id
stringlengths 8
27
| url
stringlengths 33
421
| title
stringlengths 10
176
| source
stringlengths 205
21.2k
| target
stringlengths 5
591
|
---|---|---|---|---|
53679718
|
https://www.bbc.com/thai/53679718
|
เกณฑ์ทหาร : กลุ่มคนหลากหลายทางเพศต้องทำอย่างไรกับการได้มาซึ่งสิทธิ์ไม่ต้องเกณฑ์ทหาร
|
กลุ่มบุคคลหลากหลายทางเพศต้องผ่านขั้นตอนการเตรียมตัวล่วงหน้ามากมายเพื่อนำเอกสารมายืนยันว่าไม่สามารถเกณฑ์ทหารได้ เธอไม่แน่ใจจะต้องผ่านการประเมินกี่ขั้นตอนในกระบวนการตรวจเลือกทหารกองเกิน เพื่อพิสูจน์ให้ได้ว่าเธอไม่สามารถเป็นทหารได้ "ถึงแม้ร่างกายจะเป็นชายแต่จิตใจเราเป็นผู้หญิง...อีกอย่างอนาคตเราก็ยังอีกไกล เราก็เลยยังไม่อยากเข้าไปอยู่ในกรม" เตชะเวช กล่าวหลังจากที่เธอผ่านขั้นตอนการยื่นเอกสารกับเจ้าหน้าที่ทหารจนเสร็จเรียบร้อย การแต่งกายเป็นหญิง การผ่าตัดดัดแปลงร่างกาย หรือการเข้าไปตามโรงพยาบาลด้านจิตเวชเพื่อขอใบรับรองแพทย์ เป็นหนึ่งในหลาย ๆ ขั้นตอนที่กลุ่มบุคคลหลากหลายทางเพศต้องทำเพื่อให้ได้มาซึ่งสิทธิ์ในการยกเว้นการเกณฑ์ทหาร ขั้นตอนดังกล่าวเป็นสิ่งที่กลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศต้องการหรือไม่ และพวกเขาเหล่านั้นต้องผ่านอะไรมาบ้าง บีบีซีไทยคุยกับกลุ่มบุคคลหลากหลายทางเพศที่เพิ่งผ่านกระบวนการตรวจเลือกทหารกองเกินในปีนี้ เสริมหน้าอกก่อนมาเกณฑ์ทหาร ปีที่แล้ว เตชะเวชไปร่วมสังเกตการณ์การเกณฑ์ทหารของเพื่อนที่เป็นหญิงข้ามเพศเหมือนเธอและได้เรียนรู้ว่าจะต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้างก่อนที่จะไปถึงหน่วยเกณฑ์ แต่พอมาถึงปีของเธอ เธอไม่มีเวลาเตรียมเอกสารที่จำเป็นต่อการขอยกเว้นเพราะเธอติดภารกิจที่มหาวิทยาลัยที่เธอเรียนอยู่จนไม่มีเวลาไปดำเนินเรื่อง เตชะเวชต้องผ่านกระบวนการตรวจเลือกทหารกองเกินเหมือนทุก ๆ คนถึงแม้จะผ่านการดัดแปลงร่างกายและมีใบรับรองแพทย์มาแล้วก็ตาม พอถึงวันที่เธอได้รับหมายเรียกเข้ารับราชการทหาร หรือใบ สด.35 เธอก็รู้สึกใจหายและกังวลในทันที เพราะเธอไม่มีใบรับรองแพทย์จากโรงพยาบาลจิตเวชเพื่อยืนยันว่าเพศสภาพไม่ตรงกับเพศกำเนิด และเธอกลัวว่าจะต้องเข้ากรมทหาร เธอจึงปรึกษากับผู้ปกครองเพื่อขออนุญาตทำหน้าอกตามความตั้งใจ เพื่อจะได้นำใบรับรองการเปลี่ยนแปลงร่างกายมาใช้แทนใบรับรองทางด้านจิตเวช "ทำหน้าอกมาเพื่อเกณฑ์ทหารเลย ตอนนี้ก็ได้ช่วงเวลาในการทำพอดี และผู้ปกครองก็อนุญาต ก็เลยตัดสินใจทำเลยดีกว่า" เตชะเวชอธิบาย "ตอนแรกก็กลัวว่าถ้าไม่มีใบรับรองแพทย์มาแล้วจะคุยกับแพทย์ประจำหน่วยเกณฑ์ทหารยากไหม ก็เลยไปทำหน้าอก แต่จริง ๆ ก็อยากทำอยู่แล้ว และตอนนี้ได้จังหวะพอดี ก็เลยทำเลย" เธอไปถึงหน่วยตรวจเลือกทหารกองเกินเข้าเป็นทหารกองประจำการ ชุดที่ 25 อ.บ้านฉาง จ.ระยอง แต่เช้าตรู่ เพื่อที่จะได้เป็นคิวแรก ๆ ของวัน หลังจากที่เธอลงทะเบียน ยื่นเอกสารทั้งหมดและผ่านการคัดกรองจากแพทย์ประจำหน่วยตรวจเลือกการเป็นทหารกองเกิน ทางประธานคณะกรรมการตรวจเลือกทหารกองเกินก็ออกใบผ่านการเกณฑ์ทหาร หรือที่เรียกว่าใบ สด.43 ให้ และถือว่าเป็นการเสร็จสิ้น หลังจากยื่นเอกสารและผ่านขั้นตอนการตรวจเลือกทหารกองเกิน เตชะเวชก็ได้รับใบผ่านการเกณฑ์ทหารหรือ สด.43 "พอได้ใบ สด. 43 มารู้สึกโล่งใจ เหมือนยกภูเขาออกจากอก เพราะเมื่อก่อนกลัวมากเพราะเรายังศึกษาอยู่ พอเรามีทุกอย่างครบมันก็ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด" เตชะเวชกล่าว บุคคล 4 จำพวก นอกจากชายไทยในวัยถึงเกณฑ์การตรวจคัดเลือกทหารกองเกินที่พร้อมใจกันมานับพัน ที่หน่วยเกณฑ์ทหารก็ยังมีเจ้าหน้าที่ทหารจากหน่วยต่าง ๆ และแพทย์สนามพร้อมให้บริการ พ.อ. มหิธร บุญครอง ผู้บังคับศูนย์การฝึกนักศึกษาวิชาทหาร มณฑลทหารบกที่ 12 ในฐานะประธานคณะกรรมการตรวจเลือกทหารกองเกินเข้าเป็นทหารกองประจำการชุดที่ 25 พาบีบีซีไทยเยี่ยมชมและร่วมสังเกตการณ์ในหน่วยการคัดเลือก เขาอธิบายว่าทุกคนที่เข้ามาตรวจคัดเลือกจะถูกแบ่งออกเป็นบุคคล 4 จำพวกซึ่งได้แก่ กลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศจะถูกจัดอยู่ในกลุ่มบุคคลจำพวกที่ 2 สำหรับกลุ่มคนที่มีเพศสภาพไม่ตรงกับเพศกำเนิดและมีใบรับรองแพทย์มา หรือไม่มีใบรับรองแพทย์มาแต่ว่าแปลงสภาพเป็นผู้หญิงชัดเจนต้องจัดอยู่ในบุคคลจำพวกที่สองโดยทันที โดยแพทย์สนามจะเป็นคนลงความเห็น "ตอนแรกรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่เพราะรู้สึกเหมือนเป็นคนพิการ เพราะแพทย์ประจำหน่วยจัดให้มานั่งรวมกับบุคคลประเภทสองคือคนพิการและกลุ่มคนที่เพศสภาพไม่ตรงกับเพศกำเนิด แต่ทางทหารเขาก็คงคิดมาถี่ถ้วนแล้วว่าเราอยู่ในประเภทนี้ ก็โอเคค่ะ" เตชะเวชกล่าว เสียงจากคนหลากหลายทางเพศต่อการเกณฑ์ทหาร ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเคารพ ณรงศักดิ์ บำรุงพงษ์ อายุ 22 ปี พนักงานบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งเคยผ่านขั้นตอนการตรวจเลือกทหารกองเกินมาเมื่อปีที่แล้วและถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มบุคคลประเภทที่สามเนื่องจากเขาไม่มีใบรับรองแพทย์ด้านจิตเวชมาและไม่ได้ดัดแปลงร่างกายมา ณรงศักดิ์ เป็นคนในกลุ่มหลากหลายทางเพศที่มีอัตลักษณ์ทางเพศตรงกับเพศกำเนิด ด้วยหน้าที่การงานทำให้เขาไม่สามารถดัดแปลงร่างกายได้ เขาจึงต้องมีเอกสารยืนยันเพื่อให้ทางประธานฯ เชื่อว่าเขามีเพศสภาพที่ไม่ตรงกับเพศกำเนิดจริง "ปีที่แล้วมาครั้งแรกกังวลมากและไม่รู้ว่าต้องทำอะไรบ้าง กังวลกับเรื่องที่ต้องถอดเสื้อ แต่ถ้าแจ้งให้พี่ทหารและหมอรู้ว่าเราเพศสภาพไม่ตรงกับเพศกำเนิดเขาก็ไม่ต้องให้เราถอดเสื้อ" ณรงศักดิ์ อธิบาย สิ่งที่กลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศกลัวเมื่อต้องมาที่หน่วยเกณฑ์ทหารก็คือการต้องถอดเสื้อในที่สาธารณะ ที่หน่วยเกณฑ์ทหารทุกหน่วยจะมีห้องลับที่เป็นห้องที่มีไว้ในการตรวจพิเศษ สำหรับผู้ที่จะต้องถอดเสื้อผ้า ซึ่งเจ้าหน้าที่แพทย์และผู้ที่เกี่ยวข้องเท่านั้นที่มีสิทธิ์เข้าไปตรวจในห้องนั้น ห้องนี้เป็นห้องตรวจโรคธรรมดาเพียงแต่ว่าเป็นห้องลับตาเพื่อไม่ให้เห็น โดยมีกรรมการสัสดีจังหวัดมีหน้าที่คอยกำหนดคนเป็นจำพวกร่วมกับแพทย์ "กองทัพได้คำนึงถึงเกียรติของทุกคน และสิทธิของทุกคน และปฏิบัติกับทุกคนอย่างเท่าเทียมโดยที่ผ่านมายังไม่เคยมีปัญหาเลย ทางผู้บังคับบัญชาเน้นย้ำว่าให้เกียรติ และปฏิบัติเหมือนกับบุคคลทั่วไปทุกคน" พ.อ. มหิธร เกณฑ์ทหารควรเป็นเรื่องความสมัครใจ ยอดทหารกองเกินเข้าเป็นทหารกองประจำการที่เหล่าทัพต้องการในปีนี้นั้นมีจำนวน 97,324 คน ถึงแม้ว่าจะมีความต้องการน้อยกว่าปี 2562 อยู่ประมาณ 4,500 คน แต่ก็มีคนหลายคนที่ไม่อยากเข้าไปรับใช้ชาติด้วยการเข้าเป็นทหาร โดยเฉพาะในกลุ่มบุคคลหลากหลายทางเพศ หลังจากที่ได้รับคำแนะนำด้านเอกสารที่ต้องนำมาแสดงต่อเจ้าหน้าที่ทหารเพื่อขอยกเว้นการตรวจเลือกทหารกองเกินมาเมื่อปีที่แล้ว ณรงศักดิ์ได้ดำเนินการยื่นขอใบรับรองทางจิตเวชเพื่อนำไปยื่นให้กับเจ้าหน้าที่ทหารในการเกณฑ์ทหารของปีนี้ ใบรับรองเพศสภาพไม่ตรงกับเพศกำเนิดจากโรงพยาบาลด้านจิตเวชเป็นใบเบิกทางในการยกเว้นการเกณฑ์ทหารที่ดีที่สุดสำหรับกลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศ ก่อนหน้านี้ ณรงศักดิ์เดินทางไปโรงพยาบาลศรีธัญญาเพื่อเข้าทดสอบทางจิตเวช เพื่อยืนยันว่าเพศสภาพของเขาไม่ตรงกับเพศกำเนิดจริงๆ และมีการนัดทำประเมินสองรอบก่อนที่จะออกใบรับรองแพทย์ให้ "คิดว่ามันไม่เป็นการยุติธรรมที่เราต้องไปพิสูจน์ตัวเองกับแพทย์ว่าเพศสภาพของเราไม่ตรงกับเพศกำเนิดเพราะท้ายที่สุดแล้วเราไม่ได้เป็นโรคอะไร ทำไมเราถึงต้องไปทำขนาดนั้น" ณรงศักดิ์ ตัดพ้อ ด้วยความที่จิตใจของเขาไม่ใช่ผู้ชาย ณรงศักดิ์จึงเกิดอาการกลัวที่อาจต้องเข้าไปเป็นทหาร เพราะกลัวการที่ต้องถอดเสื้อผ้าต่อหน้าคนอื่น หรือต้องทำอะไรแบบผู้ชายที่ทำให้เขารู้สึกอึดอัดและอับอาย "อยากให้มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการเกณฑ์ทหารให้เฉพาะคนที่สมัครใจเท่านั้น สมัยนี้ไม่ใช่สมัยก่อนที่ต้องไปออกรบออกตีอะไรกัน และไม่ใช่เฉพาะในกลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศเท่านั้นแต่คนอื่นก็ควรได้รับสิทธิ์นี้ เพราะบางคนก็จำเป็นจะต้องทำงานเพื่อหาเลี้ยงครอบครัว แต่ไม่มีโอกาสที่จะได้เข้าทำงาน เพราะยังไม่มีใบรับรองผ่านการเกณฑ์ทหาร" ณรงศักดิ์ อธิบาย "จริง ๆ แล้วการเกณฑ์ทหารน่าจะอยู่ที่การสมัครใจจะดีกว่า จะมาบังคับแบบนี้ก็ฝืนใจมากจนเกินไป" เตชะเวชเสริม ความช่วยเหลือจากเพื่อนเพศเดียวกัน "ม่อยม่อย โมอานา" เป็น ผู้ให้คำปรึกษาเยาวชนที่มีความหลากหลายทางเพศ เธอบอกบีบีซีไทยให้ใช้เรียกเธอเช่นนี้ เนื่องจากเป็นชื่อที่เธอใช้ในวงการ ปัจจุบัน ม่อยม่อย เป็น ผู้จัดการมูลนิธิซิสเตอร์ ศูนย์ระยอง องค์กรที่ให้การปรึกษาด้านเอชไอวี รับเรื่องร้องเรียนปัญหาการถูกละเมิดด้านสิทธิมนุษยชน และให้คำปรึกษาการตรวจเลือกทหารกองเกินในกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ จากประสบการณ์การเกณฑ์ทหารที่เธอเคยประสบมา ม่อยม่อยผันตัวเองมาทำงานมูลนิธิให้ความช่วยเหลือกลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศในด้านสิทธิ์และสุขภาพ เธอเล่าถึงประสบการณ์สมัยที่เธอต้องไปเกณฑ์ทหารว่า กลุ่มคนหลากหลายทางเพศจะถูกจัดอยู่ในบุคคลประเภทสี่ซึ่งหมายถึงบุคคลทุพลภาพ โรคจิต หรือวิกลจริต และเธอต้องได้ใบรับรองที่ออกมาทำให้ดูเหมือนมีอาการทางจิตก่อนเพื่อนำไปยื่นกับทางเจ้าหน้าที่ทหารแต่มาถึงปัจจุบันที่มีการออกไปรับรองเพศสภาพไม่ตรงกับเพศกำเนิดให้แทน "ช่วงเวลาของเราที่เราต้องไปเข้ารับการตรวจเลือกเข้ารับราชการทหาร เราก็รู้สึกว่ากรี๊ดได้ก็จะกรี๊ด ร้องไห้ได้ก็จะร้องไห้ เพราะไม่มีใครช่วยเหลือเลย รู้สึกว่าไม่รู้จะไปพึ่งใครดีรับปรึกษาใครไม่ได้ รู้สึกเครียดกับการเกณฑ์ทหารมากๆ" ม่อยม่อยกล่าว ในวันนี้เธอผันตัวเองมาเป็นผู้ให้คำปรึกษาเยาวชนที่มีความหลากหลายทางเพศที่ต้องผ่านขั้นตอนการเกณฑ์ทหาร เธอจะตระเวนไปยังหน่วยเกณฑ์ทหารต่าง ๆ ทั่วจังหวัดที่รับผิดชอบเพื่อให้คำแนะนำกับคนที่ไม่ได้เตรียมตัวมาและช่วยดำเนินการพาไปขอใบรับรองแพทย์ เจ้าหน้าที่จากมูลนิธิซิสเตอร์ศูนย์ระยองตั้งโต๊ะให้คำปรึกษาและให้ความเชื่อเหลือกลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศตามหน่วยเกณฑ์ทหารต่าง ๆ ทั่ว จ.ระยอง ใบรับรองเพศสภาพคือใบผ่าน การเกณฑ์ทหารสำหรับกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศนั้นมีความท้าทายและก่อให้เกิดความกังวลได้หากไม่มีเอกสารที่ครบถ้วน ม่อยม่อยลงพื้นที่สังเกตการณ์ในหลาย ๆ หน่วยเกณฑ์ทหารและพบกับกลุ่มคนหลากหลายทางเพศหลายรูปแบบ เธอกล่าวว่ากลุ่มคนหลากหลายทางเพศที่น่ากังวลน้อยที่สุดคือกลุ่มที่มีอัตลักษณ์ทางเพศชัดเจน เช่น ผมยาว หรือ มีสภาพเป็นผู้หญิงแล้ว แต่สำหรับกลุ่มคนที่ยังมีเพศสภาพที่ยังไม่ชัดเจนทั้งยังมีผมสั้นอยู่ หรือมีอัตลักษณ์ทางเพศที่ยัง เป็นผู้ชายอยู่ ก็จะลำบากมากกว่ากลุ่มที่อัตลักษณ์ทางเพศชัดเจนกว่าเพราะทางทหารค่อนข้างกลัวว่าจะมีการปลอมแปลงอัตลักษณ์ทางเพศ ม่อยม่อยแนะนำให้กลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศเตรียมเอกสารมาให้พร้อมก่อนถึงวันเกณฑ์ทหารเพื่อจะได้ไม่ต้องเสียเวลากลับมาใหม่ในปีถัดไป "สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือใบรับรองเพศสภาพ เพราะจะทำให้ขั้นตอนง่ายขึ้นมาก" ม่อยม่อยกล่าว "ปีที่แล้วเราเคยมาสังเกตการณ์และมีน้องที่ไม่ผ่านหลายคน ท่านสัสดีก็แนะนำให้ไปขอใบรับรองแพทย์มาให้ได้แล้วค่อยมาใหม่ปีนี้ เราก็เลยให้ความช่วยเหลือให้ข้อมูลและพาไปที่โรงพยาบาลศรีธัญญา เหมารถตู้ไปด้วยกัน พาน้องไปจนได้ใบรับรองแพทย์มา" ม่อยม่อยอธิบายว่าถ้าอยากจะให้มั่นใจ การมีใบรับรองแพทย์มาที่หน่วยเกณฑ์ทหารถือว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุด "ไม่ว่าน้องๆ จะมีเพศสภาพเป็นอย่างไรก็ตามทุกคนสามารถไปขอได้หมดเลย ไม่ว่าจะผมสั้นหรือผมยาวขั้นตอนก็เหมือนกันทุกอย่าง เพราะมันอยู่ที่จิตใจของเราไม่ใช่อยู่ที่รูปลักษณ์ภายนอกเลย อย่าไปเครียดหรือกังวลกับขั้นตอนการตรวจเลือกรับเกณฑ์ทหาร แค่เรามีใบรับรองเพศสภาพ ก็พกความมั่นใจ ไปตรวจเลือกทหารได้อย่างไม่ต้องกังวลเลย" เธออธิบาย แต่ท้ายที่สุด เธอเห็นว่าควรมีการแก้กฎหมายเพื่อไม่ให้คนกลุ่มนี้ ต้องมาเกณฑ์ทหารเลย "สิ่งที่จะดีมากๆ เลยก็คือการออกกฏหมายให้เปลี่ยนคำนำหน้านามได้ น่าจะช่วยให้คนกลุ่มนี้ไม่ต้องเข้ามาผ่านการเกณฑ์ทหารอีก เราไปทำอย่างอื่นที่มันมากกว่านี้ดีกว่า"
|
หลังผ่านประสบการณ์พาเพื่อนไปเกณฑ์ทหารเมื่อปีที่แล้ว เตชะเวช ภักดีณรงค์ ผู้หญิงข้ามเพศ ก็เกิดอาการกลัวและกังวลกับสิ่งที่เธอต้องพบเจอในปีต่อไป
|
thailand-42035858
|
https://www.bbc.com/thai/thailand-42035858
|
สำรวจสำนักงานจัดการทรัพย์สิน ควีนอังกฤษ เจ้าชายชาร์ลส์
|
สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 และ เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ แห่งราชวงศ์อังกฤษ แต่ยังแนะนำให้โลกรู้จักกับ สำนักงานจัดการลงทุนทรัพย์สินส่วนพระองค์ ของ2 บุคคลสำคัญในราชวงศ์อังกฤษ หรือที่เรียกกันว่า Duchy (ออกเสียงว่า "ดัชชี") มากขึ้น นั่นคือ สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่สอง และคนที่สอง ได้แก่ เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ ดัชชีของทั้ง 2 พระองค์นำเงินไปลงทุนในบริษัทซึ่งตั้งอยู่บนหมู่เกาะในทะเลแคริบเบียน ที่ขึ้นชื่อเรื่องการใช้เป็นแหล่งหลบเลี่ยงภาษี ซึ่งแม้จะไม่ใช่เรื่องที่ผิดกฎหมาย แต่ก็ชวนให้ถูกตั้งคำถามเชิงจริยธรรม ว่าประมุข ของประเทศควรนำเงินไปลงทุนในต่างแดนหรือไม่ และ และว่าที่ประมุข มีสิทธิรณรงค์ประเด็นในที่สาธารณะในประเด็นเดียวกับการลงทุนของเขาหรือไม่ แต่เราจะให้น้ำหนักกับการตั้งคำถามไม่ถูกเลย หากไม่รู้ว่าสำนักงานจัดการลงทุนทั้ง 2 แห่งนี้มีวิธีการทำงานอย่างไร ? ใครเป็นผู้มีอำนาจตัวจริงในการบริหารดัชชีต่างๆ ? ทรัพย์สินส่วนพระองค์ที่ว่ามีมูลค่าเท่าไร ? และ รายได้จากการลงทุนหรือบริหารจัดการทรัพย์สินนั้นๆ ท้ายที่สุด จะไปเข้ากระเป๋าใคร ? มรดกตกทอดจากอดีต ดัชชี เป็นมรดกตกทอดมาจากอดีตกาลของราชวงศ์ในยุโรปและอังกฤษ รากศัพท์ของคำว่า Duchy แต่เดิมหมายถึง "อาณาเขตที่อยู่ภายใต้อำนาจการปกครองของขุนนางชั้นสูงของอังกฤษ" ผู้มีตำแหน่ง Duke (ดยุค) แต่ปัจจุบันจะมีความหมายเฉพาะทรัพย์สินที่เคยมีอยู่ในอาณาเขตดังกล่าว ซึ่งส่วนใหญ่มักเป็นที่ดิน อสังหาริมทรัพย์ สิทธิและสัมปทานต่างๆ รวมถึงเงินทุนบางส่วน ไม่ใช่ผืนดินทั้งหมดอีกต่อไป กำเนิด สำนักงานจัดการลงทุนทรัพย์สินส่วนพระองค์ (Duchy) เดิม "ดัชชี" หมายถึง "สิทธิและอาณาเขต" ปัจจุบันเหลือเพียง "ทรัพย์สิน"และสิทธิบางอย่าง 2 คือ จำนวนดัชชีของอังกฤษ ที่หลงเหลือมาจากยุคกลาง ปี 1337: กำเนิดดัชชีแห่งคอร์นวอลล์ ให้กับ "เจ้าฟ้าชาย" ปี 1399: กำเนิดดัชชีแห่งแลงคาสเตอร์ ในยุคราชวงศ์แลงคาสเตอร์ 63,000 ล้านบาท: มูลค่าทรัพย์สินในครอบครองของดัชชีทั้งสอง แม้ปัจจุบันมีผู้ดำรงตำแหน่งดยุคในราชวงศ์อังกฤษถึง 30 พระองค์ แต่มีเพียง 2 พระองค์เท่านั้นที่มีดัชชี คอยจัดการทรัพย์สินส่วนพระองค์ให้ ได้แก่ ดยุคออฟแลงคาสเตอร์ (Duke of Lancaster) ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ให้กับกษัตริย์หรือราชินีที่ครองบัลลังก์ขณะนั้น และ ดยุคออฟคอร์นวอลล์ (Duke of Cornwall) ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ตกทอดแด่โอรสองค์โตของพระเจ้าแผ่นดินในเวลานั้น ที่น่าสนใจคือ ดัชชีออฟคอร์นวอลล์ เกิดขึ้นก่อน ในปี 1337 โดยสมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่สาม (King Edward III) ทรงตั้งขึ้นพร้อมๆ กับสถาปนาตำแหน่งดยุดแห่งคอร์นวอลล์คนแรก ให้กับเจ้าฟ้าชายเอ็ดเวิร์ด (Prince Edward) เจ้าของฉายา "เจ้าชายดำ" ผู้มีผลงานโดดเด่นในช่วงสงครามร้อยปี ส่วน ดัชชีออฟแลงคาสเตอร์ กำเนิดขึ้นภายหลัง ในปี 1399 ในสมัยที่ผู้ครองบัลลังก์อังกฤษมาจากราชวงศ์แลงคาสเตอร์ ที่มา: เว็บไซต์ทางการของดัชชีแห่งแลงคาสเตอร์ และรายงานประจำปี ทรัพย์สินส่วนพระองค์มีมากแค่ไหน นอกจากดัชชีแล้ว ในอังกฤษยังมี สำนักงานจัดการลงทุนทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ที่เรียกกันว่า Crown Estate อยู่ด้วย แต่ข้อแตกต่างสำคัญก็คือ ในขณะที่ดอกผลซึ่งได้จากการดำเนินงานของสำนักงานอย่างหลังจะ "ตกเป็นของแผ่นดิน" ดอกผลที่ได้จากการดำเนินงานของดัชชี จะถือว่าเป็น "พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์" แม้ว่าทรัพย์สินที่ใช้เป็นทุนในการต่อยอดหารายได้ ส่วนใหญ่จะเป็นสิ่งที่มีมาตั้งแต่ยุคกลาง ครั้งผู้ดำรงตำแหน่งดยุคมีอำนาจบารมีมหาศาลในแผ่นดิน เป็นรองเพียงกษัตริย์ ราชินี และเจ้าฟ้าชายเท่านั้น จากรายงานประจำปี 2016 ซึ่งปิดบัญชีไปเมื่อวันที่ 31 มี.ค. ของปีนี้ ดัชชีออฟแลงคาสเตอร์ มีทรัพย์สินในมือรวมกันเป็นมูลค่า 519 ล้านปอนด์ (ราว 2.28 หมื่นล้านบาท) ส่วนใหญ่เป็นที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ ในภาคตะวันตกของอังกฤษ สิทธิและสัมปทานในเหมืองแร่ รวมถึงปราสาทและสถานที่ทางประวัติศาสตร์ ไม่รวมถึงเงินลงทุนในบริษัทต่างๆ อีกจำนวนหนึ่ง โดย สามารถทำกำไรให้สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ได้ถึง 19.2 ล้านปอนด์ (ราว 845 ล้านบาท) เพิ่มจากปีก่อน 9.7% ขณะที่ ดัชชีออฟคอร์นวอลล์ ของเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ ปัจจุบันมีทรัพย์สินในมือรวมกัน 913 ล้านปอนด์ (ราว 4.01 หมื่นล้านบาท) ส่วนใหญ่เป็นที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ทางตอนใต้ของอังกฤษ และบางส่วนในเวลส์ รวมถึงมีเงินลงทุนในบริษัทต่างๆ โดยปีล่าสุด สามารถทำกำไรได้ถึง 20.7 ล้านปอนด์ (ราว 911 ล้านบาท) เพิ่มจากปีก่อน 1.2% ทั้งสองดัชชีมีที่ดินใกล้เคียงกัน คือ 5.45 หมื่นเฮกตาร์ และ 5.33 หมื่นเฮกตาร์ตามลำดับ ไล่เลี่ยกับ จ.ภูเก็ตของไทย ที่ 5.76 หมื่นเฮกตาร์ ทรัพย์สินของ Duchy of Cornwall (เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์) 1. ที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ทางตอนใต้ของอังกฤษ รวมถึงในเวลส์ 53,300 เฮกเตอร์ 2. โครงการลงทุนสำคัญ 15 แห่ง ซึ่งมีตั้งแต่โครงการพัฒนาเมือง ท่าเรือ ฟาร์ม เกาะ ที่อยู่อาศัย 3. เงินลงทุนในกิจการต่างๆ รวม 913 ล้านปอนด์ (กำไร 16.3 ล้านปอนด์) ราชินีและมกุฎราชกุมารต้องเสียภาษีหรือไม่ แม้รัฐบาลเคยประกาศว่าดัชชีทั้งสองแห่ง ถือเป็นส่วนหนึ่งของสถาบันพระมหากษัตริย์ซึ่งได้รับการยกเว้นให้ไม่ต้องเสียภาษี แต่ทั้ง 2 พระองค์ ต่างก็ทรงตัดสินพระทัยที่จะเสียภาษีรายได้บุคคลธรรมดา "โดยสมัครใจ" มาตั้งแต่ปี 1993 หลังเผชิญแรงกดดันจากสาธารณชน อย่างไรก็ตาม ในขณะที่สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่สอง ยอมเสียทั้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (income tax) และภาษีเงินได้จากการลงทุน (capital gains tax) เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์กลับยอมเสียเพียงภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเท่านั้น และมักถูกวิจารณ์ว่าแจ้งตัวเลขรายจ่าย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเงินเดือนของพนักงานในดัชชีมากเกินไป เพื่อให้เสียภาษีน้อยลง สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่สอง และแม้จะเสียภาษีโดยสมัครใจมากว่า 2 ทศวรรษ ทว่าก็ยังมีคนเคลื่อนไหวเรียกร้องให้ดัชชี่ทั้งสอง ต้องจ่ายเงินภาษีภายใต้กฎเกณฑ์เดียวกับบุคคลทั่วๆ ไป โดยเฉพาะภาษีเงินได้นิติบุคคล (corporation tax) โดยในปี 2012 ฝ่ายนิยมสาธารณรัฐ กว่า 29,000 คนได้ร่วมกันลงชื่อยื่นข้อเรียกร้องนี้ต่อกรมสรรพากรของอังกฤษ ให้เก็บภาษีดังกล่าวจากดัชชี โดยเฉพาะจาก ดัชชีออฟคอร์นวอลล์ ของเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ โดยข้อเสนอดังกล่าว มี ส.ส.อังกฤษ 15 คน ร่วมลงชื่อด้วย แต่ไม่เพียงเรื่องของภาษีเท่านั้น ทรัพย์สินมูลค่ากว่า 6.3 หมื่นล้านบาท ของทั้งสองพระองค์ มักถูกสาธารณชนตั้งคำถามอยู่เสมอๆ ทั้งเรื่องความโปร่งใสในการดำเนินการ ความจำเป็นในการครอบครองทรัพย์สินไว้มากมายขนาดนั้น และผลกำไรที่มีเพิ่มมากขึ้นทุกปี ใครต้องรับผิดชอบต่อการบริหารราชทรัพย์ แต่กรณีที่ดัชชีทั้งสองถูกเปิดโปงจาก "พาราไดซ์ เปเปอร์ส" ไม่ใช่เรื่องของการเสียภาษี ทว่าเป็นการนำเงินไปลงทุนอย่างไม่เหมาะสม ดัชชีของราชินีถูกกล่าวหาว่าไปลงทุนในบริษัทที่ชอบเอารัดเอาเปรียบคนยากจน และบริษัทที่บริหารงานล้มเหลว จนต้องปลดคนงานหลายพันคน ดัชชีของเจ้าฟ้าชายถูกกล่าวหาว่า ไปลงทุนในบริษัทที่มี "ผลประโยชน์ทับซ้อน" กับบทบาทของเจ้าฟ้าชาย กรณีออกมารณรงค์ให้เปลี่ยนกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับโลกร้อน แต่ถ้าจะถามถึงความรับผิดชอบต่อการลงทุน ต้องไปดูโครงสร้างการบริหาร ว่าทั้งราชินีและเจ้าฟ้าชายเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องมากน้อยแค่ไหน เส้นทางพระราชทรัพย์ของควีนในแหล่งเลี่ยงภาษีต่างแดน กรณี ดัชชีออฟแลงคาสเตอร์ จะแบ่งการบริหารงานออกเป็น 3 ระดับ ขณะที่ ดัชชีออฟคอร์นวอลล์ จะมีวิธีการบริหารงานที่ซับซ้อนน้อยกว่า โดยจะมีบอร์ดบริษัทเพียงชุดเดียว ซึ่งเจ้าชายชารล์สเป็นประธาน แต่ก็มีการกำกับดูแลการดำเนินงานโดยรัฐบาลอังกฤษในระดับหนึ่ง เช่น หากทำธุรกรรมที่มีวงเงินเกิน 5 แสนปอนด์ (ราว 22 ล้านบาท) จะต้องได้รับการอนุมัติจาก รมว.คลังก่อน และต้องส่งบัญชีรายรับรายจ่ายให้รัฐสภาอังกฤษรับทราบทุกปี และแม้จะมีการวางโครงสร้างให้บุคคลอื่นเข้ามาช่วยบริหารงาน ทว่าดูเหมือนหลายฝ่ายจะเชื่อว่า ทั้ง 2 พระองค์น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องในการบริหารงานของดัชชี เหมือนอย่างที่ นายเจเรมี คอร์บิน ผู้นำพรรคแรงงานเรียกร้องให้สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่สอง ออกมาแสดงความ "เสียพระทัย" ต่อสิ่งที่เกิดขึ้น และเปิดโอกาสให้ผู้ที่เกี่ยวข้องได้เข้าไปตรวจสอบการดำเนินงานของดัชชีอย่างเต็มที่
|
เอกสารลับ "พาราไดซ์ เปเปอร์ส" 13.4 ล้านแผ่น ไม่เพียงเผยให้เห็นถึงวิธีการหลบภาษีและซ่อนทรัพย์สินของมหาเศรษฐี นักการเมืองและคนดังของโลก
|
international-41010181
|
https://www.bbc.com/thai/international-41010181
|
ศาลอินเดียชี้หย่าแบบอิสลามขัดรัฐธรรมนูญ
|
หญิงมุสลิม 5 คน และองค์กรสิทธิสตรี 2 แห่ง ร้องต่อศาลฎีกาของอินเดียให้วินิจฉัยว่าการหย่าแบบอิสลามขัดต่อรัฐธรรมนูญ คำตัดสินดังกล่าวถือเป็นชัยชนะครั้งใหญ่ของหญิงมุสลิมและขบวนการพิทักษ์สิทธิสตรีในอินเดีย ซึ่งก่อนหน้านี้พบว่ามีหญิงผู้นับถือศาสนาอิสลามหลายพันคนถูกสามีทอดทิ้งด้วยวิธีการดังกล่าวในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ซึ่งทำให้หญิงเหล่านี้ได้รับความไม่เป็นธรรม และต้องเผชิญความยากลำบากในการหาเลี้ยงชีพ หลายรายถูกสามีบอกหย่าร้างผ่านทางข้อความตัวอักษรทางโทรศัพท์ แอปพลิเคชันสนทนาต่าง ๆ และโปรแกรมสไกป์อย่างง่ายดายโดยใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที อินเดียเป็นเพียงไม่กี่ประเทศที่สังคมมุสลิมมีการปฏิบัติตามธรรมเนียมการหย่าดังกล่าว โดยในประเทศอิสลามหลายแห่งเช่นปากีสถานหรือบังกลาเทศ ทางการได้สั่งห้ามธรรมเนียมนี้ไปแล้ว โดยให้เหตุผลว่าเป็นธรรมเนียมที่ไม่ปรากฏอยู่ทั้งในกฎหมายชารีอะฮ์และในคัมภีร์อัลกุรอาน ศาลมีคำวินิจฉัยดังกล่าว หลังองค์กรพิทักษ์สิทธิสตรี 2 แห่ง รวมทั้งหญิงมุสลิม 5 คนซึ่งถูกสามีบอกเลิกร้างอย่างกะทันหันด้วยการกล่าวคำหย่า 3 ครั้ง ร่วมกันยื่นฟ้องต่อศาลให้วินิจฉัยว่าธรรมเนียมดังกล่าวมีความชอบธรรมตามกฎหมายหรือไม่ อย่างไรก็ตาม คำวินิจฉัยของศาลครั้งนี้ยังไม่มีผลผูกพันทางกฎหมาย โดยยังไม่สามารถสั่งห้ามปฏิบัติตามธรรมเนียมการหย่าของมุสลิมได้ในทันที หนึ่งในคณะผู้พิพากษากล่าวว่า ควรแนะนำต่อรัฐสภาให้บัญญัติประเด็นนี้เป็นกฎหมายต่อไป แม้กลุ่มผู้นำทางศาสนาของชาวมุสลิมในอินเดียจะบอกว่า ธรรมเนียมการหย่าดังกล่าวเป็นสิ่งที่น่าตำหนิ แต่ก็เห็นว่าศาลและรัฐบาลไม่ควรมายุ่งเกี่ยวในเรื่องนี้ อย่างไรก็ตาม บรรดาผู้รอบรู้คำสอนศาสนาอิสลามของอินเดียบอกว่า คัมภีร์อัลกุรอานได้บัญญัติถึงวิธีการหย่าร้างที่ถูกต้องไว้แล้วอย่างชัดเจน โดยกระบวนการดังกล่าวต้องใช้เวลาอย่างน้อย 3 เดือน เพื่อให้คู่สมรสได้ทบทวนไตร่ตรองและมีโอกาสประนีประนอมกัน รวมทั้งป้องกันการตั้งครรภ์หลังการหย่าร้างด้วย
|
คณะผู้พิพากษาศาลฎีกาของอินเดีย มีมติ 3 ต่อ 2 เสียง วินิจฉัยชี้ขาดให้ธรรมเนียมการหย่าแบบอิสลามซึ่งสามีสามารถเลิกรากับภรรยาได้เมื่อกล่าวคำหย่า (ตอลัก) 3 ครั้ง เป็นธรรมเนียมที่ไม่ใช่ของศาสนาอิสลามอย่างแท้จริง เป็นการกระทำตามอำเภอใจ และขัดต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญของประเทศ
|
international-44409117
|
https://www.bbc.com/thai/international-44409117
|
ประชุมสุดยอดทรัมป์-คิม: เส้นทางที่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ สู่คำเชิญเข้าทำเนียบขาว
|
คำประกาศของนายทรัมป์เกิดขึ้นหลังการพบปะกับนายชินโซะ อาเบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น วานนี้ (7 มิ.ย.) เพื่อหารือเกี่ยวกับการประชุมสุดยอดนัดประวัติศาสตร์ระหว่างผู้นำสหรัฐฯ และเกาหลีเหนือ ประธานาธิบดีทรัมป์กล่าวว่า มีความเป็นไปได้ที่จะบรรลุข้อตกลงยุติสงครามในคาบสมุทรเกาหลี โดยเขาใช้คำว่าเป็น "ส่วนที่ง่าย"ของการเจรจาครั้งนี้ สหรัฐฯ และชาติพันธมิตรในภูมิภาคเอเชียตะวันออกต้องการเห็นการปลดอาวุธนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ แต่นายทรัมป์ตระหนักดีว่าอาจต้องใช้เวลายาวนานกว่าการประชุมเพียงครั้งเดียวเพื่อไปให้ถึงเป้าหมายดังกล่าว ด้านนายไมค์ ปอมเปโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ระบุว่า นายคิมได้ส่งสัญญาณถึงเขาเป็นการส่วนตัวว่าปรารถนาจะปลดอาวุธนิวเคลียร์ แม้ยังไม่มีความชัดเจนว่าความหมายของการปลดอาวุธนิวเคลียร์ใกล้เคียงกับสิ่งที่สหรัฐฯ คิดหรือไม่ ทรัมป์พูดถึงการประชุมสุดยอดสหรัฐฯ-เกาหลีเหนือ ไว้อย่างไรบ้าง นายทรัมป์กล่าวว่า เขาจะไม่ใช้ "แรงกดดันขั้นสูงสุด" ที่เคยใช้กับเกาหลีเหนือมาก่อนหน้านี้ เพราะ "เรากำลังเข้าสู่การเจรจาฉันมิตร" แต่เขาเตือนว่ามีมาตรการคว่ำบาตรอีกหลายมาตรการที่สามารถนำมาใช้ตอบโต้เกาหลีเหนือได้ ทรัมป์และคิม เห็นต่างในการปลดอาวุธนิวเคลียร์เกาหลีเหนือ นายทรัมป์ยังบอกด้วยว่า เขาพร้อมเดินออกจากวงเจรจา (วอล์กเอาท์) หากการประชุมเป็นไปอย่างไม่ราบรื่น แต่ถ้าการพูดคุยได้ผลดีก็จะเชิญนายคิมมาเยือนกรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐฯ "แน่นอน หากทุกอย่างเป็นไปด้วยดี มันก็น่าจะเกิดขึ้น"นายทรัมป์กล่าวกับผู้สื่อข่าว เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงรายงานข่าวว่าประธานาธิบดีทรัมป์อาจเชิญนายคิมมาหารือที่บ้านพักตากอากาศ มาร์-อา-ลาโก ในรัฐฟลอริดา ของนายทรัมป์ เจ้าตัวตอบว่า "บางทีเราอาจเริ่มต้นที่ทำเนียบขาว พวกคุณ (สื่อมวลชน) คิดว่าอย่างไร" ก่อนหน้านี้ นายทรัมป์บอกว่าไม่คิดว่าการเตรียมตัวเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการพบปะกับผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือ "ผมคิดว่าผมเตรียมตัวดีอยู่แล้ว ผมไม่คิดว่าต้องเตรียมอะไรมากขึ้น มันก็เป็นเรื่องของทัศนคติ และแสดงความตั้งใจที่จะแก้ปัญหาให้สำเร็จออกมา" เส้นทางการพูดคุยสุดยอดครั้งประวัติศาสตร์ที่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เส้นทางการประชุมสุดยอดครั้งประวัติศาสตร์ระหว่างประธานาธิบดีสหรัฐฯ และผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือในวันที่ 12 มิ.ย. นี้ ไม่ได้ "โรยด้วยกลีบกุหลาบ" เพราะมีสัญญาณ "บวก" สลับ "ลบ" เป็นระยะ ๆ จากการเปิดวิวาทะของสองชาติ พล.อ. คิม ยอง ชอล ซึ่งถือเป็น "มือขวา" ของนายคิม จอง อึน เยือนทำเนียบขาว โดยครั้งที่ทั่วโลกคิดว่าเป็น "ข่าวร้าย" ที่ส่อว่าการเจรจาอาจไม่เกิดขึ้นตามกำหนด คือครั้งที่ทำเนียบประธานาธิบดีสหรัฐฯ เผยแพร่จดหมายของประธานาธิบดีทรัมป์ถึงนายคิม นายชินโซ อาเบะ หารือกับนายโดนัลด์ ทรัมป์ ที่กรุงวอชิงตัน ก่อนการประชุมสุดยอดระหว่างผู้นำสหรัฐฯ-เกาหลีเหนือ จะเกิดขึ้นในสัปดาห์หน้า
|
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ระบุว่าเขาอาจพิจารณาเชิญนายคิม จอง อึน ผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือ มาเยือนทำเนียบขาว หากการประชุมสุดยอดระหว่างสองผู้นำที่ประเทศสิงคโปร์ ในวันที่ 12 มิ.ย. เป็นไปด้วยดี
|
international-39202334
|
https://www.bbc.com/thai/international-39202334
|
วิกิลีกส์เผยซีไอเอมีเครื่องมือสอดแนมผ่านโทรทัศน์
|
ซีไอเอยังไม่ออกมาตอบรับหรือปฏิเสธเรื่องที่เผยแพร่ในวิกิลีกส์ รายงานของวิกิลีกส์ระบุว่า มีการเผยแพร่เอกสารดังกล่าวในหมู่ของนักเจาะล้วงข้อมูลทางไซเบอร์ที่เคยทำงานให้กับรัฐบาลสหรัฐฯ มาระยะหนึ่งแล้ว โดยเอกสารหนึ่งจากเดือนมิถุนายน 2014 ระบุว่า ซีไอเอได้ดำเนินปฏิบัติการภายใต้ชื่อรหัสว่า "เทพร่ำไห้" (Weeping Angel) เพื่อใช้มัลแวร์ทำให้โทรทัศน์สมาร์ททีวีของซัมซุง รุ่น F8000 กลายเป็นเครื่องมือสอดแนม โดยเมื่อผู้ใช้ปิดโทรทัศน์และจอดับลง ตัวโทรทัศน์นั้นจะยังไม่หยุดทำงาน แต่จะกลายเป็นเครื่องบันทึกเสียงการสนทนาภายในห้อง และข้อมูลเสียงนี้จะถูกส่งไปยังเซิร์ฟเวอร์ของซีไอเอผ่านทางสัญญาณ Wi-Fi เมื่อผู้ใช้โทรทัศน์เปิดเครื่องอีกครั้งหนึ่ง วิกิลีกส์เผยว่าซีไอเอสามารถสอดแนมผ่านเครื่องรับโทรทัศน์สมาร์ททีวีของซัมซุงได้ เอกสารลับระบุว่า หน่วยงานด้านข่าวกรองและความมั่นคง MI5 ของสหราชอาณาจักร ได้ให้ความช่วยเหลือแก่ซีไอเอในการพัฒนามัลแวร์เพื่อการสอดแนมนี้ด้วย และในอนาคตซีไอเอมีแผนการจะพัฒนาเทคนิคสอดแนมผ่านโทรทัศน์นี้ให้สามารถถ่ายภาพวิดีโอ และส่งข้อมูลได้โดยไม่ต้องอาศัยสัญญาณ Wi-Fi เอกสารของวิกิลีกส์ยังเผยว่า ปีที่แล้วซีไอเอได้พัฒนามัลแวร์หลายตัวโดยใช้ช่องโหว่ด้านความปลอดภัยในซอฟท์แวร์ หรือ Zero days เข้าโจมตีระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ในโทรศัพท์สมาร์ทโฟนหลายรุ่น ซึ่งรวมถึงของซัมซุง HTC และโซนี่ด้วย ซึ่งจะทำให้ซีเอไอสามารถเข้าอ่านข้อความในโปรแกรมสนทนาต่าง ๆ รวมทั้งแอปพลิเคชันอย่าง Whatsapp, Telegram, และWeibo ได้ ทั้งยังมีการตั้งหน่วยพิเศษเพื่อหาวิธีสอดแนมไอโฟนและไอแพด โดยจะสามารถทราบถึงตำแหน่งของผู้ใช้เครื่อง ทั้งสั่งให้กล้องและไมโครโฟนในเครื่องทำงานได้ โดยมีรายงานว่าซีไอเอรับเอาเทคนิควิธีนี้มาจากหลายหน่วยงาน ซึ่งรวมถึงเอฟบีไอ และศูนย์บัญชาการการสื่อสารของรัฐบาลอังกฤษ (GCHQ) ด้วย วิกิลีกส์บอกว่าจะไม่หยุดยั้งการนำข้อมูลพฤติกรรมการล้วงความลับของซีไอเอมาเปิดเผย นอกจากนี้ เอกสารยังระบุว่าซีไอเอพบวิธีสอดแนมคอมพิวเตอร์ที่ไม่ได้เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตหรือเครือข่ายใด ๆ ด้วยวิธีการซ่อนมัลแวร์ในภาพ หรือหน่วยความจำบางส่วนของเครื่อง ทั้งยังสามารถใช้มัลแวร์สอดแนมแฝงมาในซอฟต์แวร์แอนติไวรัสที่เป็นที่นิยม และกำลังพัฒนาวิธีเข้าแทรกแซงคอมพิวเตอร์ควบคุมรถ เพื่อเป็นช่องทางในการลอบสังหารด้วย การเผยแพร่เอกสารลับของวิกิลีกส์ครั้งนี้ เป็นการเปิดเผยเอกสารแรกในชุดข้อมูลลับเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวทางไซเบอร์ของซีไอเอที่เรียกว่า Vault 7 ซึ่งวิกิลีกส์จะทยอยนำมาเปิดเผยต่อไปอีก เพื่อจุดประเด็นเรื่องที่ซีไอเอมีความสามารถในการเจาะล้วงข้อมูลมากเกินกว่าขอบเขตภาระหน้าที่ของตน ซึ่งอาจเป็นการละเมิดสิทธิพลเมืองได้
|
เว็บไซต์เปิดเผยข้อมูลลับวิกิลีกส์ เผยแพร่เอกสารลับจำนวนหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่า สำนักงานข่าวกรองกลางสหรัฐฯ หรือซีไอเอได้พยายามคิดค้นเครื่องมือและเทคนิควิธีการหลายแบบ เพื่อล้วงความลับจากเครื่องมือสื่อสารอย่างโทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล หรือแม้กระทั่งสอดแนมผ่านโทรทัศน์
|
thailand-53704353
|
https://www.bbc.com/thai/thailand-53704353
|
อานนท์ นำภา: ศาลอาญาอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราวอานนท์-ภาณุพงศ์ ด้วยวงเงิน 100,000 บาท
|
หลังได้รับอิสรภาพ นายอานนท์ ได้โพสต์ข้อความทางเฟซบุ๊กว่า "ผมได้รับการปล่อยตัวแล้ว ขอบคุณทุกกำลังใจและความช่วยเหลือ วันนี้ขอตัวไม่ได้ไปร่วมที่สกายวอล์คนะครับ เตรียมตัวไปเชียงใหม่ครับ!!!!! พรุ่งนี้เจอกัน" #ให้มันจบที่รุ่นเรา" โดยวันนี้ตั้งแต่เวลาประมาณ 16.00 น. มีการชุมนุมของผู้ประท้วงเรียกร้องประชาธิปไตยที่บริเวณสกายวอล์คแยกปทุมวัน ก่อนหน้านี้ศาลอาญามีคำสั่งอนุญาตให้ฝากขังนายอานนท์ นำภา และนายภาณุพงศ์ จาดนอก ตามคำร้องของตำรวจ เนื่องจากศาลเห็นว่าคดีมีเหตุจำเป็นในการฝากขังเพื่อสอบสวนต่อไป โดยเบื้องต้นจะมีการสอบพยานเพิ่มอีก 6 ปาก หลังจากใช้เวลาไต่สวนนานประมาณ 5 ชั่วโมง ตั้งแต่นายอานนท์และนายภาณุพงศ์ แกนนำและผู้ปราศรัยในการชุมนุมต่อต้านรัฐบาลที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยเมื่อวันที่ 18 ก.ค. ถูกนำตัวจาก สน. ห้วยขวางมาที่ศาลอาญาช่วงเช้าวันนี้ (8 ส.ค.) ศาลได้มีคำสั่งอนุญาตฝากขังผู้ต้องหาทั้งสองคนเป็นเวลา 12 วัน จากอัตราโทษในคดีฝ่าฝืนประมูลกฎหมายอาญา ม.116 ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ซึ่งจัดทีมทนายให้ความช่วยเหลือทางคดีแก่ผู้ต้องหาทั้งสอง โพสต์ข้อความทางทวิตเตอร์ว่า "ศาลเห็นว่าการยื่นคำร้องไม่เป็นการดำเนินการพิจารณาซ้ำกับเมื่อวานนี้ คดีมีเหตุจำเป็นในการฝากขังตามคำร้องเพื่อสอบสวนต่อไป คือรอสอบพยานเพิ่มเติมอีก 6 ปาก" ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถขอฝากขังได้ 4 ครั้ง ครั้งละ 12 วัน ซึ่งผู้ต้องหาทั้งสองจะถูกควบคุมตัวที่เรือนจำกลางพิเศษกรุงเทพ เขตจตุจักร โดยก่อนที่ศาลจะมีคำสั่งอนุญาตฝากขังไม่กี่ชั่วโมง นายชูชัย วิริยะสุนทรวงศ์ อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาได้แถลงว่านายอานนท์และนายภาณุพงศ์สามารถยื่นขอประกันตัวหรือขอปล่อยตัวชั่วคราวได้ในทันทีและสามารถดำเนินการได้ในทุกวันไม่เว้นวันหยุดราชการ ตำรวจนำนายอานนท์และนายภาณุพงศ์ จาก สน. ห้วยขวางมาที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ช่วงเช้าวันนี้เพื่อยื่นขอฝากขังอีกครั้ง หลังจากที่ศาลคืนคำร้องขอฝากขังเมื่อวานนี้ โดยให้เหตุผลว่าพนักงานสอบสวนนำผู้ต้องหามาส่งศาลหลังหมดเวลาราชการ ตั้งแต่ช่วงเช้า มีประชาชนมารวมตัวกันที่ด้านหน้าศาลอาญาเพื่อให้กำลังใจและสังเกตการณ์นับร้อยคน โดยมีเจ้าหน้าที่ตั้งแผงเหล็กและวางกำลังรักษาความปลอดภัยอย่างแน่นหนา เวลาประมาณ 9.00 น. เจ้าหน้าที่ได้ขอให้ผู้ชุมนุมถอยออกจากบริเวณบันไดทางขึ้นศาล และให้ผู้ชุมนุมนั่งรอที่พื้นด้านล่างแทน พร้อมกับห้ามไม่ให้มีการปราศรัย โดยเจ้าหน้าที่นำแผ่นป้ายข้อกำหนดศาลมาตั้ง ระบุข้อความเตือนว่า การก่อให้เกิดความไม่สงบ ก่อความรำคาญ หรือใช้เครื่องขยายเสียงรบกวนการพิจารณาในบริเวณศาล จะถือเป็นความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล นายอานนท์ ทนายความสิทธิมนุษยชน ถูกจับกุมหน้าคอนโดมิเนียมที่พักย่านเสนานิคมเมื่อเวลาประมาณ 14.00 น. ส่วนนายภาณุพงศ์ ถูกจับกุมบริเวณมหาวิทยาลัยรามคำแหง ในเวลาไล่เลี่ยกันเมื่อวานนี้ (7 ส.ค.) ตามหมายจับของ สน. สำราญราษฎร์ ซึ่งมีที่มาจากการที่ทั้งสองคนเข้าร่วมการชุมนุมของกลุ่มที่เรียกตัวเองว่าเยาวชนปลดแอกและสหภาพนักเรียน นิสิต นักศึกษาแห่งประเทศไทย ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถ.ราชดำเนินกลางเมื่อวันที่ 18 ก.ค. ทั้งสองถูกนำตัวไปที่ สน. สำราญราษฎร์ เพื่อรับทราบข้อกล่าวหา ก่อนที่นายอานนท์จะถูกนำตัวไปที่ สน. บางเขน เพื่อสอบสวนต่อ โดยเจ้าหน้าที่ให้เหตุผลว่าเนื่องจาก สน. สำราญราษฎร์มีพื้นที่จำกัด ทำให้ประชาชนกลุ่มหนึ่งเดินทางไปรวมตัวที่ สน. บางเขน แต่หลังจากนั้นไม่นาน นายอานนท์ก็ถูกนำตัวไปขออำนาจศาลฝากขัง เช่นเดียวกับนายภาณุพงศ์ที่ถูกนำตัวจาก สน.สำราญราษฎร์ ไปศาลอาญา อย่างไรก็ตาม ศาลอาญาได้มีคำสั่งคืนคำร้องขอฝากขังนายอานนท์และนายภาณุพงศ์ โดยให้เหตุผลว่าพนักงานสอบสวนมายื่นคำร้องเกินกำหนดระยะเวลาทำการของศาลไปแล้ว และให้นำตัวมาฝากขังใหม่ภายใน 48 ชั่วโมง อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาระบุว่าไม่ทราบว่าเรือนจำพิเศษแขวงนครไชยศรี เขตทุ่งสองห้อง อยู่ตรงไหน ผู้ต้องหาทั้งสองจึงถูกนำตัวมาควบคุมไว้ที่ สน. ห้วยขวาง ก่อนจะนำตัวมาขอฝากขังอีกครั้ง สำหรับข้อกล่าวหาที่ปรากฏในหมายจับ มีดังนี้ หมายจับระบุด้วยว่า ผู้ต้องหาตามหมายจับน่าจะได้กระทำความผิดอาญาซึ่งมีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงเกินสามปี อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาปฏิเสธข่าวลือ เวลา 13.30 น. นายชูชัย วิริยะสุนทรวงศ์ อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา แถลงที่ศาลอาญาปฏิเสธข่าวที่ว่าผู้ต้องหาทั้งสองคนจะถูกควบคุมตัวที่เรือนจำชั่วคราวแขวงถนนนครไชยศรีหากศาลอนุมัติฝากขัง "มีการแชร์ข่าวว่า หากศาลอาญาอนุญาตให้ฝากขังและออกหมายขังจะนำตัวผู้ต้องหาทั้งสองไปควบคุมที่เรือนจำพิเศษแขวงนครไชยศรี เขตทุ่งสองห้อง ซึ่งจริง ๆ อยู่ตรงไหนผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ขอยืนยันว่าไม่เป็นความจริง" อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญากล่าว ก่อนหน้านี้ในช่วงเช้า นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ "เพนกวิน" นักกิจกรรมนักศึกษาซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ที่มาชุมนุมด้านหน้าศาล ได้อ่านข้อความที่ระบุว่านายอานนท์มีความกังวลว่าหากศาลอนุญาตให้ฝากขัง เขาจะถูกนำตัวไปคุมขังที่เรือนจำพิเศษแขวงถนนนครไชยศรี ซึ่งเป็นเรือนของผู้ต้องหาคดีความมั่นคงที่ตั้งขึ้นในยุค คสช. และเคยมีผู้ต้องหาคดีแอบอ้างสถาบันกษัตริย์เสียชีวิตระหว่างถูกคุมขัง "ถ้าศาลอนุญาตให้ฝากขัง ผู้ต้องหาทั้งสองมีสิทธิยื่นประกันตัวหรือขอปล่อยชั่วคราวต่อศาลได้ทุกวัน ไม่เว้นวันหยุดราชการ ซึ่งหากศาลอนุญาต ก็ไม่ต้องถูกควบคุมตัวที่ไหน กลับบ้านได้ แต่หากผู้ต้องหาทั้งสองไม่ยื่นประกันตัวก็จะถูกนำตัวไปคุมขังที่เรือนจำกลางพิเศษกรุงเทพมหานคร เขตจตุจักร ซึ่งในคดีอาญาทั่ว ๆ ไป รวมทั้งในคดีนี้ เราก็จะนำผู้ต้องหาไปคุมขังที่เรือนจำกลางพิเศษกรุงเทพมหานครทุกคดีอยู่แล้ว" อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญากล่าว ผู้สื่อข่าวถามถึงการชุมนุมของประชาชนที่มารอคำสั่งศาลและให้กำลังใจนายอานนท์และนายภาณุพงศ์ว่าเป็นการละเมิดอำนาจศาลหรือไม่ นายชูชัยกล่าวว่าเขาไม่อยากระบุว่าใครทำถูกหรือผิด แต่ขอความร่วมมือให้ประชาชนปฏิบัติตามข้อกำหนดและระเบียบของศาล "ถือว่าผมก็ให้อิสระในพื้นที่ข้างล่างพอสมควรแล้วตรงนั้น...จะได้ปลดปล่อยกันบ้าง" นายชูชัยกล่าว ศาลมีคำสั่งว่าอย่างไร ศาลอาญาออกคำแถลงการหลังมีคำตัดสินฝากขังนายอานนท์ นำภา และนายภาณุพงศ์ จาดนอก โดยมีรายละเอียดดังนี้ วันนี้เวลาประมาณ 09:00 น. เศษ ที่ศาลอาญา พนักงานสอบสวนยื่นคำร้องขอหมายขังนายอานนท์ นำภา และนายภาณุพงศ์ จาดนอก ผู้ต้องหาเพื่อทำการสอบสวนต่อมาทนายความของนายอานนท์ละนายภาณุพงศ์ยื่นคำคัดค้านคำร้องขอหมายขังดังกล่าว ศาลลงนั่งพิจารณาไต่สวนคำร้องขอหมายขัง โดยมีตัวแทนมวลชนผู้ชุมนุมเข้าร่วมฟังการไต่สวนในห้องพิจารณา ก่อนการไต่สวนศาลได้อธิบายคำร้องขอฝากขังของพนักงานสอบสวนและแจ้งสิทธิ์ตามกฎหมายให้ผู้ต้องหาทั้งสองทราบ แล้วต่ายส่วนพนักงานสอบสวนผู้ร้องโดยมีทนายผู้ต้องหาทั้งสองและผู้ต้องหาทั้งสองถามค้าน ต่อมาเวลาประมาณ 15:00 น. เศษ ศาลได้อ่านคำสั่งคำร้องดังกล่าว ให้พนักงานสอบสวนผู้ร้องนายอานนท์นายภาณุพงศ์และทนายความของทั้งสองฟัง และมีคำสั่งว่าพิเคราะห์พยานหลักฐานในชั้นไต่สวนคำร้องและข้อขัดค้านแล้วเห็นว่าตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 78 ได้วางหลักเกณฑ์การควบคุมตัวไว้เป็นขั้นตอนเพื่อคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนเมื่อคดีนี้พนักงานสอบสวนหลังผู้ต้องหาทั้งสองวันที่ 7 สิงหาคม 2563 เวลา15:00 น. ต่อมานำตัวผู้ต้องหาทั้งสองและคำร้องมายื่นคำร้องต่อศาลอาญาในวันเดียวกันเมื่อเวลา 16:45 น. ศาลไต่สวนแล้วว่ามีคำสั่งว่าผู้ร้องยื่นคำร้องขอฝากขังพ้นกำหนดเวลาราชการจึงมีคำสั่งคืนคำร้องและให้รับตัวผู้ต้องหาคืนและให้ยื่นคำร้องภายใน 48 ชั่วโมงตามกฏหมาย วันนี้พนักงานสอบสวนนำตัวผู้ต้องหาทั้งสองมายื่นคำร้องขอฝากขังเวลา 8.52 น. ยังอยู่ในระยะเวลาที่พนักงานสอบสวนสามารถควบคุมตัวผู้ต้องหาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 84 วรรคสามจึงมิใช่เป็นการดำเนินการกระบวนพิจารณาซ้ำ ส่วนที่ผู้ต้องหาทั้งสองคัดค้านว่าผู้ต้องหา มีถิ่นที่อยู่และประกอบอาชีพเป็นหลักแหล่งคดีนี้เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับซึ่งมีข้อหาอัตราโทษจำคุกอย่างสูงเกิน 3 ปีซึ่งตามกฏหมายเมื่อเป็นกรณีที่ผู้ถูกจับไม่ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวและมีเหตุจำเป็นการเพื่อการสอบสวน พนักงานสอบสวนชอบที่จะยื่นคำร้องต่อศาลขอให้ออกหมายขังได้ โดยที่พนักงานสอบสวนอ้างเหตุขออนุญาตฝากขังว่าการสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้นต้องสอบสวนพยานเพิ่มเติมอีกจำนวน 6 ปากและรอผลการตรวจพิสูจน์ลายพิมพ์นิ้วมือและผลการตรวจประวัติการต้องโทษ ดังนั้นพนักงานสอบสวนจึงมีอำนาจขอสอบสวนพยานดังกล่าวไว้เมื่อเป็นการร้องฝากครั้งที่หนึ่งซึ่งพนักงานสอบสวนมีเวลาสอบสวนเพียง 48 ชั่วโมงกรณีจึงมีเหตุจำเป็นเพื่อการสอบสวนต่อไปส่วนข้อขัดค้านอื่นไม่มีน้ำหนักให้รับฟังจึงอนุญาตให้ฝากขังผู้ต้องหาตามขอ นอกจากนี้ศาลได้แจ้งสิทธิ์การขอประกันตัวหรือขอปล่อยตัวชั่วคราวให้ผู้ต้องหาทั้งสองทราบแล้วว่าผู้ต้องหาทั้งสองสามารถยื่นคำร้องขอประกันตัวหรือขอ ปล่อยตัวชั่วคราวได้ทันทีหรือสามารถยื่นคำร้องขอประกันตัวได้ทุกวันไม่เว้นวันหยุดราชการ
|
นายอานนท์ นำภา และนายภานุพงศ์ จาดนอก ได้รับการปล่อยตัวแล้ว หลังศาลอาญามีคำสั่งปล่อยตัวชั่วคราวทั้งในชั้นสอบสวนและชั้นการพิจารณา โดยกำหนดวงเงิน 100,000 บาท และไม่ต้องวางหลักประกัน แต่มีเงื่อนไขว่าผู้ต้องหาห้ามกระทำการใด ๆ ลักษณะเดียวกันกับการกระทำที่ถูกกล่าวหามิฉะนั้นจะถือว่าผิดสัญญาประกัน
|
international-53831963
|
https://www.bbc.com/thai/international-53831963
|
จีนน้ำท่วมใหญ่ ระดับน้ำแตะพระบาทพระพุทธรูปแกะสลักหน้าผาองค์ใหญ่ที่สุดในโลกครั้งแรกนับแต่ปี 1949
|
พระพุทธรูปเล่อซาน สร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์ถัง ช่วงศตวรรษที่ 8 พระพุทธรูปเล่อซาน ความสูง 71 เมตร เป็นโบราณสถานอายุกว่า 1,200 ปีที่ภูเขาเอ๋อเหมย หรือที่รู้จักกันอีกชื่อว่า "ภูเขาง้อไบ๊" ใกล้กับนครเฉิงตู เมืองเอกของมณฑลเสฉวน ได้รับขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโกในปี 1996 ตามปกติพระพุทธรูปขนาดใหญ่องค์นี้จะอยู่เหนือระดับน้ำของแม่น้ำหนานหมิ่น แต่อุทกภัยครั้งรุนแรงที่สุดในรอบ 70 ปีในพื้นที่ ส่งผลให้ระดับน้ำในแม่น้ำเอ่อท่วมพระบาทพระพุทธรูปเล่อซาน สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า คนในท้องถิ่นมีความเชื่อว่า หากพระบาทของพระพุทธรูปเล่อซานเปียกน้ำ ก็หมายความว่า นครเฉิงตู ซึ่งปัจจุบันมีประชากร 16 ล้านคน จะถูกน้ำท่วมไปด้วย สื่อทางการจีนรายงานว่า ระดับน้ำที่เพิ่มสูงขึ้นทำให้ต้องเข้าไปช่วยเหลือนักท่องเที่ยวราว 180 คนที่ไปเยี่ยมชมพระพุทธรูปเล่อซานออกจากพื้นที่ โดยบริเวณดังกล่าวเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของผู้ที่ไปล่องเรือบริเวณแม่น้ำแยงซี และเขื่อนสามผา พระพุทธรูปเล่อซาน เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของผู้ที่ไปล่องเรือบริเวณแม่น้ำแยงซี และเขื่อนสามผา แต่ละปีมีนักท่องเที่ยว และผู้แสวงบุญ เดินทางไปสักการะพระพุทธรูปเล่อซานทางเรือเป็นจำนวนมาก ครั้งล่าสุดที่ระดับน้ำท่วมแตะนิ้วพระบาท ซึ่งแต่ละนิ้วมีขนาดใหญ่กว่าคนหนึ่งคน คือในปี ค.ศ. 1949 คนในท้องถิ่นมีความเชื่อว่า หากพระบาทของพระพุทธรูปเล่อซานเปียกน้ำ ก็หมายความว่า นครเฉิงตู จะถูกน้ำท่วมไปด้วย ทางการมณฑลเสฉวน ได้ใช้มาตรการรับมือสถานการณ์ฉุกเฉินระดับสูงสุด หลังจากเผชิญฝนตกหนักต่อเนื่องกันหลายสัปดาห์ จนทำให้มีระดับน้ำสูงเป็นประวัติการณ์ และยังไม่มีท่าทีว่าสถานการณ์จะคลี่คลายลงในเร็ว ๆ นี้ เจ้าหน้าที่ช่วยอพยพประชาชนออกจากพื้นที่เสี่ยงภัยในมณฑลเสฉวน เมื่อ 18 ส.ค.ที่ผ่านมา อุทกภัยครั้งนี้ทำให้ประชาชนกว่า 100,000 คนต้องอพยพไปอยู่ในที่ปลอดภัย อีกทั้งมีการประกาศเตือนภัยน้ำท่วมในมณฑลต่าง ๆ ที่ตั้งอยู่รอบแม่น้ำแยงซี แม่น้ำหวง (แม่น้ำเหลือง) แม่น้ำไห่ แม่น้ำซงหัว แม่น้ำเหลียว รวมทั้งมีประกาศเตือนภัยการเกิดดินถล่มด้วย นครฉงชิ่ง เผชิญน้ำท่วมรุนแรงหลายระลอกในฤดูร้อนปีนี้ (ภาพน้ำท่วมเมื่อวันที่ 14 ส.ค.ที่ผ่านมา) นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ทางการจีนได้เตือนว่ากำลังมีมวลน้ำขนาดใหญ่ที่ด้านหลังเขื่อนสามผา ซึ่งเป็นโครงการไฟฟ้าพลังน้ำขนาดใหญ่ในแม่น้ำแยงซี ขณะที่กระทรวงทรัพยากรน้ำได้เตือนว่านี่อาจทำให้เกิดน้ำท่วมรุนแรงไหลบ่าสู่เขตเมืองใหญ่ เช่น นครฉงชิ่ง
|
จีนกำลังเผชิญปัญหาน้ำท่วมรุนแรงจากฝนที่ตกหนักต่อเนื่องกันหลายสัปดาห์ โดยระดับน้ำสูงท่วมพระบาท "พระพุทธรูปเล่อซาน" พระพุทธรูปแกะสลักหน้าผาองค์ใหญ่ที่สุดในโลกเป็นครั้งแรกนับแต่ปี 1949
|
international-42214563
|
https://www.bbc.com/thai/international-42214563
|
เมื่อคนแปลกหน้ากลายเป็นน้องชายที่แยกกันนานกว่า 25 ปี
|
รอยกับบิลลี พลัดพรากจากกันตั้งแต่วัยเด็ก พวกเขาบังเอิญพบกันในวันรำลึกวีรชนจากสงครามโลก โดยรอยได้เข้าไปทักบิลลีก่อน และยื่นบุหรี่ให้กับเขาหนึ่งมวน เขารู้สึกว่าบิลลีมีใบหน้าที่คล้ายกับเขา จึงซักถามเรื่องส่วนตัวของบิลลี รอย บอกว่า "ผมเห็นผู้ชายคนหนึ่งอยู่ตรงมุมโน้น เขาดูเหมือนคนที่อาศัยอยู่ตามถนน เขาดูคุ้นหน้ามาก หลายส่วนบนใบหน้าเขาคล้ายกับผมมาก" ส่วน บิลลี เล่าเหตุการณ์ในวันนั้นว่า "เขาเดินมาหาผม ก็เริ่มถามโน่นนี่ อย่างเช่น ผมชื่ออะไร พี่สาวชื่ออะไร จากนั้นรอยได้โทรหาพี่สาว และยืนยันว่าเขาคือน้องชายแยกจากกันมานาน และบอกกับบิลลีว่า 'ผมเป็นพี่ชายคุณ' ทำให้บิลลีตกตะลึงและคิดว่าไม่มีทางเป็นไปได้ แม่ของ รอย แอสพินัลล์ มีลูกในขณะที่ยังสาว เขาจึงถูกเลี้ยงดูโดยป้า ส่วนบิลลี ไวท์ อยู่กับแม่จนอายุ 10 ขวบ จึงถูกส่งไปสถานรับเลี้ยงเด็ก ชายทั้งคู่ได้ต่อสู้กับอุปสรรคภายในตนเองมาหลายปี แต่ตอนนี้พวกเขามีอนาคตที่สดใสรออยู่ รอยได้พาบิลลีไปอยู่ด้วยที่บ้าน ให้อาหารและทุกอย่างแก่เขา ทำให้บิลลีมีชีวิตที่มีความสุขมากขึ้น
|
ชายแปลกหน้าสองคน โคจรมาพบกันในวันรำลึกวีรชนจากสงครามโลก (Remembrance Day) ที่สนามในบริเวณโบสถ์ที่เมืองวีแกน และค้นพบว่าพวกเขาคือพี่น้องที่แยกจากกันนานกว่า 25 ปี
|
thailand-40403854
|
https://www.bbc.com/thai/thailand-40403854
|
ไทย เมียนมา กัมพูชา เผายาเสพติดล็อตใหญ่ 3.4 หมื่นล้านบาท
|
พิธีเผาทำลายยาเสพติดที่นิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน ยาเสพติดที่ไทยเผาทำลายมียาบ้า 7,800 กิโลกรัม พิธีเผาทำลายยาเสพติดในวันนี้ (26 มิ.ย.) จัดขึ้นหลายแห่งในประเทศไทย เมียนมา และกัมพูชา โดยที่ไทยมีการจัดพิธีเผาทำลายยาเสพติดในเขตนิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยยาเสพติดที่ถูกเผาทำลายมีทั้งยาบ้ากว่า 7,800 กิโลกรัม และยาไอซ์ 1,185 กิโลกรัม คิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 589 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 20,000 ล้านบาท) เจ้าหน้าที่ตำรวจไทยยืนคุ้มกันยาเสพติดที่จะนำไปเผาทำลาย ขณะที่ทางการเมียนมาได้จัดพิธีเผาทำลายยาเสพติดขึ้น 3 แห่งทั่วประเทศ โดยตำรวจระดับสูงนายหนึ่งในกรุงเนปิดอว์ เปิดเผยว่า พิธีในวันนี้ถือเป็นการเผาทำลายยาเสพติดครั้งใหญ่ที่สุดเป็นประวัติการณ์ คิดเป็นมูลค่าราว 385 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 13,000 ล้านบาท) เนื่องจากตำรวจยึดยาเสพติดได้มากขึ้นในช่วงไม่กี่ปีมานี้ โดยพิธีเผาทำลายใหญ่ที่สุดจัดขึ้นในนครย่างกุ้ง ซึ่งเป็นการเผา ฝิ่น เฮโรอีน โคเคน และยาบ้า มูลค่าเกือบ 230 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 7,800 ล้านบาท) ส่วนที่กัมพูชา เจ้าหน้าที่ได้เผาทำลายยาเสพติดที่ยึดได้น้ำหนัก 130 กิโลกรัม คิดเป็นมูลค่าประมาณ 4 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 136 ล้านบาท) ยาเสพติดที่ถูกนำมาเผาทำลายในกัมพูชา ทางการกัมพูชาเผาทำลายยาเสพติดที่ยึดได้น้ำหนัก 130 กก. มูลค่าประมาณ 4 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แม้การยึดยาเสพติดได้เป็นจำนวนมากจะเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าประเทศต่าง ๆ กำลังดำเนินความพยายามในการปราบปรามการค้ายาเสพติดในภูมิภาค แต่เจ้าหน้าที่ด้านกฎหมายชี้ว่า จำนวนยาเสพติดที่ยึดได้และนำมาเผาทำลายครั้งนี้เป็นเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งของยาเสพติดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่บรรดาผู้ผลิตต่างเร่งเพิ่มกำลังการผลิตเพื่อตอบสนองกับความต้องการยาเสพติดที่กำลังเพิ่มขึ้นในภูมิภาคเอง รวมทั้งในบังกาลเทศและอินเดีย นอกจากนี้ บรรดาราชายาเสพติดบริเวณสามเหลี่ยมทองคำมักไม่ค่อยถูกจับกุมหรือฆาตกรรมเหมือนราชายาเสพติดในแถบละตินอเมริกา
|
ทางการไทย เมียนมา และกัมพูชา จัดพิธีเผาทำลายยาเสพติดที่ยึดได้มูลค่ารวมกันเกือบ 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (เกือบ 34,000 ล้านบาท) เนื่องในโอกาสวันต่อต้านยาเสพติดโลกขององค์การสหประชาชาติ แต่ผู้สันทัดกรณีชี้ยาเสพติดที่ยึดได้เป็นเพียงส่วนเล็ก ๆ ของปัญหายาเสพติดในภูมิภาคที่กำลังขยายตัวตามปริมาณความต้องการยาเสพติดที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
|
features-44478535
|
https://www.bbc.com/thai/features-44478535
|
ฟุตบอลโลก 2018: คุณรู้จักเมสซี โรนัลโด และซาลาห์ ดีแค่ไหน ?
