงตั้งครรภ์ ผู้ที่มีโรคประจำตัวที่มีความเสี่ยง เช่น เบาหวาน โรคอ้วน "ตอนนั้นด้วยข้อจำกัดของสถานที่ แม้กระทั่งออกซิเจนยังยากที่จะเอาเข้าไป ก็มีการตกลงกัน โดยให้ไปประเมินก่อน ปอดบวม ขออนุญาตไม่ให้อยู่เลยข้างใน ให้ไปรักษานอกศูนย์กักฯ ติดต่อ รพ. ให้เข้าไปแอดมิท หญิงตั้งครรภ์ คนที่มีความเสี่ยง เอาออกไปอยู่อื่นก่อน จนกระทั่งเหตุการณ์เรียบร้อยค่อยย้ายกลับมา" วิธีนี้ถูกนำมาใช้ในการรับมือการระบาดในเรือนจำในขณะนี้แล้วเช่นกัน โดยรองอธิบดีกรมควบคุมโรคกล่าวว่าเจ้าหน้าที่ได้แยกผู้ติดเชื้อที่เสี่ยงต่อการเสียชีวิตออกมาเพื่อตรวจรักษาทันที นอกจากนี้ยังมีการส่งต่อผู้ป่วย "กลุ่มสีเหลือง" หรือกลุ่มที่มีอาการแต่ไม่รุนแรงและมีปัจจัยเสี่ยงอาการหนัก และจัดให้มีพื้นที่รักษาพยาบาลภายในเรือนจำโดยประสานให้หน่วยการแพทย์เข้าไปจัดตั้ง รพ.สนามรองรับ และกรมการแพทย์เข้าไปดูแลการรักษา เช่น การให้ยาต้านไวรัส "ซูเปอร์สเปรดเดอร์" อาจไม่ใช่ผู้ต้องขัง นพ.สุวัฒน์ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่าควรยกระดับการเฝ้าระวังรักษาสุขอนามัยส่วนบุคคลของเจ้าหน้าที่ด้วย เพราะเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานเข้าออกในหลาย ๆ แดน อาจนำความเสี่ยงเข้าไปได้ "บางทีเราพบว่าเราระวังในส่วนของผู้ต้องขัง แต่เราลืมไปว่าต้องระวังในส่วนของเจ้าหน้าที่ด้วย" นพ.สุวัฒน์กล่าว "เจ้าหน้าที่อาจจะเป็นซูเปอร์สเปรดเดอร์ที่นำเชื้อจากแดนหนึ่งไปยังอีกแดนหนึ่งก็ได้ เพราะนั้นต้องยกระดับการดูแลเรื่องอนามัยส่วนบุคคลให้เต็มที่เลย การสวมใส่ชุดอุปกรณ์ป้องกัน การระวัง การเว้นระยะห่าง ใส่หน้ากากอนามัยอื่น ๆ ต้องเข้มงวดมาก" จากประสบการณ์ที่ศูนย์กักสงขลา นพ.สุวัฒน์ เล่าว่า ผู้กำกับการ ตม. เข้มงวดเรื่องเจ้าหน้าที่สูงมาก เจ้าหน้าที่ทุกคนที่จะเข้าไปอยู่ในเวรยามในขณะนั้น ต้องมีรายงานในกูเกิลฟอร์มเป็นประจำ เช้านี้มีอาการอย่างไร วัดไข้ เป็นหวัดหรือไม่ ถ้าเป็นหวัดให้หยุดงาน หาคนทำงานแทน นอกจากนี้ยังกำหนดวันทำงาน 14 วัน แล้วหยุด 14 วัน เพื่อให้ปลอดภัย "อันนี้เป็นการจัดระบบภายในองค์กร ผมคิดว่าเจ้าหน้าที่เรือนจำต้องยกระดับการดูแลอนามัยส่วนบุคคล การสวมใส่ชุดอุปกรณ์ที่ถูกต้อง และเข้าไปในจุดที่มีโอกาสสัมผัส เพราะบอกตรง ๆ ว่า หมอพยาบาลเข้าไปน้อยมาก เพราะมีเรื่องความปลอดภัยอื่น ๆ ด้วย แต่ถ้าจำเป็นเราก็เข้าไป" สำหรับข้อมูลล่าสุดเมื่อวันที่ 18 พ.ค. มีเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ที่ติดเชื้อแล้ว 36 ราย ในเรือนจำ 10 แห่ง ส่วนใหญ่เป็นเจ้าหน้าที่ที่เรือนจำกลางเชียงใหม่และเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ แห่งละ 6 คน ความท้าทายในระยะแรกของทีมแพทย์สาธารณสุข ผอ.โรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ณ อำเภอนาทวี บอกว่า ความท้าทายในช่วงแรก ในบทบาทของแพทย์และทีมสาธารณสุข เมื่อต้องเข้าไปรักษาคนในแดนกักเมื่อปีที่แล้ว คือ การไม่รู้โครงสร้างภายใน "ตอนนั้นผมหลับตาผมนึกไม่ออกว่าหน้าตาของศูนย์กักเป็นยังไง มีกี่ห้อง ถ้าแออัดมาก ผมจะย้ายห้องได้ไหม เทียบกับสภาพเรือนจำ สมมติว่าเป็นแดนที่มีผู้ต้องขังหรือนักโทษที่มีความเสี่ยงสูงทั้งในแง่ของคดี หรือความมั่นคง มันมีข้อจำกัดอื่น ๆ ที่ตามมา อันนี้ต้องมีการแลกเปลี่ยนระหว่างทีมแพทย์สาธารณสุขกับทีมของเรือนจำ เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์" ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ กรุงเทพฯ ในมุมมองทางการแพทย์มีข้อเสนอแบบนี้ ทางฝ่ายศูนย์กักทำได้แค่ไหน ต้องแลกเปลี่ยน "ผมแลกเปลี่ยน (กับเจ้าหน้าที่ ตม.) ตลอด เช่น ผมว่าห้องนี้มันแน่นไปนะ ขยับได้ไหม เกลี่ยห้องได้ไหม ทำให้มันแออัดน้อยลงได้ไหม หรือมีที่อื่นที่จะกักตัวได้ไหม เขาก็ต้องฟังเรา ก็คุยกัน เจ้าหน้าที่ก็เคลียร์ห้องที่เป็นห้องเก็บของเดิมมาให้ ต้องใช้ความร่วมมือกันมาก ๆ" หมอสุวัฒน์ย้อนการทำงานให้ฟังว่า ตอนเริ่มต้นต้องมีการระดมคนเข้าไป ทั้งทีมที่เข้าไปจัดระบบสุขาภิบาล ซึ่งตอนดำเนินการที่ศูนย์กัก ตม.สะเดา มีปัญหาเรื่องการถ่ายเทอากาศที่ไม่ดี ก็มีกลุ่มวิศวกรอาสาเข้ามาติดตั้งพัดลมดูดอากาศ นอกจากนี้ต้องมีทีมเอ็กซเรย์เข้าไปเอ็กซเรย์ปอดว่ามีการติดเชื้อลงไปที่ปอดหรือไม่ และเตรียม "คน" ซึ่งก็คือ ตำรวจ ตม. ถ้าเทียบกับเรือนจำ นพ.สุวัฒน์ เห็นว่า ต้องเข้าไปเตรียมเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ เนื่องจากเจ้าหน้าที่เหล่านี้จะเป็นคนหลักที่จะดูแลผู้ป่วย "และที่สำคัญกว่านั้น เราต้องเตรียมคนที่เป็นอาสาสมัครที่พวกเขา (ผู้ต้องขัง) จะดูแลกันเอง ที่ศูนย์กักเรามีอาสาต่างด้าว ผมเชื่อว่าในเรือนจำมีอาสาสมัครอยู่แล้ว คนเหล่านี้มีบทบาทคือไปให้ความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับโควิด" ต้องเร่งฉีดวัคซีน ความสำคัญของวัคซีนน่าจะเป็นคำตอบของการควบคุมการระบาดในเรือนจำในขณะนี้ได้ ทั้งในส่วนของผู้ต้องขังและคนที่ทำงานในเรือนจำ ในส่วนของบุคลากรเจ้าหน้าที่เรือนจำ นพ.สุวัฒน์ เห็นความเสี่ยงของเจ้าหน้าที่เรือนจำไม่น้อยไปกว่าหมอพยาบาล จึงควรจะมีการฉีดวัคซีนให้ครอบคลุมและเร็วที่สุด ส่วนในกลุ่มผู้ต้องขังก็มีการรณรงค์จากกลุ่มเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชน อย่างโครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (ไอลอว์) ที่เปิดรณรงค์ผ่านเว็บไซต์ Change.org เมื่อวันที่ 17 พ.ค. เสนอข้อเรียกร้องเร่งด่วนให้นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ดำเนินการ 3 มาตรการ ได้แก่ ต้องจัดให้ผู้ต้องขัง นักโทษ และเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานเกี่ยวกับเรือนจำอยู่ในกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง ให้ได้ฉีดวัคซีนก่อน และได้รับโดยทันที โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มผู้สูงอายุและผู้ที่มีโรคประจำตัว นอกจากนี้ ยังเสนอให้ลดความแออัดด้วยมาตรการพักโทษ รวมถึงหยุดเอาคนเข้าไปเพิ่มในเรือนจำ กรณีการเร่งฉีดวัคซีน นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ระบุว่าเขาได้เตรียมเสนอไปยังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขว่าจำเป็นต้องให้ผู้ต้องขังและผู้คุมที่ไม่ติดเชื้อในทุกเรือนจำ ได้รับการฉีดวัคซีนอย่างเร่งด่วน คุกจะรับมือได้อีกแค่ไหน นพ. วีระกิตติ์ หาญปริพรรณ์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ (รท.) ฝ่ายปฎิบัติการ บอกว่าปัญหาที่ไม่อาจแก้ได้เลยของ รท. คือการที่ยังต้องรับผู้ต้องขังรายใหม่ "ถ้าเรือนจำยังรับผู้ขังรายใหม่ เราจะบริหารจัดการด้วยความยากลำบาก เพราะเราไม่รู้ว่าจะเอาผู้ต้องขังกลุ่มนี้ไปแยกกักไว้ในส่วนใด ต้องเพิ่มพื้นที่การกักขึ้นไปอีก" รองอธิบดี รท. กล่าว อย่างไรก็ตาม ในการให้ข้อมูลวันที่ 18 พ.ค. เขาบอกว่า ในสภาพปัจจุบันกรมราชทัณฑ์ยังมีพื้นที่เพียงพอ แต่ยังติดในเรื่องการจัดเตรียม "ตอนนี้งบประมาณ ทางราชทัณฑ์ได้ของบกลางไปกับรัฐบาลด้วยส่วนหนึ่ง และส่วนหนึ่งเป็นงบภายในของราชทัณฑ์ เพื่อใช้จัดซื้อยาที่จำเป็น ทั้งยาในบัญชีและนอกบัญชียาหลักเพื่อรองรับกรณีที่ผู้ป่วยยกระดับอาการเป็นสีเหลือง" นอกจากนี้รองอธิบดี รท. บอกว่ามีความพยายามในการลดจำนวนผู้ต้องขังลง โดยประสานให้ศาลชะลอการพิจารณาคดี ซึ่งมีการเห็นชอบในหลักการเบื้องต้น ให้เปลี่ยนมาใช้การพิจารณาผ่านทางออนไลน์ เช่น ซูม หรือระบบคอนเฟอเร็นซ์ รวมทั้งหากผู้ต้องขัง/ผู้ต้องหาติดเชื้อแล้วในเรือนจำให้เลื่อนออกไป รวมทั้งเรื่องประกันตัว ก็จะให้ลดหลักทรัพย์ หรือยกเลิกหลักทรัพย์ในกรณีที่ไม่ใช่คดีอุกฉกรรจ์ ถ้าเคสนั้นผลเป็นลบ พื้นที่ที่ไม่สามารถขยายออกไปได้อีกแล้วในเรือนจำ มีข้อเสนอจากไอลอว์ว่า หากมีคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลให้ควบคุมตัวบุคคลใดควรจัดหาสถานที่อื่นในการควบคุมตัวเพื่อคัดกรองและกักตัวเป็นการชั่วคราว เช่น ค่ายทหาร หรือสถานที่ฝึกอบรมของหน่วยงานราชการที่ภาวะปัจจุบันไม่ได้ใช้งาน คาดตัวเลขติดเชื้อคงที่ แต่สถานการณ์เครื่องช่วยหายใจไม่เพียงพอ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ฝ่ายปฎิบัติการ ระบุว่าใน 4 เรือนจำของพื้นที่ กทม.และปริมณฑล ที่มีการตรวจคัดกรอง 100% แล้ว มีการระบาดในหลัก 25% 30% จนถึง 50% นพ.วีระกิตติ์บอกด้วยว่า ส่วนของ รพ.ราชทัณฑ์ มีผู้ป่วยอาการหนักที่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ 2 ราย สำหรับการดูแลผู้ป่วยสีแดง มีแผนจัดตั้งส่วนของการดูแลผู้ป่วยหนักหรือหน่วยไอซียูเคลื่อนที่ (โมบายไอซียู) ให้เร็วที่สุด แต่ยอมรับว่ามีปัญหาเรื่องเครื่องช่วยหายใจไม่เพียงพอ เนื่องจากขณะนี้ รพ. ราชทัณฑ์มีอยู่เพียง 5-6 เครื่อง แต่เร็ว ๆ นี้ได้รับพระราชทานแบ่งมาให้ เนื่องจาก รพ.ราชทัณฑ์ หาได้ยากมาก "จะจัดซื้อจัดจ้างก็ไม่มี ถ้าบริหารจัดการได้ จะรองรับผู้ป่วยได้ 10-15 ราย"
|
เพียงไม่กี่วันในช่วงต้นเดือน พ.ค. 2564 คลัสเตอร์การระบาดของโรคโควิด-19 ในเรือนจำกว่า 10 แห่งในหลายจังหวัด มีการตรวจพบผู้ติดเชื้อสูงกว่า 10,000 ราย โดยสถานการณ์หนักสุดอยู่ที่เรือนจำและทัณฑสถานในกรุงเทพฯ และปริมณฑล และเรือนจำขนาดใหญ่อย่างที่ จ.เชียงใหม่
|
international-43396457
|
https://www.bbc.com/thai/international-43396457
|
สุนัขตายบนเที่ยวบินยูไนเต็ดแอร์ไลน์ หลังถูกจับใส่ช่องเก็บของเหนือศีรษะ
|
สายการบินยูไนเต็ดแอร์ไลน์แถลงภายหลังว่า "ไม่ควรนำสัตว์เลี้ยงไปไว้ในช่องเก็บสัมภาระเหนือศีรษะ" นางสาวแม็กกี เกรมมิงเกอร์ ผู้โดยสารอีกคนหนึ่งซึ่งนั่งอยู่ด้านหลังเจ้าของสุนัขเคราะห์ร้ายดังกล่าวบอกว่า ตนได้เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยตลอด "ฉันเห็นพนักงานของสายการบิน สั่งให้ผู้หญิงคนนั้นเอากระเป๋าที่มีสุนัขซึ่งยังมีชีวิตอยู่ข้างใน ใส่เข้าไปที่ช่องเก็บของด้านบน แม้เจ้าของจะยืนกรานคัดค้าน และพูดชัดเจนว่ามีสุนัขอยู่ในกระเป๋าก็ตาม" "พนักงานคนเดิมบอกให้ผู้โดยสารทำตามคำสั่งซ้ำ ๆ ไม่ยอมเลิกรา จนสุดท้ายเจ้าของสุนัขต้องยอมทำตาม เมื่อเครื่องบินถึงปลายทาง เธอกลับพบว่ามันตายเสียแล้ว เธอเสียใจจนทรุดตัวลงไปนั่งร้องไห้กับพื้นทางเดินบนเครื่อง ฉันเองก็พลอยรู้สึกใจสลายตามไปด้วย" สื่อของสหรัฐฯรายงานว่า โดยทั่วไปแล้วช่องเก็บสัมภาระเหนือศีรษะบนเครื่องบินนั้น ไม่ถึงกับอยู่ในสภาพที่ปิดแน่นจนอากาศเข้าไปไม่ได้ แต่ในกรณีนี้คาดว่าสุนัขตัวดังกล่าวน่าจะขาดออกซิเจนจนตาย เนื่องจากอยู่ในที่อับอากาศนานเกินไป ส่วนพนักงานต้อนรับที่สั่งให้นำกระเป๋าใส่สุนัขเข้าไปไว้ในช่องเก็บของดังกล่าวบอกว่า ตนไม่ทราบว่ามีสุนัขอยู่ข้างใน เจ้าของสุนัขยืนยันว่าได้ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของสายการบิน เรื่องการนำสัตว์เลี้ยงเข้าไปในห้องโดยสารอย่างถูกต้องทุกประการ โดยใช้กระเป๋าสำหรับใส่สุนัขที่มีขนาดและลักษณะตรงตามที่กำหนด และได้วางกระเป๋าดังกล่าวไว้ใต้ที่นั่งด้านหน้าตลอดเวลา ด้านสายการบินยูไนเต็ดแอร์ไลน์แถลงว่า กำลังสอบสวนเหตุดังกล่าวอยู่ และขอยอมรับผิดต่อเหตุที่เกิดขึ้นอย่างเต็มที่ "เหตุการณ์นี้เป็นอุบัติเหตุที่น่าสลดใจซึ่งไม่ควรจะเกิดขึ้นตั้งแต่แรก เราขอรับผิดชอบอย่างเต็มที่และขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อครอบครัวผู้เสียหาย ทั้งจะให้การช่วยเหลือสนับสนุนพวกเขาอย่างแน่นอน"
|
สุนัขพันธุ์เฟรนช์บูลด็อกตัวหนึ่งต้องตายลงในเที่ยวบินของสายการบินยูไนเต็ดแอร์ไลน์ ขณะกำลังเดินทางจากเมืองฮิวสตันไปยังนครนิวยอร์กของสหรัฐฯ เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (12 มี.ค.) หลังจากพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินสั่งให้ผู้โดยสารนำกระเป๋าที่มีสุนัขตัวดังกล่าวอยู่ข้างใน ใส่ช่องเก็บสัมภาระเหนือศีรษะจนกว่าจะถึงปลายทาง
|
international-56592355
|
https://www.bbc.com/thai/international-56592355
|
ราชวงศ์อังกฤษ: ผู้นำคริสตจักรแห่งอังกฤษชี้ แฮร์รี-เมแกน แต่งงานตามกฎหมายในพิธีที่วินด์เซอร์
|
ในบทสัมภาษณ์เขย่าราชวงศ์อังกฤษที่ออกอากาศเมื่อต้นเดือน มี.ค. ดัชเชสแห่งซัสเซกซ์เผยกับพิธีกรชื่อดังว่า "คุณรู้ไหมคะ เราแต่งงานกัน 3 วันก่อนวันพิธีจริง" "ไม่มีใครรู้เรื่องนี้ แต่เราโทรหาท่านอาร์ชบิชอปแล้วบอกว่า 'สิ่งนี้ (พิธีเสกสมรสที่วินด์เซอร์) เป็นการแสดงให้โลกดู แต่เราอยากได้การสมรสที่มีแค่สองเรา'" "ดังนั้นคำสาบานที่เราใส่กรอบไว้ในห้องของเรา คือคำที่สองเรากล่าวแก่กันในสวนหลังบ้านกับอาร์ชบิชอปแห่งแคนเทอร์เบอรี" เมแกนเล่าถึงการแลกคำสาบานของทั้งคู่ต่อหน้าอาร์ชบิชอปแห่งแคนเทอร์เบอรี ที่พระตำหนักนอตทิงแฮมคอตเทจของเจ้าชายแฮร์รีในพระราชวังเคนซิงตัน ดัชเชสแห่งซัสเซกซ์เผยว่า อันที่จริงแล้วเธอกับเจ้าชายแฮร์รีได้ประกอบพิธีสมรสเป็นการส่วนพระองค์ 3 วัน ก่อนถึงวันงานที่มีการถ่ายทอดสดไปทั่วโลก แต่ล่าสุด อาร์ชบิชอปแห่งแคนเทอร์เบอรีผู้นำคริสตจักรแห่งอังกฤษ ซึ่งเป็นผู้ประกอบพิธีเสกสมรสให้ดยุคและดัชเชสแห่งซัสเซกซ์ที่โบสถ์เซนต์จอร์จในพระราชวังวินด์เซอร์ ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ลาเรพับบลิกา (La Repubblica) ของอิตาลี หลังจากถูกถามถึงคำกล่าวอ้างดังกล่าว "การแต่งงานที่ถูกต้องตามกฎหมายมีขึ้นเมื่อวันเสาร์ (19 พ.ค.) ผมเซ็นลงนามในทะเบียนสมรส ซึ่งเป็นเอกสารทางกฎหมาย และผมคงจะทำผิดกฎหมายร้ายแรงหากผมเซ็นลงนามไปทั้งที่รู้ว่ามันเป็นการแต่งงานที่ไม่ถูกต้อง" เขาบอก อาร์ชบิชอปแห่งแคนเทอร์เบอรีระบุว่าเขาได้พบกับเจ้าชายแฮร์รีและเมแกนก่อนหน้าพิธีเสกสมรสหลายครั้ง ทั้งการพบเป็นการส่วนตัวและที่เป็นศาสนกิจ "คุณจะพูดอย่างไรเกี่ยวกับมันก็ได้ แต่การแต่งงานที่ถูกต้องตามกฎหมายมีขึ้นในวันเสาร์ แต่ผมจะไม่บอกว่าเกิดอะไรขึ้นในการพบปะกันครั้งอื่น ๆ" อาร์ชบิชอปแห่งแคนเทอร์เบอรีกล่าว อาร์ชบิชอปแห่งแคนเทอร์เบอรี ประกอบพิธีเสกสมรสให้ดยุคและดัชเชสแห่งซัสเซกซ์ที่โบสถ์เซนต์จอร์จ ก่อนหน้านี้ เดอะซัน หนังสือพิมพ์แทบลอยด์ของอังกฤษได้เผยแพร่สำเนาทะเบียนสมรสของดยุคและดัชเชสแห่งซัสเซกซ์ซึ่งลงวันที่ 19 พ.ค. 2018 โดยระบุข้อมูลว่าทั้งสองพระองค์สมรสกันอย่างถูกต้องตามกฎหมายที่พระราชวังวินด์เซอร์ โดยมีพระนามของเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ และชื่อของนางดอเรีย เรกแลนด์ มารดาของเมแกนเป็นพยาน นอกจากนี้ เดอะซันยังอ้างคำสัมภาษณ์ของนายสตีเฟน เบอร์ตัน อดีตเจ้าหน้าที่ประจำสำนักงานที่ดูแลเรื่องการจดทะเบียนสมรสของคริสตจักรแห่งอังกฤษว่า ดัชเชสแห่งซัสเซกซ์ น่าจะสับสนและเข้าใจผิด "ทั้งคู่ไม่ได้แต่งงาน 3 วันล่วงหน้า ต่อหน้าอาร์ชบิชอปแห่งแคนเทอร์เบอรี" "ทะเบียนสมรสที่ผมช่วยร่างขึ้นมา ช่วยให้ทั้งคู่แต่งงานกันได้ที่โบสถ์เซนต์จอร์จ และสิ่งที่เกิดขึ้นในวันที่ 19 พ.ค. ปี 2018 ซึ่งผู้คนหลายล้านคนทั่วโลกได้ชมนั้นก็เป็นการแต่งงานอย่างเป็นทางการที่ได้รับการยอมรับจากคริสตจักรแห่งอังกฤษ" "สิ่งที่ผมเดาคือ ดยุคและดัชเชสแห่งซัสเซกซ์ได้แลกเปลี่ยนคำสาบานที่อาจเขียนขึ้นเองตามสมัยนิยม แล้วกล่าวต่อหน้าอาร์ชบิชอปแห่งแคนเทอร์เบอรี หรืออาจเป็นแค่การซักซ้อม" นอกจากนี้ นายเบอร์ตันกล่าวว่า "ทั้งคู่ไม่สามารถแต่งงานกันได้ที่พระตำหนักของเจ้าชายแฮร์รี เพราะไม่ใช่สถานที่แต่งงานที่ได้รับอนุญาต อีกทั้งยังไม่มีสักขีพยานเพียงพอ... คุณไม่สามารถแต่งงานโดยมีคนร่วมพิธีเพียง 3 คนได้ มันไม่ใช่พิธีที่ถูกต้อง"
|
จัสติน เวลบี อาร์ชบิชอปแห่งแคนเทอร์เบอรี ระบุว่าเจ้าชายแฮร์รี ดยุคแห่งซัสเซกซ์ และเมแกน ดัชเชสแห่งซัสเซกซ์ แต่งงานกันอย่างถูกต้องตามกฎหมายเพียงครั้งเดียวในพิธีที่พระราชวังวินด์เซอร์ เมื่อ 19 พ.ค. 2018 ซึ่งไม่ตรงกับคำกล่าวของเมแกนในการให้สัมภาษณ์กับโอปราห์ วินฟรีย์ ว่าเธอกับเจ้าชายแฮร์รีได้แต่งงานเป็นการส่วนพระองค์ 3 วันก่อนหน้าวันงานจริง
|
features-48035293
|
https://www.bbc.com/thai/features-48035293
|
รีไซเคิลผ้าอ้อมสำเร็จรูป อีกหนทางแก้ปัญหาขยะล้นโลก?
|
เดวิด ชุกแมน บรรณาธิการข่าววิทยาศาสตร์บีบีซี พาไปชมโรงงานรีไซเคิลผ้าอ้อมสำเร็จรูปแห่งหนึ่งในประเทศอิตาลี ซึ่งเป็นโครงการนำร่องที่ได้รับการสนับสนุนจาก บริษัทพรอคเตอร์แอนด์แกมเบิล (พีแอนด์จี) ผู้ผลิตผ้าอ้อมสำเร็จรูปรายใหญ่ของโลก โดยมีเป้าหมายในการลดปริมาณขยะประเภทผ้าอ้อมสำเร็จรูปที่กำลังก่อให้เกิดปัญหาทางด้านสิ่งแวดล้อม สำหรับกระบวนการรีไซเคิลผ้าอ้อมใช้แล้วที่นี่นั้น ในขั้นแรกคือนำผ้าอ้อมไปไว้ในแทงก์เก็บ เพื่อดูดกรองกลิ่นไม่พึงประสงค์ออกไป จากนั้นจะนำผ้าอ้อมไปเข้าเครื่องเพื่อทำให้มันฉีกขาดออกจากกัน โดยใช้ความร้อน แรงดัน และไอน้ำ ขจัดของเสียออกจากผ้าอ้อม วัสดุที่ได้จากกระบวนการนี้จะถูกย่อยเป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้วนำเข้าเตาอบให้แห้งเพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรียตกค้าง ขั้นต่อไปคือการคัดแยกวัสดุประเภทต่าง ๆ ในผ้าอ้อม เพื่อนำไปใช้ประโยชน์อย่างอื่นต่อไป อาทิ ผลิตภัณฑ์พลาสติกชนิดอื่น เช่น ฝาขวดน้ำ หรือนำวัสดุดูดซับในผ้าอ้อมไปใช้ทำทรายแมว ขณะที่เยื่อเซลลูโลสสามารถนำไปใช้ทำนามบัตรได้
|
ผ้าอ้อมสำเร็จรูปนับเป็นผลิตภัณฑ์ที่จำเป็นสำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกอ่อน แต่คุณทราบหรือไม่ว่าในแต่ละปีมีขยะจากผ้าอ้อมสำเร็จรูปใช้แล้วมากถึง 1.87 แสนล้านชิ้นทั่วโลก อีกทั้งขยะประเภทนี้ยังไม่เหมือนกับขยะจำพวกขวด กระป๋อง และกระดาษ ตรงที่นำไปเข้ากระบวนการรีไซเคิลเพื่อนำกลับมาใช้ประโยชน์อย่างอื่นได้ยาก
|
international-55724424
|
https://www.bbc.com/thai/international-55724424
|
โจ ไบเดน มีนโยบายการต่างประเทศอะไรที่ต้องเร่งดำเนินการ
|
นี่คือคำพูดของนายโจ ไบเดน ที่กำลังจะเข้าพิธีสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 46 อย่างเป็นทางการในวันนี้ (20 ม.ค.) นับจากนี้นายไบเดน มีภารกิจมากมายรออยู่ ทั้งการแก้วิกฤตโรคโควิด-19 ปัญหาการเมืองภายในประเทศ รวมถึงการเมืองระหว่างประเทศ ที่ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา หลายฝ่ายมองว่าสถานะและอิทธิพลของสหรัฐฯ บนเวทีโลกได้ถดถอยลงจากการดำเนินนโยบาย "อเมริกาต้องมาก่อน" (America First) ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โดยมีการทบทวนการเจรจา หรือนำประเทศถอนตัวจากข้อตกลงการค้า ตลอดจนข้อตกลงความเป็นพันธมิตร และสนธิสัญญาระหว่างประเทศต่าง ๆ โดยอ้างว่าข้อตกลงเหล่านี้ไม่เป็นธรรมต่อสหรัฐฯ ส่งผลให้เกิดการเผชิญหน้ากับชาติพันธมิตรที่เหนียวแน่น และขณะเดียวกันก็มีการผูกมิตรกับประเทศที่เคยเป็นคู่อริสำคัญของสหรัฐฯ เช่น เกาหลีเหนือ และรัสเซีย อย่างไรก็ตาม นายไบเดนได้ให้คำมั่นจะกอบกู้สถานะของสหรัฐฯ บนเวทีโลกขึ้นมาอีกครั้ง ตลอดจนฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่เสื่อมถอยลงให้กลับมาแน่นแฟ้นดังเดิม สำหรับนโยบายด้านการต่างประเทศเร่งด่วนที่นายไบเดนจะเริ่มดำเนินการในฐานะประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯ ได้แก่ การนำสหรัฐฯ กลับเข้าร่วมความตกลงปารีส ซึ่งเป็นกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการรับมือกับความเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ และการกลับเข้าเป็นสมาชิกองค์การอนามัยโลก เพื่อต่อสู้กับวิกฤตสาธารณสุขโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแพร่ระบาดใหญ่ของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ นอกจากนี้ นายไบเดน ยังประกาศผนึกกำลังกับชาติประชาธิปไตยเพื่อต่อสู้กับคลื่นของลัทธิอำนาจนิยมที่กำลังเพิ่มขึ้น โดยเขาต้องการจัด "การประชุมสุดยอดชาติประชาธิปไตย"เพื่อทัดทานกับอิทธิพลของจีน ขณะเดียวกัน นายไบเดนยังตั้งเป้าจะนำสหรัฐฯ กลับเข้าร่วมในข้อตกลงระหว่างประเทศอีกรายการที่นายทรัมป์ถอนตัวออกมา นั่นคือข้อตกลงที่ผ่อนคลายมาตรการคว่ำบาตรต่ออิหร่านเพื่อแลกเปลี่ยนกับการที่อิหร่านจะจำกัดโครงการพัฒนานิวเคลียร์ให้มีขนาดเล็กลง
|
"อเมริกากลับมาแล้ว และพร้อมจะนำพาโลก ไม่ใช่ถอยออกจากประชาคมโลก"
|
thailand-57128921
|
https://www.bbc.com/thai/thailand-57128921
|
พฤษภาทมิฬ: ครบรอบ 29 ปี เหตุสลายการชุมนุมประท้วงขับไล่ พล.อ. สุจินดา คราประยูร
|