|
บีบีซีรวบรวมเกร็ดประวัติของนักฟุตบอลชื่อดังหลายคนในฟุตบอลโลกครั้งนี้ ที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน ภาพยนตร์ชีวิตของ เจมี วาร์ดี เจมี วาร์ดี ศูนย์หน้าทีมชาติอังกฤษ และ รีเบคกาห์ วาร์ดี อดีตดารารายการเรียลลิตีโชว์ เรื่องราวอันน่าทึ่งของ เจมี วาร์ดี ซึ่งก้าวจากนักเตะจากลีกล่างของอังกฤษที่ไม่มีใครรู้จัก สู่การคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกกับสโมสรเลสเตอร์ ซิตี้ นั้นเรียกได้ว่าเป็นเหมือนกับเรื่องราวในภาพยนตร์ อันที่จริงแล้ว เรื่องราวของเขามีแผนจะถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ด้วย และมีกำหนดจะเริ่มถ่ายทำนับตั้งแต่วันที่ ทีมสุนัขจิ้งจอกคว้าแชมป์ไปครองในปี 2016 แต่ผ่านมาแล้ว 2 ปี ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ยังไม่มีวี่แววจะได้เข้าฉายแต่อย่างใด และหนึ่งในเหตุผลนั้น คือ ดาราที่ถูกวางตัวให้แสดงบทบาทภรรยาของวาร์ดี คือ เมแกน มาร์เคิล ที่เพิ่งเข้าพิธีเสกสมรสกับเจ้าชายแฮร์รี นั่นเอง ฟุตบอลโลกครั้งที่แล้วของ กาเบรียล เฮซุส กาเบรียล เฮซุส ของบราซิล โพสต์รูปนี้บนทวิตเตอร์เมื่อปีที่แล้ว หลายคนรู้จัก กาเบรียล เฮซุส ในฐานะดาวเตะศูนย์หน้าของบราซิลและสโมสรแมนเชสเตอร์ ซิตี้ แต่ย้อนไปเมื่อฟุตบอลโลกครั้งที่แล้ว เขายังทาสีอยู่บนถนนในบราซิลอยู่เลย เฮซุส และกลุ่มเพื่อนร่วมกันทาสีละแวกบ้านเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับฟุตบอลโลกครั้งนั้นในนครเซาเปาโล เมืองที่เขาเคยลงเล่นให้ทีมอายุต่ำกว่า 17 ปี ของสโมสร พัลไมรัส โดยในปีที่เขาทาสีกำแพงนี้ เฮซุสยิงไปทั้งหมด 37 ประตูจากการลงสนาม 22 ครั้ง ซาดิโอ มาเน ผู้ไม่ยอมให้สิ่งใดทำให้เขาช้าลง อย่าคาดหวังว่าจะเห็น ซาดิโอ มาเน หอบข้าวของจำนวนมากติดตัวไปด้วยก่อนการแข่งขัน หนึ่งในจุดเด่นของ ซาดิโอ มาเน ศูนย์หน้าชาวเซเนกัลของลิเวอร์พูล คือความเร็วของเขาที่เคยทำให้กองหลังหลายคนวิ่งไล่ตามจนเหนื่อยมาแล้ว มาเน พัฒนาความเร็วของเขาตั้งแต่ยังเด็ก ด้วยการยืนกรานที่จะไม่เดินทางด้วยรถหรือจักรยาน และเลือกจะไปไหนมาไหนด้วยการวิ่งเท่านั้น นอกจากนี้ ก่อนการซ้อมหรือลงแข่งขัน เขาก็ไม่เคยพกกระเป๋าสัมภาระใด ๆ ที่จะทำให้เขาช้าลง มาเนจะถือแค่รองเท้าสตั๊ดแล้วก็พร้อมจะลงสู่สนามทันที เขาจะวิ่งรอบสนาม 7 รอบเพื่อเตรียมพร้อมร่างกาย จากนั้นก็เริ่มลงแข่งได้เลย จุดเริ่มต้นของ คริสเตียโน โรนัลโด คนิสเตียโน โรนัลโด วัย 12 ปี (คนที่ 3 จากทางขวา) โรนัลโด ถูกยกให้เป็นหนึ่งในสองนักเตะที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลกตลอดหลายปีมานี้ และหลายคนคงเคยได้ยินถึงการฝึกซ้อมอันหนักหน่วงของเขาที่เป็นหนึ่งในกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จ แต่รู้หรือไม่ว่าตัวเขาเองกลับยอมรับว่าเป็นหนี้บุญคุณเพื่อนร่วมทีมของเขาในวัยเด็ก ที่ชื่อ อัลเบิร์ต ฟอนเตรา เมื่อครั้งที่ทั้งคู่เล่นอยู่ในทีมเดียวกัน แมวมองจากสโมสร สปอร์ติง ลิสบอน เดินทางมาดูฝีเท้าของนักเตะรุ่นเด็ก ก่อนจะให้สัญญาว่าใครที่ยิงประตูได้มากที่สุดในวันนั้น จะได้เข้าร่วมฝึกในฐานะนักเตะเยาวชนกับทางสโมสร ในการลงเล่นวันนั้น โรนัลโด และฟอนเตรา ต่างยิงได้คนละ 1 ประตู แต่ต่อมา เมื่อฟอนเตราหลุดเดี่ยวเข้าไปดวลกับผู้รักษาประตู ขณะที่เขาเลี้ยงบอลหลบพร้อมจะเข้าไปยิงประตูได้แล้ว ฟอนเตรากับเลือกผ่านบอลไปให้โรนัลโดยิงเข้าไปอย่างง่ายดาย และได้รับเลือกโดยแมวมองในวันนั้น โรนัลโด ถาม ฟอนเตรา ว่าทำไมถึงเลือกส่งผลบอลให้เขา เพื่อนสนิทของโรนัลโดกล่าวว่า "ก็นายเก่งกว่าฉัน" เส้นทางฟุตบอลของฟอนเตราจบลงไม่นานหลังจากนั้น แต่ต่อมาผู้สื่อข่าวตามหาเขาจนเจอ และพบว่ากำลังใช้ชีวิตอยู่ในบ้านหลังใหญ่พร้อมกับรถสปอร์ต และเมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าเขาได้รถคันนี้มาจากไหน ฟอนเตราตอบกลับว่า "มันมาจาก คริสเตียโน" สัญญาบนกระดาษเช็ดปากของ ลิโอเนล เมสซี เมสซีเคยถูกล็อคอยู่ในห้องน้ำของบ้านหลังนี้ จนเกือบพลาดเกมแข่งขัน ความมุ่งมั่นและทุ่มเทของเมสซี นั้นเป็นที่รู้กันดีในโลกฟุตบอล และเรื่องจากวัยเด็กของเขาเรื่องนี้ทำให้เห็นว่าเขาเป็นเช่นนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร ฮวน เลกิซามอน อดีตเพื่อนร่วมทีมของเมสซีในวัยเด็กเล่าว่า ขณะที่พวกเขาเตรียมลงแข่งในทัวร์นาเมนต์หนึ่งในอาร์เจนตินาที่มีรางวัลชนะเลิศเป็นจักรยานหนึ่งคัน เมสซีได้หายตัวไปอย่างไม่บอกกล่าว "เราจบครึ่งแรกโดยตามอยู่ 1-0 แล้วเขาก็มาถึงที่สนาม ปรากฎว่าเขาถูกล็อคอยู่ในห้องน้ำที่บ้านตัวเองและต้องทุบกระจกประตูออกมา จบเกมเราชนะไป 3-1 ด้วย 3 ประตูจากเลโอ" อดีตเพื่อนร่วมทีมคนนี้กล่าว เมสซี ยังเคยเป็นแฟนตัวยงของน้ำอัดลม โคคาโคลา ตอนที่เขาอายุ 13 ปี และเริ่มฝึกซ้อมในศูนย์ฝึกของบาร์เซโลนาใหม่ ๆ เขาดื่มมันมากเสียจนสโมสรต้องเก็บตู้ขายน้ำอัดลมทั้งหมดออกไป นอกจากนี้ สัญญาฉบับแรกที่เขาเซ็นกับบาร์เซโลนานั้นเป็นการเซ็นบนกระดาษเช็ดปาก เนื่องจากตัวแทนสโมสรมั่นใจในฝีเท้าของเขามาก จึงยืนกรานให้เขาเซ็นสัญญาทันที ถึงแม้จะไม่มีกระดาษอยู่ใกล้มือให้ใช้ร่างสัญญา ความเผื่อแผ่ของ โม ซาลาห์ โม ซาลาห์ กลายเป็นแรงบันดาลใจเขาเยาวชนอียิปต์จำนวนมาก นาทีนี้อาจไม่มีนักเตะคนไหนเป็นที่จับตามองเท่า โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ดาวดังของอียิปต์จากสโมสรลิเวอร์พูล แต่ถึงอย่างนั้นซาลาห์ก็ไม่เคยลืมภูมิหลังของตัวเอง หลังจากยิงจุดโทษให้ทีมชาติอียิปต์ผ่านเข้าสู่การแข่งขันฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1990 เศรษฐีนักธุรกิจชาวอียิปต์เสนอจะมอบบ้านพักอันหรูหราให้แก่ซาลาห์ แต่ศูนย์หน้าความเร็วสูงปฏิเสธข้อเสนอดังกล่าว และขอให้นักธุรกิจคนนั้นบริจาคเงินเพื่อช่วยเหลือหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ชื่อ นากริก ซึ่งเป็นบ้านเกิดของเขาแทน วัยเด็กของเนย์มาร์ เนย์มาร์ จูเนียร์ ดาวเตะของบราซิลที่มีค่าตัวแพงที่สุดประวัติศาสตร์ ไม่ได้ฝันจะเป็นนักฟุตบอลเมื่อเขายังเด็ก แต่อยากเป็นยอดมนุษย์ พาวเวอร์ เรนเจอร์ มากกว่า เนย์มาร์เติบโตในครอบครัวที่ยากจน ซึ่งทั้งครอบครัวต้องแบ่งฟูกกันนอนในบ้านของปู่และย่า โดยอาศัยแสงสว่างจากเทียนไขเนื่องจากพวกเขามักไม่มีไฟฟ้าใช้อยู่บ่อย ๆ พ่อของเนย์มาร์กล่าวว่าเขาแทบจะไม่ได้ดูเนย์มาร์ลงแข่งขันในวัยเด็ก เพราะต้องทำงาน 3 แห่งเพื่อเลี้ยงดูครอบครัว เขาเคยกล่าวเปรียบเทียบว่าเนย์มาร์ "ไม่ได้เริ่มต้นจากศูนย์ แต่เริ่มต้นจากติดลบห้า" อองตวน กรีซมันน์ ไม่ได้เป็นแค่นักฟุตบอล หนังสือเด็กของ อองตวน กรีซมันน์ กรีซมันน์ไม่ได้เป็นแค่นักเตะมากฝีเท้าเท่านั้น เขายังเป็นนักเขียนหนังสือเด็กที่ได้รับการตีพิมพ์เมื่อเดือน ต.ค. ที่ผ่านมาอีกด้วย "เพื่อที่จะได้เป็นนักกีฬาอาชีพ ผมต้องก้าวผ่านอุปสรรคหลายอย่าง และไม่เคยมองมันเป็นเรื่องเล่น ๆ " กรีซมันน์ เจ้าของหนังสือซีรีส์ชื่อ โกล์ (Goal!) กล่าว "ตอนนี้ผมเป็นพ่อของ มีอา ตัวน้อย และผมอยากจะส่งต่อคุณค่าทางมนุษย์และฟุตบอลของผมให้กับเด็ก ๆ ถ้าย้อนไปตอนผมเป็นเด็ก ผมจะต้องอยากอ่านเรื่องของเบ็คแฮม หรือ ซีดาน แน่ ๆ และด้วยเหตุผลนั้นผมจึงเขียนหนังสือซีรีส์ที่ชื่อว่า โกล์ นี้ออกมา"
|
คุณอาจเคยได้ยินเกี่ยวกับสถิติมากมายของนักเตะระดับโลกอย่าง ลิโอเนล เมสซี คริสเตียโน โรนัลโด หรือโมฮาเหม็ด ซาลาห์ แต่ยังมีเรื่องราวอีกมากมายเกี่ยวกับพวกเขาที่เกิดขึ้นนอกเกมการแข่งขัน
|
thailand-53774842
|
https://www.bbc.com/thai/thailand-53774842
|
เพนกวิน ตะโกน “ไม่มีสิทธิคุกคามประชาชน” ระหว่างตำรวจบุกจับคดีเดียวกับ อานนท์-ไมค์ แต่ถูกตั้งข้อหา “ทำร้ายร่างกาย” เพิ่มด้วย
|
นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ เพนกวิน ชูสัญลักษณ์ 3 นิ้ว ขณะถูกคุมตัวที่ สน. สำราญราษฎร์ ตำรวจนอกเครื่องแบบได้เข้าแสดงบัตรประจำตัว และแนะนำตัวว่าเป็น "สารวัตรกองกำกับการสืบสวน 4 กองบังคับการสืบสวนนครบาล" ก่อนจับกุมนายพริษฐ์ในเวลา 16.20 น. ของวันที่ 14 ส.ค. จากย่านเมืองทองธานี จ.นนทบุรี ในระหว่างนั่งรถยนต์ของเพื่อน เพื่อเตรียมขึ้นเวทีปราศรัยในแฟลชม็อบที่ใช้ชื่อว่า "ทุเรียนนนท์ ไม่ทนเผด็จการ" ที่ท่าน้ำนนทบุรี หน้าศาลากลางจังหวัดนนทบุรี ก่อนนำตัวนายพริษฐ์ไปยัง สภ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี เพื่อลงบันทึกประจำวันเป็นหลักฐาน และควบคุมตัวไปถึง สน.สำราญราษฎร์ ในเวลา 18.34 น. เพื่อแจ้งข้อกล่าวหาและสอบสวน โดยในช่วงแรกนายพริษฐ์ยังไม่ยอมลงจากรถ จนเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องเข้ามาเจรจา ขณะเดียวกันมารดาของผู้ต้องหารายนี้ก็รุดเดินทางมาให้กำลังใจลูกด้วย มารดารุดมาให้กำลังใจบุตรชายที่ สน.สำราญราษฎร์ ทันทีที่ทราบข่าว นายตำรวจนอกเครื่องแบบในชุดเสื้อสีน้ำเงิน ซึ่งเป็นผู้แสดงตัวเข้าจับกุมนายพริษฐ์ได้แจ้งรายละเอียดตามหมายศาลอาญารวม 8 ข้อหาต่อหน้าผู้ต้องหา ซึ่งเกือบทั้งหมดเป็นข้อหาเดียวกับนายอานนท์ นำภา ทนายความด้านสิทธิมนุษยชน และนายภาณุพงศ์ จาดนอก แกนนำกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า "เยาวชนตะวันออกเพื่อประชาธิปไตย" ซึ่งถูกจับกุมตัวไปก่อนหน้านี้เมื่อสัปดาห์ก่อน แต่ได้รับการประกันตัวออกมา ทว่าในส่วนของนายพริษฐ์ถูกตั้งข้อหา "ร่วมกันใช้กำลังทำร้ายผู้อื่นฯ" เพิ่มมาด้วย อย่างไรก็ตามไม่ปรากฏข้อหาหมิ่นสถาบันฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 แต่อย่างใด หลังมีช่างตัดผมเข้าร้องทุกข์กล่าวโทษเขาที่ สภ.เมืองเลย จ. เลย เมื่อ 12 ส.ค. ข้อกล่าวหาที่ปรากฏในหมายจับ ลงวันที่ 6 ส.ค. 2563 มีรายละเอียดดังนี้ ตำรวจแถลงต่อสื่อมวลชนว่าจะคุมตัวนายพริษฐ์ ชิวารักษ์ ไว้ที่ สน.สำราญราษฎร์ ไม่ย้ายไป สน. ตลิ่งชัน บีบีซีไทยเข้าใจว่าหมายจับที่ออกมา เป็นผลจากการเข้าร่วมชุมนุมใหญ่ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยกับกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า "เยาวชนปลดแอก" เมื่อ 18 ก.ค. ที่ผ่านมา เนื่องจากในสำนวนของตำรวจในคดีนายอานนท์และนายภาณุพงศ์ ได้อ้างถึงชื่อ "นายพริษฐ์กับพวก" โดยตลอด จึงถือเป็นแกนนำคนที่ 3 ที่ถูกออกหมายจับ หลังการชุมนุมยุติลง มีรายงานข่าวปรากฏในสื่อหลายสำนักว่าเจ้าหน้าที่ได้เก็บข้อมูลในระหว่างผู้ชุมนุมผลักดันแผงเหล็กกระแทกเจ้าหน้าที่ตำรวจปราบจลาจลหญิงสังกัดกองบังคับการอารักขาและควบคุมฝูงชน (บก.อคฝ.) หรือที่รู้จักในชื่อ "กองร้อยน้ำหวาน" ได้รับบาดเจ็บ 5 นาย ต่อมาเวลา 21.24 น. ศูนย์ทนายเพื่อสิทธิมนุษยชน เปิดเผยว่ามีการแจ้งข้อกล่าวหานายพริษฐ์รวม 10 ข้อหา ซึ่งภายหลังแจ้งข้อกล่าวหาเสร็จสิ้น "เพนกวินปฏิเสธไม่ขอให้การใดใดในวันนี้ โดยทั้งทนายและเพนกวินไม่ได้ลงลายมือชื่อในบันทึกแจ้งข้อกล่าวหา" สำหรับข้อกล่าวหาเพิ่มเติมที่เกิดขึ้นในชั้นพนักงานสอบสวนคือ ขัดคำสั่งเจ้าพนักงาน กรณีไม่พิมพ์ลายนิ้วมือ ประชาชนจำนวนหนึ่งไม่พอใจที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจะนำตัวพริษฐ์ ชิวารักษ์ ไปยัง สน.ตลิ่งชัน เพื่อทำการสอบสวน และได้มีการบุกแนวกั้นเจ้าหน้าที่เข้ามาภายในบริเวณ สน.สำราญราษฎร์ ประกาศลั่น "ไม่รับอำนาจ" และ "ไม่มีสิทธิ์คุกคามประชาชน" นายพริษฐ์เป็นนักศึกษาคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และแกนนำกลุ่มสหภาพนักเรียน นิสิต นักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนท.) ที่ร่วมเคลื่อนไหวจัด "แฟลชม็อบ" ในหลายจุด และยังเป็นผู้ปราศรัยเวียนไปตามเวทีต่าง ๆ ในระหว่างการจับกุม รายละเอียดทั้งหมดถูกถ่ายทอดสดผ่านเฟซบุ๊ก "เพนกวิน - พริษฐ์ ชิวารักษ์ Parit Chiwarak" โดยที่ตำรวจบอกกับเขาและเพื่อนว่า "ถ่ายได้ ไม่เป็นไร แต่ขออย่ารบกวนการทำงานของเจ้าหน้าที่" และเรียกเขาว่า "น้องเพนกวิน" แทบทุกคำ ก่อนระบุในตอนท้ายว่าขอเชิญตัวไปยัง สน.ที่มีอำนาจรับผิดชอบคดีนี้คือ สน. สำราญราษฎร์ "ผมไม่ยอมรับกระบวนการใด ๆ ทั้งปวง รวมถึงผมไม่ยอมรับอำนาจของพวกพี่ด้วย ดังนั้นพี่ไม่มีสิทธิสั่งผม" และ "ไม่มีสิทธิคุกคามประชาชน" เพนกวินปฏิเสธอำนาจการจับกุม แต่นายตำรวจชุดดังกล่าวได้ยืนยันว่าทำตามขั้นตอนของกฎหมาย หากไม่ยอมจะถือว่าขัดคำสั่งเจ้าหน้าที่ สุดท้ายเขาก็ถูกตำรวจช่วยกัน "อุ้ม" และไถตัวไปขึ้นรถยนต์ของเจ้าหน้าที่ซึ่งไม่มีตราสำนักงานตำรวจแห่งชาติแต่อย่างใด ภาณุพงศ์ จาดนอก แกนนำกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า "เยาวชนตะวันออกเพื่อประชาธิปไตย"ปราศรัยหน้า สน. สำราญราษฎร์ กลุ่มผู้สนับสนุนมาให้กำลังใจ หลังทราบข่าวการจับกุมนายพริษฐ์ ผู้สนับสนุนจำนวนหนึ่งเดินทางมาที่ สน. สำราญราษฎร์ เพื่อให้กำลังใจเขา พร้อมกดดันตำรวจไม่ให้ส่งตัวนายพริษฐ์ไปคุมขังค้างคืนที่ สน. ตลิ่งชัน หลังมีข้อมูลดังกล่าวหลุดลอดออกมา ที่สุดตำรวจตัดสินใจควบคุมตัวเขาไว้ที่ สน.สำราญราษฎร์ ตามเดิม นายภาณุพงศ์ ผู้ถูกจับกุมเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว และได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวจากการประกันตัว เดินทางมาที่ สน.สำราญราษฎร์ พร้อม น.ส. ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือ รุ้ง แกนนำ สนท. มาปราศรัยเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ "ปล่อยเพื่อนเรา" ขณะเดียวกันมี ส.ส. ฝ่ายค้านหลายคน รวมถึงผู้บริหาร ม.ธรรมศาสตร์ และอาจารย์คณะรัฐศาสตร์ ได้เดินทางมาที่ สน. ดังกล่าวเพื่อเตรียมพร้อมในการทำเรื่องประกันตัวผู้ต้องหารายนี้ น.ส. ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล ปราศรัย หน้า สน. สำราญราษฎร์ ขอตำรวจปล่อยตัวเพื่อน ด้าน พล.ต.ต. สมประสงค์ เย็นท้วม รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) แถลงชี้แจงกรณีการจับกุมนายพริษฐ์ ว่าเป็นผลจากการจัดกิจกรรมเมื่อวันที่ 18 ก.ค. หลังตำรวจจับกุมนายอานนท์ กับนายภาณุพงษ์ ตามหมายจับศาลอาญาไปก่อนหน้า ยืนยันว่าการดำเนินคดีเป็นไปตามขั้นตอนกฎหมายทุกประการ และหลังสอบปากคำเสร็จสิ้นจะคุมขังที่ สน.สำราญราษฎร์ ตามกรอบกฎหมาย 48 ชม. ต้องส่งตัวฝากขังที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ต่อไป
|
กลุ่มผู้สนับสนุนนายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ เพนกวิน ชุมนุมหน้า สน. สำราญราฎร์ เรียกร้องให้ตำรวจปล่อยตัวเขา หลังตำรวจแสดงหมายศาลอาญาที่ 1172/2563 เข้าจับกุมตัวนายนายพริษฐ์
|
international-43950773
|
https://www.bbc.com/thai/international-43950773
|
สิ่งมีชีวิตหลายเซลล์เกิดขึ้นบนโลกเร็วกว่าที่คาด 1 พันล้านปี
|
(ภาพจากฝีมือศิลปิน) สิ่งมีชีวิตใต้ทะเลในยุคดึกดำบรรพ์ Ediacaran ซึ่งเคยเชื่อกันว่าเป็นสิ่งมีชีวิตหลายเซลล์รุ่นแรก ๆ ที่ถือกำเนิดขึ้นบนโลก ทีมนักวิจัยจากสถาบันธรณีวิทยาจีน รวมทั้งนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเอดินบะระและมหาวิทยาลัยลีดส์ของสหราชอาณาจักร ตีพิมพ์เผยแพร่ผลการค้นพบข้างต้นในวารสาร Nature Geoscience โดยระบุว่าพื้นที่ใต้มหาสมุทรในมหายุคมีโซโพรเทอโรโซอิก (Mesoproterozoic Era) เมื่อราว 1.6 พันล้าน ถึง 1 พันล้านปีก่อน มีปริมาณออกซิเจนในระดับสูงกว่าที่เคยเข้าใจกัน และเงื่อนไขนี้เอื้ออำนวยต่อการเกิดสิ่งมีชีวิตหลายเซลล์ได้ วงการบรรพชีวินวิทยาเคยเข้าใจกันว่า มหายุคมีโซโพรเทอโรโซอิกนั้นอยู่ในช่วงเวลาที่โลกยังมีออกซิเจนในระดับต่ำอย่างคงที่ยาวนานถึงหนึ่งพันล้านปี ทำให้ไม่มีสิ่งมีชีวิตชนิดใหม่เกิดขึ้น นอกจากสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวหรือแบคทีเรียที่มีมาก่อนหน้านั้น นักวิทยาศาสตร์บางรายเรียกช่วงเวลานี้ว่า Boring Billion หรือ "หนึ่งพันล้านปีที่น่าเบื่อ" ฟอสซิลของสิ่งมีชีวิตคล้ายสาหร่ายที่พบในจีนเมื่อไม่กี่ปีก่อน ชี้ว่าสิ่งมีชีวิตหลายเซลล์เกิดขึ้นเร็วกว่าที่คาดถึง 1 พันล้านปี อย่างไรก็ตาม ผลการวิเคราะห์องค์ประกอบของหินยุคมีโซโพรเทอโรโซอิก ที่ได้จากแอ่งหยานเหลียว (Yanliao Basin) ทางตอนเหนือของจีนชี้ว่า ในช่วงต้นของยุคนี้มีการเพิ่มขึ้นของปริมาณออกซิเจนที่ก้นมหาสมุทร จนน่าจะมีความเข้มข้นเพียงพอที่สิ่งมีชีวิตหลายเซลล์ซึ่งใช้พลังงานในการดำรงชีวิตมากขึ้นจะสามารถอยู่รอดได้ ผลการศึกษาล่าสุดนี้ สนับสนุนรายงานการค้นพบฟอสซิลของสิ่งมีชีวิตหลายเซลล์คล้ายสาหร่ายในจีนเมื่อปี 2016 โดยการที่ฟอสซิลดังกล่าวมีอายุเก่าแก่ถึง 1.56 พันล้านปี และเกิดขึ้นก่อนช่วงที่เชื่อว่าโลกจะมีปริมาณออกซิเจนสูงพอ ทำให้ในเวลานั้นหลายคนตั้งข้อสงสัยว่า ฟอสซิลดังกล่าวน่าจะเป็นของกลุ่มแบคทีเรียที่รวมตัวกันเป็นแผ่นบาง ๆ มากกว่าจะเป็นของสิ่งมีชีวิตหลายเซลล์ในยุคเริ่มแรก อย่างไรก็ตาม ทีมผู้วิจัยยังไม่สามารถตอบคำถามได้ว่า ปริมาณออกซิเจนที่เพิ่มขึ้นใต้ท้องมหาสมุทรในมหายุคมีโซโพรเทอโรโซอิกนั้นมีแหล่งกำเนิดจากที่ใดกันแน่ แต่จะมีการค้นคว้าหาคำตอบกันต่อไปในอนาคต
|
ก่อนหน้านี้นักวิทยาศาสตร์สันนิษฐานว่า สิ่งมีชีวิตหลายเซลล์ถือกำเนิดขึ้นบนโลกเมื่อราว 600 ล้านปีก่อน ในขณะที่ชั้นบรรยากาศและใต้มหาสมุทรเริ่มมีปริมาณออกซิเจนเพิ่มขึ้น แต่ล่าสุดหลักฐานใหม่กลับชี้ว่า สิ่งมีชีวิตแบบซับซ้อนอาจมีมานานกว่านั้นถึงหนึ่งพันล้านปี
|
international-39216766
|
https://www.bbc.com/thai/international-39216766
|
ศาลเกาหลีใต้เริ่มพิจารณาคดีคอร์รัปชันของทายาทซัมซุง
|
ในวันแรกนี้ นายลี ไม่ได้ปรากฏตัวในการไต่สวนมูลฟ้อง แต่ทนายความของนายลี เข้าให้การแทน โดยปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ซึ่งคดีนี้ มีส่วนเชื่อมโยงกับกรณีทุจริตอื้อฉาวที่นำไปสู่กระบวนการถอดถอนประธานาธิบดี ปัก กึน-เฮ ออกจากตำแหน่งด้วย ด้านผู้บริหารซัมซุงอีก 4 คน ที่กำลังถูกดำเนินคดี ได้ให้การปฏิเสธข้อกล่าวหาเช่นกัน คาดว่าการพิจารณาครั้งนี้จะกินเวลาหลายเดือน ข้อกล่าวหานายลี นายลี หรือที่รู้จักในอีกชื่อหนึ่งว่า เจ วาย ลี มีตำแหน่งเป็นรองประธานกรรมการ ของบริษัทซัมซุงอิเล็กทรอนิกส์ และนับตั้งแต่นาย ลี คุน-ฮี บิดา ล้มป่วยจากภาวะหัวใจวายเมื่อปี 2014 เขาก็ถูกมองว่าเป็นผู้นำตัวจริงของกลุ่มบริษัทซัมซุงทั้งหมด นายลี ถูกกล่าวหาว่า มอบเงินบริจาค 41 พันล้านวอน (1.26 พันล้านบาท) ให้กับมูลนิธิไม่หวังผลกำไรที่ดำเนินการโดย นางชเว ซุน ซิล เพื่อนสนิทของประธานาธิบดีปัก อัยการกล่าวหาว่า นี่เป็นการกระทำเพื่อหวังผลตอบแทนในรูปของการสนับสนุนจากรัฐบาลสำหรับโครงการปฏิรูปครั้งใหญ่ของซัมซุง ซึ่งจะช่วยให้การถ่ายโอนอำนาจเป็นไปในทางที่เอื้อประโยชน์ต่อนายลีอย่างราบรื่น ในการไต่สวนของรัฐสภา ซัมซุง ยอมรับว่าได้มอบเงิน 20.4 พันล้านวอน (626,000 ล้านบาท) ให้กับมูลนิธิสองแห่ง แต่ระบุว่าไม่ได้ทำเพื่อหาผลประโยชน์ นายลี ยืนยันด้วยว่า ทางบริษัทฯ ได้มอบม้า 1 ตัว กับเงินสดจำนวนหนึ่ง เพื่อสนับสนุนอาชีพนักขี่ม้าแข่งของ ชุง ยู รา บุตรสาวของนางชเว ซึ่งเป็นสิ่งที่ตอนนี้เขารู้สึกเสียใจที่ได้ทำไป ลี แจ-ยอง ทายาทซัมซุง - หลานชายของ ลี เบียง-ชอล ผู้ก่อตั้ง บ.ซัมซุง, ลูกชายของ ลี คุน-ฮี ประธานกรรมการคนปัจจุบัน - เป็นที่รู้จักในอีกชื่อว่า เจ วาย ลี ปัจจุบันอายุ 48 ปี และทำงานกับ บ.ซัมซุงมาตลอด - ดำรงตำแหน่งรองประธานกรรมการซัมซุงอิเล็กทรอนิกส์ และได้รับการเสนอชื่อให้เป็นคณะกรรมการบริหาร ต.ค. 2016 - แม้จะถูกจับกุม แต่หลายฝ่ายยังคาดว่าเขาจะได้เป็นผู้บริหารกลุ่มบริษัทซัมซุงทั้งหมด - ถูกวิจารณ์ว่าขึ้นสู่ตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงในซัมซุงได้ เพราะความสัมพันธ์ในครอบครัว ไม่ใช่ประสบการณ์ด้านธุรกิจ ตำแหน่งทางการเมืองของประธานาธิบดีปัก เริ่มสั่นคลอนเมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว จากการถูกเปิดโปงความสัมพันธ์กับนางชเว ซึ่งรวมถึงรายละเอียดเกี่ยวกับการที่ น.ส.ปัก ให้เพื่อนซึ่งไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับราชการเข้ามาปรับแก้สุนทรพจน์ โดยกรณีอื้อฉาวนี้ ทำให้รัฐสภาของเกาหลีใต้มีมติถอดถอน น.ส.ปัก เมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้ว ซึ่งคาดว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยออกมาในเร็ว ๆ นี้ ว่าจะรับรองมติจากการลงคะแนนของรัฐสภาให้เธอพ้นจากตำแหน่งประธานาธิบดีหรือไม่ และจนกว่าจะถึงเวลานั้น นางปักก็ยังคงเป็นประธานาธิบดีอยู่ เพียงแต่ไม่มีอำนาจในการบริหารประเทศ ส่วนนางชเว กำลังต่อสู้คดีซึ่งรวมถึงคดีคอร์รัปชัน และการใช้อำนาจบีบบังคับผู้อื่น โดย น.ส.ปัก ที่แม้จะปฏิเสธการกระทำผิด แต่ก็ได้ออกมาขอโทษต่อการบริหารจัดการความสัมพันธ์กับนางชเว ซึ่งก็ปฏิเสธข้อกล่าวหาการกระทำผิดกฎหมายอาญาเช่นกัน
|
ศาลเกาหลีใต้เริ่มการพิจารณาคดี นายลี แจ-ยอง รองประธานกรรมการ และทายาทบริษัทซัมซุง ในข้อหาคอร์รัปชัน ซึ่งรวมถึงติดสินบน และยักยอกเงิน
|
international-49306791
|
https://www.bbc.com/thai/international-49306791
|
ผู้หญิงเป็นนักกีฬาแข่งขันระยะไกลได้ดีกว่าผู้ชายหรือเปล่า
|
ฟิโอนา โคล์บิงเงอร์ ขี่จักรยานระยะทางเกือบ 4,000 กิโลเมตร โดยใช้เวลาเพียง 10 กว่าวัน น่าประหลาดใจเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เธอเข้าร่วมการแข่งขันการขี่จักรยานระยะทางไกลมาก (ultra-endurance) อย่างเป็นทางการ และก็เป็นการแข่งขันที่มีผู้ชายเข้าร่วมด้วย นักปั่นชาวเยอรมันผู้นี้ทิ้งห่างอันดับสองได้ถึง 10 ชั่วโมง แต่นี่ไม่ใช่เรื่องใหม่ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มีนักกีฬาหญิงจำนวนมากขึ้นที่ทำผลงานได้อย่างน่าพอใจในการแข่งขันประเภททางไกล เมื่อเดือน ม.ค. จัสมิน แพริส นักวิ่งระยะไกล จากสหราชอาณาจักร เป็นผู้หญิงคนแรกที่ชนะรายการ Montane Spine Race ซึ่งมีระยะทางราว 431 กิโลเมตร ใช้เวลาไป 83 ชั่วโมง 12 นาที 23 วินาที ทำลายสถิติเก่าของรายการไปถึง 12 ชั่วโมง และเวลาที่ใช้ไปนั้นรวมถึงการพักให้นมลูกด้วย เมื่อเดือน พ.ค. แพทย์หญิงจากสหราชอาณาจักร เคที ไรท์ เอาชนะการแข่งขันวิ่งระยะไกลในรายการ Riverhead Backyard ReLaps ที่นิวซีแลนด์ วิ่งนาน 30 ชั่วโมง โดยแทบไม่หยุด เอาชนะผู้ชาย 40 คน และผู้หญิงอีก 6 คน ฟิโอนา โอคส์ นักวิ่งระยะไกลเจ้าของ 4 สถิติโลก บอกว่า "ยิ่งระยะทางไกลขึ้นเท่าไหร่ ผู้ชายและผู้หญิงก็จะสูสีมากขึ้นเท่านั้น นี่หมายความว่าผู้หญิงแข่งกว่าผู้ชายในรายการแข่งขันระยะไกลหรือเปล่า แล้วถ้าจริง ด้วยปัจจัยอะไรกัน? ดร. นิโคลัส ทิลเลอร์ อาจารย์อาวุโสภาควิชาสรีรวิทยาประยุกต์จากมหาวิทยาลัยเชฟฟิลด์ฮาลลัม อธิบายว่า ร่างกายผู้หญิงมีการผลิตเส้นใยกล้ามเนื้อที่เรียกว่า "slow twitch" มากกว่าผู้ชาย และเส้นใยกล้ามเนื้อนี้สามารถทนความเหนื่อยล้าได้ดีกว่า เขาบอกว่าผู้ชายจะมีกล้ามเนื้อมัดใหญ่มากกว่า ทำให้มีพลังและแรงมากกว่า นี่เป็นเหตุผลว่าเหตุใดผู้หญิงถึงไม่สามารถสู้ผู้ชายได้ในรายการการแข่งขันระยะสั้นกว่า อาทิ การแข่งขันมาราธอน เอเลียด คิปโชเก นักวิ่งชาวเคนยา ชนะการแข่งขันลอนดอนมาราธอนในปีนี้ด้วยเวลา 2 ชั่วโมง 2 นาที 38 วินาที โดย บริจิด คอสเก ผู้ชนะในประเภทหญิงเข้าเส้นชัยตามหลังถึง 16 นาที ดร. ทิลเลอร์ ซึ่งก็เป็นนักวิ่งระยะไกลเช่นกัน บอกว่า กล้ามเนื้อส่วนที่ใช้ในการออกแรงได้อย่างเต็มที่อย่างที่ผู้ชายมีไม่ได้สำคัญเท่าในการแข่งขันระยะไกลสุดขีด เขาบอกว่า ในการแข่งขันระยะไกลมาก ๆ นักกีฬาจะไม่ได้ออกแรงอย่างเต็มที่ แต่เป็นการปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมโดยรอบ การมีออกซิเจนอย่างเพียงพอ และความแข็งแกร่งของสภาพจิตใจ ดังนั้น ผู้หญิงและผู้ชายจะแข่งขันกันอย่างสูสีมากกว่าในรายการที่เป็นระยะไกลมาก ๆ ฟิโอนา โอคส์ นักวิ่งระยะไกลเจ้าของ 4 สถิติโลก บอกว่า "ยิ่งระยะทางไกลขึ้นเท่าไหร่ ผู้ชายและผู้หญิงก็จะสูสีมากขึ้นเท่านั้น" เธอบอกว่า ระหว่างการแข่งขันรายการที่ขั้วโลกเหนือ เธอได้เข้าใจว่านักวิ่งหญิงและชายจัดการตัวเองแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ผู้ชายมักจะออกตัวไปอย่างรวดเร็ว แต่เธอบอกว่าในรายการแข่งขันลักษณะนั้น เป็นเรื่องจำเป็นมากที่ต้องรักษาความเร็วในตอนเริ่มต้นเท่ากับตอนเข้าเส้นชัย และหากวิ่งแผ่วลงในช่วงหลัง ๆ อาจเกิดภาวะที่ร่างกายมีอุณหภูมิต่ำเกินไปได้ ดร. คาร์ลา เมเจน อาจารย์อาวุโสด้านจิตวิทยาในการกีฬาประยุกต์จากมหาวิทยาลัยเซนต์แมรีในอังกฤษ บอกว่า อาจเป็นเพราะความสามารถในการจัดการอารมณ์ที่ทำให้ผู้หญิงทำผลงานในการแข่งขันระยะไกลมาก ๆ ได้ดีกว่า ตอนที่ จัสมิน แพริส ชนะรายการ Montane Spine Race เธอพักแค่ 7 ชั่วโมงจากเวลาทั้งหมด 83 ชั่วโมง ต้องนอน กินอาหาร และก็จัดอุปกรณ์ไปด้วย ในช่วงสุดท้ายของการแข่งขัน เธอเริ่มเกิดภาพหลอน คิดว่าเห็นสัตว์วิ่งออกมาตามทาง เธอหลงลืมบางชั่วขณะว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ก่อนที่จะจำขึ้นมาได้ ในการแข่งขันระยะไกลมาก ๆ นักกีฬาจะไม่ได้ออกแรงอย่างเต็มที่ แต่เป็นการปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมโดยรอบ การมีออกซิเจนอย่างเพียงพอ และความแข็งแกร่งของสภาพจิตใจ ดร. เมเจน ทำงานวิจัยกับ พอล แอนส์ทิสส์ และ ศ. ซามูเอล มาร์คอร์ลา จากมหาวิทยาลัยเคนต์ และพบว่า นักกีฬาหญิงบางคนพูดถึงประสบการณ์ในอดีตอย่างเช่นการคลอดลูกว่าช่วยพวกเขาระหว่างการแข่งขัน "ผู้เข้าแข่งขันหญิงบางคนบอกว่าประสบการณ์อย่าง การคลอดลูก ช่วยให้พวกเขารับมือกับความเจ็บปวด นั่นหมายความว่าพวกเขามีความเชื่อมั่นในตัวเองมากกว่าว่าจะสามารถผ่านความเจ็บปวดไปได้" ดร. เมเจน กล่าว อย่างไรก็ตาม เธอบอกว่า ยังมีงานวิจัยที่เปรียบเทียบระหว่างนักกีฬาชายและหญิงน้อยอยู่ ดร. ไบรซ์ คาร์ลสัน นักวิ่งระยะไกล บอกว่า ยังมีข้อมูลไม่มากพอที่จะสรุปได้ว่าผู้หญิงมีประสิทธิภาพในการแข่งขันระยะไกลแบบนี้ดีกว่าผู้ชายหรือไม่
|
ฟิโอนา โคล์บิงเงอร์ ขี่จักรยานระยะทางเกือบ 4,000 กิโลเมตร โดยใช้เวลาเพียง 10 กว่าวัน ฝ่าพายุ แดดร้อนแผดเผา และฝนเหน็บหนาว เธอกลายเป็นผู้หญิงคนแรกที่ชนะรางวัลการแข่งขันปั่นจักรยานข้ามทวีป Transcontinental Race จากบัลแกเรียไปถึงฝรั่งเศส
|
international-41297666
|
https://www.bbc.com/thai/international-41297666
|
วิกฤตโรฮิงญา: โอกาสสุดท้ายของนางออง ซาน ซู จี
|
ชาวโรฮิงญากว่า 400,000 คน หนีจากเมียนมาไปยังบังกลาเทศ ในการให้สัมภาษณ์กับรายการฮาร์ด ทอล์ค ของบีบีซี ก่อนการประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติจะเริ่มขึ้นในสัปดาห์นี้ นายกูเตอร์เรสกล่าวว่า "หากเธอไม่ช่วยพลิกสถานการณ์ในตอนนี้ ผมคิดว่าคงจะเกิดหายนะที่รุนแรง และไม่เห็นหนทางที่จะแก้ไขให้สถานการณ์กลับมาดีขึ้นได้ในอนาคต" สหประชาชาติได้ออกมาเตือนว่า การใช้กำลังทหารที่ดำเนินอยู่อาจนับเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ได้ แต่รัฐบาลเมียนมาระบุว่าทำไปเพื่อตอบโต้การโจมตีของกลุ่มติดอาวุธ และปฏิเสธว่าไม่ได้มุ่งเป้าที่พลเรือน นอกจากนี้เลขาธิการยูเอ็นยังเน้นย้ำว่าชาวโรฮิงญาควรได้รับอนุญาตให้เดินทางกลับบ้าน พร้อมระบุว่าเป็นที่ชัดเจนว่ากองทัพเมียนมายังคงมีอำนาจในประเทศ และกำลังใช้แรงกดดันในพื้นที่รัฐยะไข่ นางออง ซาน ซู จี เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ที่เคยถูกกักบริเวณภายในบ้านพักมาหลายปีภายใต้รัฐบาลทหารของเมียนมา กำลังเผชิญกับเสียงวิจารณ์มากขึ้นในประเด็นชาวโรฮิงญา เธอได้ระบุแล้วว่าจะไม่เดินทางไปร่วมการประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติที่นครนิวยอร์ก รวมถึงอ้างว่าวิกฤตนี้กำลังถูกบิดเบือน โดยการให้ข้อมูลผิดๆ ผ่านข่าวเท็จที่ส่งเสริมผลประโยชน์ของผู้ก่อการร้าย มาลาลา ยูซาฟไซ เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ (ซ้าย) เป็นอีกคนที่ออกมาขอคำตอบจากซูจี ขณะที่ อันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ (ขวา) เรียกร้องให้ซูจีเร่งพลิกสถานการณ์ เลขาธิการสหประชาชาติออกมาเตือนเรื่องนี้ หลังจากรัฐบาลบังกลาเทศแถลงว่าจะจำกัดการเคลื่อนย้ายของผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงญากว่า 400,000 คนจากเมียนมา โดยตำรวจบังกลาเทศระบุว่าจะไม่อนุญาตให้ชาวโรฮิงญาเดินทางออกนอกพื้นที่ที่กำหนด ห้ามไม่ให้ไปอาศัยอยู่กับญาติหรือคนรู้จักในประเทศ รวมถึงเรียกร้องเจ้าของกิจการขนส่งและคนขับไม่ให้ช่วยขนส่งผู้ลี้ภัย และห้ามเจ้าของที่พักอาศัยปล่อยเช่ากับผู้ลี้ภัยด้วย นอกจากนี้รัฐบาลบังกลาเทศยังประกาศแผนสร้างที่พักให้กับผู้ลี้ภัย ใกล้กับเมืองค็อกซ์ บาซาร์ แต่นักวิเคราะห์มองว่ารัฐบาลบังกลาเทศต้องการสกัดกั้นไม่ให้ชาวโรฮิงญาหายไปปะปนกับประชาชนส่วนใหญ่ เพื่อจะได้เฝ้าติดตาม ด้วยความหวังจะส่งพวกเขากลับเมียนมา หรือส่งต่อไปตั้งรกรากยังประเทศที่ 3 สภาพของหมู่บ้านอัลเลตันจอว์ ซึ่งเป็นหนึ่งในจุดที่กลุ่ม ARSA โจมตีตำรวจเมื่อวันที่ 25 ส.ค. เมื่อวันที่ 25 ส.ค. กลุ่มติดอาวุธชาวโรฮิงญาได้โจมตีป้อมตำรวจทางเหนือของรัฐยะไข่ ทำให้มีเจ้าหน้าที่เสียชีวิต 12 นาย แต่ชาวโรฮิงญาที่อพยพออกจากเมียนมาตั้งแต่เกิดเหตุนี้ ระบุว่าทหารตอบโต้อย่างรุนแรงด้วยการเผาหมู่บ้าน และโจมตีประชาชนด้วยเจตนาที่จะขับไล่ บางส่วนที่หนีออกจากรัฐยะไข่ กล่าวกับบีบีซีเมื่อช่วงต้นเดือนนี้ว่ามีการฆ่า ข่มขืน รวมถึงการสังหารหมู่ และในช่วงที่ผู้สื่อข่าวบีบีซีเข้าไปทำข่าวในรัฐยะไข่ ก็ได้เห็นซากบ้านที่ถูกเผาด้วย ส่วนรายงานจากฮิวแมนไรท์ วอทช์ ที่ถูกเปิดเผยเมื่อวันศุกร์ (15 ก.ย.) กล่าวหากองทัพเมียนมาว่า "ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์" และให้รายละเอียดหมู่บ้านที่ตกเป็นเป้าการวางเพลิง ด้านรัฐบาลเมียนมาโทษกลุ่มกบฏชาวโรฮิงญาอยู่เบื้องหลังความรุนแรงที่เกิดขึ้น และแม้ว่านายซอว์ ฮเตย์ โฆษกรัฐบาลเมียนมา จะพยายามบอกให้ผู้พลัดถิ่นเข้าไปอาศัยในค่ายพักพิงที่รัฐบาลจัดเตรียมไว้ให้ในรัฐยะไข่ แต่ก็กล่าวว่าผู้ที่เดินทางออกจากเมียนมาไปยังบังกลาเทศแล้ว จะไม่ได้รับอนุญาตให้กลับเข้าประเทศ
|
นายอันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ กล่าวว่า นางออง ซาน ซู จี มี "โอกาสสุดท้าย" ในการยับยั้งการใช้กำลังทหาร ซึ่งทำให้ชาวมุสลิมโรฮิงญานับแสนคนต้องหนีออกนอกประเทศ
|
features-44066397
|
https://www.bbc.com/thai/features-44066397
|
มหาเธร์ โมฮัมหมัด: 5 เรื่องควรรู้เกี่ยวกับอดีตแพทย์ "ผู้ทรงอิทธิพล"
|
แม้ก้าวขาลงจากอำนาจ-ประกาศวางมือการเมืองตั้งแต่ปี 2002 (วางมือจริงเดือน ต.ค. 2003) แต่นายมหาเธร์ยังเป็น "ผู้ทรงอิทธิพล" ต่อการเมืองมาเลเซียตลอดเกือบ 16 ปีที่ผ่านมา บีบีซีไทยรวบรวมเรื่องน่ารู้เกี่ยวกับนายมหาเธร์ หรือ "ด็อกเตอร์เอ็ม" จากหมอสู่นักการเมือง เพื่อนสนิท-มิตรสหายของนายมหาเธร์บางส่วนยังคงเรียกนายมหาเธร์ว่า "หมอบ้าน" (Bomoh) ด้วยเพราะเขาเคยรับราชการด้วยการเป็นแพทย์ หลังสำเร็จการศึกษาจากวิทยาลัยแพทยศาสตร์ คิง เอ็ดเวิร์ดที่ 7 ประเทศสิงคโปร์ ก่อนออกมาเปิดคลินิกของตัวเองในปี 1957 ในเมืองอลอร์สตาร์ รัฐเคดาห์ บ้านเกิดของเขา เป็นคลินิกเพียงแห่งเดียวในรัฐนี้ที่มีคนเชื้อสายมาเลย์เป็นเจ้าของ นายมหาเธร์ (ซ้าย) ระหว่างการหารือกับนายชวน หลีกภัย ที่ประเทศแคนาดาในปี 1997 ว่ากันว่านายมหาเธร์ไม่เรียกเก็บค่ารักษาจากคนจน บางครั้งยังให้เงินผู้ป่วยยากจนติดตัวกลับบ้านไปด้วย จนชาวบ้านต่างชื่นชอบ ชื่นชม เรียกขานเขาว่า "ด็อกเตอร์อัมโน" ตามชื่อพรรคที่นายมหาเธร์ผู้สนใจการเมืองสมัครเข้าร่วมอุดมการณ์ตั้งแต่ปี 1945 ขณะมีอายุเพียง 20 ปี นี่น่าจะเป็นหนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ทำให้นายมหาเธร์ได้รับเลือกตั้งให้เป็น ส.ส. สมัยแรกในปี 1964 นอกจากนี้เมื่อเข้าไปทำหน้าที่ในสภา เขายังผลักดันกฎหมายการแพทย์เพื่อคนจนได้สำเร็จด้วย จากจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ นายมหาเธร์ก้าวขึ้นสู่การเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในฐานะนายกรัฐมนตรี และครองอำนาจยาวนานที่สุดของประวัติศาสตร์การเมืองมาเลเซีย รวม 22 ปี (1981-2003) นอกจากนี้ยังผ่านการนั่งเก้าอี้รัฐมนตรีมา 5 กระทรวง ได้แก่ กระทรวงการคลัง, กระทรวงมหาดไทย, กระทรวงกลาโหม, กระทรวงการค้าระหว่างประเทศและอุตสาหกรรม และกระทรวงศึกษาธิการ นักการเมืองฝีปากกล้าผู้กล้าหักมหาอำนาจ นอกจากไม่เดินตามหลังชาติตะวันตก นายมหาเธร์ยังประกาศ "ยืนด้วยลำแข้งตัวเอง" และแสดงจุดยืนสวนทางกับประเทศมหาอำนาจอยู่บ่อยครั้ง โดยจุดแตกหักสำคัญอยู่ที่การปฏิเสธรับเงินช่วยเหลือจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) หลังเกิดวิกฤตเศรษฐกิจปี 1997 ที่คนไทยรู้จักในนาม "วิกฤตต้มยำกุ้ง" พ.ศ. 2540 เพราะไม่ต้องการ "สูญเสียเอกราชทางเศรษฐกิจ" ผู้นำมาเลเซียคนที่ 4 เลือกใช้วิธีควบคุมการเข้าออกของเงินทุน ลดการนำเข้าสินค้าอุตสาหกรรมหนักเพื่อป้องกันเงินตราไหลออกนอกประเทศ, อัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบการผลิตมากขึ้น ทั้งนี้แนวทางของนายมหาเธร์ช่วยกู้สถานการณ์เศรษฐกิจของมาเลเซียได้ ทว่านั่นได้นำมาสู่ความขัดแย้งทางความคิดกับนายอันวาร์ อิบบราฮิม รมว.คลัง (ในขณะนั้น) ผู้ประกาศใช้มาตรการเปิดเสรีและคงอัตราดอกเบี้ยให้สูง ก่อนมีการ "ปลด" นายอันวาร์พ้นจากตำแหน่งในเวลาต่อมา มหาเธร์ โมฮัมหมัด 22 ปี ช่วงเวลาเป็นนายกรัฐมนตรี ( 1981-2003) 1981 ขึ้นเป็นนายกฯ มาเลเซียคนที่ 4 ควบ รมว.มหาดไทย-ยุติธรรม 1998 ปลดอันวาร์ อิบราฮิม รองนายกฯ-ตั้งข้อหาสัมพันธ์เพศเดียวกัน 2008 ถูกสอบข้อหาคอร์รัปชั่นช่วงเป็นรัฐบาล 2016 ถอนตัวจากแนวร่วมรัฐบาล ก่อนเป็นผู้นำแนวร่วมฝ่ายค้าน 'ปากาตัน ฮาราปัน' "บิดาแห่งการสร้างความทันสมัย" ผู้ให้กำเนิดเด็กชาย "โปรตอน" พลันที่ก้าวขึ้นสู่เก้าอี้นายกฯ คนที่ 4 ของมาเลเซียในปี 1981 นายมหาเธร์ประกาศนโยบาย "มองตะวันออก" (Look East) ด้วยนิสัย "ไม่ชอบเดินตามก้นชาติตะวันตก" จึงชี้ชวนให้เพื่อนร่วมชาติมองญี่ปุ่นและเกาหลีใต้เป็นต้นแบบในการพัฒนาชาติ เขาถือเป็นผู้นำคนแรก ๆ ของอาเซียนที่มี "วิสัยทัศน์ 2020" (Vision 2020) เพื่อนำพามาเลเซียสู่การเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว ด้วยสไตล์การบริหารงานที่ยึดแนวทาง "ชาตินิยมทางเศรษฐกิจ" ทำให้นายมหาเธร์คิด-ผลักดันให้เกิดการผลิต "รถยนต์แห่งชาติมาเลเซีย" ขึ้นภายใต้ชื่อ "โปรตอน" ซึ่งสามารถปั๊มตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจในภาคอุตสาหกรรมให้มาเลเซียได้เป็นอย่างดี นับจากก่อตั้งบริษัท โปรตอน โฮลดิงส์ เบอร์ฮัด ในปี 1983 จากเคยเป็นประเทศ "เกษตรกรรมล้าหลัง" ทำสวนยางพารา ปาล์มน้ำมัน และเหมืองแร่เป็นหลัก มาเลเซียพลิกกลับมาเป็นประเทศ "อุตสาหกรรมชั้นนำ" ของภูมิภาค ชิงตำแหน่ง "เสือตัวที่ 5 ของเอเชีย" จากไทยไปได้สำเร็จ โดยมีโปรตอนเป็น "หน้าตา-ความภูมิใจ" ของชาวมาเลเซีย นาจิบ ราซัค ผู้เป็นเสมือนศิษย์ทางการเมืองของนายมหาเธร์ กระทั่งวันที่ 25 พ.ค. 2017 เมื่อรัฐบาลนายนาจิบ ราซัค ตัดสินใจขายหุ้นบริษัท โปรตอนฯ ให้แก่บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ยักษ์ใหญ่ของจีน เจ้อเจียง จีลี่ โฮลดิงส์ กรุ๊ป เนื่องจากประสบภาวะขาดทุนสะสมจากส่วนแบ่งทางการตลาดที่ลดลง ทว่ารัฐยังต้องเจียดงบประมาณไป "อุ้ม" ร้อนถึงนายมหาเธร์ต้องออกมาแสดงความในใจผ่านเว็บบล็อกส่วนตัวว่า "รู้สึกเสียใจมาก เกือบจะร้องไห้ได้เลย" "แม้โปรตอนจะประสบความสำเร็จในเชิงพาณิชย์ แต่ไม่อาจภาคภูมิใจได้เลย เพราะโปรตอนไม่ได้เป็นของชาวมาเลเซียอีกแล้ว ผมสูญเสียลูกของผมไปแล้ว..." นายมหาเธร์ระบุ นอกจากนี้ในยุคสมัยของรัฐบาลนายมหาเธร์ยังผุดสารพัดโครงการลงทุนขนาดใหญ่ (เมกะโปรเจคต์) ที่กลายเป็น "สัญลักษณ์ของมาเลเซีย" จนถึงปัจจุบัน อาทิ สร้างเมืองใหม่-เมืองราชการ "ปุตราจายาซูเปอร์คอร์ริดอร์" สร้างตึกแฝด "ปิโตรนาส" ทำให้เขาได้รับการยกย่องให้เป็น "บิดาแห่งการสร้างความทันสมัย" ของมาเลเซีย เผด็จการอ่อน ๆ คำสั่งปลดนายอันวาร์จากกรณีมีความคิดเห็นไม่ตรงกัน ก่อให้เกิดภาพลักษณ์ "เผด็จการอ่อน ๆ" ขึ้นกับนายมหาเธร์ ก่อนใช้กฎหมายความมั่นคงภายใน (ISA) จับกุมนายอันวาร์ อิบราฮิม รองนายกรัฐมนตรี ผู้ถูกวางตัวให้สืบทอดตำแหน่งทางการเมืองจากมหาเธร์ ด้วยข้อหาการมีสัมพันธ์ทางเพศระหว่างเพศเดียวกัน ซึ่งเป็นข้อหาที่หลายฝ่ายมองว่ามีมูลเหตุจูงใจจากเรื่องทางการเมือง มหาเธร์ ยังถูกมองว่าใช้มาตรการแข็งกร้าวตอบโต้ผู้เห็นต่าง โดยเฉพาะกลุ่มนักเคลื่อนไหว นักวิชาการ สื่อมวลชนและนักการเมืองฝ่ายค้าน ตอนหนึ่งของหนังสือ "จับเข่าคุย มหาเธร์ โมฮัมหมัด" เขียนโดย ทอม เพลต นักข่าวอเมริกัน กล่าวในประเด็นนี้ว่า โลกภายนอกมาเลเซียมองนายมหาเธร์ว่า เป็นคนไม่เกรงกลัวที่จะใช้วิธีการกดขี่สังคมเพื่อจัดการกับสถานการณ์ โดยหนึ่งในเหตุการณ์ที่เป็นตราบาปของมหาเธร์เกิดขึ้นในปีที่หกของการเป็นนายกรัฐมนตรีของเขา มหาเธร์ใช้กฎหมายความมั่นคงภายใน จับกุมผู้อยู่ฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาลกว่า 100 คน ใน "ปฏิบัติการลาลัง (Operation Lalang)" หรือแปลเป็นไทยว่า ภารกิจถอนรากถอนโคน ในเดือน ต.ค. 1987 ซึ่งเกิดขึ้นท่ามกลางบรรยากาศความตึงเครียดระหว่างเชื้อชาติ ตำรวจภายใต้รัฐบาลมหาเธร์ จับกุมผู้นำฝ่ายค้านและนักกิจกรรมทางสังคม สั่งปิดหนังสือพิมพ์ด้วยข้ออ้างเพื่อความสงบในประเทศ สร้างความไม่พอใจให้กับคนมาเลเซียทั้งประเทศ แต่มหาเธร์ไม่ยี่หระ โดยชี้แจงภาพลักษณ์ "เผด็จการอ่อน ๆ" ของตนว่า "ผมอาจจะจัดการกับมันแตกต่างออกไป เว้นแต่ว่าตำรวจต้องดำเนินการแบบนั้น เพราะพวกเขาบอกว่าจำเป็นที่จะต้องจับคนพวกนั้นเข้าคุก" ผู้นำลัทธิอิสลาม นายมหาเธร์ขึ้นชื่อว่าเป็น "ผู้ส่งเสริมอิสลามสายกลาง" สะท้อนผ่านการสวมบท "ผู้แก้ต่าง" ข้อกล่าวหาของสหรัฐฯ อังกฤษ และพันธมิตรในชาติตะวันตกแทบทุกประเด็นในยุคที่ลัทธิก่อการร้ายลุกลามทั่วโลกนับจากเหตุการณ์ 911 ในปี 2001 นำไปสู่การเปิดฉากทำสงครามต่อต้านการก่อการร้ายของสหรัฐฯ ในบทสัมภาษณ์กับเดอะการ์เดียน เมื่อปี 2005 เขากล่าวว่าการทำสงครามต่อการก่อการร้ายจะไม่จบลงจนกว่า ความขัดแย้งในตะวันออกกลางจะได้รับการแก้ไขอย่างยุติธรรม และการทำสงครามของสหรัฐฯ เป็นการสร้างความกลัวให้กับผู้คน ซึ่งเขามองว่า "มีความผิดฐานการก่อการร้ายไม่ต่างจากคนกลุ่มที่นำเครื่องบินพุ่งชนตึก" อดีตนายกรัฐมนตรี และอนาคตนายกฯ วัย 92 ปี ยังเป็นหนึ่งในผู้นำที่ต่อต้านการทำสงครามในอิรัก โดยเมื่อปี 2003 ระหว่างการประชุมขบวนการไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด (Non-Aligned Movement หรือ NAM) ในกรุงกัวลาลัมเปอร์ เขาได้แสดงมีท่าทีไม่เห็นด้วยอย่างชัดเจนต่อการปฏิบัติการในอิรักของสหรัฐฯ และอังกฤษ ถึงแม้จะไม่ได้ระบุชื่อโดยตรง "การบังคับมาตรการสงครามครั้งนี้ต้องเกิดขึ้นโดยกองกำลังพหุภาคีภายใต้การควบคุมของสหประชาชาติ ไม่ควรมีชาติใดชาติหนึ่งได้รับอนุญาตให้เป็นผู้คุมกฎระเบียบของโลก" ก่อนหน้านั้นในปี 2002 นายมหาเธร์เคยกล่าวถึงศาสนาอิสลาม และจุดยืนของมาเลเซียต่อการก่อการร้าย ในปาฐกถาที่สถาบันเอเชียโซไซตี (Asia Society) ในนครนิวยอร์ก โดยยืนยันว่าศาสนาไม่ใช่สาเหตุของการก่อการร้าย และอิสลามเป็นศาสนาแห่งสันติภาพ ที่สามารถอยู่ร่วมกับทุกศาสนาได้ "อิสลามสามารถอยู่ร่วมกับศาสนายูดาห์และคริสต์ได้หากพวกเขาไม่ถูกกดขี่ แน่นอนว่าอิสลามสามารถอยู่ร่วมกับศาสนาอื่นได้ รวมถึงกลุ่มคนที่ไม่มีศาสนาด้วยเช่นกัน" เขากล่าว เขากล่าวว่าปัญหาการก่อการร้ายนั้นเกิดจากชาตินั้น ๆ อ่อนแอและไม่สามารถรับมือกับผู้ก่อการร้ายได้ดีพอ พร้อมยกมาเลเซียเป็นตัวอย่างความสำเร็จในการรับมือกับการก่อการร้าย ในสังคมที่มีความสลับซับซ้อนทางวัฒนธรรมและศาสนา
|
การหวนคืนอำนาจของนายมหาเธร์ โมฮัมหมัด อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 4 ของมาเลเซีย วัย 92 ปี หลังกำชัยชนะในศึกเลือกตั้งมาเลเซีย 2018 เหนือคู่แข่งขัน-ผู้เป็น "ศิษย์การเมือง" อย่างนายนาจิบ ราซัค นายกรัฐมนตรี ไปด้วยที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎร 122:79 ถือเป็นการเปิดประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับมาเลเซีย
|
international-41187085
|
https://www.bbc.com/thai/international-41187085
|
'ปากกา' ตรวจมะเร็งใน 10 วินาที
|
นักวิทยาศาสตร์ระบุว่า อุปกรณ์นี้สามารถช่วยให้การผ่าตัดกำจัดเนื้องอกทำได้รวดเร็ว ปลอดภัย และแม่นยำมากขึ้น ซึ่งจะช่วยป้องกันไม่ให้มีเนื้อเยื่อมะเร็งเหลือทิ้งไว้ การทดสอบซึ่งตีพิมพ์ใน Science Translation Medicine ระบุว่า เทคโนโลยีนี้มีความแม่นยำ 96% ในช่วงเวลานั้น ปากกาแมสสเปก (MasSpec Pen) ใช้ประโยชน์จากการเผาผลาญของเซลล์มะเร็ง การที่เซลล์มะเร็งเติบโตและแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็วนั่นหมายความว่าคุณสมบัติทางเคมีภายในเซลล์ต่างไปจากเนื่อเยื่อปกติทั่วไป 'ปากกา' ตรวจมะเร็งทำงานอย่างไร? เมื่อนำปากกานี้ไปแตะกับเนื้อเยื่อที่ต้องสงสัยว่าเป็นมะเร็ง มันจะปล่อยหยดน้ำเล็ก ๆ ลงบนเนื้อเยื่อ จากนั้นสารเคมีที่อยู่ภายในเซลล์ที่มีชีวิตจะเคลื่อนย้ายเข้าไปในหยดน้ำ ซึ่งจะถูกดูดกลับเข้าไปในปากกาเพื่อนำไปวิเคราะห์ต่อ ปากกาจะถูกนำไปเสียบเข้ากับแมสสเปกโทรมิเตอร์ (Mass spectrometer) ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่สามารถวัดค่ามวลสารเคมีหลายพันชนิดได้ภายในเวลาชั่ววินาที เซลล์มะเร็งต่อมลูกหมาก อุปกรณ์นี้จะผลิตองค์ประกอบทางเคมีที่บอกให้แพทย์ทราบว่าเนื้อเยื่อที่ตรวจสอบอยู่นั้นเป็นเนื้อเยื่อปกติหรือมะเร็ง ปัญหาของศัลยแพทย์คือ การแยกให้ได้ระหว่างมะเร็งและเนื้อเยื่อปกติ เพราะในเนื้องอกบางชิ้นสามารถแยกได้อย่างชัดเจน แต่หลายชิ้นก็ตรวจสอบลำบาก ปากกานี้อาจช่วยทำให้แพทย์มั่นใจได้ว่าจะไม่ทิ้งเซลล์มะเร็งไว้ การตัดเนื้อเยื่อออกน้อยเกินไป และมีเซลล์มะเร็งหลงเหลืออยู่ อาจเติบโตกลายเป็นเนื้องอกอีกชิ้นหนึ่งได้ แต่หากกำจัดเนื้อเยื่อออกมากเกินไป ก็อาจจะสร้างความเสียหายได้ โดยเฉพาะต่ออวัยวะต่าง ๆ อย่างเช่นสมอง ลิเวีย เอเบอร์ลิน ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านเคมีที่มหาวิทยาลัยเทกซัส เมืองออสติน บอกกับบีบีซีว่า "สิ่งที่น่าตื่นเต้นสำหรับเทคโนโลยีนี้คือ มันตอบสนองต่อความต้องการด้านการรักษาได้ชัดเจนแค่ไหน อุปกรณ์นี้เรียบง่ายและสวยงาม ศัลยแพทย์อาจนำไปใช้งานได้ในอีกไม่นานนี้" การทดลองใช้งาน ในการศึกษาได้ทดลองใช้เทคโนโลยีนี้ทดสอบตัวอย่างแล้ว 253 ชิ้น และมีแผนจะทดสอบต่อไป เพื่อพัฒนาอุปกรณ์ก่อนจะนำไปทดลองใช้ในการผ่าตัดปีหน้า ปัจจุบัน ปากกาสามารถวิเคราะห์ชิ้นเนื้อเยื่อขนาด 1.5 มิลลิเมตร แต่นักวิจัยได้พัฒนาปากกาที่มีความละเอียดมากขึ้น และสามารถตรวจชิ้นเนื้อเยื่อที่มีขนาดเล็กเพียง 0.6 มิลลิเมตรได้ เครื่องแมสสเปกโทรมิเตอร์ชนิดหนึ่ง ขณะที่ตัวปากกามีราคาถูก แต่สิ่งที่มีราคาแพงและเทอะทะคือ แมสสเปกโทรมิเตอร์ (Mass spectrometer) ดร. เอเบอร์ลิน กล่าวว่า "อุปสรรค แน่นอนคือ แมสสเปกโทรมิเตอร์" "เรากำลังจินตนาการถึงแมสสเปกโทรมิเตอร์ที่มีขนาดเล็กลง ถูกลง และถูกออกแบบมาให้เข้ากับการใช้งาน ซึ่งสามารถเข็นเข้าออกห้องได้" ดร. เจมส์ ซูลิเบิร์ก หนึ่งในนักวิจัยและหัวหน้าแผนกผ่าตัดต่อมไร้ท่อของวิทยาการแพทย์เบย์เลอร์ กล่าวว่า "ถ้าเราสามารถผ่าตัดคนไข้ได้แม่นยำมากขึ้น รวดเร็วและปลอดภัยมากขึ้น นั่นคือสิ่งที่เราอยากทำ" "เทคโนโลยีนี้ให้ได้ทั้งสามอย่าง" ปากกาแมสสเปก (MasSpec Pen) เป็นความพยายามล่าสุดในการพัฒนาการผ่าตัดให้มีความแม่นยำมากขึ้น คณะเจ้าหน้าที่จากอิมพีเรียลคอลเลจลอนดอนเคยพัฒนามีดที่ "สามารถดมกลิ่นเนื้อเยื่อที่ถูกตัดเพื่อระบุว่าเป็นเนื้อเยื่อมะเร็งหรือไม่" ส่วนคณะเจ้าหน้าที่จากฮาร์วาร์ดกำลังใช้เลเซอร์ในการวิเคราะห์ว่าต้องกำจัดมะเร็งสมองออกไปมากแค่ไหน ดร. โอเน แม็คคาร์ทีย์ จากหน่วยวิจัยมะเร็งสหราชอาณาจักร กล่าวว่า "การวิจัยที่น่าตื่นเต้นเช่นนี้มีศักยภาพในการทำให้แพทย์ระบุว่าเนื้องอกนี้เป็นมะเร็งหรือไม่ได้เร็วขึ้น และยังรู้ถึงลักษณะของมันด้วย" "การได้ข้อมูลในลักษณะนี้อย่างรวดเร็วในช่วงการผ่าตัดอาจช่วยให้แพทย์เลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมกับคนไข้ได้เร็วขึ้นด้วย"
|
นักวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยเทกซัสทดสอบใช้อุปกรณ์ขนาดเล็กคล้ายปากกาที่สามารถใช้ในการตรวจสอบเนื้อเยื่อมะเร็งได้ภายใน 10 วินาที และมีความแม่นยำ 96%
|
features-39080013
|
https://www.bbc.com/thai/features-39080013
|
อดีตทาสทางเพศผู้ลุกขึ้นจับอาวุธสู้รบกับไอเอส
|
ก่อนที่จะมาเป็นทหารหญิง ร้อยเอกหญิงไคเดอร์ เคยเป็นนักร้อง ซึ่งศาสนาของชาวยาซีดีมีข้อห้ามเรื่องการใช้ความรุนแรง แต่ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป หลังจากเมื่อ 2 ปีก่อน เธอตกเป็นเชลยของกลุ่มไอเอส ที่เข้ามารุกรานหมู่บ้านในเมืองซินจาร์ ในอิรัก ทำให้มีผู้เสียชีวิตเป็นพันคน และผู้หญิงกับเด็กอีกนับพันต้องตกเป็นเชลยที่ถูกนำไปขายเป็นทาสทางเพศ แม้ว่าบางส่วนจะได้รับการช่วยเหลือออกมาแล้ว แต่ก็ยังมีผู้หญิงและเด็กหญิงอีกประมาณ 3,500 คนที่ยังถูกไอเอสกักตัวไว้ และร้อยเอกหญิงไคเดอร์ กับสาว ๆ ทุกคนในกองพันหญิงล้วน ก็เป็นผู้รอดชีวิตจากอาชญากรรมสงครามที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ยุคนี้ด้วย โดยเธอบอกว่า "เราไม่เคยอยากจะทำร้ายใคร แต่ตอนนี้เราไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องฆ่าคนเหล่านั้น" อย่างไรก็ตาม ทหารหญิงเหล่านี้ยังถือว่าอายุน้อย โดยส่วนใหญ่ยังอยู่ในวัย 20 ตอนต้น ซึ่งพวกเธอก็ชอบถ่ายภาพเซลฟี่ แต่งหน้า และฟังเพลง เหมือนกับหญิงสาววัยเดียวกันทั่ว ๆ ไป และไม่ว่าใครก็คงรู้สึกไม่สบายใจ ถ้ารู้ว่าพวกเธอเหล่านี้เคยถูกข่มขืน ตบตี และถูกเหยีดหยามในฐานะทาสทางเพศมาก่อน พวกเธอเล่าว่า บางคนต้องทนดูแม่ของตัวเองถูกฆาตกรรมต่อหน้าต่อตา เคยเห็นเด็กทารกถูกทำให้พิการ เคยเห็นเด็กหญิงอายุ 9 ขวบโดนข่มขืน และต้องทนเห็นเพื่อนจำนวนหนึ่งใช้วิธีหนีไอเอสด้วยการฆ่าตัวตาย ส่วนบางคนยังคงเสียขวัญจนทุกวันนี้ และเวลาถูกถามก็ยังไม่สามารถเล่าเรื่องราวได้ อย่างไรก็ตาม ประสบการณ์โหดร้ายที่ได้รับมา ทำให้พวกเธอไม่กลัวอะไรอีกแล้ว ทั้งคนที่สูญเสียพ่อแม่ไป หรือคนที่มีพี่สาว น้องสาว และเพื่อนถูกไอเอสจับตัวไว้อยู่ ตอนนี้เป็นเวลาที่จะต้องลุกขึ้นสู้ ซึ่งทหารเพชเมอร์กาที่เป็นผู้ชายก็ให้เกียรติกองพันหญิงล้วนนี้อย่างเท่าเทียม ทุกวันนี้ การต่อสู้เพื่อชิงตัวเชลยหญิงชาวยาซีดีจากไอเอสยังคงดำเนินต่อไป โดยมีทหารเพชเมอร์กาผู้หญิงเข้าไปร่วมรบในแนวหน้าเคียงบ่าเคียงใหล่กับผู้ชายและกองกำลังนานาชาติ และสำหรับร้อยเอกหญิงไคเดอร์ แม้ว่าจะยังกลับไปเป็นนักร้องไม่ได้ แต่เธอตั้งความหวังว่า หากวันหนึ่งสามารถช่วยผู้หญิงให้พ้นเงื้อมมือของไอเอสได้สำเร็จ เธอก็จะร้องเพลงอีกครั้งในชุดเครื่องแบบทหาร
|
"รู้ไหมว่า ตามหลักความเชื่อของกลุ่มที่เรียกตัวเองว่ารัฐอิสลาม หรือไอเอส นักรบที่ถูกผู้หญิงฆ่าจะไม่ได้ขึ้นสวรรค์" นี่เป็นคำพูดที่ทำให้ร้อยเอกหญิง คฮาทูน ไคเดอร์ ผู้บังคับบัญชาหน่วยรบหญิงล้วนชาวยาซีดียิ้มออกทุกครั้ง
|
international-54161655
|
https://www.bbc.com/thai/international-54161655
|
ข้อตกลงสันติภาพของอิสราเอลกับสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และบาห์เรนมีความสำคัญอย่างไรต่อสหรัฐฯ และชาติคู่เจรจา
|
ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติของอิสราเอล เดินทางขึ้นเครื่องบินเที่ยวบินประวัติศาสตร์ไปยังยูเออี เมื่อวันที่ 1 ก.ย. 2020 กระทรวงการต่างประเทศของบาห์เรนจะเข้าร่วมพิธีลงนามนี้ด้วย และจะลงนามในข้อตกลงปรับความสัมพันธ์กลับสู่ระดับปกติระหว่างบาห์เรนกับอิสราเอล ซึ่งประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ ได้ประกาศไว้เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว นี่คือเหตุผลว่า ทำไมข้อตกลงเหล่านี้จึงมีความสำคัญ 1.ประเทศในอ่าวเปอร์เซียมองเห็นโอกาสทางธุรกิจ ข้อตกลงนี้เป็นผลดีต่อสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ หรือ ยูเออี ที่พยายามทำให้ตัวเองเป็นมหาอำนาจทางการทหาร เช่นเดียวกับ เป็นจุดหมายปลายทางสำหรับการทำธุรกิจและการเดินทางมาพักผ่อน ดูเหมือนว่าสหรัฐฯ เป็นผู้ช่วยให้มีการบรรลุข้อตกลง โดยการรับปากว่าจะจัดหาอาวุธที่ทันสมัยให้ยูเออีซึ่งมีความต้องการมานานแล้วในอดีต อาวุธเหล่านี้รวมถึง เครื่องบินขับไล่ล่องหนเอฟ-35 (F-35) และเครื่องบินรบอิเล็กทรอนิกส์ EA-18G โกรว์เลอร์ (EA-18G Growler) ยูเออีเคยส่งกองกำลังที่มีอาวุธครบมือของตัวเองเข้าไปในลิเบียและเยเมนแล้ว แต่ศัตรูตัวฉกาจของยูเออีคืออิหร่าน ที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของอ่าวเปอร์เซีย นายจาเรด คุชเนอร์ ที่ปรึกษาประธานาธิบดีสหรัฐฯ เรียกข้อตกลงสันติภาพนี้ว่าเป็น "บทใหม่ของตะวันออกกลางยุคใหม่" อิสราเอลและสหรัฐฯ มีอิหร่านเป็นศัตรูเช่นเดียวกับยูเออี ส่วนบาห์เรนเองก็มีความขัดแยงกับอิหร่านมาก่อนเช่นกัน อิหร่านเคยอ้างว่าบาห์เรนเป็นส่วนหนึ่งของอิหร่านจนถึงปี 1969 ขณะที่ผู้ปกครองบาห์เรนที่เป็นมุสลิมนิกายซุนนีก็เห็นว่าบางส่วนของชาวมุสลิมนิกายชีอะห์ที่เป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ อาจจะเป็นฝ่ายเดียวกับอิหร่านที่ต้องการบ่อนทำลายประเทศ ทั้งยูเออีและบาห์เรนไม่ได้ปกปิดความสัมพันธ์กับอิสราเอล และต้องการจะทำมาค้าขายกับอิสราเอลอย่างเปิดเผย โดยอิสราเอลเป็นหนึ่งในประเทศที่ผลิตสินค้าที่มีความทันสมัยที่สุดในโลก ในช่วงที่ไม่มีการระบาดของโควิด-19 ชาวอิสราเอลชื่นชอบการท่องเที่ยวพักผ่อน พวกเขาชอบไปเที่ยวทะเลทราย ชายหาด และศูนย์การค้าต่าง ๆ ของประเทศในแถบอ่าวเปอร์เซีย ส่งผลดีต่อการทำธุรกิจ 2.อิสราเอลลดการโดดเดี่ยวตัวเองจากประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาค การปรับความสัมพันธ์กลับคืนสู่ระดับปกติกับยูเออีและบาห์เรน เป็นความสำเร็จที่สำคัญมากของชาวอิสราเอล นายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ของอิสราเอล เชื่อมั่นในกลยุทธ์ที่ถูกเรียกในช่วงทศวรรษ 1920 ว่า "กำแพงเหล็ก" (Iron Wall) กั้นระหว่างอิสราเอลกับชาติอาหรับ แนวคิดนี้เชื่อว่า ท้ายที่สุดแล้ว ความแข็งแกร่งของอิสราเอลจะทำให้ชาติอาหรับตระหนักว่า ทางเลือกเดียวที่มีอยู่คือ การยอมรับการมีอยู่ของอิสราเอล ชาวอิสราเอลไม่ชอบการถูกโดดเดี่ยวในตะวันออกกลาง สันติภาพกับอียิปต์และจอร์แดนไม่เคยสร้างความรู้สึกอบอุ่นใจให้กับอิสราเอล แต่ชาวอิสราเอลหวังว่าจะสร้างความสัมพันธ์ในอนาคตกับชาติในอ่าวเปอร์เซียที่อยู่ห่างไกลจากนครเยรูซาเลมและดินแดนที่อิสราเอลยึดครองอยู่มากกว่า การกระชับความสัมพันธ์ในกลุ่มพันธมิตรต่อต้านอิหร่านเป็นข้อดีที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง นายเนทันยาฮูเห็นว่าอิหร่านเป็นศัตรูหมายเลขหนึ่งของอิสราเอล หลายครั้งที่มีการเปรียบเปรยผู้นำอิหร่านว่าเป็นนาซี เขาเลิกตำหนิข้อตกลงอาวุธที่อาจจะเกิดขึ้นกับยูเออี นอกจากนี้ นายเนทันยาฮูกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบาก ทั้งการเผชิญกับการไต่สวนข้อกล่าวหาทุจริตที่อาจจะทำให้เขาถูกจำคุก การรับมือกับการระบาดของโควิด-19 ที่เริ่มต้นด้วยดีและกลับเลวร้ายลง ผู้ต่อต้านเขาจัดการประท้วงรายสัปดาห์ด้านนอกที่พักของเขาในนครเยรูซาเลม พิธีลงนามที่จัดขึ้นที่ทำเนียบขาวของสหรัฐฯ นี้ไม่อาจที่จะรีรอต่อไปได้ 3.ความสำเร็จครั้งใหญ่ด้านนโยบายต่างประเทศที่ โดนัลด์ ทรัมป์อ้างได้ ข้อตกลงนี้ส่งผลดีต่อประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในหลายระดับ มันเป็นการส่งเสริมยุทธศาสตร์ "เพิ่มแรงกดดันสูงสุด" ต่ออิหร่านของประธานาธิบดีทรัมป์ นอกจากนี้ยังส่งผลดีต่อการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในปลายปีนี้ด้วย เพราะนายทรัมป์จะอวดอ้างได้ว่า เขาเป็นนักเจรจาต่อรองที่เก่งกาจที่สุดในโลก โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศ "ข้อตกลงอับราฮัม" ที่ทำเนียบขาวเมื่อเดือน ส.ค. 2020 ทุกสิ่งที่เขาทำที่เป็นผลดีต่ออิสราเอล หรือหากจะเจาะจงลงไปก็คือ รัฐบาลนายเบนจามิน เนทันยาฮู ก็จะช่วยให้เขาได้คะแนนเสียงจากผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งที่เป็นคริสเตียนอีวานเจลิคัล (Christian Evangelical) ซึ่งเป็นฐานเสียงสำคัญของเขาส่วนหนี่ง แนวร่วม "เพื่อนอเมริกา" ต่อต้านอิหร่าน อาจจะดำเนินไปอย่างราบรื่นมากขึ้น ถ้าชาติอาหรับในอ่าวเปอร์เซียเปิดกว้างมากขึ้นในด้านความสัมพันธ์กับอิสราเอล แทนที่จะปิดกั้นตัวเอง สิ่งที่เรียกว่า "ข้อตกลงแห่งศตวรรษ" ของประธานาธิบดีทรัมป์ ในการสร้างสันติภาพให้เกิดขึ้นระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์ล้มเหลว แต่ "ข้อตกลงอับราฮัม" (Abraham Accords) ซึ่งเป็นชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งของข้อตกลงระหว่างอิสราเอลและยูเออี เป็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในสมดุลอำนาจในตะวันออกกลาง และรัฐบาลของนายทรัมป์เห็นว่า เป็นความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ด้านนโยบายต่างประเทศ 4.ชาวปาเลสไตน์รู้สึกว่าถูกหักหลัง เป็นอีกครั้งที่ชาวปาเลสไตน์ถูกละเลย พวกเขาประณามข้อตกลงอับราฮัมว่าเป็นการทรยศ เพราะข้อตกลงใหม่นี้ละเมิดฉันทามติของอาหรับที่มีมายาวนานที่ว่า เอกราชของปาเลสไตน์คือ "ราคาที่ต้องจ่าย" สำหรับการปรับความสัมพันธ์เป็นปกติกับอิสราเอล แต่ตอนนี้ อิสราเอลกำลังจะกระชับความสัมพันธ์อย่างเปิดเผยกับชาติอาหรับหลายชาติ ขณะที่ปาเลสไตน์ยังต้องดิ้นรนต่อสู้ภายใต้การยึดครองในเยรูซาเลมตะวันออกและในเขตเวสต์แบงก์ รวมถึงฉนวนกาซาที่เปรียบเหมือนกับเรือนจำเปิด เจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซาเยด อัล นาห์ยัน มกุฎราชกุมารของอาบูดาบี ซึ่งเป็นผู้ปกครองในทางพฤตินัยของยูเออี ตรัสว่าสำหรับพระองค์ ราคาของข้อตกลงนี้ คือ การที่อิสราเอลยอมยุติการผนวกพื้นที่ส่วนใหญ่ในเขตเวสต์แบงก์ ผู้นำปาเลสไตน์ประณามการปรับความสัมพันธ์กับอิสราเอลสู่ระดับปกติของชาติในอ่าวเปอร์เซียทั้ง 2 ชาติ นายกรัฐมนตรีเนทันยาฮูของอิสราเอล ดูเหมือนถอยห่างออกมาจากการผนวกพื้นที่เหล่านี้ อย่างน้อยก็ในตอนนี้ เพราะมีแรงกดดันอย่างมากจากนานาประเทศ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ได้เสนอทางออกให้กับเขาจากสิ่งที่กลายเป็นทางตันทางการเมืองที่น่ากระอักกระอ่วนใจ ความกระวนกระวายใจของปาเลสไตน์จะเพิ่มขึ้นไปอีกเมื่อบาห์เรนเข้าร่วมข้อตกลงด้วย เรื่องนี้จะไม่มีทางเกิดขึ้นได้เลยถ้าซาอุดีอาระเบียไม่เห็นชอบด้วย เพราะซาอุฯ เป็นผู้ร่างแผนสันติภาพอาหรับที่เรียกร้องเอกราชให้ปาเลสไตน์ สถานะของสมเด็จพระราชาธิบดีซัลมานในฐานะผู้พิทักษ์สถานที่ที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด 2 แห่งของศาสนาอิสลาม ทำให้พระองค์ทรงมีอำนาจอันยิ่งใหญ่ และพระองค์คงจะไม่ยอมรับอิสราเอลในทันทีทันใด เจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน พระราชโอรสและองค์รัชทายาทของพระองค์ อาจจะทรงลังเลน้อยลง 5.อิหร่านกำลังมีเรื่องปวดหัวในทางยุทธศาสตร์เรื่องใหม่ ผู้นำของอิหร่านประณามข้อตกลงนี้อย่างเต็มที่ ไม่ใช่แค่ทางคำพูด ข้อตกลงอับราฮัมทำให้เกิดความตึงเครียดเพิ่มขึ้นในบรรดาผู้นำของอิหร่าน การคว่ำบาตรของประธานาธิบดีทรัมป์ก็สร้างความเจ็บปวดทางเศรษฐกิจต่ออิหร่านมากอยู่แล้ว ตอนนี้ พวกเขายังมีเรื่องปวดหัวในทางยุทธศาสตร์เรื่องใหม่ ข้อตกลงระหว่างยูเออีกับอิสราเอล ทำให้มีคนออกมาประท้วงในอิหร่าน ฐานทัพอากาศที่ตั้งอยู่ในประเทศอิสราเอล ใช้เวลานานกว่าจะส่งเครื่องบินมาถึงอิหร่าน แต่ตอนนี้ยูเออีตั้งอยู่เพียงฝั่งตรงข้ามของอ่าวเปอร์เซียเท่านั้น นั่นจะกลายเป็นเรื่องที่มีความสำคัญอย่างมาก ถ้าพวกเขากลับมาหารือกันเกี่ยวกับการโจมตีสถานที่นิวเคลียร์ของอิหร่านอีกครั้ง อิหร่านพบว่าพื้นที่ในการจัดเตรียมกลยุทธ์ในการสู้รบเริ่มลดลงแล้ว
|
ผู้แทนระดับสูงจากอิสราเอลและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ลงนามในข้อตกลงสันติภาพประวัติศาสตร์ที่สหรัฐฯ เป็นตัวกลาง ที่ทำเนียบขาวในวันอังคารที่ 15 ก.ย. นี้
|
thailand-56227686
|
https://www.bbc.com/thai/thailand-56227686
|
วัคซีนโควิด: "อนุทิน" นำ 3 รัฐมนตรีอายุไม่เกิน 60 ปี ฉีดวัคซีนโควิด-19 เข็มแรก
|
"มาฉีดวัคซีนตามแพทย์แนะนำ กราบขอบคุณท่านนายกรัฐมนตรี มาให้กำลังใจ" นายอนุทิน ชาญวีรกูล โพสต์ข้อความและภาพถ่ายในเฟซบุ๊กหลังรับการฉีดวัคซีนโควิด-19 เป็นคนแรกของไทย พิธีฉีดวัคซีนโควิด-19 เข็มแรกในประเทศไทยจัดขึ้นวันที่ (28 ก.พ.) ที่สถาบันบำราศนราดูร จ.นนทบุรี มีขึ้น 4 วันหลังจากที่ซิโนแวคจัดส่งวัคซีน "โคโรนาแวค" ล็อตแรกจำนวน 2 แสนโดสถึงไทยเมื่อวันที่ 24 ก.พ. ตามคำสั่งซื้อของรัฐบาลไทย และผ่านการตรวจรับรองจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์แล้ว สธ. จึงได้เริ่มดำเนินการฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้กลุ่มเป้าหมายกลุ่มแรกตามแผนจัดการวัคซีนของคณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค เวลา 7.45 น. ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นผู้ทำการฉีดวัคซีนโควิด-19 เข็มแรกให้นายอนุทิน จากนั้นนายสาธิต ปิตุเตชะ รมช. สธ. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รมว.วัฒนธรรม น.ส.กนกวรรณ วิลาวัลย์ รมช. ศึกษาธิการ นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัด สธ. และ นพ.โอภาส การย์กวินพงษ์ อธิบดีกรมควบคุมโรคเป็นผู้รับวัคซีนในลำดับต่อ ๆ มา ก่อนหน้านี้มีรายงานว่านายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว. เกษตรและสหกรณ์ เป็นรัฐมนตรีอีกคนที่สมัครใจเข้ารับวัคซีนเข็มแรกวันนี้ แต่ผลการตรวจวัดความดันก่อนฉีดวัคซีนพบว่าความดันสูง แพทย์จึงแนะนำให้เลื่อนการฉีดออกไปก่อน การฉีดวัคซีนแต่ละคนใช้เวลาประมาณ 1 นาที จากนั้นผู้ที่ได้รับวัคซีนจะต้องพักดูอาการเป็นเวลา 30 นาทีหลังฉีด และทำการบันทึกข้อมูลพร้อมกับรับใบนัดหมายการฉีดวัคซีนโดสที่ 2 ต่อไป รวมขั้นตอนตั้งแต่การลงทะเบียนจนเสร็จสิ้นประมาณ 37 นาทีต่อคน "ถือว่าเป็นประวัติศาสตร์วันหนึ่งเหมือนกันกับการฉีดวัคซีนยี่ห้อนี้" นายกฯ บรรยายขณะที่รัฐมนตรีและผู้บริหาร สธ. เข้าคิวรับวัคซีน พร้อมกับอธิบายสาเหตุที่เขาไม่ได้รับวัคซีนนายกฯ กล่าวว่าเนื่องจากเขามีอายุเกิน 60 ปี จึงไม่ได้รับการฉีดวัคซีนซึ่งเป็นไปตามข้อบ่งชี้และการพิจารณาของแพทย์ ทั้งนี้คณะกรรมการด้านการแพทย์เห็นว่านายกรัฐมนตรีอยู่ในกลุ่มเป้าหมายที่สมควรได้รับวัคซีนเนื่องจากมีอายุมากกว่า 60 ปี โดยวัคซีนที่เหมาะสมที่จะฉีดคือวัคซีนจากแอสตร้าเซนเนก้า ซึ่งในขณะนี้อยู่ระหว่างกระบวนการตรวจสอบมาตรฐานคุณภาพ คาดว่าจะสามารถฉีดให้กับผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปได้ภายในเดือนมีนาคม อย่างไรก็ตามการฉีดวัคซีนจะต้องอยู่ภายใต้ดุลพินิจของแพทย์ในการสั่งฉีดและความสมัครใจของผู้ที่รับการฉีดด้วย นายสาธิต ปิตุเตชะ รมช. สธ. ฉีดวัคซีนโควิด-19 เป็นคนที่สองต่อจากนายอนุทิน โดยมีนายกฯ ยืนปรบมือให้กำลังใจ น.ส.กนกวรรณ วิลาวัลย์ รมช. ศึกษาธิการ เป็น 1 ใน 4 รัฐมนตรีที่เข้ารับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ในวันแรกและนับเป็นผู้หญิงคนแรกของประเทศที่ได้รับวัคซีนโควิด-19 พล.อ. ประยุทธ์กล่าวว่าขั้นตอนและผลข้างเคียงจากการฉีดวัคซีนโควิด-19 ไม่น่าแตกต่างจากวัคซีนชนิดอื่น ๆ ที่เคยมีการฉีดในไทย เช่น วัคซีนไข้หวัดใหญ่ที่เขาได้รับเป็นประจำ พร้อมกับให้ความมั่นใจว่าประชาชนไทยทุกคนจะได้รับวัคซีนที่มีประสิทธิภาพและเป็นไปตามมาตรฐานด้านสาธารณสุข "แล้ววันหน้าเมื่อแพทย์ให้ฉีด (วัคซีนโควิด-19) ผมก็พร้อมเสมอ ผมก็ชินกับการฉีดยาอยู่แล้ว" นายกฯ กล่าว นอกจากที่สถาบันบำราศนราดูรแล้ว จ.สมุทรสาคร ซึ่งเป็นศูนย์กลางการระบาดของโควิด-19 ระลอกสองในประเทศไทย เป็นอีกพื้นที่หนึ่งที่มีการฉีดวัคซีนให้ประชากรกลุ่มแรกจำนวน 159 ราย ซึ่งมีทั้งบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองที่ทำงานเกี่ยวกับการควบคุมโรค และประชาชนที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย โดยบุคคลที่เข้ารับการฉีดวัคซีนทั้งหมดจะต้องลงนามในเอกสารแสดงความยินยอมรับวัคซีนโดยสมัครใจ นพ. เกียรติภูมิ ปลัด สธ. กล่าวว่าวัคซีนโคโรนาแวคของของ บ.ซิโนแวค ล็อตแรกเป็นการนำเข้าเพื่อฉีดให้กับบุคลากรทางการแพทย์และประชาชนในเขตพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อและแพร่กระจายเชื้อเพื่อการควบคุมการระบาดเป็นลำดับแรก จากนั้นจึงเป็นการฉีดเพื่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจ เฉพาะกลุ่มในบางพื้นที่เท่านั้น ปลัด สธ.อธิบายต่อว่าองค์การเภสัชกรรมซึ่งเป็นหน่วยงานที่ดูแลเรื่องการกระจายวัคซีนโควิด-19 ของซิโนแวค ได้จัดส่งวัคซีนให้แก่ 4 โรงพยาบาล ได้แก่ โรงพยาบาลสมุทรสาคร (20,040 โดส) โรงพยาบาลชลบุรี (4,720 โดส) โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า (3,000 โดส) สถาบันบำราศนราดูร (3,000 โดส) ทั้งนี้ วัคซีน 2 แสนโดสล็อตแรกของซิโนแวคจะถูกกระจายไปใน 13 จังหวัดที่ ศบค. ประกาศเป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด (สมุทรสาคร) พื้นที่ควบคุม (กทม.ฝั่งตะวันตก, ปทุมธานี, นนทบุรี, สมุทรปราการ, อ.แม่สอด จ.ตาก, นครปฐม, สมุทรสงคราม และราชบุรี) และพื้นที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคม (ชลบุรี, ภูเก็ต, เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี และ เชียงใหม่) โดยให้อำนาจกับคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดเป็นผู้พิจารณาผู้ที่เหมาะสมในการฉีด ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่จะเป็นผู้ติดต่อผู้ที่เข้าเกณฑ์และอยู่ในกลุ่มเป้าหมายเพื่อให้มารับวัคซีน โดยกลุ่มเป้าหมาย 4 กลุ่มแรกที่จะได้รับวัคซีน ประกอบด้วย อนุทินแจงเรื่องวัคซีนโควิดล็อตแรกของแอสตร้าเซนเนก้า วัคซีนโคโรนาแวคของ บ.ซิโนแวคจำนวน 2 แสนโดสที่ สธ. เริ่มดำเนินการฉีดให้กลุ่มเป้าหมายวันนี้นั้นเดินทางมาถึงประเทศไทยในวันเดียวกับวัคซีนของ บ.แอสตร้าเซนเนก้าล็อตแรกจำนวน 117,000 โดส แต่ขณะนี้ยังไม่มีกำหนดว่าวัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้าซึ่งนำเข้าจากประเทศเกาหลีใต้ จะเริ่มฉีดให้ประชาชนได้เมื่อไหร่ วัคซีนโควิด-19 ล็อตแรกถึงไทย นายอนุทินให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวก่อนเข้ารับการฉีดวัคซีนวันนี้ว่าเนื่องจากวัคซีนของ บ.แอสตร้าเซนเนก้าที่นำเข้ามานั้นเป็นกรรมสิทธิ์ของ บ.แอสตร้าเซนเนก้า ประเทศไทย ทางรัฐบาลจึงไม่สามารถทำอะไรได้ และต้องรอจนกว่าทางบริษัทจะดำเนินตามกระบวนการภายในเสร็จสิ้น "ไม่ได้มีความล่าช้า แต่อยู่ที่กระบวนการจัดการสินค้าของเขา ไม่เหมือน (วัคซีน) ซิโนแวค ซึ่งกรรมสิทธิ์ของสินค้าเป็นของรัฐบาลเพราะเราเป็นคนสั่งซื้อ ส่วนแอสตร้าเซนเนก้า คนที่นำเข้ามาคือแอสตร้าเซนเนก้า ไทยแลนด์ เขาก็ต้องมีการตรวจมาตรฐานภายในของเขาก่อน เขาถึงจะส่งมอบ ณ วันนี้กรรมสิทธิ์ยังเป็นของเขาอยู่ เราไปทำอะไรไม่ได้" นายอนุทินกล่าว
|
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เป็นบุคคลแรกที่เข้ารับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ของซิโนแวค ไบโอเทค บริษัทเวชภัณฑ์สัญชาติจีน โดยมีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเดินทางมาให้กำลังใจ
|
features-44380970
|
https://www.bbc.com/thai/features-44380970
|
ชี้ความรู้สึกขยะแขยง 6 ประเภท ดีต่อสุขภาพของมนุษย์
|
ศ. วาล เคอร์ทิส นักจิตวิทยาจากวิทยาลัยสุขอนามัยและเวชศาสตร์เขตร้อนกรุงลอนดอนและคณะ ตีพิมพ์ผลการศึกษาล่าสุดลงในวารสาร Philosophical Transactions of the Royal Society B: Biological Sciences โดยระบุว่าได้ทำการทดสอบกับชาวอังกฤษทั้งชายและหญิงกว่า 2,500 คน เพื่อดูปฏิกิริยาตอบสนองต่อสิ่งเร้าที่น่าขยะแขยงของคนเหล่านี้ ผู้เข้าร่วมการทดสอบจะต้องให้คะแนนสถานการณ์น่ารังเกียจต่าง ๆ 75 รายการตามความรู้สึกของตน ซึ่งมีระดับคะแนนตั้งแต่ความรู้สึกขยะแขยงนิดหน่อยตามธรรมดา ไปจนถึงความรู้สึกคลื่นเหียนน่าสะอิดสะเอียนอย่างมากที่สุด ส่วนสถานการณ์ที่ผู้วิจัยกำหนดไว้ มีตั้งแต่ถูกสุนัขจรจัดขี้เรื้อนเลียขา กระทืบหอยทากให้เละด้วยเท้าเปล่า จับมือกับคนที่เป็นโรคผิวหนังชนิดรุนแรง ไปจนถึงการเห็นคู่นอนมีพฤติกรรมทางเพศแปลกประหลาด เช่นพยายามมีเพศสัมพันธ์กับผลไม้ ผลการทดสอบพบว่า ผู้คนส่วนใหญ่มีความรู้สึกขยะแขยงรุนแรงตรงกันใน 6 เรื่อง โดยทั้งหมดล้วนแต่ทำให้เกิดพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับการรักษาสุขภาพตามมา ซึ่งได้แก่ความขยะแขยงในเรื่องที่เกี่ยวกับความสะอาดและสุขอนามัย, สัตว์ต่าง ๆ และแมลง, พฤติกรรมทางเพศที่แปลกประหลาด, ความพิการหรือรูปร่างหน้าตาที่ผิดปกติ, อาหารเน่าเสีย รวมทั้งแผลพุพองเป็นหนองที่บ่งบอกถึงการติดเชื้อ ผลวิจัยยังพบว่า ผู้เข้าร่วมการทดสอบหญิงมีความรู้สึกขยะแขยงรุนแรงในทุกสถานการณ์สูงกว่าผู้เข้าร่วมการทดสอบชาย โดยผู้หญิงให้คะแนนความรู้สึกขยะแขยงต่อพฤติกรรมทางเพศที่แปลกประหลาดมากที่สุด แมลงวันเป็นพาหะของเชื้อแบคทีเรียกว่า 600 ชนิด ผู้วิจัยบอกว่าความรู้สึกขยะแขยงที่พบได้ทั่วไป 6 ประเภทนี้ จูงใจให้ผู้คนหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่เสี่ยงต่อจุลินทรีย์ก่อโรคและการติดเชื้อ ซึ่งถือว่าจำเป็นต่อการอยู่รอด ทั้งยังคาดว่าสัตว์ชนิดอื่น ๆ น่าจะมีความรู้สึกขยะแขยงซึ่งเป็นผลจากวิวัฒนาการนี้ด้วยเช่นกัน ศ. ไมเคิล เดอ บาร์รา หนึ่งในทีมผู้วิจัยจากมหาวิทยาลัยบรูเนลของสหราชอาณาจักรชี้ว่า "แม้มนุษย์จะเพิ่งเริ่มมีความเข้าใจในเรื่องโรคติดต่อและการแพร่ระบาดของเชื้อเมื่อศตวรรษที่ 19 นี้เอง แต่ความรู้สึกขยะแขยงนั้นเป็นสัญชาติญาณที่มีอยู่แล้วก่อนหน้านั้น ซึ่งเกิดจากการที่คนเรามีวิวัฒนาการร่วมกันมากับเชื้อโรคต่าง ๆ นับแสนปี"
|
ความรู้สึกขมคอท้องไส้ปั่นป่วนเวลาที่เห็นสิ่งน่ารังเกียจขยะแขยง อาจไม่ใช่อารมณ์ที่คนทั่วไปพึงปรารถนา แต่ล่าสุดนักวิทยาศาสตร์ออกมายืนยันว่าอาการเช่นนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิวัฒนาการมนุษย์ โดยมีความขยะแขยง 6 ประเภทที่ส่งผลดีต่อสุขภาพของคนเรา
|
thailand-39895513
|
https://www.bbc.com/thai/thailand-39895513
|
ไทยขู่ดำเนินคดีเฟซบุ๊กหากไม่ถอดเนื้อหาหมิ่นเบื้องสูง
|
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานอ้างคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ที่ระบุว่า เฟซบุ๊กยังไม่ได้ปิดกั้นเฟซบุ๊กผิดกฎหมายที่เหลืออีก 131 ยูอาร์แอล จากทั้งหมด 309 ยูอาร์แอล ซึ่งมีเนื้อหาเป็นภัยต่อความมั่นคง และเข้าข่ายผิดกฎหมายอาญามาตรา 112 กสทช.ระบุว่าปัจจุบันมีเว็บไซต์ที่ผิดกฎหมายกว่า 6,900 ยูอาร์แอล และศาลมีคำสั่งให้ปิดกั้นเว็บไซต์เหล่านี้มาตั้งแต่ปี 2558 นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการ กสทช. กล่าวกับรอยเตอร์ว่า หากเฟซบุ๊กยังไม่ดำเนินการตามที่ทางการไทยร้องขอภายในกำหนดเส้นตายวันที่ 16 พ.ค. ก็จะต้องดำเนินการทางกฎหมายต่อเฟซบุ๊กในประเทศไทย นายฐากร ระบุกับรอยเตอร์ว่า เฟซบุ๊กอาจอ้างได้ว่าไม่มีหน้าที่ในการลบข้อมูลผิดกฎหมาย อย่างไรก็ตาม เฟซบุ๊กประเทศไทยยังคงดำเนินงานอยู่ในไทย หากพ้นเส้นตายวันที่ 16 พ.ค. นี้ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมจะเข้าพบตำรวจในสัปดาห์หน้า เพื่อแจ้งความดำเนินคดีในความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ต่อเฟซบุ๊กประเทศไทย และอาจขอหมายค้นสำนักงานเฟซบุ๊กในไทยเป็นมาตรการในขั้นต่อไปด้วย ด้านเฟซบุ๊ก เผย ขณะนี้กำลังพิจารณาข้อเรียกร้องของรัฐบาลไทย และจะปฏิบัติตามหากพบว่าข้อมูลเหล่านี้เข้าข่ายละเมิดกฎหมายไทย
|
ทางการไทยเตือนเฟซบุ๊กให้ถอดข้อมูลที่มีเนื้อหาหมิ่นสถาบันเบื้องสูงที่ยังสามารถเข้าถึงได้ในประเทศ โดยให้เวลาเฟซบุ๊กจนถึงวันอังคารที่ 16 พ.ค.นี้ มิเช่นนั้นจะดำเนินการทางกฎหมายต่อไป
|
thailand-47944055
|
https://www.bbc.com/thai/thailand-47944055
|
ฆ่าตัวตาย : ผู้เชี่ยวชาญห่วงพฤติกรรมเลียนแบบหลังสื่อเสนอข่าวนักศึกษาฆ่าตัวตายมากขึ้น
|
ช่วงนั้นเป็นช่วงเวลาการสอบปลายภาคของมหาวิทยาลัย และ "ที" (ขอสงวนชื่อจริง) นักศึกษาปี 4 คณะรัฐศาสตร์ที่เสียชีวิต ไม่ได้ไปสอบในช่วงเช้า แม้ว่าจะไม่มีใครรู้สาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้ทีตัดสินใจที่จะจบชีวิตตัวเอง ซึ่งผู้เชี่ยวชาญระบุว่าการฆ่าตัวตายเป็นเรื่องที่ซับซ้อนและอาจมาจากหลายเรื่องรวมกัน แต่ณัชพล นักศึกษาปี 3 วิทยาลัยพัฒนศาสตร์ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ที่นอนร่วมห้องกับทีมาเป็นเวลาเกือบ 2 ปี ได้ฟังเพื่อนร่วมห้องพูดระบายก่อนนอนเกือบทุกคืน ส่วนใหญ่จะเป็นความกดดันเรื่องเรียน "ทีรู้สึกว่า มหาวิทยาลัยเป็นเหมือนจุดบอดในชีวิตเขา" ณัชพลกล่าวกับบีบีซีไทย หลังจากการเสียชีวิตของที มีนักศึกษาที่ฆ่าตัวตายจนเสียชีวิตอีกอย่างน้อย 12 รายที่ปรากฏเป็นข่าวในสื่อ โดยในเดือน ก.พ. มีสัปดาห์หนึ่งที่มีนักศึกษากระโดดจากอาคารจนเสียชีวิตที่เป็นข่าวจำนวน 4 คน ทำให้ นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กำชับให้มหาวิทยาลัยดูแลนักศึกษาโดยการตรวจจับสัญญาณผิดปกติ เหตุการณ์นักศึกษาฆ่าตัวตายปี 2562 ที่มา: บีบีซีไทยรวมรวมจากสื่อไทยหลายสำนัก ในขณะเดียวกัน ท่ามกลางสถานการณ์ข่าวการฆ่าตัวตายในกลุ่มนักศึกษาที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตตั้งคำถามว่า สื่อมีส่วนกระตุ้นทำให้เกิดการลอกเลียนแบบพฤติกรรมฆ่าตัวตายหรือไม่ คนไทยฆ่าตัวตายต่ำกว่าค่าเฉลี่ยโลก สถิติจากศูนย์ป้องกันการฆ่าตัวตายระดับชาติ ระบุว่า การฆ่าตัวตายของคนไทยในแต่ละปีไม่ได้เพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา อัตราฆ่าตัวตายต่อประชากร 100,000 คน อยู่ที่ประมาณ 6.0-6.5 คน หรือทุก ๆ สองชั่วโมงโดยเฉลี่ย จะมีคนฆ่าตัวตายสำเร็จหนึ่งคน ซึ่งนั่นก็ยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของโลกที่องค์การอนามัยโลกระบุว่าอัตราการฆ่าตัวตาย 10.5 คน ต่อประชากร 100,000 คน ในปี 2559 ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา อัตราฆ่าตัวตายของคนไทยต่อประชากร 100,000 คน อยู่ที่ประมาณ 6.0-6.5 คน นพ.ณัฐกร จำปาทอง ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจิตเวชขอนแก่นราชนครินทร์ และหัวหน้าศูนย์ป้องกันการฆ่าตัวตายระดับชาติ กรมสุขภาพจิต กล่าวว่า วัยเด็กหรือวัยรุ่นฆ่าตัวตายน้อยเทียบกับประชากรวัยอื่น โดยอายุ 10-19 ปี ฆ่าตัวตายประมาณ 0.9 คน ต่อประชากร 100,000 คน และอายุ 20-25 ปี ฆ่าตัวตายประมาณ 3 คน ต่อประชากร 100,000 คน และกว่า 60% ของปัจจัยที่นำไปสู่การฆ่าตัวตายคือคนใกล้ชิดหรือคนในครอบครัว แต่สาเหตุที่สื่อให้ความสนใจเรื่องนี้ เนื่องจากข่าวของนักเรียนนักศึกษาเป็นข่าวที่กระทบต่อความรู้สึกของประชาชน "เวลาคนอยู่ในสถาบันการศึกษามีนัยสูงมาก มีครอบครัวที่ได้รับผลกระทบ มีกลุ่มเพื่อน เป็นภาพของการสูญเสียทางเศรษฐกิจทางสังคมที่ยิ่งใหญ่ และนี่คือสาเหตุหลักที่คนในสังคมให้ความสนใจ เพราะคนในประเทศรู้สึกเสียทรัพยากรตรงนั้น" นพ.ณัฐกร กล่าวกับบีบีซีไทย จากสถานการณ์ดังกล่าว ทำให้กรมสุขภาพจิตร่วมกับสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษา ดำเนินการโครงการเพื่อหาแนวทางป้องกันและเฝ้าระวังกลุ่มนักศึกษาที่มีความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตาย โดยจะเริ่มจากการจัดสัมมนาร่วมกับมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ เพื่อการพัฒนาและวางระบบการดูแลช่วยเหลือในกลุ่มนักศึกษา ในวันที่ 29 เม.ย. นพ.ณัฐกร จำปาทอง ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจิตเวชขอนแก่นราชนครินทร์ และหัวหน้าศูนย์ป้องกันการฆ่าตัวตายระดับชาติ กรมสุขภาพจิต ห่วงพฤติกรรมการลอกเลียนแบบ จากการสำรวจของบีบีซีไทย พบว่า สื่อไทยมีการเสนอข่าวที่เกี่ยวกับการฆ่าตัวตายเป็นจำนวนมาก โดยสื่อบางสำนักมีการนำเสนอรายละเอียดของการฆ่าตัวตาย เช่น วิธีการ อุปกรณ์ที่ใช้ ลักษณะบริเวณของสถานที่ที่ฆ่าตัวตาย รวมถึงรูปภาพของสิ่งที่กล่าวมาทั้งหมด และให้พื้นที่ในการบรรยายถึงรายละเอียดเหล่านี้ค่อนข้างมาก สิ่งเหล่านี้ไม่สอดคล้องกับคำแนะนำขององค์กรที่ทำงานด้านสุขภาพจิต ทำให้เกิดคำถามว่า การนำเสนอข่าวดังกล่าวจะส่งผลกระทบในทางลบกับผู้อ่านหรือไม่ นพ.ณัฐกร กล่าวว่า 80% ของการฆ่าตัวตายของคนไทยจะใช้วิธีแขวนคอ แต่สองปีที่ผ่านมาวิธีการบางชนิดถูกหยิบยกมาพูดถึงค่อนข้างมาก และข่าวการฆ่าตัวตายถูกพูดเป็นประเด็นข่าวทุกวัน "การรมควันเพิ่งเข้ามาและเป็นวิธีหนึ่งที่เห็นว่าสื่อหลายสำนักนำเสนอรายละเอียดเกินควร" นพ.ณัฐกร กล่าว โดยยกตัวอย่างปี 2561 ที่มีผู้ที่เสียชีวิตจากการรมควันถึง 4 คนในวันเดียวกัน นพ.ณัฐกร กล่าวว่า การลอกเลียนแบบพฤติกรรมฆ่าตัวตาย (copycat suicide) เป็นสิ่งที่ต้องคำนึงถึงมากขึ้น โดยในต่างประเทศมีสิ่งที่เรียกว่า ปรากฏการณ์แวเธ่อร์ (Werther effect) ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่มีการเพิ่มขึ้นของคนที่ฆ่าตัวตายหลังจากการนำเสนอข่าวสารในเรื่องการฆ่าตัวตายในคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง โดยตัวอย่างที่ถูกนำมาใช้มากที่สุดคือกรณีของนักแสดงชื่อดังอย่าง มาริลิน มอนโร ที่ฆ่าตัวตายในเดือน ส.ค. 2505 ทำให้มีคนฆ่าตัวตายในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 12% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน "แต่ก่อนต้องอาศัยความเป็นเซเลบริตี้ (ดารา) แต่ปัจจุบันทุกคนเป็นเซเลบริตี้หรือไอดอล [ที่จะทำให้คนเลียนแบบพฤติกรรมฆ่าตัวตาย] ได้" นพ.ณัฐกร กล่าว การเสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายของนักแสดงชื่อดังอย่าง มาริลิน มอนโร ในเดือน ส.ค. 2505 ทำให้มีคนฆ่าตัวตายในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 12% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ศูนย์สุขภาวะของมหาวิทยาลัย หลังจากที่นิสิตคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เสียชีวิตจากการกระโดดจากอาคารเรียนคณะนิติศาสตร์ เมื่อวันที่ 1 มี.ค. ที่ผ่านมา หน่วยส่งเสริมสุขภาวะนิสิตของมหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ให้บริการทางด้านจิตวิทยาสำหรับนิสิตทั้งในระดับปริญญาตรี โท และเอก ได้เข้าสู่โหมด "red alert" โทรศัพท์มือถือของศูนย์ไม่ได้ปิดเป็นเวลาหลายสัปดาห์ "เรายอมรับจริง ๆ ว่าตั้งแต่เกิดเหตุการณ์วันที่ 1 ที่ผ่านมา มีน้องวอล์คอินเข้ามาแล้วบอกว่าแม้จะไม่รู้จักกันเลยแต่มันกระตุ้นใจมาก" ธารีวรรณ เทียมเมฆ หัวหน้าหน่วยส่งเสริมสุขภาวะนิสิต กล่าวกับบีบีซีไทย โดยอ้างอิงถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการลอกเลียนแบบพฤติกรรมฆ่าตัวตาย นอกจากจะเป็นหัวหน้าศูนย์ดังกล่าวแล้ว ธารีวรรณยังเป็นหนึ่งในนักจิตวิทยา 4 คนที่อยู่ประจำศูนย์ที่ดูแลนิสิตกว่า 40,000 คนทั้งมหาวิทยาลัย รวมกับจิตแพทย์ประจำอีก 2 คน นอกจากนั้นยังมีการจ้างจิตแพทย์นอกเวลา 2 คนและนักจิตวิทยานอกมหาวิทยาลัยอีก 4 คน หลังจากที่นิสิตคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เสียชีวิตจากกระโดดจากอาคารเรียนคณะนิติศาสตร์ เมื่อวันที่ 1 มี.ค. ที่ผ่านมา โทรศัพท์มือถือของหน่วยส่งเสริมสุขภาวะนิสิตของมหาวิทยาลัยไม่ได้ปิดเป็นเวลาหลายสัปดาห์ จากศูนย์เล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ที่สำนักบริหารกิจการนิสิตตั้งแต่ปี 2527 ที่ให้บริการเยียวยารักษาจิตใจของนิสิตที่ส่งตัวมาจากกลุ่มอาจารย์ที่ปรึกษา ที่ค่อย ๆ เพิ่มจากหลักสิบ เป็นปีละประมาณ 400 ราย ปัจจุบันเป็นศูนย์ที่มีขนาดใหญ่กว่า 800 ตร.ม. ที่ตั้งอยู่บริเวณชั้น 3 ของอาคารจามจุรี 9 และขยายงานจากฝั่งที่มีการเยียวยารักษาอย่างเดียวเป็นส่งเสริมป้องกัน เช่น จัดกิจกรรมเชิงจิตวิทยา ตั้งแต่ศูนย์เปิดเมื่อ ต.ค. 2557 เพียงแค่ครึ่งปีการศึกษา มีผู้รับบริการเพิ่มเป็น 900 ราย ปีที่ 2 เป็น 1,600 ราย ปีที่ 3 เป็น 2,000 ราย จนตอนนี้ครึ่งเทอมอยู่ที่เกือบ 1,700 ราย "ถ้าดูปริมาณของเด็กที่มาใช้งานในศูนย์ เด็กกล้าที่จะมาใช้งานศูนย์เยอะมาก เพราะกิจกรรมต่าง ๆ ที่เราทำไปในเชิงป้องกัน สอดแทรกการ destigmatise (ลดภาพลักษณ์เชิงลบ) เราพยายามสื่อสารว่าการมาเจอนักจิตวิทยา การมาพัฒนาตัวเอง ไม่ใช่เรื่องผิดปกติ" ธารีวรรณ กล่าว ธารีวรรณ เทียมเมฆ หัวหน้าหน่วยส่งเสริมสุขภาวะนิสิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ด้าน ผศ.ดร.ชัยพร ภู่ประเสริฐ รองอธิการบดีกำกับดูแลด้านการพัฒนานิสิตและนิสิตเก่าสัมพันธ์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า นอกจากผู้เชี่ยวชาญที่อยู่ที่ศูนย์ เครือข่ายเจ้าหน้าที่กิจการนิสิตและอาจารย์ที่ปรึกษาจะมีส่วนที่สำคัญมากในการดูแลนิสิต เพราะจะเป็นส่วนที่สัมผัสกับนิสิตโดยตรง "อย่างเครือข่ายอาจารย์ที่ปรึกษา ส่วนใหญ่ก็จะมองหน้าที่ว่าดูแลเรื่องการลงทะเบียน ดูเรื่องการเรียน จริง ๆ หน้าที่อีกอันนึงคือดูแลนิสิตในเรื่องของจิตใจด้วย" ผศ.ดร.ชัยพร กล่าว "ตรงนี้ศูนย์สุขภาวะพยายามให้ความรู้อาจารย์ที่ปรึกษาในการดูแลลักษณะแบบนี้มากขึ้น เช่น เอาสตางค์ไป พานิสิตไปกินกาแฟ กินข้าว เลี้ยงข้าวกัน ให้มีความรู้จักมักคุ้นกันมากขึ้น และเอาองค์ความรู้ที่มีมาแชร์กัน ให้ความรู้ขั้นต้นว่าการให้คำปรึกษาหรือการส่งเสริมป้องกันต้องทำยังไงบ้าง" ฟังด้วยหัวใจ วันหนึ่งในเดือน ก.พ. ปีที่แล้ว กิตติยา เอกพจนานันท์ เดินขึ้นไปบนชั้น 6 ตึกคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อที่จะกระโดดตึกฆ่าตัวตาย "ยืนมองพื้นจากข้างบน ไม่กลัวการเจ็บอะไร แล้วอยู่ดี ๆ ได้ยินเสียงที่เข้ามา เป็นเสียงตัวละครพาร์ทเนอร์ที่เล่นกับเรา เรียกชื่อจริงของตัวละครเรา ทำให้เราชะงักขึ้นมา ก็เลยเหมือนฟื้นสติขึ้นมาได้ เหมือนอย่างน้อยก็ยังมีตัวละครอีกตัวที่รักตัวละครเรา" เธอกล่าวกับบีบีซีไทยเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา สถิติจากศูนย์ป้องกันการฆ่าตัวตายระดับชาติ ระบุว่า คนไทยพยายามฆ่าตัวตายประมาณ 53,000 คนต่อปี แต่คนหนึ่งอาจมีหลายความพยายาม และกรณีของกิตติยาไม่ถือว่าเข้าข่ายการพยายามฆ่าตัวตายของศูนย์ หน่วยส่งเสริมสุขภาวะนิสิตของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นหน่วยงานที่ให้บริการทางด้านจิตวิทยาสำหรับนิสิตทั้งในระดับปริญญาตรี โท และเอก บ่อยครั้งที่กิตติยาจะโพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊กที่เล่าเกี่ยวกับอาการเครียดหรือซึมเศร้าของเธอ แต่กลับเจอความเห็นที่ทำร้ายจิตใจของเธอ หรือทำให้เธอคิดว่าเธอกำลังถูกตัดสิน เช่น วิจารณ์คนที่คิดฆ่าตัวตาย หรือหาว่าเป็นโรคซึมเศร้า "ตามแฟชั่น" นพ.ณัฐกร ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจิตเวชขอนแก่นราชนครินทร์ กล่าวว่า คนที่ส่งสัญญาณเตือนเรื่องการฆ่าตัวตาย มีค่าเท่ากับส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ แต่คนไทยบางทีจะไม่กล้าถามเกี่ยวกับเรื่องความคิดในการทำร้ายตนเอง เนื่องจากอาจคิดว่าเป็นการกระตุ้นให้ฆ่าตัวตาย ซึ่งจริง ๆ แล้วเป็นการเข้าใจผิด "การฟัง เป็นหัวใจที่สำคัญของการป้องกันการฆ่าตัวตาย สำคัญกว่าการวินิจฉัยหรือชี้ว่าเขาถูกหรือผิด เพราะตอนที่เขาส่งสัญญาณมา เขาต้องการคนฟังที่จะเข้าใจเขา ไม่ใช่คนฟังที่จะสั่งสอน" นพ.ณัฐกร กล่าว "สังคมไม่ต้องกังวลว่าไม่ได้ร่ำเรียนมา สังคมฟังอย่างเดียว สังคมพยักหน้าหงึก ๆ เป็นจังหวะ สังคมสบตา สังคมไม่ต้องตัดสินอะไรเขา" กว่าหนึ่งปีหลังจากที่กิตติยาคิดฆ่าตัวตาย นิสิตปริญญาโทดังกล่าวยังคงรักษาอาการซึมเศร้ากับจิตแพทย์ที่หน่วยส่งเสริมสุขภาวะนิสิตของมหาวิทยาลัย ซึ่งเธอเลือกที่จะรักษาที่นี่เนื่องจากไม่มีค่าใช้จ่ายสำหรับนิสิตและคิวสั้นกว่าโรงพยาบาลทั่วไป "ตอนนั้น ไม่ไหวแล้ว ไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อ สับสนวุ่นวาย มีปัญหากองอยู่เต็มไปหมด ไม่สามารถจัดการปัญหาได้" เธอกล่าว "ถ้าไม่ได้หาที่นี่ อาจจะไม่ได้ยืนอยู่ตรงนี้แล้วก็ได้" ถ้าคุณต้องการใครสักคนเป็นเพื่อนพูดคุย สามารถโทรไปที่สมาคมสะมาริตันส์แห่งประเทศไทย 02-7136793 เวลา 12.00-22.00 น. หรือ สายด่วนกรมสุขภาพจิต 1323 หรือสามารถส่งข้อความไปที่เฟซบุ๊กสมาคมสะมาริตันส์แห่งประเทศไทย
|
ราว 1 ทุ่มของ 11 ธ.ค. 2561 เมื่อณัชพล เฉลยกุล เปิดประตูเข้าไปในห้องพักที่อยู่ในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต เขาได้พบกับร่างของเพื่อนร่วมห้องผูกคอตัวเองจนเสียชีวิต
|
thailand-54596577
|
https://www.bbc.com/thai/thailand-54596577
|
ชุมนุม 19 ตุลา: กอร.ฉ. ตั้ง คกก.จัดระเบียบสื่อ แจงคำสั่งฉบับ 4 ยังไม่มีผลบังคับใช้
|
ช่วงเช้าวันนี้ (19 ต.ค.) สื่อหลายสำนักได้เผยแพร่คำสั่งหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง ลงวันที่ 16 ต.ค. โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. เรื่อง ให้ตรวจสอบและให้ระงับการออกอากาศรายการฯ ที่มีเนื้อหาขัดกับข้อกำหนดที่ออกตาม พ.ร.ก. การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งห้ามการเสนอข่าวหรือข้อมูลอันอาจทำให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัวหรือเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสาร ทำให้เกิดความเข้าใจผิดในสถานการณ์ฉุกเฉินจนกระทบต่อความมั่นคงของรัฐหรือความสงบเรียบร้อย คำสั่งดังกล่าวระบุชื่อสื่อโทรทัศน์และสื่อออนไลน์ที่นำเสนอเนื้อหาบางส่วนกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ ได้แก่ วอยซ์ทีวี ประชาไท เดอะรีพอร์ตเตอร์ เดอะสแตนดาร์ด และเพจเฟซบุ๊กเยาวชนปลดแอก ผบ.ตร. ในฐานะหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินฯ จึงให้สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ตรวจสอบสื่อดังกล่าวและให้ระงับการออกอากาศรายการหรือระงับการทำให้แพร่หลายหรือลบข้อมูลคอมพิวเตอร์แล้วแต่กรณี เวลา 11.00 น. พล.ต.ท.จารุวัฒน์ ไวศยะ ผู้ช่วย ผบ.ตร. แถลงในนาม กอร.ฉ. ชี้แจงถึงการออกคำสั่งฉบับดังกล่าวว่า เจ้าหน้าที่ไม่มีนโยบายหรือคำสั่งปิดกั้นสิทธิเสรีภาพ และยังไม่มีคำสั่งปิดสื่อใดทั้งสิ้น แต่ "เป็นเพียงการสั่งพิจารณาเนื้อหาเป็นชิ้น ๆ ไป หรือเป็นช่วงเวลาไป" ส่วนเหตุผลที่ออกคำสั่งฉบับนี้เนื่องจากได้รับแจ้งจากหน่วยข่าวว่ามีการนำเสนอข้อมูล อันอาจจะก่อให้เกิดความสับสนและปลุกปั่น ก่อให้เกิดความไม่สงบได้ จึงให้อำนาจ กสทช. ไปพิจารณาเนื้อหาว่าผิดกฎหมายหรือไม่ หากผิดก็ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปบังคับใช้กฎหมายตามปกติ พล.ต.ท. จารุวัฒน์ย้ำว่า ประกาศฉบับนี้ยังไม่มีผลบังคับใช้ เพราะยังอยู่ในขั้นตอนการปฏิบัติ ขั้นตอนในการดำเนินการต่อไปมีอะไรบ้าง กอร.ฉ. ชี้แจงการดำเนินการเกี่ยวกับการนำเสนอข่าวสารข้อมูลของสื่อมวลชนและบุคคลทั่วไปดังนี้ แต่งตั้งคณะกรรมการบริหารจัดการสื่อ ผู้ช่วย ผบ.ตร. กล่าวเพิ่มเติมว่า กอร.ฉ. ได้แต่งตั้ง "คณะกรรมการบริหารจัดการสื่อ และข้อมูลข่าวสาร" ขึ้น ตามคำสั่งให้มีหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขในสถานการณ์รุนแรง ที่ 13/2563 เพื่อให้การควบคุมดูแลสื่อเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ พล.ต.ท.จารุวัฒน์ อธิบายถึงขอบข่ายการปฏิบัติงานของคณะกรรมการชุดดังกล่าวว่า ประกอบไปด้วย 3 หน้าที่หลัก 1. บริหารจัดการข้อมูลที่ปรากฏทางสื่อมวลชน เอกสาร หรือข่าวสารอื่นใดทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ และอื่น ๆ ที่มีเนื้อหาไม่เหมาะสม กระทบต่อความมั่นคงประเทศ จะมีการบันทึกไว้เป็นระบบ 2. สืบสวน ตรวจสอบ พิสูจน์ทราบ ติดตามความเคลื่อนไหวของการสื่อสาร หรือบุคคล รวมทั้งส่งข้อมูลต่อเจ้าหน้าที่ที่บังคับใช้กฎหมาย หรือเพื่อระงับการเผยแพร่ข้อมูล ที่ไม่เหมาะสม 3. กำหนดมาตรการเชิงรุกในการบังคับใช้กฎหมาย ในการนำเสนอข้อมูลที่ไม่เหมาะสม "พุทธิพงษ์" เผยเตรียมดำเนินคดีเอาผิดผู้ใช้สื่อโซเชียลกว่า 300,000 ราย รวมสื่อมวลชน นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กล่าวว่าขณะนี้ได้มีการติดตามเฝ้าระวังการสื่อสารผ่านทางโซเชียลมีเดีย หากพบการกระทำผิดกฎหมายก็ต้องดำเนินการ เนื่องจากขณะนี้มีการประกาศและบังคับใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน รมว. ดิจิทัลฯ กล่าวว่า วันนี้ (19 ต.ค.) ได้มอบหมายให้รองปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ ไปแจ้งความดำเนินคดีกับผู้ที่ใช้โซเชียลมีเดียไปในทางที่ผิดกฎหมายราว 300,000 ราย รวมไปถึงสำนักข่าวหรือเพจข่าวที่มีเนื้อหาเข้าข่ายผิดกฎหมายด้วย ส่วนจะแค่สั่งปิดหรือแจ้งเตือนต้องดูในรายละเอียดอีกครั้ง แต่หากมีคำสั่งศาลมาแล้วก็จำเป็นต้องสั่งปิด กรณีที่เป็นสื่อทีวีดิจิทัลต้องประสานไปยัง กสทช. นายพุทธิพงษ์ยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานด้วยความระมัดระวังและรอบคอบไม่ได้เลือกปฏิบัติและไม่ปิดกั้นสิทธิของประชาชน โดยจะดูหลักฐานประกอบการดำเนินคดี หากบุคคลใดที่โพสต์ข้อความไม่เข้าข่ายยุยงปลุกปั่นก็จะยังไม่ดำเนินการเอาผิด แต่จะติดตามดูไปก่อน กระทรวงดิจิทัลฯ ประสาน กสทช. สั่งปิดแอปฯ "เทเลแกรม" เวลา 13.54 น. ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนได้เผยแพร่เอกสารประทับตรา "ลับมาก" และ "ด่วนที่สุด" ลงวันที่ 19 ต.ค. ซึ่งเป็นหนังสือที่นายภุชพงค์ โนดไธสง รองปลัดกระทรวง ปฏิบัติราชการแทน ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ ส่งถึงเลขาธิการ กสทช. ให้ดำเนินการแจ้งให้ผู้บริการอินเทอร์เน็ตและผู้ให้บริการเครือข่ายมือถือทุกรายระงับการใช้แอปพลิเคชันเทเลแกรม (Telegram) ทั้งนี้ เทเลแกรมเป็นช่องทางการสื่อสารที่กลุ่มผู้ชุมนุมนำมาใช้หลังจากกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า "เยาวชนปลดแอก" และ "แนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม" ซึ่งเป็นสมาชิกสำคัญของ "คณะราษฎร" แจ้งผ่านเพจตัวเองว่ากระทรวงดิจิทัลฯ อาจปิดเพจของพวกเขา และแจ้งให้ "ย้ายถิ่นฐาน" ไปใช้เทเลแกรม ภายในเวลาไม่นาน ปรากฏว่าแนวร่วมและผู้ติดตามได้หลั่งไหลเข้าสู่ "บ้านหลังใหม่" เป็นจำนวนมาก ข้อมูล ณ เวลา 14.40 น. วันนี้ (19 ต.ค.) กลุ่มสนทนา (กรุ๊ปแชท) ของเยาวชนปลดแอกมีสมาชิกกว่า 1.73 แสนคน ส่วนกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์ฯ มีผู้ติดตามกว่า 32,000 คน แอดมินผู้จัดการกลุ่มได้แจ้งเตือนสมาชิกให้ระมัดระวังการเปิดเผยตัวตน ด้วยการงดใส่รูปตัวเองในภาพโปรไฟล์, งดใส่ชื่อจริง และปิดหมายเลขโทร ทั้งนี้ รัฐบาลไทยไม่ใช่ประเทศแรกที่กำลังใช้ความพยายามในการปิดกั้นการใช้งานของแอปพลิเคชัน "เทเลแกรม" สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานเมื่อวันที่ 18 มิ.ย. ที่ผ่านมาว่า รัฐบาลรัสเซียก็ใช้ความพยายามอย่างหนักถึงสองปีในการปิดกั้นการเข้าถึงแอปพลิเคชันสัญชาติรัสเซียนี้ หลังจากผู้บริหารแอปพลิเคชันนี้ไม่ปฏิเสธการมอบข้อมูลของผู้ใช้งานให้กับทางการรัสเซีย ซึ่งอ้างว่าแฟลตฟอร์มดังกล่าวอาจจะถูกใช้เป็นเครื่องมือของกลุ่มหัวรุนแรง โดยในปีเดือนเม.ย. 2561 ศาลในรัสเซียจึงมีคำสั่งให้ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรคมนาคมปิดกั้นการใช้เทเลแกรมในรัสเซีย แต่แอปดังกล่าวก็ยังได้รับความนิยมของผู้ใช้งานกว่า 30 ล้านราย รวมทั้งเจ้าหน้าที่ทางการของรัฐบาลด้วย ซึ่งต่อมาในวันที่ 18 มิ.ย. หน่วยงานด้านโทรคมนาคมจึงยกเลิกคำสั่งห้ามดังกล่าวหลังจากใช้ความพยายามถึง 2 ปี ปิดกั้นไม่ประสบความสำเร็จตลอดสองปีที่ผ่านมา นำเสนอข้อมูลบิดเบือน ผิด พ.ร.บ.คอมฯ โทษสูงสุดจำคุก 5 ปี พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองผู้บังคับการ กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.)กล่าวว่า กอร.ฉ. ตรวจพบสื่อออนไลน์ที่กระทำผิดผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ ทำการไลฟ์สดเหตุการณ์การปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการชุมนุมบริเวณแยกปทุมวัน เมื่อวันที่ 16 ต.ค. และนำกลับมาเผยแพร่ซ้ำในวันที่ 17 ต.ค. เวลา 20.18 น. และวันที่ 18 ต.ค. เวลา 19.29 น. ตามลำดับ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มีการชุมนุม ในลักษณะที่ทำให้ประชาชนเข้าใจผิดว่าผู้ชุมนุมและเจ้าหน้าที่มีการเผชิญหน้ากัน และบังคับใช้กฎหมายกับผู้ชุมนุม พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ชี้แจงว่า ตามข้อเท็จจริงในช่วงเวลาดังกล่าวไม่มีการปฏิบัติการลักษณะนั้นแต่อย่างใด จึงแสดงให้เห็นเจตนาของสื่อดังกล่าวที่นำเข้าข้อมูลที่บิดเบือน มีความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ มาตรา 14 มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท และยังเป็นการฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน อีกด้วย มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท กอร.ฉ.จะพิจารณาดำเนินคดีกับเพจเฟซบุ๊กดังกล่าวต่อไป "ขอฝากพี่น้องประชาชนในการรับข้อมูลข่าวสาร อยากให้รับข้อมูลข่าวสารจากเว็บไซต์ของทางราชการ หรือสำนักข่าวหลัก ที่มีการตรวจสอบ กลั่นกรอง อย่างถูกต้องถี่ถ้วนแล้ว" แถลงการณ์ศิษย์เก่าและปัจจุบันออกซ์ฟอร์ด-เคมบริดจ์ ศิษย์เก่าและปัจจุบันของมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดและมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ 102 คน ลงนามในแถลงการณ์ประณามการใช้ความรุนแรงเกินกว่าเหตุของรัฐบาลในการปราบปรามผู้ประท้วง โดยระบุว่า "การมีความคิดเห็นที่แตกต่างหลากหลายเป็นเรื่องปกติของมนุษย์ เพราะฉะนั้นการแสดงออกอย่างสันติวิธี ย่อมเป็นสิทธิและเสรีภาพขั้นพื้นฐานในระดับสากล รัฐมีหน้าที่ปกป้องและรักษาไว้ซึ่งสิทธิและเสรีภาพเหล่านี้" ศิษย์เก่าและปัจจุบันของมหาวิทยาลัยดังบอกว่า ประชาชนชุมนุมกันด้วยหลักสันติวิธี โดยปราศจากอาวุธหรือความรุนแรง "ดังนั้นการประกาศใช้พระราชกำหนดในสถานการณ์ฉุกเฉินขั้นร้ายแรงของรัฐบาล และการสลายการชุมนุมด้วยเครื่องอัดน้ำแรงดันสูง ผสมสารเคมีและสี ย่อมเป็นการกระทำที่ไม่จำเป็น ไม่สมเหตุสมผล และขัดต่อมาตรฐานสากลของสหประชาชาติ" พวกเขาเรียกร้องให้รัฐบาล : 1. ยกเลิกพระราชกำหนดในสถานการณ์ฉุกเฉินโดยทันที 2. อนุญาตให้ผู้ถูกควบคุมตัวโดยเจ้าหน้าที่รัฐ ได้รับการปล่อยตัวหรือการประกันตัว และจัดการสืบสวนและการสอบสวนอย่างโปร่งใส ยุติธรรม 3. ยุติการกระทำอันเป็นการคุกคามประชาชน และเปิดให้ประชาชนมีสิทธิ เสรีภาพ ในการแสดงออกโดยสันติวิธี ตามที่พึงมีในหลักสากล 4. จัดการสืบสวนสอบสวนที่โปร่งใส เพื่อหาผู้รับผิดชอบต่อความรุนแรงในการสลายการชุมนุม 5. เปิดสภาสมัยวิสามัญ และ สร้างพื้นที่เจรจาระหว่างรัฐบาลและผู้ชุมนุมอย่างเร่งด่วน เพื่อพิจารณาข้อเรียกร้องของประชาชน และนำไปสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตยและเป็นที่ยอมรับของประชาชนทุกฝ่าย
|
กองอำนวยการร่วมแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง (กอร.ฉ.) ยอมรับว่าผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ได้ลงนามในคำสั่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบและระงับการเผยแพร่สื่อและเพจเฟซบุ๊กอย่างน้อย 6 แห่งจริง แต่คำสั่งฉบับนี้ยังไม่มีผลบังคับใช้จนกว่าจะประกาศในราชกิจจานุเบกษา
|
thailand-53915699
|
https://www.bbc.com/thai/thailand-53915699
|
เยาวชนปลดแอก : "ทัตเทพ-ภานุมาศ" ได้รับการปล่อยตัวแล้ว หลัง อ.จุฬาฯ และ ส.ส.ก้าวไกลใช้ตำแหน่งประกัน
|
ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานว่า นายทัตเทพได้รับการประกันตัวโดยใช้ตำแหน่ง อ.กนกรัตน์ เลิศชูสกุล อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นหลักประกัน ส่วนนายภานุมาศประกันตัวโดย ส.ส. ธัญญ์วาริน สุขะพิสิษฐ์ จากพรรคก้าวไกล ใช้ตำแหน่งเป็นหลักประกัน ก่อนหน้านี้ ทั้งสองถูกจับกุมบริเวณหน้าที่พัก จากกรณีจัดการชุมนุมใหญ่ครั้งแรกเมื่อ 18 ก.ค. นายทัตเทพ หรือฟอร์ด และนายภานุมาศ หรือเจมส์ ผู้ร่วมก่อตั้งเยาวชนปลดแอก ถือเป็นผู้ต้องหารายที่ 12 และ 13 ในคดีนี้ ที่ถูกตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบเข้าแสดงหมายจับเมื่อเวลา 12.15 น. ขณะกำลังออกจากที่พักย่านติวานนท์ ก่อนเดินทางไปร่วมงานเสวนาที่บริษัท มติชน จำกัด (มหาชน) เจ้าหน้าที่ตำรวจนอกเครื่องแบบได้เข้าแสดงหมายศาลอาญาที่ 1172/2563 ลงวันที่ 6 ส.ค. ก่อนควบคุมตัวนายนายทัตเทพ และนายภานุมาศ ขึ้นรถยนต์ไปยัง สน.สำราญราษฎร์ ในฐานะเจ้าของท้องที่เกิดเหตุ วันชุมนุมใหญ่ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เมื่อ 18 ก.ค. นายทัตเทพและนายภานุมาศชูสามนิ้วเมื่อมาถึง สน. สำราญราษฎร์ ในระหว่างการจับกุม รายละเอียดทั้งหมดถูกถ่ายทอดสดผ่านแฟนเพจเฟซบุ๊กของกลุ่มเยาวชนปลดแอก แม้เจ้าหน้าที่ตำรวจพยายามเจรจาขอให้งดการจัดรายการสด และให้ใช้โทรศัพท์ติดต่อทนายความหรือบุคคลที่ไว้วางใจ แต่นายทัตเทพและนายภานุมาศช่วยกันยืนกรานสิทธิในการถ่ายทอดเพื่อให้มั่นใจว่าจะไปถึง สน. อย่างปลอดภัย ซึ่งขณะนี้ (12.30 น.) มีประชาชนดูอยู่ 5 พันคน "ประชาชนคือบุคคลที่เราไว้ใจ เหมือนญาติที่เราเคารพรัก เป็นเหมือนเพื่อนผู้ร่วมอุดมการณ์" และ "เราทำได้แค่พูดคุย ผมไม่มีอาวุธ ไม่มีอำนาจ เงินก็ไม่มีด้วย ทำอะไรไม่ได้ ถ้าพี่ ๆ บริสุทธิ์ใจ ต้องให้ผมไลฟ์ได้ ผมเชื่อว่าพี่ไม่มีวาระแอบแฝงหรอก อาจแค่กลัวนายว่า" นายทัตเทพกล่าวผ่านเฟซบุ๊กไลฟ์ ผู้ต้องหารายนี้ยังกล่าวติดตลกด้วยว่า นี่คือการจัดรายการ "เยาวชนปลดแอกพบประชาชน ep 1" และไม่มีท่าทีกังวลแต่อย่างใดในระหว่างถูกควบคุมตัวไปยัง สน.สำราญราษฎร์ อีกทั้งยังแจ้งนายตำรวจที่นั่งอยู่เบาะหน้าว่า "ประชาชนฝากบอกให้พี่ตำรวจคาดเข็มขัดนิรภัย นี่เราบอกเพราะเราเป็นห่วงพี่ตำรวจ" ทัตเทพบนเวทีการชุมนุมของกลุ่มเยาวชนปลดแอกเมื่อวันที่ 18 ก.ค. ข้อกล่าวหา 7 ข้อ ที่ปรากฏในหมายจับ ลงวันที่ 6 ส.ค. 2563 มีรายละเอียดดังนี้ เมื่อเดินทางถึง สน. สำราญราษฎร์ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้อ่านบันทึกจับกุมให้ผู้ต้องหาทั้งสองฟัง จากนั้นจึงสอบคำให้การทัตเทพและนายภานุมาศ ซึ่งศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนรายงานว่าทั้งสองให้การปฏิเสธ และขอส่งคำให้การเป็นหนังสือวันที่ 10 ก.ย. ต่อจากนั้นพนักงานสอบสวนได้นำตัวทั้งสองไปศาลอาญา เพื่อขออำนาจศาลฝากขัง
|
นายทัตเทพ เรืองประไพกิจเสรี และนายภานุมาศ สิงห์พรม นักเคลื่อนไหวทางการเมือง ผู้ร่วมก่อตั้งกลุ่ม "เยาวชนปลดแอก" และ "คณะประชาชนปลดแอก" ได้รับการปล่อยตัวแล้ว หลังจากถูกจับกุมบริเวณหน้าที่พัก จากกรณีจัดการชุมนุมใหญ่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 18 ก.ค.