18 พ.ค. 2535 ชายคนหนึ่งใช้กล่องนมรองศีรษะไว้ขณะที่ถูกทหารถืออาวุธสั่งให้นอนคว่ำหน้าบนพื้นถนนอันร้อนระอุ ภุสพงศ์ ฉายประเสริฐ ผู้สื่อข่าวอาวุโสบันทึกเหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมืองครั้งหนึ่งไทยไว้ในรายงานพิเศษเรื่อง "30 ปี รัฐประหาร รสช. การแย่งอำนาจที่นำไปสู่การนองเลือด 'พฤษภาทมิฬ'" ที่เผยแพร่ทางเว็บไซต์บีบีซีไทยเมื่อ 23 ก.พ. ที่ผ่านมา การรัฐประหารของคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) นำโดย พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ ที่ยึดอำนาจจากรัฐบาล พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ เมื่อปี 2534 และเหตุการณ์พฤษภา 2535 เป็นสองเหตุการณ์ที่แยกจากกันไม่ได้เพราะรัฐประหาร รสช. นำมาสู่การชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตยที่จบลงด้วยการนองเลือดอันเป็นที่มาของคำว่า "พฤษภาทมิฬ" เหตุสลายการชุมนุมเริ่มต้นขึ้นในวันนี้ (17 พ.ค.) และสิ้นสุดลงในวันที่ 21 พ.ค. 2535 เกิดอะไรขึ้นบ้างที่ถนนราชดำเนินในช่วงเวลานั้น บีบีซีไทยสรุปเหตุการณ์โดยสังเขปและประมวลภาพมานำเสนอในวาระครบรอบ 29 ปี "พฤษภาทมิฬ" ลำดับเหตุการณ์ 23 ก.พ. 2534 - รัฐประหาร คณะ รสช. ซึ่งมี พล.อ. สุจินดา คราประยูร ร่วมอยู่ด้วย ทำรัฐประหารโค่นรัฐบาลของ พล.อ. ชาติชาย โดยอ้างว่ามีการทุจริตและประพฤติมิชอบ พล.อ. สุจินดาสัญญาว่าจะไม่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 9 ธ.ค. 2534 - รัฐธรรมนูญ 2534 ประกาศใช้รัฐธรรมนูญซึ่งร่างโดยคณะกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญที่ รสช. ตั้งขึ้น 22 มี.ค. 2535 - วันเลือกตั้ง ผลการเลือกตั้งปรากฏว่าพรรคสามัคคีธรรม ที่ก่อตั้งโดยเครือข่าย รสช. ได้คะแนนเสียงมากที่สุด รวบรวมพรรคการเมืองอื่น ๆ ในสภาผู้แทนฯ เลือกพล.อ.สุจินดา ที่ไม่ได้ลงสมัคร ส.ส. เป็นนายกฯ เม.ย. 2535 - เริ่มชุมนุมต่อต้านการสืบทอดอำนาจของ รสช. นักศึกษานำโดยสหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนนท.) และประชาชนซึ่งส่วนใหญ่เป็นชนชั้นกลางในกรุงเทพฯ ออกมาชุมนุมประท้วงคัดค้านการสืบทอดอำนาจของ รสช. เรียกร้องให้ พล.อ.สุจินดาลาออกจากตำแหน่ง ผู้ชุมนุมโจมตี พล.อ.สุจินดาว่าที่ขึ้นมาเป็นนายกฯ ทั้งที่เคยลั่นวาจาไว้หลังรัฐประหารว่าจะไม่รับตำแหน่งนี้ซึ่งถือว่าเป็นการ "ตระบัดสัตย์" แต่ พล.อ.สุจินดาอ้างว่า "เสียสัตย์เพื่อชาติ" การชุมนุมยืดเยื้อมาจนถึงเดือน พ.ค. ขณะที่สถานการณ์ตึงเครียดขึ้นเรื่อย ๆ 17-21 พ.ค. - สลายการชุมนุม รัฐบาลของ พล.อ. สุจินดาส่งทหารและตำรวจหลายพันคน พร้อมรถถังและรถหุ้มเกราะเข้าสลายการชุมนุมที่สะพานผ่านฟ้าในคืนวันที่ 17 พ.ค. โดยใช้กระสุนจริง ทำให้มีผู้เสียชีวิต บาดเจ็บ และสูญหายเป็นจำนวนมาก วันที่ 18 พ.ค. พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ผู้นำการชุมนุมถูกจับกุม แต่ผู้ประท้วงยังคงพยายามรวมตัวกันและทหารยังปราบปรามต่อเนื่อง วันที่ 20 พ.ค. มีการประกาศเคอร์ฟิวในกรุงเทพฯ และในวันนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 มีรับสั่งให้ผู้นำฝ่ายรัฐบาลคือ พล.อ.สุจินดา และฝ่ายผู้ประท้วงคือ พล.ต.จำลอง เข้าเฝ้าฯ โดยมี พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ และนายสัญญา ธรรมศักดิ์ ประธานองคมนตรีในขณะนั้นนำเข้าเฝ้าฯ ตอนหนึ่งของพระราชดำรัสที่พระราชทานแก่ พล.อ.สุจินดาและพล.ต.จำลองมีความว่า "ถ้าหากว่าเผชิญหน้ากันแบบนี้ต่อไป เมืองไทยมีแต่ล่มจมลงไป แล้วก็จะทำให้ประเทศไทย ที่เราสร้างเสริมขึ้นมาอย่างดี เป็นเวลานาน จะกลายเป็นประเทศที่ไม่มีความหมาย หรือมีความหมายในทางลบเป็นอย่างมาก" หลังการเข้าเฝ้าฯ การเผชิญหน้าระหว่างทั้งสองฝ่ายก็ยุติลง พล.อ.สุจินดาประกาศยกเลิกเคอร์ฟิวในวันรุ่งขึ้น ภายหลังเหตุการณ์ยุติ กระทรวงมหาดไทยรายงานว่ามีผู้เสียชีวิต 44 ราย บาดเจ็บรวม 1,728 ราย (สาหัส 47 ราย) และสูญหายอีก 48 ราย แต่หลายฝ่ายเชื่อว่าตัวเลขจริงสูงกว่านั้นมาก 17 พ.ค.2535 ผู้ชุมนุมต่อต้านการสืบทอดอำนาจของ รสช. รวมตัวกันที่ท้องสนามหลวง เรียกร้องให้ พล.อ.สุจินดา ลาออกจากตำแหน่งนายกฯ สื่อต่างประเทศรายงานว่ามีผู้ชุมนุมกว่า 150,000 คน และเป็นวันที่รัฐบาลเริ่มใช้กำลังเข้าปราบปราม 17 พ.ค. 2535 พล.ต.จำลอง ศรีเมือง (ที่สองจากขวา) ยืนปราศรัยบนเวทีพร้อมด้วยแกนนำการชุมนุมอีก 3 คน หนึ่งในนั้นคือนายปริญญา เทวานฤมิตรกุล ซึ่งขณะนั้นเป็นประธานสหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนนท.) ปัจจุบันนายปริญญาเป็นอาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 17 พ.ค. 2535 ผู้ชุมนุมที่ยืนเผชิญหน้ากับแนวทหารมอบดอกไม้ให้ทหารขณะที่สถานการณ์เริ่มตึงเครียดขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากนั้นอีกไม่นานรัฐบาลสั่งการให้ปราบปรามผู้ชุมนุม 17 พ.ค.2535 ผู้ชุมนุมคนหนึ่งขว้างหินใส่อาคารแห่งหนึ่งซึ่งเป็นที่ทำการของหน่วยงานรัฐบาล เบื้องหลังเป็นรถยนต์ที่ไฟกำลังลุกไหม้ในคืนวันที่ทหารใช้อาวุธเข้าสลายการชุมนุม มีผู้เสียชีวิตหลายรายในคืนนั้น 17 พ.ค. 2535 ผู้สื่อข่าวคนหนึ่งกำลังรายงานข่าวจากตู้โทรศัพท์สาธารณะ ขณะที่ด้านนอกมีรถยนต์หลายคันถูกไฟเผา 17 พ.ค. 2535 ผู้ชุมนุมคนหนึ่งโบกธงชาติ ขณะที่มืออีกข้างรื้อรั้วลวดหนามที่เจ้าหน้าที่นำมากั้น ไม่กี่ชั่วโมงก่อนเจ้าหน้าที่เปิดฉากสลายการชุมนุมด้วยอาวุธ 18 พ.ค. 2535 ผู้ชุมนุมที่เป็นผู้ชายถูกมัดมือไพล่หลังนั่งอยู่บริเวณด้านหน้าโรงแรมรัตนโกสินทร์โดยมีทหารถือปืนยืนคุมหลังเหตุสลายการชุมนุมในคืนวันที่ 17 พ.ค. 18 พ.ค. 2535 กลุ่มผู้ประท้วงถูกจับกุมบริเวณสะพานผ่านฟ้า พวกเขาถูกสั่งให้ถอดเสื้อและนำมามัดมือไพล่หลัง ระหว่างรอขึ้นรถลำเลียงของทหารไปยังที่คุมขัง 18 พ.ค. 2535 ผู้ชุมนุมประท้วงขับไล่ พล.อ.สุจินดา คราประยูร ถูกสั่งให้นอนคว่ำหน้าบนพื้นถนนและบาทวิถี ถ.ราชดำเนินกลาง บริเวณสะพานผ่านฟ้าหลังทหารใช้กำลังเข้าสลายการชุมนุม 20 พ.ค. 2535 นักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหงจัดชุมนุมที่มหาวิทยาลัย โจมตี พล.อ.สุจินดา คราประยูร นายกฯ ในขณะนั้นที่สั่งการให้เจ้าหน้าที่ใช้กำลังสลายการชุมนุมที่ถนนราชดำเนินระหว่างวันที่ 17-19 พ.ค. ทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก 20 พ.ค. 2535 โทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจเผยแพร่ภาพ พล.อ.สุจินดา และ พล.ต.จำลอง เข้าเฝ้าในหลวงรัชกาลที่ 9 ป้ายประท้วงขับไล่ พล.อ.สุจินดา ยังคงมีให้เห็นหลังเหตุสลายการชุมนุม 17-20 พ.ค. 2535
|
"กลางดึกคืนนั้น ผู้เขียนและเพื่อนนักข่าวกลุ่มเล็ก ๆ แอบหลบกันอยู่ท่ามกลางความมืดในอาคารสำนักงานแห่งหนึ่งริมถนนราชดำเนิน ด้านนอกอาคารระงมไปด้วยเสียงปืน เสียงทุบทำลายขว้างปาสิ่งของ เสียงทหารประกาศผ่านเครื่องขยายเสียงให้ผู้ชุมนุมสลายตัว ขณะที่กำลังทหารรุกคืบจากสะพานผ่านฟ้าลีลาศ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ไปถึงโรงแรมรัตนโกสินทร์ และอาคารกรมประชาสัมพันธ์เก่าที่อยู่ฝั่งตรงกันข้าม"
|
international-52122422
|
https://www.bbc.com/thai/international-52122422
|
ไวรัสโคโรนา : เรื่องต้องรู้เกี่ยวกับเซ็กส์ระหว่างโควิด-19 ระบาด
|
เรามีคำตอบจากผู้เชี่ยวชาญมาไขข้อสงสัยให้คุณ มีเซ็กส์ช่วงโควิด-19 ระบาด ปลอดภัยไหม หากคุณกับคู่รักอยู่บ้านเดียวกันอยู่แล้วก็ไม่เป็นไร อย่างไรก็ตาม หากใครคนใดคนหนึ่งแสดงอาการเสี่ยงติดโรคโควิด-19 เพียงเล็กน้อย คุณทั้งสองคนต้องกักตัวเองแม้จะอยู่บ้านเดียวกัน เราไม่ควรสรุปเอาเองว่าคุณมีอาการเล็กน้อยแล้วคู่รักของคุณจะเป็นแค่นั้นเหมือนกัน การมีเซ็กส์กับคนที่เพิ่งรู้จักกันใหม่ล่ะ ไม่แนะนำให้มีเซ็กส์กับคนที่เพิ่งรู้จักใหม่ตอนนี้ เพราะมีความเสี่ยงที่คุณจะแพร่เชื้อต่อไปได้ อย่าลืมว่าคุณอาจจะมีเชื้อไวรัสอยู่ในตัวแต่ไม่ได้แสดงอาการอะไรเลย เพราะฉะนั้นคุณสามารถแพร่เชื้อได้จากการจูบและสัมผัสใกล้ชิด ฉันเพิ่งจูบกับคน ๆ หนึ่ง ซึ่งไม่นานหลังจากนั้นเขาเริ่มแสดงอาการ ฉันต้องทำอย่างไร คุณต้องกักตัวเอง และสังเกตอาการตัวเอง หากมีอาการหนักขึ้นให้รีบไปพบแพทย์โดยระมัดระวังไม่ไปใกล้ชิดทำให้คนอื่นเสี่ยงติดโรคไปด้วย เราควรจะมีความรับผิดชอบ หากรู้ว่าเราไปจูบใครคนหนึ่งที่แสดงอาการในเวลาต่อมา เราต้องกักตัวเองแม้ว่าเราจะไม่มีอาการก็ตาม ภาพจำลองไวรัสที่ทำให้เกิดโรค Covid-19 ซึ่งตอนนี้มีชื่อทางการว่า SARS-CoV-2 ก่อนหน้านี้ฉันไม่ได้ใช้ถุงยาง ตอนนี้ควรจะเริ่มใช้ไหม ไม่ต้อง หากว่าคุณและคู่รักได้ไปตรวจแล้วว่าไม่ได้เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และใช้วิธีคุมกำเนิดวิธีอื่นอยู่ แต่คุณควรเริ่มใช้ถุงยาง หากก่อนหน้านี้คุณใช้วิธีมีเพศสัมพันธ์แบบหลั่งข้างนอก หรือว่าไม่เคยไปตรวจหาว่าเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์หรือเปล่า เราสามารถติดเชื้อไวรัสโคโรนาจากการจับอวัยวะเพศคู่รักได้ไหม หากคุณจับอวัยวะเพศของคู่รัก มีแนวโน้มว่าคุณก็น่าจะจูบกับคน ๆ นั้นด้วย ไวรัสโคโรนาสามารถแพร่ระบาดกันได้ผ่านน้ำลาย เราต้องการลดความเสี่ยงตรงนี้ให้น้อยที่สุด ดังนั้นจึงไม่ควรไปสัมผัสใกล้ชิดกับคนที่คุณไม่ได้อาศัยอยู่ด้วย ฉันจะมีความรักได้อย่างไรในช่วงเวลาแบบนี้ ไม่อยากเป็นโสดตอนนี้ การระบาดใหญ่ในครั้งนี้ทำให้หลายคนเริ่มคิดถึงเรื่องความรักและเซ็กส์ในมุมใหม่ ๆ บางคู่เขียนเรื่องวาบหวิวส่งหากันและกัน บางคู่ที่คบหากันอยู่แต่ต้องกักตัวอยู่คนละที่ใช้ระยะห่างและเวลาที่ต่างกันให้เป็นประโยชน์ คุณสามารถใช้ความคิดสร้างสรรค์ทำให้ต่างฝ่ายรู้สึกตื่นเต้นทางเพศได้โดยที่ไม่ต้องอยู่ด้วยกัน อีกเรื่องสำคัญที่ต้องไม่ลืมคือ ในช่วงนี้บางคนอาจเริ่มค้นพบว่าคุณและคู่รักมีความต้องการทางเพศที่อาจจะแตกต่างกัน คุณอาจจะอยากมีเซ็กส์โดยที่คู่รักไม่อยาก หรือในทางกลับกัน เป็นเรื่องสำคัญที่คุณต้องสื่อสารพูดคุยกันด้วยความเคารพและให้เกียรติกัน การอยู่ด้วยกันตลอดไม่ได้หมายความว่าคุณจะมีเซ็กส์ตอนไหนก็ได้ที่อยาก คนที่กักตัวอยู่กับคนรักที่บังคับให้คุณมีเซ็กส์ด้วยจนถึงขั้นกลายเป็นการใช้ความรุนแรงในครอบครัวคุณสามารถโทรหาสายด่วนต่าง ๆ เพื่อขอความช่วยเหลือได้ อาทิ สายด่วน 1300 ศูนย์ช่วยเหลือสังคม ฉันเสี่ยงติดไวรัสโคโรนามากขึ้นไหมหากเป็นโรคเอดส์ หากคุณรับยาต้านไวรัสเอชไอวีเป็นประจำอยู่แล้ว และมีเม็ดเลือดขาว CD4 สำหรับสู้กับไวรัสในปริมาณที่ดี และมีเชื้อเอชไอวีในเลือดในปริมาณที่เรียกกันว่า "ตรวจไม่พบ" (undetectable) ก็จะถือว่าคุณมีระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรง หมายความว่าไม่ได้มีความเสี่ยงติดเชื้อไวรัสโคโรนาเป็นพิเศษ ดังนั้น คุณก็ควรรับยาต้านไวรัสเอชไอวีต่อไป และทำตามข้อปฏิบัติในการรับมือโรคโควิด-19 อย่างเคร่งครัดเหมือนกับคนอื่น ๆ
|
การมีเซ็กส์จะทำให้ฉันติดโรคโควิด-19 ได้ไหมนะ คุณอาจจะเคยแอบคิดแต่ไม่กล้าถามใครเรื่องนี้
|
features-43224394
|
https://www.bbc.com/thai/features-43224394
|
คิวบิกโบรอนไนไตรด์: สุดยอดวัสดุแกร่งกันกระสุน
|
คุณสมบัติที่แข็งแกร่งทนทานทำให้คิวบิกโบรอนไนไตรด์ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือตัดในภาคอุตสาหกรรม ทดแทนเครื่องตัดที่ทำจากเพชรซึ่งมักมีปัญหาในการตัดวัสดุที่ต้องใช้อุณหภูมิสูง เช่น การตัดเหล็ก ทีมงานบีบีซี สตูดิโอส์ ทำการทดสอบความแข็งแกร่งของวัสดุชนิดนี้ โดยยิงกระสุนเจาะเกราะแบบมาตรฐานไปที่แผ่นคิวบิกโบรอนไนไตรด์หนา 6 มิลลิเมตร ผลที่ได้พบว่า คิวบิกโบรอนไนไตรด์สามารถต้านทานลูกกระสุนไม่ให้ทะลุผ่านไปได้ ในขณะที่ลูกกระสุนนั้นแหลกละเอียด ด้วยเหตุนี้คิวบิกโบรอนไนไตรด์จึงถูกนำมาใช้ทำแผ่นเกราะกันกระสุน
|
บีบีซี สตูดิโอส์ พาไปรู้จักกับคิวบิกโบรอนไนไตรด์ (Cubic boron nitride) วัสดุที่มีความแข็งแกร่งที่สุดในโลกที่มนุษย์สร้างขึ้น
|
thailand-44135218
|
https://www.bbc.com/thai/thailand-44135218
|
4 ปีรัฐประหาร: ความตายของ ชัยภูมิ ป่าแส สิทธิมนุษยชนยุคทหารที่ยังไร้คำตอบ
|
4 ปีรัฐประหาร ความตายของ ชัยภูมิ ป่าแส เยาวชนชาวลาหู่ ในความรู้สึกของผู้เป็นแม่ น้ำตาแห่งความคิดถึงยังคงเอ่อล้นทุกครั้งเมื่อกล่าวถึงลูกชายที่อายุหยุดลงเพียง 17 ปี แม้เวลาผ่านมากว่าหนึ่งปี เป็นหนึ่งปี ที่คดียังไร้ความกระจ่าง ด้วยเพราะภาพจากกล้องวงจรปิดในเหตุการณ์ที่ชัยภูมิถูกตรวจค้นรถยนต์จนกระทั่งถูกวิสามัญฆาตกรรม ยังไม่ถูกเปิดเผย มีเพียงแม่ทัพภาคที่ 3 และ ผู้บัญชาการทหารบก ระบุกับสื่อมวลชนว่า "เห็นภาพในกล้องวงจรปิดแล้ว" เป็นหนึ่งปี ที่ไมตรี จำเริญสุขสกุล ผู้ทำหน้าที่ "ผู้ปกครอง" ของชัยภูมิต้องทิ้งบ้านที่ยังสร้างไม่เสร็จ ด้วยความรู้สึกไม่มั่นคงปลอดภัยนับแต่เยาวชนในความดูแล ถูกสังหาร "คืนหนึ่งได้ยินเสียงแถว ๆ หน้าต่าง ก็มีคนมาเหยียบแกร๊ก เป็นกระเบื้องหรือเศษไม้อะไรสักอย่าง เราก็แง้มออกไปดูไม่มี แต่รู้ว่าต้องมีคนแน่ เลยช่วยกันควานหาจนมาเจอกระสุนปืนวางไว้ให้" ทนายเผยว่า ในไต่สวนการตายชัยภูมิ ป่าแส นัดสุดท้ายเมื่อวันที่ 14 มี.ค.ที่ผ่านมา กองพิสูจน์หลักฐานไม่พบภาพกล้องวงจรปิดในวันเกิดเหตุ "เจ้าหน้าที่ก็กลัวตายเหมือนกัน" แม้การเสียชีวิตของเยาวชนลาหู่เกิดขึ้นในพื้นที่ตะเข็บชายแดนไทย-เมียนมา ทว่าได้ส่งผลสะเทือนมาถึงศูนย์กลางในการบริหารราชการแผ่นดิน ทำให้คนระดับรองนายกรัฐมนตรี อย่าง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ต้องออกมาแจงกับสื่อว่าเป็นการป้องกันตัวของเจ้าหน้าที่ เพราะ "เจ้าหน้าที่ก็กลัวตายเหมือนกัน" "ตอนนั้นผมพยายามคิดว่าจะเอาเรื่องนี้ไปถึงนายกฯ อย่างไรเพื่อจะร้องขอความเป็นธรรมให้กับพวกผม ช่วยหน่อยว่าลูกน้องคุณที่เป็นทหารทำแบบนี้กับพวกเรา พยายามคิดและจะไปถึงตรงนั้น แต่ปรากฏว่าเรายังไม่ทันทำอะไรเลย เขาก็ออกมาพูดแล้วว่าพวกเราผิด เขาได้ดูคลิปแล้ว..." ไมตรี กล่าวกับบีบีซีไทย ในวันที่ชัยภูมิจากไปกว่าหนึ่งปี บีบีซีไทย ย้อนทบทวนคดีวิสามัญเยาวชนลาหู่ ประเด็นสิทธิมนุษยชนที่เกิดขึ้นในยุค คสช. กับเหตุการณ์ความรับผิดจากกองทัพที่สังคมเรียกร้อง หนึ่งปีหลังความตายชัยภูมิ แต่ความทรงจำ 17 ปียังอยู่ ชัยภูมิ หรือ "จะอุ๊" ยังคงอยู่ในความระลึกนึกถึงของบรรดาคนที่รู้จัก และเพื่อนพี่น้องที่เขาคลุกคลีทำกิจกรรมด้านศิลปวัฒนธรรมให้เด็ก ๆ เยาวชน ผ่านดนตรี หนังสั้น และภาพยนตร์ ในนามกลุ่มรักษ์ลาหู่ เพื่อดึงเยาวชนให้ออกห่างจากยาเสพติดในพื้นที่ เขาเป็นที่รู้จักในกลุ่มเยาวชน ภาคประชาสังคม กลุ่มชนเผ่าพื้นเมือง จึงยากที่กลุ่มคนที่รู้จักชัยภูมิดีจะเชื่อได้ว่า เขาเกี่ยวข้องกับยาเสพติด ตามที่เจ้าหน้าที่ทหารกล่าวอ้างเป็นเหตุที่นำมาสู่การตรวจค้นจนสิ้นสุดที่การวิสามัญฆาตกรรม เครือข่ายชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทย เข้ายื่นหนังสือต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน (กสม.) ช่วงเดือน มี.ค. 2560 เรียกร้องให้เร่งตรวจสอบกรณีวิสามัญฆาตกรรมนายชัยภูมิ ป่าแส เมื่อมีชีวิต ชัยภูมิเป็นกำลังหลักที่หาเลี้ยงทุกปากท้อง รับจ้างทุกอย่างที่ทำได้ ในวันหยุด เงินที่ได้มาก็เป็นทั้งค่าเล่าเรียนของตัวเอง เป็นค่ากินอยู่ให้แม่ และส่งเสียน้องชายต่างบิดาให้ได้เรียนหนังสือ "มีลูกอีกคน เดินเที่ยวอยู่แถวนี้ 11 ขวบแล้ว ตอนที่พี่เขาไม่อยู่ นี่ไม่ไปโรงเรียนแล้ว เพราะว่าไม่มีค่าเรียนหนังสือ" นาปอย กล่าวกับบีบีซีไทย หลังสูญเสียลูก นาปอย ย้ายมาอยู่ที่บ้านของ ไมตรี จำเริญสุขสกุล ผู้แลชัยภูมิ ที่ลูกชายของเขานับถือเหมือนญาติพี่น้อง "ไม่มีข้าวกิน ไม่มีงานทำ" คือเหตุผลที่เธอบอก หลังสูญเสียลูกชาย นาปอย ป่าแส ย้ายมาอยู่ที่บ้านของไมตรี จำเริญสุขสกุล ผู้แลชัยภูมิ เนื่องด้วยความยากลำบากในการหารายได้เลี้ยงปากท้อง ภาพวงจรปิด ข้อเท็จจริงที่สาบสูญ ภายหลังการเสียชีวิต ครอบครัวและเพื่อนจึงออกมาทวงถามข้อสงสัยที่ว่าเจ้าหน้าที่กระทำการเกินกว่าเหตุหรือไม่ กับประเด็นเรื่องภาพจากกล้องวงจรปิด พล.ท.วิจักขฐ์ สิริบรรสพ แม่ทัพภาคที่ 3 เจ้าของวลี "ถ้าเป็นผมในเวลานั้นอาจกดออโต้ไปแล้วก็ได้" กล่าวในวันที่ 27 มี.ค. ว่า ได้ส่งมอบภาพวงจรปิดในวันเกิดเหตุให้กับตำรวจเพื่อใช้เป็นพยานหลักฐานในชั้นศาลแล้ว จึงไม่สามารถนำมาเผยแพร่ได้ 17 เม.ย. 2560 หนึ่งเดือนหลังเกิดเหตุ บีบีซีไทย ได้ตรวจสอบกับหนึ่งในพนักงานสอบสวนพบว่า ตำรวจยังไม่ได้ภาพวงจรปิดจากทหาร ผ่านมาจนถึงการไต่สวนการตายของชัยภูมินัดสุดท้ายในเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา ภาพวงจรปิดยังไม่ถูกเปิดเผยต่อสาธารณะ นายสุมิตรชัย หัตถสาร ทนายความศูนย์พิทักษ์และฟื้นฟูสิทธิชุมชนท้องถิ่น ทนายความของผู้ตาย เปิดเผยกับบีบีซีไทยถึงรายงานของกองพิสูจน์หลักฐานกลาง (พฐ.) ที่นำมาเปิดเผยในชั้นไต่สวน ระบุว่า "ไม่พบภาพวันเกิดเหตุในฮาร์ดดิสก์ แต่พบว่ามีการบันทึกสำเนาออกไป" เป็นภาพในช่วงเวลา 10 นาฬิกา ของวันที่ 17 มี.ค.2560 เฟซบุ๊กเพจ พลเมืองต่อต้าน ซิงเกิล เกตเวย์เพื่อเสรีภาพ นำภาพทหารตรวจค้นรถยนต์ของหนุ่มลาหู่ ไม่มีภาพการต่อสู้ขัดขวางต้านก่อนถูกวิสามัญฯ มาเผยแพร่บนโลกออนไลน์ ย้อนกลับไปดูการให้สัมภาษณ์สื่อ จะมีก็แต่เพียง พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบก และ พล.อ.พล.ท.วิจักขฐ์ สิริบรรสพ แม่ทัพภาคที่ 3 ที่ได้เห็นเหตุการณ์จากภาพในกล้องวงจรปิดแล้ว "สิ่งที่เราเสียดายคือหลักฐานสำคัญไม่ได้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม" นายสุมิตรชัย กล่าว ส่วนคำชี้แจงของ แม่ทัพภาคที่ 3 ยืนยันว่ากองทัพส่งหลักฐานทั้งหมดให้กับพนักงานสอบสวนแล้ว และพร้อมน้อมรับคำตัดสินของศาลยุติธรรม "ตั้งแต่แรกเลยผมบอกว่า ผมไม่ได้แทรกแซงกระบวนการของฝ่ายตำรวจ พอเกิดเหตุการณ์ขึ้นมา มีประชาชนเสียชีวิต ก็เป็นเรื่องของฝ่ายตำรวจ จะใช้อำนาจของทหารเข้าไปไม่เหมาะที่จะกระทำ" ศาลจังหวัดเชียงใหม่จะมีคำสั่งในคดีไต่สวนการตายในวันที่ 6 มิ.ย.นี้ หวนคืนมาตภูมิ เดือน เม.ย. กิจกรรมเยาวชนที่ชัยภูมิหรือ "จะอุ๊" ของเพื่อนพี่น้อง เคยเป็นเรี่ยวแรงสำคัญกลับมาจัดขึ้นอีกครั้ง หลังการเสียชีวิตของเขา นี่ยังเป็นครั้งแรกที่ ไมตรี ผู้ปกครองของชัยภูมิ ได้กลับมานอนบ้านของตัวเอง หลังจากต้องหนีออกไปจากหมู่บ้านด้วยความหวาดกลัวเรื่องความปลอดภัยในชีวิต ตั้งแต่วันที่ 29 พ.ค. 2560 ซึ่งเป็นวันที่น้องสะใภ้ และญาติของชัยภูมิ ถูกตำรวจมาบุกจับด้วยข้อหาเกี่ยวข้องยาเสพติด เยาวชนร่วมนำ "ดอกเสื้อ" สัญลักษณ์แทนความหวังว่าจะได้กลับมาเจอผู้ล่วงลับตามวัฒนธรรมของชาวลาหู่ มาวางบนหลุมศพของชัยภูมิ ป่าแส ในงานรำลึกการเสียชีวิตเมื่อเดือน เม.ย. ก่อนหน้าที่ตำรวจ และเจ้าหน้าที่หน่วยปราบปรามยาเสพติด (ปปส.) จะสนธิกำลังมาที่หมู่บ้าน ไมตรีเผชิญกับภาวะที่ทำเขาไม่รู้สึกปลอดภัย ภายหลังชัยภูมิเสียชีวิต ทั้งเหตุการณ์ที่มีบุคคลขี่รถจักรยานยนต์วนเวียนละแวกบ้านเพื่อถ่ายรูป พบกระสุนปืนไม่ทราบที่มาวางไว้ข้างบ้าน "เริ่มด้วยการถูกเรียกไปเจรจา โดยที่ไม่ให้มีทนาย พอไม่ไปสักพักก็มีคนมาถ่ายรูปบ้าน ขับมอเตอร์ไซค์มาวนตลอด เจอกระสุนปืนวางไว้ที่เสาข้างห้องน้ำ น้องชายหยิบมาแล้วบอกว่า เขาขู่แล้วนะ วางก็คือขู่ แต่อีกรอบคงไม่วางไว้ตรงนั้นแล้ว คงจะมาอยู่ในร่างกายของเราสักคนหนึ่ง" ไมตรีกล่าวกับบีบีซีไทย ปีที่แล้ว ไมตรี จำเริญสุขสกุล ประธานกลุ่มรักษ์ลาหู่และผู้ดูแลชัยภูมิ ต้องเผชิญจากการคุกคามจนต้องย้ายออกไปจากหมู่บ้านกองผักปิ้ง แม่ทัพภาคที่ 3 ปฏิเสธเรื่องนี้ และระบุว่าตรวจสอบไม่พบกรณีแบบนี้ พร้อมชี้ว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้เจ้าหน้าที่ของรัฐระวังตัว "ผมว่าไม่ใครคิดทำอย่างนี้ ยิ่งมีเหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้นแล้วยังไปทำอะไรต่อให้ขัดข้องหมองใจมันเป็นไปไม่ได้ที่เจ้าหน้าที่ของรัฐจะต้องกระทำ มีอย่างเดียวคือเยียวยาให้ความช่วยเหลือ มากกว่าไปทำให้เกิดความคิดในเชิงลบกับรัฐ" พล.ท.วิจักขฐ์ ชี้แจงกับบีบีซีไทยทางโทรศัพท์ รัฐต้องปกป้องประชาชน ย้อนกลับไปเมื่อปีที่แล้ว ไมตรีเคยคิดจะร้องขอความเป็นธรรมไปยัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรัฐประหาร แต่การออกมาให้ข่าวของนายทหารในกองทัพหลายคน ทำให้เขาเปลี่ยนความคิด "...ตอนนั้นในข่าวที่เขาบอกว่าเห็นคลิปที่บอกว่าน้องชัยภูมิจะปาระเบิด ผมเลยคุยกับพี่น้องเลยว่า เราก็ต้องทำใจแล้ว ถ้าคนของเราทำแบบนี้ก็คงเป็นอย่างนั้นจริง แต่พอสืบไปสืบมา กล้องไม่ยอมเปิดเผย ก็แสดงว่าไม่ใช่ เราก็เริ่มอยากเห็นมากขึ้น ว่าจริง ๆ แล้วน้องเราโดนกระทำเพราะอะไร…" ไมตรี กล่าวกับบีบีซีไทย ไมตรีมองว่า รัฐบาลและผู้นำประเทศ มีหน้าที่ปกป้องความปลอดภัยในชีวิตแก่ประชาชน เขาแสดงผิดหวังต่อปฏิกิริยาในเชิงปกป้องของนายทหาร ทั้งที่ทหารควรเป็นที่พึ่งของประชาชนให้เห็นข้อเท็จจริงและความโปร่งใสที่ไม่ปกปิดจากกองทัพ ข้อสงสัยต่อภาพเหตุการณ์ในวันเกิดเหตุว่าเป็นอย่างไรยังเป็นสิ่งที่ไมตรีต้องการเห็น เขาระบุว่า ไม่ว่าเหตุการณ์จะเป็นอย่างไรเขาพร้อมยอมรับกับข้อเท็จจริงนั้น "คุณต้องให้ความเป็นธรรมกับลูกทุกคน ไม่ใช่ว่าปกป้องเฉพาะลูกที่มีเครื่องแบบ ลูกที่แบกปืน พวกเราไม่มีปืนไม่มีอะไร ก็คือลูกของคุณเหมือนกัน" "ผมคิดว่าทหารก็ทำผิดเป็น ไม่ใช่ว่าคนที่ใส่ชุดทหารแล้วทำผิดไม่เป็น แต่ในขณะเดียวกันทหารก็มีคนดีเยอะ เพื่อน ๆ (ทหาร) ที่ช่วยเหลือชาวบ้านก็เยอะ เพราะฉะนั้นเราไม่ได้เหมารวมทั้งหมดว่า ทหารทั้งหมดไม่ดี แต่สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นคือ ถ้าทหารทำผิด อย่าปกป้องได้ไหม... เราไม่ได้เกลียดทหารไม่ได้เกลียดเจ้าหน้าที่ แต่เกลียดความไม่เป็นธรรมที่คุณทำกับพวกเรา " ไม่ใช่เพียงแต่คดีของชัยภูมิ แต่รวมถึงหลายเรื่องที่เกิดขึ้นกับคนเล็กคนน้อย ไมตรีมองว่า รัฐบาลจะสร้างความเชื่อใจแก่ประชาชนได้ ต่อเมื่อไม่มองข้ามกลุ่มคนเหล่านี้ และเชื่อว่าผู้นำมีอำนาจพอที่จะทำให้กรณีของชัยภูมิเกิดความเป็นธรรม "เขาอาจจะมองว่า ถ้าหากทำให้พวกผมถูก ชื่อเสียงของทหารก็จะไม่ดี แต่ผมกลับมองตรงข้าม ถ้าเขาจัดการเรื่องนี้ให้เห็นได้ว่ายุติธรรมพอที่จะช่วยเหลือ มีความเป็นธรรมพอ ชาวบ้านก็จะรู้สึกว่าเขาเป็นฮีโร่ เขาคู่ควรกับตำแหน่ง เขาคือพ่อของเราจริง ๆ" ไมตรีกล่าว ขณะที่การออกมาต่อสู้และเปิดเผยสิ่งที่ถูกคุกคามถูกมองจากบุคคลในอำนาจรัฐ ว่าเป็นอคติกับเจ้าหน้าที่ ไมตรียืนยันว่าสิ่งที่เขาทำไม่ได้เกิดจากเหตุแห่งความเกลียดชังทหาร แต่ทำเพื่อความยุติธรรม "ผมอยากให้จบแบบยุติธรรม ถ้าเราผิดจริงก็ไม่เป็นไร เอาภาพออกมา เอาหลักฐานออกมาให้เห็นเลยว่าผิดจริง ถึงแม้ว่าจะทำใจยาก เราก็ต้องทำใจว่ามันคือความจริงใช่ไหม แต่ในขณะนี้เราไม่รู้ว่าความจริงที่คุณให้ มันใช่ไหม มันมีข้อน่าสงสัยหลายอย่าง ตั้งแต่ทุก ๆ กระบวนการ" แม่ทัพภาคที่ 3 ระบุว่า กรณีที่ศาลไต่สวนการตายให้เป็นไปตามหลักฐานข้อเท็จจริง และพร้อมน้อมรับคำตัดสินของศาลยุติธรรม ที่จะให้ความเป็นธรรรมทั้งฝ่ายผู้ตายและเจ้าหน้าที่ แม่ทัพภาคที่ 3 ชี้แจงต่อกระแสสังคมที่มองการกระทำของทหารว่าละเมิดสิทธิมนุษยชน และ ยืนยันให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายตามข้อเท็จจริง ถ้าทหารทำผิดก็ลงโทษตามกฎหมายบ้านเมือง ถ้าผู้ตายผิดพลาดไปก็ว่ากันตามกฎหมาย "คนที่รู้ข้อเท็จจริงเขาจะมองได้ถูกต้อง แต่ถ้าคนฟังเขาเล่าก็อาจจะมองและเชื่อในข้อมูลบางด้าน" แม่ทัพภาคที่ 3 กล่าวกับบีบีซีไทย องค์กรสิทธิมนุษยชน ชี้จำเป็นที่รัฐต้องทำความจริงให้ปรากฏ กรณีที่เกิดขึ้นกับชัยภูมิถูกบรรจุลงรายงานขององค์กรด้านสิทธิมนุษยชนอย่างน้อย 2 องค์กร ทั้งในรายงานด้านสิทธิมนุษยชนทั่วโลก ประจำปี 2560 ของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ออกเมื่อ เม.ย. ว่าเป็นหนึ่งในการใช้กำลังเกินกว่าเหตุต่อผู้ต้องสงสัย ผู้กระทำผิด และเป็นการฆ่าโดยมิชอบด้วยกฎหมาย และรายงานสถานการณ์สิทธิมนุษยชนทั่วโลกของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประจำปี 2560-2561 ที่บันทึกให้กรณีวิสามัญชัยภูมิ เป็นหนึ่งในคดีละเมิดสิทธิมนุษยชนจากการสังหารนอกกระบวนการกฎหมายของเจ้าหน้าที่ หมู่บ้านกองผักปิ้ง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ เป็นพื้นที่ตะเข็บชายแดนไทย-เมียนมา สอดคล้องกับข้อค้นพบของฮิวแมนไรท์วอทช์ ที่ระบุในจดหมายเรียกร้องให้รัฐบาลไทยดำเนินการสอบสวนคดีชัยภูมิอย่างโปร่งใสว่า การปฏิบัติโดยมิชอบของเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจต่อการปราบปราบยาเสพติดยังคงเกิดขึ้นในรัฐบาลอื่น ๆ ภายหลังยุคสงครามยาเสพติด "ผู้ถูกสังหารหลายคนเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ในจังหวัดทางภาคเหนือ ซึ่งมักมีข้อพิพาทกับเจ้าหน้าที่ในท้องถิ่น เป็นเหตุให้พวกเขาถูกขึ้นบัญชีดำว่าเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีค้ายาเสพติด หลายคนถูกสังหารที่ด่านตรวจ หรือถูกสังหารไม่นานหลังจากกลับจากการถูกเรียกตัวให้ไปรายงานตัวที่ฐานทัพหรือโรงพักในพื้นที่เพื่อสอบปากคำ" ฮิวแมนไรท์วอทช์ ระบุ ด้านนางอังคณา นีละไพจิตร กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เสริมว่า "เหตุวิสามัญชัยภูมิ ถือว่าเป็นอาชญากรรมของรัฐ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่รัฐต้องทำความจริงให้เกิดขึ้นที่ทุกฝ่ายยอมรับร่วมกัน" หมายเหตุ : ติดตามรายงานพิเศษชุด "4 ปีรัฐประหาร" ได้ตลอดสัปดาห์