|
thailand-48924375
|
https://www.bbc.com/thai/thailand-48924375
|
ประยุทธ์ โละประกาศ/คำสั่ง คสช. 66 ฉบับ โอนคดีศาลทหารกลับไปศาลยุติธรรม
|
คำสั่งหัวหน้า คสช. ฉบับนี้ ให้เหตุผลว่า ขณะนี้การดำเนินการตามประกาศและคำสั่งบางฉบับได้ "บรรลุวัตถุประสงค์ตามที่มุ่งหมายไว้แล้ว" และเพื่อให้บทบัญญัติของกฎหมายมีความสอดคล้องและเหมาะสมกับบริบทที่เปลี่ยนแปลงไป ตลอดจนเป็นการเสริมสร้างความเป็นเอกภาพของกฎหมายทั้งระบบเพื่อประโยชน์ในการเข้าถึงและการปฏิบัติตามกฎหมายได้อย่างถูกต้อง อันเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิรูปประเทศด้านกฎหมายตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ หัวหน้า คสช. จึงอาศัยอำนาจตามมาตรา 265 ของรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 และมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พ.ศ. 2557 มีคำสั่ง ดังนี้ สำหรับคดีในศาลทหารที่จะโอนไปอยู่ในความรับผิดชอบของศาลพลเรือนตามปกติ ถูกระบุไว้ใน "บัญชี 2" ท้ายคำสั่งนี้ อาทิ 1. ฉบับที่ 37/2557 เรื่อง ความผิดที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีของศาลทหาร ลงวันที่ 25 พ.ค. 2557 ประกอบด้วย ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ได้แก่ ความผิดต่อองค์พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ตั้งแต่มาตรา 107-112, ความผิดต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ตั้งแต่ มาตรา 113-118 (ยกเว้นความผิดซึ่งการกระทําผิดเกิดขึ้นในเขตพื้นที่ที่มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551 หรือพระราชกําหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548) 2. ฉบับที่ 38/2557 เรื่อง คดีที่ประกอบด้วยการกระทําหลายอย่างเกี่ยวโยงกันให้อยู่ในอํานาจของศาลทหาร ลงวันที่ 25 พ.ค. 2557 3. ฉบับที่ 50/2557 เรื่อง ให้ศาลทหารมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน หรือวัตถุระเบิด ที่ใช้เฉพาะแต่การสงคราม คำสั่งหัวหน้า คสช. ฉบับนี้ยังได้ "นิรโทษกรรม" ตัวเองซ้ำตามเนื้อหาในข้อ 8 ที่ระบุว่า การยกเลิกประกาศและคำสั่งต่าง ๆ ไม่กระทบกระเทือนถึงการใดที่ได้กระทำหรือปฏิบัติไปก่อนหน้านี้ และให้การกระทำและการปฏิบัตินั้น ชอบด้วยรัฐธรรมนูญและกฎหมายตามมาตรา 279 ของรัฐธรรมนูญ ก่อนหน้านี้ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกฎหมาย ระบุเมื่อวันที่ 7 พ.ค. ว่า ประกาศและคำสั่ง คสช. มีทั้งสิ้น 456 ฉบับ โดยมี 246 ฉบับที่ไม่ต้องพิจารณาทบทวนยกเลิกแล้ว เนื่องจากมีการยกเลิก หรือสิ้นผลเนื่องจากเสร็จสิ้นภารกิจและสิ้นผลโดยอัตโนมัติ นอกจากนี้ ยังมีประกาศและคำสั่ง คสช. ที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องอยากให้คงไว้จำนวน 65 ฉบับ แต่รัฐบาลหน้ามีสิทธิที่จะเสนอปรับเปลี่ยนแก้ไขเมื่อใดก็ได้ "จะเหลือ 65 ฉบับ ที่จะอยู่ต่อไปจนรัฐบาลหน้า เพราะมีความจำเป็นต้องคงไว้ ซึ่งหน่วยงานขอให้คงไว้ เช่น เรื่องไอยูยู การแก้ไขปัญหาแรงงานต่างด้าว ไอเคโอ้ โดยมีการคำแนะนำให้ถ่ายโอนไปเป็นพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ปกติ แต่หากรัฐบาลหน้าอยากจะยกเลิกหรือแก้ไขสามารถดำเนินการได้" นายวิษณุกล่าว
|
เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ 9/2562 เรื่อง การยกเลิกประกาศ คสช. คำสั่ง คสช. และคำสั่งหัวหน้า คสช. บางฉบับที่หมดความจำเป็น อย่างน้อย 66 ฉบับ โดยให้มีผลตั้งแต่วันนี้ (9 ก.ค.)
|
other-news-47637736
|
https://www.bbc.com/thai/other-news-47637736
|
สรุปผลการนับคะแนนเลือกตั้ง 2562 และผลการเลือกตั้งทั่วไป
|
ส.ส. ที่ได้รับเลือกตั้ง คะแนนล่าสุด 9 พฤษภาคม 2562 19:55:51 2562 กระบี่ กรุงเทพมหานคร กาญจนบุรี กาฬสินธุ์ กำแพงเพชร ขอนแก่น จันทบุรี ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ชัยนาท ชัยภูมิ ชุมพร เชียงราย เชียงใหม่ ตรัง ตราด ตาก นครนายก นครปฐม นครพนม นครราชสีมา นครศรีธรรมราช นครสวรรค์ นนทบุรี นราธิวาส น่าน บึงกาฬ บุรีรัมย์ ปทุมธานี ประจวบคีรีขันธ์ ปราจีนบุรี ปัตตานี พระนครศรีอยุธยา พะเยา พังงา พัทลุง พิจิตร พิษณุโลก เพชรบุรี เพชรบูรณ์ แพร่ ภูเก็ต มหาสารคาม มุกดาหาร แม่ฮ่องสอน ยโสธร ยะลา ร้อยเอ็ด ระนอง ระยอง ราชบุรี ลพบุรี ลำปาง ลำพูน เลย ศรีสะเกษ สกลนคร สงขลา สตูล สมุทรปราการ สมุทรสงคราม สมุทรสาคร สระแก้ว สระบุรี สิงห์บุรี สุโขทัย สุพรรณบุรี สุราษฎร์ธานี สุรินทร์ หนองคาย หนองบัวลำภู อ่างทอง อำนาจเจริญ อุดรธานี อุตรดิตถ์ อุทัยธานี อุบลราชธานี 2554 กรุงเทพมหานคร นนทบุรี ปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา อ่างทอง ลพบุรี สิงห์บุรี ชัยนาท สระบุรี สมุทรปราการ ชลบุรี ระยอง จันทบุรี ตราด ฉะเชิงเทรา กาญจนบุรี นครนายก สระแก้ว หนองคาย นครราชสีมา บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ อุบลราชธานี ยโสธร ชัยภูมิ อำนาจเจริญ ปราจีนบุรี หนองบัวลำภู ขอนแก่น อุดรธานี เลย บึงกาฬ มหาสารคาม ร้อยเอ็ด กาฬสินธุ์ สกลนคร มุกดาหาร เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง อุตรดิตถ์ แพร่ น่าน พะเยา เชียงราย แม่ฮ่องสอน นครสวรรค์ อุทัยธานี กำแพงเพชร ตาก สุโขทัย พิษณุโลก พิจิตร เพชรบูรณ์ ราชบุรี สุรินทร์ สุพรรณบุรี นครปฐม สมุทรสาคร สมุทรสงคราม เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ นครพนม นครศรีธรรมราช กระบี่ พังงา ภูเก็ต สุราษฎร์ธานี ระนอง ชุมพร สงขลา สตูล ตรัง พัทลุง ปัตตานี ยะลา นราธิวาส ที่มา: กกต. ข้อมูล ณ วันที่ 25 มี.ค. 2562 เวลา 15.00 น. หมายเหตุ :จำนวน ส.ส. แบบแบ่งเขต มาจากข้อมูล กกต. ในขณะที่ จำนวน ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อเป็น การประเมินเบื้องต้นโดยบีบีซีไทยเนื่องจาก กกต.ไม่เปิดเผยคะแนนเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ นอกจากรายชื่อและเขต และจังหวัดของ ส.ส. แบบแบ่งเขตเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ตัวเลข ส.ส.แบบแบ่งเขตดังกล่าว อาจจะเปลี่ยนแปลงได้อีกได้ เพราะว่า นี่เป็น ผลคะแนนอย่างไม่เป็นทางการ สำนักงาน กกต. จะประกาศผลภายในวันที่ 9 พ.ค. ระหว่างนี้ต้องมีการพิจารณาสำนวนไต่สวนต่าง ๆ ที่อาจมีการร้องเข้ามา "สมมติว่าคนที่ได้ลำดับที่ 1 เป็นถูกระงับสิทธิสมัคร มีการเลือกตั้งใหม่ ผลลำดับบัญชีรายชื่อ ส.ส. ก็จะเปลี่ยนแปลงด้วย"พ.ต.อ. จรุงวิทย์ ภุมมา เลขาธิการ กกต. กล่าวว่า อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง พบกับ วิดีโอชุด "เล่าง่าย เข้าใจเร็ว" เกี่ยวกับการเลือกตั้งครั้งนี้เพิ่มเติมได้ที่ ตอนที่ 1 กติกาใหม่ คุณเข้าใจหรือยัง ? ตอนที่ 2 เลือกตั้งครั้งแรก ต้องทำอย่างไร ? ตอนที่ 3 ตอนที่ 3 ทำไมพระสงฆ์เลือกตั้งไม่ได้ ? ตอนที่ 4 ทำไมคนไทยอาจจะได้นายกฯ ที่ประชาชนส่วนใหญ่ไม่ได้เลือก ? ตอนที่ 5 การเมืองไทย ทำไมลุ่ม ๆ ดอน ๆ ? ตอนที่ 6 กกต. กรรมการที่ลิขิตชีวิต ผู้สมัคร ส.ส. ตอนที่ 7 พลังคนรุ่นใหม่จะพลิกการเมืองไทยได้หรือไม่? ตอนที่ 8 8 ปี ไม่มีเลือกตั้ง ไทยมีอะไร? คุณผู้อ่านสามารถติดตามความเคลื่อนไหว สัมภาษณ์พิเศษ บทวิเคราะห์ พร้อมทั้งทำความรู้จักกับ การเลือกตั้ง 2562 โดยทีมงานบีบีซีไทยได้ที่เว็บไซต์ www.bbc.com/thai/election2019 พร้อมทั้งสื่อสังคมออนไลน์บีบีซีไทยผ่านทาง เฟซบุ๊ก, อินสตาแกรม และ ยูทิวบ์ รวมทั้ง #ThaiElection2019 หรือ #เลือกตั้ง2562
|
บีบีซีไทยสรุปผลการนับคะแนนเลือกตั้ง ณ วันที่ 29 มี.ค. แบ่งเป็นจำนวนที่นั่ง ส.ส. แบบแบ่งเขต และแบบบัญชีรายชื่อ พร้อมทั้งรายงานจำนวนที่นั่งรายจังหวัด ในการเลือกตั้งครั้งประวัติศาสตร์ในรอบ 8 ปี หลังจากไทยอยู่ใต้การปกครองของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มาตั้งแต่เดือน พ.ค.2557
|
other-news-45267445
|
https://www.bbc.com/thai/other-news-45267445
|
เล่าเรื่องด้วยภาพ: ภาพถ่ายทางอากาศเผยให้เห็นการแบ่งแยกอย่างชัดเจนระหว่างชุมชนคนรวยและคนจนในหลายประเทศ
|
ย่านซานตาในกรุงเม็กซิโกซิตี้ ภาพถ่ายเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Unequal Scenes หรือ ฉากแห่งความไม่เท่าเทียม ซึ่งจอห์นนี มิลเลอร์ ได้เริ่มมาตั้งแต่เดือน เม.ย. 2016 โดยมีความมุ่งหมายว่าจะท้าทายกับการยอมรับของคนในเรื่องความไม่เท่าเทียมกันในสังคม ช่างภาพรายนี้บอกว่า "จากนาทีแรก ๆ ที่ลงเครื่องในเมืองเคปทาวน์ของแอฟริกาใต้ คุณก็จะถูกรายล้อมโดยบ้านหลังเล็ก ๆ ซึ่งตั้งอยู่รอบ ๆ สนามบิน และต้องใช้เวลาขับรถยนต์ราว 10 นาที เพื่อไปยังชานเมืองที่ดูเจริญมากขึ้นสำหรับกลุ่มผู้มีอันจะกินอาศัยอยู่ (รวมทั้งตัวของฉันด้วย)" ย่านวูคูเซนเซล สวีต โฮม ในเมืองเคปทาวน์ มิลเลอร์เล่าต่อว่า "นี่คือสภาพความเป็นอยู่ในเมืองเคปทาวน์ของแอฟริกาใต้ และหลายพื้นที่ของโลก ซึ่งผมมองว่าไม่ค่อยดีเลย" "ผมเชื่อว่า ความไม่เท่าเทียมกับคือความท้าท้ายของยุคสมัยนี้ ตามคำกล่าวของบารัค โอบามา (อดีตประธานาธิบดีของสหรัฐฯ)" ย่านซานตา เฟ ในกรุงเม็กซิโกซิตี้ ย่านเคซีย์ ปาร์ค เมืองโจฮันเนสเบิร์ก ของแอฟริกาใต้ ภาพมุมสูงเผยให้เห็นเขตกั้นรั้ว ถนน และส่วนพื้ันที่ชุ่มน้ำที่กั้นระหว่างเขตที่อยู่อาศัยของคนรวยและคนจน นครมุมไบ ของอินเดีย นครมุมไบ ของอินเดีย สนามกอล์ฟแห่งหนึ่งเมืองเดอร์บัน ในแอฟริกาใต้ ย่านอิกซ์ตาปาลูกาในกรุงเม็กซิโกซิตี้ เขตเทมบีซา เมืองโจฮันเนสเบิร์ก ของแอฟริกาใต้ มิลเลอร์ต้องใช้เวลาในการศึกษาและค้นหาข้อมูลเป็นจำนวนมาก เพื่อกำหนดสถานที่ที่ดีที่สุดสำหรับการถ่ายภาพด้วยโดรนและอุปกรณ์ต่าง ๆ ไม่จะเป็นการใช้ข้อมูลด้านสำมะโนประชากร แผนที่ ข่าวและการสัมภาษณ์บุคคล "เมื่อผมสามารถระบุพิกัดสถานที่ที่ต้องการถ่ายภาพ ผมจะใช้แอปพลิเคชัน "กูเกิลเอิร์ธ"ในการมองภาพที่คาดว่าจะเกิดขึ้น รวมทั้งการวางแผนการบินโดรนอีกด้วย นอกจากนี้ยังต้องคำนึงถึงกฎการบิน ความปลอดภัยทางอากาศ ความปลอดภัยของบุคคล อายุการใช้งานของแบตเตอรี ระยะทางในการบิน สภาพอากาศ ช่วงเวลาที่เหมาะสม และปัจจัยอื่น ๆ " เขากล่าว เลค มิเชล, มาสิฟุเมเลล, เมืองเคปทาวน์ ประเทศแอฟริกาใต้ ออตโต บลัฟฟ์, ปีเตอร์มาริตซ์เบิร์ก ในแอฟริกาใต้ ชุมชนไคยา แซนด์ส และย่านบลูบอสแรนด์ เมืองโจฮันเนสเบิร์ก ของแอฟริกาใต้ ภาพทั้งหมดถ่ายโดย จอห์นนี มิลเลอร์
|
ภาพถ่ายที่น่าทึ่งจากโดรน ที่ช่างภาพ "จอห์นนี มิลเลอร์" ได้บันทึกไว้ เมื่อเขาเดินทางไปยัง 3 ประเทศ คือ แอฟริกาใต้ เม็กซิโก และอินเดีย เผยให้เห็นการแบ่งแยกอย่างชัดเจนระหว่างชุมชนชานเมืองในเขตที่พักคนรวยและคนจน
|
international-38943305
|
https://www.bbc.com/thai/international-38943305
|
ชายชาวจีนได้กลับบ้านหลังติดอยู่ในอินเดียนาน 50 ปี
|
นายหวัง ได้กลับบ้านเกิดที่เมืองเซียนหยาง หลังจากมานานกว่าครึ่งศตวรรษ ก่อนหน้านี้นายหวัง ฉี เคยปรากฏในรายงานของบีบีซี ซึ่งนำเสนอเรื่องราวของเขา ในฐานะนักสำรวจรังวัดประจำกองทัพปลดปล่อยประชาชนจีนที่บังเอิญหลงเข้าไปในอินเดียเมื่อปี 1963 และไม่ได้รับเอกสารให้ออกนอกประเทศ หลังจากรายงานดังกล่าว เจ้าหน้าที่การทูตจีนได้เดินทางไปพบกับนายหวัง และบอกว่ากำลังพยายามหาทางช่วยให้เขาได้กลับประเทศบ้านเกิด ยังไม่ชัดเจนว่านายหวังจะกลับไปหาครอบครัวที่อินเดียอีกหรือไม่ นายหวังขึ้นเครื่องบินออกจากกรุงนิวเดลีของอินเดีย เมื่อคืนวันศุกร์ (10 ก.พ.) โดยมีลูกชายที่เกิดในอินเดีย เดินทางไปกับเขาด้วย ซึ่งก่อนหน้าจะไปขึ้นเครื่องบิน เจ้าหน้าที่ของทางการจีน ได้พาเขาและครอบครัวไปซื้อของในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งในกรุงนิวเดลีด้วย เมื่อเดินทางถึงกรุงปักกิ่งของจีน ครอบครัวของนายหวังได้มารอรับเพื่อที่จะขึ้นเครื่องบินต่อไปยังเมืองเซียนหยาง ซึ่งเป็นบ้านเกิดของเขา ก่อนหน้านี้ กระทรวงการต่างประเทศอินเดียได้มอบเอกสารให้นายหวัง เพื่อรับรองว่าเขาสามารถเดินทางออกนอกประเทศได้ ส่วนครอบครัวของนายหวังได้รับหนังสือเดินทางอินเดียเผื่อในกรณีที่ต้องการเดินทางไปด้วยกัน แต่ภรรยาของนายหวัง ซึ่งถือสัญชาติอินเดีย ไม่ได้เดินทางไปด้วย แม่ของนายหวังเสียชีวิตในปี 2006 ยังไม่แน่ชัดว่า นายหวัง มีแผนจะเดินทางกลับอินเดียอีกหรือไม่ โดยเท่าที่ผ่านมา เขาไม่เคยได้รับสัญชาติอินเดีย และเพิ่งจะได้รับหนังสือเดินทางจีนเมื่อปี 2013 นายหวัง กล่าวว่าเขา "ได้รับมอบหมายให้สร้างถนนให้กองทัพจีน" และถูกจับตอนที่หลงทางเข้าไปในอินเดียเมื่อเดือนมกราคม 1963 "ผมออกไปเดินเล่นนอกค่ายที่พัก แต่หลงทาง ผมหิวและเหนื่อย ตอนนั้นเห็นรถของกาชาดจึงเข้าไปขอความช่วยเหลือ แต่เขากลับนำตัวผมไปส่งให้ทหารอินเดีย" นายหวังต้องใช้ชีวิตอีก 7 ปีต่อมาในเรือนจำหลายแห่ง ก่อนที่ศาลจะสั่งให้ปล่อยตัวในปี 1969 ซึ่งตำรวจได้พาเขาไปส่งที่หมู่บ้านทิโรดี ในรัฐมัธยประเทศ ทางตอนกลางของอินเดีย และตั้งแต่นั้นก็ไม่เคยได้รับอนุญาตให้ออกนอกประเทศ หวัง ฉี เข้าร่วมกองทัพปลดปล่อยประชาชนจีนเมื่อปี 1960
|
ในที่สุดนายหวัง ฉี ชายชาวจีนที่ติดอยู่ในอินเดียมากว่า 50 ปี ก็ได้กลับประเทศบ้านเกิดไปพบหน้าครอบครัวอีกครั้ง
|
features-54919431
|
https://www.bbc.com/thai/features-54919431
|
อัลไซเมอร์: เสียงเพลงช่วยกระตุ้นความทรงจำของนักบัลเลต์สมองเสื่อมขึ้นมาอีกครั้ง
|
คลิปวิดีโอนี้เผยให้เห็น มาร์ตา กอนซาเลซ อดีตนักเต้นบัลเลต์ กำลังฟังเพลง"สวอนเลก"( Swan Lake) ของ ปิออตร์ อิลิช ไชคอฟสกี คีตกวีชาวรัสเซีย ซึ่งเป็นบทเพลงที่ใช้ประกอบการแสดงบัลเลต์ชื่อดังเรื่องสวอนเลก ทันทีที่ได้ยินเสียงเพลงดังกล่าว หญิงชราที่สูญเสียความทรงจำจากโรคอัลไซเมอร์ผู้นี้ ก็เริ่มจำท่าเต้นประกอบเพลงนี้ขึ้นมาได้ แล้วทำท่าร่ายรำไปตามเสียงเพลงอย่างน่าทึ่งราวกับเสียงดนตรีได้ปลุกวิญญาณนักเต้นระบำปลายเท้าที่เธอเคยเป็นเมื่อในอดีตกลับขึ้นมาอีกครั้ง คลิปวิดีโอนี้ได้กลายเป็นกระแสโด่งดังในโลกออนไลน์ โดยในตอนแรกมูลนิธิ Asociacion Musica para Despertar เจ้าของคลิปเชื่อว่า มาร์ตา เคยเป็น "ดารานำของคณะนิวยอร์กบัลเลต์" แต่ปรากฏว่าเป็นการเข้าใจผิด ล่าสุดมูลนิธิได้ระบุว่า มาร์ตา เป็นนักบัลเลต์ที่เคยไปศึกษาที่ประเทศคิวบา และได้แสดงในนครนิวยอร์กกับคณะบัลเลต์ของเธอเอง ในช่วงทศวรรษที่ 1960 โดยเธอเป็นที่รู้จักในนาม "มาร์ตา ซินตา" มาร์ตา กอนซาเลซ ใช้ชีวิตช่วงสุดท้ายอยู่ที่บ้านพักคนชราแห่งหนึ่งในแคว้นบาเลนเซียของสเปน เธอเสียชีวิตในปี 2019 หลังจากถ่ายคลิปนี้ไปได้เพียงไม่นาน รู้จักโรคอัลไซเมอร์ อัลไซเมอร์ เป็นโรคที่เกิดจากความเสื่อมถอยของสมองซึ่งมักพบในผู้สูงอายุ ข้อมูลจากคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ระบุว่า ผู้ป่วยโรคนี้จะมีความเสื่อมถอยในเรื่องของความทรงจำ การรับรู้ ความคิด จินตนาการ และการตัดสินใจ โดยอาการของโรคจะค่อยเป็นค่อยไป และทวีความรุนแรงขึ้นจนช่วยหลือตัวเองไม่ได้และเสียชีวิตลงในที่สุด แม้ปัจจุบันจะยังไม่ทราบสาเหตุของโรคอย่างชัดเจน แต่เชื่อว่าเกิดจากปัจจัยหลายประการ เช่น พันธุกรรม อายุที่เพิ่มขึ้น ประวัติคนในครอบครัวที่เคยเป็นโรคนี้ หรือการได้รับอุบัติเหตุทางสมองจนทำให้สมองได้รับบาดเจ็บ รวมถึงผู้ที่มีปัญหาเรื่องหลอดเลือด เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง และการขาดสารอาหารบางชนิด เช่น วิตามินบี 1 และ วิตามินบี 12 เป็นต้น โรคอัลไซเมอร์ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่ทางการแพทย์จะมียาที่ช่วยควบคุมอาการป่วยไม่ให้ทรุดลง นอกจากนี้คนรอบข้างหรือคนในครอบครัวคือส่วนสำคัญที่สุด ที่จะช่วยให้ผู้ป่วยสามารถดำรงชีวิตได้อย่างปกติสุข โดยให้การดูแลด้วยความรักและความเข้าใจ ดนตรีกับผู้ป่วยสมองเสื่อม นอกจากนี้ ข้อมูลจากคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ยังกล่าวถึงการใช้เสียงดนตรีกับผู้ป่วยภาวะสมองเสื่อมเอาไว้ว่า ดนตรีช่วยกระตุ้นอารมณ์ ซึ่งเชื่อมไปสู่ความจำ ทำให้ชะลอการถดถอยของความจำได้ โดยผู้ป่วยสมองเสื่อมยังมีความสามารถในการรับรู้ดนตรี ถึงแม้ว่าจะสูญเสียความสามารถหลายด้านของสมองไปแล้วก็ตาม การฟังและร้องเพลง เป็นการกระตุ้นสมองทั้งสองด้าน ผู้ป่วยสมองเสื่อมถึงแม้จะมีอาการในระยะปานกลางหรือระยะรุนแรง จนไม่สามารถพูดสื่อสารได้แล้ว แต่ก็ยังมีการตอบสนองต่อเสียงดนตรี และสื่อสารกับผู้ดูแลได้มากขึ้น นอกจากนี้ ดนตรียังช่วยให้ความสามารถของสมองในบางด้านดีขึ้น เช่น มีสมาธิจดจ่อดีขึ้น มีความจำเกี่ยวกับภาพที่เห็นดีขึ้น อีกทั้งยังช่วยให้พฤติกรรมและอารมณ์ของผู้ป่วยดีขึ้น เช่น ช่วยลดอาการพลุ่งพล่านกระวนกระวาย ลดอารมณ์ซึมเศร้า ความวิตกกังวลและความเครียด และเมื่อประสานดนตรีไปกับกิจวัตรประจำวัน จังหวะของดนตรีอาจกระตุ้นให้เกิดความจำในการทำกิจวัตรประจำวันได้ดีขึ้นด้วย
|
องค์กรการกุศลในประเทศสเปนที่ใช้เสียงดนตรีในการบำบัดและยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์ได้เผยแพร่คลิปวิดีโอที่แสดงให้เห็นถึงพลังแห่งเสียงดนตรีที่ช่วยกระตุ้นให้ผู้ป่วยโรคนี้ได้ฟื้นคืนความทรงจำขึ้นมาอีกครั้ง
|
thailand-53401225
|
https://www.bbc.com/thai/thailand-53401225
|
โควิด-19 : กรณีทหารอียิปต์-ลูกทูต รัฐบาลชี้แจงอะไรบ้าง หลังขอโทษประชาชน
|
นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศบค. แถลงข่าวเป็นกรณีพิเศษที่ ศบค. ภายในทำเนียบรัฐบาล กรณีบุคคลในคณะทหารสัญชาติอียิปต์วัย 43 ปี ซึ่งเป็นลูกเรือเครื่องบินทหารที่มาลงจอดที่ท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภา เมื่อวันที่ 8 ก.ค. ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 จากการตรวจเชื้อยืนยันครั้งที่ 2 และพบว่ามีการออกนอกพื้นที่ไปยังห้างสรรพสินค้า ทำให้ในวันนี้ (14 ก.ค.) ที่ประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์ไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ได้มีมติปรับเงื่อนไขการอนุญาตเดินทางเข้าประเทศของกลุ่มบุคคลยกเว้นพิเศษ นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. แถลงว่าที่ประชุม ศบค. เห็นถึงความหละหลวมที่เกิดขึ้นระหว่างรอยต่อของการทำงาน นำมาซึ่งความเสี่ยงของการติดเชื้อ และทำให้ประชาชนขาดความเชื่อมั่น จึงมีมติให้กระทรวงการต่างประเทศ ดำเนินการยกเลิกการอนุญาตการบินเข้าของเที่ยวบินกองทัพอากาศอียิปต์ทั้งที่อนุญาตไปแล้ว และกำลังอยู่ระหว่างดำเนินการ จำนวน 8 เที่ยวบิน ด้วยตามข้อตกลงการเดินทางต้องเข้ารับการกักกันตามที่เจ้าพนักงานโรคติดต่อกำหนดตลอดระยะเวลาที่เข้าพำนัก แต่กรณีนี้พบว่าสถานทูตมีการติดต่อโรงแรมโดยตรงเพื่อเข้าพัก อีกทั้งในการเข้าไปตรวจคัดกรองขั้นแรกไม่ได้รับความร่วมมือ จึงต้องมีการติดต่อไปยังสถานทูตเพื่อสั่งการ ประชาชนที่เคยมาใช้บริการและพนักงานร้านค้าในห้างแพสชั่นวัน ช็อปปิ้ง เดสทิเนชั่น หรือห้างแหลมทอง ซึ่งเป็นกลุ่มเสี่ยงจากกรณีลูกเรือคณะทหารอียิปต์ เข้ารับการตรวจโรคโควิด-19 จากรถเก็บตัวอย่างชีวนิรภัยพระราชทาน ซึ่งกรมควบคุมโรคนำมาจอดให้บริการประชาชนฟรี ที่ประชุม ศบค. ยังมีมติให้ชะลอการอนุญาตการเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรแบบผ่อนคลายตามมาตรการกักตัวในสถานที่ที่รัฐจัด (State Quarantine) ตามข้อกำหนดฉบับที่ 12(2) คือ กลุ่มที่มีเหตุยกเว้น ได้แก่ กลุ่มบุคคลในคณะทูต กลุ่มนักธุรกิจที่เดินทางเข้ามาในระยะสั้น ออกไปก่อน เพื่อทบทวนระบบ และจนกว่าประชาชนจะกลับมามีความเชื่อมั่นอีกครั้ง ศบค. จะดำเนินการทบทวนการผ่อนคลายมาตรการกักกันของบุคคลในคณะทูต โดยเฉพาะคู่สมรส บิดามารดา หรือบุตร ซึ่งเห็นถึงความเสี่ยงจึงจะมีการพิจารณาให้เข้าพักในสถานที่กักกันของรัฐทั้งหมดเป็นเวลา 14 วัน "เราจะต้องขออภัยในสิ่งที่เกิดขึ้นทุก ๆ เรื่อง และจะรับมาเป็นข้อปฏิบัติและทำให้ดีที่สุด ในชุดข้อต่อเล็ก ๆ ในจุดที่หละหลวมทุก ๆ จุด" นพ.ทวีศิลป์ กล่าว ผู้สื่อข่าวได้สอบถามระหว่างการแถลงถึงหน่วยงานทีต้องรับผิดชอบ โฆษก ศบค. ยืนยันว่าคงจะโทษใครไม่ได้ นับเป็นความผิดของ ศบค.ที่ต้องดำเนินการแก้ไข และยังแสดงความเสียใจที่ทำให้มีประชาชนที่ได้รับผลกระทบเป็นจำนวนมาก นายกฯ เสียใจ-ขอโทษคนไทยกรณีทหารอียิปต์ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี กรณีทหารอียิปต์ติดเชื้อโควิด-19 เดินทางเข้าพื้นที่ จ.ระยอง โดยไม่กักตัวว่าเป็นเรืองที่ไม่น่าเกิดขึ้นและเป็นความไม่เคารพกติกา ไม่มีวินัย ไม่รับผิดชอบต่อส่วนรวม "ผมในฐานะเป็นผู้อำนวยการ ศบค. ขอรับผิดชอบในส่วนตรงนี้ด้ย แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือต้องหาวิธีปิดจุดความหละหลวมเหล่านี้ให้ได้ วันนี้ได้ส่งทีมไปเก็บข้อมูลเชิงลึกแล้ว ทั้งการลงทะเบียนเข้าออกตามแอปพลิเคชันไทยชนะ และมีการตรวจเชื้อเพิ่มเติมให้คนที่มีความเสี่ยงสัมผัสและมีความกังวล" ประชาชนกลุ่มเสี่ยงเข้ารับการเก็บตัวอย่างเชื้อเพื่อตรวจโรคโควิด-19 ที่ห้างแพสชั่นวัน ช็อปปิ้ง เดสทิเนชั่น หรือห้างแหลมทอง นายกฯ กล่าวว่าได้สั่งการให้ ศบค. ทบทวนมาตรการผ่อนคลายต่าง ๆ รวมทั้งกรณีของสถานทูตและคณะทูตต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบ ขณะเดียวกันในส่วนการบินเข้า-ออกของเครื่องบินทหารและเครื่องบินอื่น ๆ ต้องทำตามระเบียบที่ทางการไทยกำหนด พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถือเป็นการฝ่าฝืน จึงได้มอบกระทรวงการต่างประเทศไปหารือกับสถานทูตว่าอย่าให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก และให้ระงับเที่ยวบินไม่ให้เข้ามาอีกจนกว่าแก้ปัญหาได้ ยืนบันรัฐบาลไม่หยุดยั้งมาตรการด้านสาธารณสุข ขอให้เชื่อมั่นระบบสาธารณสุขของเรา "ก็ขอให้เชื่อมั่นในระบบสาธารณสุขของเรา ซึ่งน่าจะรองรับได้ แต่มันก็ไม่ควรจะเกิดขึ้น ก็เป็นสิ่งที่ผมเสียใจ ก็ขอโทษพี่น้องประชาชนคนไทยด้วยแล้วกัน หลายปัญหามันเกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด หรือเกิดข้อบกพร่องในบางประการ" นายกฯ กล่าวและขอเวลาให้หน่วยราชการดำเนินการแก้ปัญหา นายกฯ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ สิ่งที่เป็นกังวลอีกเรื่องคือขณะนี้หลายพื้นที่ "การ์ดตก" ทั้งในส่วนของประชาชนและสถานประกอบการต่าง ๆ จึงให้มีการกวดขันให้ตรวจตราโดยเฉพาะผับ บาร์ สถานที่ท่องเที่ยวกลางคืน หากไม่แก้ไขก็ให้ปิดทันที เพราะกำหนดมาตรการไปแล้วถ้าไม่แก้ไขก็ต้องยกเลิกไป ส่วนเรื่องนี้จะกลับมาล็อกดาวน์ใหม่หรือไม่นั้น นายกรัฐมนตรี ระบุว่า คงยังไม่ถึงล็อกดาวน์ทั้งหมด แต่จะหามาตรการเข้มข้นในจุดที่มีปัญหา โดยเรื่องนี้ต้องทบทวนก่อนและต้องหามาตรการที่เหมาะสมกับ ตอนนี้ยังอยู่ระหว่างการติดตามสอบสวนโรคอยู่ อีกทั้งทุกอย่างขึ้นอยู่กับทุกคนถ้าไม่ทำตามระเบียบก็จะมีปัญหาหมด วันนี้สั่งการเข้มงวดทุกพื้นที่ ขณะที่เรื่องรับนักท่องเที่ยวต้องไม่ผลีผลาญไม่เช่นนั้นเกิดปัญหา ส่วนจะถึงขั้นแบล็กลิสต์คนอียิปต์กลุ่มดังกล่าวที่ฝ่าฝืนหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ไม่ถึงขนาดขนาดแบล็กลิสต์ และเรื่องดังกล่าวก็ยังไม่มีส่วนเกี่ยวกับพิจารณาต่ออายุ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน หรือไม่ นายกฯยังตอบกรณีที่นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์ รัฐธรรมนูญไทย เตรียมยื่นร้องป.ป.ช. เอาผิดฐาน ศบค.ทั้งคณะฐานละเลยการปฏิบัติหน้าที่เหตุการณ์ทหารอียิปต์ ว่า เป็นเรื่องฟ้องร้องไป ตามกระบวนยุติธรรม แต่ขอให้เป็นธรรมด้วยในการฟ้องอะไรต่างๆ ต้องดูครบทุกมิติด้วย ไทม์ไลน์การสอบสวนโรค จากภาพกล้องวงจรปิดของโรงแรม นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า ทางสาธารณสุข จ.ระยอง ได้รับแจ้งว่าจะมีเที่ยวบิน EGY 1215 และ EGY 1216 มาลงจอดที่สนามบินอู่ตะเภา ซึ่งเป็นเที่ยวบินทางทหารมีกัปตันและลูกเรือรวม 31 คน โดยมีประเทศต้นทางคือปากีสถาน เดินทางต่อไปยังสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เพื่อปฏิบัติการทางทหาร และเข้าสู่ประเทศไทย โฆษก ศบค. กล่าวว่า ขณะออกนอกเคหะสถาน มีเพียง 10% ของลูกเรือที่ใส่หน้ากากอนามัย โดยในวันที่เดินไปห้างแหลมทองช่วงเวลา 11.00 -14.59 น. นั้น ประกอบด้วยลูกเรือ 27 คน ซึ่งหนึ่งในนั้นคือผู้ยืนยันติดเชื้อ โดยบุคคลดังกล่าวมีการสวมหน้ากากอนามัย ในช่วงเวลานั้นมีลูกเรือ 4 คน ที่ไม่ได้รวมผู้ติดเชื้อได้นั่งรถแท็กซีไปยังห้างเซ็นทรัลฯ ระยอง ช่วงเวลา 14.00-18.00น. ก่อนที่จะได้เรียกรถคันเดิมให้ไปรับกลับ โฆษก ศบค. กล่าวว่า ได้มีการติดตามคนขับยืนยันไม่มีผู้ป่วยในกลุ่มดังกล่าว นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า จากการสอบสวนโรคแบ่งกลุ่มผู้สัมผัสเป็น 2 กลุ่ม คือ ผู้สัมผัสเสี่ยงสูงจำนวน 9 คน จำแนกตามสถานที่ คือ โรงแรม DVaree 7 คน ประกอบไปด้วยผู้จัดการ พนักงานขาย แม่บ้าน โดยทั้งหมดไม่มีอาการทางเดินหายใจ มีการแยกกักตนเองเป็นเวลา 14 วัน ในโรงแรมที่จัดเตรียมไว้ และสนามบิน 2 คน อีกกลุ่มคือ ผู้สัมผัสเสี่ยงต่ำจำนวน 9 คน เป็นหน่วยปฏิบัติควบคุมโรคติดต่อหรือทีมสอบสวนโรค และทีมตรวจคนเข้าเมือง จ.ระยอง โฆษก ศบค. กล่าวเพิ่มเติมว่า ในช่วงเวลาเดียวกันที่คณะดังกล่าวเข้าไปยังห้างแหลมทอง มีประชาชนอยู่ในห้าง 394 คน ขณะที่ในห้างเซ็นทรัลระยองมีประชาชนอยู่ 1,488 คน โดยกรมควบคุมโรคจะติดต่อไปยังบุคคลเหล่านี้เพื่อเข้ารับการตรวจโดยทันที ขณะที่สถานการณ์ประเทศไทยวันที่ 14 ก.ค. พบผู้ติดเชื้อเพิ่ม 7 ราย ทั้งหมดอยู่ในสถานที่กักกันของรัฐ ส่งผลให้มีผู้ป่วยยืนยันสะสม 3,227 ราย ผู้เสียชีวิตคงที่ 58 ราย ยังรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 78 ราย และรักษาหายแล้ว 3,091 ราย รองผู้บัญชาการทหารบก ชี้เป็นความผิดส่วนบุคคล ก่อนการประชุม ศบค.ชุดเล็กวันนี้ พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รองผู้บัญชาการทหารบก ในฐานะรองประธานคณะกรรมการเฉพาะกิจพิจารณาการผ่อนคลายการบังคับใช้มาตรการในการป้องกันและยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีทหารชาวอียิปต์ติดเชื้อโควิค-19 ใน จ.ระยอง ว่าเรื่องดังกล่าวเป็นความผิดส่วนบุคคลที่ลักลอบออกไปนอกพื้นที่ที่กำหนด ถือเป็นการกระทำฝ่าฝืนส่วนบุคคล ไม่ได้เกิดจากความหละหลวมหรือความผิดพลาดของระบบ เพราะจากการตรวจสอบแล้วพบว่าทุกหน่วยงานทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเต็มที่ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค ลงพื้นที่ที่คอนโด วัน เอ็กซ์ สุขุมวิท 26 สถานที่ซึ่งมีเด็กหญิงชาวซูดาน อายุ 9 ขวบ ครอบครัวคณะทูตติดเชื้อโควิด-19 สำหรับวิธีการคัดกรองเชื้อที่สนามบินอู่ตะเภา พล.อ.ณัฐพล กล่าวว่าการตรวจคัดกรองตามขั้นตอน มี 2 ลักษณะ คือ การตรวจสอบจากเอกสารต้นทางซึ่งสามารถยืนยันได้ในระดับหนึ่ง และเพื่อความมั่นใจจะมีการตรวจด้วยวิธีการเก็บตัวอย่างสารคัดหลั่งอีกครั้ง ส่วนที่ประเด็นที่ปรากฏตามสื่อว่าทหารอียิปต์ไม่ให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขทำการตรวจเชื้อนั้น รองผู้บัญชาการทหารบก ชี้แจงว่า ทางคณะของอียิปต์มีความเข้าใจว่าเมื่อมีเอกสารยืนยันจากต้นทางแล้ว เหตุใดทางการไทยจึงต้องตรวจซ้ำ กระแสความไม่พอใจของประชาชนต่อการควบคุมการระบาดของโรคโควิด-19 ยังรุนแรงอยู่ทางโลกออนไลน์ ล่าสุด เมื่อเวลา 15:00 น. แฮชแท็ก #รัฐบาลส้นตีนคนเชียร์ก็ส้นตีน ติดอันดับ 1 เทรนดิงทางทวิตเตอร์ ด้วยยอดทวีตถึง 3.72 แสนครั้ง ด้าน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ตอบคำถามสื่อมวลชน กรณีที่ทหารและรัฐบาลถูกโจมตีอย่างหนักในช่วงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นว่า ได้มีการชี้แจงไปบางส่วนแล้ว ซึ่งตามแนวชายแดนขณะนี้หน่วยงานความมั่นคงได้คุมเข้มเรื่องการเข้าออกตามจุดผ่อนปรนธรรมชาติ ซึ่งจะไปจับทุกคนคงเป็นไปไม่ได้ และหน่วยงานได้ทำการสอบสวนอยู่แล้ว จึงขอให้ใจเย็น ๆ และรอฟังผลการประชุม ศบค.ก่อน สำหรับกรณีแนวทางให้ชะลอการเดินทางของบุคคล VIP เข้าประเทศนั้น พล.อ.ประวิตร ระบุว่า ส่วนตัวยังไม่สามารถตอบได้เอง โดยยืนยันคำเดิมต้องรอที่ประชุมมีความเห็นลงมาก่อน เช่นเดียวกับการคง พ.ร.ก.ฉุกเฉินด้วย "อนุทิน" รับมีความเป็นไปได้ขึ้นแบล็กลิสต์อียิปต์ ด้านนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่าปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาระดับระดับประเทศและระดับโลก เนื่องจากอาจมีบางมาตรการที่ประเทศไทยเองยังขันน็อตไม่เเน่น จำเป็นต้องได้รับการแก้ไข ซึ่งทั้งหมดอยู่ในขั้นตอนการหารือของ ศบค. ส่วนความเป็นไปได้ที่จะมีการขึ้นแบล็กลิสต์ไม่ให้ประเทศอียิปต์เดินทางเข้าประเทศไทยนั้น นายอนุทิน ระบุว่า กระทรวงการต่างประเทศจะต้องมีการพิจารณามากยิ่งขึ้น และพยายามทำให้เกิดความเป็นปกติมากที่สุด ซึ่งหากกลับมามีปัญหาพบติดเชื้อก็พร้อมกลับไปสู่มาตรการเข้มตามเดิม รมว.สาธารณสุข กล่าวย้ำอีกว่าปัญหาที่เกิดขึ้นมาจากการผ่อนปรนมาตรการเต็มรูปแบบจึงต้องกลับไปหารือกับ ศบค.อีกครั้งเพื่อทบทวนมาตรการให้ชาวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศ ซึ่งต้องคำนึงถึงความปลอดภัย และความสะดวกของประชาชน ทั้งนี้ยืนยันว่าจะไปลงโทษอียิปต์ไม่ได้ แต่หากให้ติดแบล็กลิสต์นั้นมีความเป็นไปได้ รวมถึงกรณีการให้สิทธิทางการทูตเข้าประเทศในระยะสั้นก็ต้องพิจารณามาตราใหม่เช่นเดียวกัน ใครทำอะไรแล้วบ้าง
|
ศบค. มีมติยกเลิกการอนุญาตการบินเข้าของเที่ยวบินกองทัพอากาศอียิปต์ทั้งหมด หลังพบไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนด และชะลอการอนุญาตเดินทางเข้าในกลุ่มยกเว้นพิเศษ บุคคลในคณะทูต และนักธุรกิจจนกว่าจะมีมาตรการชัดเจน และประชาชนกลับมามีความเชื่อมั่น
|
international-51035990
|
https://www.bbc.com/thai/international-51035990
|
ไฟป่าออสเตรเลีย : ข่าวปลอม-ข้อมูลบิดเบือนเรื่องไฟป่า กำลังแพร่ไวเหมือนไฟลามทุ่ง
|
ไฟป่ายังลุกลามหนัก รายงานของเอบีซียกตัวอย่างกรณีที่มีการแพร่ข่าวว่า ตำรวจรัฐนิวเซาท์เวลส์จับกุมมือลอบวางเพลิงเผาป่าได้เกือบ 200 ราย ทั้งที่จริงแล้วมีผู้ถูกดำเนินคดีในข้อหาเจตนาวางเพลิงเพียง 24 รายเท่านั้น และในจำนวนนี้มีเพียงไม่กี่รายที่สามารถก่อเหตุได้สำเร็จ อย่างไรก็ตาม มีการบิดเบือนข้อมูลดั้งเดิมของทางการ และนำข่าวลวงดังกล่าวออกเผยแพร่ทางทวิตเตอร์และสื่อโซเชียลอื่น ๆ อย่างกว้างขวาง ซึ่งสร้างความเข้าใจผิดแก่คนทั่วไปว่า ไฟป่ารุนแรงในครั้งนี้มีสาเหตุจากคนลอบวางเพลิงหรือพวกที่คึกคะนองจุดไฟเล่นเป็นหลัก ไม่ได้เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่ทำให้ฤดูร้อนยาวนานและแห้งแล้งผิดปกติ ดร. ทิโมที เกรแฮม นักวิเคราะห์เครือข่ายสังคมออนไลน์จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีแห่งควีนส์แลนด์ (QUT) เผยว่าได้ตรวจสอบข้อความทวิตเตอร์ที่ใช้แฮชแท็ก #arsonemergency หรือ "ภาวะฉุกเฉินจากการลอบวางเพลิง" จำนวน 1,340 ข้อความ และพบว่า 1,203 ข้อความ มาจากบัญชีผู้ใช้ทวิตเตอร์เพียง 315 รายเท่านั้น 1 ใน 3 ของบัญชีทวิตเตอร์เหล่านี้ยังมีพฤติกรรมคล้ายคลึงกับบอต (bot) หรือโปรแกรมสร้างข้อความอัตโนมัติ และหลายบัญชียังมีพฤติกรรมแบบพวกโทรลล์ (troll) หรืออันธพาลออนไลน์ที่ชอบยั่วยุหาเรื่องทะเลาะไปทั่ว โดยดร. เกรแฮมระบุว่า เขาพบข้อความที่มาจากบัญชีลักษณะนี้ "ในจำนวนที่สูงมากจนน่าสงสัย" มีคนจำนวนมากเข้าใจผิด คิดว่าชายฝั่งทวีปออสเตรเลียเกือบทั้งหมดกำลังลุกไหม้ หลังจากได้เห็นภาพนี้ทางสื่อโซเชียล "ผู้ใช้บัญชีทวิตเตอร์เหล่านี้ แสดงความเห็นที่เลือกข้างทางการเมืองอย่างสุดโต่งกว่าคนทั่วไป ทั้งแพร่ข่าวบิดเบือนที่ทำให้ผู้คนไม่เชื่อในวิทยาศาสตร์ โดยพากันตั้งข้อสงสัยกับคำพูดของผู้เชี่ยวชาญเรื่องภาวะโลกร้อนและการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ สร้างความขัดแย้งแตกแยกในประเด็นการเมืองเรื่องสิ่งแวดล้อมให้เพิ่มมากยิ่งขึ้น" ดร. เกรแฮมกล่าว เจ้าหน้าที่กำลังพยายามดับไฟป่าท่ามกลางควันหนาทึบที่เมืองโมรูยา รัฐนิวเซาท์เวลส์ นอกจากนี้ ผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์โดยทั่วไปที่ไม่ได้มีเจตนาสร้างข่าวเท็จ ก็อาจตกเป็นส่วนหนึ่งของกระแสการแบ่งปันข้อมูลที่สร้างความเข้าใจผิดได้เช่นกัน หากไม่ได้พิจารณารายละเอียดให้ถี่ถ้วน บีบีซี เทรนดิง ซึ่งเป็นแผนกตรวจสอบข่าวสารออนไลน์ของบีบีซีรายงานว่า ภาพแผนที่ไฟป่าออสเตรเลียจากฝีมือศิลปินขององค์การนาซา ซึ่งสร้างขึ้นจากการรวบรวมข้อมูลความเคลื่อนไหวของไฟป่าตลอด 1 เดือน ถูกผู้คนจำนวนมากเข้าใจผิดว่าเป็นภาพถ่ายดาวเทียมของทวีปออสเตรเลียที่บริเวณชายฝั่งกำลังลุกไหม้พร้อมกันเกือบทั้งหมด ภาพนี้ถูกแชร์ต่อกันไปนับแสนครั้งทางทวิตเตอร์ และได้รับความสนใจอย่างมากในสื่อสังคมออนไลน์อื่น ๆ แม้แต่บรรดาคนดังอย่างนักร้อง "ริฮานนา" ยังร่วมแชร์ภาพนี้และเขียนข้อความแสดงความเสียใจต่อหายนะอันใหญ่หลวง นายแอนโทนี เฮียร์ซีย์ ศิลปินที่เป็นผู้สร้างแผนที่ไฟป่าดังกล่าวชี้แจงว่า "การประมวลข้อมูลจำนวนมากเข้าด้วยกัน ทำให้บางจุดดูเหมือนมีเพลิงลุกไหม้รุนแรงเกินจริง และต้องเข้าใจด้วยว่าไฟป่าหลายจุดในแผนที่ได้ดับไปแล้วในขณะนี้" "ภาพที่เห็นเป็นเพียงการรวบรวมข้อมูล ไม่ใช่ภาพจริง"
|
เว็บไซต์ของบรรษัทแพร่ภาพและกระจายเสียงออสเตรเลีย หรือเอบีซี (ABC) รายงานว่าเหตุไฟป่าครั้งรุนแรงที่เกิดขึ้นล่าสุดซึ่งได้รับความสนใจจากผู้คนทั่วโลกนั้น กำลังมีผู้ฉวยโอกาสนำเหตุการณ์นี้ไปใช้หาประโยชน์ทางการเมือง โดยพยายามแพร่ข่าวปลอมหรือข้อมูลบิดเบือนเกี่ยวกับไฟป่า ผ่านภาพและข้อความนับแสนโพสต์ที่สร้างความเข้าใจผิดในสื่อสังคมออนไลน์
|
international-56917349
|
https://www.bbc.com/thai/international-56917349
|
นายกฯ บอริส จอห์นสัน ของสหราชอาณาจักร ถูกสอบ หลังใช้เงินตกแต่งบ้านพักเกือบ 9 ล้านบาท
|
นายบอริส จอห์นสัน และ น.ส.แคร์รี ไซมอนด์ส คู่หมั้น ย้ายเข้าไปอยู่ที่บ้านพักเลขที่ 11 ถนนดาวนิง เมื่อเดือน ก.ค. 2019 คณะกรรมการการเลือกตั้ง ซึ่งควบคุมเงินเกี่ยวกับการเลือกตั้งและการเมือง ระบุว่า "มีเหตุผลอันสมควรในการตั้งข้อสงสัยว่าอาจมีการกระทำผิดเกิดขึ้น 1 ข้อหรือหลายข้อ" ได้มีการขอให้นายไซมอน เคส หัวหน้าสำนักงานข้าราชการพลเรือนของสหราชอาณาจักร ตรวจสอบการใช้เงินตกแต่งบ้านพักของนายกรัฐมนตรี ปัญหาคืออะไร นายบอริส จอห์นสัน และ น.ส.แคร์รี ไซมอนด์ส คู่หมั้นของเขา ได้ปรับปรุงตกแต่งบ้านพักส่วนตัวของพวกเขาซึ่งตั้งอยู่เหนือบ้านเลขที่ 11 ถนนดาวนิง มีการคาดเดาว่า ค่าใช้จ่ายสำหรับการนี้สูงถึง 200,000 ปอนด์ หรือราว 8.7 ล้านบาท ทั้งที่ความจริงแล้วนายกรัฐมนตรีได้รับงบประมาณประจำปีสำหรับค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับบ้านพักอยู่ที่ 30,000 ปอนด์ หรือประมาณ 1.3 ล้านบาทเท่านั้น นายโดมินิก คัมมิงส์ อดีตหัวหน้าที่ปรึกษาของนายจอห์นสันอ้างว่า นายกรัฐมนตรีได้วางแผนที่จะให้ผู้บริจาคหลายราย "จ่าย" ค่าตกแต่งบ้านพัก "โดยไม่เปิดเผย" นายคัมมิงส์กล่าวว่า เรื่องนี้เป็น "การขัดต่อจริยธรรม เบาปัญญา อาจผิดกฎหมายและน่าจะละเมิดกฎเกี่ยวกับการเปิดเผยเงินบริจาคทางการเมืองถ้ามีการรับบริจาคในแบบที่เขาตั้งใจไว้" พรรคแรงงานต้องการให้นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักรเปิดเผยจำนวนเงินทั้งหมดที่ใช้ไปในการตกแต่งบ้านพักและใครเป็นคนจ่ายเงินจำนวนนี้ให้ รัฐบาลบอกว่าอย่างไร ลอร์ด ทรู รัฐมนตรี กล่าวเมื่อวันศุกร์ที่ 23 เม.ย. ว่า "ค่าใช้จ่ายใด ๆ ของการปรับปรุงตกแต่งในปีนี้ นายกรัฐนตรีชำระเองเป็นการส่วนตัว" แต่มีรายงานว่า มีการสำรองจ่ายเงินเพื่อการนี้ให้นายกฯ ก่อน ทั้งในรูปของเงินบริจาคหรือเงินกู้ ซึ่งเขาได้ชำระเงินคืนในเวลาต่อมา เมื่อถูกถามว่า เขาได้หารือเรื่องการใช้เงินบริจาคในการจ่ายค่าตกแต่งบ้านพักหรือไม่ นายจอห์นสันตอบว่า "ถ้ามีอะไรที่จะต้องพูดเกี่ยวกับเรื่องนั้น ก็ได้มีการสำแดงข้อมูลต่าง ๆ แล้ว ซึ่งแน่นอนว่าเป็นไปตามกำหนดเวลา" ถ้านายบอริส จอห์นสัน รับเงิน ทำไมเรื่องนี้จึงเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ ถ้านายกฯ สหราชอาณาจักรรับเงินเพื่อใช้เป็นค่าตกแต่งบ้านพัก ประชาชนก็คาดหมายว่าเขาจะต้องเปิดเผยต่อสาธารณะ นายโจนาธาน แอชเวิร์ธ รัฐมนตรีเงากระทรวงสาธารณสุข เคยกล่าวว่า การบริจาคต่าง ๆ "ควรมีการเปิดเผยในตอนนี้" เขากล่าวเพิ่มเติมว่า "ถ้าคนทำธุรกิจได้ให้เงินสนับสนุนในการปรับปรุงบ้านพักของเขา...เราจำเป็นต้องรู้ว่า นักธุรกิจเหล่านั้นมีผลประโยชน์ในนโยบายของรัฐบาลหรือไม่ พวกเขามีผลประโยชน์ในการได้รับสัญญาต่าง ๆ จากรัฐบาลหรือไม่" ควรจะมีการแสดงเงินนี้อย่างไร ปกติแล้ว สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรต้องแจ้งข้อมูลภายใน 28 วัน หลังจากได้รับเงินบริจาคหรือเงินกู้ที่อาจมีอิทธิพลต่อการกระทำของพวกเขา อย่างไรก็ตาม กฎเกณฑ์การรายงานหรือกำหนดเวลาที่รัฐมนตรีต้องเปิดเผยรายรับต่อสาธารณชนก็แตกต่างออกไป ไม่เป็นที่แน่ชัดว่า ควรจะมีการสำแดงการช่วยเหลือทางการเงินใด ๆ สำหรับการตกแต่งนี้หรือไม่ คณะกรรมการการเลือกตั้งระบุว่า คณะกรรมการจะ "ตรวจสอบว่าธุรกรรมใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการปรับปรุงบ้านพักเลขที่ 11 ถนนดาวนิง ที่เกิดขึ้นในช่วงที่ทางคณะกรรมการการเลือกตั้งกำกับดูแล ได้มีการแจ้งตามที่กำหนดไว้หรือไม่" นายกรัฐมนตรีอาศัยอยู่ที่บ้านพักเลขที่ 11 ถนนดาวนิง มีการรายงานอะไรบ้างเกี่ยวกับเงินที่อาจมาจากการบริจาคนี้ รัฐบาลได้พิจารณาคำถามต่าง ๆ เกี่ยวกับเงินสนับสนุนของกองทุนการกุศลแห่งหนึ่งที่ให้กับอาคารบนถนนดาวนิง ซึ่งมีการจัดการที่คล้ายคลึงกันกับบ้านพักทางการแห่งอื่น ๆ อย่าง เชกเกอร์สและดอร์นีย์วูด เดลีเมล (Daily Mail) อ้างว่ามีรายงานว่าลอร์ด บราวน์โลว์ สมาชิกสภาขุนนาง เคยพูดเมื่อเดือน ต.ค. ปีที่แล้วว่า เขากำลังบริจาคเงิน 58,000 ปอนด์ หรือประมาณ 2.5 ล้านบาท ให้แก่พรรคคอนเซอร์เวทีฟ "เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายที่ทางพรรคได้ชำระไปในนาม 'กองทุนดาวนิงสตรีต' (Downing Street Trust) ที่กำลังจะตั้งขึ้นในอีกไม่นาน" ในการแถลงต่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 26 เม.ย. นายไซมอน เคส หัวหน้าสำนักงานข้าราชการพลเรือน ยังยืนยันด้วยว่า ลอร์ด บราวน์โลว์ ได้ถูกขอให้เป็นประธานกองทุนนั้น และหาผู้ดูแลกองทุนจากพรรคอื่นด้วย ปัจจุบันยังไม่มีการตั้งกองทุนนี้ขึ้น นายเคสกล่าวว่านี่เป็นปัญหา "ที่ซับซ้อนอย่างแท้จริง" มีคำถามเกิดขึ้นมากมายต่อรัฐบาลและคณะกรรมาธิการการกุศลถึงการกำกับดูแลเรื่องนี้ อย่างไรก็ตาม เขากล่าวว่ากองทุนการกุศลไม่อาจปกปิดเรื่องส่วนตัวที่เกิดขึ้นที่ทำเนียบรัฐบาลได้ ทำไมนายกรัฐมนตรีอาศัยอยู่ติดกับบ้านเลขที่ 10 เช่นเดียวกับนายกรัฐมนตรีก่อนหน้านี้หลายคน นายจอห์นสันและ น.ส.ไซมอนด์ส พักอาศัยอยู่ที่เลขที่ 11 เพราะบ้านพักขนาด 4 ห้องนอนที่นั่นมีขนาดใหญ่กว่าบ้านพักเลขที่ 10 มาก นายโทนี แบลร์ เป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกที่อาศัยอยู่ที่บ้านเลขที่ 11 เขาและนางเชอรี ภริยา ได้เปลี่ยนแปลงพื้นที่นี้ให้กลายเป็นบ้านของครอบครัว ซึ่งประกอบด้วยเขา ภริยาและลูก ๆ 4 คน นายเดวิดและนางซาแมนธา คาเมรอน ได้ปรับปรุงตกแต่งบ้านพักที่ได้รับการขึ้นทะเบียนระดับที่ 1 ในสมัยนั้นหลายอย่าง ในปี 2011 โดยใช้เงินไป 30,000 ปอนด์ หรือประมาณ 1.3 ล้านบาท ภาพของนางมิเชล โอบามา และนางซาแมนธา คาเมรอน ซึ่งถ่ายที่บ้านพักเลขที่ 11 ถนนดาวนิง แหล่งข่าวคนหนึ่งเปิดเผยกับบีบีซีว่า การปรับปรุงบ้านพักหลังนี้ล่าสุดเป็นฝีมือของ ลูลู ลิเทิล นักออกแบบภายใน นิตยสารสังคมชื่อว่าแทตเลอร์ (Tatler) ระบุว่า นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักรและคู่หมั้นของเขา ต้องการที่จะพลิกโฉม "ฝันร้ายเฟอร์นิเจอร์ จอห์น ลูอิส" (ชื่อห้างสรรพสินค้าในสหราชอาณาจักร) ให้กลายเป็น "ที่พำนักสังคมชั้นสูง"
|
การสอบสวนอย่างเป็นทางการได้เริ่มต้นขึ้นแล้วเพื่อหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับที่มาของงบประมาณที่ใช้ปรับปรุงตกแต่งบ้านพักที่ถนนดาวนิงของนายกรัฐมนตรีบอริส จอห์นสัน ของสหราชอาณาจักร
|
international-54242024
|
https://www.bbc.com/thai/international-54242024
|
โลกร้อน: นักวิทยาศาสตร์เตือน ไฟป่าปีนี้มีขนาดใหญ่ที่สุดและปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์โดยประเมินมากที่สุด
|
องค์การนาซาและหน่วยบริการสังเกตการณ์ชั้นบรรยากาศโคเปอร์นิคัส (Copernicus Atmosphere Monitoring Service) บอกว่า รัฐนิวเซาท์เวลส์ของออสเตรเลีย แถบอาร์กติก ชายฝั่งตะวันตกของสหรัฐฯ และพื้นที่ชุ่มน้ำแพนทานัลในบราซิล เผชิญกับไฟป่าครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ18 ปี อ้างอิงจากข้อมูลที่เก็บมา ลุ่มแม่น้ำแอมะซอนและพื้นที่ชุ่มน้ำแพนทานัล ในฐานะป่าฝนขนาดใหญ่ที่สุดในโลก แอมะซอนสามารถช่วยกักเก็บคาร์บอนได้มาก ช่วยชะลอภาวะโลกร้อน เป็นที่อยู่อาศัยของพืชและสัตว์ราว 3 ล้านสายพันธุ์ และสมาชิกชนเผ่าพื้นเมืองอีกหนึ่งล้านชีวิต ผู้เชี่ยวชาญด้านป่าไม้บอกว่า ป่าไม้ที่นี่ถูกทำลายในระดับเทียบเท่ากับที่เคยเกิดขึ้นเมื่อทศวรรษก่อน เปาโล มูตินโญ นักวิทยาศาสตร์อาวุโสจากสถาบันวิจัยสิ่งแวดล้อมแอมะซอน บอกว่า เราอาจไม่เห็นไฟลุกลามหนักเท่ากับในแคลิฟอร์เนีย เพราะไฟลุกลามในระดับต่ำกว่า แต่มันสามารถสร้างความเสียหายได้มากกว่า "ต้นไม้สามารถตายอย่างช้า ๆ ภายในเวลาไม่กี่ปี" ไฟป่าในบราซิลกลับไปรุนแรงในระดับที่เท่ากับเมื่อทศวรรษที่แล้ว เขาบอกว่า ในพื้นที่ราว 6 ไร่ แอมะซอนมีสัตว์และต้นไม้ 300 สายพันธุ์ เทียบกับแคลิฟอร์เนียที่มีเพียงแค่ 25 สายพันธุ์เท่านั้น ไฟป่าในชายฝั่งตะวันตกของสหรัฐฯ เกิดจากสภาพอากาศแห้งแล้ง ในขณะที่ในแอมะซอนเกิดจากการตัดไม้ทำลายป่า นักอนุรักษ์บางคนบอกว่ามีปัจจัยมาจากนโยบายรัฐบาลที่ส่งเสริมให้คนทำการเกษตรและทำเหมือง นอกจากป่าฝนแล้ว แพนทานัล ซึ่งเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลกและกินพื้นที่ประเทศบราซิล ปารากวัย และโบลิเวีย มีความหลากหลายทางชีวภาพมาก ก็ต้องเผชิญกับไฟป่าด้วยเช่นกัน ปกติแล้ว พื้นที่นี้จะเต็มไปด้วยน้ำในช่วงหน้าฝนระหว่างเดือน พ.ย. ถึง เม.ย. แต่ปีนี้ในพื้นที่กลับไม่มีน้ำท่วม ทำให้ภูมิภาคต้องเผชิญภัยแล้งอย่างหนัก ป่าฝนอินโดนีเซีย แม้ว่าฤดูไฟป่าในอินโดนีเซียจะเริ่มต้นตั้งแต่ 2-3 เดือนที่ผ่านมา แต่จังหวัดสุมาตราและกาลีมันตันกลางก็ยังมีไฟป่าลุกลามอยู่ โดยเจ้าหน้าที่กรีนพีซบอกว่าผืนป่าราว 4 แสนไร่ ได้เสียหายไปแล้วเมื่อนับถึงปลายเดือน ก.ค. แต่ก็ยังถือว่าเป็นตัวเลขที่ต่ำกว่าปีก่อนหน้า กาลีมันตันกลาง ซึ่งเป็นจังหวัดที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับที่สามของอินโดนีเซีย ได้ประกาศภาวะฉุกเฉินแล้วหลังพบไฟป่ามากกว่า 700 จุด ไฟป่าในอินโดนีเซียก็รุนแรงเช่นกัน พื้นที่ชุ่มน้ำแบบพรุในแถบอาร์กติก พื้นที่ชุ่มน้ำแบบพรุอุดมสมบูรณ์ไปด้วยคาร์บอน ขณะที่ไฟป่าเริ่มลุกลามแคลิฟอร์เนียเมื่อเดือนที่แล้ว บริเวณอาร์กติกเซอร์เคิลก็เริ่มมีไฟป่าลุกลามแล้วเช่นกัน หน่วยบริการสังเกตการณ์ชั้นบรรยากาศโคเปอร์นิคัสบอกว่า ไฟป่าในแถบอาร์กติกนี้ทำให้เกิดคาร์บอนไดออกไซด์ 244 เมกะตัน ซึ่งถือว่ามากกว่าปีที่แล้วรวมกันทั้งปีถึง 35% ผู้เชี่ยวชาญบอกว่า มลพิษที่เกิดขึ้นอาจมาจากการเผาไหม้พื้นที่ชุ่มน้ำแบบพรุที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยคาร์บอน ผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม ผู้เชี่ยวชาญบอกว่า ทุกปีพื้นที่ป่าราว 4 ล้าน ตร.กม. หรือราวพื้นที่เท่า ๆ สหภาพยุโรป ถูกไฟป่าเผาทำลาย ซึ่งส่งผลกระทบร้ายแรงต่อความหลากหลายทางชีวภาพและระบบนิเวศของโลก รายงานจากหน่วยบริการงานด้านความร่วมมือระหว่างรัฐบาลว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพและระบบนิเวศ (Intergovernmental Science-Policy Platform on Biodiversity and Ecosystem Services) จากเมื่อปีที่แล้ว เตือนว่า สัตว์และพืชราว ราว 1 ล้านสายพันธุ์ต้องเผชิญกับความเสี่ยงสูญพันธุ์ยิ่งกว่าที่เคยมีมา และไฟป่ายังทำให้เกิดมลภาวะทางอากาศ เนื่องจากสารมลพิษสามารถเดินทางไปได้ไกลและกลายเป็นพิษรุนแรงกว่าเดิมเมื่อทำปฏิกิริยากับแสงแดดและปัจจัยอื่น ๆ โควิด-19 พื้นที่ชุ่มน้ำแพนทานัลถูกไฟป่าทำลายในระดับที่องค์การนาซาบอกว่าไม่เคยพบมาก่อน นอกจากนี้ ยังมีความกังวลว่าคนที่อยู่อาศัยบริเวณใกล้พื้นที่ที่เกิดไฟป่าจะมีความเสี่ยงติดโควิด-19 มากขึ้น "ในบราซิล การติดเชื้อโควิด-19 ในหมู่ชนพื้นเมืองสูงกว่าประชากรทั่วไปในประเทศถึง 150%" มูตินโญ่ นักวิทยาศาสตร์อาวุโสจากสถาบันวิจัยสิ่งแวดล้อมแอมะซอน กล่าว "เนื่องจากชนเผ่าพื้นเมืองเหล่านี้อยู่ในหรือใกล้บริเวณที่โดนไฟป่า จึงน่ากังวลว่ามลพิษทางอากาศอาจส่งผลต่อระดับการติดเชื้อโควิด-19 ของคน" งานวิจัยบางชิ้นบอกว่ามลภาวะทางอากาศมีความเชื่อมโยงกับผู้ป่วยโควิด-19 ที่มีอาการร้ายแรง จนองค์การอนามัยโลกต้องออกมาเตือนประเทศต่าง ๆ ถึงความเป็นไปได้นี้
|
นักวิทยาศาสตร์เตือนว่า ไฟป่าที่เกิดขึ้นรอบโลกปีนี้ "มีขนาดใหญ่ที่สุดและปริมาณการปล่อยก๊าซ (คาร์บอนไดออกไซด์) โดยประเมินมากที่สุด" ในรอบเกือบสองทศวรรษ
|
international-44629241
|
https://www.bbc.com/thai/international-44629241
|
นูรา ฮุสเซน: ศาลซูดานพลิกคำตัดสินจากประหารเป็นจำคุก 5 ปี คดีฆาตกรรมสามีที่ข่มขืนเธอ
|
พ่อแม่ของนูรา ปฏิเสธรายงานข่าวที่บอกว่าพวกเขาตัดสัมพันธ์กับลูกสาว พ่อของเธอบอกด้วยว่าเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่า การให้บุตรสาวแต่งงานกับญาติจะมีผลที่เลวร้ายตามมาเช่นนี้ นูรา ฮุสเซน ไม่อาจกลั้นน้ำตาไว้ได้ เธอร้องไห้สะอึกสะอื้นระหว่างพบกับแม่ในเดือนนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่ครอบครัวเดินทางไปเยี่ยมเธอ หลังถูกคุมขังเมื่อ 1 ปีก่อน หญิงสาววัย 19 ปี บอกแม่ทั้งน้ำตาว่า ตอนแรกเธอคิดว่าจะฆ่าตัวตายหลังจากที่ถูกสามีข่มขืน "เธอรับตัวเองไม่ได้ หลังจากที่เขาข่มขืนเธอ" ไซนับ อาห์เหม็ด แม่ของนูรา กล่าว "เธอเตรียมมีดไว้แล้วเพื่อปลิดชีวิตตัวเอง ถ้าเขาแตะต้องตัวเธออีกครั้ง" แต่ในช่วงที่กำลังโกรธแค้นอยู่นั้น เธอได้ใช้มีดแทงสามี ทั้งที่เขายังไม่ได้แตะต้องตัวเธออีก แม่ของเธอยืนกรานว่า มันเป็นการป้องกันตัว เมื่อนูรา ถูกตัดสินประหารชีวิตเมื่อเดือนที่แล้ว ได้มีการรณรงค์ในโลกออนไลน์ด้วยการติดแฮชแท็ก #JusticeforNoura ขึ้น และมีคนทั่วโลกร่วมรณรงค์เรียกร้องความยุติธรรมให้แก่นูรา โลกโซเชียลร่วมเรียกร้อง "ความยุติธรรมให้นูรา" นาโอมิ แคมป์เบลล์ ซูเปอร์โมเดล และเอ็มมา วัตสัน นักแสดง อยู่ในกลุ่มผู้มีชื่อเสียงจำนวนมากที่ร่วมเคลื่อนไหวประณามการตัดสินประหารชีวิต และเรียกร้องให้มีการกลับคำตัดสินนี้ เมื่อแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เรียกร้องให้ผู้สนับสนุนส่งอีเมล์ไปยังรัฐมนตรียุติธรรมของซูดาน เพื่อขอให้เขาเข้าแทรกแซงคดีนี้ เขาได้รับอีเมล์มากมายมหาศาล จนทำให้ต้องใช้ที่อยู่อีเมล์ใหม่ นูรา เพิ่งทราบว่าโลกภายนอกให้การสนับสนุนเธอ ก็ตอนที่แม่เดินทางไปเยี่ยมเธอที่เรือนจำหญิงออมเดอร์มาน ซึ่งมีสภาพความเป็นอยู่ที่เลวร้าย ตอนนี้โลกของเธอถูกจำกัดอยู่เพียงแค่ภายในกำแพงเรือนจำ นักโทษทุกคนต้องใช้ชีวิตรวมกันในสนามขนาดใหญ่ ฮาฟิซ โมฮัมเหม็ด ผู้ประสานงานซูดานขององค์กรจัสติซแอฟริกา (Justice Africa) เคยบอกว่า "ไม่มีหลังคา ผู้หญิงส่วนใหญ่ต้องใช้ผ้าบังแดด" นูรา ยังคงถูกล่ามโซ่ตรวนนับตั้งแต่ที่เธอถูกจับกุม แต่แม่เธอบอกว่าบุตรสาวดูแข็งแรงดี แม้ดูเหมือนจะขาดขวัญกำลังใจ นูรา ฮุสเซน เป็นลูกคนที่ 2 จากจำนวนพี่น้อง 8 คน เธอเติบโตขึ้นในหมู่บ้านอัลเบเกอร์ อยู่ห่างจากกรุงคาร์ทูมของซูดาน ไปทางใต้ราว 40 กิโลเมตร เป็นสถานที่ที่ถูกล้อมรอบไปด้วยเนินเขาหินและเนินทรายขนาดเล็ก ไม่ไกลจากแม่น้ำไนล์ ผักและผลไม้สีสันสดใสที่วางอยู่บนผืนผ้าบนพื้นในตลาดท้องถิ่น ตัดกับทิวทัศน์ที่ดูแห้งแล้งและส่วนใหญ่มีแต่สีน้ำตาล ไซนับ อาห์เหม็ด กล่าวว่า ลูกสาวของเธอเป็นเด็กหญิงที่ไม่ค่อยพูด และเป็นคนฉลาด "เธอมีความทะเยอทะยาน" ไซนับ กล่าว "นูรา ฝันอยากเรียนกฎหมายที่มหาวิทยาลัย และจะทำงานเป็นอาจารย์" ครอบครัวขนาดใหญ่ย้ายออกจากเมืองดาร์ฟูร์ ซึ่งเป็นภูมิภาคที่เต็มไปด้วยความขัดแย้ง ไปยังอัลเบเกอร์ ตอนที่นูรายังเป็นเด็ก พวกเขาไม่ได้ร่ำรวยอะไร แต่ธุรกิจร้านฮาร์ดแวร์ขนาดเล็กที่ขายน้ำมันและอุปกรณ์ต่าง ๆ ของพ่อนูรา ก็ทำให้นูราได้ได้เรียนหนังสือ และนั่นคือสิ่งที่ทำให้เธอมีความสุขที่สุด ข้อความคำพูดที่ระบุว่า "เด็กสาวจำนวนมากแถวนี้กำลังท้อง" แต่ในปี 2015 อับดุลราห์มัน โมฮาเหม็ด ฮัมหมัด ญาติวัย 32 ปีของนูรา ได้มาสู่ขอขณะเธอมีอายุ 16 ปี แม่ของเธอบอกว่า ตอนแรก ดูเหมือนลูกสาวไม่ได้แสดงความไม่พอใจที่มีคนมาสู่ขอ แต่ได้ขอร้องให้เธอได้เรียนหนังสือต่อ เธอยังขอให้เลื่อนการแต่งงานออกไป จนกว่าแม่ของเธอซึ่งกำลังตั้งครรภ์อยู่จะคลอด แต่แรงกดดันจากครอบครัวเริ่มเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะจาก ฮุสเซน พ่อของเธอเอง "เด็กสาวจำนวนมากแถวนี้กำลังท้อง และมีลูกที่ไม่ชอบธรรมตามกฎหมาย" ฮุสเซน กล่าว ฮุสเซน บอกว่า เขาไม่อยากให้นูราต้องเผชิญชะตากรรมเช่นเดียวกันกับเด็กสาวเหล่านั้น และลงเอยด้วยการไม่มีสามี ขณะที่เธอเริ่มเข้าพิธีแต่งงานในช่วงแรก นูราก็แสดงการต่อต้านการแต่งงานเพิ่มมากขึ้นอย่างชัดเจน เธอหนีไปอยู่กับป้าในเมืองซินนาร์ ซึ่งอยู่ห่างออกไป 350 กิโลเมตร และอยู่ที่นั่นนาน 2 วัน เธอถูกโน้มน้าวให้กลับบ้านโดยเข้าใจว่า พิธีแต่งงานนั้นจะไม่ถูกจัดต่อจนเสร็จสมบูรณ์ แต่ความจริงที่พบเมื่อเธอเดินกลับไปคือ พิธีแต่งงานที่จัดต่อจนเสร็จสิ้น แต่เธอยังไม่ต้องใช้ชีวิตอยู่กับสามี โดย 2 ปีนับจากนั้น เธอยังอยู่ที่บ้านของตัวเอง เมื่ออับดุลราห์มัน มาหา เธอก็บอกเขาอย่างตรงไปตรงมาว่าเธอไม่อยากแต่งงานกับเขา อย่างไรก็ตาม ผู้อาวุโสของตระกูลได้เริ่มยืนกรานให้นูราและสามีของเธอต้องมีความสัมพันธ์กันฉันสามีภรรยาปกติ และปฏิบัติตัวเช่นเดียวกับคู่แต่งงานตามกฎหมายทั่วไป ในชุมชนปิดของพวกเขา ผู้อาวุโสจะเป็นผู้ที่ตัดสินใจเรื่องสำคัญต่าง ๆ การให้เกียรติและการเคารพต่อครอบครัวเป็นค่านิยมที่สำคัญที่สุดของวัฒนธรรมพวกเขา ฮุสเซน พ่อของเธอ บอกว่า เขาไม่เห็นว่าจะมีข้อดีอะไรที่ลูกสาวปฏิเสธการอยู่ร่วมกับสามี ครอบครัวยอมเธอมานานหลายปีแล้ว ภายใต้แรงกดดันทำให้นูรายอมย้ายไปอยู่กับอับดุลราห์มันในเดือนเมษายนปี 2017 จากคำบอกเล่าของนูราที่เปิดเผยต่อซีเอ็นเอ็น เธอบอกว่า ช่วงสัปดาห์แรกที่อยู่ด้วยกัน เธอไม่ยอมให้สามีกระทำการล่วงเกินทางเพศใด ๆ เธอร้องไห้ ไม่ยอมกินข้าว ตอนที่อับดุลราห์มันนอนหลับ เธอก็พยายามหนีออกจากแฟลต แต่มันถูกล็อกไว้ รายงานของซีเอ็นเอ็น ระบุว่า ในวันที่ 9 ของการอยู่ด้วยกัน อับดุลราห์มันกลับมาที่แฟลตพร้อมกับญาติหลายคน พวกเขาช่วยกันถอดเสื้อผ้าเธอและยึดตัวเธอไว้ ขณะที่อับดุลราห์มันลงมือข่มขืนเธอ วันต่อมา อับดุลราห์มัน พยายามทำอีกครั้ง คราวนี้นูราหามีดมาได้ ซึ่งเธอบอกแม่ว่าจะใช้มีดฆ่าตัวตาย คำบอกเล่าของนูรา ระบุว่า ในช่วงที่เธอดิ้นไม่ยอมให้เขาปลุกปล้ำ มือของเธอถูกมีดบาด และอับดุลราห์มันกัดหัวไหล่ของเธอ จากนั้นก็คำบอกเล่าก็ข้ามไปที่ นูราวิ่งไปที่บ้านของพ่อแม่ ในมือของเธอถือมีดที่เปื้อนเลือดอยู่ ฮุสเซน และภรรยา ตกใจมากเมื่อเห็นลูกสาวยืนอยู่หน้าบ้านพร้อมกับถืออาวุธที่ใช้ฆ่าคน "หนูฆ่าสามี หลังจากเขาข่มขืนหนู" เธอบอกพ่อและแม่ ขณะถือมีดอยู่ในมือ "ตอนนั้นผมรู้แล้วว่าสถานการณ์นี้รุนแรงแค่ไหน" ฮุสเซน กล่าว เขารู้จักครอบครัวของอับดุลราห์มัน และรู้ว่าพวกเขาจะต้องล้างแค้นอย่างแน่นอน เขาบอกว่า คนในครอบครัวทุกคนตกอยู่ภายใต้การคุกคาม ดังนั้น เขาจึงตัดสินใจพาทุกคนไปยังสถานีตำรวจ เพื่อปกป้องพวกเขา ไม่ใช่เพื่อนำตัวเธอไปมอบตัวแก่ตำรวจอย่างที่มีการรายงาน แต่นูราก็ถูกจับกุมตัวและตั้งข้อหาฆาตกรรมโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ครอบครัวของเธอกลับไปบ้านเพื่อขอให้ผู้อาวุโสเจรจากับครอบครัวของอับดุลราห์มัน พวกเขาปฏิเสธ และยังยืนกรานให้ฮุสเซนและไซนับต้องไม่เจอกับนูราอีกต่อไป หากพวกเขาต้องการปกป้องลูกคนอื่น ๆ เมื่อบ้านและร้านค้าของพวกเขาถูกวางเพลิง ฮุสเซนและไซนับ ก็ยอมทำตาม อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีการข่มขู่พวกเขาอยู่ ทั้งคู่จึงตัดสินใจพาลูก ๆ หนีไป ต่อมา ศาลในเมืองออมเดอร์มาน ซึ่งเป็นเมืองใหญ่อันดับสองของซูดาน พบว่า นูรา ฮุสเซน มีความผิดฐานฆาตกรรมโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และเมื่อเดือนที่แล้ว ก็ได้ตัดสินประหารชีวิตเธอด้วยการแขวนคอ หลังจากครอบครัวของสามีไม่ยอมรับการชดเชยทางการเงิน ซึ่งเป็นทางเลือกที่จะทำให้เธอรอดพ้นโทษประหารได้ ทนายความของนูรา จึงได้อุทธรณ์คำตัดสิน และพยายามหาหางให้เธอได้รับอภัยโทษ ล่าสุดศาลได้ยกเลิกการตัดสินประหารชีวิต แต่ได้ตัดสินจำคุกเธอเป็นเวลา 5 ปีแทน ฮุสเซน กล่าวว่า เขาไม่ได้พบลูกสาวอีกเลยนับตั้งแต่คืนนั้น เพราะมีการข่มขู่ว่าเขาและลูกจะได้รับอันตราย ถ้าเขาพบนูรา "ผมอยากเจอลูกสาว และไปเยี่ยมเธอที่เรือนจำเช่นกัน เธอจะได้มีกำลังใจ แต่ผมทำแบบนั้นไม่ได้" เขากล่าว แต่ว่าเขาก็ได้คุยกับเธอทางโทรศัพท์ และเล่าว่า เธอบอกเขาว่าเธอแข็งแรงดี ข้อความคำพูดที่ระบุว่า "มีนูราอีกหลายแสนคน" ไซนับ อาห์เหม็ด กล่าวว่า เธอหวังว่าจะเกิดปาฏิหาริย์ขึ้นกับลูกสาวของเธอในนาทีสุดท้าย เธอมักจะจินตนาการว่า ผู้อาวุโสของตระกูลจะเข้ามาแทรกแซงและโน้มน้าวให้ครอบครัวขอบอับดุลราห์มันขอให้ศาลยกเลิกโทษประหารชีวิต ด้าน แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล คิดว่า ความหวังนี้ไม่น่าจะเป็นไปได้ "ในขั้นนี้ ดูเหมือนว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ ถ้าพวกเขาทำเช่นนี้ พวกเขาก็คงขอรับการชดเชยไปแล้วในช่วงที่มีการพิพากษาลงโทษ ตอนนี้ทางครอบครัวจะไม่มีอิทธิพลใด ๆ ต่อการตัดสินของศาล" ดร. โจน เนียนยูกิ ผู้อำนวยการแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประจำภูมิภาคแอฟริกาตะวันออก ระบุ อย่างไรก็ตาม เธอกล่าวว่า แรงกดดันจากนานาชาติ อาจจะได้ผล "ตอนที่เราขอให้ผู้คนส่งอีเมล์ไปหารัฐมนตรียุติธรรมของซูดาน เรียกร้องให้อภัยโทษแก่นูรา เขาต้องปิดอีเมล์ตัวเองภายในสอบสัปดาห์ แสดงว่านั่นมีอิทธิพลอย่างมาก ถ้าคนส่งอีเมล์ถึงสถานทูตซูดานในประเทศของตัวเอง เรียกร้องให้ปล่อยตัวเธอ นั่นก็คงจะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นได้" เธอกล่าวเพิ่มเติมว่า "มีนูราอีกหลายแสนคนที่ยังไม่มีใครได้ยินเสียงพวกเธอ พวกเธอถูกข่มขืนจากการถูกบังคับให้แต่งงาน การต่อสู้นี้เป็นการต่อสู้เพื่อพวกเธอด้วยเช่นกัน" ปัจจุบัน พ่อแม่ของนูราอาศัยอยู่ในหมู่บ้านที่อยู่ห่างไกลออกไปจากอัลเบเกอร์ พวกเขากล่าวว่า ชีวิตสมรสของพวกเขายังคงเหนียวแน่น และพวกเขาให้กำลังกันและกันและให้กำลังใจลูก ๆ ในช่วงเวลาที่เลวร้ายนี้ แต่ชะตากรรมของนูราก็ยังคงตามหลอกหลอนพวกเขา "ไม่มีใครที่อยากให้ลูกสาวมีชีวิตที่ลำเค็ญ" ฮุสเซน กล่าว "ผมไม่คาดคิดว่า สิ่งต่าง ๆ จะมาถึงขั้นนี้ เรากำลังหวังว่า พระเจ้าจะช่วยชีวิตเธอ" รายงานเพิ่มเติมโดย Megha Mohan ภาพวาดประกอบโดย Katie Horwich
|
พ่อแม่ของนูรา ฮุสเซน เปิดใจกับบีบีซี เป็นครั้งแรก หลังจากที่ลูกสาวถูกตัดสินประหารชีวิต จากความผิดฐานฆ่าสามีซึ่งเธอกล่าวหาว่าข่มขืนเธอ แต่ล่าสุดศาลได้ยกเลิกการลงโทษเดิม แล้วตัดสินให้จำคุก 5 ปีแทน
|
thailand-43707879
|
https://www.bbc.com/thai/thailand-43707879
|
"สู้เพื่อแผ่นดิน" เพลงใหม่ลำดับที่ 6 ของ พล.อ.ประยุทธ์
|
พล.อ.ประยุทธ์ และนางนราพร เปิดให้ ครม. คสช. ข้าราชการ และสื่อมวลชน ร่วมรดน้ำขอพรเนื่องในเทศกาลสงกรานต์ "...ขอให้คนร้ายพ่ายสักวัน ให้คนหลงทางตื่นตนสว่างใจพลัน หันมาร่วมกัน ร่วมทำเพื่อแผ่นดินเรา..." คือบางท่อนของเพลง "สู้เพื่อแผ่นดิน" บทเพลงลำดับที่ 6 ที่ประพันธ์คำร้องโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ถูกปล่อยออกมาแบบสด ๆ ร้อน ๆ ช่วงเช้าวันนี้ (10 เม.ย.) หลัง พล.อ.ประยุทธ์ พร้อมด้วยนางนราพร จันทร์โอชา ภริยา นำคณะรัฐมนตรี(ครม.) สมาชิก คสช. ผู้บัญชาการเหล่าทัพ และข้าราชการ ร่วมพิธีเจริญพระพุทธมนต์ในงานสืบสานวัฒนธรรมประเพณีสงกรานต์ประจำปี 2561 พร้อมร่วมทำบุญตักบาตรพระสงฆ์ 61 รูป บริเวณสนามหญ้าข้างตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล ก่อนที่ พล.อ.ประยุทธ์จะเปิดโอกาสให้ ครม. สมาชิก คสช. ผู้บัญชาการเหล่าทัพ รวมถึงข้าราชการและสื่อมวลชนประจำทำเนียบรัฐบาล ร่วมรดน้ำขอพรเนื่องในวันสงกรานต์ ในช่วงนี้เองที่สำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ได้เปิดบทเพลงใหมล่าสุดที่นายกรัฐมนตรีแต่งขึ้นคลอเบา ๆ ให้ผู้ร่วมงานรับฟัง ก่อนนำเนื้อเพลงมาแจกจ่ายให้แก่สื่อมวลชน โดยครั้งนี้ได้ถือโอกาสเปลี่ยนตัวนักร้องใหม่เป็นครั้งแรกด้วย ก่อนหน้านี้ พล.อ.ประยุทธ์ได้ปล่อยเพลง "ใจเพชร" ทางเว็บไซต์ยูทิวป์ เมื่อเดือน ก.พ. ระบุว่าเป็นการแต่งเพลงเพื่อเป็นกำลังใจให้กับบุคคลที่เสียสละ ทำความดี ทำเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน แต่ปรากฏว่ามีผู้ไปกดปุ่ม "ไม่ถูกใจ" (dislike) หลายหมื่นคน ส่วนคน "ถูกใจ" (like) มีเพียงหลักพันเท่านั้น จนสื่อไทยและต่างประเทศหลายสำนักต่างหยิบยกไปนำเสนอเป็นข่าว บีบีซีไทยตรวจสอบสถานการณ์ล่าสุด ณ วันที่ 10 เม.ย. พบว่ามีผู้รับชมรับฟังไปแล้วกว่า 4 แสนคน โดยมีคนกดถูกใจ 6.5 พันคน และไม่ถูกใจกว่า 4.5 หมื่นคน ให้กับบทเพลงดังกล่าว 4 ปี แต่งไปแล้ว 6 เพลง หลังก่อรัฐประหารและเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อปี 2557 พล.อ.ประยุทธ์ได้แต่งบทเพลงสื่อความในใจถึงประชาชนมาแล้ว 6 เพลง เกือบทุกเพลงขับร้องโดย จ่าสิบเอก พงศธร พอจิต กระทั่งมาถึงบทเพลงใหม่ล่าสุดนี้ ที่ให้ สิบเอก เชิดศักดิ์ ฤทธิกรกุล เป็นผู้ขับร้องแทน
|
เงียบหายไป 2 เดือนนับจากปล่อยบทเพลงที่ผู้ใช้งานยูทิวป์หลายหมื่นคนพากันกดปุ่ม "ไม่ถูกใจ" ล่าสุด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซุ่มแต่งเพลงใหม่ "สู้เพื่อแผ่นดิน" ก่อนปล่อยออกมาในช่วงที่แกนนำรัฐบาลประกาศสนับสนุนให้ทำหน้าที่นายกฯ ต่ออีกสมัย
|
thailand-55876484
|
https://www.bbc.com/thai/thailand-55876484
|
โควิด-19: ศบค. เผยยอดผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มอีก 829 ราย ส่วนใหญ่มาจากค้นหาเชิงรุกในชุมชน
|
พญ.พรรณประภา ยงค์ตระกูล ผู้ช่วยโฆษก ศบค. ให้รายละเอียดเรื่องดังกล่าวระหว่างการแถลงข่าวประจำว่า ในบรรดาผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ 829 ราย แบ่งเป็นการติดเชื้อภายในประเทศ 822 ราย และติดเชื้อจากต่างประเทศเพียง 7 ราย ในส่วนการติดเชื้อภายในประเทศ 822 รายนั้น แบ่งเป็น ผลจากการค้นหาผู้ติดเชื้อเชิงรุกในชุมชนมากที่สุด 731 ราย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการรายงานจาก จ. สมุทรสาคร 722 ราย (สัญชาติเมียนมา 680 ราย และสัญชาติไทยอีก 42 ราย) ตามมาด้วยที่มหาสารคาม 4 ราย และจากกรุงเทพมหาคร ชลบุรี ปทุมธานี ระยองและสมุทรสงคราม จังหวัดละ 1 ราย ในขณะที่เป็นผู้ป่วยรายใหม่จากระบบเฝ้าระวังและระบบบริการ 91 ราย (แบ่งเป็นจาก จ.สมุทรสาคร 79 ราย จากกรุงเทพมหาคร 6 ราย และจากนครปฐม นนทบุรี ขอนแก่น ราชบุรี ลพบุรี และสมุทรสงคราม จังหวัดละ 1 ราย) โดยภาพรวมแล้วมีผู้ติดเชื้อสะสมยืนยัน 18,782 ราย หายแล้ว 11,615 ราย ส่วนผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นในวันนี้ไม่มี จึงมียอดคงเดิมอยู่ที่ 77 ราย แต่หากพิจารณาจากการระบาดรอบใหม่นั้น (ตั้งแต่วันที่ 15 ธ.ค. 2563 - 31 ม.ค. 2564) ผู้ป่วยสะสมยืนยันมีจำนวน 14,545 ราย เป็นผู้ป่วยที่รักษาหายแล้ว 7,675 ราย และเสียชีวิต 17 คน โดยอัตราเสียชีวิตอยู่ที่ 0.12% พญ.พรรณประภา ระบุเพิ่มเติมอีกว่า ในบรรดาผู้ติดเชื้อจากต่างประเทศ 7 ราย มีทั้งคนไทยและชาวต่างประเทศ โดยเดินทางมาจากบาห์เรน 1 ราย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 1 ราย สหรัฐอเมริกา 1 ราย ไอร์แลนด์ 2 ราย สหราชอาณาจักร 1 ราย และอียิปต์ 1 ราย เร่งค้นหาเชิงรุกในสมุทรสาครเพิ่ม ผู้ช่วยโฆษก ศบค. ระบุว่า ที่ประชุม ศบค. ได้ทำการประชุมทางไกลกับทางผู้บริหารจ.สมุทรสาคร โดยรับทราบมาว่า ทางจังหวัดสมุทรสาครยังคงค้นหาผู้ติดเชื้อเชิงรุกอย่างต่อเนื่องผ่านความร่วมมือระหว่างรัฐและเอกชน "การค้นหาเชิงรุกจะพยายามแบ่งตามพื้นที่การระบาด และปรับมาตรการต่าง ๆ ให้เหมาะสมแต่ละพื้นที่ในจังหวัด" เธออธิบาย
|
ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ ศบค. เผยตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ประจำวันนี้ (31 ม.ค.) พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ทั้งหมด 829 ราย โดยเป็นการติดเชื้อภายในประเทศมากที่สุดจากการค้นหาเชิงรุกในชุมชนที่จ.สมุทรสาคร
|
thailand-47695389
|
https://www.bbc.com/thai/thailand-47695389
|
ทักษิณ ชินวัตร : “ท่านอยากทรงเสียสละที่จะมาทำงานให้บ้านเมือง”
|
ภาพความยิ่งใหญ่ของงานมงคลสมรส ที่มี ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี เสด็จร่วมงาน ก่อให้เกิดเสียงชื่นชมและวิพากษ์วิจารณ์ไปทั่วประเทศไทย นายทักษิณชี้แจงเรื่องนี้ว่าเป็นมิตรภาพที่มีกันมานานกว่า 30 ปี "ผมเป็นเพื่อนกับท่านมาสามสิบปี ตั้งแต่สมัยท่านยังอยู่กับปีเตอร์ เจนเซ่น และก็คบกัน ท่านให้เกียรติกับผมเหมือนเป็นเพื่อนคนหนึ่ง เป็นลักษณะใกล้ชิดกันเหมือนเพื่อน ผมรู้อุปนิสัยท่านดีว่าขยัน ชอบทำงาน และอยากเห็นบ้านเมืองดี" อดีตนายกรัฐมนตรีวัย 69 ปี ให้สัมภาษณ์กับบีบีซีไทยที่โรงแรมแห่งหนึ่งบนฝั่งเกาลูนของเกาะฮ่องกง แม้นคนจำนวนมากเชื่อว่าตัวเขาคือผู้อยู่เบื้องหลังการเสนอชื่อทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนฯ เป็นผู้สมัครในบัญชีรายชื่อนายกรัฐมนตรีของพรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) จนเป็นต้นเหตุให้พรรคถูกยุบโดยศาลรัฐธรรมนูญ แต่ ทักษิณ ระบุว่า "ไม่เคยเข้าไปเกี่ยวข้อง" กับกระบวนการเสนอชื่อ "เป็นเรื่องของพรรค ไม่ใช่ของผม ผมอยู่เมืองนอกในฐานะผู้สังเกตการณ์ เป็นกองเชียร์เฉย ๆ" เขาปฏิเสธ "ดึงฟ้าต่ำ" การเสนอชื่อทูลกระหม่อม "โดยพรรค" ต้องสะดุดกึกในเวลา 13 ชั่วโมงต่อมา เมื่อ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร มีพระราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า "การนำสมาชิกชั้นสูงในพระบรมราชวงศ์มาเกี่ยวข้องกับระบบการเมือง ไม่ว่าจะโดยทางใดก็ตาม... ถือเป็นการกระทำที่มิบังควร ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง" ร.ท. ปรีชาพล พงษ์พานิช หัวหน้าพรรคไทยรักษาชาติ วัย 37 ปี ต้อง "เว้นวรรคการเมือง" นาน 10 ปีตามคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ หลังพระราชโองการ ฝ่ายที่เห็นไม่ตรงกับนายทักษิณมองว่าเป็นการกระทำในลักษณะ "ดึงฟ้าต่ำ" แต่นายกรัฐมนตรีคนที่ 23 ผู้ที่ออกจากประเทศไทยตั้งแต่ปี 2551 ปฏิเสธข้อกล่าวหานี้ "เราไม่เคยคิดดึงฟ้าต่ำ เรามีแต่ยกฟ้าสูง แต่บังเอิญว่ามันเป็นเรื่องที่ท่านทรงสละ ต้องมองให้ดีว่าท่านรักบ้านเมือง รักประชาชน ท่านอยากทรงเสียสละที่จะมาทำงานให้บ้านเมือง ในเมื่อว่าพระเจ้าอยู่หัวท่านบอกว่าไม่ได้ ไม่ได้ก็ท่านก็จบ ไม่ได้ ท่านก็ไม่ได้ว่าอะไร มันก็ควรจะเป็นอย่างนั้น อย่าไปคิดว่าดึงฟ้าต่ำ คนที่ดึงฟ้าต่ำจริง ๆ ไม่ใช่ผมหรอก ผมมีแต่ยกย่องเทิดทูน แน่นอน" ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี เสด็จร่วมงานมงคลสมรส ของนางสาวแพทองธาร หรืออุ๊งอิ๊ง ชินวัตร และนายปิฎก สุขสวัสดิ์ ปรากฏการณ์ 8 กุมภาฯ หากแต่เพียงปรากฏการณ์ 8 กุมภาฯ ไม่ได้เกิดขึ้น ผลการนับคะแนนเลือกตั้งเมื่อ 24 มีนาฯ คงไม่ประหลาด จนทำให้พรรคการเมืองฝ่ายหนุนและต้านทหารพากันอ้างชัยชนะชิงประกาศเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล เพราะผู้สมัคร ส.ส. ของพรรคการเมืองที่ถูกมองว่าเกี่ยวโยงกับนายทักษิณ คงพากันตบเท้าเข้าสภา คว้าชัยชนะล้นหลาม มีน้ำหนักมากพอคานกับ 250 สมาชิกวุฒิสภาที่คาดว่าจะสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีอีกสมัย เมื่อพรรคเพื่อไทยกลายเป็นผู้เล่นหลักในสมรภูมิการเมือง กับฝ่ายสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ และคะแนนที่ชนะพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ก็ไม่ขาดลอย อดีตนายกรัฐมนตรีผู้ยังเป็นที่นิยมในหมู่คนชนบท มองผลคะแนนที่ออกมาอย่างไร ร.ท. ปรีชาพล พงษ์พานิช หัวหน้าพรรคไทยรักษาชาติ แสดงเอกสารของทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนฯ มหิดล ในบัญชีรายชื่อนายกรัฐมนตรีของพรรค ทษช. เมื่อวันที่ 8 ก.พ. 2562 "เหมือนรอเปลี่ยนตัวเลขกันอยู่" "มันมีความผิดปกติเยอะ… ในหลายพื้นที่… และการนับคะแนนมันควรจะครบ 100% นานแล้วแต่ก็ไม่เสร็จ… มันเหมือนรอเปลี่ยนตัวเลขกันอยู่" อดีตนายกรัฐมนตรี และอดีตหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ที่คุ้นชินกับการคว้าชัยชนะทางการเมืองแบบถล่มทลายระบุ ขณะนี้มีเพียงคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่ออกมายืนยันว่าการเลือกตั้ง "โปร่งใส" ขณะที่บุคคลในรัฐบาลอย่าง พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ขอให้ใจเย็นอย่าด่วนสรุป พล.อ.อนุพงษ์ ขอไม่วิจารณ์คำพูดของนายทักษิณ นักธุรกิจที่สร้างความร่ำรวยจากธุรกิจผูกขาดการให้บริการโทรศัพท์มือถือในเมืองไทยในระยะเริ่มต้นของเทคโนโลยีนี้ ไม่เชื่อว่าคนไทยไปเลือกพรรคที่มีทหารหนุนหลัง เพราะต้องการเห็นความสงบของบ้านเมือง เขาเชื่อว่าปัญหาที่คนไทย 80% เป็นกังวลคือเรื่องเศรษฐกิจ ส่วนคนที่ห่วงเรื่องความไม่สงบนั้นมีน้อย "ความสงบเพราะทหารมีอำนาจแล้ว หรือไม่สงบเพราะทหารยังไม่มีอำนาจ ส่วนใหญ่ทหารเป็นคนกำหนดว่าจะให้สงบหรือไม่สงบ ที่สงบโดยไม่มีอนาคตนี่ มันก็ไม่ใช่ว่าจะดี" "ไม่รู้จักธนาธร" แต่ "จับมือ" ได้ แม้ย้ำว่าเขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับพรรคการเมืองใดแล้วในเวลานี้ แต่นายทักษิณ มองเห็นความเป็นไปได้ที่พรรคเพื่อไทยจะจับมือกับ "อนาคตใหม่" พรรคน้องใหม่ที่มี ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคคนรุ่นใหม่ที่ "มีอุดมการณ์เดียวกัน" กับเขาคือ "ไม่ส่งเสริมการสืบทอดอำนาจของคณะปฏิวัติ" ก่อนวันเลือกตั้งไม่ถึงสัปดาห์ มีการเผยแพร่คลิปตัดต่อเสียงที่อ้างว่าเป็นเสียงนายธนาธรสนทนากับนายทักษิณ เรื่องนี้นายทักษิณให้ความเห็นว่า "ผมไม่รู้จักธนาธร ไม่เคยเจอเลย ไม่เคยคุยโทรศัพท์กัน ไม่รู้ว่าเขาคิดอย่างไร แต่ดูการหาเสียงและให้สัมภาษณ์เห็นว่ามีอุดมการณ์สูงเหมือนตอนผมเข้ามาใหม่ ๆ" มหาเศรษฐีอันดับ 19 ในทำเนียบ 50 บุคคลที่ร่ำรวยที่สุดของไทย ปี 2018 โดยนิตยสารฟอร์บส กล่าว นายธนาธร แถลงวันที่ 25 มี.ค. ว่า เขาพร้อมเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ "พรรคอนาคตใหม่จะไม่เสนอชื่อ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เป็นนายกรัฐมนตรี เพราะเราต้องการยืนยันวัฒนธรรมประชาธิปไตยที่ถูกต้อง" และไม่ต้องการสร้างเงื่อนไขในการต่อรองทางการเมืองอันจะนำไปสู่การเกิดเดดล็อกทางการเมืองจนจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้ และยืนยันว่า "นายกรัฐมนตรีต้องมาจากพรรคที่ได้จำนวน ส.ส. มาเป็นอันดับหนึ่ง" พร้อมคุยกับผู้มีอำนาจ นายทักษิณ ขอร้องผู้อยู่ในอำนาจว่า อย่าได้มองเขาในแง่ลบ อย่ามองเขาเป็นศัตรู แต่ขอให้มองเขาเป็นคนที่ "น่าจะเป็นประโยชน์ต่อบ้านเมือง" "ผมไม่ต้องใช้คำพูดว่า เจรจา ใช้คำพูดว่า ถ้าผมจะเป็นอะไรจะเป็นประโยชน์ต่อบ้านเมืองก็คุยกันได้ แค่นั้นเอง อย่าไปมองผมเป็นศัตรู... ขอให้คิดอย่างเดียวว่าผมเป็นคนไทยคนหนึ่ง และเคยเป็นอดีตนายกฯ รักบ้านเมือง รักประชาชน รักพระเจ้าอยู่หัว มีอะไรจะใช้ก็บอกกันมา ก็แค่นั้นเอง" แต่ไม่กลับมารับโทษ ทว่า เมื่อมาถึงคำถามถึงความเป็นไปได้ที่จะกลับมาพิสูจน์ความบริสุทธิ์ในอย่างน้อย 6 คดีที่ถูกกล่าวหา นายทักษิณขอเป็นฝ่ายตั้งคำถามกลับว่า "พิสูจน์ความยุติธรรมกันก่อนได้ไหม" "ตั้งแต่กระบวนการ เอาศัตรูผมทั้งนั้นมานั่งเป็นกรรมการสอบสวน แล้วมันแฟร์ (ยุติธรรม) ตรงไหนอะ มันไม่แฟร์แต่ต้น" เขาตัดบทจบการพูดคุยก่อนจะลุกไปจากห้องสนทนา
|
หลังงานแต่งงานของลูกสาวคนเล็ก แพทองธาร ชินวัตร และนายปิฎก สุขสวัสดิ์ ที่โรงแรมโรสวูด ในฮ่องกงเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว นายทักษิณ ชินวัตร พำนักอยู่ที่เขตเศรษฐกิจพิเศษของจีนต่ออีกหลายวัน พร้อมให้สัมภาษณ์สื่อต่างประเทศหลายสำนักวิจารณ์ผลการเลือกตั้งว่า "ไม่ปกติ"
|
features-46520077
|
https://www.bbc.com/thai/features-46520077
|
ยานวอยเอเจอร์ 2 เดินทางพ้นขอบเขตลมสุริยะแล้ว
|
ขณะนี้ยานวอยเอเจอร์ 1 และ 2 ต่างอยู่นอกเขตอิทธิพลลมสุริยะ (Heliosphere) ซึ่งเป็นขอบเขตที่ดวงอาทิตย์แผ่สนามแม่เหล็กและกระแสลมสุริยะไปถึง ยานลำนี้ถือเป็นวัตถุที่มนุษย์สร้างขึ้นชิ้นที่ 2 ที่เดินทางถึงตำแหน่งดังกล่าว ซึ่งอยู่ห่างจากโลกราว 18,000 ล้านกิโลเมตร หลังจากที่ยานวอยเอเจอร์ 1 ได้เดินทางไปถึงก่อนหน้าแล้ว เมื่อเดือนสิงหาคมปี 2012 ศ. เอ็ดเวิร์ด สโตน หัวหน้าทีมนักวิทยาศาสตร์ขององค์การนาซา ซึ่งรับผิดชอบดูแลภารกิจยานวอยเอเจอร์ 2 กล่าวยืนยันว่ายานได้เข้าสู่บริเวณห้วงอวกาศที่เรียกกันว่า "ตัวกลางระหว่างดวงดาว" (Interstellar medium) ซึ่งเป็นที่ว่างที่ประกอบด้วยกลุ่มก๊าซ ฝุ่นละออง รวมทั้งอนุภาคและรังสีต่าง ๆ ในภาวะสุญญากาศแล้ว ตั้งแต่วันที่ 5 พ.ย. ที่ผ่านมา ยานวอยเอเจอร์ 2 ถูกปล่อยขึ้นสู่ห้วงอวกาศก่อนยานวอยเอเจอร์ 1 เป็นเวลา 16 วัน แม้ยานวอยเอเจอร์ 2 จะถูกปล่อยขึ้นสู่ห้วงอวกาศก่อนยานวอยเอเจอร์ 1 เป็นเวลา 16 วัน แต่วิถีการเคลื่อนที่ของวอยเอเจอร์ 1 ที่เดินทางได้รวดเร็วกว่ากันมาก ส่งผลให้ยานวอยเอเจอร์ 2 ที่เดินทางด้วยความเร็ว 54,000 กม./ชม.ไปถึงจุดสิ้นสุดอิทธิพลลมสุริยะ (Heliopause) ช้ากว่าถึง 6 ปี เมื่อวันที่ 5 พ.ย. ที่ผ่านมา เครื่องมือตรวจจับกระแสอนุภาคที่ส่งออกมาจากดวงอาทิตย์ ซึ่งติดตั้งอยู่กับยานวอยเอเจอร์ 2 ชี้ว่า ค่าของกระแสอนุภาคดังกล่าวตกลงอย่างมากเป็นครั้งแรก อันเป็นสัญญาณบ่งบอกว่ายานได้ข้ามพ้นเขตอิทธิพลลมสุริยะหรือ Heliosphere ซึ่งเป็นขอบเขตที่ดวงอาทิตย์สามารถแผ่สนามแม่เหล็กและกระแสลมสุริยะไปถึงได้ อย่างไรก็ตาม ยังไม่อาจกล่าวได้ว่ายานวอยเอเจอร์ 2 ได้เดินทางออกพ้นขอบเขตของระบบสุริยะแล้ว เนื่องจากยังไปไม่ถึงกลุ่มเมฆออร์ต (Oort cloud) ซึ่งประกอบไปด้วยวัตถุอวกาศและดาวหางจำนวนมากที่อยู่ภายใต้อิทธิพลของแรงดึงดูดจากดวงอาทิตย์ ทำให้ในทางเทคนิคแล้วนักวิทยาศาสตร์จำนวนไม่น้อยถือว่ากลุ่มเมฆนี้เป็นเส้นขอบเขตที่แท้จริงของระบบสุริยะ นาซาแถลงว่าอุปกรณ์หลายชิ้นของยานยังคงใช้งานได้ดีอยู่ และจะทำหน้าที่สำรวจห้วงอวกาศระหว่างดวงดาวต่อไป แม้ยานวอยเอเจอร์ 2 จะมีอายุการใช้งานนานมากแล้ว โดยได้ผ่านภารกิจสำรวจดาวพฤหัสบดี ดาวเสาร์ ดาวยูเรนัส และดาวเนปจูน ซึ่งสิ้นสุดลงในปี 1989 แต่ปัจจุบันองค์การนาซาแถลงว่า อุปกรณ์สำรวจต่าง ๆ หลายชิ้นยังคงใช้งานได้ดีอยู่ และยานจะทำหน้าที่สำรวจห้วงอวกาศระหว่างดวงดาวนี้ต่อไป จนกว่าแหล่งพลังงานพลูโตเนียมที่ผลิตไฟฟ้าขับเคลื่อนยานจะหมดลง ส่วนยานวอยเอเจอร์ 1 นั้น ผู้เชี่ยวชาญคาดว่าจะเดินทางไปถึงกลุ่มเมฆออร์ตในอีกหลายร้อยปีข้างหน้า ก่อนจะไปถึงดาวดวงแรกนอกระบบสุริยะในอีก 40,000 ปีนับจากนี้ และจะล่องลอยอยู่ในกาแล็กซีทางช้างเผือกต่อไปเป็นเวลาหลายพันล้านปี
|
ยานสำรวจอวกาศ "วอยเอเจอร์ 2" (Voyager 2) ซึ่งออกเดินทางจากโลกเมื่อปี 1977 หรือเมื่อ 41 ปีก่อน ขณะนี้ได้ออกพ้นจากเขตอิทธิพลลมสุริยะ (Heliosphere) และเคลื่อนเข้าสู่บริเวณห้วงอวกาศระหว่างดวงดาว ซึ่งเป็นทิศทางมุ่งสู่สุดขอบเขตของระบบสุริยะต่อไป
|
international-42376991
|
https://www.bbc.com/thai/international-42376991
|
ดัดแปลงสเปิร์มเป็นหุ่นยนต์ นำยาฆ่ามะเร็งปากมดลูกได้ตรงจุด
|
(ภาพจากฝีมือศิลปิน) สเปิร์มว่ายตรงเข้าหาเซลล์มะเร็งได้ เหมือนกับว่ายเข้าหาไข่ตามธรรมชาติ ผลการทดลองนี้ตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสาร ACS Nano ของสมาคมเคมีอเมริกัน โดยทีมนักวิจัยจากสถาบันไลบ์นิซเพื่อการศึกษาวัสดุและสถานะของแข็ง (Leibniz Institute for Solid State and Materials Research ) ประสบความสำเร็จในการทดสอบขั้นต้น ซึ่งใช้สเปิร์มในสภาพกึ่งหุ่นยนต์วิ่งเข้าหาเซลล์มะเร็งปากมดลูกในจานทดลองได้โดยไม่พลาดเป้าหมาย เทคนิคนี้จะช่วยให้การทำเคมีบำบัดเพื่อรักษามะเร็งในระบบสืบพันธุ์ของสตรีมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยการให้ยารักษาตรงเฉพาะจุด จะทำให้ปราศจากผลข้างเคียงไม่พึงประสงค์ เช่นเวียนศีรษะ อาเจียน ผมร่วง น้ำหนักลดและอ่อนเพลีย หรือภูมิต้านทานต่ำลง ดังเช่นที่พบในผู้ป่วยมะเร็งทั่วไป นายซู ไหเฟิ่ง ผู้นำทีมวิจัยบอกว่า ได้นำสเปิร์มมาบรรจุยา Doxorubicin ซึ่งเป็นสารเคมีบำบัด จากนั้นใช้ท่อนาโนแม่เหล็กที่มีแขน 4 ข้างครอบส่วนหัวของสเปิร์มไว้ เพื่อบังคับนำทางให้สเปิร์มว่ายไปยังที่ตั้งของก้อนเซลล์มะเร็ง โดยแขน 4 ข้างนี้จะเปิดอ้าออกเมื่อสัมผัสกับเซลล์มะเร็ง และปล่อยให้สเปิร์มว่ายเจาะเข้าไปภายในเซลล์ของเนื้อร้าย ปลดปล่อยยาเคมีบำบัดออกมาเมื่อมันหลอมรวมตัวเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับเยื่อหุ้มของเซลล์มะเร็งแล้ว ผลการทดสอบพบว่า วิธีนี้สามารถกำจัดเซลล์มะเร็งปากมดลูกในจานทดลองให้ตายลงถึง 87% ภายในระยะเวลาเพียง 3 วัน และไม่พบว่ามีร่องรอยของยาเคมีบำบัดตกหล่นอยู่ภายนอกเซลล์มะเร็งด้วย ทำให้มีความหวังว่าการขจัดเซลล์มะเร็งในระบบสืบพันธุ์ของสตรี โดยไม่ส่งผลทำลายเซลล์ร่างกายที่มีสุขภาพดีไปด้วย จะสามารถเป็นไปได้ในเร็ว ๆนี้ ทีมวิจัยยังเชื่อว่า เทคนิคนี้จะสามารถพัฒนาไปใช้รักษามะเร็งและโรคชนิดอื่น ๆ ในระบบสืบพันธุ์ของสตรีได้เช่นกัน เช่น มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก (Endometrial cancer ) ภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ (Endometriosis ) หรือภาวะตั้งครรภ์นอกมดลูก (Ectopic pregnancy )
|
สเปิร์มหรือตัวอสุจิของชายไม่ได้มีหน้าที่ในการเจริญพันธุ์ของมนุษย์เพียงอย่างเดียวแล้ว เพราะล่าสุดนักวิจัยจากเยอรมนีสามารถดัดแปลงสเปิร์มให้มีสภาพคล้ายหุ่นยนต์เล็กจิ๋วระดับนาโน ทำหน้าที่เป็นพาหนะนำยาเคมีบำบัดเข้าไปปล่อยตรงจุดที่เกิดมะเร็งปากมดลูกหรือมะเร็งอื่น ๆ ในระบบสืบพันธุ์ของสตรีได้
|
thailand-41128195
|
https://www.bbc.com/thai/thailand-41128195
|
สังคมไร้เงินสด : ปลอดภัยจริงหรือ?