|
"ตอนที่รู้ข่าวเป็นลมเลย ไม่รู้สึกอะไรเลย เสียใจมาก มีลูกชายคนเดียวก็มาเสียแบบนี้" นาปอย ป่าแส แม่ของนายชัยภูมิ ป่าแส เยาวชนนักกิจกรรมชาติพันธุ์ลาหู่ ซึ่งถูกทหารหน่วยร้อย ม.2 บก.ควบคุมที่ 1 ฉก.ม.5 ยิงเสียชีวิตที่ด่านตรวจถาวรบ้านรินหลวง ต.เมืองนะ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ เมื่อ 17 มี.ค. 2560 กล่าวกับบีบีซีไทยที่หมู่บ้านกองผักปิ้ง บ้านเกิดของชัยภูมิ
|
international-40717800
|
https://www.bbc.com/thai/international-40717800
|
เปิดใจสาวยาซิดีผู้ตกเป็นทาสทางเพศของไอเอส
|
เมื่อ 3 ปีก่อน กลุ่มไอเอสบุกเข้าโจมตีชาวยาซิดี ซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยเชื้อสายเคิร์ดที่อาศัยอยู่ทางภาคเหนือของอิรัก แล้วสังหารชายชาวยาซิดี ขณะเดียวกันก็จับตัวเด็กและผู้หญิงเอาไว้ แล้วบังคับให้ผู้หญิงเหล่านี้เป็นทาสบำเรอกามของนักรบไอเอส อิกลัสถูกไอเอสลักพาตัวไปตอนอายุ 14 ปี แล้วถูกบังคับให้เป็นทาสทางเพศอยู่นานถึง 6 เดือน เธอเล่าให้ฟังว่าตอนนั้นเธอถูกนักรบไอเอสข่มขืนทุกวันจนเคยพยายามฆ่าตัวตายหนีความทุกข์ทรมานที่ต้องเผชิญ ทว่าไม่ประสบความสำเร็จ และในที่สุดก็หลบหนีออกมาได้ในขณะที่ชายคนดังกล่าวออกไปสู้รบ อิกลัส บอกกับผู้สื่อข่าวบีบีซีว่า เธอสามารถเล่าเรื่องราวอันเลวร้ายที่ตนเองประสบมาได้โดยที่ไม่ร้องไห้ออกมานั้น เป็นเพราะเธอร้องไห้จนไม่มีน้ำตาจะไหลออกมาอีกต่อไป "ฉันเล่าเรื่องนี้โดยที่ไม่ร้องไห้ออกมาได้ยังไงนะเหรอ ก็เพราะฉันไม่เหลือน้ำตาจะให้ร้องอีกแล้วนะซิ" ปัจจุบันอิกลัสถูกส่งตัวไปเข้ารับการบำบัดและเยียวยาด้านจิตใจที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในเยอรมนี ซึ่งขณะเดียวกันเธอก็มีโอกาสได้เรียนหนังสือเพื่อสานฝันที่จะเป็นนักกฎหมายในอนาคตด้วย
|
อิกลัส เป็นหนึ่งในผู้หญิงชาวยาซิดีที่ถูกกลุ่มที่เรียกตนเองว่ารัฐอิสลาม (ไอเอส) ลักพาตัวไปบังคับให้เป็นทาสทางเพศแก่เหล่านักรบของกลุ่ม เธอสามารถหลบหนีออกมาได้ และเปิดใจถึงประสบการณ์อันเลวร้ายที่เธอไม่มีวันจะลืมเลือน
|
international-40124991
|
https://www.bbc.com/thai/international-40124991
|
สนามบินร้างที่ศรีลังกา
|
แม้จะลงทุนไปกว่า 3 หมื่นล้านบาท ปัจจุบันมีเพียงสายการบินเดียวที่บินมาที่นี่ โดยมีผู้โดยสารมาใช้บริการเพียงแค่วันละ 50-70 คน ด้วยเหตุที่ตั้งอยู่ห่างจากเมืองหลัก และสถานท่องเที่ยวสำคัญ อีกทั้งยังมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ด้วยว่าอดีตประธานาธิบดีมหินทรา ราชปักษา สร้างสนามบินนี้ในเขตเลือกตั้งตัวเองเพื่อเอาใจฐานเสียง
|
สนามบินนานาชาติแห่งที่ 2 ของประเทศศรีลังกาเปิดใช้ครั้งแรกเมื่อปี 2013 หลังจากแห่งแรกที่กรุงโคลัมโบ
|
international-56878449
|
https://www.bbc.com/thai/international-56878449
|
โควิด-19: พาสปอร์ตวัคซีนคืออะไร และจะมีการใช้งานอย่างไร
|
พาสปอร์ตวัคซีนไม่ใช่หนังสือเดินทาง แต่คือใบรับรองที่ถูกคาดหมายให้แสดงว่าคนคนนั้นได้รับวัคซีนแล้วหรือไม่ มีผลตรวจโควิด-19 เป็นลบ หรือหายจากการป่วยแล้ว ในช่วงเวลา 6 เดือนล่าสุด อาจจะมีการใช้งานพาสปอร์ตวัคซีนในการเดินทางไปต่างประเทศ การเข้าโรงละคร หรือไปเยี่ยมบุคคลอันเป็นที่รักที่อยู่ในสถานดูแล แต่ก็มีความกังวลหลายอย่างเกี่ยวกับพาสปอร์ตวัคซีน ไม่ใช่ทุกคนคิดว่า มันถูกต้องตามจริยธรรม และต่อไปนี้คือเหตุผลว่าทำไมบางคนถึงคิดเช่นนั้น องค์การอนามัยโลกกังวลว่าพาสปอร์ตวัคซีนอาจทำให้การส่งวัคซีนทั่วโลกเกิดความเหลื่อมล้ำมากยิ่งขึ้น ปัจจุบันมีวัคซีนเพียง 0.2% ของทั้งหมดที่มีการให้แก่คนในประเทศที่มีรายได้ต่ำ นอกจากนี้ยังมีความกังวลว่าเรื่องนี้อาจทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางสังคมได้ด้วย เพราะเอกสารนี้ทำให้บางคนสามารถทำเรื่องต่าง ๆ ได้ แต่บางคนทำไม่ได้ บางคนมีปัญหาสุขภาพเฉพาะตัวบางอย่างที่ทำให้ไม่สามารถรับวัคซีนได้อย่างปลอดภัย อีกทั้งยังไม่แน่ชัดว่า วัคซีนทุกชนิดได้ผลมากแค่ไหนในการลดการแพร่กระจายของเชื้อ บางประเทศกำลังเตรียมออกข้อกำหนดเรื่องการเดินทาง สหภาพยุโรปกำลังทำเรื่องใบรับรองดิจิทัลและเกาหลีใต้ประกาศแผนการใช้งานแอปพลิเคชัน สำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติเพื่อพิสูจน์ว่าได้รับวัคซีนแล้ว แต่ยังมีข้อกังวลด้านความเป็นส่วนตัวเกี่ยวกับแอปฯ หนึ่งในข้อกังวลนั้นคือ มันอาจจะถูกใช้งานในการแกะรอยคนและเก็บข้อมูลส่วนตัวของพวกเขาได้
|
บางประเทศกำลังเตรียมใช้เอกสารที่เป็นการรับรองว่าได้รับวัคซีนโควิด-19 แล้ว "พาสปอร์ตวัคซีน" นี้ จะทำให้ผู้ถือเอกสารทำเรื่องต่าง ๆ ได้ อย่าง การเดินทางและการเข้าร่วมกิจกรรมขนาดใหญ่ แต่ผู้คนกำลังมีความเห็นที่แตกต่างกัน โดยบางคนเรียกการทำเช่นนี้ว่า "ไร้จริยธรรม"
|
thailand-56441126
|
https://www.bbc.com/thai/thailand-56441126
|
"ละคร" แก้รัฐธรรมนูญ 2560 ของรัฐสภาไทย ที่มี ไพบูลย์ นิติตะวัน เป็น "นักแสดงนำ"
|
ไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส. พลังประชารัฐ (เนกไทสีเหลือง) ผู้รับบท "นักแสดงนำ" ในทุกฉากสำคัญของการแก้รัฐธรรมนูญ 2560 ตลอดเวลาเกือบครึ่งเทอมของสภาชุดที่ 25 นักเลือกตั้งต่าง "ทำที" สนับสนุนเสียงของนักเรียน นิสิต นักศึกษา และประชาชนบนท้องถนนที่เรียกร้องให้จัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ผ่านกลไกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) โดยฝ่ายค้านได้ยื่นญัตติเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ต่อนายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา เมื่อ 17 ส.ค. 2563 และรัฐบาลยื่นญัตติเมื่อ 1 ก.ย. 2563 7 เดือนผ่านไป กระบวนการทั้งหมดถูกล้มกลางรัฐสภา โดยมีนายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส. พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) รับบท "นักแสดงนำ" ในทุกฉากสำคัญ ทั้งยื้อโหวตวาระแรก-ส่งศาลตีความอำนาจตัวเอง-ปิดเกมคว่ำร่างรัฐธรรมนูญในวาระที่ 3 อย่างไรก็ตามเจ้าตัวไม่ขอให้ความเห็นต่อบทบาทที่ถูกจัดวางไว้ โดยให้คนอื่นเป็นคนตอบดีกว่า บีบีซีไทยชวนย้อนดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในการประชุมรัฐสภา 5 นัด ซึ่งครั้งหนึ่งนายสุทิน คลังแสง ส.ส. พรรคเพื่อไทย เคยเรียกมันว่า "เป็นโรงลิเก หลอกต้มประชาชน" และในวันนี้ก็มีทั้งนักการเมืองและสื่อมวลชนตั้งคำถามต่อการ "เล่นละคร" ของคนในสภา อภิปรายข้ามคืน ก่อน "ยื้อโหวต" วาระแรก 23-24 ก.ย. 2563 การประชุมร่วมกันของรัฐสภาเพื่อพิจารณาญัตติร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม รวม 6 ฉบับ ฉบับแรกเสนอโดยรัฐบาลคือ ร่างรัฐธรรมนูญ แก้ไขมาตรา 256 เพื่อเปิดทางตั้ง ส.ส.ร. มาจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ มีนายวิรัช รัตนเศรษฐ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พปชร. และประธานกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร (วิปรัฐบาล) เป็นเจ้าของร่าง อีก 5 ฉบับเสนอโดยฝ่ายค้าน มีนายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภา เป็นเจ้าของร่าง ประกอบด้วย 1) ร่างรัฐธรรมนูญ แก้ไขมาตรา 256 เพื่อเปิดทางตั้ง ส.ส.ร. 2) ร่างรัฐธรรมนูญ แก้ไขมาตรา 159 และยกเลิกมาตรา 272 เพื่อตัดสิทธิ ส.ว. ในการร่วมลงมติเลือกนายกฯ 3) ร่างรัฐธรรมนูญ ยกเลิกมาตรา 270, 271 เพื่อตัดอำนาจ ส.ว. ในการติดตามแผนปฏิรูปประเทศ 4) ร่างรัฐธรรมนูญ ยกเลิกมาตรา 279 ที่รับรองความชอบธรรมของประกาศและคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และ 5) ร่างรัฐธรรมนูญ แก้ไขเพิ่มเติมระบบเลือกตั้ง โดยให้กลับไปใช้บัตรเลือกตั้ง 2 ใบ และยกเลิกการคำนวณ "ส.ส. พึงมี" นักกิจกรรมการเมืองกลุ่ม "ประชาชนปลดแอก" จัดกิจกรรม "จับ ส.ว. ลงหม้อ" เมื่อปลายปี 2563 เรียกร้องให้ ผบ. เหล่าทัพ และปลัดกระทรวงกลาโหม ในฐานะ ส.ว.โดยตำแหน่ง ลาออก ในการผ่านวาระแรก ต้องได้คะแนนเห็นชอบจากสมาชิกรัฐสภา "ไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่ง" ของสมาชิกเท่าที่มีอยู่ของสองสภา หรือ 369 จาก 737 เสียง (ส.ส. ที่ปฏิบัติหน้าที่ได้มี 487 คน ส.ว. มี 250 คน) และต้องได้รับคะแนนเห็นชอบจาก ส.ว. "ไม่น้อยกว่า 1 ใน 3" ของวุฒิสภาที่มีอยู่ หรือ 84 คน นายวิรัช รัตนเศรษฐ ยอมรับว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้ง 6 ญัตติ "เป็นไปได้ยาก" เพราะยังจะต้องใช้เสียง ส.ว. ถึง 84 เสียงตามที่รัฐธรรมนูญ 2560 กำหนดไว้ แต่ก็ยังไม่ทราบผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้น" แม้ตระหนักในเงื่อนไขเรื่องการได้รับเสียงสนับสนุนจาก ส.ว. แต่ในระหว่างการอภิปราย ก็ยังเกิดเหตุปะทะคารมของสมาชิกสภาล่างกับสภาสูงเป็นระยะ ๆ ด้วยเพราะหนึ่งในร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ฝ่ายค้านชงเข้าสภา มีเป้าหมายเพื่อ "ปิดสวิตช์ ส.ว." ชุดเฉพาะกาลที่มาจากการแต่งตั้งของ คสช. ทำให้ ส.ส. ฝ่ายค้านเปิดฉากวิจารณ์ ส.ว. แบบซึ่ง ๆ หน้าว่า "ไม่เชื่อมโยงกับประชาชน" "เป็นกลไกสืบทอดอำนาจของเผด็จการ" "เป็นสภาเพื่อนพ้องน้องพี่" และทำให้ ส.ว. ลุกขึ้นมาตอบโต้กลับอยู่หลายคู่-หลายยก นอกจากนี้ยังมีหลายคำสำคัญหลุดจากปาก ส.ว. ที่แสดงอาการไม่เห็นด้วยกับการรื้อรัฐธรรมนูญ 2560 เช่น "อย่าทรยศเสียงประชาชน 16.8 ล้านเสียงที่ลงประชามติรับรัฐธรรมนูญ" หรือ "อย่าตัดสินใจรื้อบ้านทั้งหลังโดยไม่ถามเจ้าของบ้านอย่างประชาชน" หรือ "อำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญเป็นของประชาชน... ควรให้ประชาชนลงประชามติเสียก่อนว่าสมควรมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่" โดยอ้างถึงคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญปี 2555 ที่ให้แก้รัฐธรรมนูญเป็นรายมาตรา หลังรัฐบาล น.ส. ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2550 มาตรา 291 เพื่อเปิดทางไปสู่การมี ส.ส.ร. มาจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ รวมถึงยังวิจารณ์เรื่องความสิ้นเปลืองงบประมาณแผ่นดิน 1.5-2 หมื่นล้านบาท หากต้องทำประชามติ 3 ครั้ง เช่นเดียวกับ ส.ส. รัฐบาล ซึ่งบางส่วนเป็นกลุ่ม กปปส. ในพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) และทั้งหมดของพรรครวมพลังประชาชาติไทย (รปช.) ประกาศจุดยืนไม่ขอร่วมลงมติ "เห็นชอบ" ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับรัฐบาล โดยให้เหตุผลว่า "เป็นคนรณรงค์ให้ชาวบ้านรับร่างรัฐธรรมนูญ หากวันนี้มาขอให้มีการแก้ไขก็จะย้อนแย้งกันเอง" และมองว่า "รัฐธรรมนูญ 2560 เป็นรัฐธรรมนูญที่ดีฉบับหนึ่ง" หลังอภิปรายกันข้ามคืน ปรากฏว่ารัฐสภาไม่ได้ลงมติรับ/ไม่รับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญแม้แต่ฉบับเดียว เมื่อนายวิรัช รัตนเศรษฐ เสนอให้มีการตั้งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) พิจารณาก่อนรับหลักการ โดยอ้างว่าที่ผ่านมา ส.ส. กับ ส.ว. ยังไม่เคยคุยกันเลย "วันนี้ถ้าเดินไปแล้วมันถึงทางเดินต่อไปไม่ได้ ผมจะหยุดรอ เพื่ออีก 1 เดือนข้างหน้าก็จะกลับมาใหม่" และ "ผมไม่ยอมให้ร่างที่ผมและคณะเสนอตกไป ถ้ามันจะช้าไปสักเดือนหนึ่ง ผมคิดว่าคุ้มค่า" ประธานวิปรัฐบาลระบุ ความเห็นจากนายวิรัช ถูก "รับลูก" อย่างทันท่วงทีจากนายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส. พปชร. ด้วยการเสนอเป็น "ญัตติแทรก" ขึ้นมาในเวลา 18.20 น. ของวันที่ 24 ก.ย. 2563 โดยอาศัยข้อบังคับการประชุมสภา ข้อที่ 121 วรรคสาม และได้รับการขานรับจากนายสมชาย แสวงการ กรรมาธิการวิสามัญกิจการวุฒิสภา (วิปวุฒิสภา) "ท่านไพบูลย์เสนอทางออก ซึ่งผมคิดว่าเป็นทางออกเพื่อทำให้ทุกอย่างมีทางออก มิใช่ทางตัน อย่าเอาเราเข้าไปอยู่ในตรอกแล้วมัดมือ แล้วบอกว่าให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้" นายสมชายกล่าว ท้ายที่สุดรัฐสภามีมติเห็นชอบให้ตั้ง กมธ.พิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญก่อนรับหลักการ ด้วยคะแนนเสียง 432 ต่อ 255 เสียง งดออกเสียง 28 ไม่ลงคะแนน 1 โดยที่ฝ่ายค้านประกาศ "ไม่สังฆกรรม" งดส่งคนไปร่วม พร้อมวิจารณ์ว่าจะทำให้ภาพลักษณ์รัฐสภาเสียหายจากการ "เตะถ่วง" "ประวิงเวลา" "ไม่จริงใจ" "เป็นโรงลิเก" "หลอกต้มประชาชน" ทำให้เหลือ กมธ. 31 คน จากโควตาเต็ม 45 คน ในช่วงท้ายก่อนปิดการประชุม นายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา กล่าวว่า ได้ซ้อมการลงคะแนนตลอด จึงทราบว่าต้องใช้เวลา 4 ชั่วโมง "ที่สมาชิกบอกว่าถูกหลอก ก็ถูกหลอกเหมือนกัน เพราะผมก็เพิ่งมาทราบช่วงหัวค่ำนี้เอง" ผ่านวาระแรก 2 ร่าง หลังใช้รัฐสภาเป็นเวทีถล่มแหล่งทุนไอลอว์ 17-18 พ.ย. 2563 การประชุมร่วมกันของรัฐสภาเพื่อพิจารณาญัตติร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม รวม 6 ฉบับ ตามที่ กมธ.พิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญก่อนรับหลักการ ที่มีนายวิรัช รัตนเศรษฐ เป็นประธาน ศึกษาเสร็จแล้ว และพิจารณา "ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน" เสนอโดยโครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (ไอลอว์) อีกฉบับ การดึง "วาระร้อน" กลางรัฐสภาไปพูดคุยในห้อง กมธ. ไม่ได้ทำให้ความเห็นของ ส.ว. เปลี่ยนแปลงไป ส่วนใหญ่ยังแสดงอาการไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขมาตรา 256 ที่เปิดทางให้มี ส.ส.ร. มายกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ไอลอว์นำร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน พร้อมรายชื่อประชาชนที่สนับสนุนกว่าแสนคน ยื่นต่อประธานรัฐสภา เมื่อ 22 ก.ย. 2563 เมื่อมีการนำร่างไอลอว์ ซึ่งไม่มีเงื่อนไขห้ามแตะต้องหมวด 1 บททั่วไป และหมวด 2 พระมหากษัตริย์ อย่างในร่างแก้ไขมาตรา 256 ฉบับรัฐบาลและฝ่ายค้าน เข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาในคราวเดียวกัน จึงเป็นการสบช่องให้ ส.ส.พปชร. และ ส.ว. บางส่วนลุกขึ้นทำหน้าที่ "องครักษ์พิทักษ์รัฐธรรมนูญ 2560" โดยให้เหตุผลว่า "ไอลอว์จัดทำรัฐธรรมนูญตามข้อเรียกร้อง 10 ข้อของ 'คณะราษฎร' ล้วนแล้วแต่เป็นปฏิปักษ์ต่อสถาบันฯ" และ "ขัดกับแนวคิดและอุดมการณ์ของพวกเราทุกคนที่รักและเทิดทูนสถาบันฯ" อีกทั้งยังใช้เวทีรัฐสภาอภิปรายโจมตีแหล่งทุนของไอลอว์ด้วย จึงไม่แปลกหากร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของไอลอว์ที่มีประชาชนร่วมรับรองกว่าแสนรายชื่อ จะถูก "โหวตคว่ำ" กลางรัฐสภา โดยมีเพียง 2 ร่างคือ ร่างรัฐธรรมนูญ แก้ไขมาตรา 256 ของรัฐบาล กับฝ่ายค้าน ที่ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาในวาระที่ 1 ขั้นรับหลักการ จากนั้นรัฐสภาได้ตั้ง กมธ.วิสามัญพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มีนายวิรัช รัตนเศรษฐ เป็นประธาน ก่อนกลับมาเสนอรัฐสภาในวาระที่ 2 ส่งศาล รธน. ตีความเพื่อความสบายใจของ ส.ว. 9 ก.พ. 2564 การประชุมร่วมกันของรัฐสภาเพื่อพิจารณาญัตติขอให้ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าปัญหาเกี่ยวกับอำนาจและหน้าที่ของรัฐสภาตามมาตรา 210(2) ของรัฐธรรมนูญ โดยมีนายไพบูลย์ นิติตะวัน และนายสมชาย แสวงการ เป็นเจ้าของญัตติ นายไพบูลย์ให้เหตุผลว่า รัฐธรรมนูญ 2560 ไม่ได้ให้อำนาจรัฐสภาจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ แต่ให้แก้ไขได้เป็นรายมาตรา "หากรัฐสภาไม่ส่งตีความ ผมเป็นห่วงว่าสมาชิกรัฐสภาโดยเฉพาะ ส.ว. จะมีปัญหาต่อการลงมติวาระที่ 3 อาจจะงดออกเสียงได้ เสียงเห็นชอบผ่านร่างรัฐธรรมนูญก็จะไม่เพียงพอ" และ "หากผลการวินิจฉัยหากศาลรัฐธรรมนูญระบุว่าทำได้ จะทำให้ ส.ว. สบายใจ" นายไพบูลย์อ้าง การลุกขึ้นมาส่งศาลตีความอำนาจตัวเองของนักการเมืองรายนี้ ทำให้เพื่อนร่วมรัฐบาลไม่พอใจ ทั้ง ปชป. ภท. และ ชทพ. รวมถึงฝ่ายค้านได้ช่วยกันอภิปรายคัดค้านอย่างหนัก โดยชี้ว่าเป็น "เจตนาแอบแฝง" "เตะถ่วง" "ยื้อเวลา" "เปิดโอกาสให้องค์กรอื่นขัดขวางการแก้ปัญหาของประเทศ" ขณะที่ ส.ว. ได้ลุกขึ้นอภิปรายปกป้องการกระทำของนายไพบูลย์ และนายสมชาย ภายหลังถกเถียงนาน 4 ชม. รัฐสภามีมติ 366 ต่อ 316 เสียง เห็นชอบกับญัตติดังกล่าว ทำให้ต้องส่งคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความต่อไป ผ่านวาระ 2 ท่ามกลางชะตากรรมอันไม่แน่นอนของร่างแก้ไข รธน. 24-25 ก.พ. 2564 การประชุมร่วมกันของรัฐสภาเพื่อพิจารณาญัตติร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 256 และเพิ่มหมวด 15/1 วาระที่ 2 (พิจารณาเป็นรายมาตรา) โดยมี กมธ. เสียงข้างน้อย 109 คนขอสงวนคำแปรญัตติ นายวิรัช รัตนเศรษฐ ประธาน กมธ. พิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ นำเสนอสาระสำคัญร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญต่อที่ประชุมรัฐสภา แม้ยังไม่ทราบชะตากรรมของร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่คารัฐสภาอยู่แน่ชัด หลังจากศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องของนายไพบูลย์ นิติตะวัน และนายสมชาย แสวงการ ส.ว. ไว้พิจารณา แต่สมาชิก 2 สภาก็จำต้องเดินหน้าพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่มีเนื้อหา 5 มาตรา ไปตามกระบวนการ ในการผ่านวาระที่ 2 ต้องอาศัย "เสียงข้างมาก" ของรัฐสภา หรือ 369 เสียงขึ้นไปในการลงมติเป็นรายมาตรา ผลปรากฏว่า รัฐสภาผ่านร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในวาระที่ 2 ไปได้ โดยมีสาระสำคัญบางส่วนเปลี่ยนแปลงไปจากวาระที่ 1 อาทิ ให้ ส.ส.ร. มาจากการเลือกตั้งล้วน 200 คน, ให้ใช้เขตเลือกตั้ง ส.ส. เป็นเขตเลือกตั้ง ส.ส.ร., ในการผ่านร่างรัฐธรรมนูญต้องใช้เสียงกึ่งหนึ่งของจำนวนผู้มีสิทธิออกเสียง (หรือ 25.5 ล้านคน จากผู้มีสิทธิออกเสียงราว 51 ล้านคน) จากเดิมให้ใช้ 1 ใน 5 ของจำนวนผู้มีสิทธิออกเสียง (หรือ 10.2 ล้านคน) คว่ำวาระ 3 โดยมีไพบูลย์เป็นผู้ปิดเกม 17 มี.ค. 2564 การประชุมร่วมกันของรัฐสภาเพื่อพิจารณาญัตติร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 256 และเพิ่มหมวด 15/1 วาระที่ 3 (พิจารณาให้ความเห็นชอบทั้งฉบับ) สมาชิกรัฐสภาใช้เวลาถึง 11 ชม. ในการปรึกษาหารือ อภิปราย ถกเถียงกันว่าควรดำเนินการอย่างไรต่อไป เพราะต่างฝ่ายต่างตีความคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญไม่ตรงกัน ก่อนเตรียมหาข้อสรุปในนามของฝ่ายนิติบัญญัติ เมื่อนายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา สั่งฝ่ายเลขานุการรวบรวมและสรุปความเห็นของสมาชิกที่เสนอญัตติด้วยวาจา และมีผู้รับรองครบถ้วนตามข้อบังคับการประชุม รวม 5 ญัตติ ภายใต้ 3 แนวทางคือ งดโหวต, เลื่อนโหวต และเดินหน้าโหวตวาระที่ 3 มาให้บรรดาผู้ทรงเกียรติได้ลงมติกัน ถึงขั้นมีการนำข้อความขึ้นแสดงบนจอภาพในห้องประชุมรัฐสภาแล้ว 3 ญัตติ แต่แล้วก็ได้เกิดเหตุไม่คาดฝัน เมื่อจู่ ๆ นายไพบูลย์ นิติตะวัน ลุกขึ้นเสนอ "ญัตติซ้อนญัตติ" โดยขอให้พิจารณาดำเนินการตามระเบียบวาระ "เรื่องด่วน" ซึ่งหมายถึงการเดินหน้าลงมติในวาระที่ 3 ซึ่งเนื้อหาก็เหมือนกับญัตติของฝ่ายค้านที่คาอยู่ เมื่อมีเพื่อนสมาชิกรับรองครบถ้วน และรัฐสภามีมติด้วยคะแนนเสียง 473 ต่อ 127 ให้พิจารณาญัตติของรองหัวหน้า พปชร. รายนี้ เป็นผลให้ญัตติทั้ง 3 ต้องตกไปโดยปริยาย จากนั้นรัฐสภาได้เดินหน้าลงมติในวาระที่ 3 ท่ามกลางการวอล์กเอาต์ของ ส.ส.ภท. และ ชทพ. โดยที่นายชาดา ไทยเศรษฐ์ ส.ส.อุทัยธานี ภท. ประกาศว่า "ผมคงไม่ร่วมสังฆกรรมด้วยกับพวกฉ้อฉล ศรีธนญชัย โกหกปลิ้นปล้อน และก็ไร้สาระสิ้นดี นี่คือสภาโจ๊กครับ" ส.ส. พรรคภูมิใจไทยหารือกันก่อนวอล์กเอาต์ออกจากห้องประชุมสภาเมื่อคืนวันที่ 17 มี.ค. ในการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญวาระที่ 3 กำหนดให้ใช้วิธีเรียกชื่อและลงคะแนนโดยเปิดเผย และต้องได้คะแนนเสียงเห็นชอบจากสมาชิกรัฐสภา "มากกว่ากึ่งหนึ่ง" ของสมาชิกเท่าที่มีอยู่ของสองสภา หรือ 367 คน จากสมาชิกที่ปฏิบัติหน้าที่ได้ 737 คน (ปัจจุบันมี ส.ส. ที่ปฏิบัติหน้าที่ได้ 487 คน และ ส.ว. 250 คน) แต่มีเงื่อนไขสำคัญคือ ต้องได้เสียงสนับสนุนจาก ส.ส. ฝ่ายค้าน 20% หรือ 43 จาก 211 เสียง และมี ส.ว. เห็นชอบไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของ ส.ว. ที่มีอยู่ หรือ 84 คน ท้ายที่สุดร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญก็ถูก "โหวตคว่ำ" กลางรัฐสภา ด้วยคะแนนเสียงเห็นชอบ 208 ต่อ 4 เสียง งดออกเสียง 94 และไม่ลงคะแนน 136 คะแนน ซึ่งไม่ถึงกึ่งหนึ่งของรัฐสภา ทำให้ทุกกระบวนการที่ทำมาต้องจบลง โดยมีนายไพบูลย์คนเดิมเป็นผู้ปิดเกม ใครเล่นละคร วันแรกหลัง "ละครแก้รัฐธรรมนูญ" จบลงในภาคแรก ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากคนดูคนฟังนอกสภา แกนนำพรรคการเมืองต่าง ๆ ได้ชักแถวออกมาแสดงความคิดเห็น-ความรู้สึกอย่างกว้างขวาง
|
ความพยายามในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 ของคนในรัฐสภา เดินมาถึง "ฉากจบ" ในภาคแรก เมื่อรัฐสภาลงมติคว่ำร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 256 และเพิ่มหมวด 15/1 วาระที่ 3 วานนี้ (17 มี.ค.)