|
ปัจจุบันความนิยมชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์มีเพิ่มมากขึ้น จากการสำรวจความคิดเห็นทางออนไลน์ของคนในยุโรป สหรัฐฯ และออสเตรเลีย ราว 1,000 คน โดย ING ผู้ให้บริการด้านการธนาคาร การเงิน ประกันภัย และการบริหารสินทรัพย์ ในปีนี้ (2017) พบว่าคนราว 1 ใน 3 พร้อมที่จะเลิกใช้เงินสด ในการชำระค่าสินค้าและบริการ ในปัจจุบันคนยุโรปราว 1 ใน 5 (21%) แทบจะไม่ได้ใช้เงินสดเลย โดยประเทศที่คนยังใช้เงินสดมากอยู่คือเยอรมนี ส่วนคนในฝรั่งเศสและสหรัฐฯ ใช้เงินสดน้อยลงทุกที ไอเอ็นจีระบุว่าความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทำให้บัตรเดบิตและเครดิต เป็นเครื่องมือในการชำระเงินแทนธนบัตรและเหรียญ อย่างไรก็ดี ทางเลือกในการชำระเงินด้วยระบบดิจิทัลผ่านโทรศัพท์มือถือก็กำลังคืบคลานเข้ามาแทนที่ คนอังกฤษชำระค่าโดยสารรถไฟใต้ดินโดยใช้บัตรเดบิตมากขึ้น ในขณะเดียวกันบางประเทศพยายามหาทางยุติการชำระค่าใช้จ่ายด้วยเงินสดอย่างสิ้นเชิง ซึ่งผู้เชี่ยวชาญหลายคนเห็นว่าเป็นวิธีการที่จะหยุดยั้งการ คอร์รัปชันและการเลี่ยงภาษีได้ ตัวอย่างเช่นในประเทศที่ใช้เงินสกุลยูโรเอง จะยกเลิกการใช้ธนบัตรมูลค่า 500 ยูโร ภายในสิ้นปีหน้า ผู้สื่อข่าวบีบีซีรายงานว่าในอังกฤษเองประชาชนนิยมชำระเงินด้วยระบบ Contactless Payment มากขึ้น ซึ่งเป็นการชำระเงินโดยใช้บัตรหรือโทรศัพท์มือถือแตะสัมผัสกับเครื่องจ่ายเงิน เพื่อจ่ายค่าโดยสารรถไฟใต้ดิน รถเมล์ หรือการซื้อสินค้าและบริการ อย่างไรก็ดี การชำระค่าใช้จ่ายด้วยวิธีนี้ก็มีข้อเสียคือทำให้มีการฉ้อโกงกันมากขึ้น Financial Fraud Action UK ซึ่งเป็นหน่วยงานดูแลการฉ้อโกง ทางการเงินพบว่าเมื่อปีที่แล้ว (2016) การฉ้อโกงผ่านการชำระเงินด้วยระบบ Contactless Payment มีมูลค่า 7 ล้านปอนด์ หรือเพิ่มขึ้น 4.2 ล้านปอนด์จากปี 2015 ขณะที่ยอดการชำระเงินผ่านระบบนี้เมื่อปีที่แล้ว มีมูลค่า 25.2 พันล้านปอนด์ เพิ่มจาก 7.75 พันล้านปอนด์ ผู้พิพากษาซึ่งตัดสินคดีฉ้อโกงในเมืองเดวอนคดีหนึ่งถึงกับออกปากว่าเทคโนโลยีการชำระเงินผ่านบัตรที่ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องใส่รหัสนั้น ช่วยให้อาชญากรกระทำการได้อย่างง่ายดายจนเกินไป นายแกเรธ ชอว์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินแห่งองค์กรเพื่อผู้บริโภค Which? บอกกับบีบีซีว่าการชำระเงินด้วยบัตรนั้นยังมีข้อกังขาในเรื่องความ ปลอดภัยอยู่หลายอย่าง และบริษัทผู้ให้บริการบัตรควรทำให้การชำระเงินด้วยบัตรมีความปลอดภัยพอ ๆ กับความสะดวกสบายที่ได้รับ น.ส.เบธาน เดวีส์ เป็นผู้หนึ่งที่ถูกขโมยเงิน 200 ปอนด์ ไปจากบัตรเดบิตประเภท Contactless หลังจากเธอทำบัตรหายไปหนึ่งคืนเมื่อปีที่แล้ว แม้จะแจ้งธนาคารเจ้าของบัตรในเช้าวันรุ่งขึ้น เธอยังพบว่าสองสัปดาห์หลังจากนั้นยังมีคนนำบัตรของเธอไปใช้จ่ายอีกหลายรายการ อย่างไรก็ดี ธนาคารเจ้าของบัตรได้ชำระเงินคืนให้เต็มจำนวน นายแอนดริว เบลีย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Financial Conduct Authority หน่วยงานกำกับดูแลสถาบันการเงินของอังกฤษ บอกว่าโดยรวมแล้วถือว่าความเสี่ยงการถูกฉ้อโกงด้วยวิธีนี้ยังอยู่ในระดับต่ำ แต่ก็กำลังเร่งร่วมมือกับบรรดาธนาคารเพื่อหาทางแก้ไขปัญหาเรื่องนี้อยู่ ประเทศที่ใช้เงินสกุลยูโรจะยกเลิกธนบัตร 500 ยูโรเร็ว ๆ นี้ ผู้สื่อข่าวบีบีซีบอกว่าการฉ้อโกงผ่านบัตรที่ไม่ต้องใส่รหัสนี้คิดเป็น 1.1% ของการฉ้อโกงผ่านบัตรต่าง ๆ ทั้งหมด สวีเดนเป็นอีกประเทศหนึ่งที่กำลังเดินหน้าสู่สังคมไร้เงินสดอย่างเต็มตัว แต่นั่นก็ไม่อาจหยุดยั้งความพยายามของพวกโจรได้ เมื่อต้นปีนี้ ชายหนุ่มคนหนึ่งในนครโกเธนเบิร์กเพิ่งถูกโจรสามคนจี้บังคับให้ใช้โทรศัพท์มือถือโอนเงิน 220 ดอลลาร์สหรัฐฯ ให้โดยผ่านแอปพลิเคชัน Swish ไม่เช่นนั้นจะถูกทำร้าย นี่ไม่ใช่กรณีแรกที่เกิดขึ้นในสวีเดน ประเทศที่การชำระค่าสินค้าบริการราว 4 ใน 5 เป็นการชำระผ่านบัตร และเป็นประเทศที่ตั้งเป้าเป็นสังคมไร้เงินสดในปี 2030 นอกจากนี้ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับการก้าวไปสู่สังคมไร้เงินสดยังเป็นห่วงว่าผู้สูงอายุหรือคนที่ไม่มีโอกาสเข้าถึงระบบบริการของธนาคารอาจจะประสบปัญหา ขณะเดียวกันจะทำให้เสี่ยงที่จะเกิดอาชญากรรมทางอินเทอร์เน็ตมากขึ้นด้วย
|
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวผ่านรายการศาสตร์พระราชา วันนี้ (1 ก.ย.) เชิญชวนประชาชนและภาคธุรกิจ ให้หันมาใช้ การชำระเงินโดยใช้บัตรเดบิตกับโทรศัพท์มากขึ้นและใช้เงินสดน้อยลง นายกรัฐมนตรีให้เหตุผลข้อหนึ่งว่าเพื่อความสะดวกสบาย และปลอดภัยไม่ต้องกลัวถูกฉกชิงวิ่งราว
|
thailand-55519913
|
https://www.bbc.com/thai/thailand-55519913
|
โควิด-19: นายกฯ ลงนาม 8 มาตรการคุมโควิด-19 มีผลบังคับใช้ 4 ม.ค. ขณะที่ยอดผู้ติดเชื้อยังเพิ่มต่อเนื่อง
|
ก่อนหน้านี้ นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. เปิดเผยในวันนี้ (3 ม.ค.) ว่า คณะทำงาน ศบค. ได้พิจารณาทบทวนมาตรการต่าง ๆ ที่ได้เผยแพร่เมื่อวานนี้ (2 ม.ค.) ที่กำหนดพื้นที่แบ่งเป็น พื้นที่ควบคุมสูงสุด (สีแดง) พื้นที่ควบคุม (สีส้ม) และพื้นที่เฝ้าระวังสูงสุด (สีเหลือง) รวมทั้งมาตรการดำเนินการในพื้นที่ควบคุมสูงสุด หลังจากมีหลายฝ่ายได้แสดงความคิดเห็นเพิ่มเติมเข้ามา คณะทำงาน ศบค. ได้พิจารณาทบทวนมาตรการคุมการระบาดไวรัสโควิด-19 ฉบับที่ 6 และเสนอให้นายกฯ ลงนาม โดยมีรายละเอียด 8 ข้อ ประกอบด้วย 1. ห้ามใช้อาคารหรือสถานที่ที่เสี่ยงต่อการแพร่โรค หรือการห้ามใช้อาคารและสถานที่ของสถาบันการศึกษาทุกประเภทในพื้นที่ควบคุมสูงสุด หรือพื้นที่สีแดงทั้งหมด 28 จังหวัด 2. ห้ามจัดกิจกรรมที่มีความเสี่ยงต่อการควบคุมโรค เว้นแต่ได้รับการอนุญาตจากเจ้าหน้าที่ สำหรับการจัดงานแต่งงานนั้น นายแพทย์ทวีศิลป์ ยอมรับว่า ได้เปิดช่องเอาไว้ว่า ต้องได้รับการอนุญาตจากเจ้าหน้าที่ และต้องมีมาตรการตามแนวทางสาธารณสุข โดยได้ปรับเพิ่มรายละเอียด คือ ให้ผู้ว่าราชการจังหวัด โดยคำแนะนำคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด กำหนดหลักเกณฑ์พิจารณาอนุญาตของพนักงานเจ้าหน้าที่เพื่อให้เกิดความเหมาะสม กทม. ตั้งด่านคัดกรองการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 เพื่อควบคุมและคัดกรองผู้ที่เดินทางเข้ามาในพื้นที่กรุงเทพฯ จำนวน 14 จุด 3. การปิดสถานที่เสี่ยงต่อการแพร่โรค โดยให้อำนาจผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้พิจารณาสั่งปิดพื้นที่ภายในจังหวัด 4. เรื่องร้านอาหาร ที่ประชุมได้ปรับแก้ร่างใหม่เพื่อให้มีความยืดหยุ่น โดยกำหนดว่า ในเขตพื้นที่ควบคุมสูงสุดนั้น การจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่ม ให้จัดระเบียบการเข้าใช้บริการ จำนวนผู้นั่งบริโภคในร้าน การจัดสถานที่ตามแนวปฏิบัติตามมาตรการควบคุมโรค โดยอาจให้เป็นลักษณะของการนำกลับไปบริโภคที่อื่น และให้ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 ของกระทรวงมหาดไทย และศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข ร่วมกันพิจารณาและกำหนดรูปแบบ รวมถึงการกำกับการดำเนินการตามข้อปฏิบัติ และมาตรการต่างๆเพื่อให้เหมาะสม หรือ ให้เข้าใจง่ายคือ ให้คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด เป็นผู้พิจารณาเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนที่ประกอบกิจการร้านอาหาร เช่น หากมีพื้นที่ที่พบผู้ติดเชื้อสูง ก็อาจให้ร้านอาหารในพื้นที่นั้น เป็นลักษณะซื้อกลับไปบริโภคที่อื่นเท่านั้น โดยที่ยังห้ามการจำหน่ายและบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในร้านเช่นเดิม ขณะที่ห้างสรรพสินค้า ยังเปิดทำการตามเวลาปกติ อย่างไรก็ตาม สุดท้ายต้องขึ้นอยู่กับการพิจารณาของ ผอ.ศบค.อีกครั้ง จากนั้น แต่ละพื้นที่จะออกประกาศเฉพาะในแต่ละพื้นที่ 5. มอบอำนาจให้ผู้ว่าราชการจังหวัด สั่งปิดหรือเปิดพื้นที่นอกเหนือจากที่กำหนดได้ 6. ไม่ได้ห้ามเรื่องการเดินทางข้ามจังหวัด ยังสามารถเดินทางได้ แต่ต้องตรวจคัดกรองถึงความเหมาะสมของแต่ละพื้นที่ โดยไม่ก่อความเดือดร้อนแก่ประชาชน ทั้งนี้ ขอความร่วมมือประชาชนชะลอการเดินทางข้ามจังหวัด เว้นแต่มีเหตุจำเป็น แต่ก็ยอมรับว่า มีพบกรณีคนขับรถตู้ติดเชื้อ ทำให้ผู้โดยสารติดเชื้อไปกว่าครึ่งรถ จึงไม่อยากให้เดินทางกันมาก ดังนั้น ต้องนำข้อมูลของแต่ละจังหวัดมาพิจารณา และออกประกาศเป็นรายจังหวัด 7. การทำงาน Work From Home สลับวันเวลา เหลื่อมวันทำงาน 8. ให้คณะกรรมการเฉพาะกิจพิจารณาผ่อนคลายข้อบังคับการใช้มาตรการป้องกันและยับยั้ง เสนอต่อนายกรัฐมนตรี เพื่ออนุญาตให้ผ่อนคลายหรือกระชับมาตรการที่บังคับใช้กับสถานที่ต่างได้ตามความเหมาะสม อย่างไรก็ตาม มาตรการดังกล่าวอาจจะขึ้นอยู่กับผู้ว่าราชการจังหวัดและคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดของแต่ละแห่งในการพิจารณาบังคับใช้มาตรการดังกล่าวตามความเหมาะสม ยอดติดเชื้อยังพุ่งต่อเนื่อง โฆษก ศบค. กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับผู้ป่วยติดเชื้อรายใหม่ในวันนี้ (3 ม.ค.) ณ เวลา 12:00 น. มีทั้งหมด 315 ราย แบ่งเป็น 1. กลุ่มผู้ป่วยรายใหม่จากระบบเฝ้าระวังและระบบบริการสาธารณสุข 274 ราย เป็นผู้มีประวัติเชื่อมโยงกับคลัสเตอร์จังหวัดสมุทรสาคร ระยอง พัทยา ชลบุรี และผู้มีประวัติไปสถานที่เสี่ยงหรือสัมผัสผู้ป่วยก่อนหน้านี้และกลุ่มที่อยู่ระหว่างการสอบสวนโรค 2. การค้นหาผู้ติดเชื้อเชิงรุกในชุมชน (แรงงานต่างด้าว) จำนวน 20 ราย 3. ผู้ป่วยที่เดินทางมาจากต่างประเทศและเข้าสถานกักกันทุกประเภท (Quarantine Facilities) จำนวน 21 ราย จากการเพิ่มขึ้นของผู้ติดเชื้อรายใหม่ดังกล่าว ทำให้ยอดผู้ป่วยติดเชื้อสะสมเพิ่มเป็นทั้งหมด 7,694 ราย ส่วนจำนวนผู้ที่หายแล้วเพิ่มเป็น 4,337 ราย ขณะที่ยอดผู้เสียชีวิตยังคงที่อยู่ที่ 64 ราย สธ. ยืนยันทรัพยากรทางการแพทย์ที่มีอยู่เพียงพอ นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวในระหว่างการแถลงข่าวจากกระทรวงสาธารณสุข วานนี้ (2 ม.ค.) ว่า แม้ว่าการแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 รอบใหม่ทำให้เกิดการติดเชื้อและยากต่อการควบคุม แต่ยืนยันว่า ขณะนี้ประเทศไทยมีทรัพยากรเพียงพอดูแลรักษาผู้ติดเชื้อโควิด-19 ซึ่งได้สะสมไว้ตั้งแต่เริ่มมีการระบาด ทั้งในส่วนภูมิภาคและส่วนกลาง ไม่ว่าจะเป็นหน้ากาก N95 เครื่อง ชุดป้องกันสำหรับบุคลากรทางการแพทย์ และยารักษาโรค รวมทั้งเตียงรองรับผู้ป่วยและเครื่องช่วยหายใจยังมีสำรองอีกจำนวนมาก ล่าสุดรัฐบาลได้ให้งบประมาณจัดหาเพิ่มอีก 1,927 ล้านบาท ซื้อหน้ากาก N95 จำนวน 500,000 ชิ้น, หน้ากากอนามัย จำนวน 60,000,000 ชิ้น, ชุดป้องกันสำหรับบุคลากรทางการแพทย์ จำนวน 500,000 ชิ้น, ยาฟลาวิพิราเวียร์ จำนวน 100,000 เม็ด จากปัจจุบันที่มีการสำรองหน้ากาก N95 รวม 2,097,150 ชิ้น หน้ากากอนามัย 143,600 ชิ้น ชุดป้องกันสำหรับบุคลากรทางการแพทย์ 1,044,370 ชิ้น และยาฟลาวิพิราเวียร์ 472,400 เม็ด
|
นายกรัฐมนตรีลงนามคำสั่งศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) กำหนดให้ 28 จังหวัดเป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุด และลงนามใน 8 มาตรการคุมเชื้อโรคโควิด-19 ระบาด โดยให้มีผลตั้งแต่เวลา 06.00 น. ของวันที่ 4 ม.ค. ขณะที่ยอดผู้ติดเชื้อยังเพิ่มขึ้นอีก 315 รายวันนี้ เป็นการติดเชื้อภายในประเทศจำนวน 294 ราย
|
thailand-44755539
|
https://www.bbc.com/thai/thailand-44755539
|
ถ้ำหลวง: รู้จักจิตอาสากองหนุนภารกิจช่วยชีวิตทีมหมูป่า
|
สิทธิศักดิ์ สวรรค์รักษ์ ขณะรับส่งอาสาสมัคร "ความรู้สึกเหมือนญาติและครอบครัวเดียวกัน" นำไปสู่การคิดหาหนทางอย่างไรที่จะทำให้คนท้องถิ่นเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในภารกิจซึ่งถือว่าเป็นกรณีกู้ภัยครั้งประวัติศาสตร์ของโลก บีบีซีไทยไปพูดคุยกับพวกเขาเหล่านั้นว่าทำไมจึงมาเป็นจิตอาสา และทำหน้าที่อะไรกันบ้าง เด็ก ๆ เป็นลูกหลานของชาวแม่สาย จักรยานยนต์อาสาสมัครเป็นคนท้องถิ่นมาให้แก่ทั้งเจ้าหน้าที่ อาสาสมัคร นักข่าว ฯ "เหตุการณ์ครั้งนี้ ผมถือว่าจะต้องถูกบันทึกประวัติศาสตร์ครั้งหนึ่งของเมืองไทย" นายสิทธิศักดิ์ สวรรค์รักษ์ อาชีพเกษตรกรใน อ.แม่สาย จ.เชียงราย ที่ร่วมจิตอาสามาช่วยเหลือบริเวณหน้าถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอนมาแล้วสี่วัน นายสิทธิศักดิ์เข้ามารับผิดชอบหลากหลายหน้าที่ ตั้งแต่ช่วยส่วนมูลนิธิครัวพระราชทาน ช่วยยกของ ในวันที่ให้สัมภาษณ์กับบีบีซีไทย เขาทำหน้าที่เป็นผู้ขับรถจักรยานยนต์นำเจ้าหน้าที่และสื่อมวลชนเข้าออกระหว่างถนนใหญ่กับถ้ำโดยไม่คิดค่าบริการ นายสิทธิศักดิ์ บอกว่า แม้ว่าจะพบเด็ก ๆ แล้วแต่ก็ดูเหมือนว่าภารกิจนี้เป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลย จึงตัดสินใจมาช่วย และเขาเองรู้จักกับครอบครัวน้องไนท์ หรือ นายพีรภัทร สมเพียงใจ ปีกขวาของทีมหมูป่า และเคยร่วมกิจกรรมปั่นจักรยานด้วยกันหลายครั้ง "การทำงานที่นี่ มันก็ยากลำบาก มีอุปสรรคในการช่วยเหลือ แต่ถ้าเราเป็นส่วนเล็ก ๆ ที่สามารถช่วยเหลือเขาได้บ้าง ก็มาช่วยกัน" เขากล่าว ชาวบ้านคนอื่น ๆก็มาเป็นมอเตอร์ไซค์อาสาเหมือนสิทธิศักดิ์เช่นกัน "สำหรับชาวแม่สาย ก็คิดว่าพวกเด็ก ๆ เหมือนเป็นลูกเป็นหลาน ได้ออกมาช่วยกันเยอะ ทั้งในส่วนของเงินทอง หรือ สิ่งของ หรือบางท่านก็มาช่วยเป็นแรง ในการช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติหน้าที่ข้างใน" นายสิทธิศักดิ์กล่าว ในแต่ละวันมีอาสาสมัครที่ขับรถมอเตอร์ไซค์บริการเจ้าหน้าที่ สื่อมวลชนและผู้เกี่ยวข้องอยู่ราวสิบคันต่อวัน แต่ละคนจะผลัดเปลี่ยนกันไปเรื่อย ๆ ตามช่วงเวลาที่แต่ละคนจะสะดวก "ในแต่ละวัน อาสาสมัครที่มาขับรถมอเตอร์ไซค์ก็ให้บริการหลายสิบเที่ยวเลยครับ ทุกคนเติมน้ำมันเองเต็มถัง แต่ต้องให้เหลือพอกลับถึงบ้านตัวเองได้" เขาตอบ ต่างศาสนา เป้าหมายเดียวกัน ถ้ำหลวง: กองทัพอาสาสมัครของไทย เหตุการณ์นี้ยังทำให้สายสัมพันธ์ระหว่างคนในชุมชนแน่นแฟ้นมากขึ้น ทั้งเป็นสะพานเชื่อมความร่วมมือระหว่างชุมชนต่างศาสนา ไม่ว่าจะเป็นศาสนาพุทธ ศาสนาคริสต์ หรือแม้แต่ศาสนาอิสลาม ดุนเนีย กากาเคน บรรจุอาหารลงกล่อง ดร. โซเฟีย ไทยอนันต์ เป็นหนึ่งในจิตอาสาของอ. แม่สาย จ.เชียงราย ที่ริเริ่มนำพากลุ่มสตรีมุสลิมมาสนับสนุนปฏิบัติการฯ ด้วยการทำอาหารฮาลาลมายังพื้นที่ถ้ำหลวง เพื่อแจกจ่ายให้กับบรรดาเจ้าหน้าที่ อาสาสมัครด้วยกัน อย่างเช่น ทีมเก็บรังนกจากเกาะลิบง รวมไปจนถึงสื่อมวลชนที่นับถือศาสนาอิสลาม "เราก็นึกถึงว่า อาหารการกินต้องยากลำบากแน่นอน ก็เลยอาสารวมตัวกันช่วยกันทำ" เธอบอกกับบีบีซีไทย ขณะที่ น.ส. ดุนเนีย กากาเคน หนึ่งในสมาชิกของกลุ่มจิตอาสานี้เล่าให้ฟังว่า อาหารที่มีผู้บริจาคมาให้กับเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานในเขตถ้ำหลวงมีจำนวนมาก แต่ว่าอาหารอิสลามหากินยาก สิ่งที่ได้รับบริจาคมาบางครั้งก็เป็นเนื้อหมู "บางครั้ง คิดเมนูแปลกใหม่ เช่น แกงแขก ข้าวหมกไก่ ทางกลุ่มก็จะทำเพิ่มจำนวนขึ้น เพื่อให้คนอื่น ๆ ที่ไม่ใช่มุสลิมสามารถรับประทานได้" น.ส.ดุนเนียอธิบาย นอกจากจะเกิดการรวมตัวของกลุ่มมุสลิมเล็ก ๆ ใน อ.แม่สายเล็กด้วยการสื่อสารผ่านสังคมออนไลน์ ก็ทำให้พี่น้องมุสลิมทั่วประเทศที่ส่งกำลังใจและส่งปัจจัยมาเสริมมาด้วย ดร.โซเฟีย ในฐานะนายกสมาคมสตรีมุสลิม จ. เชียงราย ยังกล่าวอีกด้วยว่า ไม่ใช่แค่ชาวมุสลิมเท่านั้น ชาวพุทธศาสนิกใน อ.แม่สาย หรือในประเทศไทย รวมเป็นหนึ่งเดียว มีความรักกันและมีเป้าหมายเดียวกัน ที่จะพยายามช่วยเหลือและให้กำลังใจในจุดนี้ ต่อเวลาทำงานเพื่อให้ภารกิจต่อเนื่อง รวินท์มาศ ลือเลิศ เจ้าของร้านซักรีดที่อ. แม่จัน ซึ่งรับอาสาซักผ้าให้เจ้าหน้ากู้ภัยหลายหน่วย ขณะที่กองหนุนจิตอาสาอีกส่วน เริ่มต้นทำงานที่ร้านซักอบรีด ของ น.ส.รวินท์มาศ ลือเลิศ ในขณะที่เจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัย หน่วยซีล ตำรวจตระเวนชายแดน ทหารเรือสหรัฐฯ บางส่วนหลับพักผ่อน เวลาประมาณ 21.00 น. ของทุกวันนับตั้งแต่วันที่ 28 มิ.ย. ที่ผ่านมา เธอและสามี รวมทั้งพนักงานที่ร้านซักรีดของเธอ และบรรดาเพื่อนของเธอต้องไปรับชุดเสื้อผ้าที่ใช้แล้วของเจ้าหน้าที่เพื่อนำมาทำความสะอาด รวมทั้งนำเสื้อผ้าที่ทำความสะอาดเสร็จแล้วไปส่งตามจุดต่าง ๆ ที่รับมาเมื่อคืนก่อน ในเวลาประมาณ 2.00 - 4.00 น. เพื่อให้ทันต่อภารกิจที่เร่งด่วนของเจ้าหน้าที่ในรุ่งเช้าของวันถัดมา จำนวนเสื้อผ้าของเจ้าหน้าที่ในช่วงแรก ๆ ประมาณ 80-100 ชุด เมื่อตอนนี้มีเจ้าหน้าที่มาเพิ่มมากขึ้น จำนวนชุดที่ต้องทำความสะอาดก็เพิ่มจำนวนตามไปด้วย "ฉันคิดว่าคงไม่นานภารกิจนี้คงสำเร็จลุล่วงโดยเร็ว แต่ด้วยความคิดที่แตกต่าง ฉันจึงคิดอีกอย่างว่า อีกกี่สิบปีจะมีเหตุการณ์แบบนี้ ที่เราจะมีโอกาสได้ช่วย ทำให้ทุกคนมองเห็นว่า อาชีพเราก็สำคัญ" น.ส.รวินท์มาศ กล่าว นอกจากซักผ้าแล้ว ทางร้านก็ยังซ่อมแซมเสื้อให้กับเจ้าหน้าที่ที่มาฝากซักผ้าอีกด้วย เธอเล่าให้ฟังถึงเหตุผลที่ทำให้เธอเปลี่ยนความคิดจากการบริจาคสิ่งของธรรมดามาเป็นจิตอาสาในแบบที่เธอถนัด ก็เพราะได้เห็นรูปที่ส่งมาจากคนที่รู้จักเผยให้เห็นสภาพการทำงานของเจ้าหน้าที่ภายในถ้ำหลวง ที่สวมชุดที่เต็มไปด้วยโคลน บางคนต้องนอนบนดินภายในถ้ำ อย่างไรก็ตาม เธอบอกว่า สิ่งที่เธอทำอยู่ในขณะนี้จะสำเร็จไม่ได้หากไม่มีจิตอาสาคนอื่น ๆ คอยสนับสนุน อย่างเช่น จิตอาสาที่เก็บเสื้อผ้าของเจ้าหน้าที่มาส่งให้ บางคนก็มามาช่วยงานในร้าน อย่างเช่น พับเสื้อผ้า ซ่อมแซมเสื้อผ้าที่เสียหาย หรือนำเอาผงซักฟอกมาบริจาคให้กับเธอ ขณะที่นายสุวรรณ์ กันแก้ว ซึ่งเป็นพนักงานในร้านก็บอกว่า "ผมรู้สึกว่าอยากให้เขาช่วยน้อง ๆ ออกมาได้ ให้ผมช่วยตรงจุดนั้นผมช่วยไม่ได้ ผมว่าช่วยซักผ้าเจ้าหน้าที่ถือเป็นการช่วยอย่างหนึ่ง"
|
ปฏิบัติการช่วยเหลือทีมหมูป่าอะคาเดมีแม่สายที่ติดอยู่ในถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอนไม่ได้มีแค่เฉพาะเจ้าหน้าที่ฝ่ายต่าง ๆ และอาสาสมัครที่เกี่ยวข้องกับการกู้ภัยเท่านั้น ยังมีคนท้องถิ่นกลุ่มหนึ่งที่ยอมสละรายได้ สละเวลา และลงแรงเพื่อสนับสนุนปฏิบัติการให้ราบรื่นมากขึ้น
|
international-52798039
|
https://www.bbc.com/thai/international-52798039
|
โควิด-19 : นศ.ต่างชาติคือแหล่งรายได้ของมหาวิทยาลัยในโลกตะวันตกกระทั่งไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ระบาด
|
ไม่ใช่ที่ว่ามาเลย คุณต้องทำการบ้านมากกว่านี้เสียหน่อย เพราะคำตอบคือภาคการศึกษาต่างหาก หลายคนไม่คิดด้วยซ้ำว่าการศึกษาเป็นส่วนหนึ่งของระบบเศรษฐกิจ และเงินก็คือสิ่งที่หล่อเลี้ยงระบบการศึกษาให้คงอยู่ต่อไปได้ เงินจำนวนมหาศาลที่หมุนเวียนอยู่ในภาคการศึกษามีทั้งจากเงินบริจาคของสมาคมศิษย์เก่าที่มั่งคั่ง ค่ากิน ค่าเช่าหอพักของนักศึกษา ค่าเช่าสถานที่เพื่อจัดการเรียนการสอน และที่มากที่สุดคือเงินค่าเล่าเรียนสูงลิบจากนักศึกษาต่างชาติ เป็นเวลาหลายร้อยปีมาแล้วที่รูปแบบการทำธุรกิจด้านการศึกษา คือการนำคนหลายพันคนจากทั้งในประเทศและต่างประเทศทั่วโลก มาเรียนร่วมกันเป็นเวลาสามปี ให้ได้สนทนาแลกเปลี่ยนกัน และนี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ภาคการศึกษาอยู่ในสภาพเปราะบางมากเมื่อเกิดวิกฤตโควิด-19 นักศึกษาจากต่างประเทศอาจต้องเสียค่าเรียนถึง 58,600 ปอนด์ หรือราว 2.2 ล้านบาท แทนที่จะเป็น 9,000 ปอนด์ หรือราว 3.5 แสนบาท ตามปกติ นักเรียนที่กำลังเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยหลายแห่งต้องเดินทางกลับประเทศ และคอร์สเรียนจำนวนมากก็หันไปพึ่งระบบออนไลน์แทน หากมาตรการล็อกดาวน์ยังดำเนินต่อไป มหาวิทยาลัยอาจจะไม่สามารถรับนักเรียนใหม่เข้ามาเรียนในช่วงฤดูใบไม้ผลิได้ และการจะให้นักศึกษาเดินทางไปยังมหาวิทยาลัยก็เป็นเรื่องยากเข้าไปใหญ่ ห้องประชุมหรืออาคารที่มีอยู่ ก็จะไม่ได้ใช้เพื่อการเรียนการสอน ศิษย์เก่าที่ร่ำรวยก็อาจจะไม่ได้มีฐานะดีเหมือนแต่ก่อน และอาจจะไม่บริจาคเงินให้มหาวิทยาลัยอีก มหาวิทยาลัยในโลกตะวันตกที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลักได้รับผลกระทบหนักที่สุด มหาวิทยาลัยเหล่านี้คิดค่าเทอมแพงมากแม้กระทั่งกับนักเรียนในประเทศตัวเอง และยังทำเงินได้เพิ่มจากค่าอาหารและที่พัก ส่วนนักศึกษาต่างชาติคือกลุ่มที่ต้องจ่ายแพงกว่า และนี่เองคือแหล่งรายได้หลักของมหาวิทยาลัยหลายแห่ง ยกตัวอย่างในสหราชอาณาจักร นักศึกษาจากต่างประเทศอาจต้องเสียค่าเรียนถึง 58,600 ปอนด์ หรือราว 2.2 ล้านบาท แทนที่จะเป็น 9,000 ปอนด์ หรือราว 3.5 แสนบาท ตามปกติ ไซมอน มาร์จินสัน ศาสตราจารย์ด้านการศึกษาขั้นสูงจากมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด บอกว่า การที่จำนวนชนชั้นกลางในประเทศต่าง ๆ เพิ่มขึ้นถือเป็นเรื่องดีสำหรับมหาวิทยาลัยในชาติตะวันตก เพราะครอบครัวชนชั้นกลางเหล่านั้นจะมีเงินพอจะส่งลูกไปเรียนเมืองนอก และนี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นมาโดยตลอด เหตุผลอย่างหนึ่งก็เพราะประเทศกำลังพัฒนามีระบบการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยสู้ประเทศที่พัฒนาแล้วไม่ได้ นอกจากจะมีปริญญาที่มีเกียรติกว่าแล้ว ลูกยังได้ภาษาที่สอง และมีเพื่อนใหม่ ๆ มากมาย ซึ่งพ่อแม่หลายคนมองว่าคุ้มเงินที่เสียไป ออสเตรเลียพยายามจะดึงดูดนักศึกษาจากต่างประเทศมาตั้งแต่ช่วงปี 80 แล้ว ประเทศต่าง ๆ ที่ได้รับผลประโยชน์จากระบบนี้ได้แก่ สหรัฐฯ สหราชอาณาจักร และออสเตรเลีย อย่างในสหรัฐฯ มีนักเรียนจีนเข้าเรียนในปีการศึกษาที่แล้วจำนวน 3.6 แสนคน รายได้จากนักศึกษาต่างชาติสร้างรายได้ให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ เป็นมูลค่าราว 4.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี ในออสเตรเลีย คาดกันว่านักศึกษาจากต่างชาตินำเงินเข้าประเทศกว่า 3 หมื่นล้านดอลลาร์ออสเตรเลียต่อปี แอนดรูว์ นอร์ตัน ศาสตราจารย์ด้านนโยบายการศึกษาขั้นสูง มหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย ในกรุงแคนเบอร์รา บอกว่า ออสเตรเลียพยายามจะดึงดูดนักศึกษาจากประเทศเอเชียมาตั้งแต่ช่วงปี 80 แล้ว เขาบอกว่าออสเตรเลียได้เปรียบเพราะอยู่ในเขตเวลาและมีสภาพอากาศดีใกล้เคียง นอกจากนี้ยังมีความเป็นไปได้ที่นักศึกษาต่างชาติจะอพยพไปตั้งถิ่นฐานที่นั่นได้ แต่รัฐบาลออสเตรเลียก็ไม่ได้ให้ความช่วยเหลือธุรกิจภาคการศึกษามากนัก นายกรัฐมนตรีสก็อตต์ มอร์ริสัน ถึงกับแนะให้นักเรียนต่างชาติกลับบ้าน หากไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองในช่วงล็อกดาวน์ได้ ซึ่ง ศ.นอร์ตัน บอกว่าไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้น "หากนักเรียนไม่เริ่มเรียนในปีการศึกษาปีนี้ นั่นหมายความว่าพวกเขาก็จะไม่ได้มาที่นี่ไปอีกสามปี" มหาวิทยาลัยดัง ๆ ในสหรัฐฯ ก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน แม้ว่าจะมีเงินทุนมหาศาล นักศึกษาต่างชาติทั้งในสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักร ก็ต่างเริ่มเรียกร้องขอเงินค่าเรียนคืนแล้ว วิเจ โกวินดาราจัน ศาสตราจารย์จากวิทยาลัยธุรกิจทัค วิทยาลัยดาร์ตมัธ ในสหรัฐฯ บอกว่าเป็นไปไม่ได้ที่มหาวิทยาลัยจะกลับมาเปิดในช่วงฤดูใบไม้ผลิที่จะถึงนี้ได้ "หากเลือกได้ นักเรียนต้องเลือกการเรียนการสอนแบบเห็นหน้ากันอยู่แล้ว การสื่อสารผ่านระบบออนไลน์ดูไม่มีเกียรติภูมิเท่า และก็ไม่ใช่แค่นายจ้างที่รู้สึกแบบนั้น สังคมโดยรวมก็[ต้องการเห็นหน้าเห็นตากันจริง ๆ] เหมือนกัน" มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ประกาศว่าปีการศึกษาหน้าจะเป็นการเรียนการสอนแบบออนไลน์ทั้งหมด แต่ก็บอกว่าอาจเปลี่ยนแปลงตามคำแนะนำของรัฐบาล มหาวิทยาลัยต่าง ๆ ทั่วโลกก็หันไปพึ่งวิธีเดียวกันนี้เพราะไม่มีทางเลือก และอย่างน้อยก็ทำให้ยังพอมีรายได้ สิ่งหนึ่งที่ไม่มีใครรู้เลยตอนนี้คือว่าจะมีมหาวิทยาลัยกี่แห่งที่สามารถรอดพ้นวิกฤตนี้ไปได้ การเรียนการสอนที่มหาวิทยาลัยเป็นรูปแบบธุรกิจที่ประสบความสำเร็จมาอย่างยาวนาน และผู้เรียนก็ได้ทั้งประโยชน์และเกียรติภูมิจากการศึกษาในรูปแบบนี้ด้วย
|
ภาคธุรกิจไหนที่คุณคิดว่าได้รับผลกระทบจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่มากที่สุด ? การก่อสร้าง การค้าปลีก การคมนาคม หรือร้านอาหาร
|
features-56054248
|
https://www.bbc.com/thai/features-56054248
|
วาเลนไทน์: วิธีรักษา "ไข้ใจ" เมื่อความรักคือโรคร้ายที่เยียวยาได้ด้วยการแพทย์ในยุคกลาง
|
ภาพคู่รักจาก Codex Manesse หนังสือรวมบทกวีในศตวรรษที่ 14 ในยุคกลางของยุโรป เมื่อราวศตวรรษที่ 5 ถึงปลายศตวรรษที่ 15 นั้น ไข้ใจหรือโรคคลั่งรักเป็นความเจ็บป่วยที่ส่งผลกระทบรุนแรงทางกายด้วย และในบางครั้งหากไม่ได้รับการรักษาก็อาจจะทำให้ถึงแก่ชีวิตได้ ดร. ลอรา คาลาส ผู้เชี่ยวชาญด้านวรรณคดีและการแพทย์ยุคกลางจากมหาวิทยาลัยสวอนซีของสหราชอาณาจักร ได้เขียนบทความว่าด้วยการวินิจฉัยโรคไข้ใจและวิธีรักษาด้วยการแพทย์แผนโบราณ ซึ่งลงเผยแพร่ในเว็บไซต์วิชาการ The Conversation ไว้ดังนี้ "ความเชื่อเก่าแก่ที่ว่าความรักความผูกพันทำให้เกิดอาการเจ็บป่วยขึ้นได้นั้น ในปัจจุบันแวดวงวิทยาศาสตร์และการแพทย์ได้รับรองแล้วว่าเกิดขึ้นได้จริง โดยอิทธิพลจากความแปรปรวนของสารสื่อประสาทในสมอง เช่นโดพามีน อะดรีนาลิน และเซโรโทนิน ทำให้คนที่อยู่ในห้วงรักมีอาการเจ็บปวดไม่สบายกายขึ้นมาได้เช่นกัน" "แต่วิชาการแพทย์ในยุคกลางนั้น ถือว่ากายและใจมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งของเหลวที่เป็นองค์ประกอบสำคัญในร่างกาย 4 ชนิด หรือที่เรียกว่าฮิวเมอร์ (Humour) จะต้องอยู่ในภาวะสมดุลเพื่อให้มีสุขภาพดี หากของเหลวทั้ง 4 ซึ่งได้แก่เลือด เสมหะ น้ำดีดำ และน้ำดีเหลือง เกิดเสียสมดุลระหว่างกันไป ความเจ็บป่วยและโรคภัยต่าง ๆ จะมาเยือนในทันที" ภาพประกอบจากหนังสือ Roman de la Rose เล่าถึงตำนาน "พิกเมเลียน" ประติมากรที่ล้มป่วยด้วยไข้ใจเพราะหลงรักรูปปั้นหญิงงามที่ตนเองสร้างขึ้น "ตำราของกาเลน (Galen) แพทย์ชาวกรีกผู้พัฒนาวิธีวินิจฉัยและรักษาโรคตามหลักสมดุลของฮิวเมอร์ระบุว่า คนที่มีนิสัยเจ้าทุกข์มักมีแนวโน้มจะฟูมฟายโศกเศร้ากับความรัก รวมทั้งล้มป่วยด้วยไข้ใจได้ง่าย เนื่องจากมีน้ำดีดำอยู่มากเกินไป จนทำให้ภายในร่างกายเย็นและแห้ง" "นักบวชและแพทย์คนสำคัญในศตวรรษที่ 11 คอนสแตนติน ดิ แอฟริกัน (Constantine the African) ชี้ว่าไข้ใจนั้นเป็นโรคที่สัมผัสกับเนื้อสมอง บางครั้งสาเหตุของโรคนี้คือความต้องการตามธรรมชาติที่รุนแรงเป็นพิเศษ เนื่องจากร่างกายจำเป็นต้องหาทางขับฮิวเมอร์ส่วนเกินออกมา ทำให้ผู้ป่วยเกิดความวิตกและกระสับกระส่าย" "วรรณกรรมในยุคกลางกล่าวถึงอาการป่วยทางกาย ซึ่งเกิดจากความคิดถึงคะนึงหาคนรักอยู่บ่อยครั้ง เช่นในบทกวี Confessio Amantis หรือคำสารภาพของคู่รัก ซึ่งประพันธ์โดยจอห์น โกเวอร์ ในศตวรรษที่ 14 ชายผู้หนึ่งพร่ำรำพันอ้อนวอนต่อเทพีวีนัสว่า เขาต้องล้มป่วยและทุกข์ทรมานแสนสาหัสเพราะความรัก จนอยากจะตายไปให้รู้แล้วรู้รอด จึงทำให้เทพีเห็นใจและนำยาทามาแต้มรักษาบาดแผลที่หัวใจ ขมับ และไตของเขา บรรเทาอาการปวดแสบปวดร้อนอย่างสาหัสเหมือนไฟเผาลงได้" "อาการของโรคไข้ใจที่ปรากฏในตำราแพทย์ยุคกลางนั้น เริ่มตั้งแต่มีความรู้สึกหดหู่หม่นหมอง นอนไม่หลับ สิ้นหวังหมดกำลังใจ เบื่ออาหาร ไปจนถึงมีอาการใจสั่น ปวดศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน หายใจลำบาก เป็นลมหมดสติหรือลมชักกำเริบ" หนังสือ Roman de la Rose เป็นที่นิยมอย่างมากในศตวรรษที่ 14 รวบรวมบทกวีและศาสตร์แห่งรักเป็นภาษาฝรั่งเศสโบราณ "ตำราโบราณในช่วงปลายศตวรรษที่ 12 ระบุว่า การปักใจหลงใหลและหมกมุ่นครุ่นคิดถึงแต่บุคคลผู้เป็นที่รัก ทำให้อาการเจ็บป่วยยิ่งฝังลึกและยากที่จะรักษาได้ เพราะความเศร้าตรมจะทำให้ร่างกายเย็นลงเรื่อย ๆ และความเย็นจะยิ่งทำให้อารมณ์หม่นหมองลงไปอีกเป็นทวีคูณ" "ดังนั้นวิธีรักษาไข้ใจจึงต้องทำให้ผู้ป่วยสงบสติอารมณ์ พักผ่อนและสูดยาดมช่วยผ่อนคลาย รวมทั้งต้องทำให้ร่างกายอบอุ่นขึ้น เช่นออกไปอาบแดดหรือรับแสงแดดในสวน อาบน้ำอุ่นที่ผสมพืชมีสรรพคุณให้ความชุ่มชื้น เช่นดอกบัวหรือดอกไวโอเล็ต" "อาหารที่แนะนำสำหรับคนป่วยไข้ใจ ได้แก่เนื้อแกะ ไข่ ปลา ผักกาดหอม ผลไม้สุก และรากของต้นเฮลเลบอร์ (Hellebore) ส่วนน้ำดีดำในร่างกายที่มีมากเกินไป อาจขจัดออกได้ด้วยการกินยาระบายหรือยาถ่ายชนิดค่อนข้างแรง รวมทั้งใช้วิธีกรีดเลือด (Bloodletting) เพื่อถ่ายเลือดเสียออกมา ซึ่งเป็นวิธีที่แพทย์ในยุโรปนิยมใช้รักษาโรคหลายชนิดในยุคโบราณ" "ถ้าหากวันวาเลนไทน์ปีนี้คุณรู้สึกไม่ค่อยสบาย หรือรู้สึกเจ็บปวดเพราะความรักกำลังทิ่มแทงหัวใจ จนไม่รู้จะทำอย่างไรดีแล้ว อาจลองใช้วิธีรักษาแบบยุคกลางดูบ้างก็ได้"
|
"ความรักคือโรคา บันดาลตาให้มืดมน" เป็นบทกวีที่เราได้ยินได้ฟังกันบ่อยครั้ง ผู้คนยังมักกล่าวกันว่าความรักทำให้เจ็บปวดทุกข์ทรมาน และหลายคนก็เกิดอาการเจ็บป่วยทางกายขึ้นมาจากเหตุความรักไม่สมหวังได้จริง ๆ ในยุคหนึ่งบรรดาผู้รู้มองว่า "ไข้ใจ" ชนิดนี้ สามารถจะรักษาให้หายขาดได้ด้วยเทคนิควิธีทางการแพทย์
|
thailand-49448815
|
https://www.bbc.com/thai/thailand-49448815
|
ยามีล : พะยูนตาย 4 ตัวในรอบสัปดาห์ ทช. ถอดบทเรียนการอนุบาลลูกพะยูนไทย
|
ทีมสัตวแพทย์ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พยายามสุดความสามารถที่จะรักษาชีวิตลูกพะยูนยามีล "การอนุบาลสัตว์น้ำทุกชนิดเป็นเรื่องยากมาก เพราะว่าโดยทั่วไปสัตว์ที่มาเกยตื้นมีโอกาสรอดเพียง 1% เท่านั้น คือ สัตว์เกยตื้น 100 ตัว มีโอกาสรอดแค่ 1 ตัว เพราะสัตว์ที่มาเกยตื้นคือสัตว์ที่อ่อนแอ ป่วยหนักหรือมีปัญหาเรื้อรังมาก่อน" รศ.สพญ.ดร.นันทริกา ชันซื่อ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยโรคสัตว์น้ำ คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นหนึ่งในทีมสัตวแพทย์ที่ดูแลลูกพะยูนให้สัมภาษณ์กับบีบีซีไทย การจากไปของ "ยามีล" เมื่อวานนี้ (22 ส.ค.) สร้างความสะเทือนใจให้กับประชาชนที่เฝ้าติดตามการอนุบาลลูกพะยูนอย่างใกล้ชิดมาเป็นระยะเวลาหลายเดือน หลังจากเพิ่งเสียใจกับการตายของ "มาเรียม" ลูกพะยูนเพศเมียไปเมื่อคืนวันที่ 16 ส.ค. ยามีลเป็นลูกพะยูนเพศผู้ที่มาเกยตื้นเมื่อวันที่ 1 ก.ค. บริเวณชายหาดบ่อม่วง ต.ทรายขาว อ.คลองท่อม จ.กระบี่ หลังจากนั้นได้รับการดูแลอนุบาลโดยทีมสัตวแพทย์ศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ต่อมาเมื่อวันที่ 19 ส.ค. ทีมสัตวแพทย์พบว่ายามีลมีอาการเกร็งท้อง เอ็กซเรย์พบลำไส้เล็กมีการสะสมของแก๊สจำนวนมาก และมีหญ้าทะเลอุดตันในกระเพาะอาหาร ยามีลอาการแย่ลงเรื่อย ๆ จนวันที่ 22 ส.ค. พะยูนน้อยเกิดภาวะช็อก หัวใจหยุดเต้น ไทยพีบีเอสออนไลน์รายงานผลการชันสูตรซากยามีลที่เปิดเผยโดย น.ส.พัชราภรณ์ แก้วโม่ง สัตวแพทย์ ประจำศูนย์วิจัยและพัฒนาทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งทะเลอันดามัน จ.ภูเก็ต ว่าลูกพะยูนมีอาการอักเสบของกระเพาะอาหารที่รุนแรงและเรื้อรัง ทำให้มีผลต่อการทำงานของระบบทางเดินอาหารทำให้ระบบการย่อยอาหารผิดปกติ เกิดอาการท้องอืดและมีอาการปวดเสียดรุนแรง ร่วมกับมีการอักเสบติดเชื้อทั่วร่างกาย ยามีล ลูกพะยูนเพศผู้ พบเกยตื้นที่ จ.กระบี่ เมื่อ 1 ก.ค. ตายเมื่อ 22 ส.ค. "หลับให้สบายครับยามีล ไปอยู่กับมาเรียมแล้ว สบายแล้วนะครับ ขอโทษที่มนุษย์อย่างพวกเรายังไม่สามารถที่จะเข้าใจถึงศาสตร์แห่งพะยูนได้ลึกซึ้งพอที่จะทำให้ยามีลได้อยู่บนโลกใบนี้ไปอีกนาน ๆ" นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โพสต์เฟซบุ๊กไว้อาลัยพะยูนมาเรียมและยามีล ด้านเพจเฟซบุ๊กของกรมทรัพยากรทางธรรมชาติและชายฝั่ง (ทช.) ซึ่งเป็นช่องทางที่ทีมสัตวแพทย์ใช้สื่อสารกับประชาชนถึงการดูแลลูกพะยูนทั้ง 2 ตัวมาโดยตลอดเขียนข้อความว่า "กรม ทช. ขอแสดงความเสียใจอย่างที่สุดและขออภัยพี่น้องชาวไทยที่ไม่สามารถช่วยอนุบาลลูกพะยูนทั้งสองตัวให้มีโอกาสรอดกลับคืนสู่ธรรมชาติได้อย่างที่ตั้งใจไว้" "กรม ทช. ขอขอบพระคุณพี่น้องชาวไทยที่ติดตามและให้ความสนใจ ความรัก เมตตาที่มีต่อลูกพะยูนที่พลัดหลงจากแม่ ทั้งรายน้องมาเรียม และน้องยามีลต่อเนื่องกันมานับร้อยวัน และขอขอบคุณทีมหมอ จิตอาสา ชุมชนเกาะลิบง จ.ตรัง อ่าวทึง จ.กระบี่ และเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้อง จากทุกภาคส่วนที่ช่วยกันดูแลต่อเนื่องกันมา" ทช. ระบุด้วยว่า การจากไปของลูกพะยูนทั้ง 2 ตัวไม่ได้สูญเปล่า แต่ทิ้งองค์ความรู้ในการดูแลสัตว์ทะเลหายากไว้ พร้อมกับจิตสำนึกในการร่วมกันดูแลรักษาทะเล บทเรียน 1 : อาหารสำคัญที่สุด บทเรียนแรกที่ รศ.สพญ.ดร.นันทริกา ได้รับจากการร่วมทีมดูแลลูกพะยูนมาเรียม คือ การจัดหาอาหารที่เหมาะสมสำหรับลูกพะยูน เพื่อให้มันได้สารอาหารที่ใกล้เคียงกับนมแม่มากที่สุด แต่ถึงที่สุดแล้วก็ไม่มีอะไรทดแทนนมแม่ได้ "ตอนแรกยามีลยังไม่ได้หย่านม นมเป็นปัจจัยสำคัญมากที่ต้องให้อย่างเหมาะสม ต้องดูให้พอเหมาะทั้งด้านปริมาณพลังงาน และความสามารถในการย่อย ปัญหาที่เราเจอคือลูกพะยูนที่ไม่ได้กินนมแม่จะมีภูมิคุ้มกันต่ำ ติดเชื้อง่ายกว่าสัตว์ปกติมาก เพราะฉะนั้นต้องให้เขาค่อย ๆ สร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมา แต่ค่อนข้างจะยากมาก เราไม่รู้เลยว่าจังหวะไหนที่เขาจะมีปัญหา" ยิ่งพะยูนอายุน้อย ความสามารถในการย่อยอาหารก็จะน้อย ยกตัวอย่างเช่นมาเรียมเข้ามาอยู่ในการอนุบาลตอนที่เริ่มมีฟันใช้บดเคี้ยวหญ้าทะเลสลับกับการกินนมได้แล้ว แต่ยามีลยังไม่มีฟัน จึงต้องป้อนนมเป็นหลัก เพราะฉะนั้นจึงเสี่ยงต่อความผิดปกติต่าง ๆ มากกว่า บทเรียน 2 : สถานที่อนุบาล รศ.สพญ.ดร.นันทริกา เห็นว่าลูกพะยูนที่เกยตื้นควรได้รับการอนุบาลในบ่อปิดแทนที่จะอนุบาลในสภาพธรรมชาติ "ที่เราพลาดไปคือเราปล่อยสัตว์เกยตื้นที่อาจจะอายุน้อยเกินไปอยู่ในทะเล ซึ่งมีปัจจัยที่เรานึกไม่ถึง เช่น ศัตรูตามธรรมชาติ หรือการชนสิ่งต่าง ๆ อีกทั้งการให้ไปอยู่ในทะเลจะทำให้ป้อนนมยาก ลูกพะยูนจึงอาจได้รับอาหารไม่ค่อยเพียงพอ" ทีมสัตว์แพทย์ตัดสินใจอนุบาลมาเรียมในสภาวะธรรมชาติคือในทะเล แต่ปรากฏว่าสิ่งที่อยู่นอกเหนือจากการคาดการณ์ คือ มาเรียมต้องเจอกับ "มลภาวะ" โดยเฉพาะขยะพลาสติก ซึ่งสัตว์น้ำไม่สามารถรู้ได้ถึงภัยอันตรายจากขยะเหล่านั้น มาเรียม ลูกพะยูนเพศเมีย ตายเมื่อวันที่ 16 ส.ค. การผ่าพิสูจน์ซากพบเศษพลาสติกอุดตันในลำไส้ รศ.สพญ.ดร.นันทริกาเสนอว่า การอนุบาลพะยูนในอนาคตนั้นควรแบ่งเป็นสองส่วน คือ พะยูนโตเต็มวัย และ ลูกพะยูนที่ยังไม่หย่านม ซึ่งต้องมีกระบวนการและสถานที่ดูแลที่ต่างกัน "ข้อแรกถ้าเกิดสัตว์ยังไม่หย่านม ก็ต้องมาเลี้ยงในสภาวะปิดก่อน แล้วค่อย ๆ ให้อาหาร ที่ช่วงแรกอาจจะต้องบดให้เขากินก่อน เพราะว่าในลำไส้เขาอาจจะยังไม่มีแบคทีเรียที่ใช้ย่อย" รศ.สพญ.ดร.นันทริกา วางแผนว่าจะทำการเพาะเชื้อจากขี้พะยูนที่เก็บได้ในธรรมชาติ แล้วทำการแช่แข็งเอาไว้สำหรับป้อนให้กับลูกพะยูน เพื่อช่วยเสริมการย่อยในลำไส้เมื่อถึงเวลาที่พะยูนโตพอที่จะให้กินหญ้าทะเล หลังจากอนุบาลลูกพะยูนในสภาวะปิดระยะหนึ่งแล้วจึงค่อย ๆ ปล่อยพะยูนลงสู่ทะเล แต่ต้องกันพื้นที่ให้อยู่ในขอบเขตที่จำกัดหรือ "คอกในทะเล" เพื่อให้สัตวแพทย์ตามไปดูแลได้ บทเรียน 3 : อุปกรณ์เฉพาะสำหรับดูแลพะยูน "ตอนนี้อุปกรณ์ที่ใช้ดูแลพะยูนอยู่ ไม่ได้ถูกออกแบบสำหรับสัตว์ที่ใหญ่ขนาดนี้ กระทั่งอย่างวาฬ โลมา พอถึงเวลาต้องการจำเป็นต้องใช้ ล้วงไปมีความยาวไม่พอ ขนาดยังไม่เหมาะสม" นอกเหนือจากการปรับปรุงวิธีการอนุบาล รศ.สพญ.ดร.นันทริกาเห็นว่าต้องพัฒนาอุปกรณ์ในการรักษาควบคู่กันด้วย เพราะปัญหาที่พบคือขนาดของเครื่องมือที่ใช้อยู่ในหน่วยงานยังไม่เหมาะสมสำหรับการดูแลสัตว์ทะเลขนาดใหญ่ "นอกจากนี้ เรายังต้องการอุปกรณ์ เช่น เครื่องอัลตราซาวด์ที่สามารถลงน้ำได้ เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ใต้น้ำและเคลื่อนย้ายได้คล่องตัว ซึ่งต้องสั่งทำเป็นพิเศษ" บทเรียน 4 : ต้องมีแผนพิทักษ์พะยูนแห่งชาติ นายจตุพร บุรุษพัฒน์ อธิบดี ทช. ให้ข้อมูลกับบีบีซีไทยว่า ในรอบสัปดาห์นี้มีพะยูนตายถึง 4 ตัว คือ มาเรียม ยามีล พะยูนอีก 1 ตัวเกยตื้น และอีก 1 ตัวพบบาดแผลคล้ายปลากระเบนแทง "ใน 1 ปี มีพะยูนเกยตื้นในประเทศไทยประมาณ 13- 15 ตัว แต่ปี 2562 มีพะยูนเกยตื้น 17 ตัวแล้ว ซึ่งถือว่ามากกว่าปกติ แต่ก็ยังไม่มากจนเกินไป" นายจตุพรกล่าว การตายและการเกยตื้นของพะยูน ทำให้นายวราวุธ ศิลปอาชา รมว. ทส. มีแนวคิดที่จะจัดทำ "แผนพิทักษ์พะยูนแห่งชาติ" ขึ้น คาดว่าจะยกร่างเสร็จในเดือน ต.ค. แผนพิทักษ์พะยูนแห่งชาติประกอบด้วยหลายส่วนด้วยกัน เช่น มาตรการดูแลถิ่นอาศัย การปรับปรุงองค์ความรู้ทางการวิจัย การดูแลรักษาทรัพยากร การลาดตระเวน เป็นต้น เพื่อเป็นมาตรการในการดูแลฝูงพะยูน ซึ่งขณะนี้มีประชากรในน่านน้ำไทยราว 250 ตัว ทั้งฝั่งอันดามันและอ่าวไทย แต่กระจุกตัวมากที่ จ.ตรัง คือ เกือบ 180 ตัว "ชาวบ้านอยู่ได้ พะยูนก็ต้องอยู่ได้ การที่จะทำให้ประชากรพะยูนเพิ่มขึ้น หัวใจสำคัญคือการทำให้ชาวบ้านและสัตว์ทะเลหายากอย่างพะยูนอยู่กันอย่างเกื้อกูล ถ้าเราไปโฟกัสเฉพาะอนุรักษ์พะยูน แต่ชาวบ้านไม่รู้จะทำอะไร ปัญหาจะตามมา ที่ผ่านมาพะยูนมีปริมาณมากขึ้นเกิดจากประชาชนนะ ที่เขารักและเขาร่วมกันปกป้องดูแล จนเป็นกลุ่มพิทักษ์พะยูนที่เกาะลิบง ก่อนหน้าที่แทบจะหมดแล้ว" นายจตุพรกล่าวว่า ทช. อยู่ระหว่างการก่อสร้างศูนย์ดูแลสัตว์ทะเลหายากที่ จ.ภูเก็ต และกำลังขออนุมัติก่อสร้างอีกแห่งหนึ่งที่ จ.ระยอง เพื่อรักษาสัตว์ทะเลในฝั่งอ่าวไทย โดยจะมีรถบริการรักษาสัตว์ทะเลในพื้นที่ใกล้เคียงด้วย
|
ทีมสัตว์แพทย์และกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งสรุปบทเรียนการอนุบาลสัตว์น้ำ หลังการตายของลูกพะยูนขวัญใจชาวไทย "มาเรียม" และ "ยามีล" ยอมรับสัตว์ทะเลเกยตื้น มีโอกาสรอดน้อย แต่การตายของพะยูนน้อยทั้ง 2 ตัว จะต้องไม่สูญเปล่า
|
international-42636011
|
https://www.bbc.com/thai/international-42636011
|
เพลย์บอยฉบับเยอรมันให้นางแบบข้ามเพศขึ้นปกเป็นครั้งแรก
|
นิตยสารเพลย์บอยเวอร์ชั่นภาษาเยอรมันที่มีนางแบบข้ามเพศขึ้นปกจะวางแผงพฤหัสบดีนี้ กีเลียนา ฟาร์ฟัลลา วัย 21 ปี เปลือยอกขึ้นปกนิตยสารเพลย์บอย ซึ่งเป็นรูปแบบที่นิตยสารประเภทนี้ทำกันในเยอรมนี เธอเป็นที่รู้จักหลังจากเป็นหนึ่งในผู้เข้าร่วมรายการเรียลลิตี้ทางโทรทัศน์ยอดนิยม ฟลอเรียน บอยทิน บรรณาธิการใหญ่ กล่าวว่า ฟาร์ฟัลลา คือ "ตัวอย่างที่สวยงามที่แสดงให้เห็นว่า การต่อสู้เพื่อสิทธิในการกำหนดชีวิตของตัวเอง มีความสำคัญมากแค่ไหน" ฟาร์ฟัลลา ซึ่งมีชื่อเดิมว่า พาสคาล ราเดอร์มาเชอร์ มาจากเมืองบรีสเกา (Breisgau) ทางตะวันตกเฉียงใต้ของเยอรมนี เล่าถึงชีวิตในวัยเด็กของเธอว่า เธอรู้สึกว่าอยู่ในร่างที่ไม่ใช่ของตัวเอง เธอเข้ารับการผ่าตัดแปลงเพศตอนอายุ 16 ปี ฟาร์ฟัลลาระบุทางอินสตาแกรมว่า เธอรู้สึก "ภูมิใจอย่างมาก" ในการได้ขึ้นปกนิตยสารเพลย์บอย ซึ่งจะวางแผงในวันพฤหัสบดีนี้ ปีที่แล้ว เธอเป็นผู้เข้าร่วมรายการเยอรมนีเน็กซ์ท็อปโมเดล (Germany's Next Top Model) เธอกล่าวว่า การที่เธอได้เข้าร่วมรายการนี้ จะเป็นการให้กำลังใจคนข้ามเพศคนอื่น ๆ บอยทิน กล่าวเพิ่มเติมว่า การนำฟาร์ฟัลลาขึ้นปกนิตยสารเพลย์บอย์ สอดคล้องกับแนวคิดของนายฮิวจ์ เฮฟเนอร์ ผู้ก่อตั้งนิตยสารซึ่ง "ต่อต้านการกีดกันและการไม่ยอมรับทุกรูปแบบ" เมื่อปีที่ นิตยสารเพลย์บอยในสหรัฐฯ เคยนำนางแบบข้ามเพศลงหน้ากลางของนิตยสารมาแล้ว โดยอิเนส เรา นางแบบฝรั่งเศสเป็นผู้สร้างประวัติศาสตร์ดังกล่าวด้วยการเป็นสาวข้ามเพศคนแรกที่เป็น "เพลย์เมตประจำเดือน" ของเพลย์บอย
|
นิตยสารเพลย์บอย ฉบับภาษาเยอรมันนำนางแบบข้ามเพศ ที่สร้างชื่อจากรายการเฟ้นหานางแบบยอดนิยม ขึ้นปกนิตยสารเป็นครั้งแรก
|
international-56710224
|
https://www.bbc.com/thai/international-56710224
|
หญิงติดเชื้อเอชไอวีในแอฟริกา เผยถูกบังคับให้ทำหมันขณะผ่าตัดทำคลอด
|
"ตอนฉันตื่นขึ้นมาหลังหมดฤทธิ์ยา หมออยู่ตรงนั้น กำลังวางเครื่องมือลง ฉันมองเขาแบบนี้ มองขึ้นไปหาเขาแล้วก็พูดว่า 'คุณหมอทำหมันฉันเหรอคะ' เขาบอกว่า 'ใช่ครับ'" ซิชิโล ดลูดลา ผู้หญิงในแอฟริกาใต้ที่อ้างว่า ถูกบังคับทำหมันเล่า เธอเล่าว่า "เขาบอกว่า 'เราทำแบบนี้เพราะเราห่วงใยคุณ' ฉันบอกว่า 'ฉันไม่คิดอย่างนั้น เพราะฉันไม่ได้ยินยอมในเรื่องนี้' หลังจากนั้นฉันได้แต่ร้องไห้ ร้องไห้อย่างเดียว" ซิชิโล ถูกทำหมัน ตอนที่เธอคลอดลูกในแอฟริกาใต้ในปี 2011 โรงพยาบาลบอกว่า ก่อนที่เธอจะเจ็บท้องคลอดลูก เธอยินยอมที่จะให้มีการทำหมันระหว่างการผ่าตัดทำคลอด แต่ซิชิโล บอกว่า เธออยากจะมีลูกเพิ่มอีกคนหนึ่งและอ้างว่า เธอถูกบังคับให้ยินยอมเพราะว่า เธอมีเชื้อเอชไอวี สหประชาชาติระบุว่า ผู้หญิงที่มีเชื้อเอชไอวี จำนวนมากในแอฟริกาใต้อ้างว่า เผชิญกับการบังคับทำหมัน แม้ว่าไวรัสถูกควบคุมได้ด้วยยา ดร.ทลาเลง โมโฟเคง ผู้ตรวจการพิเศษสหประชาชาติว่าด้วยสิทธิในสุขภาพ กล่าวว่า "สิ่งที่เกิดขึ้นกับผู้หญิงจำนวนมากคือ พวกเธอกล่าวหาว่า ตอนที่พวกเธอไปโรงพยาบาล เพราะเป็นผู้ติดเชื้อเอชไอวี พวกเธอถูกบังคับหรือข่มขู่ให้ลงชื่อเอกสารยินยอมให้ทำหมันได้" ซิชิโล บอกว่า การทำหมันเป็นเรื่องโหดร้ายสำหรับเธอมาก เพราะมันไม่ได้มาจากความปรารถนาของเธอ เธอไม่เคยยินยอมในเรื่องนี้เลย "แค่การตัดบางอย่างออกไป นั่นก็คือจุดจบของฉัน เพราะฉันรู้ว่า ฉันเป็นอะไรที่ไม่มีประโยชน์อีกต่อไป" การคลอดครั้งนั้นเป็นการผ่าคลอดครั้งที่ 3 ของซิชิโล โรงพยาบาลบอกว่า การผ่าคลอดหลายครั้งทำให้มีความเสี่ยงต่อสุขภาพ และนั่นคือเหตุผลที่พวกเขาแนะนำให้ทำหมัน ตั้งแต่ปี 2000 อย่างน้อย 38 ประเทศพบเห็นรายงานการทำหมันโดยไม่สมัครใจ โดยมีการบันทึกหลักฐานของกระบวนการในช่วงการคลอดลูกไว้ใน 14 ประเทศจากจำนวนนั้น แถลงการณ์ของโรงพยาบาลระบุว่า "ตามมาตรการการปฏิบัติ...หลังจากการผ่าคลอด 2 ครั้ง ผู้หญิงจะได้รับคำปรึกษาเพื่อให้มีการผ่าตัดตามความสมัครใจ...ในการตั้งครรภ์ครั้งต่อไป" และระบุด้วยว่า "ผู้หญิงไม่ได้ถูกบังคับ/ข่มขู่ ดังนั้นบางคนจึงปฏิเสธกระบวนการนี้ และก็มีการเคารพความปรารถนาของพวกเธอ" ข้อกล่าวอ้างว่ามีการบังคับทำหมันจากซิชิโลและผู้หญิงอีกหลายสิบคนที่มีเชื้อเอชไอวี ได้รับการตรวจสอบจากคณะกรรมการความเท่าเทียมทางเพศของแอฟริกาใต้ในเดือน ก.พ. 2020 แต่นักรณรงค์ระบุว่า นับจากนั้นก็แทบไม่มีการทำอะไร "ระบบสุขภาพของแอฟริกาใต้ รวมถึงรัฐบาลโดยรวม กำลังทำให้ผู้หญิงผิดหวัง ทางหน่วยงานเองยังไม่มีการยอมรับต่อสาธารณชน ว่าการละเมิดทั้งหมดนี้เกิดขึ้นภายใต้การดูแลของพวกเขา" ผู้ตรวจการพิเศษสหประชาชาติกล่าว กระทรวงสาธารณสุขแอฟริกาใต้ยังไม่ตอบรับการขอความคิดเห็นจากบีบีซี เธอกล่าวต่อว่า "มีประวัติศาสตร์อันยาวนานทั่วโลกเกี่ยวกับการเลือกปฏิบัติและการล่วงละเมิดเกี่ยวกับการทำหมัน นี่เป็นการไร้มนุษยธรรมและลดทอนความเป็นมนุษย์มาก เราไม่ควรปล่อยให้เรื่องนี้ดำเนินต่อไป" ตั้งแต่ปี 2000 อย่างน้อย 38 ประเทศพบเห็นรายงานการทำหมันโดยไม่สมัครใจ โดยมีการบันทึกหลักฐานของกระบวนการในช่วงการคลอดลูกไว้ใน 14 ประเทศจากจำนวนนั้น "รัฐมีข้อผูกพันที่จะตรวจสอบรายงานเหล่านี้อย่างเป็นธรรมและมีประสิทธิผล พวกเขาต้องดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดและให้การเยียวยารักษาที่มีประสิทธิภาพและจ่ายค่าชดเชยให้กับเหยื่อทุกคน" ผู้ตรวจการพิเศษสหประชาชาติว่าด้วยสิทธิในสุขภาพกล่าว
|
มีอย่างน้อย 38 ประเทศพบเห็นรายงานการบังคับหรือข่มขู่ให้ทำหมัน หรือการทำหมันโดยไม่สมัครใจในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา โดยผู้หญิงบางคนอ้างว่า พวกเธอถูกทำหมันโดยไม่สมัครใจขณะคลอดลูก สหประชาชาติกำลังเรียกร้องให้มีการยุติการบังคับทำหมันและขอให้รัฐบาลต่าง ๆ ดำเนินคดีผู้ที่กระทำการเหล่านี้
|
international-40799627
|
https://www.bbc.com/thai/international-40799627
|
มนุษย์ต้องกลัวเอไอที่สร้างภาษาขึ้นใช้เองไหม ?
|
ในความเป็นจริงแล้ว หุ่นยนต์ไม่ได้พยายามทำลายล้างมนุษย์เหมือนในภาพยนตร์ หนังสือพิมพ์เดอะมิร์เรอร์ของอังกฤษพาดหัวว่า "ผู้เชี่ยวชาญเตือน สติปัญญาของหุ่นยนต์เป็นอันตราย" สื่ออื่น ๆ ต่างก็รายงานข่าวไปในทำนองเดียวกัน สื่อหัวสีบางสำนักถึงกับใช้ภาพประกอบข่าวเป็นรูปหุ่นยนต์ที่น่ากลัว ซึ่งเห็นกันจนชินตาจากภาพยนตร์แนววิทยาศาสตร์ อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญหลายคนยังสงสัยว่า เราควรจะตื่นกลัวตามกระแสข่าวที่น่าสะพรึงของปัญญาประดิษฐ์นี้มากน้อยแค่ไหน ? มนุษยชาติกำลังตกอยู่ในมหันตภัยใหญ่หลวงแล้วจริงหรือไม่ ? ต้นตอของข่าวนี้มาจากไหน เมื่อเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา เฟซบุ๊กรายงานว่ากำลังทำการวิจัยเพื่อพัฒนาโปรแกรมหุ่นยนต์สนทนาอัตโนมัติ หรือแชตบอตที่น่าสนใจอย่างยิ่ง โดยปัญญาประดิษฐ์ตัวนี้สามารถพูดคุยตอบโต้กับมนุษย์หรือเอไออื่น ๆ ด้วยข้อความตัวอักษรขนาดสั้นได้ ซึ่งรายงานข่าวนี้ได้รับการเผยแพร่ออกไปตามสื่อต่าง ๆ อย่างกว้างขวาง รายงานระบุว่า เฟซบุ๊กทดลองให้หุ่นยนต์สองตัวเจรจาต่อรองกันถึงเรื่องสิทธิความเป็นเจ้าของในสินค้าเสมือนจริงชิ้นหนึ่ง เพื่อศึกษาถึงอิทธิพลที่ภาษาศาสตร์มีต่อสถานการณ์ของคู่เจรจาแต่ละฝ่าย ซึ่งแชตบอตถูกตั้งโปรแกรมให้ทดลองใช้ภาษาในลักษณะต่าง ๆ หลายแบบ เพื่อดูว่าการพูดคุยแบบใดบ้างที่จะทำให้เป็นต่อในการเจรจาได้ ไม่กี่วันต่อมา มีรายงานข่าวว่าแชตบอตเริ่มใช้ภาษาแปลกประหลาดที่ฟังดูไม่เป็นภาษามนุษย์เจรจากัน เช่น "ฉันทำได้ ฉันสามารถ ฉันสิ่งอื่น ๆ ทุกสิ่งไหม ?" หรือ "ลูกบอลมีเลขศูนย์กับฉัน กับฉัน กับฉัน กับฉัน กับฉัน กับฉัน กับ" ภาษาประหลาดเหล่านี้เป็นที่มาของกระแสข่าวที่ว่า เอไอเริ่มประดิษฐ์ภาษาของตัวเองที่มนุษย์ไม่เข้าใจขึ้นใช้งานได้แล้ว ทั้งที่จริงเรื่องนี้เป็นผลมาจากการทำงานของ Neural Network (ระบบคอมพิวเตอร์ที่สร้างขึ้นโดยเลียนแบบการทำงานของสมองมนุษย์) ที่พยายามดัดแปลงภาษาคนเพื่อให้เกิดปฏิสัมพันธ์ที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในสายตาของระบบเท่านั้น แต่ข้อความเหล่านี้อาจดูหลอกหลอนน่ากลัวเหมือนคำพูดของหุ่นยนต์สังหาร สำหรับคนที่จินตนาการไปในทางลบ เฟซบุ๊กกำลังทดลองเอไอที่สามารถเจรจาต่อรองระหว่างกันได้ เหตุการณ์นี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ โดยกูเกิลรายงานว่าซอฟต์แวร์แปลภาษาของตนเคยทำเช่นนี้มาแล้ว ในระหว่างขั้นตอนการพัฒนาก่อนหน้านี้ โดยเป็นความพยายามของระบบที่จะเข้ารหัสบางอย่างในเชิงอรรถศาสตร์ (Semantics) ซึ่งเป็นการดัดแปลงระบบความหมายของประโยคนั้น ๆ ในเวลาต่อมาเฟซบุ๊กเผยว่า ได้ตัดสินใจปิดแชตบอตดังกล่าวลง เพราะไม่มีความสนใจที่จะพัฒนาปัญญาประดิษฐ์เพื่อใช้งานในเชิงดังกล่าวอีกต่อไป ไม่ใช่เพราะเกรงกลัวว่าเอไอได้เริ่มพัฒนาความสามารถที่มนุษย์ควบคุมไม่ได้ มนุษยชาติต้องคอยระแวงปัญญาประดิษฐ์ไหม ? ข่าวการปะทะคารมระหว่างบรรดาผู้นำในแวดวงเทคโนโลยี เช่นอีลอน มัสก์ กับมาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ในเรื่องที่ว่าเอไอจะให้คุณหรือให้โทษในอนาคต ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงใกล้เคียงกับข่าวภาษาประหลาดของแชตบอต ยิ่งทำให้มีการเผยแพร่ข่าวนี้ไปในทางที่น่าตื่นตกใจยิ่งขึ้น แม้กระแสข่าวดังกล่าวจะถูกบิดเบือนและไม่เป็นความจริงทั้งหมด แต่เป็นสิ่งสะท้อนอย่างดีถึงความกลัวเครื่องจักรของมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกปลูกฝังมาผ่านวัฒนธรรมความบันเทิงที่หุ่นยนต์ส่วนใหญ่มักเป็นตัวร้ายในภาพยนตร์เสมอ แชตบอทส์ได้รับการออกแบบมาให้มีหน้าที่ค่อนข้างจำกัด แต่ก็มีความพยายามลงโปรแกรมให้มีความคล้ายคลึงกับมนุษย์ในบางสถานการณ์ อีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้มนุษย์มีความกลัวเอไอ มาจากการที่ไม่สามารถทำความเข้าใจหรืออธิบายได้ทั้งหมดว่า เหตุใดเอไอจึงสร้างผลลัพธ์ที่แปลกประหลาดออกมาในบางครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่มีการติดตั้งให้เอไอตั้งแต่สองตัวขึ้นไปเชื่อมโยงสื่อสารกัน เช่นในกรณีของเฟซบุ๊กนี้ การที่ไม่สามารถทำนายผลลัพธ์การทำงานของเอไอได้ ทำให้เกิดความหวาดระแวงไม่ไว้วางใจเอไอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการมอบหมายให้ดูแลบริหารงานที่สำคัญต่อความเป็นความตาย เช่นการควบคุมอาวุธนิวเคลียร์ เรื่องดังกล่าวจึงเป็นที่มาให้มีการเร่งวางกรอบกำกับ และแนวทางจริยธรรมสำหรับการพัฒนาเอไอ ซึ่งจะเข้ามามีบทบาทใกล้ชิดในชีวิตประจำวันของมนุษย์หลายแง่มุมในไม่ช้านี้
|
เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา สื่อทั่วโลกประโคมข่าวน่ากลัวเกี่ยวกับอนาคตของปัญญาประดิษฐ์หรือเอไอ ที่เริ่มส่อแววจะเหมือนกับภาพยนตร์หุ่นยนต์ล้างโลกว่า เฟซบุ๊กต้องปิดใช้งานเอไอตัวหนึ่งที่กำลังพัฒนาอยู่ลง เพราะมันเริ่มสร้างภาษาขึ้นใช้เจรจาต่อรองกันเองระหว่างเอไอด้วยกันแล้ว
|
thailand-54807117
|
https://www.bbc.com/thai/thailand-54807117
|
โควิด-19 : รัฐมนตรีต่างประเทศฮังการีติดโควิด-19 ขณะเดินทางเยือนไทย
|
นายเปเตอร์ ซิยาร์โท เดินทางมาเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการในฐานะแขกของรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข เป็นผู้ออกมายืนยันข่าวนี้ และมีการเผยแพร่เนื้อหาผ่านกองโฆษกพรรคภูมิใจไทย ภายหลังระหว่างเดินทางไปเยี่ยมรัฐมนตรีผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่สถาบันบำราศนราดูร จ.นนทบุรี ทว่าเขาไม่ได้เปิดเผยชื่อของผู้ป่วย โดยบอกเพียงว่า "เป็นรัฐมนตรีจากประเทศหนึ่งในทวีปยุโรป" และการเข้าเยี่ยมในครั้งนี้ทำในฐานะ "ตัวแทนรัฐบาลที่ได้รับมอบหมายจาก พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข" นายอนุทินกล่าวว่า แขกของรัฐบาลรายนี้เดินทางมาพร้อมคณะ และเข้าสู่กระบวนการควบคุมโรคทันทีที่อยู่ในไทย โดยได้บรรยายขั้นตอนไว้ ดังนี้ นายอนุทินกล่าวด้วยว่า ส่วนคณะที่เดินทางมาด้วย ผลการตรวจไม่พบการติดเชื้อ ทั้งนี้ได้รับการประสานว่า จะมีเครื่องบินจากประเทศของทางรัฐมนตรีที่ติดเชื้อบินมาไทย 2 ลำภายในช่วงบ่ายวันนี้ ลำหนึ่ง เพื่อรับรัฐมนตรีกลับประเทศ อีกลำ เพื่อรับคณะทำงานของรัฐมนตรีกลับประเทศ เขายังขอย้ำว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้น อยู่ในความสามารถการรับมือของทางการไทย และถือเป็นอีกครั้งที่พิสูจน์ว่าระบบสาธารณสุขไทยเต็มเปี่ยมไปด้วยประสิทธิภาพในการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 เช่นเดียวกับกรณีหญิงชาวฝรั่งเศสที่พบการติดเชื้อเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา และใช้เวลาไม่ถึงสัปดาห์ สามารถรักษาจนไม่พบเชื้อในร่างกายได้ ด้าน พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวเพียงว่า ขอให้เกียรติซึ่งกันและกัน พร้อมดูแลรักษาให้เขาแข็งแรงปลอดภัยก่อนเดินทางกลับ และขออย่าไปตื่นตระหนก นายเปเตอร์ ซิยาร์โท วัย 42 ปี เดินทางมาเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการในฐานะแขกของรัฐบาล ระหว่างวันที่ 3-4 พ.ย.. โดยมีกำหนดการเข้าเยี่ยมคารวะ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ที่ทำเนียบรัฐบาล และหารือกับนายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.ต่างประเทศ ที่กระทรวงการต่างประเทศ ข้อมูลจากเว็บไซต์กระทรวงการต่างประเทศเผยหัวข้อในการหารือระหว่างรัฐมนตรีทั้ง 2 ประเทศ ว่าเกี่ยวกับแนวทางการส่งเสริมความร่วมมือที่ใกล้ชิด และการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 พร้อมระบุด้วยว่า "ในระหว่างการพำนักในไทย รมว.ต่างประเทศและการค้าฮังการี และคณะ จะปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคโควิด-19 ของฝ่ายไทยอย่างเคร่งครัด เพี่อความปลอดภัยด้านสาธารณสุขแก่ประชาชนชาวไทยโดยรวม" นายเปเตอร์ ซิยาร์โท ขณะเยือนกัมพูชา ก่อนเดินทางมาไทย นายเปเตอร์ ซิยาร์โท ได้เดินทางไปประเทศกัมพูชา โดยได้พบปะกับนายปรัก สุคน รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.ต่างประเทศและความร่วมมือระหว่างประเทศของกัมพูชา ที่สถานทูตฮังการีประจำกัมพูชา เมื่อ 3 พ.ย.