|
international-40192406
|
https://www.bbc.com/thai/international-40192406
|
จับจระเข้ยักษ์ในศรีลังกา
|
จระเข้ขนาดใหญ่ถูกพบใกล้กับหมู่บ้านทินบาตูวาวาเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา หลังจากเกิดน้ำท่วมใหญ่ในประเทศศรีลังกา ผู้หญิงคนหนึ่งได้เหยียบมันเข้าโดยไม่ตั้งใจขณะกำลังเก็บใบชา เธอจึงร้องข้อความช่วยเหลือ ชาวบ้านได้ยินเสียงเธอ จึงช่วยกันจับจระเข้ไว้ได้ และนำมันส่งมอบให้แก่เจ้าหน้าที่ทางการ ซึ่งได้นำตัวมันไปปล่อยที่เขตสงวนพันธุ์จระเข้ในเมืองบุนดาลา
|
ชาวบ้านในศรีลังกาช่วยกันจับจระเข้ยักษ์ส่งมอบให้แก่ทางการ หลังจากผู้หญิงคนหนึ่งพบมันโดยบังเอิญขณะเก็บใบชา
|
international-44213985
|
https://www.bbc.com/thai/international-44213985
|
ไวรัสนิปาห์: พยาบาลอินเดียผู้แลกชีวิตต่อสู้กับไวรัสมรณะ
|
การเสียชีวิตของลินี ได้รับการยกย่องจากผู้ใช้โซเชียลมีเดียว่าเธอคือผู้เสียสละ ส่วนเจ้าหน้าที่และแพทย์ต่างยกย่องให้เธอเป็นวีรสตรี นี่คือข้อความสุดท้ายที่ ลินี พุทธัสเสรี พยาบาลวัย 28 ปีเขียนทิ้งไว้ให้สามีก่อนที่เธอจะสิ้นลมด้วยโรคไข้สมองอักเสบจากเชื้อไวรัสนิปาห์เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (21 พ.ค.) ในเมืองโคชิโคด รัฐเกรละ ทางภาคใต้ของอินเดีย เธอจากไปโดยทิ้งลูกชายวัย 2 และ 5 ขวบไว้เบื้องหลัง ลินี ติดเชื้อไวรัสมรณะนี้หลังจากไปดูแลครอบครัวที่สมาชิก 3 คน ได้รับการวินิจฉัยว่าติดเชื้อไวรัสนิปาห์ โดยคาดว่าเธออยู่ดูแลคนไข้เหล่านั้นตลอดทั้งคืน จากนั้น ลินี ก็เริ่มมีอาการไข้เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (20 พค.) สื่อท้องถิ่นรายงานว่าตอนที่ลินีรู้ตัวว่าอาจติดเชื้อเข้าให้แล้ว เธอได้เดินทางไปโรงพยาบาลเพื่อขอให้แพทย์นำตัวเธอไปกักโรคเฝ้าระวังอาการ ทางการสั่งใช้มาตรการฉุกเฉินเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรค สามีของลินี ซึ่งไปทำงานเป็นนักบัญชีที่ประเทศบาห์เรน ได้เดินทางกลับบ้านทันทีหลังได้รับแจ้งข่าวภรรยาเข้าโรงพยาบาล แต่เมื่อไปถึง ลินีก็ถูกนำตัวเข้าหอดูแลรักษาผู้ป่วยหนัก (ไอซียู) แล้ว "เธอสวมหน้ากากออกซิเจน เพราะออกซิเจนของเธออยู่ในระดับต่ำ" สามีของลินีกล่าว "เธอไม่สามารถพูดได้ ทำได้เพียงกุมมือผมเอาไว้" หลังจากลินีจากไปในเช้าวันจันทร์ ญาติได้นำข้อความสั่งเสียที่เธอเขียนทิ้งไว้ให้กับสามีเธอ ซึ่งเขาได้เอาให้ผู้สื่อข่าวดู จากนั้นข้อความดังกล่าวก็ถูกแชร์ต่อ ๆ กันอย่างรวดเร็ว ร่างของลินีไม่ได้ถูกส่งกลับคืนให้ครอบครัวประกอบพิธีทางศาสนา แต่ถูกนำไปฌาปนกิจภายใต้การดูแลอย่างเคร่งครัดเพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อแพร่ระบาด การเสียชีวิตของลินี ได้รับการยกย่องจากบรรดาผู้ใช้โซเชียลมีเดียชาวอินเดียว่าเธอคือผู้เสียสละ ขณะที่เจ้าหน้าที่และแพทย์ต่างยกย่องให้เธอเป็นวีรสตรี ด้านมุขมนตรีรัฐเกรละ ได้ทวีตข้อความแสดงความเสียใจ และว่า "การทำงานโดยไม่เห็นแก่ตัวเองของเธอจะเป็นที่จดจำ" ข้อความสั่งเสียที่ลินีเขียนทิ้งไว้ให้สามี ถูกแชร์ต่อ ๆ กันอย่างรวดเร็วในโลกออนไลน์ นอกจาก ลินี แล้ว ยังมีผู้เสียชีวิตด้วยโรคไข้สมองอักเสบจากไวรัสนิปาห์แล้วอย่างน้อย 9 รายในเมืองโคชิโคด รวมทั้งมีผู้ได้รับการยืนยันว่าติดเชื้ออีก 2 คนที่มีอาการหนัก ส่วนอีกราว 40 คน ถูกนำตัวไปกักโรคเฝ้าระวังอาการ หน่วยงานด้านสาธารณสุขทั่วรัฐเกรละได้เฝ้าติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อ พร้อมตั้งค่ายทางการแพทย์และห้องควบคุมโรคเพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น เจ้าหน้าที่สาธารณสุขพบค้างคาวตายหลายตัวในบ่อน้ำบ้านคนไข้ของลินี ไวรัสนิปาห์ คืออะไร เชื้อไวรัสนิปาห์ เป็นเชื้อที่แพร่จากสัตว์สู่มนุษย์หรือสู่สัตว์ด้วยกัน โดยคาดว่าค้างคาวผลไม้เป็นแหล่งที่เชื้ออาศัยอยู่ การตรวจวินิจฉัยโรคนี้ทำได้ยาก ผู้ติดเชื้อมีอัตราการเสียชีวิต 70% และปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนป้องกันโรค องค์การอนามัยโลกจัดให้ไวรัสนิปาห์อยู่ใน 10 อันดับแรกของโรคที่อาจมีการแพร่ระบาดครั้งใหญ่ในอนาคต ในกรณีการระบาดที่เมืองโคชิโคดนั้น เจ้าหน้าที่สาธารณสุขระบุว่าพบค้างคาวตายหลายตัวในบ่อน้ำบ้านคนไข้ของลินี จึงได้นำตาข่ายเรืองแสงไปปิดที่ปากบ่อ สื่อรายงานว่า อินเดียเคยมีการระบาดของเชื้อไวรัสนิปาห์ครั้งแรกเมื่อปี 2001 และปี 2007 ซึ่งมีผู้เสียชีวิตรวมกันราว 50 คน อาการผู้ติดเชื้อ กระทรวงสาธารณสุขของไทยจัดให้ ไวรัสนิปาห์ เป็นโรคติดต่ออันตราย โดยผู้ติดเชื้อจะมีอาการคล้ายเป็นหวัด มีไข้สูง ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ สมองอักเสบ บางรายอาจมีอาการของระบบทางเดินหายใจร่วมด้วย หรืออาจมีอาการไข้ร่วมกับอาการทางระบบประสาท เช่น วิงเวียนศีรษะ เดินโซเซ ซึม สับสน หรือชัก มีการเคลื่อนไหวของลูกตาผิดปกติ แขนและขามีการกระตุก ความดันโลหิตและชีพจรแปรปรวน และอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ การแพร่ของเชื้อ ข้อมูลจากเว็บไซต์สถาบันวิทยาศาสตร์สาธารณสุข กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ของกระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า เชื้อไวรัสนิปาห์ ก่อให้เกิดโรคได้ทั้งในคนและสัตว์ โดยการสัมผัสสารคัดหลั่ง เช่น น้ำลาย หรือปัสสาวะของสัตว์ที่เป็นโรค โดยพบการระบาดครั้งแรกในมาเลเซียเมื่อปี 1998-1999 แต่ยังไม่พบการระบาดในประเทศไทย การป้องกันการติดเชื้อ ศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางโรคอุบัติใหม่และอุบัติซ้ำในสัตว์ คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้คำแนะนำว่า วิธีป้องกันที่ดีที่สุด คือ หลีกเลี่ยงการสัมผัสสัตว์ที่ติดเชื้อไวรัสนิปาห์ และหลีกเลี่ยงการรับประทานผลไม้ที่อาจปนเปื้อนน้ำลายหรือปัสสาวะของค้างคาวกินผลไม้ ส่วนการป้องกันปศุสัตว์จากการติดเชื้อนั้น ทำได้โดยป้องกันไม่ให้สุกรสัมผัสโดยตรงกับค้างคาวกินผลไม้ และไม่ให้สัตว์อื่นสัมผัสกับสุกรที่ติดเชื้อแล้ว
|
"ฉันไม่คิดว่าฉันจะได้พบหน้าคุณอีกครั้ง ขอโทษนะ ได้โปรดเลี้ยงลูกของเราให้ดี"
|
thailand-38807815
|
https://www.bbc.com/thai/thailand-38807815
|
เผยนักปกป้องสิทธิไทยถูกฆ่า-สูญหาย เกือบ 60 คนใน 20 ปี
|
นักปกป้องสิทธิมนุษยชนที่ถูกสังหารและสูญหาย 59 คนในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา มีทั้งนักต่อสู้เพื่อสิทธิในที่ดินทำกิน, ผูู้นำชุมชนที่เคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อม ทนายความ รวมถึงพระสงฆ์ น.ส.ปรานม สมวงศ์ ตัวแทนองค์กร PI ระบุว่าสถานทูตต่างๆ ในประเทศไทยให้ความสนใจในประเด็นสิทธิมนุษยชนและนักปกป้องสิทธิมนุษยชน และที่ผ่านมา PI ได้พยายามประสานงานร่วมกับกระทรวงยุติธรรม กรมคุ้มครองเสรีภาพ และคณะอนุกรรมการด้านสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เพราะรัฐต้องให้การคุ้มครองดูแลประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน แต่ที่ผ่านมากลไกรัฐบางส่วนอาจไม่สอดคล้องที่จะคุ้มครองนักปกป้องสิทธิมนุษยชน เช่น กรณีนักปกป้องสิทธิในชุมชนมีข้อพิพาทกับผู้มีอิทธิพลหรือเจ้าหน้าที่รัฐ ถ้าปล่อยให้เจ้าหน้าที่ในพื้นที่รับหน้าที่สืบสวนเองอาจเป็นเรื่องลำบากใจ เพราะฉะนั้นองค์กรที่ใช้งบประมาณรัฐ เช่น กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) จะต้องรับเรื่องสืบสวนกรณีพิเศษเหล่านี้ด้วย ภาคีเครือข่ายสิทธิมนุษยชนเรียกร้องรัฐไทยต่อสู้กับการลอยนวลพ้นผิดของผู้ก่อเหตุละเมิดนักปกป้องสิทธิมนุษยชน รวมถึงหยุดการกดขี่ คุกคาม และฟ้องร้องนักปกป้องสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะประเด็นปัญหาการเข้าถึงที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติ จากข้อมูลของ PI ระบุว่าคดีนักปกป้องสิทธิมนุษยชนไทยถูกสังหารและถูกบังคับให้สูญหายมีการสอบสวนและนำขึ้นสู่ชั้นศาลน้อยมากเมื่อเทียบกับจำนวนคดีที่เกิดขึ้น และหากมองย้อนหลังไป 35 ปี พบว่าประเทศไทยมีการบังคับสูญหาย 90 กรณี แต่ 81 กรณียังไม่ได้รับการแก้ไขจนถึงทุกวันนี้ ทำให้เห็นว่ารัฐและกระบวนการยุติธรรมในไทยล้มเหลว เพราะมีหลายคดีที่ผู้กระทำความผิดยังลอยนวลจนทำให้กลายเป็นวัฒนธรรมลอยนวลพ้นผิด เป็นปัญหาที่ฝังรากลึกอยู่กับสังคมและการเมืองไทย หากวัฒนธรรมนี้ยังคงอยู่จะสร้างสภาวะที่อันตรายอย่างถาวรต่อการปกป้องสิทธิมนุษยชน ด้านนางอังคณา นีละไพจิตร ประธานคณะอนุกรรมการด้านสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง กสม. ระบุด้วยว่า "วัฒนธรรมลอยนวลพ้นผิดเป็นความอัปลักษณ์ชั่วร้ายของสังคมไทย" "ถ้ามีคนคิดว่าการฆ่าใครสักคนหรือทำให้คนหายไป จะทำให้คนเกิดความกลัว แต่โดยประวัติศาสตร์บอกเราว่าคนที่อยู่ข้างหลัง หรือคนในครอบครัวจะไม่ปล่อยให้สิ่งนี้เกิดขึ้นอีก หวังว่าภาครัฐจะเข้าใจมุมมองของครอบครัวและเข้าใจในการต่อสู้ของนักปกป้องสิทธิมนุษยชน" นางอังคณายอมรับว่า แม้การอุ้มหายนักปกป้องสิทธิมนุษยชนมีจำนวนน้อยลงในช่วงปีที่ผ่านมา แต่สถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนไทยยังไม่ดีขึ้น เพราะมีการฟ้องร้องนักปกป้องสิทธิมนุษยชนมากขึ้น โดยเฉพาะผู้หญิงที่ลุกขึ้นมาต่อสู้เรื่องที่ดินทำกินและสิ่งแวดล้อม ถูกคุกคามทางเพศ เช่น มีการข่มขู่ว่า "ระวังจะโดนข่มขืน" ถือเป็นการย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ทำให้เกิดความหวาดกลัว และการฟ้องร้องยังลุกลามไปถึงเยาวชนที่ใช้สิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นด้วย และเมื่อมีการฟ้องร้อง ส่วนใหญ่นักปกป้องสิทธิมนุษยชนมักเป็นผู้แพ้คดี ส่วนประเด็นอื่นๆ ที่ประธานคณะอนุกรรมการด้านสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง กสม. เห็นว่าต้องผลักดันให้เกิดความคืบหน้าเรื่อง ร่าง พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการบังคับบุคคลให้สูญหาย พ.ศ... ที่นำเข้าสู่สภา เพื่อมาปกป้องในเรื่องนี้ และต้องปรับให้สอดคล้องกับหลักสากล โดยเฉพาะตัวคณะกรรมการพิจารณาการออกกฏหมายส่วนใหญ่มักเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ไม่มีความหลากหลาย ควรนำผู้สูญเสียและผู้มีประสบการณ์ตรงเข้าไปร่วมพิจารณาด้วย
|
องค์กรด้านสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ PROTECTION international (PI) เผยสถิตินักปกป้องสิทธิมนุษยชนไทยซึ่งถูกสังหารและสูญหายในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา มีทั้งหมด 59 คน โดยในปี 2559 มีนักปกป้องสิทธิมนุษยชนสูญหาย 1 คน คือ นายเด่น คำแหล้ ประธานโฉนดชุมชนโคกยาว จ.ชัยภูมิ ซึ่งเคลื่อนไหวเรื่องสิทธิที่ดินทำกินของคนในชุมชน ขณะที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคใต้มีนักปกป้องสิทธิมนุษยชนถูกสังหารและบังคับให้สูญหายมากที่สุด
|
thailand-52850388
|
https://www.bbc.com/thai/thailand-52850388
|
วันคล้ายวันสวรรคต ร. 7 : พระราชหัตถเลขาสละราชย์ ประชาธิปไตย และคณะราษฎร
|
ศ.พิเศษ ธงทอง จันทรางศุ ระบุว่า ร. 7 เป็นกษัตริย์ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์พระองค์แรกที่มีพระราชินีเพียงแค่พระองค์เดียว มรดกทางการเมืองการปกครองในรัชสมัยของ ร. 7 ที่ตกทอดมาถึงปัจจุบันตามทัศนะของ ศ.พิเศษ ธงทอง จันทรางศุ ผู้เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์ด้านราชสำนัก คือระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข "จินตนาการประชาธิปไตย" ของ ร. 7 ตามที่นักกฎหมายวัยเกษียณ รับทราบผ่านการศึกษาพระราชประวัติและเอกสารทางประวัติศาสตร์ เข้าใจว่ามีที่มาที่ไปจากประสบการณ์ในชีวิตของพระองค์เองที่ได้ทรงพระอักษร (เรียนหนังสือ) และใช้ชีวิตในอังกฤษและฝรั่งเศสเป็นเวลานาน "ผมคิดว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่แค่ทรงเห็นเท่านั้น แต่ได้ทรงแลกเปลี่ยนความคิดความเห็นกับเพื่อน ครูบาอาจารย์ ผู้ที่อยู่ในแวดวงของท่าน" ศ.พิเศษ ธงทองกล่าวกับบีบีซีไทย นอกจากนี้ถ้าศึกษาหนังสือส่วนพระองค์ซึ่งบางส่วนเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว สถาบันพระปกเกล้า ที่ ศ.พิเศษ ธงทอง เป็นประธาน จะพบว่า "ทรงศึกษาและอ่านหนังสือในเรื่องความคิดทางการเมืองการปกครองทุกระบอบ ทุกระบบ ทุกลัทธิ" ไม่เว้นกระทั่งหนังสือเกี่ยวกับคอมมิวนิสต์ ฟาสซิสต์ ระบอบสังคมนิยม วิกฤตเศรษฐกิจหลังสงครามโลก ทำให้เกิด "กษัตริย์นอกราชบัลลังก์" ย้อนกลับไปในปี 2468 เมื่อพระราชโอรสพระองค์เล็กในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ขึ้นเสวยราชสมบัติเป็นพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปก พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นห้วงเวลาที่ ศ.พิเศษ ธงทองบรรยายว่า "คลื่นลมของการเปลี่ยนแปลงปรากฏชัดเจนในสังคมโลกและเห็นร่องรอยในเมืองไทย" สงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งยุติลงในปี 2461 (ค.ศ. 1918) ได้นำไปสู่วิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่ และส่งกระทบต่อระบบการเมืองการปกครองและระบบใช้จ่ายของผู้คนทั้งโลก ในช่วงนั้นเองเริ่มมีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกับระบอบกษัตริย์ที่มีมาแต่ดั้งเดิม "พระเจ้าแผ่นดินที่เคยเป็นยุคสมัยเฟื่องฟูของราชาธิปไตย ในเวลาที่เทียบกับยุคสมัยบ้านเราคือ ร. 4 ร. 5 พระนางเจ้าวิกตอเรีย พระเจ้าแผ่นดินฟรานซ์ โจเซฟ สารพัดพระเจ้าของเมืองฝรั่ง หลังจากเหตุการณ์ผ่านไป 1 ชั่วอายุคน เราจะพบว่ามีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นจำนวนมาก ในยุโรปตะวันออกนั้น พระเจ้าแผ่นดินหลายพระองค์กลายเป็น 'พระมหากษัตริย์นอกราชบัลลังก์' ไป" ศ.พิเศษ ธงทองกล่าว รัชกาลที่ 7 ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเมื่อ 25 ก.พ. 2468 เมื่อกลับมามองสยามประเทศ ศ.พิเศษ ธงทองเห็นตัวแปร-ตัวเร่ง หลายประการจากการ "เป็นพระเจ้าแผ่นดินในเวลาทุกข์ยากของบ้านเมืองและของโลก แต่ไม่ได้ทรงมีพระราชอำนาจสิทธิขาดอย่างชื่อของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์" บริบทสยามก่อนปฏิวัติ 24 มิ.ย. 2475 ที่มา : สรุปจากคำให้สัมภาษณ์ของ ศ.พิเศษ ธงทอง จันทรางศุ กับบีบีซีไทย "สิ่งเหล่านี้ประมวลกันเข้ามา ผมคิดว่าเป็นสัญญาณที่ส่งชัดเจนให้พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงบอกกับพระองค์เองว่าวันหนึ่งความเปลี่ยนแปลงใกล้จะมาถึง และความเป็นระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์แบบดั้งเดิมอย่างครั้งสมัยสมเด็จพระบรมชนกนาถ ซึ่งมีความเป็นผู้นำโดดเด่น เป็นผู้นำในระยะเวลาที่ยาวนาน ความเป็นเอกภาพทางความคิดเห็นทั้งหลายกำลังลดน้อยถอยลงทุกที ต้องทรงเตรียมการ" ศ.พิเศษ ธงทองกล่าว ลำดับ "ร่องรอย" การเตรียมการพระราชทานประชาธิปไตยในไทย กระแสเรียกร้อง "ปาลิเมนต์" (Parliament - รัฐสภา) เริ่มปรากฏในประวัติศาสตร์สยามสมัยใหม่ เมื่อคณะที่ปรึกษาของพระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรีทั้ง 3 พระองค์นับจากในหลวง ร. 5 ได้กราบบังคมทูลให้จัดการปกครองด้วยรูปแบบ "คอนสติติวชั่นโมนากี" (Constitutional Monarchy - กษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ) ตามแบบอย่างชาติตะวันตก แต่สุดท้ายก็ลงเอยด้วยพระราชปรารภว่าด้วย "ความไม่พร้อม" ของราษฎรไทย ศ.พิเศษ ธงทอง ชี้ว่า ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงปรึกษาข้อราชการกับที่ปรึกษาชาวต่างประเทศและขุนนางฝ่ายก้าวหน้า ส่วนใหญ่เห็นว่า "การกระโดดขั้นเดียวไปเป็นระบอบประชาธิปไตยสมบูรณ์แบบนั้น ดูจะเป็นสิ่งซึ่งรวดเร็วและเกินไป" ควรดำเนินการแบบค่อยเป็นค่อยไป กำแพงประวัติศาสตร์หน้าสำคัญของไทยภายในพิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว สถาบันพระปกเกล้า ย่านสะพานผ่านฟ้าลีลาศ ข้อเสนอจากที่ปรึกษาชาวต่างประเทศขององค์ประมุขประเทศ ที่นักประวัติศาสตร์รายนี้สรุปได้แบบย่นย่อคือให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทำหน้าที่ฝ่ายนิติบัญญัติ แต่นายกรัฐมนตรียังมาจากผู้ที่ทรงแต่งตั้ง ไม่มีจุดเชื่อมโยงกับสภา แต่เป็น "โซ่ข้อกลาง" หรือ "กันชน" ระหว่างสภากับพระมหากษัตริย์ อย่างน้อยก็บรรเทาความกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นจากความเห็นที่แตกต่างกัน ส่วนในคราวเสด็จประพาสสหรัฐอเมริกา เมื่อปี 2474 ได้พระราชทานสัมภาษณ์แก่สื่อมวลชนอเมริกันว่าทรงเตรียมการที่จะพระราชทานการปกครองที่เป็นประชาธิปไตยในเมืองไทย ซึ่ง ศ.พิเศษ ธงทองชี้ว่า "นี่คือร่องรอยหรือหลักฐานว่าพระมหากษัตริย์พระองค์นี้ทรงคิดเรื่องนี้อยู่ในพระราชหฤทัย" พระราชดำรัสในการทรงพระราชปฏิสันถารแก่ นสพ.สหรัฐฯ ถูก นสพ.เดลิเมล์ของไทยนำมาแปลและตีพิมพ์ฉบับวันที่ 1 มิ.ย. 2474 โดยข้อมูลนี้ถูกนำมาจัดแสดงไว้ที่พิพิธภัณฑ์เช่นกัน อย่างไรก็ตามความเปลี่ยนแปลงไม่เคยบอกว่าจะมาเมื่อไร วันที่มีเสียงลือเสียงเล่าอ้างมากในยุคนั้นว่าจะเกิด "เหตุการณ์สำคัญ" ขึ้นคือวันฉลองพระนครครบ 150 ปี 6 เม.ย. 2475 แต่สุดท้ายก็ไม่มีเหตุใด ๆ ก่อนที่ความเปลี่ยนแปลงใหญ่แบบ "พลิกแผ่นดิน" จะมาถึงจริงในอีก 2 เดือนต่อมา "จะทรงยอมตามนั้น หรือทรงสู้เพื่อฝืนให้มีระบอบดั้งเดิมอยู่ต่อไป" "การตัดสินพระราชหฤทัยเมื่อ 24 มิ.ย. 2475 เมื่อได้ทรงรับหนังสือจากคณะราษฎรแล้ว ผมว่านั่นคือวินาทีหรือช่วงเวลาที่สำคัญในประวัติศาสตร์การเมืองไทย ถ้าคิดอย่างธรรมดาคือจะทรงยอมตามนั้น หรือทรงสู้เพื่อฝืนให้มีระบอบดั้งเดิมอยู่ต่อไป การตัดพระราชหฤทัยวันนั้นเป็นที่ปรากฏชัดเจนแล้วว่าทรงเลือกที่จะดำเนินการที่จะใช้วิถีทางแห่งความสันติวิธี ไม่มีการสู้รบในหมู่คนไทย แล้วเดินหน้าสู่วิถีการปกครองประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขอย่างที่เราทุกท่านได้ทราบดีอยู่แล้ว" ศ.พิเศษ ธงทอง กล่าว นายทหารออกแจกจ่ายแถลงการณ์คณะราษฎรให้ประชาชนในพระนครได้รับทราบว่ามีการเปลี่ยนแปลงการปกครองในช่วงย่ำรุ่งของวันที่ 24 มิ.ย. 2575 ตลอดเวลา 9 ปีเศษภายใต้รัชสมัยของในหลวง ร. 7 มีเหตุการณ์สำคัญที่ต้องตัดสินพระทัยทางการเมืองอย่างน้อย 3 ครั้ง ซึ่ง ศ.พิเศษธงทองเห็นว่าทุกเหตุการณ์วางอยู่บนพื้นฐานความเชื่อที่ว่า "ระบอบการปกครองที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขโดยประชาชนมีส่วนมีเสียงอย่างแท้จริงเป็นประโยชน์สำหรับบ้านเมืองระยะยาว และการดำรงอยู่ของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์อาจหมดเวลาแล้ว" ศ.พิเศษ ธงทองชี้ว่า นอกจากหลักการของระบอบใหม่ที่ทรงวางให้เห็น ในหลวง ร. 7 ยังทรงแสดงให้เห็นว่าบทบาทหน้าที่ของพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญเป็นอย่างไร เช่น การเติมคำว่า "ชั่วคราว" ในธรรมนูญการปกครองฉบับแรกของไทย เป็นเพราะร่างที่คณะราษฎรนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย "สั้นจนมองไม่เห็นอะไร ต้องการให้ทำฉบับใหม่ ซึ่งสุดท้ายก็ผลิดอกออกผลเป็นรัฐธรรมนูญฉบับวันที่ 10 ธ.ค. 2475 ซึ่งก็ไม่ได้ทรงเห็นด้วยทุกอย่างนะ แต่ก็ทรงลงพระปรมาภิไธยพระราชทาน" พระราชหัตถเลขาสละราชย์ กับภาพจำ "กษัตริย์นักประชาธิปไตย" ภายหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง ผู้ศึกษาประวัติศาสตร์รายนี้พบความเห็นทางการเมืองที่แตกต่างระหว่าง ร. 7 กับคณะราษฎรอยู่เนือง ๆ หรือแม้แต่ในสมาชิกคณะราษฎรเองก็ไม่เป็นเอกภาพ ทว่าหนึ่งในกระแสหลักทางความคิดของผู้ก่อการปฏิวัติสยามคือ "ความไม่วางใจว่าวันข้างหน้าเสถียรภาพของการเปลี่ยนแปลงการปกครองที่เกิดขึ้นแล้วจะยั่งยืนเพียงใดแค่ไหน" โดยเฉพาะเมื่อเกิดกบฏบวรเดชในปี 2476 "เมื่อทุกอย่างเดินหน้าต่อไปไม่ได้ดั่งพระราชหฤทัย พ้นความสามารถของท่านแล้วที่ท่านจะทำอะไรได้ การที่ท่านหลีกทางให้ระบอบยังเดินได้ การที่ท่านตัดสินพระราชหฤทัยสละราชสมบัติ ผมคิดว่านี่ก็อาจเรียกว่าเป็นอีกวีรกรรมหนึ่งของพระมหากษัตริย์พระองค์นี้ก็ได้ เพราะท่านทรงรับสั่งอยู่เสมอในหลายที่หลายหลักฐานว่าการที่พระมหากษัตริย์กับรัฐบาลทะเลาะกันนั้นไม่เป็นประโยชน์กับบ้านเมืองเลย" ศ.พิเศษ ธงทอง ระบุ รัชกาลที่ 7 เสด็จไปพำนักยังประเทศอังกฤษหลังสละราชสมบัติเมื่อ 2 มี.ค. 2477 "ข้าพเจ้ามีความเต็มใจที่จะสละอำนาจอันเปนของข้าพเจ้าอยู่แต่เดิมให้แก่ราษฎรโดยทั่วไป แต่ข้าพเจ้าไม่ยินยอมยกอำนาจทั้งหลายของข้าพเจ้าให้แก่ผู้ใด คณะใด โดยฉะเพาะเพื่อใช้อำนาจนั้นโดยสิทธิขาด และโดยไม่ฟังเสียงอันแท้จริงของประชาราษฎร" ข้อความบางส่วนในพระราชหัตถเลขาสละราชสมบัติที่ทรงร่างและลงพระปรมาภิไธยขณะทรงพำนักอยู่ที่ประเทศอังกฤษ ซึ่งถูกอัญเชิญมาพูด-พิมพ์-ผลิตซ้ำในหลายโอกาส ได้กลายเป็นข้อความอันทรงพลังทางการเมือง โดยเฉพาะเมื่อปัญญาชนฝ่ายอนุรักษนิยมนำมาตีความใหม่ และยังมีส่วนสำคัญต่อการฟื้นฟูพระเกียรติ และก่อให้เกิดภาพลักษณ์ใหม่-ภาพจำใหม่ในฐานะ "กษัตริย์นักประชาธิปไตย" อย่างไรก็ตาม ศ.พิเศษ ธงทอง ให้ความเห็นว่ายังมีอีกหลายเรื่องราวที่อยู่ในพระราชหัตถเลขาฉบับนั้น "ลองกลับไปศึกษาดู เราจะพบการเปิดใจของพระมหากษัตริย์พระองค์นี้ในนาทีสุดท้ายที่ท่านเป็นพระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตย" มองความสัมพันธ์ระหว่าง ร. 7 กับคณะราษฎร เมื่อให้มองความสัมพันธ์ระหว่างกษัตริย์พระองค์แรกภายใต้รัฐธรรมนูญกับคณะราษฎร ผู้เชี่ยวชาญด้านราชสำนักวัย 64 ปีระบุว่า ช่วงอายุของสมาชิกคณะราษฎรกับพระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ไม่แตกต่างกันเท่าไร จึงคิดว่าเป็นอารมณ์ที่ผสมผสานหลายอย่าง "ในฐานะที่เป็นพระมหากษัตริย์ที่สืบพระวงศ์มา 150 ปีแล้ว ความเปลี่ยนแปลงมาเกิดในช่วงเวลาของชีวิตท่าน ท่านคงรู้สึกเหมือนท่านบกพร่อง หรือท่านทำไม่ได้เต็มที่อย่างที่ควรจะได้ทำ แต่ในขณะเดียวกันผมคิดว่าท่านเข้าใจนะว่าคนในวัยเดียวกับท่าน คนที่ไปเห็นบ้านเมืองอื่นที่เขามีวิถีการปกครองซึ่งท่านก็เห็นคุณเห็นประโยชน์ของสิ่งนั้นมาแล้ว ก็อยากจะเปลี่ยนแปลง มันก็เป็นเรื่องที่ผสมผสานกัน หลายคนในคณะราษฎรก็ทรงรู้จัก ทรงมักคุ้น" เช่นเดียวกับบรรยากาศบ้านเมืองในช่วงแรก ๆ หลังปฏิวัติสยาม ซึ่ง ศ.พิเศษ ธงทองพบความพยายามสร้างความร่วมมือ สะท้อนผ่านการที่นายกฯ คนแรกคือพระยามโนปกรณ์นิติธาดา "ถามว่าทรงรู้จักไหม คุณหญิงมโนปกรณ์ซึ่งเป็นภรรยาของเจ้าคุณมโนฯ เป็นนางสนองพระโอษฐ์ของสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี แล้วก็ตามเสด็จไปในคราวประพาสอินโดจีนก่อนหน้านั้น 3-4 ปี มีอุบัติเหตุรถยนต์ รถคว่ำ คุณหญิงเสียชีวิต เสด็จพระราชดำเนินไปงานศพของคุณหญิง สร้างอนุสาวรีย์พระราชทานไว้ที่วัดปทุมวนาราม ทุกวันนี้ก็ยังอยู่ ผมไม่รู้ว่าใครเป็นคนเจรจาหารือกันอย่างไร แต่นี่คือนายกรัฐมนตรีคนแรก" ศ.พิเศษ ธงทองบรรยาย โฉมหน้าคณะราษฎรสายทหารบก 33 คน โดยมี พ.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนา หัวหน้าคณะราษฎร (คนที่ 5 แถวกลางจากซ้ายมือ) และ พ.ท.หลวงพิบูลสงคราม (คนที่ 3 แถวกลางจากซ้ายมือ) ร่วมในภาพด้วย อย่างไรก็ตามเขาปฏิเสธจะให้ความเห็นว่าส่วนตัวให้น้ำหนักกับข้อมูลประวัติศาสตร์ชุดใด ระหว่างฝ่ายที่เชื่อว่าการได้มาซึ่งรัฐธรรมนูญของไทยเป็นการประนีประนอมระหว่างคณะราษฎรกับคณะเจ้า กับฝ่ายที่เห็นคณะราษฎรเป็นปฏิปักษ์ต่อราชสำนัก ต้องจัดการลบความทรงจำทิ้งไป "ประวัติศาสตร์แยกเป็นชิ้นอย่างนั้นไม่ได้" เขาตอบทันควันเมื่อถามว่า ในการศึกษาประวัติศาสตร์ไม่จำเป็นต้องแยกแยะว่าสิ่งไหนคือพระมหากรุณาธิคุณจากเบื้องบนสู่เบื้องล่าง และสิ่งไหนคือมรดกคณะราษฎรใช่หรือไม่ "เราไม่อยู่ในฐานะที่พูดได้ว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นเพราะคนใดคนหนึ่ง มันเป็นบริบททางประวัติศาสตร์ที่เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นด้วยการกระทำ ด้วยปฏิกิริยาของทุกคนที่เป็นตัวละครในเรื่องนั้น" หนึ่งในหลักฐานในภายหลังคือ พระราชหัตถเลขาถึงนายเจมส์ แบ็กซ์เตอร์ เจ้าหน้าที่ของรัฐบาลอังกฤษ และที่ปรึกษาด้านการเงินของสยาม ลงวันที่ 4 ส.ค. 2476 หรือ 7 เดือนก่อนสละราชสมบัติ โดยได้ทรงวิจารณ์คณะราษฎร เค้าโครงเศรษฐกิจของนายปรีดี พนมยงค์ และยังตรัสถึงความภักดีของทหารในกองทัพบกและกองทัพเรือว่า "พวกเขาจะไม่ยอมรับที่กษัตริย์จะมาบังคับบัญชาการกองทัพโดยตรงและจะไม่เชื่อฟังคำสั่งใด ๆ ที่เป็นอันตรายต่อผลประโยชน์ส่วนตัวของพวกเขา" ศ.พิเศษ ธงทอง จันทรางศุ นิยามตัวเองว่า "เป็นคนในปัจจุบันมากกว่าอดีต" ท้ายที่สุดในฐานะผู้ที่เห็นความสำคัญของการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ควรคิดอย่างไรและทำอย่างไรในสถานการณ์การเมืองปัจจุบัน นอกเหนือจากการแสดงความจงรักภักดี นี่เป็นอีกคำถามที่ผู้เป็นข้าราชการมาทั้งชีวิตขอปิดปาก โดยกล่าวเพียงว่า "วันนี้พูดประวัติศาสตร์ทั้งนั้น ไม่อยากพูดถึงปัจจุบัน ปวดหัว" องค์ต้นแบบแห่งการมีราชินีพระองค์เดียว แนวคิดสมัยใหม่ ค่านิยม และอิทธิพลของ "คนขาว" ได้ก่อให้เกิด "ธรรมเนียมใหม่" ขึ้นในราชสำนักไทย เมื่อพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว มีอัครมเหสีพระองค์เดียวตลอดรัชสมัยของพระองค์ "ท่านเป็นกษัตริย์ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์พระองค์แรกนะถ้าจะกล่าวว่าเป็นผู้นำในเรื่องนี้ก็ได้ คือการที่มีพระราชินีเพียงแค่พระองค์เดียว เป็นความรักที่เกิดขึ้นด้วยพระองค์เอง แล้วก็ได้ทรงใช้ชีวิตคู่ ร่วมทุกข์ร่วมสุข ทั้งทุกข์และสุขนะครับตลอดพระชนม์ชีพจนกระทั่งเสด็จสวรรคต" ศ.พิเศษ ธงทองกล่าว นิตยสารศิลปวัฒนธรรม ฉบับ เม.ย. 2562 ตีพิมพ์บทความ "เมื่อองค์ประชาธิปกเสด็จประพาส 'โลกใหม่'" โดย ม.ร.ว. พฤทธิสาณ ชุมพล และ ภาพิศุทธิ์ สายจำปา ซึ่งอ้างหลักฐานที่ปรากฏในสื่อสหรัฐฯ ในระหว่าง ร. 7 เสด็จพระราชดำเนิน พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ไปเยือนสหรัฐฯ เมื่อปี 2474 ข่าวบรรยายตอนหนึ่งว่า "บัดนี้ เป็นที่ทราบในหมู่ชาวเมืองแล้วว่า 'พระองค์ไม่ได้ทรงช้างเผือก หรือทรงมีพระสนมนางในเป็นร้อยแต่อย่างใด... ทรงมีพระราชหฤทัยจงรักในสมเด็จพระบรมราชินีพระโฉมงามแต่พระองค์เดียว..." พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ร. 7 เสด็จพระราชดำเนินไปเยือนสหรัฐฯ พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี โดยมีนายกเทศมนตรีเมืองนิวยอร์ก จิมมี วอล์คเกอร์ ถวายการต้อนรับ ศ.พิเศษ ธงทอง ชี้ว่า ในเวลานั้นสังคมไทยไม่คุ้นเคยกับการใช้ชีวิตสามีภรรยาอยู่ด้วยกัน ขณะที่สิ่งแวดล้อมในยุคสมัยนั้น กระทั่งขุนนางและชาวบ้านทั่วไปก็ไม่ใช่ของแปลกที่จะมีภรรยามากกว่า 1 คน "อาจมาจากปัจจัยเบื้องต้นที่หลายคนบอกว่าก็ท่านเรียนหนังสือเมืองนอกมา ท่านเห็นแบบอย่างชีวิต แต่ผมคิดว่าสิ่งที่เห็นมากับสิ่งที่ทรงปฏิบัตินั้น ไม่ได้แปลว่าจะต้องเป็นการทำตามแบบนั้น ต้องเป็นความปรารถนาในพระราชหฤทัยและทรงมีความสุขในการกระทำเช่นว่านั้นด้วย" ศ.พิเศษ ธงทองระบุ ในช่วงปลายรัชสมัยของ ร. 7 มีการประกาศใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 ที่ประกาศให้มีการจดทะเบียนสมรสระหว่างชายหญิง และวางหลักการชีวิตคู่เพียงชาย 1 หญิง 1 "การปฏิบัติพระองค์และพระจริยานุวัตรของในหลวง ร. 7 และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินี เป็นแบบอย่าง เป็นมาตรฐานให้คนเห็นว่าชีวิตคู่ที่มีความสุขนั้นมีได้จริง" เขาบอก ค่านิยมส่วนพระองค์ยังส่งผลอย่างมีนัยสำคัญต่อ "ความก้าวหน้าเรื่องสิทธิสตรี" และ "ความเห็นตัวตนผู้หญิงในสังคมไทย" อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ซึ่ง ศ.พิเศษ ธงทองไล่เลียงไว้ ดังนี้
|
79 ปีหลังจากการเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 พระมหากษัตริย์พระองค์สุดท้ายภายใต้ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ และพระมหากษัตริย์พระองค์แรกภายใต้รัฐธรรมนูญ บีบีซีไทยชวนทบทวนประวัติศาสตร์ยุค "นำเข้า" ประชาธิปไตยจากต่างแดน
|
51886123
|
https://www.bbc.com/thai/51886123
|
เปิดประสบการณ์ทหารหญิงไทยในภารกิจ "ยูนามิด" ที่ดาร์ฟูร์
|
เรื่องโดย กุลธิดา สามะพุทธิ, วิดีโอโดย ราชพล เหรียญศิริ "อัสสลามุอะลัยกุม...ขอให้พระเจ้าคุ้มครองคุณ ดิฉันชื่อกัญณฐามาจากประเทศไทยนะคะ" น.ท.หญิง กัญณฐากล่าวคำทักทายที่เธอใช้ประจำเวลาออกเยี่ยมชาวบ้านเมื่อครั้งที่เธอประจำการอยู่ในแคว้นดาร์ฟูร์ แม้จะออกตัวว่า "จำไม่ค่อยได้แล้ว" แต่ยังเธอกล่าวคำทักทายของชาวมุสลิมผสมกับการแนะนำตัวเป็นภาษาอารบิกให้บีบีซีไทยฟังได้อย่างคล่องแคล่ว น.ท.หญิง กัญณฐาเป็นหนึ่งในผู้หญิง 3 คน จาก 3 อาชีพที่บีบีซีไทยนำเรื่องราวของพวกเธอมาถ่ายทอดตลอดเดือน มี.ค. เพื่อแสดงให้เห็นศักยภาพของผู้หญิงในหน้าที่การงานที่หลายคนอาจคิดว่า "ไม่ใช่งานของผู้หญิง" ในโอกาสวันสตรีสากล ซึ่งตรงกับวันที่ 8 มี.ค.ของทุกปี กรุงเทพฯ ประเทศไทย น.ท.หญิง กัญณฐา อายุ 44 ปี มีชื่อเล่นว่า "หญิง" เพราะเกิดที่โรงพยาบาลหญิงหรือโรงพยาบาลราชวิถีในปัจจุบัน หลังจากเรียนจบด้านบัญชีเธอสอบเข้ารับราชการสังกัดสำนักงบประมาณกลาโหม ทำงานด้านงบประมาณเรื่อยมาจนก้าวขึ้นเป็นหัวหน้าแผนกบริหารงบประมาณ กองงบประมาณ สำนักงบประมาณกลาโหม เมื่อราว 10 ปีที่แล้ว เธอเห็นหนังสือเวียนฉบับหนึ่งประกาศรับสมัคร "ทหารที่มีความรู้ความสามารถและปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ทุรกันดารได้" เพื่อไปปฏิบัติภารกิจรักษาสันติภาพภายใต้ปฏิบัติการรักษาสันติภาพของยูเอ็น เธอจึงสมัครอย่างไม่ลังเล "เราเคยเห็นทหารใส่หมวกสีฟ้าไปปฏิบัติภารกิจในถิ่นทุรกันดาร ก็คิดว่าถ้ามีโอกาสก็อยากจะลองทำ" น.ท.หญิง กัญณฐาเล่าถึงจุดเริ่มต้นของการเป็นเจ้าหน้าที่รักษาสันติภาพหญิงของยูเอ็น ด้วยความมุ่งมั่นและการเตรียมตัวอย่างหนัก เธอผ่านการสอบคัดเลือกในรอบแรก จากนั้นก็ผ่านการสอบภาษาอังกฤษ ผ่านการสอบความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับภารกิจของยูเอ็น สอบสัมภาษณ์ ทดสอบสมรรถร่างกาย และผ่านการอบรมอีก 2 หลักสูตรคือหลักสูตรผู้สังเกตการณ์ทางทหารและหลักสูตรนายทหารฝ่ายอำนวยการสหประชาชาติ กว่าที่ชื่อ น.ท.หญิง กัญณฐาจะได้รับการขึ้นบัญชีสำหรับรอการเรียกตัวจากยูเอ็นไปปฏิบัติภารกิจ โดยเรียงตามลำดับคะแนนที่ได้ แล้ววันที่รอคอยก็มาถึง ยูเอ็นร้องขอเจ้าหน้าที่ไทยไปร่วมปฏิบัติการใน "ภารกิจรักษาสันติภาพผสมระหว่างสหภาพแอฟริกากับสหประชาชาติในดาร์ฟูร์ ประเทศซูดาน หรือที่เรียกสั้น ๆ ว่า "ยูนามิด" (African Union-United Nations Hybrid Operation in Darfur : UNAMID) เพื่อฟื้นฟูสันติภาพที่ถูกทำลายลงจากความขัดแย้งทางศาสนาระหว่างมุสลิมกับคริสต์และการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 2 แสนคน มีประชาชนพลัดถิ่นอีกกว่า 2 ล้านคน น.ท.หญิง กัญณฐาเป็นหนึ่งในทหารหญิง 2 นายและทหารชาย 4 นาย รวมทั้งหมด 6 นายที่ได้รับเลือกไปร่วมภารกิจนี้ระหว่างเดือน ส.ค. 2552- ก.ย. 2553 การเตรียมการใช้เวลายาวนานถึง 9 เดือน เนื่องจากความล่าช้าในการออกวีซ่าและการจัดการเรื่องงบประมาณจากสำนักงานยูเอ็นในนิวยอร์ก แต่ น.ท.หญิง กัญณฐา ก็ใช้เวลาระหว่างรออย่างคุ้มค่าด้วยการหาความรู้เกี่ยวกับพื้นที่ที่จะไปและภารกิจที่ต้องทำ เตรียมความพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจ รวมถึงการฉีดวัคซีนป้องกันโรคติดต่ออย่างไข้กาฬหลังแอ่นและไข้เหลืองที่เธออาจต้องเผชิญในทวีปแอฟริกา ด้วยความเป็นสาวโสดในวัย 33 ปีในเวลานั้น ประกอบกับครอบครัวที่สนับสนุนทุกการตัดสินใจ การเดินทางครั้งนั้นจึงเต็มไปด้วยความตื่นเต้น "ตอนนั้นยังเป็นทหารหญิงวัยใส อยากเดินทาง อยากเห็นโลก อยากทำงานต่างแดน" เธอย้อนอดีต ต่อเมื่อเหยียบแผ่นดินซูดาน เธอจึงได้ตระหนักว่าหนึ่งปีที่ต้องปฏิบัติภารกิจที่นี่ยากกว่าที่คิด แคว้นดาร์ฟูร์ ประเทศซูดาน เครื่องบินพาณิชย์นำพาเจ้าหน้าที่ไทยทั้ง 6 คนถึงซูดานกลางดึกคืนหนึ่งในเดือน ส.ค. 2552 อากาศร้อนอบอ้าวอุณหภูมิวัดได้ราว 50 องศาเซลเซียส เส้นทางจากสนามบินไปพื้นที่ปฏิบัติการมีแต่ความมืด ผู้คนและสภาพบ้านเมืองแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง "ตื่นเต้นมาก ทุกอย่างแปลกตาไปหมดและต่างจากบ้านเรามาก ทั้งผู้คน สภาพบ้านเมือง อากาศ เราก็พยายามทำความคุ้นเคย ทำความรู้จัก สังเกตการณ์สิ่งรอบตัวให้มากที่สุด" น.ท.หญิง กัญณฐาเริ่มปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งผู้สังเกตการณ์ทางทหารด้านกิจการสตรี (Gender Officer) ซึ่งมีหน้าที่เก็บข้อมูลและจัดทำรายงานสถิติของเจ้าหน้าที่ผู้หญิงในภารกิจยูนามิด ซึ่งในปีนั้นมีเจ้าหน้าที่ผู้หญิงอยู่เพียง 1.5% ของเจ้าหน้าที่ทั้งหมดในภารกิจ เนื่องจากยูนามิดขาดแคลนเจ้าหน้าที่ที่มาดูแลเรื่องการจัดการกำลังพล เธอจึงได้รับมอบหมายให้มาเป็นผู้บริหารจัดการกำลังพลในภารกิจ เช่น จัดตารางการทำงาน การลา ดูแลเรื่องสวัสดิการ รวมถึงประสานงานกับรัฐบาลซูดานในบางครั้ง ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เธอขวนขวายเรียนภาษาอารบิกที่ใช้ในซูดาน ด้วยการขอให้เจ้าหน้าที่ที่เป็นคนพื้นเมืองช่วยสอนให้ยามว่าง "ใช้ภาษาอังกฤษอย่างเดียวไม่พอ การที่เราพูดภาษาอาราบิกได้บ้างจะทำให้เขาประทับใจ และเห็นว่าเราให้ความสำคัญและเคารพภาษาและวัฒนธรรมของเขา" การทำงานอย่างทุ่มเท ใช้ความรู้ความสามารถอย่างเต็มที่ การมีมนุษยสัมพันธ์และความจริงใจ ทำให้ น.ท.หญิง กัญณฐาทำงานได้อย่างราบรื่นกับเจ้าหน้าที่ที่มาจากประเทศต่าง ๆ ที่พากันเรียกเธอว่า "มาดาม" อย่างให้เกียรติและสนิทสนม เมื่อมีปัญหาที่ทำให้ท้อแท้หรือเหนื่อย เธอจะมองพระบรมฉายาลักษณ์ของในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่นำมาจากไทยด้วย แล้วบอกตัวเองว่า "เรามาอยู่ที่นี่แค่หนึ่งปี ต้องทำให้ดีที่สุด เราจะกลับไปและฝากผลงานไว้" "ทำให้ดีที่สุด" ที่ว่านี้ยังรวมถึงการปรับตัวให้เข้ากับสภาพความเป็นอยู่ที่ลำบากด้วย แม้จะได้อยู่บ้านเช่า แต่ปัญหาน้ำขาดแคลน ไฟฟ้าดับ และอากาศที่ร้อนอบอ้าวจนกลางคืนต้องออกมากางมุ้งนอนหน้าบ้าน อีกทั้งยังต้องเสี่ยงภัยจากการที่ซุ่มโจมตี ลักพาตัวเจ้าหน้าที่ยูเอ็นที่เกิดขึ้นบ่อย ๆ รวมทั้งโรคภัยไข้เจ็บที่เกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ--ทั้งหมดนี้ทำให้หนึ่งปีที่ดาร์ฟูร์นั้นไม่ง่ายนักสำหรับสาวกรุงเทพฯ อย่างเธอ หนึ่งปีผ่านไปอย่างรวดเร็ว น.ท.หญิง กัญณฐาเสร็จสิ้นภารกิจและเดินทางกลับไทย แต่อีกไม่กี่ปีต่อมาเธอก็ถูกเรียกตัวไปร่วมปฏิบัติการรักษาสันติภาพที่ดาร์ฟูร์อีกครั้งระหว่างเดือน ม.ค.2556 - ม.ค. 2557 ภายใต้ภารกิจยูนามิดเช่นเดิม "ตอนแรกก็ไม่ได้คิดว่าจะถูกเรียกตัวไปปฏิบัติภารกิจที่ซูดานอีก แต่เนื่องจากยูเอ็นต้องการเจ้าหน้าที่ที่มีประสบการณ์ก็เลยได้รับการคัดเลือก ครั้งนี้ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่เป็นเจ้าหน้าที่ประสานงาน แต่เมื่อไปถึงกลับได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งนายทหารกิจการพลเรือนซึ่งดูแลด้านกำลังพล" ประสบการณ์จากการร่วมภารกิจในครั้งแรกทำให้เธอรู้ถึงอันตรายที่มี ก่อนออกเดินทางจากกรุงเทพฯ ครั้งนี้เธอจึงเอ่ยปากบอกแม่และน้องสาวว่าถ้าเธอเป็นอะไรไปก็ไม่ต้องคิดมาก "ถ้าเกิดอะไรขึ้นก็ให้คิดว่าลูกของแม่ได้ทำหน้าที่ในนามของประเทศชาติอย่างดีที่สุดแล้ว" เนื่องจากภารกิจครั้งนี้เน้นการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม จัดหาสิ่งของบรรเทาทุกข์ให้ประชาชนที่ได้รับผลกระทบในพื้นที่ความขัดแย้ง จัดกำลังพลไปซ่อมแซมสะพาน ถนนและโรงเรียนที่เสียหายจากการสู้รบ น.ท.หญิง กัญณฐาจึงได้สัมผัสกับประชาชนมากกว่าครั้งที่แล้ว รวมถึงทำหน้าที่ส่งเสริมความรู้ด้านอาชีพให้สตรีในชุมชน เธอจึงมีโอกาสเผยแพร่แนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงรัชกาลที่ 9 น.ท.หญิง กัญณฐาบอกว่าการได้มีโอกาสได้เข้าร่วมปฏิบัติการรักษาสันติภาพของยูเอ็นถึง 2 ครั้งเป็น "ประสบการณ์ที่ประเมินค่าไม่ได้" ที่สำคัญคือเธอได้เข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าทำไมเจ้าหน้าที่รักษาสันติภาพหญิงจึงมีความสำคัญ "ผู้หญิงกับผู้ชายมีความสำคัญในภารกิจรักษาสันติภาพเท่า ๆ กัน แต่มีจุดอ่อนจุดแข็งต่างกัน เช่น ผู้ชายมีสภาพร่างกายที่แข็งแกร่งกว่า แต่ผู้หญิงมีจุดแข็งเรื่องการเข้าถึงประชาชนในพื้นที่ปฏิบัติการ โดยเฉพาะในชุมชนชาวมุสลิมที่ผู้ชายไม่สามารถเข้าไปพูดคุยหรือให้ความช่วยเหลือสตรีที่ได้รับผลกระทบได้ แต่เจ้าหน้าที่ผู้หญิงเข้าไปพูดคุยเก็บข้อมูลได้ เราจึงมีส่วนสำคัญในการเข้าไปเก็บข้อมูลในชุมชนแล้วนำข้อมูลนั้นมาวิเคราะห์เพื่อวางแผนปฏิบัติการ เจ้าหน้าที่ผู้หญิงจึงช่วยเติมเต็มการทำงาน แต่สุดท้ายแล้วภารกิจจะมีประสิทธิภาพและลุล่วงได้นั้นผู้หญิงกับผู้ชายต้องทำงานร่วมกัน พึ่งพาอาศัยกัน ใช้ประโยชน์จากจุดแข็งของกันและกัน" น.ท.หญิง กัญณฐาสรุป เธอหวังว่ากองทัพไทย กระทรวงการต่างประเทศและรัฐบาลไทยจะสนับสนุนการส่งเจ้าหน้าที่ไทยไปร่วมปฏิบัติการรักษาสันติภาพอย่างต่อเนื่อง เพราะนอกจากเจ้าหน้าที่ผู้หญิงจะได้รับประสบการณ์อันมีค่าแล้ว พวกเธอยังจะได้แสดงให้ประชาคมโลกเห็นว่าผู้หญิงไทยมีความเป็นมืออาชีพและมีศักยภาพที่จะปฏิบัติงานร่วมกับนานาประเทศในระดับสากล 5 เรื่องเล่าจากดาร์ฟูร์ การเดินทางไปปฏิบัติภารกิจรักษาสันติภาพที่ดาร์ฟูร์ถึง 2 ครั้ง ๆ ละ 1 ปี ย่อมมีเรื่องราวมากมายให้จดจำ บีบีซีไทยขอให้เธอเลือกเรื่องราวที่เป็นตัวแทนของความภูมิใจ ความประทับใจ เรื่องเสี่ยงภัย เรื่องสะเทือนใจ และเรื่องท้าทาย มาบอกเล่าสู่กันฟัง น.ท.หญิง กัญณฐาพบเด็กผู้หญิงชาวซูดานคนหนึ่งระหว่างนั่งรอรถโดยสาร เด็กหญิงชวนคุยโดยมีพี่สาวช่วยเป็นล่ามให้ เธอบอกว่ากำลังจะออกจากโรงเรียนเพราะที่บ้านยากจน น.ท.หญิงกัญณฐาจึงเล่าว่าที่เธอได้มาเป็นทหาร เป็นเจ้าหน้าที่รักษาสันติภาพ และได้เดินทางมาไกลหลายพันไมล์มาถึงที่นี่ก็เพราะเรียนหนังสือ เธอขอให้เด็กหญิงเรียนต่อ สี่ปีหลังจากนั้น เธอกลับไปประจำการที่ดาร์ฟูร์อีกครั้งและพบเด็กหญิงคนนั้นโดยบังเอิญ ทั้งสองจำกันได้ เด็กหญิงบอกว่าบทสนทนาในวันนั้นทำให้เธอตัดสินใจเรียนต่อและกำลังจะสมัครเข้าเรียนสายอาชีพ ขบวนรถของเจ้าหน้าที่ยูเอ็นถูกซุ่มโจมตี เพื่อนทหารชาวไนจีเรียที่เธอสนิทด้วยอยู่ในขบวนรถนั้น เขาบาดเจ็บสาหัสจนเกือบเสียชีวิต รักษาตัวอยู่นานเกือบปี มิตรภาพระหว่างเจ้าหน้าที่รักษาสันติภาพซึ่งมาจากหลายประเทศ ต่างเชื้อชาติ ต่างวัฒนธรรม แต่ทุกคนมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ช่วยเหลือกัน น.ท.หญิง กัญณฐาพบว่าตัวเองมีตุ่มขึ้นเต็มตัว น่าจะเกิดจากการติดเชื้อ แต่โรงพยาบาลในพื้นที่ปฏิบัติการของเธอเป็นโรงพยาบาลขนาดเล็กสำหรับปฐมพยาบาลเท่านั้น จึงต้องเดินทางไปหาหมอที่โรงพยาบาลขนาดใหญ่ที่ "ซูเปอร์แคมป์" ซึ่งอยู่ห่างไปราว 30 กม. ช่วงนั้นเกิดเหตุซุ่มโจมตีขบวนรถของเจ้าหน้าที่ยูเอ็นบ่อยครั้ง แต่อาการติดเชื้อของเธอก็น่ากังวล เธอและเพื่อนทหารจึงตัดสินใจสินใจเดินทางไป "ถ้าเกิดอะไรขึ้นให้หมอบอย่างเดียว" พลขับบอกเธอก่อนออกเดินทาง โชคดีที่ไม่เกิดอะไรขึ้นในวันนั้นทั้งขาไปและกลับ และหมอวินิจฉัยกว่าการติดเชื้อของเธอไม่ร้ายแรงนัก น.ท.หญิง กัญณฐาถูกเสนอชื่อและได้รับเลือกเป็นรักษาการหัวหน้านายทหารกิจการพลเรือน ซึ่งเธอต้องพิสูจน์ตัวเองอย่างมากว่าสามารถทำหน้าที่นี้ได้ การเป็น "ผู้หญิง" และเป็น "คนเอเชีย" ทำให้ต้องพิสูจน์ตัวเองหนักขึ้นไปอีก เมื่อมีนายทหารบางกลุ่มไม่ค่อยยอมรับผู้นำที่เป็นผู้หญิง "เราต้องใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์และความรู้ความสามารถที่จะทำให้เขายอมรับในตัวเรา ขณะเดียวกันก็ต้องบริหารกำลังพลให้ราบรื่นไม่มีปัญหา เราต้องมีภาวะความเป็นผู้นำและมีความสัมพันธ์ที่ดีกับคนอื่น ๆ ที่จะทำให้เราบรรลุวัตถุประสงค์ขององค์กรได้ดีที่สุด ตอนนั้นก็กังวลแต่เพื่อนบอกว่าจะมีสักกี่ครั้งที่ ผู้หญิงไทยจะได้รับโอกาสทำหน้าที่นี้เราก็เลยคิดว่าลองดูสักตั้ง ซึ่งสุดท้ายก็ผ่านมาได้ ได้รับความร่วมมือจากเพื่อนในหน่วย และผลงานขององค์กรก็ออกมาเด่นชัด ก็เลยรู้สึกว่าเราไม่ได้ทำให้ใครผิดหวัง" ภารกิจรักษาสันติภาพที่มีความละเอียดอ่อนขึ้นทำให้ทหารหญิงเป็นที่ต้องการ ศูนย์ปฏิบัติการเพื่อสันติภาพ กรมยุทธการทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย ให้ข้อมูลว่ากองทัพไทยจัดส่งนายทหารหญิงเข้าร่วมภารกิจกับยูเอ็นตั้งแต่ปี 2545 ถึงปัจจุบันมีจำนวนรวม 113 นาย โดยมีศูนย์ปฏิบัติการสันติภาพฯ เป็นหน่วยงานหลักในการประสานการปฏิบัติร่วมกับยูเอ็น พล.ท.ธิติชัย เทียนทอง เจ้ากรมยุทธการทหาร ให้สัมภาษณ์บีบีซีไทยว่า ผู้บัญชาการทหารสูงสุด มีนโยบายที่ชัดเจนในการส่งเสริมให้ทหารหญิงเข้าร่วมในภารกิจการรักษาสันติภาพร่วมกับยูเอ็น ซึ่งปัจจุบันมีสัดส่วนของนายทหารหญิงประมาณร้อยละ 25 ของนายทหารทั้งหมดที่ส่งไปปฏิบัติหน้าที่ฝ่ายอำนวยการและผู้สังเกตการณ์ทางทหาร "ในอนาคตเราก็จะดำเนินการให้ทหารหญิงได้มีส่วนร่วมในการรักษาสันติภาพมากยิ่งขึ้น" พล.ท.ธิติชัยกล่าว เจ้ากรมยุทธการทหารยอมรับว่าขณะนี้จำนวนทหารหญิงไทยที่เข้าร่วมปฏิบัติการรักษาสันติภาพยังมีไม่มากนัก แม้ว่าไทยจะสนับสนุนและมีความพร้อมในการส่งทหารหญิงเข้าร่วมภารกิจ แต่ก็ขึ้นอยู่กับการร้องขอของยูเอ็นด้วยว่าจะให้ทหารหญิงของไทยเข้าร่วมจำนวนกี่นาย หรือมีภารกิจที่ต้องการทหารหญิงมากน้อยแค่ไหน "การรักษาสันติภาพในยุคปัจจุบันมีความสลับซับซ้อนมากขึ้น ยูเอ็นเน้นเรื่องการปกป้องสิทธิมนุษยชน การคุ้มครองเด็กและสตรี การพัฒนาความเป็นอยู่ของประชาชนในพื้นที่ ซึ่งเป็นงานที่เหมาะสมกับทหารหญิง ถ้าทหารหญิงไทยปฏิบัติภารกิจเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ยูเอ็นก็จะร้องขอเจ้าหน้าที่ไทยให้ร่วมภารกิจมากขึ้น ซึ่งมั่นใจว่าความรู้ความสามารถและคุณลักษณะของทหารหญิงไทยทำให้ไทยมีส่วนสำคัญในการร่วมภารกิจในการสร้างสันติภาพได้เป็นอย่างดี" พล.ท.ธิติชัยกล่าว
|
เธอจบบัญชีและมีดีกรีปริญญาโทด้านการบริหารธุรกิจ แต่เมื่อเส้นทางชีวิตนำพาให้มาเป็น "ทหารหญิง" น.ท.หญิง กัญณฐา ธนคลังสิน จึงได้พบกับประสบการณ์ที่ไม่คาดฝันมากมาย หนึ่งในนั้นคือการเดินทางไปยังทวีปแอฟริกา สวมหมวกสีฟ้าติดตราสัญลักษณ์องค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ในฐานะนายทหารหญิงแห่งปฏิบัติการรักษาสันติภาพในดาร์ฟูร์ ประเทศซูดาน
|
international-56486129
|
https://www.bbc.com/thai/international-56486129
|
เรื่องราวของเกย์เกาหลีเหนือที่แปรพักตร์เพราะต้องการหย่าภรรยา กว่าจะพบรักใหม่กับชายอเมริกันเชื้อสายเกาหลี
|
จัง ยอง-จิน ไม่เคยรู้สึกว่าผู้หญิงมีความน่าดึงดูดใจเลย แต่ชีวิตของเขาก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร จนกระทั่งคืนวันแต่งงาน ขณะที่เขามีอายุได้ 27 ปี จังรู้สึกกระอักกระอ่วนใจอย่างมาก "ผมไม่อาจวางนิ้วลงบนตัวภรรยาของผมได้เลย" เขาเล่า แม้ว่าท้ายที่สุดแล้วทั้งคู่ก็ร่วมเรียงเคียงหมอนกัน แต่แทบจะไม่มีอะไรกันเลย เวลาผ่านไปสี่ปี ภรรยาของเขาก็ยังไม่ตั้งครรภ์ พี่ชายคนหนึ่งของจังเริ่มสงสัย จังยอมรับว่าเพศตรงข้ามไม่เคยดึงดูดใจเขาเลย ทำให้พี่ชายส่งเขาไปหาหมอ "ผมไปมาหลายโรงพยาบาลในเกาหลีเหนือ เพราะเราคิดว่า ผมมีปัญหาทางร่างกายบางอย่าง" จังและทางครอบครัวไม่เคยคิดเลยว่า การที่เขาไม่สนใจเพศตรงข้ามอาจจะเป็นเพราะอีกเหตุผลหนึ่งก็ได้ หาหมอตรวจ "ในเกาหลีเหนือไม่มีความคิดเรื่องการรักเพศเดียวกันอยู่เลย" เขาพูด ถ้าเห็นคนวิ่งเข้าไปทักทายเพื่อนเพศเดียวกัน คนก็คิดว่าเป็นเพราะพวกเขาสนิทสนมกัน เขาเล่าว่า ความจริงแล้ว คนเพศเดียวกันที่โตเป็นผู้ใหญ่แล้วมักจะจูงมือกันตามท้องถนน "เกาหลีเหนือเป็นสังคมที่ปกครองแบบเผด็จการ เราใช้ชีวิตร่วมกันมาก มันก็เลยไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับเรา" ตอนนี้จังคิดว่า เรื่องที่เขาถูกเข้าใจผิดไม่ใช่เรื่องพิเศษอะไรเลย จนมีอยู่ช่วงหนึ่ง จังยอมเข้าโรงพยาบาลนาน 1 เดือน เพื่อเข้ารับการตรวจต่าง ๆ และได้รู้จักกับคนไข้ที่นั่นบางคน "ผมถึงได้รู้ว่า มีคนจำนวนไม่น้อยที่มีปัญหาคล้ายกันกับผม คือเป็นคนที่ไม่รู้สึกอะไรกับผู้หญิงเลย" แต่การจะพูดออกมา หรือการจะไปตรวจสอบหาว่า สิ่งที่พวกเขารู้สึกนั้นคืออะไร เป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเป็นไปได้เลย หากไม่มีกรณีให้เทียบเคียง "ในเกาหลีเหนือ ถ้าผู้ชายบอกว่า เขาไม่ชอบผู้หญิง คนคิด [แต่เพียง] ว่าเขาไม่สบาย" ผู้ชายคนหนึ่งที่จังได้รู้จักตอนไปเป็นทหารเคยมาเยี่ยมเยียนเขาหลายครั้ง หลังจากที่พวกเขาปลดประจำการแล้ว เขาสารภาพว่า คืนวันแต่งงานของเขาก็เป็นคืนหายนะสำหรับเขาเช่นกัน เขาไม่อาจบังคับตัวเองให้แม้กระทั่งจับมือภรรยาได้เลย "ผมคิดว่า เขาก็เป็นเหมือนผมเหมือนกัน" จังเล่า พัก จอง-วอน ศาสตราจารย์ด้านกฎหมายที่มหาวิทยาลัยกุกมิน (Kookmin University) ในกรุงโซล กล่าวว่า เขาไม่รู้ว่าเกาหลีเหนือมีกฎหมายต่อต้านความสัมพันธ์ของชายรักชายและหญิงรักหญิงที่เห็นชัด ๆ หรือไม่ แต่เขาระบุว่า เกาหลีเหนือมีกฎหมายต่อต้านความสัมพันธ์นอกสมรสและการละเมิดวัฒนธรรมประเพณีทางสังคม ซึ่งอาจจะถูกนำมาใช้ในการดำเนินคดีต่อการกระทำทางเพศใด ๆ ระหว่างชายรักชายได้ คิม ซอก-ฮยาง นักวิชาการอีกคนหนึ่งในกรุงโซล ได้สัมภาษณ์ผู้แปรพักตร์มาแล้วหลายสิบคนเกี่ยวกับเรื่องนี้และพบว่าไม่มีใครเคยได้ยินเรื่องการรักเพศเดียวกันเลย "เมื่อฉันถามพวกเขาเกี่ยวกับการรักเพศเดียวกัน พวกเขาดูไม่ค่อยเข้าใจ ฉันเลยต้องอธิบายเรื่องนี้ให้แต่ละคนฟัง" ศาสตราจารย์ด้านเกาหลีเหนือศึกษาที่มหาวิทยาลัยสตรีอีฮวา (Ewha Women's University) กล่าว บรรดาผู้แปรพักตร์ต่างเล่าให้เธอฟังว่า พวกเขามั่นใจว่า หากมีคนพบว่าใครก็ตามที่ต้องการมีความสัมพันธ์กับคนเพศเดียวกัน อย่างน้อยที่สุดก็คงจะถูกสังคมตัดขาด หรืออาจจะถึงขั้นถูกประหารชีวิตก็ได้ จังได้รับอนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาลโดยไม่มีปัญหาด้านสุขภาพใด ๆ การทดสอบทางการแพทย์ต่าง ๆ ที่พี่ชายของเขาเข้ามาเป็นธุระจัดแจง ไม่แสดงว่าเขามีปัญหาทางร่างกายแต่อย่างใด แต่ภรรยาของเขาก็ยังคงไม่มีความสุข "ผมคิดว่า 'ผมควรจะปล่อยคนคนนี้ไป' เราควรหาทางที่ทำให้ต่างฝ่ายต่างมีความสุข" จังเล่า ดังนั้น จังจึงยื่นเรื่องหย่า แต่กระบวนการนี้ไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้ง่าย ๆ ในเกาหลีเหนือ พัก จอง-วอน ศาสตราจารย์ด้านกฎหมายกล่าวว่า ศาลจะต้องอนุญาตก่อน และศาลเกาหลีเหนือให้ความสำคัญกับหน่วยครอบครัวในสังคมเป็นอันดับแรก ศาสตราจารย์พักบอกว่า ศาลจะอนุมัติให้หย่ากันได้ก็ต่อเมื่อการอยู่ร่วมกันของสามีภรรยานั้นถูกมองว่าเป็นภัยคุกคามต่ออุดมการณ์ของประเทศ จังเริ่มตระหนักแล้วว่า เขามีเพียงหนทางเดียวที่เหลืออยู่คือการหนีออกจากเกาหลีเหนือเท่านั้น การทำเช่นนี้จะทำให้การสมรสของพวกเขาเป็นโมฆะโดยอัตโนมัติและจะเปิดโอกาสให้ภรรยาของเขาแต่งงานใหม่ได้ แต่ตัวกระตุ้นสุดท้ายที่ทำให้เขาตัดสินใจแปรพักตร์คือเพื่อนสนิทผู้ชายที่ชื่อว่า ชอนชอล เดินทางมาเยี่ยมเขา พวกเขาโตมาด้วยกันที่บ้านเกิดในเมืองชงจินทางเหนือของประเทศ ทั้งสองคนสนิทสนมกันมาโดยตลอด ต่างเคยไปนอนค้างบ้านของอีกฝ่ายตอนเป็นเด็กและนอนร่วมเตียงเดียวกัน แต่พอพวกเขาโตขึ้น ความรู้สึกของจังที่มีต่อซอนชอลก็ลึกซึ้งขึ้น "ผมชอบซอนชอลมากจริง ๆ ผมยังคงฝันถึงเขาอยู่เลย" ซอนชอลจะแวะเวียนมากินข้าวเย็นที่บ้านของเขานาน ๆ ครั้ง แล้วในคืนวันหนึ่ง จังเห็นว่าเวลาดึกแล้วก็เลยคะยั้นคะยอให้ซอนชอลนอนค้างที่บ้าน แล้วไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนั้น จังก็พบว่าเขาแอบออกมาจากเตียงของตัวเองแล้วไปนอนข้างซอนชอล เขารู้สึกเสียใจที่เพื่อนที่นอนอยู่ไม่ได้ทำอะไรเขาเลย ขณะที่เขาค่อย ๆ ขยับเข้าไปใกล้ "ผมไม่รู้ว่าผมต้องการอะไรจากเขากันแน่ บางทีผมอาจจะแค่ต้องการให้เขากอดผมแน่น ๆ" จังกล่าว แต่ช่วงเวลานั้นเองที่ทำให้เขารู้สึกอย่างชัดเจนว่า ชีวิตในเกาหลีเหนือของเขาได้มาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว จังเดินทางมาถึงเกาหลีใต้ในเดือน เม.ย. 1997 ด้วยการค่อย ๆ เดินข้ามเขตปลอดทหาร (de-militarized zone--DMZ) ที่กั้นระหว่างทั้งสองชาติ ซึ่งเต็มไปด้วยกับระเบิด หลังจากเส้นทางแรกที่เขาใช้เดินทาง ทำให้เขาต้องไปติดอยู่ในประเทศจีน การข้ามเขต DMZ เป็นการเสี่ยงชีวิตที่ไม่ค่อยมีใครทำ ทำให้การหลบหนีออกจากเกาหลีเหนือของเขากลายเป็นข่าวใหญ่ในเกาหลีใต้ จังหลบหนีด้วยการเดินข้ามเขต DMZ ที่มีการรักษาความปลอดภัยสูง บรรยากาศในกรุงโซลเหมือนกับโลกอีกใบหนึ่ง ต่างไปจากเกาหลีเหนือที่ปิดกั้นตัวเอง แต่แม้แต่ในเกาหลีใต้เอง เจ้าหน้าที่ทางการก็สับสนกับเรื่องราวของเขา ผู้แปรพักตร์แต่ละคนที่เดินทางเข้ามาจากเกาหลีเหนือต้องผ่านการสอบปากคำตามข้อบังคับนานหลายสัปดาห์โดยหน่วยข่าวกรองแห่งชาติของเกาหลีใต้ (national intelligence service--NIS) เพื่อตรวจสอบว่า พวกเขาไม่ได้เป็นสายลับให้กับเกาหลีเหนือ แต่จังถูกสอบปากคำนานกว่า 5 เดือน เพราะในตอนแรกเขาไม่ยอมอธิบายถึงเหตุผลที่แท้จริงของการแปรพักตร์ แต่ท้ายที่สุด เมื่อเขายอมรับว่า เขาไม่ได้รู้สึกเสน่หาภรรยาของตัวเอง เขาจึงได้รับอนุญาตให้อยู่ในเกาหลีใต้ แต่เขาก็ต้องถูกส่งตัวไปพบแพทย์อีกครั้ง "เจ้าหน้าที่ [NIS] บอกผมว่า น่าจะมีเหตุผลที่ทำให้ผมไม่ชอบผู้หญิง" แม้แต่ในเกาหลีใต้เองในเวลานั้น ผู้คนก็แทบไม่รู้ว่ามีรสนิยมทางเพศที่ต่างออกไป แพทย์ 2-3 คน แนะนำให้เขาขอความช่วยเหลือด้านจิตใจ ซึ่งเขาไม่ได้ทำตามคำแนะนำนี้ จากนั้นในช่วงฤดูใบไม้ผลิของปี 1998 หรือ 13 เดือน หลังจากที่เขาเดินทางมาถึงเกาหลีใต้วันแรก จังก็ได้เปิดอ่านนิตยสารฉบับหนึ่งที่เขาให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับการเดินข้าม DMZ แปรพักตร์มาเกาหลีใต้ แล้วเมื่อพลิกเข้าไปด้านใน เขาก็ได้พบกับบทความเกี่ยวกับชายรักชายที่เปิดเผยตัว โดยมีภาพผู้ชายสองคนจูบกันอยู่บนเตียงซึ่งเป็นฉากในภาพยนตร์อเมริกันเรื่องหนึ่ง เส้นทางการหลบหนีเพื่อมาแปรพักตร์ของจัง กลายเป็นข่าวใหญ่ในเกาหลีใต้ ในที่สุด จังจึงเริ่มเข้าใจว่า เขาเองก็เป็นชายรักชาย หรือ เกย์ "เมื่อผมเห็น ผมก็รู้เลยทันทีว่า ผมเป็นคนประเภทนี้ นั่นคือเหตุผลที่ผมไม่อาจชอบผู้หญิงได้" การเข้าใจเรื่องนี้ทำให้ชีวิตของจังเปลี่ยนแปลงไป แล้วเขาก็ได้กลายเป็นแขกขาประจำที่บาร์เกย์ในกรุงโซล แต่ในอีก 2-3 ปีต่อมา โลกใบใหม่นี้ก็ทำให้จังต้องถูกหลอกจนหมดตัว ในปี 2004 เจ้าของบาร์โปรดของจังได้แนะนำให้เขารู้จักกับสจ๊วตคนหนึ่ง พวกเขาเริ่มคบหาดูใจกันนาน 3 เดือน แล้วจังก็ตกหลุมรักเขา สจ๊วตคนนี้คะยั้นคะยอให้จังย้ายเข้ามาอยู่ด้วยกัน แต่เขาบอกว่า เขาอยู่กับพ่อเลี้ยง ทำให้พวกเขาต้องซื้อบ้านที่หลังใหญ่ขึ้นก่อน จังได้ย้ายออกจากที่ที่เขาเช่าอยู่ แล้วก็นำเงินเก็บที่เขาหามาด้วยความยากลำบากทั้งหมด 90 ล้านวอน (ประมาณ 2.5 ล้านบาท) พร้อมกับทรัพย์สินทุกอย่าง ยกให้แก่สจ๊วตคนนั้น จังไม่เคยได้เจอหน้าผู้ชายคนนั้นอีกเลย เขาไปแจ้งความที่สถานีตำรวจทุกวันนาน 15 วัน จนกระทั่งตำรวจบอกให้เขาเลิกมา จังบอกว่า เขาไม่เคยนึกเลยว่า เขาจะถูกหลอกแบบนี้ "ในเกาหลีเหนือ เราใช้ชีวิตอยู่ภายใต้การถูกควบคุมอย่างมาก ดังนั้น ถ้าผมบอกว่า มีคนมาหลอกผม ทางพรรคจะตามหาตัวเขาแล้วก็ลงโทษอย่างหนัก" จังล้มป่วยลงและต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลนาน 1 เดือน ซึ่งเขาคิดว่าน่าจะเกิดจากความเครียด ทำให้เขาต้องออกจากงานที่โรงงานแห่งหนึ่ง แล้วตอนนี้ก็ต้องสิ้นเนื้อประดาตัว ไม่มีที่ซุกหัวนอนและไม่มีงานทำ ซึ่งเป็นเรื่องที่ทำใจยอมรับได้ยากสำหรับชาวเกาหลีเหนือ ขณะที่เขาค่อย ๆ เริ่มต้นชีวิตใหม่ ได้งานเป็นคนทำความสะอาดและเก็บหอมรอมริบได้มากพอที่จะเช่าบ้านใหม่ เขาจึงได้เริ่มใช้เวลาว่างในการเขียนหนังสือ ตอนเป็นเด็ก เขาเคยชนะที่หนึ่งในการประกวดเขียนหนังสือ แต่มีข้อกำหนดว่า นักเรียนต้องเขียนยกย่องการปกครองของเกาหลีเหนือเท่านั้น ตอนนี้ จังเขียนอะไรก็ได้ที่เขาอยากเขียน A Mark of Red Honor (อาจแปลเป็นไทยได้ว่า เครื่องหมายแห่งเกียรติสีแดง) หนังสืออัตชีวประวัติของเขา ได้รับการตีพิมพ์ในปี 2015 แต่จังก็ใช้เวลานานกว่าที่จะยอมเสี่ยงคบหาดูใจกับใครอีกครั้ง เมื่อปีที่แล้ว ในวัย 62 ปี จังได้พบกับมิน-ซู เจ้าของร้านอาหารชาวอเมริกันเชื้อสายเกาหลีผ่านทางเว็บไซต์หาคู่ อีกเพียง 4 เดือนต่อมา เขาก็ออกเดินทางไปยังประเทศที่ครั้งหนึ่งเขารู้จักแต่เพียงในนามว่า "ประเทศแห่งหมาป่า" ซึ่งเป็นชื่อที่รัฐบาลเกาหลีเหนือใช้ในการเรียกสหรัฐฯ อย่างดูหมิ่น แต่เมื่อ จังได้พบกับมิน-ซู ที่มารอรับเขาที่อาคารผู้โดยสารขาเข้า เขาก็รู้สึกผิดหวัง จังไม่รู้สึกประทับใจมิน-ซู ซึ่งสวมกางเกงขาสั้นและหมวกแก๊ปมารอรับเขา จังเล่าว่า "การเห็นลักษณะการแต่งตัวของเขา ผมก็คิดไปว่า เขาไม่มีมารยาทและดูเป็นคนโผงผาง" การล็อกดาวน์ในช่วงการระบาดของโควิด-19 ทำให้ทั้งคู่ได้มีเวลาทำความรู้จักกันมากขึ้น ไปปิกนิกแล้วก็ดื่มไวน์กัน "ยิ่งผมรู้จักผู้ชายคนนี้มากขึ้น ผมก็ยิ่งเห็นได้ว่า เขาเป็นคนมีนิสัยดีมาก แม้ว่าเขาจะอายุน้อยกว่าผม 8 ปี เขาเป็นคนประเภทที่ชอบดูแลคนอื่นก่อน" หลังจากนั้น 2 เดือน มิน-ซู ก็ตัดสินใจขอจังแต่งงาน จังกำลังอยู่ในขั้นตอนของการดำเนินการด้านเอกสารเพื่อพิสูจน์ว่าการแต่งงานครั้งแรกของเขาในเกาหลีเหนือสิ้นสุดลงแล้ว และพวกเขาหวังว่าจะได้แต่งงานกันภายในปีนี้ "ผมรู้สึกหวาดกลัว เศร้าแล้วก็เหงาอยู่ตลอดเวลาที่อยู่คนเดียว ผมเป็นคนค่อนข้างเก็บตัวและก็อ่อนไหวมาก แต่เขาเป็นคนที่มองโลกในแง่ดี ดังนั้นเราจึงเข้ากันได้ดี" เขาเล่า จังและคู่หมั้นของเขา แต่แม้ว่าเขาจะพบความสุขครั้งใหม่ แต่ผลกระทบของการแปรพักตร์มีต่อครอบครัวของเขาก็ยังตามหลอกหลอนเขาอยู่ ญาติหลายคนของเขาถูกเนรเทศให้ไปอยู่ในหมู่บ้านที่ห่างไกลทางเหนือที่มีอากาศหนาวจัด ซึ่งเป็นชะตากรรมเดียวกันกับสมาชิกครอบครัวของผู้ที่ถูกมองว่าทรยศต่อเกาหลีเหนือเผชิญ ญาติ 6 คนของเขาเสียชีวิตจากการอดอยากและเจ็บป่วย รวมถึงแม่และพี่น้อง 4 คนของเขาด้วย จังบอกว่า หนทางเดียวที่ช่วยทำให้เขารับมือกับความรู้สึกผิดคือการถ่ายทอดความคิดของเขาออกมาด้วยปากกาและกระดาษ "เมื่อใดก็ตามที่ผมคิดถึงครอบครัวของผม ผมรู้สึกเจ็บปวดมาก ผมก็เลยตัดสินใจเขียนหนังสือ ผมเชื่อว่า นั่นเป็นหนทางเดียวที่ผมสามารถชดเชยให้พวกเขาได้" แต่เขารู้สึกดีขึ้นมาบ้างที่การตัดสินใจออกจากเกาหลีเหนือของเขา ทำให้ภรรยาของเขาได้รับโอกาสใหม่ เขาได้ยินมาว่า เธอแต่งงานใหม่แล้ว "ผมคิดเสมอว่า เธอเป็นคนมีความสามารถมาก ดังนั้นผมจึงรู้สึกมีความสุขกับเธอไปด้วย" เขาบอกว่า เขาเฝ้ารอวันที่จะได้ออกไปเปิดหูเปิดตา เมื่อมีการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์เพื่อควบคุมการระบาดของโควิด-19 เขาอยากจะไปเยือนวอชิงตัน ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านของมิน-ซู ขับรถไปราวครึ่งชั่วโมง "ผมได้ยินมาว่ามีบาร์เกย์หลายแห่งที่นั่น ผมอยากจะไปเที่ยวบาร์เกย์กับเขา" ในระหว่างนี้ เขาบอกว่า เขามีความสุขกับความสงบเงียบของย่านชานเมือง ซึ่งเขาเรียกมันว่า เหมือนกับอยู่ใน "เทพนิยาย" เราใช้ชื่อ มิน-ซู เป็นชื่อสมมุติ ตามคำร้องขอของเขา
|
สื่อต่างชาติต่างนำเสนอเรื่องราวอันน่าทึ่งของ จัง ยอง-จิน ในฐานะผู้แปรพักตร์ที่เป็นชายรักชายเปิดเผยตัวเพียงหนึ่งเดียวจากเกาหลีเหนือ หลังจากที่เขาเขียนหนังสืออัตชีวประวัติของตัวเอง ตอนนี้เป็นเวลาเกือบ 25 ปีแล้วที่เขาหนีออกมาจากเกาหลีเหนือ เขาบอกกับบีบีซีว่า เขามีแผนจะแต่งงานกับคนรักชายชาวอเมริกัน
|
thailand-46678626
|
https://www.bbc.com/thai/thailand-46678626
|
ชาวเวียดนามประหลาดใจ คนไทยใจดีกับหมาแมวจรจัด
|
การที่ได้เห็นหมาแมวจรจัดนอนกลิ้ง วิ่งเล่นอยู่ตามข้างถนน อาจเป็นภาพที่คุ้นตาสำหรับคนไทย แต่ไม่ใช่สำหรับชาวเวียดนาม ที่หลายคนต่างประหลาดใจ เมื่อได้ดูวิดีโอความใจดีของคนไทย ที่คอยให้ข้าวให้น้ำกับพวกมัน เล ดู ซึ่งเป็นผู้สื่อข่าววิดีโอของบีบีซีเวียดนาม และเป็นผู้ถ่ายทำและตัดต่อวิดีโอชิ้นนี้บอกว่าเมื่อเดินทางในกรุงเทพ ฯ เขามองเห็นหมาแมวเต็มไปหมด เขาเห็นคนไทยเอาอาหารมาให้พวกมัน ในตอนแรกเขาก็นึกว่าพวกมันเป็นสัตว์เลี้ยง แต่ต่อมาก็พบว่าพวกมันไม่มีเจ้าของ แต่กลับได้รับการดูแลจากชาวบ้านที่อยู่ใกล้ ๆ บางตัวอ้วนท้วนดูมีสุขภาพดี และพวกมันก็ดูเป็นมิตรกับคนมาก เขาก็เลยตัดสินใจเล่าเรื่องนี้ให้คนเวียดนามได้รับรู้ ส่วนเหวียน ทุ้ย หลิง ผู้สื่อข่าวบีบีซีเวียดนาม ให้เหตุผลที่ชาวเวียดนามหลายคนประหลาดใจกับสิ่งนี้ เพราะว่าที่เวียดนาม คนบางกลุ่มนิยมรับประทานเนื้อหมาและเนื้อแมว ทำให้การได้เห็นหมาแมวจรจัด เป็นสิ่งที่พบไม่บ่อยนักในเวียดนาม "ที่เวียดนามก็มีแมวจรจัดเหมือนกัน แต่พวกมันส่วนใหญ่มักถูกจับ และถูกนำไปเป็นอาหารในภัตตาคาร" เหวียน ทุ้ย หลิง ให้สัมภาษณ์กับบีบีซีไทย แฟนเพจของบีบีซีเวียดนามหลังจากได้ดูวิดีโอนี้แล้วก็แสดงความเห็นไปต่าง ๆ กัน อย่างเช่น ชื่นชมความมีน้ำใจของคนไทย หรือประหลาดใจที่พวกสัตว์เหล่านั้นดูมีความสุข บางคนก็มาเขียนติดตลกว่าตอนนี้พวกมันอาจเริ่มลำบากแล้ว เพราะคนเวียดนามกำลังจะไปเมืองไทยกันมากขึ้น
|
วิดีโอ โดย วสวัตติ์ ลุขะรัง ผู้สื่อข่าววิดีโอ บีบีซีไทย และ เล ดู ผู้สื่อข่าววิดีโอ บีบีซีเวียดนาม "มันประหลาดมาก" คือประโยคแรกที่ผู้สื่อข่าวชาวเวียดนาม ให้คำนิยามกับความใจดีของคนไทยที่มีต่อหมาแมวจรจัด
|
international-41511935
|
https://www.bbc.com/thai/international-41511935
|
คาสึโอะ อิชิงุโระ นักเขียนอังกฤษเชื้อสายญี่ปุ่นคว้าโนเบลวรรณกรรม
|
คาสึโอะ อิชิงุโระ กล่าวว่า เขาได้ "ดำเนินรอยตามนักเขียนที่ยิ่งใหญ่หลายคน" หนึ่งในคณะกรรมการพิจารณาโนเบลกล่าวว่านายอิชิงุโระ นักเขียนวัย 62 ปี ซึ่งเกิดในญี่ปุ่น และเติบโตในอังกฤษว่าเป็น "นักแต่งนิยายที่ยอดเยี่ยม" ด้านเจ้าตัวเปิดเผยกับบีบีซีว่า "นับเป็นเกียรติอย่างยิ่ง เพราะนั่นหมายความว่า ผมได้ดำเนินรอยตามนักเขียนที่ยิ่งใหญ่หลายคนที่ยังมีชีวิตอยู่ รางวัลที่ได้รับถือเป็นรางวัลอันยอดเยี่ยม" เขาหวังว่า รางวัลนี้จะเป็นแรงผลักดันให้เกิดสิ่งดี ๆ ขึ้น "โลกกำลังอยู่ในห้วงเวลาที่มีแต่ความไม่แน่นอน และผมหวังว่ารางวัลโนเบลทุกสาขาจะเป็นแรงผลักดันในทางบวกต่อโลกอย่างที่มันทำอยู่ในขณะนี้" เขากล่าวเพิ่มเติม นายอิชิงุโระ เขียนหนังสือมาแล้ว 8 เล่ม ซึ่งได้รับการแปลเป็นภาษาต่าง ๆ มากกว่า 40 ภาษา แฟนหนังสือในญี่ปุ่นรวมตัวกันในกรุงโตเกียวเพื่อหวังว่าจะได้ร่วมยินดีกับ ฮารูกิ มูรากามิ ซึ่งเป็นนักเขียนที่พวกเขาชื่นชอบ แต่ปรากฏว่าผู้คว้าโนเบลสาขาวรรณกรรมปีนี้ได้แก่ อิชิงุโระ ใครคือคาสึโอะ อิชิงุโระ?