|
นายเปเตอร์ ซิยาร์โท รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศและการค้าฮังการี ถูกตรวจพบว่าติดเชื้อโควิด-19 ระหว่างเดินทางมาเยือนไทย ก่อนนั่งเครื่องบินส่วนตัวกลับประเทศบ่ายวันนี้
|
international-56527581
|
https://www.bbc.com/thai/international-56527581
|
ผู้หญิงอเมริกันเชื้อสายเอเชียเล่าประสบการณ์ถูกเลือกปฏิบัติจากสังคม
|
ซินดี เจิ่น กวีหญิง เล่าว่าเธอเติบโตมากับการถูกทำให้รู้สึกเหมือนไม่มีตัวตนในสังคม "ตั้งแต่เด็ก ฉันถูกมองข้ามทั้งทางร่างกายและอารมณ์" ประสบการณ์ดังกล่าวสอดคล้องกับของนักศึกษาอีกคนที่ชื่อ ไดแอน เหอ ซึ่งเล่าว่า "พวกเขามองว่าเราเป็นคนเงียบ ๆ ไม่มีปากเสียง เหมือนกับพวกเราแทบจะเลือนหายไปกับฉากหลัง" ซินดีบอกต่อว่า เธอมักเผชิญกับทัศนคติที่ว่าผู้หญิงเอเชียอ่อนแอ และเป็นวัตถุทางเพศ รวมทั้งความคิดที่ว่าผู้หญิงเอเชียเป็นหนี้สังคมและต้องคอยตอบสนองความต้องการของผู้อื่น ซึ่งหากความต้องการดังกล่าวไม่ได้รับการตอบสนองในทันที ก็จะมีบทลงโทษหรือถูกตัดขาดจากความสัมพันธ์ "เพื่อนของฉันเป็นมะเร็งสมอง...เขาถามว่าฉันจะยอมหลับนอนกับเขาก่อนที่เขาจะตายได้ไหม" ซินดีเล่า เซียน หว่อง ทนายความหญิงที่มาร่วมการชุมนุมต่อต้านอาชญากรรมจากความเกลียดชังในนิวยอร์ก บอกว่า "ผู้หญิงเอเชียไม่ได้อ่อนแอ ผู้หญิงเอเชียไม่ได้ขี้กลัว ผู้หญิงเอเชียไม่ใช่คนสงบปากสงบคำ" ขณะที่ ซูซาน ลี หญิงสูงวัยที่ร่วมชุมนุมในครั้งนี้อธิบายว่า ทัศนคติเหมารวมที่มองคนเอเชียว่าเป็นคนเงียบ ๆ ไม่มีปากมีเสียงนั้น อาจมาจากคนในรุ่นแม่และตายายของเธอที่มักจะมักเก็บงำเรื่องต่าง ๆ ไว้กับตัวเอง นอกจากนี้เธอยังบอกว่า กระแสความเกลียดชังคนเอเชียที่เพิ่มขึ้นขณะนี้ ทำให้หลายคนมีความคิดว่าคนเอเชียควรกลับประเทศบ้านเกิดไปให้หมดไม่ว่าบ้านจะเป็นที่ไหนก็ตาม "แต่พวกเขาไม่รู้ว่าบ้านเราคือที่นี่" เธอกล่าว ไดแอนบอกว่าปัญหาความเกลียดชังทางเชื้อชาติสามารถแก้ไขได้ด้วยการเปิดใจ และมองว่าเพื่อนร่วมชาติทุกคนไม่ว่าจะมีเชื้อชาติหรือสีผิวอย่างไร ต่างก็เป็นเพื่อนมนุษย์ร่วมโลกด้วยกันทั้งสิ้น "ฉันอยากให้คนอเมริกันหรือผู้คนทั่วไป มองผู้หญิงเอเชียเหมือนคนอื่นทั่วไป เพราะรากฐานของเรื่องนี้คือการที่เราต่างเป็นมนุษย์ เราต่างมีครอบครัว เราต่างมีคนที่เรารัก เราต่างอยากมีความสุข มีความห่วงใยให้ผู้อื่น" ช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมามีเหตุทำร้ายคนอเมริกันเชื้อสายเอเชียเกิดขึ้นหลายครั้งในสหรัฐฯ ท่ามกลางกระแสความเกลียดชังทางเชื้อชาติที่ทวีความรุนแรงขึ้นหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งคนเอเชียถูกกล่าวหาว่าเป็นต้นตอของการแพร่เชื้อไวรัสชนิดนี้ เมื่อเดือน ม.ค. ที่ผ่านมา นายวิชา รัตนภักดี ชายไทยวัย 84 ปี ที่อาศัยอยู่ในนครซานฟรานซิสโก ถูกคนร้ายผลักล้มจนได้รับบาดเจ็บสาหัสบริเวณบ้านพักของเขา และเสียชีวิตในอีกสองวันต่อมา ในเดือน มี.ค. มีหญิงเอเชีย 6 คนเสียชีวิต ในเหตุกราดยิงร้านสปา 3 แห่งที่เมืองแอตแลนตา รัฐจอร์เจีย รวมทั้งกรณีของนางเซี่ย เสี่ยวเจิ้น หญิงชราวัย 76 ปี ที่ถูกชายแปลกหน้าชกเข้าที่ใบหน้าอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยขณะยืนรอข้ามถนนในนครซานฟรานซิสโก ปัญหาที่เกิดขึ้นส่งผลให้ล่าสุดประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐฯ เรียกร้องให้ชาวอเมริกันร่วมต่อต้านความเกลียดชัง โดยเตือนว่า "การเงียบของเราคือการสมรู้ร่วมคิด" "การเหยียดสีผิวเป็นยาพิษที่ตามหลอกหลอนและคุกคามประเทศเรามานาน ชาวอเมริกันต้องร่วมกันทำให้มันหมดสิ้นไป" นายไบเดนกล่าว
|
กระแสเกลียดชังชาวเอเชียที่กำลังลุกลามในสหรัฐฯ ทำให้กลุ่มคนอเมริกันเชื้อสายเอเชียออกมาต่อต้านอาชญากรรมและความรุนแรงต่อชาวเอเชียทั่วประเทศ และบีบีซีได้ถามผู้ร่วมชุมนุมบางคนถึงชีวิตของพวกเธอในฐานะผู้หญิงเอเชียที่อาศัยอยู่ในอเมริกา
|
international-54076543
|
https://www.bbc.com/thai/international-54076543
|
นักวิทยาศาสตร์คาดศตวรรษนี้จะมีสัตว์สูญพันธุ์อย่างน้อย 550 สายพันธุ์
|
กลยุทธ์ด้านการอนุรักษ์ที่เหมาะสมช่วยรักษาชะนีมือขาวที่เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ไว้ได้ นักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ว่า สัตว์อย่างน้อย 550 สายพันธุ์จะสูญพันธุ์ตามรอยช้างแมมมอธ และเสือเขี้ยวดาบ (sabre-toothed cat) พวกเขากล่าวว่า การสูญหายไปของสัตว์แต่ละสายพันธุ์จะทำให้ส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ธรรมชาติของโลกสูญหายไปด้วย แม้ว่าการพยากรณ์นี้จะดู "น่ากลัว" แต่เราก็สามารถรักษาสัตว์หลายร้อยสายพันธุ์ไว้ได้ด้วยการเพิ่มความพยายามในการอนุรักษ์มากขึ้น งานวิจัยใหม่ที่ตีพิมพ์ในวารสาร Science Advances ระบุว่า มนุษย์เกือบจะเป็นต้นเหตุทั้งหมดของการสูญพันธุ์ของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา และอัตราการสูญพันธุ์จะเพิ่มมากขึ้นในอนาคต ถ้าเราไม่ลงมือทำอะไรในตอนนี้ โทเบียส แอนเดอร์แมนน์ จากศูนย์ความหลากหลายทางชีวภาพโลกโกเทนเบิร์ก (Gothenburg Global Biodiversity Centre) และมหาวิทยาลัยโกเทนเบิร์ก (University of Gothenburg) กล่าวว่า แม้ว่าจะมีการคาดการณ์ถึงเหตุการณ์ที่ "น่าตกใจ" ที่อาจจะเกิดขึ้น แต่เราก็ยังสามารถรักษาสัตว์ไว้ได้หลายร้อยสายพันธุ์หรืออาจจะร่วมพันสายพันธุ์ ด้วยการใช้กลยุทธ์ด้านการอนุรักษ์ที่มีประสิทธิภาพและมีความเจาะจงเป้าหมายมากขึ้น โทเบียส ระบุว่า "ในการทำให้ได้ตามนี้ เราต้องทำให้ส่วนรวมตระหนักรู้เพิ่มมากขึ้นเกี่ยวกับวิกฤตความหลากหลายทางชีวภาพที่มีเค้าว่าจะรุนแรงขึ้น และดำเนินการต่อสู้กับปัญหาฉุกเฉินของโลกในเรื่องนี้" "เวลากำลังกดดันเรา" เขากล่าว "สัตว์แต่ละสายพันธุ์ที่สูญหายไป ก็จะทำให้เราจะสูญเสียประวัติศาสตร์ธรรมชาติของโลกที่มีลักษณะเฉพาะไปด้วยส่วนหนึ่ง" หัวกะโหลกของช้างแมมมอธที่การประมูลในนครนิวยอร์ก สัตว์อีกหลายสายพันธุ์อาจจะสูญพันธุ์ตามช้างแมมมอธไป นักวิทยาศาสตร์ได้รวบรวมชุดข้อมูลขนาดใหญ่ที่ได้มาจากซากฟอสซิล ซึ่งช่วยบอกถึงช่วงเวลาและขนาดของการสูญพันธุ์ก่อนนี้ การจำลองโดยใช้คอมพิวเตอร์พบว่า เมื่อคำนวณจากความเสี่ยงของสัตว์สายพันธุ์ต่าง ๆ ในปัจจุบัน อัตราการสูญพันธุ์จะเพิ่มสูงขึ้นอย่างมากในปี 2100 จากแบบจำลองเหล่านี้พบว่า การสูญพันธุ์ที่เกิดขึ้นในศตวรรษที่ผ่าน ๆ มาถือว่าเป็นเพียงยอดของภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น เมื่อเทียบกับการสูญพันธุ์ที่อาจจะเกิดขึ้นในช่วงหลายทศวรรษข้างหน้านี้ ศาสตราจารย์ซามูเอล เทอร์เวย์ จากสมาคมสัตววิทยาลอนดอน (Zoological Society of London—ZSL) กล่าวว่า "การทำความเข้าใจเรื่องผลกระทบในอดีตของเราที่มีต่อความหลากหลายทางชีวภาพเป็นเรื่องสำคัญที่ช่วยทำให้เข้าใจถึงสาเหตุที่สัตว์บางสายพันธุ์และระบบนิเวศบางแห่งมีความเสี่ยงจากกิจกรรมของมนุษย์มากเป็นพิเศษ ซึ่งหวังว่าจะช่วยทำให้เราพัฒนามาตรการด้านการอนุรักษ์ที่มีประสิทธิผลมากขึ้น ในการต่อสู้กับการสูญพันธุ์" ปีที่แล้ว คณะนักวิทยาศาสตร์ระหว่างประเทศ กล่าวว่า สัตว์และพืช 1 ล้านสายพันธุ์เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ นักวิทยาศาสตร์ เตือนว่า เรากำลังเข้าสู่การสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ครั้งที่ 6 ทุกอย่างที่เรากำลังทำอยู่ในปัจจุบันจะเป็นตัวกำหนดอนาคตของมนุษยชาติ
|
นักวิทยาศาสตร์คำนวณจำนวนสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่อาจจะสูญพันธุ์ในช่วงศตวรรษนี้ โดยใช้ข้อมูลจากซากฟอสซิลของสิ่งมีชีวิตที่สูญพันธุ์ไปในอดีต
|
thailand-52989763
|
https://www.bbc.com/thai/thailand-52989763
|
โควิด-19 : ศบค.เปิดรายชื่อกิจการ กิจกรรม "เสี่ยงสูง" ที่จะกลับมาเปิดช่วงผ่อนปรนระยะ 4 คาดเริ่ม 15 มิ.ย.
|
นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. กล่าวในการแถลงข่าวประจำวันนี้ (10 มิ.ย.) ว่าที่ประชุมคณะกรรมการเฉพาะกิจพิจารณาการผ่อนคลายการบังคับใช้มาตรการในการป้องกันและยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ "ศบค.ชุดเล็ก" ได้เห็นชอบร่างมาตรการผ่อนคลายการบังคับใช้กฎหมายในระยะที่ 4 เพื่อป้องกันและยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ซึ่งอนุญาตให้กิจกรรม/กิจการในกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงกลับมาเปิดบริการหรือดำเนินการได้แต่ต้องปฏิบัติตามแนวทางการควบคุมโรคอย่างเคร่งครัด ในมาตรการฉบับร่างนี้มีกิจการและกิจกรรมที่ได้รับอนุญาตให้กลับมาดำเนินการหลัก ๆ 6 กลุ่ม ได้แก่ 1. โรงเรียนนานาชาติและสถาบันกวดวิชากลับมาเปิดการเรียนการสอนได้ แต่โรงเรียนภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงศึกษาธิการยังคงกำหนดเปิดเรียนวันที่ 1 ก.ค. 2. อนุญาตให้ดื่มสุราและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในภัตตาคาร สวนอาหาร โรงแรม ร้านอาหารหรือร้านเครื่องดื่มทั่วไปได้ แต่ต้องเป็นไปตามกฎหมายที่กำหนดและอยู่ภายใต้การควบคุมของหน่วยงานที่รับผิดชอบ และงดกิจกรรมการส่งเสริมการขาย ทั้งนี้สถานประกอบการ ผับ บาร์ คาราโอเกะ ยังคงปิดต่อไปเนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อการติดต่อของโรคเป็นกลุ่มก้อนใหญ่ อย่างเช่นที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในผับบาร์ย่านทองหล่อ เนื่องจากลูกค้าส่วนใหญ่จะใช้เวลาอยู่ในสถานที่เหล่านี้นาน ขณะที่ร้านอาหารมีความเสี่ยงน้อยกว่า และหากปิดดำเนินการต่อไปจะส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจในวงกว้างกว่าสถานประกอบการประเภทผับ-บาร์ สถานบริการอาบอบนวดยังต้องปิดต่อไปในช่วงการผ่อนปรนระยะที่ 4 3. อนุญาตให้มีการจัดประชุม อบรม สัมมนา จัดเลี้ยง งานอีเวนต์ เปิดตัวสินค้า ประกวด แข่งขันกีฬา แต่ต้องนั่งหรือยืนห่างกันอย่างน้อย 1 เมตร นอกจากนี้ยังอนุญาตให้จัดงานแสดงดนตรีและคอนเสิร์ตได้ แต่คนเข้าร่วมต้องไม่แออัดหนาแน่น คือ ต้องจัดให้มีพื้นที่ตามเกณฑ์ 5 ตร.ม./คน 4. สถานพัฒนาเด็กปฐมวัย ศูนย์เด็กเล็ก สถานรับเลี้ยงเด็กเล็กรายวัน ศูนย์การเรียนสำหรับเด็กพิเศษ และสถานดูแลผู้สูงอายุรายวันเปิดให้บริการได้ 5. บริการขนส่งสาธารณะทุกประเภทให้มีการผ่อนคลายมากขึ้น เช่น ให้ผู้โดยสารนั่งติดกันได้ 2 ที่นั่ง เว้น 1 ที่นั่ง แต่ต้องจำกัดจำนวนไม่เกิน 70% ความจุผู้โดยสารตามมาตรฐาน 6. กิจกรรมและสถานที่อื่น ๆ ที่กลับมาเปิดบริการและให้ผ่อนคลายมาตรการเพิ่มเติม เช่น ท้องฟ้าจำลอง กิจการถ่ายภาพยนตร์และวิดีทัศน์รายการโทรทัศน์ กิจกรรมในสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ สนามกีฬา สระว่ายน้ำ สวนน้ำ สวนสนุก (ยกเว้นบ้านบอล) สปา (แต่อาบอบนวดยังไม่เปิดให้บริการ) "นี่เป็นเพียงฉบับร่าง อาจจะมีการปรับเปลี่ยน ยกเลิก หรือ เพิ่มเติม ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ ที่ประชุมศบค.ชุดใหญ่ที่จะมีขึ้นในวันศุกร์นี้ (12 มิ.ย.)" โฆษกศบค.กล่าว นพ.ทวีศิลป์กล่าวเพิ่มเติมว่า ที่ประชุม ศบค.ชุดเล็กในวันนี้ ยังไม่มีการพูดคุยเรื่องการทดลองยกเลิกเคอร์ฟิว ตามที่มีสื่อมวลชนบางส่วนรายงาน สำหรับประเด็นการเปิดต้อนรับชาวต่างชาติเข้ามาท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ มีการพิจารณาหลายรูปแบบ หนึ่งในนั้น มีแนวความคิดแบบ "Travel Bubble" ซึ่งจะพิจารณาให้กลุ่มที่มี work permit เข้ามาในประเทศอย่างปลอดภัย แต่ต้องมีการพิจารณาทั้งด้านลบและบวกให้ถ้วนถี่ก่อนการตัดสินใจ พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 เพิ่ม 4 ราย นพ.ทวีศิลป์ เปิดเผยถึงสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ในประเทศว่า ในวันนี้พบผู้ป่วยรายใหม่ 4 ราย ทั้งหมดเป็นผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศและอยู่ในศูนย์กักกันโรคที่รัฐจัดให้ ผู้ป่วยรายใหม่ 4 ราย ได้แก่ รายที่ 1 เดินทางมาจากมาดากัสการ์ เป็นชายไทยอายุ 44 ปี อาชีพเป็นพนักงานบริษัทและพักในแคมป์ที่มีคนหลายเชื้อชาติเดินทางมาถึงไทยวันที่ 3 มิ.ย.และเข้าพักที่ศูนย์กักกันโรคในกรุงเทพฯ รายที่ 2 เดินทางมาจากปากีสถาน เป็นหญิงอายุ 34 ปี สามีเป็นชาวปากีสถาน มีสมาชิกในครอบครัวป่วยถึง 5 คน รวมทั้งสามีของเธอด้วย เดินทางมาถึงไทยวันที่ 6 มิ.ย. และเข้าพักที่ศูนย์กักของรัฐในกรุงเทพฯ รายที่ 3 และ 4 เดินทางมาจากอินเดีย ทั้งคู่เป็นหญิงอายุ 35 ปี โดยหนึ่งรายมีอาชีพเป็นพนักงานร้านนวดเดินทางมาถึงไทย วันที่ 4 มิ.ย. เข้าพักที่ศูนย์กักกันโรคใน จ.ชลบุรี จนถึงขณะนี้ ไทยมีผู้ป่วยสะสมรวม 3,125 ราย รักษาหายแล้ว 2,981 ราย และยังมีผู้ที่ยังคงรักษาตัวในโรงพยาบาลอยู่ 86 ราย มีผู้เสียชีวิต 58 ราย
|
ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) เปิดรายชื่อกิจการและกิจกรรมที่จะได้รับอนุญาตให้กลับมาเปิดบริการในช่วงมาตรการผ่อนปรนระยะที่ 4 ซึ่งคาดว่าจะเริ่มในวันที่ 15 มิ.ย.นี้
|
international-48270800
|
https://www.bbc.com/thai/international-48270800
|
พืชที่ทนทานที่สุดในโลก อายุ 32,000 ปี และอาจอยู่รอดบนดาวอังคาร
|
พืชบางชนิดมีความทนทาน และอยู่รอดได้ในสภาพที่เลวร้าย ความทนทานเหล่านี้ ดึงดูดให้นักวิทยาศาสตร์เข้ามาสำรวจว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะส่งผลกระทบต่อความสามารถของเราในการเพิ่มปริมาณอาหาร และบรรดาพืชผลต่าง ๆ สามารถปรับตัวเข้ากับสภาวะที่เปลี่ยนแปลงไปได้อย่างไร แต่อะไรทำให้พืชชนิดหนึ่ง มีโอกาสอยู่รอดได้มากกว่าพืชอีกชนิดหนึ่ง เจมส์ หว่อง นักพฤกษศาสตร์และผู้ดำเนินรายการของบีบีซี ค้นหาคำตอบนี้ และเขาได้ค้นพบข้อเท็จจริงที่น่าประหลาดใจหลายอย่างเกี่ยวกับพืชที่ทนทานที่สุดในโลกบางชนิด 1. โคลนนิ่งคือกุญแจของการมีอายุยืนยาว การโคลน ทำให้ต้นไม้มีอายุยืนยาว ต้นไม้ที่ยังมีชีวิตอยู่ที่อายุมากที่สุดในโลก คาดว่าเป็นต้นสนบริสเติลโคน (bristlecone pine) ทางตะวันออกของรัฐแคลิฟอร์เนีย โดยถูกระบุว่ามีอายุ 5,062 ปี ในปี 2012 ต้นไม้บางชนิดมีเคล็ดลับในการทำให้พวกมันมีอายุยืนยาวมากขึ้น นั่นก็คือ โคลนนิ่ง พวกมันโคลนตัวเอง และอาศัยอยู่ในสิ่งที่เรียกว่า อาณาจักรโคลน ซึ่งหมายถึงต้นไม้ที่มีลักษณะทางพันธุกรรมเหมือนกัน และเชื่อมต่อกันด้วยระบบรากเดียวกัน อาณาจักรโคลนเหล่านี้ อยู่รอดมาได้หลายพันปี อาณาจักรแพนโด (Pando colony) ในรัฐยูทาห์ของสหรัฐฯ ถูกประเมินว่ามีอายุ 80,000 ปี ขณะที่ต้นโอ๊กจูรูพา (Jurupa Oak) ในรัฐแคลิฟอร์เนีย คาดว่ามีอายุราว 13,000 ปี 2. 'หินมีชีวิต' สามารถปกป้องพืชผลทางการเกษตรได้ ไลทอป เป็น สัตว์, พืช, หรือแร่ธาตุ? ไลทอป รู้จักกันในอีกชื่อว่า "หินมีชีวิต" คุณจะต้องเห็นมันจึงจะเข้าใจว่าทำไมมันจึงถูกเรียกเช่นนี้ พวกมันดูเหมือนก้อนหินมากกว่าสิ่งมีชีวิต แต่สิ่งมีชีวิตที่น่าทึ่งซึ่งมีต้นกำเนิดมาจากทางใต้ของแอฟริกาชนิดนี้ จริง ๆ แล้ว คือพืช พวกมันมีส่วนสำคัญต่อพืชผลทางการเกษตร พืชเหล่านี้ สามารถอยู่รอดในสภาวะที่รุนแรงในทะเลทราย และภูมิประเทศที่เป็นหิน ด้วยการพรางตัวป้องกันตัวเองจากการถูกกิน แม้ว่า พวกมันจะเติบโตอยู่ใต้ดินเป็นส่วนใหญ่ ไลทอปมีผิวด้านบนที่โปร่งแสง ทำให้แสงอาทิตย์ผ่านเข้าไปได้ และถูกแปลงเป็นพลังงาน นักวิจัยหวังว่า การเข้าใจความสามารถของไลทอป จะช่วยในเรื่องการควบคุมแสงจ้าเหนือพื้นดิน และแสงน้อยใต้พื้นดิน ซึ่งอาจจะช่วยเราพัฒนาพืชผลทางการเกษตรในอนาคตได้ 3. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อาจทำให้กาแฟถูกแทนที่ด้วยโกโก้ กาแฟอาจถูกแทนที่ด้วยโกโก้ อุณหภูมิที่สูงขึ้นอาจทำให้เมล็ดกาแฟส่วนใหญ่ตายหมด พืชที่ทนทานมากกว่าจะเข้ามาแทนที่ นั่นก็คือ โกโก้ นักวิทยาศาสตร์ ได้ยืนยันว่า กาแฟพันธุ์อาราบิกาสามารถอยู่รอดได้อย่างไร ในสภาพอากาศที่ร้อนขึ้น และไวต่อการเป็นราสนิม (leaf rust) ซึ่งเป็นโรคทางพืชที่สร้างความเสียหายต่อการปลูกกาแฟจำนวนมากแถบอเมริกากลางในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ขณะที่อุณหภูมิสูงขึ้น การปลูกกาแฟในพื้นที่ที่ต่ำลงมากำลังเผชิญกับปัญหาในการผลิตกาแฟที่มีคุณภาพ ส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของผู้คนหลายพันคน ดังนั้น เกษตรกรในนิการากัว, ฮอนดูรัส และเอล ซัลวาดอร์ กำลังหันไปปลูกโกโก้แทน ซึ่งเป็นพืชที่ทนทานและเติบโตได้ในสภาพอากาศร้อน ไม่ต้องแปลกใจ ถ้าเอสเปรสโซที่คุณดื่มในตอนเช้า จะถูกแทนที่ด้วยช็อกโกแลตร้อน ในอีก 2-3 ปี 4. ต้นไม้บางชนิดแพร่พันธุ์ไปพร้อมกับไฟป่า พืชทนไฟ อย่าง ต้นยูคาลิปตัส ชอบไฟ ต้นยูคาลิปตัสไม่เพียงแต่ทนทาน พวกมันยังอันตรายด้วย พวกมันจัดอยู่ในประเภทของพืชทนไฟ หรือ ไพโรไฟต์ (pyrophyte) ซึ่งเป็นภาษากรีกโบราณแปลว่า "พืชไฟ" พวกมันปรับตัวให้ทนต่อไฟ และบางครั้งก็จำเป็นต้องใช้ไฟในการอยู่รอดและแพร่พันธุ์ พืชที่ทำให้เกิดไฟป่าตามธรรมชาติเหล่านี้ ผลิตยางไม้และน้ำมันที่ไวไฟ ใบไม้และเปลือกไม้แห้งร่วงหล่นลงบนพื้น ง่ายต่อการติดไฟ ทำให้เกิดไฟป่าที่สร้างความเสียหายรุนแรง เมื่อเกิดไฟป่าขึ้น ต้นไม้อย่างยูคาลิปตัส หรือต้นสนบางประเภทจะเติบโต ความร้อนจะกระตุ้นฝักของพวกมัน ขณะที่พืชชนิดอื่นเผชิญกับปัญหาในการกลับมางอกขึ้นใหม่ แต่ต้นอ่อนของยูคาลิปตัสกลับงอกงามบนพื้นดินที่ถูกเผาไหม้ นอกจากนี้ การที่ต้นไม้ใหญ่ถูกไฟเผาไหม้ไปจำนวนมาก ทำให้ต้นอ่อนบนพื้นดินในป่าได้รับแสงเพิ่มขึ้น 5. พืชสามารถปรับตัวกับสภาวะที่มีสารปนเปื้อนนิวเคลียร์ได้ พืชสามารถปรับตัวหลังจากเกิดภัยพิบัตินิวเคลียร์ แต่มนุษย์ไม่ควรเก็บเบอร์รีและเห็ดจากพื้นที่ที่ปนเปื้อนสารกัมมันตรังสีมารับประทาน สารกัมมันตรังสี ส่งผลกระทบต่อเซลล์สิ่งมีชีวิตและสร้างความเสียหายต่อดีเอ็นเอ ดังนั้น คุณอาจคิดว่า พืชคงจะไม่สามารถอยู่รอดได้ หลังเกิดอุบัติเหตุนิวเคลียร์ แต่นักวิทยาศาสตร์ซึ่งสอบสวนผลกระทบจากเหตุหายนภัยเชอร์โนบิลปี 1986 ค้นพบว่า ไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไป จากการทดลองปลูกถั่วเหลืองและป่าน พวกเขาพบว่า พืชเหล่านี้สามารถปรับสภาพทางชีววิทยา เพื่อให้เติบโตได้ในสภาพแวดล้อมที่มีสารปนเปื้อน นักวิจัย เชื่อว่า ความสามารถในการปรับตัวเพื่อบรรเทาผลกระทบจากสารตกค้างนิวเคลียร์ น่าจะพัฒนามาเมื่อหลายล้านปีก่อน ขณะที่โลกมีระดับสารกัมมันตรังสีสูงกว่านี้มาก 6. เมล็ดพืชอยู่รอดได้นาน 32,000 ปี การเก็บรักษาพืชไว้เพื่ออนาคต? คุณสามารถฝังเมล็ดพืชไว้ในชั้นดินเยือกแข็ง หรือมอบให้กับ ธนาคารเมล็ดพืชมิลเลนเนียม (Millennium Seed Bank) ในคิวการ์เดนของสหราชอาณาจักร ซึ่งมีพืชป่าสายพันธุ์ต่าง ๆ ทั่วโลกราว 10% นักวิจัยชาวรัสเซียได้ทำให้พืชที่สูญพันธุ์ไปแล้วกลับมามีชีวิตอีกครั้ง ด้วยการใช้เมล็ดพันธุ์ที่ถูกกระรอกฝังไว้เมื่อ 32,000 ปีก่อน ดอก สลีน สเต็นโอฟิลลา (silene stenophylla) ดอกไม้ที่ชอบสภาพอากาศหนาวเย็น ถูกพบริมฝั่งแม่น้ำที่เย็นเป็นน้ำแข็งในไซบีเรีย นักวิทยาศาสตร์ได้นำเนื้อเยื่อจากเมล็ดพันธุ์ที่พบ และใช้มันในการเพาะพันธุ์ขึ้นมาใหม่ ซึ่งหลังจากนั้นพวกมันก็ขยายพันธุ์ได้เอง ผู้เชี่ยวชาญหวังว่า นี่อาจจะเป็นพืชที่สูญพันธุ์ไปแล้วสายพันธุ์แรก จากจำนวนหลายสายพันธุ์ที่ถูกชุบชีวิตขึ้นมา จากซากที่ถูกเก็บอยู่ในชั้นดินที่เป็นน้ำแข็งของอาร์กติก 7. สิ่งมีชีวิตที่เหมือนพืชอาจเติบโตได้บนดาวอังคาร ไลเคนเหล่านี้จะอยู่รอดบนดาวอังคารหรือไม่ ข้อสุดท้ายนี้ ไม่ได้เกี่ยวกับพืชเท่านั้น แต่ยังรวมถึงสิ่งมีชีวิตพื้นฐานบางอย่าง ที่อาจเปิดทางสู่การอยู่รอดของพืช อย่าง ไลเคน และ ไซยาโนแบคทีเรีย มีสายพันธุ์ไลเคนที่ได้รับการระบุชื่อหลายพันสายพันธุ์ทั่วโลก (อาจมีมากถึง 17,000 สายพันธุ์) บางสายพันธุ์ดูคล้ายมอส หลายสายพันธุ์อาจถูกเข้าใจผิดว่าเป็นพืชสมัยดึกดำบรรพ์ แต่ความเป็นจริง พวกมันไม่ใช่ ไลเคน เกิดจากสิ่งมีชีวิต 2 ชนิดประกอบกัน คือ รา และสาหร่าย ซึ่งอยู่ร่วมกันในภาวะพึ่งพิงซึ่งกันและกัน เพื่อสร้างชีวิตรูปแบบใหม่ขึ้นมา ไซยาโนแบคทีเรีย มีความพื้นฐานมากกว่า แต่ก็ไม่ได้มีความน่าสนใจน้อยไปกว่ากัน มันประกอบด้วยแบคทีเรียชนิดหนึ่งที่สร้างพลังงานด้วยการสังเคราะห์แสง ซึ่งเป็นกระบวนการทางเคมีที่เปลี่ยนแสงให้เป็นอาหาร เหมือนกับที่พืชจริง ๆ ทำ ทีมนักวิทยาศาสตร์ในเยอรมนี คิดว่า ทั้งไลเคนและไซนาโนแบคทีเรีย อาจทนทานมากพอที่จะอยู่รอดได้บนดาวอังคาร พวกเขาได้สร้างสภาพบนดาวเคราะห์สีแดง รวมถึงการแผ่รังสีที่ร้อนแรงจากดวงอาทิตย์, อุณหภูมิที่ผันผวน, ความแห้งแล้ง และความกดอากาศที่ต่ำ เพื่อทดสอบว่า สิ่งมีชีวิตที่อยู่ในยุคก่อกำเนิดโลกที่มีความทนทานแข็งแกร่งเหล่านี้จะอยู่รอดหรือไม่ ผลปรากฏว่า พืชสายพันธุ์ต่าง ๆ เหล่านี้ ไม่เพียงแต่อยู่รอดเท่านั้น แต่ยังเติบโตได้ มีการสังเคราะห์แสง และเกิดกิจกรรมของพืชขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นประจำด้วย บทความนี้ดัดแปลงมาจากเนื้อหาในรายการ Costing the Earth รายการวิทยุของบีบีซี
|
พืชบางชนิดมีความทนทานมาก พวกมันอยู่รอดได้ในสภาวะที่แทบไม่มีออกซิเจน หรือมีอุณหภูมิที่สุดขั้ว
|
international-55268000
|
https://www.bbc.com/thai/international-55268000
|
เบร็กซิท : นายกฯอังกฤษเตือนประชาชนให้รับมือภาวะไร้ข้อตกลงการค้ากับอียูหลังสิ้นปีนี้
|
นายบอริส จอห์นสัน กล่าวว่า แม้การเจรจากับสหภายุโรปยังดำเนินต่อไป แต่เส้นตายวันที่ 31 ธ.ค. กำลังใกล้เข้ามา ซึ่งภาคธุรกิจและสาธารณชนต้องเตรียมพร้อมรับมือกับภาวะไร้ข้อตกลงใหม่ คำประกาศของนายจอห์นสันมีขึ้นหลังการหารือกับนางเออร์ซูลา ฟอน เดอร์ เลเยน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป (อีซี) ในกรุงบรัสเซลส์ เมื่อวันพุธ ไม่ช่วยให้ทั้ง 2 ฝ่ายบรรลุข้อตกลง ทั้งที่คณะผู้เจรจาต่อรองกันมาแล้วหลายสัปดาห์ แต่ติดขัดในหลายประเด็นสำคัญ เช่น การประมง และกฎระเบียบเรื่องการแข่งขัน "จนถึงขณะนี้ ผมต้องพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า เรายังไม่บรรลุข้อตกลง" นายจอห์นสันแถลง แม้ทั้ง 2 ฝ่ายได้ประกาศว่าภายในวันอาทิตย์จะมีคำวินิจฉัยสุดท้ายออกมาร่วมกันไม่ว่าจะได้ข้อตกลงใหม่หรือไม่ จะเกิดอะไรขึ้นบ้างหลังสหราชอาณาจักรแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป นายจอห์นสันแถลงด้วยว่าคณะผู้เจรจาของอังกฤษพร้อมที่จะ "ทำเพิ่ม" และหากจำเป็น ตัวเขาก็พร้อมเดินทางไปกรุงปารีสหรือกรุงเบอร์ลินเพื่อการหารือเพิ่มเติมกับผู้นำรัฐบาลในเมืองเหล่านี้ นายจอห์นสันกล่าวหาอียูว่า พยายาม "ล็อก" สหราชอาณาจักร ให้ตกอยู่ในระบบกฎหมายยุโรป มิฉะนั้น ก็จะต้องเผชิญกับบทลงโทษ เช่นการเก็บภาษีสินค้าขาเข้า ข้อเสนอเหล่านี้ ทำให้อังกฤษยังต้องตกเป็น "ฝาแฝด" ของอียู ซึ่งเป็นองค์กรที่ประกอบไปด้วยสมาชิก 27 ประเทศ เบร็กซิท กับ ประเด็นพื้นฐาน เขาเสริมด้วยว่า ด้วยทิศทางการเจรจาในขณะนี้ เป็นเรื่องจำเป็นยิ่งที่สหราชอาณาจักรต้องเตรียมรับมือกับ "ทางเลือกแบบออสเตรเลีย" ซึ่งในขณะนี้ยังไม่บรรลุข้อตกลงเขตการค้าเสรีกับอียู รัฐบาลออสเตรเลียอยู่ระหว่างการเจรจากับอียูเพื่อให้บรรลุข้อตกลงเขตการค้าเสรี โดยการค้าของ 2 ฝ่ายใช้กติกาขององค์กรการค้าโลก (WTO) หากสหราชอาณาจักรหันมาใช้กติกาของ WTO ในการค้ากับอียูหลัง 31 ธ.ค. จะมีการนำระบบภาษีนำเข้า-ส่งออกมาใช้ ซึ่งจะส่งผลให้อังกฤษต้องซื้อสินค้าจากอียูในราคาที่สูงขึ้น และสินค้าอังกฤษที่ส่งไปขายในอียูมีราคาสูงขึ้นเช่นกัน ขณะเดียวกัน ทางอียูได้เตรียมมาตรการรับมือกับกรณีที่ไม่สามารถบรรลุข้อตกลงการค้ากับสหราชอาณาจักรได้ โดยมาตรการเหล่านี้มีขึ้นเพื่อให้การคมนาคมทางบกและทางอากาศระหว่าง 2 ฝ่าย ยังเป็นไปได้ราบรื่นตามปกติหลัง 31 ธ.ค. และรวมถึงการเปิดโอกาสให้ชาวประมงของทั้ง 2 ฝ่าย เข้าไปทำประมงในน่านน้ำของอีกฝั่งได้ไปอีก 1 ปี หรือ จนกว่าจะบรรลุข้อตกลงการค้าฉบับใหม่
|
นายกฯอังกฤษ เตือนประชาชนให้เตรียมรับมือภาวะไร้ข้อตกลงการค้ากับสหภาพยุโรป (อียู) ฉบับใหม่ หลังอังกฤษยุติการปฏิบัติตามข้อตกลงเดิมกับอียูในวันที่ 31 ธ.ค. นี้
|
international-45054471
|
https://www.bbc.com/thai/international-45054471
|
ลีเมอร์เกือบทั้งหมด อาจจะกำลังสูญพันธุ์ไปจากโลก
|
ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า ลีเมอร์ 105 จาก 111 ชนิด กำลังอยู่ในภาวะเสี่ยงสูญพันธุ์ กลุ่มนักอนุรักษ์นานาชาติ ซึ่งนำโดย กลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านสัตว์ตระกูลไพรเมต (Primate Specialist Group) เปรียบเทียบจำนวนประชากรของลีเมอร์ที่หลงเหลืออยู่ กับภัยต่าง ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตและถิ่นอาศัยของพวกมัน และได้ข้อสรุปว่า เหล่าลีเมอร์เป็นสัตว์ตระกูลไพรเมตที่เสี่ยงสูญพันธุ์ที่สุดในโลก อะไรทำให้ลีเมอร์ใกล้สูญพันธุ์ ? ในแถลงการณ์ของกลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านสัตว์ตระกูลไพรเมต นายรัสเซลล์ มิตเทอร์ไมเออร์ จากองค์กรอนุรักษ์สัตว์ป่าโลก (Global Wildlife Conservation) กล่าวว่า ข้อสรุปนี้ทำให้เห็นว่า "มีความเสี่ยงสูงมาก ที่บรรดาลีเมอร์อันมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวประจำมาดากัสการ์จะสูญพันธุ์" และเป็นสัญญาณเตือนถึงภัยคุกคามต่อทั้งระบบนิเวศบนเกาะแห่งนี้อีกด้วย อินดรี เป็นสัตว์จำพวกลีเมอร์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด พวกมันมีชื่อท้องถิ่นว่า "บาบาโกโต" ซึ่งแปลว่า "ชายแห่งป่าไม้" สัตว์เหล่านี้ กำลังเผชิญกับภัยคุกคามจากมนุษย์ที่ทำลายที่อยู่อาศัยของพวกมัน โดยเฉพาะการเผาป่าเพื่อทำไร่เลื่อนลอย ลักลอบตัดต้นไม้ และผลิตเหมืองถ่านหิน นอกจากนี้ การล่าลีเมอร์เพื่อเป็นอาหารหรือซื้อ-ขาย เป็นอีกหนึ่งภัยคุกคามใหม่ที่ทำให้พวกมันใกล้สูญพันธุ์ ศาสตราจารย์คริสตอฟ ชวิทเซอร์ จากสมาคมสัตววิทยาบริสตอล บอกกับบีบีซีว่า มีการสำรวจพบการล่าลีเมอร์จำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ "เราพบว่ามีการล่าลีเมอร์เพื่อการค้าด้วย ซึ่งน่าจะล่าไปเพื่อขายให้กับร้านอาหารท้องถิ่น นี่ถือเป็นปรากฏการณ์ใหม่สำหรับมาดากัสการ์ เราไม่เคยเห็นการล่าลีเมอร์มากขนาดนี้เมื่อ 15 ปีก่อน" มีลีเมอร์ทั้งหมด 111 ชนิดที่นักวิทยาศาสตร์รู้จัก ซึ่งทั้งหมดเป็นสัตว์ประจำถิ่นในมาดากัสการ์ และกลุ่มอนุรักษ์พบว่า 105 สปีชีส์จากทั้งหมดกำลังถูกคุกคาม ลีเมอร์นอร์เทิร์นสปอร์ตีฟ (Northern sportive lemur) กำลังอยู่ภาวะวิกฤต การร่วมกันศึกษาของนักอนุรักษ์ครั้งนี้ ซึ่งจัดขึ้นโดยสหพันธ์นานาชาติเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (ไอยูซีเอ็น - IUCN) เป็นขั้นตอนแรกในการประเมินสถานการณ์ของสัตว์ทุกสายพันธุ์อย่างเป็นทางการ เพื่อนำไปเผยแพร่ใน บัญชีแดงของสปีชีส์ที่ถูกคุกคาม (Red List of Threatened Species) ต่อไป จะป้องกันไม่ให้ลีเมอร์สูญพันธุ์ได้อย่างไร ? ไอยูซีเอ็น ได้วางมาตรการอนุรักษ์ที่ชื่อ "แผนปฏิบัติการลีเมอร์" ซึ่งแผนดังกล่าวรวมถึงการปกป้องที่อยู่อาศัยของพวกมัน ไปจนถึงการแก้ปัญหาความยากจนของคนในพื้นที่ ผ่านการท่องเที่ยวแบบเป็นมิตรต่อธรรมชาติ เพื่อช่วยให้พวกเขาไม่ต้องล่าสัตว์เพื่อแลกกับค่าตอบแทน ศาสตราจารย์ชวิทเซอร์ กล่าวว่า มันสำคัญมากที่ทุกคนต้องออกมาพูดถึงเรื่องนี้ "คนที่รักลีเมอร์จำเป็นต้องออกมาเปล่งเสียงเกี่ยวกับปัญหาเหล่านี้ และช่วยกันส่งข้อความไปถึงคนทั่วโลก" เขาบอกกับบีบีซี "เมื่อเราตีพิมพ์แผนปฏิบัติการลีเมอร์ และสื่อก็ร่วมนำเสนอมัน เราได้รับโทรศัพท์จากคนจำนวนมากที่ต้องการจะช่วยเหลือ ทั้งผ่านการบริจาคหรือในทางอื่น ๆ" "นั่นสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงได้จริง ๆ"
|
ลีเมอร์ สัตว์ประจำถิ่นมาดากัสการ์ แทบทุกชนิดกำลังตกอยู่ในภาวะเสี่ยงที่จะสูญพันธุ์ไปจากโลกใบนี้
|
thailand-49290601
|
https://www.bbc.com/thai/thailand-49290601
|
ขายบริการ: พนักงานบริการร้องถูกละเมิดสิทธิระหว่างล่อซื้อ-จับกุม
|
เจ้าหน้าที่ทหารเข้าตรวจค้นสถานบริการแห่งหนึ่งเมื่อปี 2559 "มีการไลฟ์สดในการบุกทลาย (สถานบริการ) เห็นทั้งชื่อ-นามสกุล เลขบัตรประจำตัวประชาชน แถมในภาพเห็นรอยสักของผู้หญิง สามารถระบุอัตลักษณ์ได้ว่าเป็นใคร จำเป็นเหรอ ถึงเราจะเป็นพนักงานบริการที่กระทำผิดยังไง เราก็ยังต้องมีสิทธิเท่าที่มนุษย์คนหนึ่งพึงมีอยู่" พนักงานบริการหญิงที่ใช้ชื่อว่า "ไหม จันตา" กล่าวด้วยเสียงสั่นเครือในเวทีอภิปรายเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนของพนักงานบริการ จัดโดยมูลนิธิเอ็มพาวเวอร์ เมื่อวันที่ 8 ส.ค. 2562 เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในปฏิบัติการบุกค้น "นาตารี อาบอบนวด" ย่านรัชดาภิเษก เมื่อปี 2559 ที่เพื่อนพนักงานบริการที่ถูกจับกุมเล่าให้ฟัง ขณะที่กองคดีการค้ามนุษย์ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ยืนยันว่าปฏิบัติการล่อซื้อและเข้าจับกุมสถานค้าบริการของดีเอสไอนั้น เคารพสิทธิของผู้ถูกจับกุมอย่างเคร่งครัด โดยในการล่อซื้อบริการทางเพศนั้นจะต้อง "ปฏิบัติอย่างสมบทบาท" แต่ห้ามมีเพศสัมพันธ์กับหญิงบริการอย่างเด็ดขาด ล่อซื้อ บุกทลาย เผยตัวตน ไหมเล่าว่า ในการบุกทลายร้านนาตารี อาบอบนวดครั้งนั้น ตำรวจใช้เวลาในการล่อซื้อกว่า 3 เดือน จนเกิดการตั้งคำถามจากพนักงานบริการว่า จำเป็นหรือไม่ที่จะต้องใช้เวลาในการล่อซื้อยาวนานขนาดนั้น หลังการจับกุม มีภาพพนักงานบริการจำนวนมากถูกเผยแพร่ในสื่อสังคมออนไลน์ โดยผู้หญิงเกือบทั้งหมดสวมใส่เพียงผ้าขนหนูผืนเดียว ใครมีเสื้อคลุมหรือคว้าอะไรได้ก็นำมาปกปิดใบหน้าทั้งหมดถูกสั่งให้นั่งอยู่กลางวงล้อมของเจ้าหน้าที่ผู้ชาย "ระหว่างการจับกุม นอกจากเจ้าหน้าที่จะปล่อยให้สื่อมวลชนถ่ายภาพพนักงานบริการได้แล้ว ยังทำการสอบสวนทั้งที่พวกเธอยังคงใส่เสื้อผ้าน้อยชิ้นอยู่ คนที่ร่วมซักถามมีทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่จากองค์กรอิสระที่ร่วมนำจับกุม "ยิ่งกว่านั้น ก่อนจะบุกทลายสถานบริการ ยังมีการร่วมประเวณีในขั้นตอนการล่อซื้อ ซึ่งเป็นแนวทางการเข้าจับกุมที่ไม่น่าเกิดขึ้น" ไหมอธิบาย "มีพนักงานบริการจำนวนไม่น้อยที่ประกอบอาชีพนี้โดยที่ครอบครัวไม่ทราบเรื่อง ดังนั้นการเปิดเผยข้อมูลส่วนตัว และทำกับพวกเราเสมือนเป็นอาชญากรจึงไม่สมเหตุสมผล" ไหมบอกกับบีบีซีไทยว่า ทุกครั้งที่มีการจับกุมผู้ค้าบริการ เจ้าหน้าที่ตำรวจมักจะใช้คำพูดหรือตั้งคำถามที่ลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของพนักงานบริการ "ครั้งหนึ่งเจ้าหน้าที่มูลนิธิที่นำจับกุมและตำรวจผู้ชายพูดกับพนักงานบริการว่า ตามกฎหมายแล้วหนูไม่ควรอยู่ที่นี่ ทำไมไม่ไปเรียนหนังสือ ควรอยู่ที่บ้านไหม คำพูดเหล่านี้เป็นเหมือนการสั่งสอน และทำให้ผู้ค้าบริการรู้สึกผิดและด้อยค่า มากกว่าจะเป็นวิธีการซักถามของเจ้าหน้าที่ตำรวจ" เธอยกตัวอย่าง พนักงานบริการบางคนที่ถูกจับกุมมาจากประเทศเพื่อนบ้าน ก็จะถูกบันทึกลงในหนังสือเดินทางว่าถูกจับกุมในความผิด "มั่วสุมในการค้าประเวณี" ส่งผลไม่สามารถเดินทางเข้าประเทศไทยได้อีก และทำให้ไม่สามารถเดินทางไปประเทศอื่นได้ด้วย ดีเอสไอยันมีกฎเหล็กในการ "ล่อซื้อ" พ.ต.ท.สุภัทธ์ ธรรมธนารักษ์ ผู้อำนวยการกองคดีการค้ามนุษย์ ดีเอสไอ ให้สัมภาษณ์กับบีบีซีไทยว่า ข้อปฏิบัติของดีเอสไอในการล่อซื้อและเข้าจับกุมสถานค้าบริการทางเพศนั้น มีกฎและข้อบังคับในการรักษาสิทธิของผู้ถูกจับกุมอย่างเคร่งครัด ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ก็ต้องมีหลักฐานที่ชัดเจนที่ยืนยันว่ามีการขายบริการทางเพศ เจ้าหน้าที่ควบคุมหญิงสาวต่างด้าวที่ถูกจับได้ที่สถานบริการนาตารี มาฝากขังยังศาลอาญา รัชดา "โดยหลักการ สิ่งที่เป็นกฎเหล็ก คือ หนึ่ง-ห้ามมีอะไรกับหญิงบริการเด็ดขาด สอง-จะต้องมีการปกปิดอำพรางไม่ให้คนภายนอกรู้ว่าเขาเป็นใคร สาม-ไม่ว่าเป็นผู้เสียหายหรือพยานต้องได้รับความปลอดภัย ถ้าหากประสงค์จะได้รับการคุ้มครอง" พ.ต.ท.สุภัทธ์กล่าว ผอ.กองคดีการค้ามนุษย์อธิบายเพิ่มเติมว่า การสืบสวนของไทยมีหลักการว่า ต้องพิสูจน์จนสิ้นกระแสความ หมายถึง หากเข้าล่อซื้อการค้าบริการทางเพศก็ต้องปฏิบัติอย่างสมบทบาท ให้สามารถยืนยันได้ว่าพยายามจะร่วมหลับนอน โดยที่ไม่ได้เกิดขึ้นจริง เช่น มีถุงยางที่ฉีกพร้อมใช้งาน เป็นต้น จากนั้นผู้ที่รับหน้าที่ล่อซื้อก็จะส่งสัญญาณให้เจ้าหน้าที่ทีมเข้าจับกุมต่อไป พ.ต.ท.สุภัทธ์ ชี้แจงว่า เจ้าหน้าที่จะระมัดระวังเรื่องการถ่ายภาพขณะเข้าจับกุม แต่ในกรณีที่มีภาพที่ไม่เหมาะสมหลุดออดมา อาจเป็นเพราะสื่อมวลชนเข้าไปยังพื้นที่ก่อนที่จะมีการแจ้งให้ผู้ถูกจับกุมแต่งกายให้เรียบร้อย เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าตรวจค้นสถานบริการแห่งหนึ่งเมื่อปี 2559 พ.ต.ท.สุภัทธ์ยอมรับว่า เจ้าหน้าที่แต่ละหน่วยงานอาจมีความเข้าใจถึงวิธีการปฏิบัติที่ไม่เท่ากัน "หลักการเหมือนกัน แต่ในรายละเอียดอาจขึ้นอยู่กับการฝึกฝนของผู้บังคับบัญชา ซึ่งปกติเอ็นจีโอที่ทำงานมานานเขารู้วิธีปฏิบัติอยู่แล้ว พอเวลาทำงานคู่กัน ถ้าเราทำผิดพลาดอะไรเขาจะเตือน เราก็จะปรับตัวตลอด" เรื่องถึงกรรมการสิทธิฯ นางอังคนา นีละไพจิตร อดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) กล่าวว่า กสม.ได้ดำเนินการตรวจสอบข้อร้องเรียนเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนของพนักงานบริการจากการเข้าปราบปรามการค้าประเวณีของเจ้าหน้าที่รัฐในรอบ 2 - 3 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะการเข้าจับกุมพนักงานบริการที่นาตารีอาบอบนวดและวิคตอเรียอาบอบนวด ซึ่งพบว่ามีการละเมิดสิทธิที่คล้ายคลึงกัน ปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่พบหลัก ๆ คือ การดำเนินการหลังควบคุมตัวและการเปิดเผยภาพถ่ายของพนักงานบริการ นางอังคณากล่าวว่า เมื่อถูกจับกุมและเสียค่าปรับแล้ว พนักงานบริการซึ่งมีทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ จะต้องได้รับการปล่อยตัวหรือผลักดันกลับสู่ประเทศต้นทาง หากพนักงานสอบสวนต้องการให้พวกเธอเป็นพยาน ก็ต้องปฏิบัติในฐานะพยานตามสิทธิ์ มีการจัดหาที่พักที่เหมาะสม และสามารถติดต่อญาติได้ อดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนกล่าวเพิ่มเติมว่า ในขั้นตอนการสืบพยานก็พบปัญหาละเมิดสิทธิพนักงานบริการเช่นกัน และหากผู้ถูกควบคุมตัวรู้สึกหวาดกลัว ก็สามารถร้องขอไม่ให้มีการสืบพยานแบบเผชิญหน้าได้ แม้จะอายุเกิน 18 ปีแล้วก็ตาม "การดำเนินการจับกุม ควบคุมตัว ทัศนะคติและวิถีการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่จำเป็นต้องเข้าใจเรื่องของความอ่อนไหวทางเพศสภาพ" นางอังคณากล่าว สำหรับการเปิดเผยภาพถ่ายของพนักงานบริการ ซึ่งเป็นภาพถ่ายในชั้นสอบสวน โดยไม่ทราบที่มาที่ไป ถือเป็นการตอกย้ำและละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของผู้หญิง ซึ่ง กสม.ได้ย้ำกับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องแล้ว อังคนา นีละไพจิตร เปิดเผยผ่านรายงานว่าภาพถ่ายของพนักงานบริการถูกเปิดเผยหลังจากการจับกุม นางอังคณากล่าวว่าควรให้ความสำคัญกับสถานะทางกฎหมายของการให้บริการทางเพศ เนื่องจาก พ.ร.บ.ค้าประเวณี 2539 บัญญัติว่าการกระทำของผู้ค้าประเวณีและสถานประกอบกิจการค้าประเวณีเป็นความผิดทางกฎหมาย ส่งผลให้ใครก็ตามที่ประกอบอาชีพนี้เป็นผู้กระทำความผิดโดยทันที เมื่อครั้งเจ้าหน้าที่สหประชาชาติเดินทางมาเยือนไทย พวกเขาตั้งประเด็นว่า "สถานบริการที่เกิดขึ้นในประเทศไทย เป็นสถานบริการที่ถูกต้องตามกฎหมาย แล้วเขาก็มองเหมือนกับเป็นวิถีชีวิตของคนไทย ไม่ว่าจะเป็นรัชดา เพชรบุรี วอล์คกิ้งสตรีทที่พัทยา เชียงใหม่ สถานบริการที่เปิดถูกกฎหมาย แต่พนักงานบริการที่ทำงานในสถานบริการเหล่านั้นกลับไม่ได้รับการคุ้มครองภายใต้ พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน" นางอังคณากล่าว เธอให้ความเห็นด้วยว่า พนักงานบริการถือเป็นแรงงานกลุ่มใหญ่ที่สร้างรายได้ให้ประเทศ แต่อาชีพนี้กลับผิดกฎหมายและถูกสังคมตีตรา จนนำมาสู่การละเลยสิทธิ์ที่พนักงานบริการพึงได้รับในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง ในความเป็นจริงแล้ว การให้บริการทางเพศซึ่งไม่ได้เกิดจากการข่มขู่ บังคับ หรือกระทำต่อเด็กและเยาวชน เป็นความสมัครใจของบุคคลที่จะประกอบอาชีพให้บริการ และหารายได้หรือค่าตอบแทนจากกิจกรรมทางเพศ ถือเป็นการกระทำที่เป็นไปด้วยความสมัครใจของตน เพื่อให้ผู้รับบริการพึงพอใจ นางอังคณาสรุป มุมมองใหม่ต่ออาชีพค้าบริการทางเพศ "อยากให้ภาครัฐและประชาชนทั่วไปเข้าใจว่าอาชีพนี้มีอยู่จริง สร้างรายได้จริง สร้างภาษีให้ประเทศจริง และสามารถเลี้ยงครอบครัวได้จริง ไม่ใช่ว่าที่ผ่านมาภาครัฐลงตรวจพัทยา ไม่มีพนักงานบริการทางเพศเลย เริ่มแรกก็ไม่เข้าใจแล้ว คุณต้องเชื่อว่ามีอยู่จริงก่อน" ศิริศักดิ์ ไชยเทศ นักกิจกรรมด้านสิทธิมนุษยชนกล่าว "พนักงานบริการคือลูกจ้าง งานบริการคืออาชีพ เราควรยุติการเอาผิดทางอาญากับพนักงานบริการทางเพศ ให้เป็นไปตามสโลแกนของเอ็มพาวเวอร์ นั่นคือ nobody is wrong นั่นคือไม่มีใครผิด คนซื้อ คนขาย คนให้บริการ ไม่มีใครผิดใด ๆ ทั้งสิ้น สุดท้ายคือควรยกเลิกพ.ร.บ. การค้าประเวณี" นายศิริศักดิ์กล่าว อุษา เลิศศรีสันทัด ผู้อำนวยการมูลนิธิผู้หญิงกล่าวว่า ด้วยความที่เจ้าหน้าที่นโยบายป้องกันไม่ให้เด็กและเยาวชนเข้าสู่การค้าประเวณี จึงพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อปราบปรามการค้าประเวณีให้หมดไป แต่กลับส่งผลให้ผู้หญิงที่เป็นพนักงานบริการด้วยความสมัครใจต้องทำงานอย่างหลบซ่อน เข้าไปอยู่ในระบบที่ไม่เป็นธรรม โดยไม่สามารถเรียกร้องสิทธิ์ของตนเองได้ ทันตา เลาวิลวัณยกุล จากมูลนิธิเอ็มพาวเวอร์ กล่าวว่า จากทุกเหตุการณ์ในการจับกุมผู้ทำการค้าประเวณี เจ้าหน้าที่ของภาครัฐไม่เคยปฏิบัติต่อวิชาชีพนี้ด้วยความเคารพในฐานะมนุษย์คนหนึ่งในสังคมเท่าที่ควร ไม่ว่าจะเป็นการ "ล่อซื้อ" หรือการ "ประจาน" ทางอ้อมผ่านสื่อ ความพยายามในการแก้กฎหมายเพื่อให้เกิดการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนในกลุ่มผู้ค้าบริการ ทั้งในกลุ่มของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติและนักเคลื่อนไหวนั้นมีมาอยู่ตลอด แต่ด้วยกรอบและความเชื่อทางด้านวัฒนธรรมกับคุณค่าของมนุษย์ อาจเป็นสาเหตุทำให้ความเปลี่ยนแปลงทางกฎหมายเป็นไปอย่างล่าช้าหรืออาจจะไม่เกิดขึ้นเลย เธอกล่าว
|
ตัวแทนผู้ขายบริการทางเพศบอกเล่าถึงสิ่งที่ต้องเผชิญจากปฏิบัติการ "บุกค้นสถานบริการ-ล่อซื้อบริการทางเพศ" ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทั้งการเปิดเผยอัตลักษณ์บุคคลและการมีเพศสัมพันธ์ก่อนถูกจับกุม ซึ่งพวกเธอเห็นว่าเป็นการลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ทำให้อับอายและถูกปฏิบัติ "ราวกับเป็นอาชญากร"
|
international-43859136
|
https://www.bbc.com/thai/international-43859136
|
ภาพสแกน 3 มิติ ช่วยอนุรักษ์โบราณสถาน
|
ภาพสแกน 3 มิติ ความคมชัดสูงของโบราณสถานอายุพันปีในเมืองพุกาม ประเทศเมียนมา กำลังถูกนำมาใช้เพื่อบูรณะโบราณสถาน ภาพสแกนเมืองพุกาม และโบราณสถานอื่น ๆ อีก 25 แห่ง กำลังถูกเผยแพร่ทางออนไลน์ สตีเฟน เบ็กเก็ตต์ บีบีซี คลิก กล่าวว่า "กูเกิล กำลังหวังว่า การเผยแพร่ข้อมูลนี้ ผู้คนจะให้ความสนใจในการใช้ประโยชน์จากมัน อย่างเช่น การสัมผัสความจริงเสมือนนี้เป็นตัวอย่างที่ทำขึ้นมาจากการใช้ข้อมูลนี้" ส่วน ชานซ์ โคเฮนเนอร์ นักโบราณคดีดิจิทัล กล่าวว่า "ประเด็น คือให้เราใช้เทคโนโลยีนี้ เก็บข้อมูลโบราณสถานต่าง ๆ และโครงสร้าง รวมถึงสถานที่ได้ในแบบที่ไม่ต้องรุกล้ำ ไม่ต้องสร้างความเสียหาย ก็เข้าถึงสถานที่ที่ปกติแล้วไม่อาจเข้าถึงได้" บริษัทสแกน CyArk รวบรวมข้อมูลนาน15 ปี พวกเขาใช้เครื่องสแกนเลเซอร์ 'Lidar' บนพื้นดิน และใช้กล้องถ่ายภาพทางอากาศ "เราตื่นเต้นมากที่พบว่า คนในวงการศึกษาและอนุรักษ์มรดกจะนำข้อมูลนี้ไปใช้ทั่วโลก นักเรียนจะใช้มัน อาจารย์อาจใช้มันด้วย" โคเฮนเนอร์ กล่าว
|
ภาพสแกน 3 มิติ ของโบราณสถานหลายแห่งทั่วโลกถูกนำมาเผยแพร่ และให้คนนำข้อมูลไปใช้ ซึ่งอาจจะเป็นประโยชน์ในการอนุรักษ์โบราณสถานได้
|
thailand-54119270
|
https://www.bbc.com/thai/thailand-54119270
|
ชุมนุม 19 กันยา : แก้วสรร อติโพธิ หนุนอธิการบดี งดใช้ธรรมศาสตร์เป็น “ฐานทัพละเมิดรัฐธรรมนูญ-ซ่องสุมม็อบ”
|
นายแก้วสรร อติโพธิ สวมบท "ผู้พิทักษ์ธรรมศาสตร์" จากกลุ่มคนที่เขามองว่าเป็น "เผด็จการ" วงหารือของศิษย์เก่า มธ. ราว 30 คน เกิดขึ้นที่ห้องประชุมคณะศิลปศาสตร์ มธ. ในเวลาไม่ถึง 4 ชั่วโมง หลังจากแกนนำนักศึกษาในนามกลุ่ม "แนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม" เปิดแถลงข่าวยืนยันว่าจะใช้ มธ. ท่าพระจันทร์ เป็นสถานที่จัดการชุมนุม พร้อมเปิดปราศรัยเกี่ยวกับการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ นายแก้วสรร อติโพธิ ศิษย์เก่าคณะนิติศาสตร์ รุ่นปี 2512 กล่าวว่า การออกมาเคลื่อนไหวของศิษย์เก่า มธ. ครั้งนี้ไม่เกี่ยวกับว่าประเด็นการพูดถึงหรือไม่พูดถึงการปฏิรูปสถาบันฯ และไม่เกี่ยวกับการรักหรือไม่รัก พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม แต่เป็นเพราะไม่เห็นด้วยกับสิทธิการชุมนุมที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ "ในฐานะที่เราเป็นชาวธรรมศาสตร์ เราไม่ต้องการเห็นธรรมศาสตร์เป็นฐานทัพของการละเมิดรัฐธรรมนูญ และทำให้บ้านเมืองฉิบหาย" นายแก้วสรรอธิบายที่มาที่ไปที่ทำให้ศิษย์เก่า มธ. ราว 30 คนมารวมตัวกันในวันนี้ (11 ก.ย.) นายแก้วสรรเป็นอดีตคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ที่ถูกตั้งขึ้นมาโดยคณะรัฐประหารปี 2549 เพื่อตรวจสอบคดีทุจริตในรัฐบาลนายทักษิณ ชินวัตร มาวันนี้เขาสวมบท "ผู้พิทักษ์ธรรมศาสตร์" จากกลุ่มคนที่เขามองว่าเป็น "เผด็จการ" ซึ่งไม่จำเป็นว่าต้องมาในรูปทหารเท่านั้น แต่สามารถมาในรูปนายกฯ เลือกตั้ง และในรูปม็อบก็ได้ด้วย หากไม่ยอมรับสิทธิของคนอื่น และไม่รู้จักสถาบัน เห็นว่าจะทำอะไรก็ได้ โดยลืมคำว่าส่วนรวมไป "เพนกวิน (นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ แกนนำกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม) และน้อง ๆ กำลังใช้สิทธิเกินส่วน คุณเป็นเผด็จการ เราไม่ยอมรับ" ศิษย์เก่าธรรมศาสตร์วัย 69 ปีกล่าว ศิษย์เก่า มธ. ยกมือนัสบสนุนเนื้อหาในจดหมายเปิดผนึกที่นายแก้วสรรกับพวก ยกร่างมา และยังเปิดให้ลงชื่อสนับสนุนผ่านแอปพลิเคชันไลน์ ก่อนปิดห้องพูดคุยกับบรรดาพี่ เพื่อน น้องร่วมสถาบัน นายแก้วสรร ผู้เคยเป็นอดีตอาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ และรองอธิการบดี มธ. ได้แวะไปพบปะ รศ. เกศินี วิฑูรชาติ อธิการบดี มธ. เพื่อกำหนดวันนัดหมายเข้ายื่นหนังสือเปิดผนึกถึงผู้บริหารมหาวิทยาลัย ขอให้ระงับการใช้พื้นที่มหาวิทยาลัยเพื่อการชุมนุมในวันที่ 19 ก.ย. "อธิการบดีนั่งอยู่คนเดียว ดูกลัดกลุ้มมาก แต่พอได้คุยกัน สุ้มเสียงเขาก็ดูมีกำลังใจขึ้น ดังนั้นเราต้องการบอกเขาว่าเขาไม่ได้อยู่คนเดียว จึงเชิญอธิการบดีให้มารับกำลังใจในวันที่ 16 ก.ย. นี้ ในฐานะคนที่ยืนอยู่เพื่อส่วนรวม" นายแก้วสรรเล่าให้ศิษย์เก่า มธ. ฟัง วานนี้ (10 ก.ย.) มธ. ได้เผยแพร่เอกสารระบุว่าทางมหาวิทยาลัยไม่อนุญาตให้กลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์ฯ ใช้พื้นที่ มธ. ท่าพระจันทร์ จัดกิจกรรม โดยให้เหตุผลว่า "หนังสือที่ขออนุญาตไม่ตรงกับเงื่อนไขให้จัดการชุมนุมได้" นายแก้วสรรได้ขอฉันทามติจากที่ประชุม ต่อร่างหนังสือเปิดผนึกที่ใช้ชื่อว่า "ปิด...มธ. พอกันทีวีรชน"ที่จะยื่นต่อ รศ. เกศินี และ ศ.พิเศษ นรนิติ เศรษฐบุตร นายกสภามหาวิทยาลัย ในสัปดาห์หน้า พร้อมชี้แจงแสดงเหตุผลไว้ ดังนี้ 1. เป้าประสงค์ของการชุมนุม ผู้จัดระบุว่าจะชุมนุม 1 วัน 1 คืน จากนั้นจะเดินขบวนไปยังทำเนียบรัฐบาล พร้อมประมาณการผู้เข้าร่วมไม่ต่ำกว่า 4 หมื่นคน นายแก้วสรรเรียกว่าเป็น "การระดมคนเข้ามาตั้งไว้ แล้ววันรุ่งขึ้นก็เทม็อบใส่ทำเนียบฯ" ซึ่งไม่ใช่การใช้สิทธิชุมนุมที่เป็นไปตามความมุ่งหมายของรัฐธรรมนูญ กลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุมประกาศว่า "จะไม่ลดเพดาน" การพูดถึงข้อเสนอในการปฏฺิรูปสถาบันฯ ในระหว่างเปิดแถลงข่าว 9 ก.ย. 2. การอ้างถึงความสงบ กลุ่มศิษย์เก่า มธ. มองว่าคุณภาพของผู้ชุมนุมเป็น "มวลชนแห่งความจงเกลียดจงชังที่ผ่านการปลุกปั่นในโลกไซเบอร์ เมื่อออกจากทวิตเตอร์มารวมตัวกันจริง ๆ บนท้องถนนแล้วก็ยิ่งก้าวร้าว" นายแก้วสรรบอกเล่าประสบการณ์ในเชิงเปรียบเทียบระหว่างเหตุการณ์ 14 ต.ค. 2516 กับการนัดหมายชุมนุมของนักศึกษารุ่นน้อง 19 ก.ย. 2563 โดยชี้ว่าการประท้วงเมื่อ 47 ปีก่อนเกิดขึ้นเพราะมีการจับผู้นำนักศึกษา 13 คน ส่วนตัวคิดว่านายเสกสรรค์ ประเสริฐกุล ผู้นำนักศึกษาในเวลานั้น "ไม่ได้นึกว่าพอได้ที เราจะเทออกไปข้างนอก แต่ที่ออกไปคือเพื่อประท้วง ไม่ได้พุ่งเป้าว่าต้องการไปแสดงพลังอะไรทั้งสิ้น" ชายวัย 69 ปียังอ้างถึงบทสนทนากับ "รุ่นพี่" คนหนึ่งที่ไม่ได้เปิดเผยนาม ซึ่งให้ความเห็นไว้ว่าในยุคก่อนชุมนุมอยู่ตั้งนานถึงออกไปบนถนน แต่ยุคนี้นัดวันเดียวแล้วออกไปเลย เพราะมีการชุมนุมในไซเบอร์เป็นปี ๆ เพื่อสร้างข้อถกเถียง สร้างคนหนุ่มสาวให้เลือกพรรคการเมือง แต่ครั้งนี้สร้างความเกลียดชัง และทำให้เกิดความเป็นพวกเป็นหมู่ "ถ้าทำเก่ง ๆ ก็เป็นเรดการ์ด (ยุวชนแดงในยุคปฏิวัติวัฒนธรรมของจีน) หรือยุวชนนาซี (เยาวชนที่จัดตั้งโดยพรรคนาซีของเยอรมัน เพื่อปลูกฝังอุดมการณ์แบบอดอล์ฟ ฮิตเลอร์) ได้ ดังนั้นไม่ต้องจัดตั้งมาก เพราะเป่านกหวีดในโซเชียลอยู่แล้ว ทำให้เกิดความดุร้าย นี่คือสิ่งที่เรียกว่าสงบแต่ปาก" นายแก้วสรรกล่าว การชุมนุมใน มธ. ศูนย์รังสิต เมื่อ 10 ส.ค. จัดโดยนักศึกษากลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม 3. ความสุ่มเสี่ยง กลุ่มศิษย์เก่า มธ. มองไม่เห็นความสามารถในการนำ ควบคุม จัดการ และคุ้มครองผู้ชุมนุมของบรรดาแกนนำ นายแก้วสรรยกอีกโศกนาฏกรรมทางการเมืองไทยมาขย่มขวัญ โดยชี้ว่าเหตุการณ์ "พฤษภาทมิฬ" ปี 2535 เกิดขึ้นเพราะแกนนำประกาศเคลื่อนขบวนจากอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยไปทำเนียบฯ ในเวลา 19.00 น. จนเกิดการปะทะและบาดเจ็บล้มตายของ "วีรชน" ศิษย์เก่า มธ. จึง "ไม่ต้องการให้ใช้มหาวิทยาลัยเป็นที่ซ่องสุม แล้วเทม็อบใส่ทำเนียบฯ" 4. ความไม่น่าไว้วางใจ กลุ่มศิษย์เก่า มธ. ไม่เชื่อว่านักศึกษากลุ่มนี้มีการนำและการจัดการโดยอิสระลำพังกลุ่มตนเอง แต่แทนที่ "คนข้างหลัง" จะกล้าประกาศตัวอย่างโปร่งใส กลับดันให้เด็กนักศึกษาไม่กี่คนมาออกหน้า อีกทั้งยังวิจารณ์ว่ามีพฤติกรรม "ลับ ๆ ล่อ ๆ" โดยอาศัยพื้นที่ มธ. เป็นฐานที่ตั้ง เพื่อไม่ต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขของพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การชุมนุมสาธารณะ ก่อนออกไปอาละวาดข้างนอกทั้งยึดสนามหลวงและทำเนียบฯ ซึ่งนายแก้วสรรชี้ว่าเป็นการ "หนีอำนาจตามกฎหมายมาอยู่ใต้อำนาจของ มธ. ซึ่งมีแต่อาจารย์เกศินีและอาจารย์นรนิตินั่งปกครองอยู่" ร่างหนังสือของศิษย์เก่า มธ. กลุ่มนี้ระบุในช่วงท้ายว่า มธ. จะมีส่วนร่วมด้วยไม่ได้ เพราะ "คำขอจัดชุมนุมครั้งนี้ไม่สุจริต ไม่โปร่งใส ไม่มีความสามารถและความรับผิดชอบที่ต่ำกว่ามาตรฐานประชาธิปไตย จนไม่อาจรับรองให้ชุมนุมโดยอิสระในสถานศึกษาได้" การชุมนุมใหญ่ของกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์ฯ ในวันที่ 19 ก.ย. ถือเป็นการจัดกิจกรรมครั้งที่ 2 หลังจากทางกลุ่มเคยจัดการชุมนุมที่ใช้ชื่อว่า "ธรรมศาสตร์จะไม่ทน" ที่ มธ. ศูนย์รังสิต เมื่อวันที่ 10 ส.ค. ซึ่งมีการประกาศ 10 ข้อเรียกร้องเกี่ยวกับการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ โดยแกนนำจัดการชุมนุมต่างยืนยันว่า "จะไม่ลดเพดาน" และ "จะไม่หยุดพูด เพียงเพราะใครมาห้ามไม่ให้พูด"
|
ศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) กลุ่มหนึ่งประกาศจุดยืนสนับสนุนผู้บริหารมหาวิทยาลัย ให้ปฏิเสธการใช้พื้นที่ มธ. ท่าพระจันทร์ จัดชุมนุมในวันที่ 19 ก.ย. โดยให้เหตุผลว่า "ไม่ต้องการให้ใช้มหาวิทยาลัยเป็นที่ซ่องสุม แล้วเทม็อบใส่ทำเนียบฯ"
|
47534868
|
https://www.bbc.com/thai/47534868
|
ฝุ่น : PM 2.5 ในเชียงใหม่ขึ้นสูงแตะอันดับหนึ่งของโลก
|
สภาพท้องฟ้าสีส้มยามเช้าวันที่ค่าดัชนีอากาศขึ้นสูงเป็นอันดับหนึ่งของโลกที่พื้นที่ อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ เช้าวันนี้ป็นเช้าวันที่ชาวเชียงใหม่และชาวเหนือทั้ง 9 จังหวัดตอนบนของภาค ต่างมองเห็นท้องฟ้าเป็นสีส้มและหมอกสีขาวอมเหลืองปกคลุมทั่วพื้นที่อย่างหนาแน่น โดยสถานการณ์หมอกควัน และไฟป่าในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ รวมทั้งภาคเหนือตอนบน ยังมีความรุนแรงต่อเนื่อง ในช่วงเช้าค่ามลพิษจากฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ทั้ง 9 จังหวัดภาคเหนือ เกินค่ามาตรฐานที่ 50 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ตั้งแต่ จ. เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน เชียงราย พะเยา ลำพูน ลำปาง แพร่ น่าน และตาก ตารางแสดงค่าดัชนีคุณภาพอากาศทั่วโลกวัดเมื่อเช้าวันนี้พบว่าเชียงใหม่อยู่ที่อันดับที่หนึ่ง โดยเฉพาะบริเวณ จ. เชียงใหม่ที่มีรายงานว่าค่าดัชนีคุณภาพอากาศโดยรวม ขึ้นสูงสุดติดอันดับหนึ่งของโลกอยู่ที่ 271 โดยมีค่า PM 2.5 อยู่ที่ประมาณ 170 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ส่วนในกรุงเทพฯ เอง กระแสความตื่นตัวเรื่องมลพิษอาจจะลดลงไปบ้าง แต่ในความเป็นจริง ค่าดัชนีคุณภาพอากาศในบางพื้นที่ขึ้นไปถึง 159 เมื่อหน้ากากเป็นสิ่งประหลาด หน้ากากกันฝุ่นประเภท N95 เป็นหนึ่งในรายการของใช้จำเป็นของคนในกรุงเทพฯ เมื่อยามที่ชาวเมืองหลวงต้องเผชิญหน้ากับฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 จนกลายเป็นสินค้าขายดีและมีการโก่งราคากันอย่างแพร่หลาย แต่สำหรับในพื้นที่ จ.เชียงใหม่ เอง การตื่นตัวเพื่อรับมือกับปัญหายังมีไม่มากนัก น.ส.จุรีรัตน์ อินทกาน์ ครูประจำโรงเรียนอนุบาลสานสายใยรัก เทศบาลเมืองแกนพัฒนา ในพื้นที่ อ.แม่แตง บอกกับบีบีซีไทยว่าสภาพอากาศแย่มาก ทัศนวิสัยต่ำทำให้การเดินทางลำบาก ส่วนอากาศนั้นแย่ในระดับที่ทำให้หายใจไม่สะดวกและมีอาการแสบคอควบคู่ไปกับอาการแสบตา "ถึงแม้สภาพมลพิษทางอากาศจะแย่แค่ไหน แต่นักเรียนขอที่จะไม่ใส่หน้ากากเพราะพวกเขาบอกว่ามันดูประหลาดและเขาอายที่จะใส่หน้ากากกัน ทางโรงเรียนมีหน้ากากอนามัยแจกให้นักเรียนแต่เฉพาะเด็กที่มาขอเท่านั้นแต่ก็ไม่มีใครเข้ามาขอนอกจากเด็กที่ป่วยเป็นภูมิแพ้จริง ๆ เท่านั้น" น.ส.จุรีรัตน์ กล่าว น.ส.จุรีรัตน์ อธิบายเพิ่มเติมว่าทางผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ยังไม่ได้ประกาศให้เด็กนักเรียนหยุดโรงเรียน แต่ทางโรงเรียนมีวิธีการแก้ปัญหาเบื้องต้นด้วยการงดเว้นกิจกรรมกลางแจ้งทุกประเภทและประสานให้สำนักงานเทศบาลนำรถดับเพลิงเข้ามาฉีดน้ำในบริเวณโรงเรียน ดูแลและจัดการตัวเอง ปัญหาหมอกควันและมลพิษที่ จ.เชียงใหม่ เกิดขึ้นเป็นประจำทุกปี แต่ในปีนี้เรื่องของฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ได้รับความสนใจจากชาวเชียงใหม่เป็นพิเศษ โดยบางคนเห็นว่าทางการท้องถิ่นยังไม่มีแนวทางแก้ปัญหาที่ชัดเจน นายธนัชชนม์ มาตระออ ครูประจำโรงเรียนคำเที่ยงอนุสสรณ์ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ บอกกับบีบีซีไทยว่า ทางผู้ว่าราชการจังหวัดยังไม่ได้ออกคำสั่งหรือเสนอความช่วยเหลือใด ณ ขณะนี้ ครูในโรงเรียนที่ จ.เชียงใหม่ มีอาการแสบตาและระคายเคืองจากค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 แต่ทางโรงเรียนได้ทำงานคู่ขนานไปกับโรงพยาบาลของเทศบาลเมืองเชียงใหม่เพื่อให้การช่วยเหลือเบื้องต้นกับเด็กนักเรียนของโรงเรียน ในสังคมโซเชียลมีเดียของเชียงใหม่ เช่น CM108.com มีผู้โพสต์ข้อความในเชิงเหน็บแนมว่า ประกาศหาคนหายโดยสื่อถึงผู้ว่าราชการจังเชียงใหม่ ที่ถูกผู้ใช้โซเชียลมีเดียมองว่า ยังไม่ได้แก้ปัญหาอย่างจริงจัง อย่างไรก็ดีมีผู้อ้างตัวเป็นคนวงในแย้งว่าผู้ว่าฯ ทำงานเรื่องนี้อยู่ตลอด 24 ชั่วโมง และได้ประชุมเพื่อแก้ไขปัญหาอย่างต่อเนื่อง โดยศูนย์ข้อมูลการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อยู่ภายใต้โครงการประเทศไทยไร้หมอกควัน ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้ลงข้อมูลแบ่งตามรายพื้นที่แสดงให้เห็นว่าค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 อยู่ในระดับสูงมากในแทบทุกพื้นที่ของจังหวัด เจ้าหน้าที่จากศูนย์ได้ยืนยันเช่นกันว่าทางมหาวิทยาลัยก็ทำการจัดการแจกหน้ากากอนามัยกันเองโดยยังไม่มีการให้ความช่วยเหลือหรือคำสั่งใด ๆ ออกมาจากทางส่วนของจังหวัดเอง ค่า PM 2.5 สูงทะลุสเกลที่มองโกเลีย เมื่อไม่นานมานี้ สเตฟานี เฮการ์ที ผู้สื่อข่าวบีบีซี เดินทางไปยังมองโกเลีย หนึ่งในประเทศที่ประชากรต้องเผชิญสภาพมลพิษทางอากาศอย่างหนัก ถึงขั้นที่ฝุ่น PM2.5 มีค่าสูงเกินกว่า 999 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร และเกินกว่าที่เครื่องตรวจวัด สภาพมลพิษจะระบุค่าได้ มลพิษทางอากาศเป็นสาเหตุการเสียชีวิตของชาวมองโกเลียหลายพันคนในแต่ละปี กรุงอูลานบาตอร์ เป็นเมืองที่ประชากรราวครึ่งหนึ่งของมองโกเลียอาศัยอยู่ การเผาถ่านหินเพื่อทำความร้อนในช่วงฤดูหนาวที่หนาวเหน็บติดลบถึง 25 องศาเซลเซียส เป็นต้นเหตุทำให้มลพิษทางอากาศปกคลุมทั่วพื้นที่ ชาวมองโกเลียประท้วงรัฐบาลให้แก้ไขปัญหาเรื่องมลพิษทางอากาศเมื่อปี พ.ศ. 2561 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นอกจากประชากรในวัยผู้ใหญ่ที่ต้องล้มป่วยแล้ว เด็กในวัยทารกคือประชากรอีกกลุ่มที่ได้รับผลกระทบอย่างหนัก อิรีดนี วัย 5 เดือนที่ผู้สื่อข่าวได้พบ ไม่สบายและต้องเข้าโรงพยาบาลมาแล้วถึง 6 ครั้ง โดยเมื่อใดที่ทารกน้อยต้องสูดดมอากาศที่เต็มไปด้วยมลพิษในกรุงอูลานบาตอร์เขาจะไอ หายใจติดขัด ใบหน้าซีดเขียว พ่อแม่ของเขาต้องรีบนำตัวส่งโรงพยาบาล วิกฤตมลพิษทางอากาศกรุงเทพฯ แม่ของทารกรายนี้เชื่อว่ามลพิษทางอากาศเป็นต้นเหตุอาการป่วยของลูกที่เกิดมาพร้อมอาการไทรอยด์อักเสบและหลอดลมอักเสบเรื้อรัง ดร.กานชูลูน ซุนดุย กุมารแพทย์ ก็เชื่อว่าเด็กหลายร้อยคนป่วยเพราะมลพิษทางอากาศ "ช่วงฤดูหนาวที่แล้ว เด็กถึง 270 คน ถูกนำตัวส่งห้องฉุกเฉิน ส่วนปีนี้ตัวเลขเพิ่มเป็น 300 คน เกือบทุกคนมีอาการหายใจติดขัด" ดร.ซุนดุย กลัวว่าเด็ก ๆ เหล่านี้จะมีปัญหาสุขภาพในระยะยาวเพราะมลพิษทางอากาศเป็นต้นเหตุของมะเร็งปอด การแก้ปัญหาไม่ใช่เรื่องง่าย นายบัตบายาสกาลัน แจนท์สัน รักษาการผู้ว่าราชการกรุงอูลานบาตอร์ ยอมรับว่าการแก้ปัญหา มลพิษในเมืองหลวงไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้ง่าย สภาพอากาศในกรุงอูลานบาตอร์เมื่อต้นปี 2019 "งานวิจัยทางสุขภาพของเราพบว่าหากเราห้ามไม่ให้เผาถ่านหิน ประชากรราว 80% ก็จะล้มหาย ตายจากไป แต่จะเกิดอะไรขึ้นกับประชากร 60% ที่ยังใช้ถ่านหินอยู่ ถ้าเราห้ามไม่ให้ใช้ถ่านหิน พวกเขาจะใช้อะไรเป็นเชื้อเพลิง นี่คือปัญหาใหญ่ที่เรากำลังเผชิญอยู่" แต่ปัญหาไม่ได้เกิดเฉพาะในเมืองหลวงเท่านั้น ในพื้นที่ห่างไกล ชนเผ่าเร่ร่อนก็เผชิญกับสภาพ อากาศอันเลวร้ายที่ไม่อาจคาดเดาล่วงหน้าได้ ผู้สื่อข่าวบีบีซีรายงานว่าในช่วงสองสามปีมานี้ สภาพอากาศเปลี่ยนจากแล้งจัดในช่วงฤดูร้อน ไปเป็นหนาวจัดในช่วงฤดูหนาว สัตว์เลี้ยงที่ไม่สามารถหาอาหารกินเพียงพอในฤดูร้อน ไม่อาจทนสภาพอากาศในฤดูหนาวได้ และพากันล้มตาย ชาวบ้านบางครอบครัวต้องสูญเสียม้าไป 20 ตัว และแกะอีกกว่า 30 ตัว ทว่าในปีนี้สภาพอากาศยังผิดแผกไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง เพราะในฤดูร้อนสภาพอากาศ กลับเปียกชื้น ขณะที่ในฤดูหนาวอากาศกลับแห้งแล้ง ทุ่งหญ้าที่ควรจะปกคลุมไปด้วยหิมะ ถูกสัตว์เลี้ยงเล็มกินจนหมด สภาพเช่นนี้เป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ ที่ผิดแผกและคาดเดาไม่ได้เลย ขณะที่นักวิทยาศาสตร์หลายคนเตือนว่าอุณหภูมิในมองโกเลียสูงขึ้นแล้ว 2.2 องศาเซลเซียส
|
"ดอยสุเทพหายไปแล้ว" ประโยคยอดฮิตของชาวเชียงใหม่ในทุกครั้งที่ฤดูเผาป่า มาเยือนในช่วงปลายฤดูหนาวเข้าสู่หน้าร้อน และวันนี้ (12 มี.ค.) ก็เป็นอีกหนึ่งวันที่ชาวเชียงใหม่ พูดประโยคนี้ในวันที่ค่าฝุ่น PM 2.5 ทะยานขึ้นสูงสุดติดอันดับหนึ่งของโลก
|
thailand-47189775
|
https://www.bbc.com/thai/thailand-47189775
|
เลือกตั้ง 2562 : ที่ประชุม กกต. จันทร์นี้ เตรียมหารือข้อร้องเรียน ทษช.