|
คาซูโอะ อิชิกูโร นักเขียนสัญชาติอังกฤษ เชื้อสายญี่ปุ่น คว้ารางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรมประจำปีนี้ โดยนิยายที่สร้างชื่อเสียงให้กับเขามากที่สุดได้แก่เรื่อง "The Remains of the Day" (ตรงกับงานแปลไทยในชื่อ "เถ้าถ่านแห่งวารวัน") และ "Never Let Me Go" (ตรงกับงานแปลไทยในชื่อ "แผลลึก หัวใจสลาย")
|
international-56808395
|
https://www.bbc.com/thai/international-56808395
|
โควิด-19: ยอดผู้ติดเชื้อในอินเดียในการระบาดระลอกที่สองเพิ่มเป็น 2 แสนรายต่อวันได้อย่างไร
|
จากเดือน ม.ค. และ ก.พ. ที่ผู้ป่วยรายวันน้อยกว่า 20,000 ราย ล่าสุด ทางการบอกว่า มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น 200,000 รายต่อวันแล้ว สถานการณ์ร้ายแรงขึ้นขนาดนี้ได้อย่างไร ล่าสุด สหราชอาณาจักรได้เพิ่มอินเดียเข้าเป็นหนึ่งในกลุ่มประเทศสีแดง (red list) ซึ่งผู้เดินทางมาจะต้องเข้ากักตัวในโรงแรมเป็นเวลา 14 วัน และนายกรัฐมนตรีบอริส จอห์นสัน บอกว่า "สมเหตุสมผล" ที่ได้ยกเลิกแผนที่เตรียมจะเดินทางไปอินเดียวันจันทร์หน้าแล้ว
|
ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา มีผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในอินเดียเพิ่มขึ้นสูงมาก ซึ่งต่างจากระลอกแรกที่ประเทศรับมือกับคนไข้ได้พอสมควร
|
other-news-53748472
|
https://www.bbc.com/thai/other-news-53748472
|
"ธรรมศาสตร์จะไม่ทน": เปิดรายชื่อคณาจารย์มหาวิทยาลัยออกแถลงการณ์หนุนผู้ชุมนุมกรณีปฏิรูปสถาบันกษัตริย์
|
ตำรวจประเมินว่ามีผู้เข้าร่วมชุมนุมที่ มธ. เมื่อ 10 ส.ค. ราว 2,500 คน อ่านรายละเอียดแถลงการณ์ได้ที่นี่ สำหรับคณาจารย์ที่ร่วมลงชื่อในแถลงการณ์ ประกอบด้วย 1. ผศ.ดร. กนิษฐ์ ศิริจันทร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 2. ผศ.ดร. กรพนัช ตั้งเขื่อนขันธ์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 3. อาจารย์กฤษณ์พชร โสมณวัตร มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 4. ผศ. กฤษณะพล วัฒนวันยู คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการออกแบบ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี 5. อาจารย์ก่อพงศ์ วิชญาปกรณ์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 6. ผศ. กิตติกาญจน์ หาญกุล วิทยาลัยพัฒนศาสตร์ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 7. อาจารย์กุศล เลี้ยวสกุล คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 8. รศ.ดร. เก่งกิจ กิติเรียงลาภ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 9. อาจารย์เกศศิรินทร์ มัธยทรัพย์ โครงการจัดตั้งวิทยาเขตนครสวรรค์ มหาวิทยาลัยมหิดล 10. ผศ.ดร. เกษม เพ็ญภินันท์ ภาคปรัชญา คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 11. ผศ.ดร. เขมพัฒน์ ตันติวัฒนกูล คณะวิศวกรรมศาสตร์ ม.เทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ 12. ผศ. คมกฤช อุ่ยเต็กเค่ง คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร 13. อาจารย์คอลิด มิดำ คณะดนตรีและการแสดง มหาวิทยาลัยบูรพา 14. อาจารย์คมลักษณ์ ไชยยะ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มรภ.พระนครศรีอยุธยา 15. อาจารย์เคท ครั้งพิบูลย์ คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 16. อาจารย์งามศุกร์ รัตนเสถียร สถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล 17. นายจักเรศ อิฐรัตน์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี 18. อาจารย์จักรกฤษ กมุทมาศ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น 19. ผศ.ดร. จักรสิน น้อยไร่ภูมิ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการออกแบบ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ 20. อาจารย์จิรธร สกุลวัฒนะ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 21. ดร. จิรเมธ ช้างคล่อม คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ 22. ดร. จิราพร เหล่าเจริญวงศ์ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 23. ผศ.ดร. เฉลิมพงษ์ คงเจริญ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 24. อาจารย์ชนม์ธิดา อุ้ยกูล คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 25. ผศ. ชล บุนนาค 26. ชยุตม์ ชำนาญเศรษฐ University of Aberdeen 27. อาจารย์ชลิตา บัณฑุวงศ์ ภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะสังคมศาสตร์ หาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ 28. ชัยพงษ์ สำเนียง มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 29. ผศ.ดร. ชาญณรงค์ บุญหนุน คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร 30. อาจารย์ภก. ชินวัจน์ แสงอังศุมาลี คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยสยาม 31. ผศ.ดร. เชาวฤทธิ์ เชาว์แสงรัตน์ 32. ผศ.ดร. ไชยณรงค์ เศรษฐเชื้อ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม 33. รศ.ดร. ไชยันต์ รัชชกูล มหาวิทยาลัยพะเยา 34. ผศ. ณปรัชญ์ บุญวาศ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์วิทยาเขตปัตตานี 35. ดร. ณรุจน์ วศินปิยมงคล คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี 36. ดร.ณีรนุช แมลงภู่ คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร 37. อาจารย์ฐิติพงษ์ ด้วงคง 38. ดร. ดวงยิหวา อุตรสินธุ์ 39. อาจารย์ดรุณี ไพศาลพาณิชย์กุล คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 40. ผศ.ดร. เดโชพล เหมนาไลย คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 41. ผศ.ดร. โดม ไกรปกรณ์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ 42. ผศ.ดร. เทียมสูรย์ สิริศรีศักดิ์ คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 43. อาจารย์ธนสักก์ เจนมานะ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 44. ดร. ธนาพล ลิ่มอภิชาต คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 45. ดร ธนาวิ โชติประดิษฐ คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร 46. อาจารย์ธาริตา อินทนาม คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 47. ผศ.ดร. ธิกานต์ ศรีนารา ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 48. อาจารย์ธีรพงศ์ ไชยมังคละ มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม 49. อาจารย์ธีระพงษ์ ทศวัฒน์ มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ 50. อาจารย์ธีรพจน์ ศิริจันทร์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 51. อาจารย์ธีระพล อันมัย คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี 52. อาจารย์ธีรวัฒน์ ขวัญใจ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ 53. ธีรวัฒน์ ทัศนภิรมย์ คณะทันตแพทยศาสตร์ มหิดล 54. ผศ.ดร. นภนต์ ภุมมา คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 55. รศ.ดร. นงเยาว์ เนาวรัตน์ คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 56. อาจารย์นฤมล กล้าทุกวัน สำนักวิชาศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ 57. ผศ.ดร. นฤมล ทับจุมพล คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 58. ผศ.ดร. นฤมล อนุสนธิ์พัฒน์ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา 59. อาจารย์นัทมน คงเจริญ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 60. ผศ.ดร. นันท์นภัส แสงฮอง คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 61. ผศ. นาตยา อยู่คง คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร 62. ผศ. ดร. นาวิน โบษกรนัฏ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 63. ศ.ดร. นิธิ เอียวศรีวงศ์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 64. ผศ.ดร. นิพนธ์ ศศิภานุเดช คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 65. อาจารย์บัณฑูร ราชมณี คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 66. อาจารย์บาหยัน อิ่มสำราญ อดีตศาสตราจารย์ คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร 67. อาจารย์บุศรินทร์ เลิศชวลิตสกุล 68. อาจารย์เบญจ์ บุษราคัมวงศ์ โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ 69. อาจารย์เบญจรัตน์ แซ่ฉั่ว สถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล 70. อาจารย์ปองขวัญ สวัสดิภักดิ์ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 71. ผศ.ดร. ประจักษ์ ก้องกีรติ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 72. รศ.ดร. ปัทมวรรณ จิมากร ซิลลิ มหาวิทยาลัยสตาวังเงอร์ 73. ประภัสสร์ ชูวิเชียร คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร 74. อาจารย์ปราโมทย์ ระวิน มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา 75. นางสาวปิยะนุช สิงห์แก้ว 76. อาจารย์ปิ่นแก้ว เหลืองอร่ามศรี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 77. อาจารย์พชรวรรณ บุญพร้อมกุล คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 78. อาจารย์พนมกร โยทะสอน วิทยาลัยสหวิทยาการ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 79. อาจารย์พรศิริ ชีวาพัฒนานุวงศ์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัย มหาสารคาม 80. อาจารย์พรสรร วิเชียรประดิษฐ์ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 81. ศ.ดร. พลังโชค แหวนเพชร Nord University, Norway 82. อาจารย์พศุตม์ ลาศุขะ 83. อาจารย์พสิษฐ์ วงษ์งามดี คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี 84. ผศ.ดร. พรเทพ เบญญาอภิกุล คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 85. อาจารย์พลอย ธรรมาภิรานนท์ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 86. อาจารย์พัชราภรณ์ หนังสือ สาขาภาษาและวรรณคดีอังกฤษ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 87. อาจารย์พัทธ์ธีรา นาคอุไรรัตน์ 88. อาจารย์พิชญา สุ่มจินดา คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 89. ผศ.ดร. พิริยะดิศ มานิตย์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 90. พิชญา บุญศรีรัตน์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ 91. รศ.ดร. พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์ อดีตอาจารย์ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 92. ผศ.ดร. พิเชฐ แสงทอง คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์วิทยาเขตปัตตานี 93. ผศ. พิพัฒน์ สุยะ คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร 94. ดร. พิสิษฏ์ นาสี คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 95. ดร. พีรดล สามะศิริ สถาบันการเรียนรู้ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี 96. อาจารย์พุทธิพงศ์ อึงคนึงเวช วิทยาลัยศาสนศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล 97. อาจารย์เพ็ญศรี พานิช สำนักวิชาศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ 98. ผศ. ไพรินทร์ กะทิพรมราช คณะมนุษศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ 99. อาจารย์ไพโรจน์ โอ่งตั๋ว โรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ฝ่ายมัธยม 100. อาจารย์ไพลิน ปิ่นสำอาง คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 101. ดร. ภาสกร อินทุมาร คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 102. อาจารย์มนฑิตา โรจน์ทินกร คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 103. อาจารย์มิ่ง ปัญหา คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 104. อาจารย์เมธาวี โหละสุต คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 105. อาจารย์ยศวีร์ ดวงจิตต์เจริญ มหาวิทยาลัยบูรพา 106. อาจารย์รุสนันท์ เจ๊ะโซ๊ะ มหาวิทยาลัยมลายา 107. อาจารย์วรรณพงษ์ ดุรงคเวโรจน์ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง 108. รศ.ดร. วริตตา ศรีรัตนา คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 109. อาจารย์วันรัก สุวรรณวัฒนา คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 110. ผศ.ดร. วันวิสาข์ ธรรมานนท์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ 111. รศ.ดร. วาสนา วงศ์สุรวัฒน์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 112. ดร. วิญญู อาจรักษา คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการผังเมือง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 113. อาจารย์วินัย วงศ์สุรวัฒน์ 114. อาจารย์วิโรจน์ อาลี คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 115. อาจารย์เวียงรัฐ เนติโพธิ์ รัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 116. ผศ.ดร. ศรันย์ สมันตรัฐ ภาควิชาภูมิสถาปัตยกรรม คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ 117. ดร. ศิริพร เพ็งจันทร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ 118. ผศ. ศุภวิทย์ ถาวรบุตร คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 119. อาจารย์ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 120. ผศ.ดร. สมปรารถนา ฤทธิ์พริ้ง คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ 121. ผศ. สมศักดิ์ เธียรจรูญกุล สาขาวิชานิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 122. ดร. สฤษดิ์ ผาอาจ นักวิชาการอิสระ 123. ผศ.ดร. สักรินทร์ แซ่ภู่ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ผังเมืองและนฤมิตศิลป์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม 124. อาจารย์สัณห์ธวัช ธัญวงษ์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ม.สงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี 125. รศ.ดร.สามารถ ทองเฝือ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ 126. ดร. สุธิดา วิมุตติโกศล คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 127. อาจารย์สุรัช คมพจน์ สำนักวิชารัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ 128. ผศ.ดร. เสาวณิต จุลวงศ์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 129. ดร. อนันตศักดิ์ ศักดิ์อำนวย มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตสุราษฎร์ธานี 130. อาจารย์อนินทร์ พุฒิโชติ 131. รศ.ดร. อนุสรณ์ อุณโณ คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 132. รศ.ดร. อภิชาต สถิตนิรามัย คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 133. ผศ.ดร. อรุณี สัณฐิติวณิชย์ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี 134. ผศ.ดร. อรอนงค์ ทิพย์พิมล คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 135. ดร. ออมสิน จตุุพร คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 136. อาจารย์อานันท์ อุชชิน คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 137. ผศ. อักษราภัค ชัยปะละ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา 138. อาจารย์อัญชลี อนันตวัฒน์ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการออกแบบ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี 139. ดร. อันธิฌา แสงชัย คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์วิทยาเขตปัตตานี 140. ดร. อิสระ ชูศรี สถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมเอเชีย มหาวิทยาลัยมหิดล 141. อาจารย์อิสร์กุล อุณหเกตุ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 142. อาจารย์อุเชนทร์ เชียงเสน สำนักวิชารัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ 143. ผศ.ดร. เอกพลณัฐ ณัฐพันธนันท์ คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร 144. ผศ. เอกรินทร์ ต่วนศิริ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ 145. ผศ. เอกฤทัย ฉัตรชัยเดช คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ 146. อาจารย์อำพรรณี สะเตาะ มหาวิทยาลัยรังสิต
|
คณาจารย์อย่างน้อย 140 คนจากมหาวิทยาลัยทั่วประเทศออกแถลงการณ์ระบุการปราศรัยบนเวทีชุมนุม "ธรรมศาสตร์จะไม่ทน" เมื่อวันที่ 10 ส.ค. ที่ผ่านมา เป็นการแสดงออกตามกรอบของกฎหมายและเห็นว่าข้อเสนอ 10 ประการของผู้ชุมนุมเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ไม่ได้ละเมิดกฎหมาย
|
international-46911025
|
https://www.bbc.com/thai/international-46911025
|
เพศกำกวม: ผ่าตัดเลือกเพศให้ทารกเป็นเรื่องที่ถูกต้องหรือไม่?
|
จอห์น วัย 14 ปี จากเคนยา วันที่เขาลืมตาดูโลกสร้างความสับสนให้กับ แอน ผู้เป็นแม่ "ฉันถามหมอว่า ลูกมีอะไรผิดปกติ หมอบอกว่า ไม่แน่ใจว่า ลูกเป็นชายหรือหญิง และจะต้องทดสอบก่อน" แอน เล่า จอห์น เกิดมามีอวัยวะที่มีรูปร่างเหมือนกับอวัยวะเพศชายและหญิง แพทย์เลือกที่จะตัดอวัยวะเพศชายออก ซึ่งแม่ของเขาบอกว่า รู้สึกถูกกดดันให้ยินยอม แต่เมื่อจอห์นโตขึ้น เขากลับไม่รู้สึกว่า ตัวเองเป็นเด็กหญิงและรู้สึกแย่ เขาเคยพยายามฆ่าตัวตายมาแล้ว มากกว่า 1 ครั้ง เคนยา เป็นประเทศที่เด็กซึ่งมีภาวะเพศกำกวม ยังคงถูกฆ่า ทางการต้องตั้งคณะทำงานให้คำแนะนำเกี่ยวกับการผ่าตัดให้กับผู้ที่อยู่ในภาวะเช่นนี้ สหประชาชาติระบุว่า มีคนราว 1.7% ทั่วโลก เกิดมามีภาวะเพศกำกวม บางกรณี การผ่าตัดก็จำเป็น เช่น หากมีความเสี่ยงที่จะเกิดมะเร็ง หรือเกิดปัญหาในการปัสสาวะ การผ่าตัดให้กับผู้มีภาวะเพศกำกวม ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในภูมิภาคแอฟริกาเท่านั้น แต่ในประเทศส่วนใหญ่ รวมถึงสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักร ก็ทำเช่นกัน โรซี เกิดในสหรัฐฯ เธอไม่จำเป็น ต้องได้รับการผ่าตัดเลย ตอนที่เกิดมา แต่พ่อแม่ของเธอก็ยังถูกโน้มน้าว ให้ยินยอมให้แพทย์ผ่าตัดลูก ซึ่งทั้งสองคนปฏิเสธ พ่อแม่ของโรซี เล่าว่า "เขาเล่าให้ฟังว่ามันน่ากลัวอย่างไร และจะเกิดอะไรขึ้นกับโรซีบ้าง ถ้าเราปล่อยเธอไว้แบบนั้น แต่จริง ๆ แล้ว ไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้นจริง โรซี สบายดี เธอเป็นเด็กที่ยอดเยี่ยมมาก ไม่มีปัญหาอะไรเลย" "เธอก็เหมือนกับเด็กคนอื่น ๆ ที่มีช่วงเวลาที่สุขและเศร้า เธอทำให้เรามีความสุข ไม่ต่างจากเด็กคนอื่นเลย"
|
สหประชาชาติระบุว่า มีคนทั่วโลกราว 1.7% เกิดมามีภาวะเพศกำกวม ซึ่งเป็นจำนวนพอ ๆ กับคนที่เกิดมามีผมสีแดง แต่ในขณะนี้เด็กที่เกิดมามีเพศกำกวมทั่วโลกกลับได้รับการผ่าตัดเพื่อให้เหลือเพศใดเพศหนึ่ง ซึ่งใช่ว่าจะลงเอยด้วยดีเสมอไป การทำเช่นนี้ก่อให้เกิดคำถามตามมาว่าการผ่าตัดเลือกเพศให้เด็กที่มีภาวะเพศกำกวมนั้น เป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือไม่?
|
international-55648031
|
https://www.bbc.com/thai/international-55648031
|
ออกกำลังกายท่ามกลางอากาศหนาว ช่วยเผาผลาญไขมันได้ดีกว่า
|
ผลการศึกษาล่าสุดของทีมนักวิทยาศาสตร์ประจำมหาวิทยาลัย Laurentian University ในแคนาดา ซึ่งตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Applied Physiology ระบุว่าได้ทำการทดลองกับอาสาสมัคร 11 คน ที่ล้วนมีน้ำหนักตัวเกินมาตรฐานแต่มีสุขภาพแข็งแรงในระดับปานกลาง โดยให้ออกกำลังแบบ HIIT ในสภาพแวดล้อมที่อุณหภูมิ 0 องศาเซลเซียส เปรียบเทียบกับการออกกำลังกายแบบเดียวกันที่อุณหภูมิ 21 องศาเซลเซียส ทีมผู้วิจัยพบว่าการออกกำลังกายในสภาพที่หนาวเย็น 0 องศาเซลเซียส ช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญไขมันที่สูงอยู่แล้วจากการออกกำลังแบบ HIIT ให้พุ่งขึ้นไปอีกหลังการออกกำลังกายถึง 358% ซึ่งเป็นอัตราที่มากกว่าการออกกำลังในภาวะอุณหภูมิสูงกว่าถึง 3 เท่า ข้อมูลดังกล่าวได้จากการตรวจวัดอุณหภูมิผิวหนังและแกนกลางร่างกายของอาสาสมัคร รวมทั้งวัดอัตราการเต้นของหัวใจ และปริมาณออกซิเจนที่ไปเลี้ยงกล้ามเนื้อมัดใหญ่ ทั้งก่อนและหลังจากให้พวกเขาปั่นจักรยานแบบออกแรงหนักหน่วง 1 นาที สลับกับการปั่นแบบเบาแรง 1.5 นาที รวมทั้งหมด 10 รอบ อย่างไรก็ตาม อัตราการเผาผลาญไขมันที่เพิ่มขึ้นทันทีหลังออกกำลังในอากาศเย็นนั้น เป็นภาวะที่เกิดขึ้นชั่วคราวและไม่ส่งผลต่อการเผาผลาญไขมันในระยะยาวหลังจากนั้น โดยผลตรวจวัดระดับอินซูลิน น้ำตาลกลูโคส และไตรกลีเซอไรด์ในเลือดของอาสาสมัคร หลังกินอาหารเช้าที่มีไขมันสูงในวันรุ่งขึ้น ชี้ว่าแทบไม่มีความแตกต่างกับผลตรวจที่ได้ก่อนออกกำลังกายเมื่อคืนที่ผ่านมา ทีมผู้วิจัยเน้นย้ำว่า ผลการศึกษาในครั้งนี้เป็นเพียงการทดลองนำร่องในกลุ่มเล็ก ซึ่งยังคงจะต้องทำการพิสูจน์ยืนยันกันอีกหลายครั้งต่อไป แต่อย่างไรก็ตาม นี่เป็นจุดเริ่มต้นของการแสวงหาความรู้ใหม่ ๆ ในเรื่องที่ว่าอุณหภูมิส่งผลต่อประสิทธิภาพในการออกกำลังกายของคนเราอย่างไรบ้าง
|
อากาศที่หนาวเย็นกว่าปกติในช่วงสัปดาห์นี้ เป็นข้ออ้างให้หลายคนงดทำกิจวัตรบางอย่างเช่นการอาบน้ำ แต่ใครจะคิดว่ามันอาจเป็นโอกาสดีสำหรับการลงมือทำสิ่งอื่น เช่นการออกกำลังยืดเส้นยืดสาย เพราะอุณหภูมิต่ำจะช่วยให้เราเผาผลาญไขมันได้ดีขึ้นหลายเท่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากได้บริหารร่างกายด้วยวิธีออกแรงอย่างหนักหน่วงในช่วงเวลาสั้นเป็นรอบ ๆ หรือ High Intensity Interval Training (HIIT)
|
thailand-48224121
|
https://www.bbc.com/thai/thailand-48224121
|
อำพน กิตติอำพน เจ้าของกระแส “นายกฯ คนนอก” กับปณิธาน ขอรับใช้พระเจ้าอยู่หัว
|
ในจำนวนนี้มีชื่อของ ดร.อำพน กิตติอำพน และ พล.อ. เฉลิมชัย สิทธิสาท ที่เข้ารับหน้าที่เมื่อวันที่ 2 ต.ค. 2561 ดร.อำพน วัย 64 ปี ได้รับการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นองคมนตรี พร้อมกับนายพลอีก 2 คน ระหว่างที่ ดร.อำพน ปฏิบัติหน้าที่องคมนตรี ควบคู่กรรมการทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ มีภารกิจร่วมกับมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ เชิญสิ่งของพระราชทานแก่ราษฎรที่ประสบภัยต่างๆ ทั่วประเทศ ทั้งภัยหนาวในภาคเหนือ ผู้ประสบวาตภัยในภาคอีสาน และเชิญถุงพระราชทานไปมอบแก่ผู้ประสบอัคคีภัย ในเขตยานนาวา กรุงเทพมหานคร จู่ ๆ ก็ปรากฏชื่อ ดร.อำพน ในไลน์กลุ่ม-เพจข่าวดัง และแวดวงผู้มีอำนาจในหลายแหล่งชุมนุม ผุดขึ้นเป็น "ว่าที่นายกรัฐมนตรีคนนอก" ตามนัยแห่งรัฐธรรมนูญ มาตรา 272 ทั้ง ๆ ที่ ดร.อำพน เคยพูดไว้ก่อนอำลาชีวิตราชการ ซี 11 ในรัชสมัยรัชกาลที่ 9 เมื่อถูกถามว่าจะได้รับการเสนอให้เป็นรัฐมนตรีหรือไม่ "ผมได้ตั้งปณิธานกับตัวเองว่า ผมจะขอรับใช้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในฐานะข้าราชการ ถึงแม้ว่าผมเกษียณ ผมก็ไม่เป็น ผมไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นรัฐมนตรี มันเป็นตำแหน่งที่สูงส่งที่ทุกคนอยากเป็น แต่มันสูงเกินความสามารถของผมที่จะเป็นรัฐมนตรีได้" นับเป็นข่าวลือ ที่คนรับข่าวพร้อมเชื่อ ด้วยคุณสมบัติ-รูปสมบัติ และโปรไฟล์การทำงานที่ผ่านมา 35 ปีในวงราชการ ครบเครื่องเศรษฐกิจ-การเมือง แรกรับตำแหน่งที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร เขาเติบโตรุ่งโรจน์ ร่วมกับ สุเทพ เทือกสุบรรณ และ นิพนธ์ พร้อมพันธุ์ อดีตรัฐมนตรี แนบแน่นกับอดีตรัฐมนตรีดาวรุ่งผู้มีคอนเนคชั่นพิเศษอย่าง เนวิน ชิดชอบ จากซี 9 ถึงซี 10 ในกระทรวงเกษตรฯ เขาใฝ่ฝันว่าสักวันหนึ่งจะเอื้อมถึงตำแหน่ง "พระยาแรกนา" ในพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญในวันพืชมงคล ซึ่งต้องรั้งตำแหน่งปลัดกระทรวงเท่านั้น แต่เขาก็ไม่ไปไม่ถึงฝั่งฝัน เพราะวาสนาที่ใหญ่กว่ารออยู่ทอดทางให้เขาออกจากรั้วกระทรวงเกษตรฯ และไม่ได้หวนกลับมาอีกเลย ปลัดกระทรวงเกษตรฯ รับหน้าที่ "พระยาแรกนาขวัญ" ในพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ เมื่อ 9 พ.ค. 2562 เสนาธิการฝ่ายเศรษฐกิจ คนที่ 13 ของรัฐบาล ตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือสภาพัฒน์ฯ คือตำแหน่ง "สปริงบอร์ด" ให้เขาได้ขยายเครือข่าย สั่งสมประสบการณ์ครบเครื่อง ทั้งเรื่องเศรษฐกิจมหภาค การเงินและการต่างประเทศ ร่วมกับสำนักงบประมาณ รัฐวิสาหกิจทั้ง 56 แห่ง รวมทั้งตำแหน่งกรรมการ และประธานกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย นอกเหนือจากนั้น เขายังต้องแบ่งเวลาไปประชุมวินิจฉัยคดีความ-ข้อขัดแย้ง ให้ความเห็นทางกฎหมาย ต่อโครงการ แผนงานของรัฐประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี กรณีมีเรื่องสำคัญและพิเศษ ในฐานะกรรมการกฤษฎีกาคณะใหญ่ แต่ตำแหน่งที่เขาภูมิใจในขณะนั้น คือ กรรมการโครงการทุนการศึกษาพระราชทานฯ ภายใต้มูลนิธิทุนการศึกษาสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฏราชกุมาร (ม.ท.ศ.) 12 ปี ดับเบิ้ล ซี 11 ในทำเนียบรัฐบาล ดร.อำพน เป็นเสนาธิการฝ่ายเศรษฐกิจต่อเนื่องถึง 2 สมัย กล่าวคือดำรงตำแหน่ง ซี 11 ครบ 4 ปี แล้วได้ต่ออายุอีก 2 ปี จากนั้นโอกาสแห่งอำนาจก็ทอดมาอีกครั้ง เพียงข้ามสะพานผ่านฟ้า เข้ามาประจำการที่ทำเนียบรัฐบาล ในตำแหน่งที่ใกล้ชิดกับผู้บริหารสูงสุดของประเทศ บนเก้าอี้ "เลขาธิการคณะรัฐมนตรี" และอยู่จวบจนครบวาระ 4 ปี แล้วต่ออายุอีก 2 ปี เป็นข้าราชการคนเดียวที่ในรอบ 20 ปี ที่ทุบสถิติครองตำแหน่ง ๆ ละ 2 สมัย เข้าถึงตึกไทยคู่ฟ้า เข้าใจนายกรัฐมนตรี 7 คน ผ่านใจกลางความขัดแย้งทางการเมืองเกือบ 2 ทศวรรษ อยู่วงในรัฐประหาร 2 ครั้ง ครั้งหนึ่ง ดร.อำพน ตอบคำถามเรื่องหน้าที่การงานไว้ว่า "เรื่องการทำหน้าที่ในฐานะข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ภายใต้ตำแหน่งเลขาธิการคณะรัฐมนตรี คือ ข้อแรก ต้องเข้าใจการเดินเรื่องขอความคิดเห็นจากหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง เพื่อประกอบการพิจารณาอนุมัติโครงการ สภาพัฒน์ฯ หรือเห็นชอบกฎหมายที่สำคัญ จากสำนักงานคณะกฤษฎีกา สำนักงบประมาณ และกระทรวงต่างๆ" "ข้อที่สอง ต้องติดตามนโยบายของรัฐบาลได้อนุมัติ หรือเห็นชอบไปแล้ว เพื่อรายงานความคืบหน้า ประเด็นปัญหา และวิธีการแก้ไข ต่อนายกรัฐมนตรีในฐานะผู้บังคับบัญชาสูงสุด" "ข้อที่สาม ต้องทำหน้าที่เป็น "อาลักษณ์" คอยประสานงานกับสำนักราชเลขาธิการ สำนักพระราชวัง เกี่ยวกับการปฏิบัติงานหน้าพระที่นั่ง รวมถึงการนำเอกสารเพื่อทูลเกล้าฯ และประกาศใช้ในพระราชกิจจานุเบกษา ทั้งการปรับ ครม. หรือการแต่งตั้ง - โยกย้ายข้าราชระดับสูง" คอนเนกชั่นและปณิธานแห่งชีวิต คงเป็นเพราะ ดร.อำพน มีไมตรีกับทุกฝ่าย อยู่กันได้กับทุกขั้ว เขามีเพื่อนเป็นรัฐมนตรีจากทุกพรรค มีรุ่นพี่เป็นนายธนาคาร-นายทหารระดับสูง ระดับผู้ทรงอิทธิพลสูงสุดของเหล่าทัพ ในกลุ่ม "เซนต์คาเบรียลคอนเนกชั่น" พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ (คนกลาง) กับ ดร. อำพน เป็นพี่น้องร่วมโรงเรียนเซนต์คาเบรียล ทั้งคู่มีโอกาสร่วมงานกันใน ครม. เมื่อครั้งที่ ดร. อำพนยังทำหน้าที่เลขาธิการ ครม. ดร.อำพน เป็นศิษย์เก่าเซนต์คาเบรียล เจ้าของรหัส SG 9223 ขณะที่ พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ศิษย์เก่าเซนต์คาเบรียล เจ้าของรหัส SG 5534 และนายนิพนธ์ พร้อมพันธ์ อดีตเลขาธิการนายกรัฐมนตรี นอกจากนี้ยังมี ชื่อ ดร.จิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา องคมนตรี และ บัณฑูร ล่ำซำ ก็มีชื่ออยู่ในบัญชีศิษย์เก่าเซนต์คาเบรียล ที่ได้รับการยกย่องจากโรงเรียนอย่างสม่ำเสมอ ก่อนลงจากเชิงบันไดทำเนียบรัฐบาล เกษียณอายุราชการ เมื่อปลายปี 2559 ดร.อำพน เคยให้สัมภาษณ์กับ "ประชาชาติธุรกิจ" (ฉ.วันที่18 สิงหาคม 2559) ไว้ว่า "ผมอยู่ในห้วงของความขัดแย้งสูงสุดในบ้านเมือง แต่ผมอยู่ด้วยความเป็นมืออาชีพ ไปถามนายกฯ ทุกคนที่ผ่านมาได้ว่า เลขาฯ อำพน เป็นอย่างไร ถ้าไปถามทุกนายกฯ วันนี้มีใครมาต่อว่าผมหรือไม่... ไม่มี" เขาเก็บของทุกครั้งที่เปลี่ยนรัฐบาล แต่ไม่เคยมีนายกรัฐมนตรีคนไหนยอมให้เขาจากไปก่อนเวลาอันควร "เลขาธิการคณะรัฐมนตรี ตำแหน่งนี้ ต้องเป็นคนที่นายกรัฐมนตรีไว้วางใจ ผมไม่ต่อรองและผมยินดีที่จะย้ายตัวเองทุกครั้ง พร้อมที่จะไป เปลี่ยนรัฐบาลเมื่อไรผมก็เก็บของทุกครั้ง" เขายอมรับว่ามีตำแหน่งที่เขาบารมีไม่ถึงคือ "พระยาแรกนา" แต่ที่ผ่านมา "ผมก็มีตำแหน่งโปรดเกล้าฯ ตลอดเวลา 12 ปีที่ดำรงตำแหน่ง นอกจากเป็นเลขาฯ ครม. เป็นคณะกรรมการกฤษฎีกา คณะกรรมการข้าราชการพลเรือน กรรมการสภามหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประธานธนาคารแห่งประเทศไทย สภานิติบัญญัติแห่งชาติ 2 ครั้ง ล้วนเป็นตำแหน่งที่ได้รับการโปรดเกล้าฯ" ประโยคที่เขาพูดครั้งสุดท้ายในฐานะข้าราชการระดับสูงในทำเนียบรัฐบาลคือ "ก็อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี ผมยึดมั่นอยู่อย่างเดียว พระองค์ท่านตรัสว่า ต้องตั้งใจทำงานด้วยความซื่อสัตย์ คือหัวใจหลักของคุณธรรมตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและความตั้งใจทำงานต้องอดทนอย่างพระมหาชนกและใช้ความรู้โดยตลอด" "ผมจะภูมิใจมาก ถ้าจะจดจำผมว่า เป็นข้าราชการพลเรือนสามัญคนหนึ่งที่เป็นมืออาชีพ ทำงานเพื่อบ้านเมือง ตามพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ทุ่มเทด้วยหลักเศรษฐกิจพอเพียง ด้วยความอดทน ซื่อสัตย์สุจริต ถึงแม้จะโดนอะไรต่าง ๆ นานา ก็ไม่เคยท้อถอย เรียนรู้จากชาวบ้าน เรียนรู้จากพระบรมราโชวาท ฯ คนเราไม่มีใครมีดีทั้งหมด 100 เปอร์เซ็นต์ ผมก็มีข้อเสีย" 7 นายกรัฐมนตรี ที่ ดร.อำพน คลุกวงใน ยุครัฐบาลทหาร กับ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ดร. อำพน ร่วมงานใกล้ชิดตลอด 3 ปี 6 เดือน เขาสรุปความเป็น พล.อ. ประยุทธ์ ไว้สั้นๆ ว่า "นายกฯ ประยุทธ์ มีเพียบพร้อมทุกด้าน มีความเป็นผู้นำสูง" "ผมอยู่กับท่าน รวม 3 ปี 6 เดือน เป็นรูปธรรมในเรื่องเขตเศรษฐกิจพิเศษ, ประเทศไทย 4.0 ท่านทำงานอย่างหนัก ไม่ได้น้อยไปกว่านายกฯ ทุกคน และสไตล์และความคิดต่าง ๆ ในการปฏิรูปประเทศ ก็การระดมสติปัญญาคนที่มีความรู้ร่วมกันขับเคลื่อนประเทศเพื่อฟันฝ่าภาวะเศรษฐกิจได้ ไม่ได้แพ้ยุคคุณทักษิณ" "ในการสร้างความเชื่อมั่นให้ประเทศเดินหน้าต่อไปหลังจากการปฏิวัติก็ไม่ได้แพ้ท่านสุรยุทธ์ ในเรื่องความยอมรับในต่างประเทศ เรื่องเศรษฐกิจก็ไม่ได้น้อยไปกว่ายุคคุณอภิสิทธิ์ (เวชชาชีวะ) ที่เน้นเรื่องประชาธิปไตย" "การเดินหน้าลงทุนโครงสร้างพื้นฐานทั้งหลาย ความอดทน ความเป็นนักสู้ เรื่องความจงรักภักดี ไม่ต้องพูดถึง คนเป็นทหารปฏิญาณตนว่าจะเสียสละแม้ชีวิตตั้งแต่เข้าเรียน" พล.อ. สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี เป็นอดีตนายกรัฐมนตรีที่ ดร.อำพน ระบุว่า "ท่านสามารถขับเคลื่อนประเทศให้ผ่านความขัดแย้งได้ในระดับหนึ่ง เรียกความสามัคคีขึ้นมา ไม่ให้คนกลับมาทะเลาะกัน การสร้างการยอมรับจากต่างประเทศ ผลักดันรัฐธรรมนูญปี 2550 ออกมาได้" ครม. รัฐบาล "ทักษิณ 2" ถ่ายภาพหมู่ร่วมกันเมื่อปี 2548 อดีตนายกรัฐมนตรีที่ชูธงปฏิรูปเศรษฐกิจในสายตาเขาคือ "ทักษิณ ชินวัตร... เปลี่ยนแปลงประเทศ ในช่วงวาระ 6 ปี เป็นการเปลี่ยนภาระ เป็นพลัง ต้องยอมรับว่า การพัฒนาเรื่องสุขภาพ หรือนโยบาย 30 บาท ต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน มีนโยบายเรียนฟรี เป็นเรื่องหลักที่ถูกชูธงขึ้นมา" ยุค สมัคร สุนทรเวช จุดแข็งสูงสุดคือการขับเคลื่อนโครงการด้านคมนาคม "เริ่มโครงการต่าง ๆ เช่น รถไฟฟ้าสายสีม่วง โครงการถนนวงแหวนรอบนอก และทางด่วนต่าง ๆ โครงการรถไฟฟ้า ดำเนินการได้เร็วที่สุดในยุคนั้น" การทำงานกับนายกรัฐมนตรีที่ไม่ได้เข้าทำเนียบรัฐบาลตลอดวาระ 70 วัน คือ สมชาย วงศ์สวัสดิ์ ทำให้ ดร.อำพน ต้องปีนเข้า-ออกทำเนียบ ปีนกำแพงรัฐสภาเคียงคู่นายกรัฐมนตรี ในเหตุการณ์ 7 ต.ค. 2551 ที่ม็อบพันธมิตร ฯ ปิดล้อมอาคารรัฐสภา ส่วนนายกรัฐมนตรีคนสุดท้ายในสาย "ชินวัตร" คือ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร 1 ประโยคสำหรับนายกฯ หญิง จาก ดร.อำพน คือ "เริ่มงานการเมืองจาก Zero ต้องเป็นคนที่ยอมทุกอย่าง เพื่อก้าวผ่านวิกฤติการเมือง ด้วยความอดทน ถ่อมตน และเรียนรู้เร็ว" อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เข้าสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำทำเนียบฯ หลัง "พลิกขั้วการเมือง" ได้สำเร็จ จนถึงฝั่งฝนบนเก้าอี้นายกฯ เมื่อปี 2551 อาจนับได้ว่ายุค อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรีที่พลิกชะตาชีวิตเขาครั้งใหญ่และตลอดกาล เพราะ "ท่านนายกฯ อภิสิทธิ์ ชวนผมมาเป็นเลขาฯ ครม. ท่านเป็นคนให้ความเห็นว่าเลขาธิการ ครม.ไม่ใช่เรื่องกฎหมายอย่างเดียว แต่เป็นเรื่องของการบูรณาการงานเศรษฐกิจหลายมุม" อภิสิทธิ์ ที่ไม่มีสิทธิ์ชิงเก้าอี้นายกรัฐมนตรีในสภาผู้แทนฯ ในสมัยนี้ เป็นคนแบบไหน ดร.อำพน เคยไขคำตอบ "นายกฯ อภิสิทธิ์ เป็นเทคโนแครต ยึดในหลักการประชาธิปไตย ทุกอย่างต้องมีขั้นตอน คิดเป็นระบบ ทำงานหนัก ขับเคลื่อนทุกอย่างอย่างมีระบบ มีความเป็นนักวิชาการ มีแนวความคิดรุ่นใหม่" ตามสไตล์ ดร.อำพน ไม่เคยพูดถึงใครที่ไม่ดี เขาสรุป 1 บรรทัดสำหรับการทำงานกับทุกนายกรัฐมนตรี ว่า "ผมยืนยันได้ว่านายกรัฐมนตรีทุกคนที่ผ่านมา มีความจงรักภักดีไม่ได้น้อยกว่าหรือแตกต่างกันเลย" หากต้องตอบคำถามเรื่อง "ข่าวลือ" ว่าเขาจะเป็นบุคคลที่ "ผ่าเดตล็อกการเมือง" ใช่หรือไม่ ปัจจุบันเขาดำรงตำแหน่งองคมนตรี คงไม่เหมาะสมทั้งคำถามและคำตอบ แต่ยืนยันจากคำที่ ดร.อำพน เคยตอบไว้ในอดีตได้แต่เพียงว่า "ฉายาของผมคือข้ามห้วย"
|
ภายหลังคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ประกาศรับรองผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ทั้ง 2 ระบบ ก็เกิดความเคลื่อนไหวในการชิงกันจัดตั้งรัฐบาลของ "2 ขั้วการเมือง" ด้วยคะแนนเสียงแบบ "ปริ่มน้ำ" หลัง 1-2 สัปดาห์ก่อนหน้านี้มี "ข่าวลับ-ข่าวลวง" ว่านายกฯ คนที่ 30 ของไทย อาจเป็นคนนอกบัญชี พร้อมปล่อยชื่อ 4 องคมนตรีออกมา
|
international-54838387
|
https://www.bbc.com/thai/international-54838387
|
เลือกตั้งสหรัฐฯ 2020 : หาคำตอบกับหลายข้อสงสัยก่อนประกาศผลผู้ชนะ
|
นี่คือคำถามที่น่าสนใจเกี่ยวกับการเลือกตั้งสหรัฐฯ ที่บีบีซีช่วยไขความกระจ่าง จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าผลการเลือกตั้งเสมอกัน - ชินกา, จีน มีคณะผู้เลือกตั้งทั้งหมด 538 คน ซึ่งเป็นตัวแทนมาจากแต่ละรัฐ มากน้อยขึ้นอยู่กับจำนวนประชากร หากผลการเลือกตั้งเสมอกัน นั่นหมายความว่า แต่ละฝ่ายได้จำนวนคณะผู้เลือกตั้งไป 269 คน แม้จะเป็นไปได้ แต่ก็มีโอกาสน้อยมาก ถ้าไม่มีผู้สมัครได้เสียงข้างมากจากคณะผู้เลือกตั้ง สมาชิกรัฐสภาสหรัฐฯ จะทำหน้าที่ในการตัดสิน สมาชิกรัฐสภาที่ได้รับเลือกตั้งในปี 2020 จะเป็นผู้ที่รับผิดชอบ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) จะลงมติเลือกประธานาธิบดี โดยที่ ส.ส. ของแต่ละรัฐ ต้องมีมติออกมาว่าจะเลือกใคร นับเป็น 1 เสียง และผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีต้องได้เสียงสนับสนุนข้างมาก คือ 26 เสียงจึงจะได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ วุฒิสภา จะทำหน้าที่เลือก รองประธานาธิบดี ซึ่งวุฒิสมาชิก 100 คน แต่ละคนจะมี 1 เสียง โดนัลด์ ทรัมป์ พยายามโต้แย้งผลการเลือกตั้งได้หรือไม่ - บาเซิล, อิสราเอล ได้ ทีมหาเสียงของทั้งสองฝ่ายแจ้งแล้วว่า พวกเขาได้เตรียมการยื่นข้อโต้แย้งทางกฎหมายหลังการเลือกตั้ง พวกเขามีสิทธิ์ในการเรียกร้องให้นับคะแนนใหม่ในเกือบทุกรัฐ โดยปกติแล้วจะเกิดขึ้นในกรณีที่ผลการเลือกตั้งใกล้เคียงกันมาก การเลือกตั้งปีนี้มีผู้ลงคะแนนเลือกตั้งทางไปรษณีย์เพิ่มมากขึ้น และเป็นไปได้เช่นกันที่จะมีการฟ้องร้องต่อศาลเกี่ยวกับ ความถูกต้องของบัตรเลือกตั้งเหล่านี้ คดีความเหล่านี้อาจจะขึ้นไปถึงระดับศาลฎีกา ซึ่งเป็นผู้ที่มีอำนาจสูงสุดทางกฎหมายในสหรัฐฯ เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นมาแล้วในปี 2000 เมื่อศาลสูงสุดสั่งให้ยุติการนับคะแนนใหม่ในรัฐฟลอริดา และตัดสินที่เป็นคุณต่อนายจอร์จ ดับเบิลยู บุช จากพรรครีพับลิกัน ซึ่งได้เป็นประธานาธิบดีคนต่อมา คะแนนเสียงมหาชนทั่วประเทศมีอิทธิพลอย่างไรต่อการลงมติของคณะผู้เลือกตั้ง - คาโรไลน์ บอนวิตต์, กลอสเตอร์เชียร์, สหราชอาณาจักร คะแนนเสียงมหาชนทั่วประเทศไม่ใช่ตัวชี้ขาดว่าใครจะได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ แต่เป็นการคว้าชัยชนะของผู้สมัครในรัฐต่าง ๆ ในจำนวนที่มากพอ ผู้ชนะในแต่ละรัฐจะได้รับการสนับสนุนจากคณะผู้เลือกตั้งของรัฐนั้น ซึ่งมีจำนวนมากน้อยแตกต่างกันไปตามจำนวนประชากร ผู้เลือกตั้งเหล่านี้จะประชุมกันในช่วง 2-3 สัปดาห์ หลังวันเลือกตั้ง เพื่อจัดตั้งคณะผู้เลือกตั้ง (electoral college) เพื่อลงมติเสนอชื่อผู้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคนต่อไปอย่างเป็นทางการ การจะคว้าชัยเลือกตั้งได้เข้าไปทำงานที่ทำเนียบขาว ต้องได้รับคะแนนเสียงจากคณะผู้เลือกตั้ง 270 คน จากทั้งหมด 538 คน เลือกตั้งสหรัฐฯ: ทำไมผู้ได้คะแนนเสียงจากประชาชนมากที่สุดอาจไม่ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี คนจำนวนมากทั่วโลกรู้สึกเบื่อหน่ายกับความไร้สาระของ "คณะผู้เลือกตั้ง" ยากแค่ไหนที่จะเปลี่ยนแปลงให้การเลือกตั้งสหรัฐฯ หันมาใช้ระบบคะแนนเสียงส่วนใหญ่จากประชาชน และยกเลิกระบบคณะผู้เลือกตั้ง - จูดี, บริติชโคลัมเบีย, แคนาดา ระบบการเลือกตั้งสหรัฐฯ ถูกบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงจึงต้องมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ การแก้ไขรัฐธรรมนูญต้องได้รับการรับรองจากทั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาเป็นจำนวน 2 ใน 3 หรือ ได้รับการรับรองในสัดส่วนเดียวกันนี้จากสภานิติบัญญัติของรัฐต่าง ๆ จากนั้นรัฐต่าง ๆ ของสหรัฐฯ จำนวน 3 ใน 4 ต้องรับรองการแก้ไขนี้ การทำเช่นนี้มีโอกาสประสบความสำเร็จยากมาก โดยในอดีตเคยมีความพยายามเปลี่ยนแปลงระบบการเลือกตั้งมาแล้วหลายครั้ง บางรัฐมีความพยายามสนับสนุนให้ผู้เลือกตั้งของรัฐลงคะแนนให้กับผู้ที่ได้คะแนนเสียงจากประชาชนมากกว่า ไม่ว่าใครจะเป็นผู้ชนะในรัฐนั้นก็ตาม นี่คือวิธีการที่ไม่ถูกต้องและจะส่งผลให้คณะผู้เลือกตั้งเป็นโมฆะ ใครเป็นสมาชิกคณะผู้เลือกตั้ง พวกเขาได้รับเลือกอย่างไร และทำหน้าที่นี้นานแค่ไหน - เพนนี รีด, นอร์ทัมเบอร์แลนด์, สหราชอาณาจักร โดยปกติแล้วพรรครีพับลิกันและพรรคเดโมแครตเสนอชื่อสมาชิกคณะผู้เลือกตั้งในการเลือกตั้งแต่ละครั้ง มีกฎเกณฑ์การเสนอชื่อสมาชิกคณะผู้เลือกตั้งแตกต่างกันไปในแต่ละรัฐ และพวกเขาจะได้รับเลือกอย่างเป็นทางการในวันเลือกตั้ง สมาชิกคณะผู้เลือกตั้ง มักจะเป็นผู้ที่มีความสัมพันธ์กับพรรคการเมือง อย่างเช่น นักเคลื่อนไหว หรือ อดีตนักการเมือง บิล คลินดัน เป็นสมาชิกคณะผู้เลือกตั้งจากพรรคเดโมแครตในปี 2016 และ โดนัลด์ ทรัมป์ จูเนียร์ ได้รับการเสนอชื่อให้เป็นสมาชิกคณะผู้เลือกตั้งจากพรรครีพับลิกัน บิล คลินตัน เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ระหว่างปี 1993-2001 ถ้าไม่มีผู้ชนะโดยเด็ดขาดในคณะผู้เลือกตั้ง แล้วตำแหน่งประธานาธิบดีจะเป็นของใคร - โรเบิร์ต พัลโลน, รัฐแมรีแลนด์, สหรัฐฯ ถ้าไม่มีผู้ชนะเด็ดขาดจากการลงคะแนนของคณะผู้เลือกตั้ง นั่นหมายความว่า แต่ละฝ่ายได้คะแนนเสียงจากสมาชิกคณะผู้เลือกตั้งเท่ากัน (ตามที่ตอบคำถามข้างต้น) หรือการดำเนินการทางกฎหมายในรัฐที่มีข้อพิพาทต่าง ๆ ยังไม่ได้ข้อยุติ ทำให้ยังไม่ได้คณะผู้เลือกตั้ง คณะผู้เลือกตั้ง ซึ่งมีหน้าที่ในการเสนอชื่อผู้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคนต่อไปอย่างเป็นทางการ ในปีนี้จะประชุมกันในวันที่ 14 ธ.ค. แต่ละรัฐจะต้องส่งสมาชิกคณะผู้เลือกตั้งให้มาเลือกผู้สมัครที่คว้าชัยในรัฐ ถ้ายังมีข้อพิพาทเกี่ยวกับผลการเลือกตั้งอยู่ แต่ละรัฐไม่สามารถตัดสินใจได้ว่าจะให้สมาชิกคณะผู้เลือกตั้งเสนอชื่อผู้สมัครคนใด เรื่องนี้ก็จะต้องให้รัฐสภาของสหรัฐฯ มาตัดสิน รัฐธรรมนูญสหรัฐฯ กำหนดเส้นตาย หรือวาระการดำรงตำแหน่งของประธานาธิบดี (และรองประธานาธิบดี) ไว้ที่เวลาเที่ยงวันของวันที่ 20 ม.ค. ถ้ารัฐสภาไม่สามารถเลือกผู้ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีได้ภายในเส้นตายนี้ กฎหมายของสหรัฐฯ ได้กำหนดลำดับผู้ที่จะขึ้นมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีไว้ รายชื่อลำดับแรกที่จะต้องขึ้นมาทำหน้าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คือ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งปัจจุบันคือ นางแนนซี เพโลซี ตามมาด้วย สมาชิกวุฒิสภาที่มีตำแหน่งสูงสุดรองลงมา ปัจจุบันคือนายชาร์ลส์ กราสลีย์ เรื่องนี้ยังไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ดังนั้น จึงไม่มีความแน่ชัดว่า ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่ปกติเช่นนี้ จะมีการปฏิบัติเรื่องนี้อย่างไร อะไรที่ทำให้คะแนนเสียงของบางรัฐมีความสำคัญกว่ารัฐอื่น - เอส โรเบิร์ตสัน, ซัสเซกซ์, สหราชอาณาจักร ผู้สมัครมักจะหาเสียงในรัฐที่ผลการเลือกตั้งไม่แน่นอน นั่นคือเหตุผลที่คนบอกว่า คะแนนเสียงในรัฐเหล่านั้น "มีความสำคัญมากกว่า" รัฐเหล่านั้นคือ รัฐที่ผู้สมัครจากทั้งสองฝ่ายได้รับการสนับสนุนไม่ต่างกันมาก หรือมีคะแนนสูสีกัน เป็นรัฐที่ต้องขับเคี่ยวกันอย่างหนักในศึกเลือกตั้ง การใช้ระบบคณะผู้เลือกตั้งของสหรัฐฯ ทำให้ผู้ที่ได้คะแนนเสียงมากที่สุดใน 48 รัฐ จาก 50 รัฐ จะได้จำนวนคณะผู้เลือกตั้งของรัฐนั้นไปทั้งหมด ไม่ว่าจะชนะกันด้วยผลต่างคะแนนเสียงเท่าใดก็ตาม คนกำลังรอลงคะแนนเลือกตั้งในรัฐแคลิฟอร์เนีย ในรัฐต่าง ๆ ซึ่งเกือบจะยืนยันผลการเลือกตั้งได้ว่าฝ่ายใดจะเป็นฝ่ายชนะ อย่าง แคลิฟอร์เนีย อยู่ฝ่ายเดโมแครต หรือ แอละแบมา อยู่ฝ่ายรีพับลิกัน ผู้สมัครจึงมีแรงจูงใจน้อยกว่าในการลงพื้นที่หาเสียงที่นั่น ผู้สมัครจึงทุ่มเทหาเสียงกับผู้มีสิทธิ์ลงคะแนนเลือกตั้งในรัฐที่มีการแข่งขันกันอย่างสูสี อย่าง ฟลอริดาและเพนซิลเวเนีย มากกว่า ถ้าการลงคะแนนทางไปรษณีย์นับเสร็จช้ากว่าวันเลือกตั้งนานหลายวัน และส่งผลให้ผู้มีคะแนนนำของรัฐเปลี่ยนจาก ทรัมป์ เป็น ไบเดน หรือกลับกัน ระเบียบในการประกาศผลผู้ชนะใหม่เป็นอย่างไร - ชาร์ลี เอเธอริดจ์, เคนต์, สหราชอาณาจักร ไม่มีข้อกำหนดทางกฎหมายในการประกาศชื่อผู้ชนะในวันเลือกตั้ง แต่สื่อใหญ่ของสหรัฐฯ ต่างคาดการณ์ผู้ชนะ การนับคะแนนเสียงทั้งหมดไม่แล้วเสร็จในคืนวันเลือกตั้ง แต่ปกติก็ได้คะแนนเสียงมากพอที่จะยืนยันผู้ชนะได้ ผลคะแนนเหล่านี้ไม่เป็นทางการและจะได้รับการรับรองในอีกหลายสัปดาห์ต่อมา หลังจากที่เจ้าหน้าที่ทางการของแต่ละรัฐยืนยันผลคะแนนแล้ว เลือกตั้งสหรัฐฯ 2020: เหตุใดการเลือกตั้งครั้งนี้จึงโดดเด่นเป็นพิเศษ ปีนี้ สื่อสหรัฐฯ น่าจะเพิ่มความระมัดระวังในการคาดการณ์ผู้ชนะ เพราะว่ามีการลงคะแนนเลือกตั้งทางไปรษณีย์มากขึ้น และต้องใช้เวลาในการนับคะแนนนานขึ้น เรื่องนี้อาจส่งผลให้ผู้ที่มีคะแนนนำในคืนวันเลือกตั้งในบางรัฐอาจจะพลิกกลับมามีคะแนนตามหลังได้ หลังจากมีการนับคะแนนทั้งหมด รวมถึงบัตรเลือกตั้งที่ส่งมาทางไปรษณีย์
|
ผู้สมัครโต้แย้งผลการเลือกตั้งได้ไหม ทำไมคะแนนเสียงบางแห่งจึงมีความสำคัญมากกว่าที่อื่น
|
thailand-57005244
|
https://www.bbc.com/thai/thailand-57005244
|
ราษฎร: ปล่อยตัวชั่วคราว รุ้ง-ปนัสยา ราชทัณฑ์ย้ายเพนกวินเข้า รพ.เรือนจำ ยืนยันอานนท์ติดโควิด
|
59 วันหลังถูกจับกุมคุมขัง รุ้ง-ปนัสยาได้รับอิสรภาพคืน น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล ได้เดินทางออกจากทัณฑสถานหญิงกลาง เรือนจำกลางคลองเปรม เมื่อเวลาประมาณ 18.40 น. วันนี้ (6 พ.ค.) โดยมีนางสุริยา สิทธิจิรวัฒนกุล มารดา และ น.ส. เมธาวี สิทธิจิรวัฒนกุล หรือเมย์ พี่สาว พร้อมมวลชน ไปรอรับทันทีที่ศาลอาญามีคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว โดยตีราคาประกัน 2 แสนบาท พร้อมกำหนดเงื่อนไขห้ามทำกิจกรรมอันเป็นที่เสื่อมเสียแก่สถาบันพระมหากษัตริย์ ห้ามเดินทางออกนอกประเทศ และมาตามนัดศาลอย่างเคร่งครัด โดยครอบครัวได้นำตัว น.ส.ปนัสยาไป ตรวจร่างกายที่ รพ. ก่อน เนื่องจากมีอาการอ่อนเพลีย หลังประท้วงอดอาหารเป็นระยะเวลาหลายวัน รุ้งโผเข้าสวมกอดพี่สาวและแม่ พลางกล่าวว่า "นึกว่าจะไม่ได้ออกเสียแล้ว" น.ส.ปนัสยา ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวออกจากทัณฑสถานหญิงกลาง เรือนจำกลางคลองเปรมแล้ว ส่วน 2 แกนนำคนสำคัญของกลุ่มราษฎรคือ นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ และนายอานนท์ นำภา ถูกส่งตัวไปรับการรักษาภายใน รพ.ราชทัณฑ์ วันเดียวกัน โดยคนแรกย้ายออกจาก รพ.รามาธิบดี ด้วยเหตุผลว่า "ได้รับการรักษาจนดีขึ้น ร่างกายฟื้นฟูตัวเองได้" หลังอดอาหารประท้วงกระบวนการยุติธรรม ส่วนคนหลังกลายเป็นผู้ป่วยโควิด-19 รายล่าสุดของเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เวลา 10.00 น. ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ไต่สวนคำร้องขอปล่อยชั่วคราว นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิน จำเลยที่ 1, น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือรุ้ง จำเลยที่ 5 และนายไชยอมร แก้ววิบูลย์พันธุ์ หรือแอมมี่ เดอะ บอททอมบูลส์ จำเลยที่ 17 ในคดีชุมนุมการเมืองที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) และปักหมุด "คณะราษฎร" ที่ท้องสนามหลวง เมื่อ 19-20 ก.ย. 2563 เมื่อถึงเวลานัด ศาลแจ้งว่าได้เลื่อนนัดไต่สวนคำร้องของนายพริษฐ์และนายไชยอมรออกไปก่อน ไม่ได้เบิกตัวทั้งคู่มาขึ้นศาล หลังได้รับแจ้งจากกรมราชทัณฑ์ว่ายังกักตัวไม่ครบ 14 วันตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยเพนกวินและแอมมี่ถูกคุมอยู่ในห้องเดียวกับนายชูเกียรติ แสงวงค์ หรือที่รู้จักในชื่อ "จัสติน" แนวร่วมกลุ่มราษฎร จำเลยคดี 112 ซึ่งได้รับการยืนยันเมื่อ 24 เม.ย. ว่าติดเชื้อโควิด-19 ทำให้ผู้สัมผัสเสี่ยงสูงทั้งหมดต้องกักตัวระหว่างวันที่ 24 เม.ย.-7 พ.ค. ศาลจึงเลื่อนการไต่สวนคำร้องของ 2 จำเลยออกไปก่อน โดยให้เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์รายงานว่าจะนำตัวจำเลยมาไต่สวนได้เมื่อใด ท่ามกลางความผิดหวังของครอบครัว ครูอาจารย์ เพื่อนฝูง และประชาชนที่มารอให้กำลังใจและติดตามคำสั่งของศาล นางสุรีย์รัตน์ ชิวารักษ์ มารดาของเพนกวิน ตัดสินใจโกนศีรษะประท้วงทวงความยุติธรรมให้แก่บุตรชาย รุ้ง ปนัสยา จึงเป็นจำเลยเพียงหนึ่งเดียวที่ถูกเบิกตัวมาจากทัณฑสถานหญิงกลางเพื่อเข้าร่วมการไต่สวน ร่วมกับพยานอีก 4 ปาก โดยรุ้งแถลงต่อศาลว่าจะเคารพและปฏิบัติตามเงื่อนไขการขอปล่อยชั่วคราวที่ทนายความยื่นคำร้อง ประกอบด้วย 1. จะไม่กระทำการที่ก่อให้เกิดความเสื่อมเสียต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ 2. ไม่เดินทางออกนอกประเทศเว้น แต่ได้รับอนุญาตจากศาลก่อน และ 3. จะเดินทางมาศาลทุกครั้งตามนัดหมาย พร้อมแต่งทนายความในกระบวนพิจารณาคดีหลังถอนทนายความไปก่อนหน้านี้ นอกจากนี้เธอยังบอกด้วยว่าไม่ขัดข้อง หากศาลจะให้สั่งติดอุปกรณ์ติดตามตัวอิเล็กทรอนิกส์ (กำไลอีเอ็ม) ทั้งนี้กระบวนการไต่สวนเสร็จสิ้นในเวลา 11.35 น. และนัดฟังคำสั่งว่าจะให้ประกันตัวหรือไม่ในช่วงบ่ายวันเดียวกัน ทนายความได้ยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราวครั้งที่ 10 เมื่อ 30 เม.ย. ซึ่งในวันนั้นนางสุรีย์รัตน์ ชิวารักษ์ มารดาของเพนกวิน ตัดสินใจโกนศีรษะประท้วงทวงความยุติธรรมให้แก่บุตรชายด้วย มาวันนี้เธอกล่าวกับสื่อมวลชนว่า "ครั้งนี้คาดหวังสูงมากว่าจะได้รับข่าวดีและได้รับลูกของเราออกมา เนื่องจากครั้งนี้มีการไต่สวน" ซึ่งในขณะให้สัมภาษณ์ "แม่สุ" ยังไม่รู้ว่าเพนกวินไม่ได้ถูกเบิกตัวออกจาก รพ.รามาธิบดี เพื่อมาขึ้นศาล รุ้งรับเงื่อนไขไม่กระทำการเสื่อมเสียแก่สถาบันฯ ต่อมาเวลา 17.15 น. ศาลอาญามีคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว น.ส.ปนัสยา ตีราคาหลักประกัน 2 แสนบาท ศาลกำหนดเงื่อนไขในการปล่อยชั่วคราวไว้ว่า 1. ห้ามมิให้จำเลยกระทำการในลักษณะเช่นเดียวกับที่ถูกกล่าวหาตามฟ้องอันเป็นที่เสื่อมเสียแก่สถาบันพระมหากษัตริย์ หรือเข้าร่วมกิจกรรมใดที่อาจก่อให้เกิดความวุ่นวายภายในบ้านเมือง 2. ห้ามเดินทางออกนอกราชอาณาจักร เว้นแต่ได้รับหนังสืออนุญาตจากศาล 3. ให้มาตามกำหนดนัดโดยเคร่งครัด ก่อนหน้านี้ ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์เคยยกคำร้องขอปล่อยชั่วคราวนายพริษฐ์กับพวกมาแล้ว 9 ครั้ง โดยให้เหตุผลว่า "ความผิดตามฟ้องมีอัตราโทษสูง", "จำเลยกระทำซ้ำ ๆ ต่างกรรมต่างวาระตามข้อกล่าวหาเดิมหลายครั้งหลายครา", "มีเหตุอันควรเชื่อว่าหากอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว อาจไปก่อเหตุในลักษณะเดียวกันกับความผิดที่ถูกกล่าวหาอีก" "ไม่มีข้อเท็จจริงทางคดีที่เปลี่ยนไป ย่อมไม่มีเหตุที่ศาลจะเปลี่ยนแปลงคำสั่ง" ฯลฯ การไต่สวนคำร้องของศาลเกิดขึ้นท่ามกลางมาตรการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด โดยปิดประตูทางเข้า-ออกเกือบทั้งหมด ให้ประชาชนที่มาติดต่อราชการและคู่ความเข้า-ออกประตูฝั่งศาลแพ่งเท่านั้น พร้อมนำแผงรั้วเหล็กมาวางกั้นพื้นที่ทางเข้าบริเวณรอบ อีกทั้งยังมีรถฉีดน้ำแรงดันสูง (รถจีโน่) จำนวน 2 คัน มาจอดตรงกับประตูทางเข้าศาลอาญาด้วย นอกจากนี้ยังมีการวางกำลังตำรวจคอยดูแลความสงบเรียบร้อยทั้งภายในพื้นที่ศาลและบริเวณรอบ ในช่วงเที่ยง นายชินวัตร จันทร์กระจ่าง หรือไบร์ท แกนนำเครือข่าย "คนรุ่นใหม่นนทบุรี" แนวร่วมราษฎร ได้เปิดปราศรัยบริเวณประตู 8 ยืนยันว่าตราบที่ยังไม่มีคำพิพากษาว่าผิด ต้องถือว่าทุกคนยังเป็นผู้บริสุทธิ์ และขอให้กระบวนการยุติธรรมเป็นเหมือน "นาฬิกาไขลานที่เที่ยงตรง" นอกจากนี้ยังมี ส.ส. พรรคก้าวไกล นำโดยนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เดินทางไปให้กำลังใจมารดาของเพนกวิน และร่วมสังเกตการณ์ที่ศาลอาญาด้วย ย้ายเพนกวินกลับไป รพ. ราชทัณฑ์ นายพริษฐ์ และ น.ส.ปนัสยา เป็นแกนนำคนสำคัญของกลุ่ม "แนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม" ซึ่งสร้างปรากฏการณ์ "ทะลุเพดาน" ด้วยการประกาศ 10 ข้อเรียกร้องให้ปฏิรูปสถาบันฯ ระหว่างจัดการชุมนุมเมื่อ 10 ส.ค. 2563 ที่ มธ. ศูนย์รังสิต ก่อนที่ประเด็นดังกล่าวจะถูกพูดอย่างกว้างขวางในพื้นที่สาธารณะ ทั้งในเวทีชุมนุมการเมืองของกลุ่มต่าง ๆ สื่อมวลชน และสื่อสังคมออนไลน์ ต่อมาทั้งคู่ตกเป็นจำเลยในความผิดฐานหมิ่นสถาบันฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112, ยุยงปลุกปั่นฯ ตามมาตรา 116 และอีกหลายข้อหา จากกรณีชุมนุมเมื่อ 19-20 ก.ย. 2563 ซึ่งมีจำเลยรวม 22 คน แต่มีอยู่ 7 คนไม่ได้ประกันตัวในระหว่างการพิจารณาคดี เพนกวินถูกคุมขังภายในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ตั้งแต่ 9 ก.พ. พร้อมแกนนำราษฎรชุดแรกอีก 3 คน ได้แก่ นายอานนท์ นำภา, นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข และนายปติวัฒน์ สาหร่ายแย้ม หรือหมอลำแบงค์ ทั้งนี้เพวกวินเริ่มอดอาหารตั้งแต่วันที่ 16 มี.ค. เพื่อประท้วงกระบวนการยุติธรรมที่ริบอิสรภาพไปจากเขาทั้งที่ศาลยังไม่ตัดสินความผิด ก่อนที่กรมราชทัณฑ์จะตัดสินย้ายนายพริษฐ์ออกจากเรือนจำ และส่งตัวเข้าตัวรับการรักษาที่ รพ.รามาธิบดี เมื่อ 30 เม.ย. ซึ่งเป็นวันที่ 45 ของการอดอาหาร ทำให้น้ำหนักลดลงไป 12.5 ก.ก. รวมระยะเวลาที่ถูกคุมขังในเรือนจำ 81 วัน และนอนรักษาตัวใน รพ. อีก 5 วัน ล่าสุดวันนี้ (6 พ.ค. ) นายธวัชชัย ชัยวัฒน์ รองอธิบดีและโฆษกกรมราชทัณฑ์ เปิดเผยผ่านเอกสารข่าวของกรมราชทัณฑ์ว่า ขณะนี้นายพริษฐ์ "ได้รับการรักษาอาการจนดีขึ้น ร่างกายฟื้นฟูตัวเองได้ สามารถดื่มน้ำเกลือแร่ นม และวิตามินได้เป็นปกติแล้ว แพทย์จึงเห็นควรส่งตัวกลับรักษาที่ทัณฑสถาน รพ.ราชทัณฑ์ ตามระเบียบปฏิบัติของราชทัณฑ์ เมื่อเวลา 10.00 น. ที่ผ่านมา" ส่วนรุ้งเป็นแกนนำชุดที่ 2 ที่ต้องอยู่ในเรือนจำตั้งแต่ 8 มี.ค. พร้อมแกนนำอีก 2 คนคือ นายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือไผ่ ดาวดิน และนายภาณุพงศ์ จาดนอก หรือไมค์ ทว่ารุ้งเป็นคนเดียวที่ถูกแยกตัวไปคุมขังภายในทัณฑสถานหญิงกลาง โดยเธอเป็นอีกคนที่ร่วมอดอาหารประท้วงไปพร้อม ๆ กับเพนกวิน โดยเริ่มต้นจากการงดอาหารมื้อเย็นตั้งแต่ 30 มี.ค. และค่อย ๆ ลดลงตามลำดับ ก่อนได้รับการปล่อยตัวในวันนี้หลังยอมรับเงื่อนไข "ไม่ทำกิจกรรมที่ทำให้เสื่อมเสียแก่สถาบันฯ" รวมระยะเวลาที่ถูกคุมขัง 59 วัน เส้นทางการขอคืนอิสรภาพ ตลอดเวลาเกือบ 3 เดือนนับจากแกนนำ "ราษฎร" ชุดแรกถูกจองจำ มีจำเลยคดี 112 ทั้งคดีชุมนุม 19 ก.ย. และคดีอื่น ๆ ทยอยได้รับอิสรภาพคืนกลับมาหลังยอมรับเงื่อนไข "ห้ามทำกิจกรรมที่อาจทำให้เสื่อมเสียแก่สถาบันฯ" บีบีซีไทยสรุปรายละเอียดไว้ ดังนี้ อานนท์ติดโควิดในเรือนจำ ปัจจุบันมีแกนนำ/แนวร่วมคดีชุมนุม 19 ก.ย. ซึ่งถูกตั้งข้อหาคดี 112 อีก 5 คนยังอยู่ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ได้แก่ นายพริษฐ์, นายอานนท์, นายภาณุพงศ์, นายไชยอมร และนายชูเกียรติ นายพริษฐ์ (ที่สองจากซ้าย) และ น.ส.ปนัสยา (ขวาสุด) ร้องรำทำเพลงหลังประกาศยุติการชุมนุม "19 กันยาทวงอำนาจคืนราษฎร" ที่ท้องสนามหลวงเมื่อ 20 ก.ย. 2563 สายวันนี้ (6 พ.ค.) ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนเปิดเผยว่า มีรายงานว่านายอานนท์ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 หลังมีไข้ขึ้น เวียนศีรษะ และคลื่นไส้เป็นเวลา 3 วัน ขณะนี้ถูกส่งไปที่ รพ.ราชทัณฑ์แล้ว ก่อนที่กรมราชทัณฑ์จะออกมายืนยันว่านายอานนท์ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 จริง โดยเพิ่งตรวจพบเชื้อเมื่อวันที่ 5 พ.ค. สันนิษฐานว่าเป็นการติดเชื้อจากนายชูเกียรติ แสงวงค์ หรือ "จัสติน" ที่ตรวจพบเชื้อไปก่อนหน้า (23 เม.ย.) กรมราชทัณฑ์ระบุว่า นายอานนท์ถือเป็น 1 ในกลุ่มสัมผัสใกล้ชิดความเสี่ยงสูงจากการกักตัวร่วมกันกับนายจัสติน ในห้องแยกกักโรคผู้ต้องขังเข้าใหม่-รับย้าย และออกศาล ซึ่งเคยได้รับการตรวจหาเชื้อไปแล้วครั้งแรก แต่ผลเป็นลบ ต่อมาได้ตรวจหาเชื้อซ้ำในช่วงระหว่างกักตัวและพบการติดเชื้อ พร้อมกับผู้ต้องขังอีก 1 รายที่เป็นกลุ่มสัมผัสใกล้ชิดความเสี่ยงสูงเช่นเดียวกัน ทั้งนี้ผู้ต้องขังทั้ง 2 รายได้เข้ารับการรักษาที่ทัณฑสถาน รพ.ราชทัณฑ์ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ต่อมาในช่วงบ่าย มารดาของทนายอานนท์ได้เดินทางไปยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เพื่อยื่นหนังสือถึงผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ โดยขอให้ย้ายตัวนายอานนท์ไปรักษายัง รพ. อื่นนอกสังกัดกรมราชทัณฑ์ เพื่อความปลอดภัยของนายอานนท์ และผู้ต้องขังรายอื่น พร้อมขอให้แถลงอาการของนายอานนท์ทุกวันจนกว่าจะหายจากโรค เพื่อให้ญาติและสาธารณชนรับทราบอาการต่อไป มารดาของนายอานนท์ระบุด้วยว่า ไม่ได้รับสิทธิเข้าเยี่ยมบุตรชายตั้งแต่ถูกควบคุมตัววันที่ 8 ก.พ. เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19
|
รุ้ง-ปนัสยา แกนนำการชุมนุมทางการเมืองที่เรียกตัวเองว่า "ราษฎร" ซึ่งตกเป็นจำเลยคดี 112 ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวแล้ว หลังศาลอาญาอนุญาตให้ประกันตัว ขณะที่ เพนกวิน กับ แอมมี่ ยังไม่ได้รับอิสรภาพกลับคืนมาเมื่อศาลเลื่อนการไต่สวนออกไป เหตุยังกักตัวไม่ครบ 14 วัน อีกทั้งกรมราชทัณฑ์ยังส่งตัวเพนกวินกลับเข้า รพ. ภายในเรือนจำด้วย
|
thailand-54983441
|
https://www.bbc.com/thai/thailand-54983441
|
ประชุมสภา: รัฐสภารับหลักการร่างแก้ไข รธน. มาตรา 256 ตั้ง ส.ส.ร. ของฝ่ายค้านและรัฐบาล
|
รัฐสภาลงมติคว่ำร่าง รธน.ฉบับประชาชน-รับหลักการร่างพรรครัฐบาล-ฝ่ายค้าน นายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา ประกาศผลการลงมติรับ-ไม่รับ ต่อญัตติร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญทั้ง 7 ฉบับ เมื่อเวลาประมาณ 19.30 น. หลังจากเริ่มลงมติเมื่อเวลา 13.00 น. สำหรับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคร่วมฝ่ายค้าน สมาชิกรัฐสภารับหลักการ 576 เสียง ไม่รับ 21 เสียง งดออกเสียง 123 เสียง ขณะที่ร่างฉบับที่ประชาชนเข้าชื่อเสนอร่างกฎหมาย เพื่อแก้ไขมาตรา 256 เปิดทางตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) จากการเลือกตั้งทั้งหมด และแก้ไขได้ทั้งฉบับ สมาชิกรัฐสภา รับหลักการ 212 เสียง ไม่รับ 139 เสียง และงดออกเสียง 369 เสียง โดยการลงมติรับหลักการที่น่าสนใจมาจาก ส.ว. 3 คน ทั้งนี้ ในการผ่านวาระ 1 ขั้นรับหลักการ ต้องได้คะแนนเสียงเห็นชอบจากสมาชิกรัฐสภา "ไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของสมาชิกที่มีอยู่สองสภา" หรือ 366 จาก 732 เสียง (มี ส.ส. ปฏิบัติหน้าที่ได้ 487 คน และ ส.ว. 245 คน) ในจำนวนนี้ต้องเป็นคะแนนเสียงเห็นชอบจาก ส.ว. "ไม่น้อยกว่า 1 ใน 3" ของวุฒิสภาที่มีอยู่ หรือ 82 คน นายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา ประกาศผลการลงมติเมื่อเวลา 19.30 น. หลังใช้เวลานับคะแนนเกือบ 2 ชม. หลังการลงมติของที่ประชุมรัฐสภาเสร็จสิ้น และทราบผลว่าร่างแก้ไขฉบับภาคประชาชนถูกตีตก นายยิ่งชีพ อัชฌานนท์ ผู้จัดการไอลอว์ ในฐานะผู้แทนประชาชนที่เข้าชื่อเสนอกฎหมายจำนวน 98,071 รายชื่อ กล่าวว่า "การลงมติเป็นอำนาจของสมาชิกรัฐสภา ไม่ใช่อำนาจของประชาชนตั้งแต่ต้น ประชาชนมีอำนาจเพียงเข้าชื่อมาเสนอ ซึ่งได้ทำหน้าที่ครบถ้วน สมบูรณ์ สำเร็จเสร็จสิ้นแล้ว" เวลา 16.40 น. ในขณะที่การลงมติยังไม่เสร็จสิ้น นายวิรัช รัตนเศรษฐ ประธานกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร (วิปรัฐบาล) กล่าวขอบคุณสมาชิกวุฒิสภาที่ได้ให้คะแนน เขาบอกว่าไม่ว่าจะเป็นร่างที่ 1 หรือร่างที่ 2 ถือว่าเกินกว่า 1 ใน 3 ตามที่กฎหมายรัฐธรรมนูญต้องการ หลังจากนี้จะมีการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญทั้งสองฉบับนี้ ประธานวิปรัฐบาลกล่าวอีกว่า ตามธรรมเนียมแล้วร่างที่เป็นหลักที่ กมธ. จะนำมาพิจารณา คือ ร่างของพรรคร่วมรัฐบาล ส่วนร่างฉบับประชาชนที่มีแรงกดดันนอกสภา นายวิรัชระบุว่า ส่วนดีของร่างฉบับอื่นเห็นว่าน่าจะมีการได้นำเสนอในคณะกรรมาธิการต่อไป "อะไรที่เป็นส่วนดีในส่วนของไอลอว์เราก็จะพิจารณารวมกัน แต่ส่วนที่ย้ำอยู่เสมอตั้งแต่เริ่มต้น ก็คือเราไม่แตะหมวด 1 หมวด 2 และเกี่ยวกับพระราชอำนาจอีก 38 มาตรา ในตรงนี้เราจะไม่ยุ่ง" นายจอน อึ๊งภากรณ์ ผู้อำนวยการไอลอว์ชี้แจงต่อที่ประชุมรัฐสภาวันนี้ (18 พ.ย.) แม้ว่าในการประชุมร่วมกันของรัฐสภาเพื่อพิจารณาญัตติร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม รวม 7 ฉบับ ที่ผ่านมา 2 วัน สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ส่วนใหญ่ ได้อภิปรายโจมตีร่างฉบับภาคประชาชน ทว่าในการลงมติ มี ส.ว. อย่างน้อย 3 คน ลงมติรับหลักการร่างแก้ไขของภาคประชาชน ได้แก่ เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์, พิศาล มาณวพัฒน์ และพีระศักดิ์ พอจิต อดีตรองประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) พรรคร่วมรัฐบาล อภิปรายคัดค้านร่างแก้ไขฯ ฉบับภาคประชาชน เพราะเชื่อว่าเป็นร่างฯ ที่จัดทำตามข้อเรียกร้องของกลุ่มผู้ชุมนุมที่ใช้ชื่อว่า "คณะราษฎร" ซึ่งหนึ่งในหลักการสำคัญร่างฉบับภาคประชาชน คือ การเปิดกว้างให้มีการแก้ไขทุกหมวดทุกมาตรา ประเด็นนี้ทำให้ ส.ว. และ ส.ส.หลายคน อภิปรายคัดค้านเพราะเห็นว่าเป็นการเปิดช่องให้มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงในหมวดที่ 1 ว่าด้วยบททั่วไป และหมวด 2 ว่าด้วยสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยอ้างว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 255 และ 256 (1) ที่ระบุว่าการแก้ไขเปลี่ยนแปลงอันใดที่เกี่ยวข้องกับระบอบการปกครองจะกระทำไม่ได้ "ร่างของไอลอว์จัดทำรัฐธรรมนูญตามข้อเรียกร้อง 10 ข้อของคณะราษฎร ล้วนแล้วแต่เป็นการปฏิปักษ์ต่อสถาบันฯ ร่างที่ทำตามข้อเรียกร้องเป็นการกระทำที่ก้าวล่วงไม่บังควร" นายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ อภิปรายเมื่อวันที่ 17 พ.ย. ช่วงเช้าวันนี้ ก่อนจะเริ่มการลงมติ ส.ว. และ ส.ส. พรรครัฐบาลยังคงเดินหน้าอภิปรายคัดค้านร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญฉบับภาคประชาชน โดยประเด็นที่ถูกหยิบยกมาอภิปรายมากที่สุดคือ การโจมตีแหล่งทุนต่างชาติของไอลอว์ต่อเนื่องจากวานนี้ และร่างที่เปิดทางให้แก้ไขหมวด 1-2 อันเกี่ยวข้องกับสถาบันกษัตริย์ "ขัดกับแนวคิดและอุดมการณ์ของคนที่รักและเทิดทูนสถาบัน" ส.ว. 56 คน โหวตอำนาจตัวเองเลือกนายกฯ การลงมติของ ส.ว. ในร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับที่ 4 เสนอโดยฝ่ายค้าน ให้แก้ไขมาตรา 159 และยกเลิกมาตรา 272 เพื่อตัดสิทธิการเลือกนายกรัฐมนตรีของ ส.ว. และปิดสวิตช์นายกฯ คนนอก มีผลการลงมติที่น่าสนใจ สมาชิกสองสภาโหวตรับหลักการร่างนี้ 268 เสียง ในจำนวนนี้มี ส.ว.ที่ลงมติรับในหลักการที่ลดอำนาจตัวเองในการเลือกนายกฯ จำนวน 56 คน ส่วนสมาชิกรัฐสภาที่โหวตไม่รับมี 20 เสียง และงดออกเสียง 432 เสียง ส.ส.รัฐบาลที่ลงมติสวนมติคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) ลงมติไม่รับหลักการทั้ง 7 ฉบับ ได้แก่ นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พปชร.-รมว. ศึกษาธิการ รวมถึง นายชาญวิทย์ วิภูศิริ ส.ส.พปชร. และนายชุมพล จุลใส ส.ส.ชุมพร พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) สภาตั้ง กมธ.พิจารณาร่างแก้รัฐธรรมนูญ 45 คน ประชุมนัดแรก 24 พ.ย. ขั้นตอนต่อไปของการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่ประชุมสภาได้ตั้งกรรมาธิการวิสามัญพิจารณา จำนวน 45 คน กำหนดแปรญัตติภายใน 15 วัน ประชุมนัดแรก 24 พ.ย. นี้ โดยใช้ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เสนอโดยพรรคร่วมรัฐบาลเป็นหลักในการพิจารณาในวาระที่ 2 ในการพิจารณาวาระ 2 ขั้นกำหนดแปรญัตติจะเป็นการพิจารณารายมาตรา ส.ส.ที่ขอแปรญัตติหรือสงวนคำแปรญัตติเท่านั้นจึงจะอภิปรายได้ ก่อนมีการลงมติ และเข้าสู่การลงมติในวาระ 3 เพื่อลงมติรับหรือไม่รับร่างทั้งฉบับ ไอลอว์ ยังไม่มีแผนเสนอญัตติในการประชุมสมัยหน้า นายยิ่งชีพ กล่าวภายหลังการลงมติเสร็จสิ้นว่า การที่มีสมาชิกรัฐสภาบางส่วนอภิปรายสนับสนุนหลักการของร่างถือว่าเป็นประสบความสำเร็จ ในอนาคตไม่จำเป็นต้องเป็นไอลอว์ที่เป็นผู้ริเริ่มเสนอกฎหมาย ทว่าประชาชนคนอื่นก็สามารถเป็นผู้ริเริ่มในการเข้าชื่อ 50,000 ชื่อได้ อย่างไรก็ตาม ไอลอว์ยังไม่มีแผนเสนอญัตตินี้ในการประชุมรัฐสภาสมัยหน้า "ทางข้างหน้าต้องบอกว่าประตูของการแก้ไขรัฐธรรมนูญได้เปิดขึ้นแล้ว การที่รัฐสภาจะลงมติอย่างไรไม่ได้มีผลเป็นการปิดประตูที่ต้องการจะแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพียงแต่การเข้าชื่อเสนอชุดเดิม อาจได้ผลมติแบบเดิม" เขาระบุ ผู้จัดการไอลอว์ยังแสดงความเห็นถึงการรับหลักการร่างฉบับประชาชนของ ส.ว. 3 คนว่า "น่าชื่นชมอยากมีโอกาสได้เจอท่าน" ยิ่งชีพ ได้กล่าวถึงประชาชนที่เข้าชื่อว่าขอให้ภาคภูมิใจในสิ่งที่ทำมา สองวันนี้เป็นวันประวัติศาสตร์ที่รัฐสภาได้พิจารณาข้อเสนอแก้ไขของประชาชน "สำหรับทุกท่านที่อาจจะรู้สึกผิดหวัง ก็รู้สึกผิดหวังได้ รู้สึกผิดหวังกันสักช่วงเวลาสั้น ๆ เวลาหนึ่ง เดี๋ยวก็ลุกขึ้นมาและมีอะไรต้องทำต่อ ถ้าเรายังมีความฝันร่วมกันที่อยากจะทำให้ระบอบการเมืองที่ผิดปกติกลับสู่ความปกติได้ ก็ยังอะไรต้องทำมากกว่านี้" ฝ่ายค้านประกาศรับหลักการทั้ง 7 ฉบับ พรรคฝ่ายค้าน โดย นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทย (พท.) อภิปรายย้ำฝ่ายค้านรับหลักการทั้ง 7 ฉบับ ชี้จำเป็นต้องตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) หยุดยั้งการสืบทอดอำนาจ นพ.ชลน่าน ยังอภิปรายกรณีกล่าวหาว่าร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของกลุ่มไอลอว์ไม่บัญญัติห้ามแก้ไขหมวด 1 และ 2 ว่า รัฐธรรมนูญปี 2560 ก็ยอมรับว่าหมวด 1 และหมวด 2 สามารถแก้ไขได้ ซึ่งหลักฐานเชิงประจักษ์อยู่ที่มาตรา 256 (8) และ (9) ว่ากรณีแก้ไขหมวด 1 และหมวด 2 ให้ไปทำประชามติได้ และรัฐธรรมนูญ 21 ฉบับที่ผ่านมา ก็มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงหมวด 1 และหมวด 2 ในทางที่ดีขึ้น ส่งเสริมพระราชอำนาจในฐานะเป็นประมุขของประเทศและผู้ใช้อำนาจอธิปไตย ไม่มีเลวร้ายลงทุกครั้ง แต่มีบางครั้งก็ต้องโทษคนที่จัดทำรัฐธรรมนูญ ซึ่งเขียนหน้าที่และอำนาจย้อนแย้งกัน เขาย้ำว่าพรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมฝ่ายค้านยินดีรับหลักการร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้ง 7 ฉบับ แบบไม่มีเงื่อนไข และขอให้ร่างของภาคประชาชนเป็นร่างหลัก นพ. ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส. น่าน พรรคเพื่อไทย ส.ว. อ่านข้อเสนอปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ 10 ข้อในสภา นายเสรี สุวรรณภานนท์ สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) อภิปรายว่าสิ่งที่กังวลใจคือการเขียนรัฐธรรมนูญแล้วไปกระทบสถาบันฯ ซึ่งเป็นเรื่องที่ "จะไม่ยอม" และมีการวางหลักการไว้แล้วว่าจะไม่แตะหมวด 1 และหมวด 2 แต่ปรากฏว่าไอลอว์ได้นำข้อมูลข้อเสนอปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ 10 ข้อของ "คณะราษฎร 2563" มาจัดทำเป็นอย่างดีบนเว็บไซต์ แล้วจะบอกว่าที่ ส.ว.อภิปราย เป็น "มายาคติ" และ "หลอกลวงประชาชน" ได้อย่างไร นายเสรียังได้อ่านข้อเสนอปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ทั้ง 10 ข้อกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุมกลางที่ประชุมรัฐสภา ก่อนระบุว่า "สิ่งที่เสนอมาเป็นความขัดแย้งของคนในชาติ" "สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้มีโอกาสที่จะถูกนำไปเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญ และจะกลายเป็นการต่อสู้เพื่อให้ ส.ส.ร.ไปเขียนอีก" "แก้ได้ถ้าแก้รัฐธรรมนูญ" ข้อความที่ผู้ชุมนุมเขียนบนพื้นถนนย่านราชประสงค์ในการชุมนุมวันที่ 18 พ.ย. หลังจากที่ประชุมรัฐสภา ลงมติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ เสร้จสิ้น โดยร่างฉบับของภาคประชาชน ถูกโหวตตีตกจากการพิจารณา ไม่ได้ไปต่อในวาระสอง ส.ส.พปชร. ชี้ร่างไอลอว์ เอื้อประโยชน์ฝ่ายค้าน - ไม่ยอมให้แก้ไขหมวด 1-2 นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ อภิปรายถึงร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของกลุ่มไอลอว์ว่าไม่ได้เป็นของกลุ่มไอลอว์ แต่เป็นของกลุ่มผู้ชุมนุม "คณะราษฎร 63" ที่ชุมนุมหน้ารัฐสภาเมื่อวานนี้ (17 พ.ย.) ส.ส. พรรครัฐบาล บอกว่าร่างแก้ไขฯ ฉบับของภาคประชาชน ตอบโจทย์พรรคฝ่ายค้าน เนื่องจากหลักการที่เสนอมานั้น มีสาระสำคัญที่ยกเลิก พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ทำให้คนที่มีคดีทุจริตหนีไปต่างประเทศ ทั้งนายทักษิณ ชินวัตร และ น.ส. ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้กลับบ้านหมด และถ้ายกเลิก พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง ซึ่งขณะนี้กำลังดำเนินคดีกับอดีตหัวหน้าและเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) คดีต่าง ๆ เหล่านี้ก็จะหยุดหมด เพราะฉะนั้นฝ่ายค้านและประโยชน์แน่นอน เขาอภิปรายเชื่อมโยงการเสนอร่างรัฐธรรมนูญที่เปิดทางให้แก้หมวด 1 หมวด 2 เกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ กับเหตุการณ์ชุมนุมของ "คณะราษฎร 63" ที่หน้ารัฐสภาเมื่อวานนี้ มีการขึ้นป้ายชัดเจนในบอลลูน ซึ่งเป็นสิ่งที่รับไม่ได้ และชัดเจนว่าคนกลุ่มนี้ต้องการอะไรกับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของกลุ่มไอลอว์ ซึ่งเรื่องนี้ขัดกับแนวคิดและอุดมการณ์ของพวกเราทุกคนที่รักและเทิดทูนสถาบัน และอำนาจบางอย่างไม่ได้มาจากรัฐธรรมนูญ แต่มาจากความรักความศรัทธาของพี่น้องประชาชน "ท่านไม่เว้นเลยแก้ทุกเรื่อง หมวด 1 หมวด 2 ท่านก็ต้องการให้แก้ ท่านต้องการอะไรครับ" เขาตั้งคำถาม หัวหน้าพรรคก้าวไกล ขอสมาชิกสภา หยุดเป็น "นั่งร้าน" ให้ผู้มีอำนาจ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล (กก.) กล่าวว่า การแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญไอลอว์ทำให้นึกถึงการแก้ไขปี 2538 ของ ส.ส.ร. ในการแก้มาตรา 211 ซึ่งทำให้พรรคชาติไทยชนะเลือกตั้งเป็นรัฐบาล และเดินหน้าปฏิรูปประเทศ ซึ่งขณะนั้นการเดินหน้าแก้ของ ส.ส.ร. ได้รับแรงสนับสนุนจากประชาชน ภายใต้ "ขบวนการธงเขียว" แม้จะมีแรงต้านไม่น้อย แต่ท้ายที่สุด ส.ส.ร.ก็แก้รัฐธรรมนูญได้สำเร็จ เป็นที่มาของรัฐธรรมนูญปี 40 ที่ได้รับเสียงชื่นชมว่าดี นายพิธากล่าวว่า สิ่งที่แตกต่างจากปี 2538 ก็คือเมื่อวานนี้บรรยากาศภายในรัฐสภากลับเต็มไปด้วยความหดหู่ รัฐสภากลับไม่ไว้ใจอำนาจของประชาชน มีการกล่าวหาและสร้างวาทกรรมมากมาย เพื่อไม่รับร่างของประชาชน หัวหน้าพรรค กก. ได้กล่าวกับสมาชิกรัฐสภาอีกว่าทราบว่าหลายประเด็นในการร่างรัฐธรรมนูญของประชาชนได้ทิ่มแทงไปในดวงใจ แต่ต้องยอมรับว่าสิ่งที่ได้รับไม่ใช่อยู่กับสมาชิกสภา แต่เป็นการรักษาผลประโยชน์ประชาชน และประเทศชาติ "เราต้องเลิกเป็นนั่งร้านให้กับผู้มีอำนาจที่หมดความชอบธรรมไปแล้ว ต้องพาประเทศไทยกลับสู่ภาวะปกติ"
|
ที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา มีมติรับหลักการร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญให้ตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ของพรรคร่วมรัฐบาล และพรรคฝ่ายค้าน 2 ร่าง หลังได้รับเสียงสนับสนุนจากสมาชิกรัฐสภาเกินกึ่งหนึ่ง โดยร่างฯ ของพรรคร่วมรัฐบาลได้รับความเห็นชอบมากที่สุด 647 เสียง ไม่รับหลักกการ 17 เสียง และงดออกเสียง 55 เสียง ขณะที่ร่างอีก 5 ฉบับ ของฝ่ายค้าน รวมทั้งร่างฉบับภาคประชาชน ถูก "โหวตคว่ำ" โดยสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) และสมาชิกสภาผู้แแทนราษฎร (ส.ส.) ฝ่ายรัฐบาลที่ "งดออกเสียง-ไม่รับหลักการ"
|
international-41565345
|
https://www.bbc.com/thai/international-41565345
|
แนวคิดพิชิตโนเบลเศรษฐศาสตร์ เปลี่ยนชีวิตคุณอย่างคาดไม่ถึง
|
ริชาร์ด เทเลอร์ เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ประจำปีนี้ วิธีหนึ่งที่ ศ.เทเลอร์ บอกว่าจะช่วยให้คนเราตัดสินใจได้อย่างมีเหตุผลมากขึ้น คือการออกแบบสถานการณ์หรือทางเลือกที่จะผลักดันให้คนเราเลือกสิ่งที่ดีโดยอัตโนมัติ ตามแนวคิด Nudge Theory หรือ "ทฤษฎีผลักดัน" อันโด่งดังของเขา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสาขาวิชาเศรษฐศาสตร์เชิงพฤติกรรม (Behavioral Economics) นั่นเอง ที่จริงคณะกรรมการผู้ตัดสินรางวัลโนเบลก็คุ้นเคยกับแนวคิดนี้ดี เพราะในปี 2002 ก็ได้เคยให้รางวัลโนเบลกับแดเนียล คาร์เนแมน ซึ่งเป็นนักเศรษฐศาสตร์เชิงพฤติกรรมมาแล้ว บางคนอาจคิดว่า ทฤษฏีระดับรางวัลโนเบลเป็นเรื่องเข้าใจยากที่ไกลตัว ไม่เกี่ยวอะไรกับชีวิตประจำวันของคนอย่างเรา ๆ แต่ใครจะรู้ว่า "ทฤษฎีผลักดัน" ของ ศ.เทเลอร์ ได้เข้าไปมีบทบาทในสารพัดเรื่องรอบตัวของคนยุคใหม่ไปเรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่เรื่องการจับจ่ายใช้สอย ไปจนถึงการออกกฎระเบียบและนโยบายต่าง ๆ ของรัฐบาล ซึ่งมีผลชักจูงพฤติกรรมของประชาชนโดยไม่รู้ตัว ทางการของสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักร ถึงกับจัดตั้ง "หน่วยผลักดันพฤติกรรม" (Nudge Unit) ซึ่งใช้หลักทฤษฎีนี้ในการวางแผนผลักดันนโยบายของรัฐบาลให้เกิดผลในทางปฏิบัติกับประชาชนกันเลยทีเดียว ทำอย่างไรคนถึงจะเลือกซื้ออาหารสุขภาพ ? เมื่อหน่วยงานสาธารณสุขต้องการให้ผู้คนเลือกรับประทานอาหารสุขภาพกันมากขึ้น มีวิธีจูงใจหลายทางที่น่าจะทำให้ผู้บริโภคทั่วไปมีพฤติกรรมดังกล่าวได้ เช่น การประชาสัมพันธ์ให้ความรู้เรื่องโภชนาการ จัดทำโฆษณาและแผ่นพับแจกจ่าย เพื่อชี้ถึงเหตุผลที่ควรเลือกซื้ออาหารมีคุณค่า หรืออาจใช้วิธีจู่โจมแหวกแนวอย่างบางองค์กรที่นำป้ายสีแดงรวมทั้งสัญญาณเตือนภัยไปติดที่ชั้นวางอาหารขยะในร้านค้า เพื่อเตือนให้ตระหนักถึงอันตรายของอาหารที่มีไขมันและน้ำตาลสูง แต่ท้ายที่สุดแล้ว หลายคนก็ยังเลือกซื้ออาหารตามใจปากอยู่ดี แต่หากใช้วิธีการ "ผลักดันพฤติกรรม" ในเรื่องนี้ อาหารสุขภาพจะถูกทำให้เป็นของที่ "เห็นง่าย ซื้อง่าย หยิบง่าย" โดยนำมาจัดวางเรียงในตำแหน่งบนชั้นที่อยู่ในระดับสายตา สลัดบาร์อยู่ในมุมที่กว้างขวางและสะดุดตาก่อนสินค้าอื่น ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะมีคนหยิบสินค้าที่เป็นอาหารสุขภาพใส่ตะกร้ากันมากขึ้น โดยไม่ต้องเสียเวลาชี้แจงแสดงเหตุผลกันให้ลำบากแม้แต่คำเดียว แค่เปลี่ยนตำแหน่งชั้นวางอาหารสุขภาพในซูเปอร์มาร์เก็ต ก็จูงใจผู้บริโภคให้เลือกซื้ออาหารที่มีคุณค่ากว่าเดิมได้ ใบหน้าของเด็กน้อยและแมลงในโถส้วม เขตวูลวิชทางตะวันออกของกรุงลอนดอน เคยต้องเผชิญกับปัญหากลุ่มนักเลงที่มีพฤติกรรมต่อต้านสังคมก่อเหตุทำลายข้าวของบ่อยครั้ง เมื่อปี 2011 ถึงกับเกิดจลาจลโดยกลุ่มชายฉกรรจ์บุกเข้าพังประตูร้านค้าหลายแห่ง และหลังจากนั้นก็มีการพ่นสีหรือขีดเขียนข้อความเลอะเทอะตามตัวอาคารมาตลอด เพื่อแก้ปัญหานี้ บริษัทโฆษณาโอกิลวี แอนด์ เมเธอร์ ได้เริ่มใช้วิธีวาดภาพใบหน้าเด็กที่ดูไร้เดียงสาน่ารักน่าชังลงบนกำแพงหรือหน้าร้านค้า ซึ่งเชื่อว่าแม้แต่พวกอันธพาลหรือนักเลงหัวไม้ก็ต้องใจอ่อนเมื่อได้เห็นภาพ ทำให้ป้ายสีเลอะเทอะทับใบหน้าเด็กไม่ลง มีรายงานว่าพฤติกรรมขีดเขียนกราฟิตีไม่พึงประสงค์ลดลงถึง 18% ภาพใบหน้าของเด็กน้อยน่ารักที่ประตูร้านค้า ช่วยป้องกันการลอบพ่นสีหรือขีดเขียนเลอะเทอะโดยกลุ่มนักเลงได้ ภาพที่ได้เห็นมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของคนเราอย่างสูง แม้แต่กับการแก้ปัญหาเล็ก ๆ ที่เรื้อรังและน่ารำคาญ อย่างการที่สุภาพบุรุษมักจะปัสสาวะไม่ตรงจุดกึ่งกลางโถส้วม และทำให้มีการกระเด็นกระดอนเปรอะเปื้อนไปทั่วพื้นโดยรอบ แม้จะมีการติดป้ายขอความร่วมมือให้ระมัดระวังในการ "ยิงกระต่าย" กันมากขึ้นมิให้เลอะเทอะออกนอกโถ แต่ก็ไม่เป็นผลมากเท่ากับแผนการใช้รูปแมลงวันตัวเล็ก ๆ ไปติดที่กลางโถปัสสาวะ จนทำให้ดูเหมือนมีแมลงเกาะอยู่จริงๆ ผู้ใช้ห้องน้ำชายส่วนมากอดไม่ได้ที่จะ "เล็งเป้า" ไปที่รูปแมลงโดยอัตโนมัติ ทำให้ห้องน้ำสะอาดขึ้นโดยผู้ใช้ไม่ทันรู้ตัว โถปัสสาวะในห้องน้ำของสนามบินสคิปโฮลที่เนเธอร์แลนด์ มีรูปแมลงเล็ก ๆ ติดอยู่ เทคนิคดักจอมเลี่ยงภาษี การพลิกแพลงวิธีใช้ถ้อยคำสื่อสาร ก็เป็นทางหนึ่งในการตีกรอบสถานการณ์และทางเลือกให้ผู้คนตัดสินใจทำในสิ่งที่ควรทำมากขึ้น เช่น มาตรการกระตุ้นให้มีการจ่ายภาษีตรงตามกำหนดโดยไม่หลบเลี่ยง ในสมัยของอดีตนายกรัฐมนตรีเดวิด คาเมรอน แห่งสหราชอาณาจักร หน่วยผลักดันพฤติกรรมของรัฐบาลได้ออกแบบข้อความที่จะสื่อสารไปยังผู้เสียภาษีหลายแบบ เช่น เผยให้ทราบว่าในบรรดาเพื่อนร่วมงานของผู้เสียภาษี มีใครที่กรอกแบบฟอร์มเพื่อยื่นเสียภาษีเงินได้แล้วบ้าง ซึ่งเชื่อว่าการยึดถือตามบรรทัดฐานแบบอย่างในสังคมของตน จะช่วยให้คนผู้นั้นเริ่มกรอกแบบฟอร์มเพื่อยื่นเสียภาษีด้วยเช่นกัน ส่วนในกรณีของผู้ที่ไม่ยอมไปเสียภาษีรถยนต์ รัฐบาลอังกฤษในยุคนั้นใช้ข้อความพาดหัวตัวโตบนจดหมายแจ้งเตือนว่า "จ่ายภาษีซะหรือยอมเสียรถฟอร์ด เฟียสตา" (หากรถของผู้นั้นคือรถฟอร์ด เฟียสตา) ทั้งยังลงรูปประกอบเป็นรถคันที่ยังไม่ได้จ่ายภาษีเอาไว้ด้วย ข้อความที่ยื่นทางเลือกให้เพียงสองทางกระตุ้นความกลัวเสียรถยนต์ให้มีเพิ่มขึ้น จนต้องเลือกไปจ่ายภาษีในทันที เพิ่มยอดผู้บริจาคอวัยวะ ก่อนหน้านี้การบริจาคอวัยวะในสหราชอาณาจักร เป็นระบบที่ผู้ประสงค์มอบร่างกายของตนให้ใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ต้องเข้าหาสถาบันต่าง ๆ ที่รับบริจาคเอง เพื่อมอบข้อมูลส่วนบุคคลและทำบัตรผู้บริจาคร่างกาย ซึ่งตามมุมมองของ "ทฤษฎีผลักดัน"แล้ว ระบบที่มีความไม่สะดวกจะเป็นอุปสรรคต่อการเพิ่มยอดผู้ประสงค์บริจาคร่างกาย แม้หลายคนจะมีจิตเป็นกุศลต้องการบริจาคอยู่แล้วก็ตาม มีการเปลี่ยนแปลงระบบการบริจาค จากระบบที่แต่ละคนเข้าแสดงความประสงค์ด้วยตนเอง (Opt in) มาเป็นระบบที่หน่วยงานบริการสุขภาพทั้งประเทศจะถือว่าทุกคนที่เสียชีวิตคือผู้บริจาคร่างกายไว้ก่อน แต่จะมีการแจกแบบฟอร์มล่วงหน้าให้กับทุกคน เพื่อให้ผู้ที่ไม่ประสงค์จะบริจาคสามารถเลือกทำเครื่องหมายในช่องว่างเพื่อบอกว่าตนไม่ต้องการบริจาคร่างกายไว้ได้ด้วย (Opt out) ระบบนี้มีความสะดวกต่อคนทั่วไปมากกว่า ทำให้ยอดผู้บริจาคร่างกายเพิ่มขึ้นโดยอัตโนมัติ ทฤษฎีผลักดันพฤติกรรมช่วยในการวางแผนเกษียณอายุที่ดีได้ ยังมีการนำระบบ Opt out นี้ไปประยุกต์ใช้แก้ปัญหาอื่น เช่น การจูงใจให้คนอเมริกันออมเงินในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพกันมากขึ้น โดยองค์กรต่าง ๆ ถือว่าพนักงานทุกคนเข้าร่วมระบบกองทุนฯ โดยอัตโนมัติ เว้นแต่ผู้ที่กรอกแบบฟอร์มแสดงความประสงค์ไม่เข้าร่วมในภายหลัง อย่างไรก็ตาม การบังคับเข้าร่วมกองทุนสำรองเลี้ยงชีพจะให้พนักงานเริ่มจ่ายเงินสมทบในจำนวนเพียงเล็กน้อยก่อน เพื่อหลีกเลี่ยงความรู้สึกเสียเปรียบและต่อต้าน แล้วจึงค่อย ๆ เพิ่มสัดส่วนการจ่ายสมทบขึ้นในภายหลัง
|
หลายคนคงเคยได้ยินคำกล่าวที่ว่ากันว่ามนุษย์เป็น "ผู้มีเหตุผล" และเป็น "สัตว์เศรษฐกิจ" ผู้ตัดสินใจเลือกสิ่งที่ดีมีคุณค่ามากที่สุดให้กับตัวเองจากการคิดไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนเสมอ แต่เมื่อวานนี้ (9 ต.ค.) ศาสตราจารย์ริชาร์ด เทเลอร์ จากมหาวิทยาลัยชิคาโกของสหรัฐฯ เพิ่งคว้ารางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ จากแนวคิดที่เขาประกาศว่ามนุษย์นั้น "ไร้เหตุผล" และมักจะตัดสินใจแบบแย่ ๆ ตามอารมณ์หรือตามสถานการณ์ที่สับสนอยู่เรื่อย
|
Subsets and Splits
No community queries yet
The top public SQL queries from the community will appear here once available.