|
ในวันที่ 11 ก.พ. คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีกำหนดพิจารณาคำร้องของนายไพบูลย์ นิติตะวัน หัวหน้าพรรคประชาชนปฏิรูป ที่ยื่นให้ กกต. พิจารณาว่าการเสนอชื่อทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนฯ เข้าข่ายขัดระเบียบ กกต. เรื่องลักษณะต้องห้ามในการหาเสียงเลือกตั้ง ส.ส. หรือไม่ อีกทั้ง กกต. จะพิจารณาอำนาจตรวจคุณสมบัติผู้ถูกเสนอชื่อนายกฯ ในบัญชีพรรคการเมือง "ชีวิตต้องดำเนินต่อไป" น.ส. ชยิกา วงศ์นภาจันทร์ นายทะเบียน ทษช. ได้ส่งภาพ ร.ท. ปรีชาพล พงษ์พานิช หัวหน้าพรรค และตนเอง เดินทางไปทำบุญไหว้พระที่วัดหน้าพระเมรุราชิการามใน จ. พระนครศรีอยุธยา ให้สื่อมวลชนในกลุ่มไลน์ของพรรค พร้อมโพสต์บนเฟซบุ๊กที่ใช้ชื่อว่า Sand Wongnapachant หลังการเก็บตัวเงียบสองวัน ภาพของ ร.ท. ปรีชาพล พร้อมด้วยนายทะเบียนพรรค เดินทางไปไหวพระทำบุญที่อยุธยา ในช่วงบ่ายวันนี้ (10 ก.พ.) เป็นความเคลื่อนไหวพร้อม ๆ กับที่ในช่วงเช้า นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ประธานคณะกรรมการณรงค์หาเสียงเลือกตั้งพรรค ทษช. โพสต์บนเฟซบุ๊กชื่อว่า นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ว่า "อยู่ครับอยู่" หลังจากเมื่อวาน นายจตุพร พรหมพันธุ์ ผู้ช่วยหาเสียงพรรคเพื่อชาติ บอกกับสื่อว่าติดต่อนายณัฐวุฒิไม่ได้ เป็นความเคลื่อนไหว หลังจากนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เคลื่อนไหวผ่านทางทวิตเตอร์อีกครั้ง โดยทวีตข้อความเป็นภาษาอังกฤษ ผ่าน @ThaksinLive เมื่อคืนวันที่ 9 ก.พ. มีใจความที่แปลเป็นภาษาไทยว่า "จงเชิดหน้าและก้าวต่อไป! เราเรียนรู้จากประสบการณ์ในอดีต แต่มีชีวิตอยู่เพื่อวันนี้ และอนาคต สู้เข้าไว้ ชีวิตต้องดำเนินต่อไป!" ส่วนเฟซบุ๊กพรรคไทยรักษาชาติ ก็ประกาศในช่วงเช้านี้เช่นกันว่า ยังคงมีจุดยืนเดิมและเดินหน้าต่อในสนามเลือกตั้ง กกต. ประชุมพรุ่งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กกต. ในวันจันทร์ นี้ที่ประชุมจะพิจารณาถึงประเด็นข้อกฎหมายในประเด็นนี้ ซึ่งคาดว่า กกต. จะสามารถวินิจฉัยหาข้อยุติได้ โดยใช้มติของที่ประชุม กกต. ชี้ขาด ทั้งนี้หากที่ประชุมเห็นว่า กกต. ไม่มีอำนาจในการตรวจสอบคุณสมบัติ หน้าที่ในการตรวจสอบคุณสมบัติจะอยู่ที่สภาผู้แทนราษฎร คืนวันที่ 8 ก.พ. สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงมีพระราชโองการ ใจความสำคัญว่า พระบรมราชวงศ์ทุกพระองค์ ดำรงอยู่เหนือการเมือง ไม่สามารถดำรงตำแหน่งใดใดในทางการเมืองได้ เมื่อพิจารณาข้อกฎหมายพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (พ.ร.ป. เลือกตั้ง ส.ส.) 2561 แล้ว ดูเหมือนว่า ทษช. ไม่สามารถถอนพระนามของทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนฯ ออกจากนายกฯ ในบัญชีของพรรคได้แล้ว เนื่องจากบทบัญญัติตามกฎหมายนี้ในมาตรา 13 วรรคสอง มาตรานี้ระบุว่า เมื่อพรรคการเมืองแจ้งรายชื่อบุคคลใดตามวรรคหนึ่งแล้ว บุคคลนั้นหรือพรรคการเมืองนั้นจะถอนรายชื่อหรือเปลี่ยนแปลงรายชื่อบุคคลนั้นได้เฉพาะกรณีบุคคลนั้นตายหรือขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้าม และต้องกระทําก่อนปิดการรับสมัครรับเลือกตั้ง ร.ท. ปรีชาพล พงษ์พานิช หัวหน้าพรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) แสดงเอกสารของทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนฯ มหิดล ในฐานะนายกรัฐมนตรีในบัญชีของพรรค ทษช. เมื่อวันที่ 8 ก.พ. ขณะที่รัฐธรรมนูญไม่ได้ให้อำนาจ กกต. ชี้ขาดคุณสมบัติของบุคคลผู้ถูกเสนอชื่อในบัญชีนายกรัฐมนตรีของพรรคการเมือง ไอลอว์ชี้ทางเลือก กกต. เกี่ยวกับเรื่องคุณสมบัติของผู้ชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน หรือไอลอว์ ให้ความเห็นไว้บนเฟซบุ๊กว่า "ทางเลือกที่จะเป็นไปได้ คือ กกต. ต้องสั่งว่า ผู้สมัครขาดคุณสมบัติ" อย่างไรก็ตาม เมื่อดูคุณสมบัติของผู้สมัครเป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว ไอลอว์ ระบุบนเฟซบุ๊กว่า "ก็ไม่เห็นว่า ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนฯ จะขาดคุณสมบัติข้อใด" ซึ่งเป็นไปตามคุณสมบัติของรัฐมนตรีที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ 2560 ตามมาตรา 160 ของรัฐธรรมนูญ 2560 กำหนด คุณสมบัติของรัฐมนตรีไว้ 6 ข้อ 1. มีสัญชาติไทยโดยการเกิด 2. อายุไม่ต่ำกว่า 35 ปี 3. จบการศึกษาไม่ต่ำกว่าปริญญาตรี 4. มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ 5. ไม่มีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง 6. ไม่มีลักษณะต้องห้าม 18 ประการ ตาม ม. 98 (คุณสมบัติในการสมัครเป็น ส.ส.) ไอลอว์ระบุอีกว่า กรณีนี้ที่กฎหมายไม่ได้เปิดช่อง จึงเป็นเรื่องที่ กกต. ต้องหาทางออกว่าจะนำกฎหมายใดมาใช้ ซึ่ง ไอลอว์ ทิ้งคำถามไว้ว่า "หรือจะต้องมีการเสนอแก้ไขกติกาการเลือกตั้งอีกครั้งเพื่อเปิดทางให้ผู้สมัครว่าที่นายกฯ คนพิเศษนี้สามารถถอนตัวได้" พระราชโองการ คือ กฎหมาย ดร. สติธร ธนานิธิโชติ นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญการเลือกตั้ง สถาบันพระปกเกล้า กล่าวกับบีบีซีไทย แนวทางที่เป็นไปได้ในพรุ่งนี้ คือ กกต. ต้องประกาศรายชื่อของบุคคลผู้ถูกเสนอชื่อเป็นแคนดิเดตนายกฯ แต่ต้องพิจารณาว่าจะเป็นการประกาศทุกชื่อที่แต่ละพรรคเสนอไปหรือไม่ หรือประกาศเฉพาะผู้มีคุณสมบัติ นักวิชาการสถาบันพระปกเกล้า ชี้ว่าหากผลออกมา กกต. ไม่ประกาศชื่อแคนดิเดตของ ทษช. ก็จะไม่เกิดผลอะไรกับสถานะของพรรค "ก็เหมือนกับส่งผู้สมัคร ที่ไม่มีคุณสมบัติเท่านั้น กกต. ก็ไม่รับรองคุณสมบัติ" ดร. สติธร กล่าว อย่างไรก็ตาม นักวิชาการผู้นี้ ระบุว่า ยังมีข้อพิจารณาอีกว่า หาก กกต. ตอบว่า ไม่มีหน้าที่ตรวจสอบคุณสมบัติ ก็ต้องดูอีกว่า หน้าที่ในการประกาศชื่อแคนดิเดตของ กกต. ไม่ต้องใช้ดุลพินิจเลยหรือไม่ หรือสามารถใช้ดุลพินิจได้ "อิงจากพระราชโองการ (ชื่อของทูลกระหม่อมอุบลรัตนฯ) ก็คงจะขาดคุณสมบัติ เพราะว่า อย่างที่ทราบกันว่าเชื้อพระวงศ์ไม่สามารถดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้ เพียงแต่ว่าวันนั้น กกต. มีข้อพิจารณาว่า พระองค์เป็นฐานันดรอยู่หรือไม่ ในความหมายว่าเป็นพระบรมวงศานุวงศ์ หรือไม่" ดร. สติธร กล่าวกับบีบีซีไทย "แต่เมื่อมีพระราชโองการแล้ว แปลว่ามีกฎหมายออกมาอ้างอิง พระราชโองการก็ถือเป็นกฎหมายรูปแบบหนึ่ง" ดร. สติธร ระบุและยืนยันสถานะทางกฎหมายของพระราชโองการ ประกาศ สถาบันพระมหากษัตริย์ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เมื่อวันที่ 8 ก.พ. 2562 ว่าเป็นกฎหมายลายลักษณ์อักษร เนื่องจากมีการประกาศในราชกิจจานุเบกษา เคลื่อนไหวยุบพรรค อีกประเด็นหนึ่งที่ กกต. จะพิจารณาในวันพรุ่งนี้ คือ คำร้องของนายไพบูลย์ นิติตะวัน ต่อประเด็นขัดต่อระเบียบ กกต. เรื่องลักษณะต้องห้ามในการหาเสียงเลือกตั้ง ส.ส. หมวด 4 ข้อ 17 ห้ามผู้สมัคร พรรคการเมือง หรือผู้ใดนำสถาบันพระมหากษัตริย์มาเกี่ยวข้องกับการหาเสียงเลือกตั้ง เว็บไซต์มติชนออนไลน์รายงานว่า นายอิทธิพร บุญประคอง ประธาน กกต. ขอไม่แสดงความคิดเห็นว่า การดำเนินการของพรรคไทยรักษาชาติเสี่ยงต่อการยุบพรรคหรือไม่ แต่ยืนยันว่าทุกเรื่องที่ กกต.รับไว้จะพิจารณาไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ดังนั้น กรณีของพรรคไทยรักษาชาติทั้งหมด จะต้องรอการพิจารณาของที่ประชุม กกต. และย้ำว่าจะพิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบ และมีความเป็นธรรมมากที่สุด เว็บไซต์ ฐานเศรษฐกิจ เขียนบทความ เปิดข้อกฎหมาย และขั้นตอนดำเนินคดียุบพรรค ทษช. โดยอ้างอิงระเบียบ กกต. ข้อเดียวกัน ว่าอาจนำไปสู่การยุบพรรค ทษช. เช่นเดียวการอ้างเหตุผลของนายไพบูลย์ นิติตะวัน หัวหน้าพรรคประชาปฏิรูป โดยประกอบมาตรา 90 (2) ของ พ.ร.ป. พรรคการเมือง 2560 ที่บัญญัติถึงการให้พรรคการเมืองสิ้นสุดลง ทษช. มีกรรมการบริหารพรรค รวม 14 คน รวมทั้ง ร.ท. ปรีชาพล พงษ์พานิช หัวหน้าพรรค ขณะที่นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย จะยื่นคำร้องต่อ กกต.ในวันที่ 11 ก.พ. เพื่อแจ้งต่อ กกต. เสนอคำร้องยุบพรรคไทยรักษาชาติให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย โดยระบุว่าขัดต่อระเบียบ กกต. ข้อเดียวกัน ซึ่งเข้าข่ายผิด พ.ร.ป. พรรคการเมือง 2560 มาตรา 92 (2) ที่ระบุว่า เป็นการกระทำอันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เกี่ยวกับประเด็นนี้ ดร. สติธร กล่าวกับบีบีซีไทยว่า การยกเหตุผลเรื่องการกระทำอันอาจเป็นปฏิปักษ์ "กว้างเกินไป" พร้อมอธิบายขั้นตอนว่า กกต. อาจมีความเห็นกว้าง ๆ แล้วส่งต่อศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยตีความ เมื่อถามว่าคำร้องเรื่องการขัดระเบียบ กกต. ประเด็นลักษณะต้องห้ามการหาเสียง จะนำไปสู่การยุบพรรคได้หรือไม่ ดร. สติธร ตอบว่า ไม่เข้าข่ายยุบพรรค แต่อาจเป็นกรรมการบริหารพรรค (กก.บห.) ที่อาจถูกวินิจฉัยตัดสิทธิ์ ตัวกรรมการเองต้องรับผิดชอบ ไม่เกี่ยวข้องกับพรรคโดยรวม "เพราะเป็นมติของ กก. บห. เป็นสิ่งที่ต่างจากกฎหมายเดิมที่ กก.บห. ทำผิดจึงยุบพรรค" นักวิชาการสถาบันพระปกเกล้า ระบุ "อะไรที่เป็นมติ กก.บห. ก็เป็นความรับผิดชอบของ กก.บห. ไป พรรคไม่เกี่ยว" ยกเว้นแต่เป็นกรณีการกระทำล้มล้าง หรือเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งก็เป็นการตีความที่กว้างต้องเป็นดุลพินิจของศาลรัฐธรรมนูญ แต่ทั้งนี้ กกต. ต้องพิจารณามีดุลพินิจเบื้องต้นก่อน "มันเป็นคำที่กว้างทั้งหมด อะไรคือ ล้มล้าง ปฏิปักษ์ เป็นดุลพินิจของศาลรัฐธรรมนูญ"
|
กกต.หารือคุณสมบัตินายกฯ ในบัญชีของพรรคการเมืองในวันพรุ่งนี้ (11 ก.พ.) ท่ามกลางกระแสความไม่แน่นอนของอนาคตพรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.)
|
features-56036460
|
https://www.bbc.com/thai/features-56036460
|
นาซาเผยภาพ “แม่น้ำทองคำ” ในพื้นที่ลักลอบทำเหมืองกลางป่าแอมะซอน
|
ภาพถ่าย "แม่น้ำทองคำ" ที่บันทึกได้จากสถานีอวกาศนานาชาติ (ISS) ทว่าภาพที่ปรากฏเป็นแม่น้ำสายใหญ่ สะท้อนแสงอาทิตย์เป็นประกายทองดูระยิบระยับงดงามนั้น กลับไม่ใช่แม่น้ำที่มีอยู่จริงแต่อย่างใด แต่เป็นบ่อเหมืองจำนวนมหาศาลที่ขุดโดยขบวนการลักลอบหาทองคำ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการตัดไม้ทำลายป่าในภูมิภาคแอมะซอนของอเมริกาใต้ หลังจากที่มีการตัดถนนสายใหญ่ผ่านใจกลางป่าแอมะซอน การลักลอบทำเหมืองทองคำโดยผิดกฎหมายได้เพิ่มสูงขึ้นเป็นอย่างมากในหลายประเทศ ซึ่งภาพที่นาซาบันทึกได้ตั้งแต่เดือน ธ.ค.ของปีก่อนนี้ เป็นบ่อเหมืองจำนวนหลายพันแห่งที่อยู่ในเขต Madre de Dios ทางตะวันออกเฉียงใต้ของเปรู การลักลอบทำเหมืองทองคำซึ่งต้องถางป่าและขุดบ่อเหมือง จนทำให้หน้าดินกลายเป็นแอ่งน้ำขนาดใหญ่ สร้างความเสียหายอย่างหนักให้กับสิ่งแวดล้อม รวมทั้งทำลายความหลากหลายทางชีวภาพของป่าฝนเขตร้อน ซึ่งเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าอย่างเช่นลิงชนิดต่าง ๆ เสือจากัวร์ และผีเสื้อพันธุ์หายาก ปัจจุบันเปรูเป็นประเทศผู้ส่งออกทองคำชั้นนำของโลก ส่วนประชาชนที่มีฐานะยากจนในพื้นที่ป่าแอมะซอนก็นิยมลักลอบทำเหมืองทองคำในเขตป่าทึบ ซึ่งสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำให้กับพวกเขา แท้จริงแล้วแม่น้ำสีทองก็คือบ่อเหมืองจำนวนหลายพันแห่งที่ใช้ลักลอบขุดหาทองคำ การลักลอบทำเหมืองทองอย่างมโหฬาร ยังทำให้สารปรอทที่ใช้ในการสกัดเอาทองคำรั่วไหลลงสู่แหล่งน้ำสำคัญ รวมทั้งปนเปื้อนในบรรยากาศในปริมาณมากด้วย โดยขบวนการลักลอบทำเหมืองทองคำจะขุดบ่อเหมืองไปตามแนวของลำธารสายเก่าในป่า ซึ่งเป็นแหล่งรวมดินตะกอนที่มีแร่ธาตุต่าง ๆ ปะปนอยู่ด้วยมาก รายงานของโครงการ MAAP ซึ่งจับตาเฝ้าระวังปัญหาสิ่งแวดล้อมในภูมิภาคระบุว่า ในปี 2018 การลักลอบทำเหมืองทองคำได้ทำลายพื้นที่ป่าแอมะซอนของเปรูไปแล้วเกือบ 93 ตารางกิโลเมตร
|
องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติสหรัฐฯ หรือนาซา เผยภาพน่าตื่นตะลึงที่บันทึกได้จากสถานีอวกาศนานาชาติ (ISS) โดยภาพที่มองมาจากนอกโลกดังกล่าว แสดงให้เห็นว่ามี "แม่น้ำทองคำ" หลายสาย กำลังไหลผ่านใจกลางผืนป่าแอมะซอนในเขตแดนของประเทศเปรู
|
thailand-50910502
|
https://www.bbc.com/thai/thailand-50910502
|
อนาคตใหม่ : ศาลรัฐธรรมนูญนัดฟังคำวินิจฉัยยุบพรรคอนาคตใหม่ 21 ม.ค.
|
สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญออกเอกสารข่าวชี้แจงว่า ศาลรัฐธรรมนูญได้พิจารณาคำร้องกรณีนายณฐพร โตประยูร อดีตที่ปรึกษาประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน ยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยว่า การกระทำของพรรค อนค. ในฐานะผู้ถูกร้องที่ 1, นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้า อนค. ในฐานะผู้ถูกร้องที่ 2, นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการ อนค. ในฐานะผู้ถูกร้องที่ 3 และคณะกรรมการบริหารพรรค (กก.บห.) อนค. ในฐานะผู้ถูกร้องที่ 4 เป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขหรือไม่ "ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาเห็นว่า คดีนี้มีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะวินิจฉัยได้โดยไม่จำเป็นต้องทำการไต่สวน ทั้งนี้ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 58 วรรคหนึ่ง จึงมีคำสั่งไม่รับคำร้องขอทั้งสองฉบับ" เอกสารศาลรัฐธรรมนูญระบุ 5 พ.ค. 2562 เป็นวันเดียวที่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ได้นั่งอยู่ในรัฐสภา เอกสารข่าวที่ออกมา ถือเป็นยืนยันเอกสารที่กองโฆษก อนค. เผยแพร่ต่อสื่อมวลชนเมื่อวันที่ 22 ธ.ค. ที่ผ่านมา คดีนี้นายณฐพร โตประยูร อดีตที่ปรึกษาประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน เป็นผู้ยื่นคำร้องโดยตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 15 พ.ค. 2562 กล่าวหา อนค. มีแนวคิดและเจตนาล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และขอให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุบพรรค อนค. รวมทั้งเพิกถอนสิทธิการเลือกตั้งของนายธนาธร นายปิยบุตร และ กก.บห.พรรค ทั้งนี้ศาลรัฐธรรมนูญมีมติรับคำร้องไว้พิจารณาเมื่อวันที่ 19 ก.ค. นอกจากนี้ ศาลรัฐธรรมนูญยังมีมติ "รับคำร้อง" คดีนายธนาธรปล่อยเงินกู้ 191.2 ล้านบาทให้แก่พรรคของตัวเองไว้พิจารณา โดยได้แจ้งให้ผู้ถูกร้องยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาภายใน 15 วันนับแต่วันที่ได้รับสำเนาคำร้อง เอกสารข่าวสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญระบุต่อไปว่า ศาลรัฐธรรมนูญได้พิจารณาคำร้องกรณีคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยเพื่อมีคำสั่งยุบ อนค. โดยศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาแล้วเห็นว่า กรณี กกต. อ้างว่า ผู้ถูกร้องกระทำการฝ่าฝืนมาตรา 72 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 ซึ่งบัญญัติว่า ห้ามมิให้พรรคการเมืองและผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในพรรคการเมืองรับบริจาคเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด โดยรู้ว่าควรจะรู้ว่าได้มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือมีเหตุอันควรสงสัยว่ามีแหล่งที่มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย "เมื่อผู้ร้องมีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าผู้ถูกร้องได้กระทำการอันเป็นเหตุให้ศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคผู้ร้อง ตาม พ.ร.ป.พรรคการเมือง มาตรา 92 วรรคหนึ่ง (3) ประกอบมาตรา 93 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 ศาลรัฐธรรมนูญจึงมีคำสั่งรับคำร้องนี้ไว้พิจารณา" เอกสารข่าวศาลรัฐธรรมนูญระบุ กกต. มีมติ 5 ต่อ 2 ให้ยื่นคำร้องยุบพรรค อนค. ในกรณีหัวหน้าปล่อยเงินกู้ให้พรรคตัวเอง ในการประชุม กกต. เมื่อ 11 ธ.ค. แต่ไม่ได้ชี้แจงรายละเอียดใด ๆ ด้าน อนค. นำโดยนายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรค ได้ประกาศฟ้องดำเนินคดีอาญากับ กกต. ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ กรณีเร่งรัดการไต่สวนเพื่อรีบส่งศาลรัฐธรรมนูญให้พิจารณาคดียุบ อนค.
|
ศาลรัฐธรรมนูญนัดอ่านคำวินิจฉัยคดียุบพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) จากหนึ่งในข้อกล่าวหาที่ระบุว่า อนค. มีความเชื่อมโยงกับองค์กรลับ "อิลลูมินาติ" (Illuminati) ในเวลา 11.30 น. ของวันที่ 21 ม.ค. 2563
|
thailand-52131129
|
https://www.bbc.com/thai/thailand-52131129
|
ไวรัสโคโรนา : นายกฯ ประกาศเคอร์ฟิวทั้งประเทศสกัดโควิด-19 ห้ามออกนอกบ้าน 4 ทุ่มถึงตี 4 ยอดตายเพิ่ม 3 ราย ติดเชื้อเพิ่ม 104 ราย
|
สำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เป็นผู้ยืนยันข้อมูลนี้กับสื่อมวลชน ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม เป็นประธาน ช่วงเช้าที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามมีข้อยกเว้นให้กับผู้มีความจำเป็นที่จะต้องเดินทาง ได้แก่ บุคคลากรทางการแพทย์ การขนส่งเวชภัณฑ์ การขนส่งผู้ป่วย การขนส่งด้านพลังงาน และการขนย้ายประชาชนสู่พื้นที่ควบคุม เป็นต้น โดยให้รอฟังรายละเอียดจากการแถลงข่าวของนายกฯ หลังเวลา 18.00 น. มีรายงานว่าการประกาศเคอร์ฟิว เป็นข้อเสนอจากศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคง (ศปม.) ที่มี พล.อ.พรพิพัฒน์ เบญญศรี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เป็นหัวหน้าผู้รับผิดชอบ ด้าน นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) ตอบคำถามผู้สื่อข่าวถึงความเป็นไปได้ในการประกาศเคอร์ฟิวในระหว่างการแถลงข่าวประจำวัน โดยบอกว่า "ขอให้คุณผู้ชมติดตามหน้าจอโทรทัศน์ไว้ เพราะอย่างที่บอกว่านายกฯ มีความห่วงใยทุกคน..." และ "นายกฯ เคยพูดถึงมาตรการจากเบาไปหาหนักตั้งแต่ต้นแล้ว วันนี้ขอให้คุณผู้ชมได้ติดตามเวลาจะประกาศตามหน้าจอทีวี เพื่อให้ได้รับทราบ" นพ.ทวีศิลป์ยังแถลงสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ว่า ไทยพบผู้ติดเชื้อยืนยันเพิ่มขึ้นอีก 104 ราย และเสียชีวิตเพิ่มขึ้น 3 ราย รวมมียอดผู้ป่วยสะสม ณ วันที่ 2 เม.ย. 1,875 ราย ในจำนวนนี้มี 505 รายที่รักษาหายกลับบ้านแล้ว และมีผู้เสียชีวิตสะสม 15 ราย ขณะนี้ถือว่าไทยมีผู้ป่วยโควิด-19 เป็นอันดับที่ 36 ของโลก ในระหว่างการประชุม ศบค. นายกฯ ได้สั่งการให้ชะลอการเดินทางเข้ามาของคนต่างชาติและคนไทย ถึงวันที่ 15 เม.ย. เพื่อลดอัตราการแพร่ระบาดของโควิด-19 ยกเว้นกลุ่มที่ขออนุญาตไว้ก่อนแล้ว ข้อสั่งการนี้เกิดขึ้นหลังพบชายไทยที่เพิ่งเดินทางกลับจากประเทศปากีสถาน เสียชีวิตคารถไฟระหว่างเดินทางกลับภูมิลำเนาใน จ.นราธิวาส ซึ่งชายคนดังกล่าวสามารถผ่านจุดคัดกรองที่สนามบินสุวรรณภูมิมาได้ เพราะวัดอุณหภูมิร่างกายแล้วอยู่ที่ 36 องศาเซลเซียส ไม่เข้าเกณฑ์ถูกกักตัว เกี่ยวกับเรื่องนี้ นพ.ทวีศิลป์ ชี้แจงว่า ตามมาตรการต้องมีการตรวจคัดกรองตั้งแต่ประเทศต้นทาง และการกักกันตัว 14 วันเมื่อถึงไทย แต่ก็พบข้อหละหลวมมากมาย ทั้งไม่ได้มีการกักตัวก่อนมา รวมถึงกินยาลดไข้ก่อนเข้ารับการคัดกรอง ทั้งหมดจึงเป็นที่มาต้องขยายมาตรการชะลอการเดินทางเข้าประเทศ โดยอาจเลื่อนไปเสียหน่อย เดินทางช้าหน่อย ขอให้สบายอกสบายใจจริง ๆ ค่อยมา "ตอนนี้มาแล้วก็ต้องถูก State Quarantine (กักกันโรคที่ศูนย์ควบคุมโรคซึ่งหน่วยงานของรัฐจัดตั้งขึ้น) ระหว่างที่ท่านเดินทางมาอาจจะติดเชื้อกันบนเครื่องบินอีก ซึ่งมาตรการต่าง ๆ มีความเสี่ยงเกือบทั้งสิ้น ถ้าอยู่ที่ตั้ง อยู่นิ่งอยู่กับที่ ทุกคนใช้วิธีนี้เหมือนกันทั่วโลก ปลอดภัยที่สุด" โฆษก ศบค. กล่าว สำหรับผู้เสียชีวิตเพิ่มเติมวันนี้ 3 รายเป็นชายไทยทั้งหมด กทม. เริ่มมาตรการ "เคอร์ฟิวร้านสะดวกซื้อ" ตั้งแต่ 24.00-05.00 น. เป็นวันแรก ขณะที่ยอดผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มอีก 104 ราย จำแนกได้ ดังนี้ กลุ่มที่ 1 ผู้ป่วยที่มีประวัติสัมผัสกับผู้ป่วย หรือเกี่ยวข้องกับสถานที่ที่พบผู้ป่วยก่อนหน้านี้ จำนวน 60 ราย ได้แก่ -กลุ่มสนามมวย 1 ราย -สถานบันเทิง 10 ราย -สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยยืนยันรายก่อนหน้า 41 ราย -เดินทางไปประกอบพิธีทางศาสนาที่อินโดนีเซีย 8 ราย กลุ่มที่ 2 ผู้ป่วยรายใหม่ จำนวน 36 ราย ได้แก่ -กลุ่มผู้เดินทางจากต่างประเทศ 14 ราย แบ่งเป็น คนไทย 11 ราย และต่างชาติ 3 ราย -กลุ่มสัมผัสผู้ป่วยที่เดินทางจากต่างประเทศ 2 ราย -กลุ่มไปสถานที่ชุมนุมชน 8 ราย -กลุ่มผู้ทำงานหรืออาศัยในสถานที่แออัดต้องใกล้ชิดคนจำนวนมาก หรือเกี่ยวข้องกับชาวต่างชาติ 8 ราย -กลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ 2 ราย -อื่น ๆ 9 ราย กลุ่มที่ 3 ผู้ที่ได้รับผลยืนยันทางห้องปฏิบัติการพบเชื้อแต่อยู่ระหว่างรอประวัติและสอบสวนโรค 8 ราย สถิติอื่น ๆ ที่น่าสนใจจากการแถลงข่าวของโฆษก ศบค. อีกชุด คือบรรดาบุคคลที่เดินทางกลับจากต่างประเทศแล้วติดโควิด-19 และกลายเป็นจุดที่รัฐบาลต้องเฝ้าระวังเพิ่มเติม
|
รัฐบาลเตรียมยกระดับมาตรการรับมือกับการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หรือโควิด-19 ในการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเพิ่มเติม โดยกำหนดห้ามประชาชนออกนอกเคหะสถาน (เคอร์ฟิว) ทั่วประเทศ ระหว่างเวลา 22.00-04.00 น. ตั้งแต่วันศุกร์นี้ (3 เม.ย.) เป็นต้นไป
|
thailand-44546330
|
https://www.bbc.com/thai/thailand-44546330
|
ประยุทธ์ถึงอังกฤษพร้อมเสียงเชียร์ "ขอให้ท่านเป็นนายกฯ ต่อ ๆ ไป"
|
พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เดินทางมาถึงทำเนียบนายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักรเมื่อเวลาประมาณ 16.30 น. โดยนางเทรีซา เมย์ นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร ได้ออกมาต้อนรับที่หน้าบ้าน ผู้นำทั้งสองได้จับมือกันก่อนที่จะเข้าไปหารือเป็นเวลาประมาณครึ่งชั่วโมง จนถึงเวลาประมาณ 20.00 น ตามเวลาท้องถิ่นของสหราชอาณาจักร ทำเนียบนายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักรยังไม่มีการเผยแพร่เอกสารเกี่ยวกับการหารือครั้งนี้ผ่านช่องทางสื่อสังคมออนไลน์แต่อย่างใด โดยในช่วงก่อนที่นายกรัฐมนตรีของไทยจะเดินทางไปถึง ได้มีกลุ่มผู้สนับสนุนและผู้ต่อต้านมาชุมนุมที่ด้านนอกบ้านหมายเลข 10 โดยหนึ่งในผู้สนับสนุนกล่าวว่า "เราให้กำลังใจนะคะ เพราะว่ารัฐบาลชุดของนายกฯ ลุงตู่ หรือรัฐบาล คสช. จริง ๆ แล้ว ท่านทำงานหนักนะคะ เหนื่อยนะคะ เพื่อที่จะปฏิรูปประเทศไทยให้ทัดเทียมกับประเทศอื่น ๆ นำความเสมอภาคและความสงบมาสู่ประเทศนะคะ พวกเราเนี่ยออกมาด้วยใจ เราต่างก็เห็นเขาประกาศว่าท่านมา ก็ต่างคนต่างมานะคะ ต่างก็ดีใจ แล้วก็ต่างคนต่างถือป้ายมาเพื่อมาต้อนรับนายกฯ ลุงตู่ นะคะ" ด้านนายใจ อึ๊งภากรณ์ อดีตอาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งปัจจุบันลี้ภัยอยู่ในสหราชอาณาจักร ได้เป็นแกนนำผู้ชุมนุมต่อต้าน พล.อ. ประยุทธ์ "วันนี้มาประท้วงการที่ พล.อ. ประยุทธ์ มาพบกับนายกรัฐมนตรีอังกฤษ เพื่อที่จะเซ็นสัญญาการลงทุน หรือการซื้ออาวุธ หรืออะไรก็ตาม เพราะว่าเรามองว่า รัฐบาลเผด็จการของไทยเป็นรัฐบาลที่ไม่มีความชอบธรรม ยึดอำนาจโดยใช้กระบอกปืน และอีกอย่างหนึ่ง สิ่งที่เราอยากจะฝากไปถึงนักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยที่ไทย ซึ่งก็โดนกลั่นแกล้งตลอดเวลา โดนปราบปรามจากรัฐบาลเผด็จการ ก็คือว่า อย่าไปหวังพึ่งรัฐบาลตะวันตกเพราะนี่เป็นเครื่องพิสูจน์ว่า รัฐบาลอังกฤษ หรือรัฐบาลฝรั่งเศส ไม่จริงใจในการสนับสนุนประชาธิปไตย" นายใจ กล่าว ก่อนหน้านี้ พล.อ. ประยุทธ์ พร้อมคณะเดินทางถึงที่พักโรงแรมรอยัลแลงคาสเตอร์ เมื่อเวลา 08.30น. ตามเวลาท้องถิ่น ท่ามกลางการต้อนรับจากคนไทยในอังกฤษราว 20 คน ที่ผ่านการประสานงานของสถานทูตฯ พล.อ.ประยุทธ์ ทักทายคนไทยที่มาต้อนรับอย่างเป็นกันเอง ขอให้คนไทยอย่าลืมบ้านเกิด และช่วยกันอย่าให้ใครมาทำลายประเทศ คณะของนายกฯประกอบด้วย รัฐมนตรีสำคัญอาทิ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ด้านเศรษฐกิจ นายดอน ปรมัตถ์วินัย รมว. ต่างประเทศ นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว. พาณิชย์ นายอุตตม สาวนายน รมว. อุตสาหกรรม และนายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นางทิพยสุดา สุวรรณะชฎ ภรรยา นายพิษณุ สุวรรณะชฎ เอกอัครราชทูต ณ กรุงลอนดอน มาต้อนรับ พล.อ.ประยุทธ์ ที่สนามบิน ลอนดอน สแตนสเตด เมื่อเครื่องมาถึงเมื่อเช้าตรู่วันที่ 20 มิ.ย. ตามเวลาในอังกฤษ สำหรับการเดินทางเยือนสหราชอาณาจักรครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกในรอบ 4 ปี ของพล.อ.ประยุทธ์ และภารกิจสำคัญคือการพบกับนางเทรีซา เมย์ นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร และนักธุรกิจชั้นนำของอังกฤษ เพื่อเรียกความเชื่อมั่นและเชิญชวนให้เข้าไปลงทุนในประเทศไทย จากรายงานข่าวก่อนหน้านี้ระบุว่า พล.อ. ประยุทธ์ มีกำหนดพบกับนางเมย์ ในเวลา 16:15 น. ของ วันที่ 20 มิ.ย. นาน 30 นาที โดยหัวข้อการหารือจากฝ่ายไทย คือ การเชิญชวนนักธุรกิจของอังกฤษไปลงทุนในโครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ส่วนฝั่งอังกฤษ นอกจากการหารือเกี่ยวกับอีอีซีแล้ว จะพูดถึงการกลับคืนสู่ประชาธิปไตยของประเทศไทยผ่านการเลือกตั้งที่ปราศจากการแทรกแซงและเป็นธรรม รวมทั้งประเด็นด้านพหุภาคที่อังกฤษสนใจ เช่น อาวุธเคมี การใช้แรงงานทาสยุคใหม่ การคุ้มครองสัตว์ป่า และการสาธารณสุข
|
พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา หารือกับนางเทรีซา เมย์ นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร ที่บ้านหมายเลข 10 ถนนดาวน์นิ่ง ขณะที่มีผู้สนับสนุนและผู้ต่อต้าน พล.อ. ประยุทธ์ มาชุมนุมอยู่ที่บริเวณด้านนอก
|
international-45232927
|
https://www.bbc.com/thai/international-45232927
|
โคฟี อันนัน อดีตเลขาธิการยูเอ็น ถึงแก่อสัญกรรม
|
"เขาจากไปอย่างสงบช่วงเช้าวันเสาร์ (18 ส.ค.) หลังมีอาการป่วยในเวลาสั้น ๆ" มูลนิธิซึ่งตั้งตามชื่อเขา ระบุ นายอันนัน เสียชีวิตในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในกรุงเบิร์น ของสวิตเซอร์แลนด์ โดยเขาใช้ช่วงบั้นปลายชีวิตพำนักอยู่ใกล้กับเมืองเจนีวาเป็นเวลาหลายปี นายอันนัน เป็นชาวแอฟริกันผิวดำคนแรกที่ดำรงตำแหน่งเลขาธิการยูเอ็น ระหว่างปี 1997-2006 โดยเป็นการดำรงตำแหน่งสองสมัยซ้อน หลังหมดวาระ เขารับหน้าที่ทูตพิเศษด้านซีเรียของยูเอ็น โดยมีภารกิจสำคัญในการแก้ปัญหาความขัดแย้งอย่างสันติ 1 เดือนก่อนจะเสียชีวิตลง นายอันนันเดินทางไปร่วมงานฉลอง 100 ปีชาตกาล เนลสัน แมนเดลา ที่ประเทศแอฟริกาใต้ แถลงการณ์ของมูลนิธิโคฟี อันนัน ได้ยืนยันข่าวการถึงแก่อสัญกรรมของนายอันนัน พร้อมบรรยายว่าเขาเป็น "รัฐบุรุษของโลกผู้มุ่งมั่นทุ่มเทต่อสู้ตลอดชีวิตเพื่อความยุติธรรมและสร้างสันติภาพให้แก่โลก" "ที่ไหนก็ตามที่มีความทุกข์ทรมานหรือต้องการความช่วยเหลือ เขาจะเอื้อมมือไปสัมผัสประชาชนเหล่านั้นด้วยความเห็นอกเห็นใจและมีความรู้สึกร่วมไปด้วย เขาคิดถึงคนอื่นก่อนตัวเองเสมอ เผื่อแผ่ความเมตตาให้อย่างแท้จริง อบอุ่น และหลักแหลมในทุกสิ่งเขาทำ" ขณะที่นายอันโตนิโอ กูเตร์เรส เลขาธิการยูเอ็นคนปัจจุบันได้แถลงแสดงความเสียใจต่อข่าวการถึงแก่อสัญกรรมของนายอันนัน ว่า "ในหลายแง่มุม นายอันนันเปรียบเสมือนองค์การสหประชาชาติ เขาก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุด และนำพาองค์กรเข้าสู่ยุคสหัสวรรษใหม่โดยไม่มีผู้ใดเทียบได้ทั้งเกียรติยศและความมุ่งมั่น" นางนัน อันนัน ภริยาของนายอันนันอยู่เคียงข้างสามีก่อนเสียชีวิต นักการทูตผู้เกิดในประเทศกานา เสียชีวิตในสมาพันธรัฐสวิส ซึ่งเขาไปใช้ชีวิตที่นั่นในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ นายอันนัน ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพในปี 2001 หลังแสดงบทบาทเป็นสื่อกลางในการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทระหว่างประเทศ ส่งผลยูเอ็นมีบทบาทเชิงรุกในการสร้างสันติภาพให้แก่โลก ในระหว่างการทำงาน เขาต้องเผชิญกับสงครามอิรัก และภาวะเชื้อเอชไอวี/เอดส์ แพร่ระบาดด้วย นายโคฟี อันนัน ได้รับแต่งตั้งเป็นประธานกรรมการที่ปรึกษาเพื่อแก้ปัญหาความขัดแย้งทางเชื้อชาติศาสนาในรัฐยะไข่ ประเทศเมียนมา เมื่อปี 2016
|
นายโคฟี อันนัน อดีตเลขาธิการสหประชาชาติ (ยูเอ็น) เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ จากการอุทิศตนเพื่องานด้านมนุษยธรรม ถึงแก่อสัญกรรม ขณะมีอายุ 80 ปี ที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
|
international-45674929
|
https://www.bbc.com/thai/international-45674929
|
อีลอน มัสก์ จะถูกบีบให้พ้นตำแหน่งผู้บริหารเทสลาหรือไม่ ?
|
อีลอน มัสก์ ดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารของเทสลามาตั้งแต่ปี 2008 ก่อนหน้านี้นายมัสก์เผยแพร่ข้อความทางทวิตเตอร์ว่า เขาสามารถรวบรวมเงินทุนได้มากพอที่จะซื้อหุ้นของเทสลาคืนทั้งหมด และจะทำให้เทสลากลับมาเป็นกิจการส่วนตัวของเขาได้แล้ว ซึ่งข้อความดังกล่าวทำให้มูลค่าหุ้นของเทสลาพุ่งทะยานขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการ ก.ล.ต. ของสหรัฐฯ แถลงว่า ข้อความที่นายมัสก์กล่าวอ้างนั้นเป็นเท็จ และได้ตัดสินใจฟ้องร้องเอาผิดกับเขา ซึ่งหากศาลพิพากษาว่านายมัสก์มีความผิดจริง เขาอาจต้องรับโทษสูงสุดโดยถูกปรับเป็นเงินจำนวนมหาศาล และถูกห้ามนั่งตำแหน่งบริหารของกิจการใด ๆ ในสหรัฐฯ อีก ด้านนายมัสก์ได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาดังข้างต้น และชี้ว่าการยื่นฟ้องเอาผิดกับเขาในครั้งนี้ "ปราศจากเหตุผลและความชอบธรรม" ส่วนทางบริษัทเทสลาปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์กับบีบีซีในเรื่องนี้ การที่อีลอน มัสก์ อาจต้องพ้นจากตำแหน่งผู้บริหารของเทสลานั้น ถือว่าเป็นสภาพการณ์ที่สะเทือนต่อความมั่นคงของทางบริษัทอย่างยิ่ง เพราะเป็นกิจการที่ผูกติดกับตัวตนและบุคลิกรวมทั้งวิสัยทัศน์ของนายมัสก์มาอย่างแน่นแฟ้นแต่เริ่มแรก จนภาพของนายมัสก์และเทสลาในสายตาคนทั่วไปนั้นไม่อาจแยกขาดจากกันได้ คณะกรรมการ ก.ล.ต. ของสหรัฐฯ กล่าวหาอีลอน มัสก์ ว่าฉ้อโกงการซื้อขายหลักทรัพย์ ศ. โจเซฟ กรันด์เฟสต์ จากคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด หนึ่งในอดีตคณะกรรมการ ก.ล.ต. ของสหรัฐฯ แสดงความเห็นกับบีบีซีว่า "เรื่องสำคัญสำหรับเทสลาในตอนนี้คือต้องเร่งหาทางแก้ไข โดยหามาตรการเข้าควบคุมระเบียบวินัยกับนายมัสก์ในทันที ซึ่งมาตรการนี้จะต้องไม่ไปทำลายคุณค่าในตัวของเขาที่มีต่อผู้ถือหุ้นเทสลา" "มีหนทางแก้ไขปัญหาซึ่งเป็นไปได้หลายทาง เช่นมาตรการรุนแรงที่อาจต้องมีการเปลี่ยนตัวซีอีโอ แล้วให้มัสก์รั้งตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายผลิตภัณฑ์เพียงอย่างเดียว หรือใช้มาตรการอย่างเบาที่อาจให้เขามีพี่เลี้ยงขณะใช้ทวิตเตอร์ เพื่อให้แน่ใจว่าทุกข้อความที่เผยแพร่ออกไปนั้น มีผู้ใหญ่ที่มีความรับผิดชอบได้ตรวจทานแล้ว" ศ. กรันด์เฟสต์ ยังชี้ว่า กรณีของนายมัสก์ในครั้งนี้มีความคล้ายคลึงกับคดีของนางมาร์ธา สจวร์ต นักธุรกิจคนดังผู้บริหารสื่อเพื่อการดูแลบ้านและการเรือน ซึ่งต้องโทษจำคุกเมื่อปี 2004 ด้วยความผิดฐานใช้ข้อมูลวงในเพื่อแสวงประโยชน์จากการซื้อขายหุ้น ในกรณีของนางสจวร์ต เธอยินยอมก้าวลงจากตำแหน่งบริหารในบริษัทของตนเอง แต่ก็ยังนั่งเก้าอี้ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายสร้างสรรค์ (Chief creative officer ) ของบริษัทในขณะนั้นอยู่ ซึ่งเทียบกับกรณีของนายมัสก์แล้วยังนับว่าร้ายแรงกว่า เพราะคณะกรรมการ ก.ล.ต. สหรัฐฯ ไม่ได้ยื่นฟ้องให้นายมัสก์ต้องโทษจำคุกด้วย ส่วนบรรดาแฟนคลับผู้ชื่นชอบนายมัสก์ ต่างแสดงความรู้สึกผิดหวังและโกรธเคืองต่อเหตุการณ์ดังกล่าว รวมทั้งแสดงความกังวลถึงอนาคตของบริษัทเทสลากันอย่างล้นหลามทางสื่อสังคมออนไลน์ "ถ้าอีลอน มัสก์ จะไม่พ่นคำพูดแบบพวกหลงตัวเองโง่ ๆ ออกมาไม่หยุดหย่อน เรื่องนี้คงไม่เกิดขึ้น" ผู้ใช้งานกระดานสนทนาของเทสลามอเตอร์สคลับ ที่ใช้ชื่อว่า Avip กล่าว "นี่เป็นเรื่องโง่เง่าและบาดแผลที่ทำตัวเองของอีลอนแท้ ๆ" ผู้ใช้งานกระดานสนทนาอีกรายที่ใช้ชื่อว่า rolosrevenge แสดงความเห็นด้วยเช่นกัน
|
นายอีลอน มัสก์ นักธุรกิจผู้นำด้านเทคโนโลยีคนดัง ต้องประสบปัญหาใหญ่ในชีวิตอีกครั้ง เมื่อคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐฯ (SEC) ยื่นฟ้องต่อศาลเมื่อวานนี้ (27 ก.ย.) ว่าเขาฉ้อโกงการซื้อขายหลักทรัพย์ โดยปล่อยข่าวเท็จเพื่อปั่นราคาหุ้นของเทสลาให้สูงขึ้นตามต้องการ
|
international-38103996
|
https://www.bbc.com/thai/international-38103996
|
ศิลปินใช้กางเกงในสร้างสรรค์งานศิลปะ
|
เมื่อเร็ว ๆ นี้ ศิลปินในเมืองโจฮันเนสเบิร์กได้ร่วมกันจัดโครงการ South Africa Dirty Laundry เพื่อรณรงค์ให้สังคมหันมาตระหนักถึงเรื่องนี้ เจนนี เนเยนฮัส ศิลปินร่วมสมัยซึ่งเผยผ่านประสบการณ์ถูกกระทำทารุณกรรมทางเพศในวัยเด็ก เลือกใช้กางเกงชั้นในผู้หญิงเป็นวัตถุในการแสดงของเธอ เนื่องจากเห็นว่ากางเกงในเป็นสมบัติส่วนตัวและเป็นเสื้อผ้าชิ้นสุดท้ายที่จะถูกปลดเปลื้องก่อนจะถูกข่มขืนหรือถูกทำร้ายทางเพศ เจนนีบอกว่า สิ่งเลวร้ายที่เธอเผชิญส่งผลในแง่ลบต่อการดำเนินชีวิตและการสานสัมพันธ์กับผู้อื่น เธอตั้งกำแพงขวางกั้นตัวเองและต้องอยู่กับความรู้สึกแปลกแยก เจนนีบอกด้วยว่า การได้สร้างผลงานศิลปะในโครงการนี้ทำให้เธอได้ปลดปล่อยความรู้สึกตัวเองและเข้าถึงผู้คนมากขึ้น นนดูสิโม มสิมังกา นักแสดงหญิงคนหนึ่งที่เคยถูกลวนลามเมื่ออายุ 6 ขวบ และเคยถูกทำร้ายทางเพศมากกว่า 1 ครั้ง สร้างศิลปะการแสดงในหัวข้อ On the line บอกเล่าเรื่องราวของผู้ที่ได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจอันเป็นผลมาจากการถูกคุกคามทางเพศ ขณะแสดงมสิมังกามีอารมณ์ร่วมไปด้วย เธอบอกว่ารู้สึกเหมือนถูกกระตุ้น ทำให้ตัวสั่น หัวใจเต้นแรง หายใจติดขัด และหวังอยากบินออกไปให้หลุดพ้นจากสถานการณ์นี้ ไปยังสถานที่ที่ทำให้เธอรู้สึกปลอดภัย แต่เธอเลือกที่จะอยู่ เพราะต้องต่อสู้เพื่อตัวเอง เพื่อที่จะได้มีชีวิตอยู่ และมีอิสระ มสิมังกาบอกด้วยว่า เธอหวังจะใช้ศิลปะการแสดงนี้เชื่อมต่อกับคนอื่น เพราะผู้ที่เคยผ่านเหตุการณ์ทำนองนี้มามักรู้สึกโดดเดี่ยวและคิดว่าตัวเองเป็นคนเดียวที่ต้องทุกข์ทรมาน เธออยากให้ผู้ชมที่ได้ชมการแสดงได้พูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้สึกซึ่งกันและกัน
|
ผู้หญิงในแอฟริกาใต้จำนวนไม่น้อยต้องตกเป็นเหยื่อของการข่มขืนและการใช้ความรุนแรงทางเพศ ซึ่งเรื่องนี้ลุกลามเป็นปัญหาใหญ่ของประเทศ แต่ในเวลาเดียวกันกลับไม่มีการรายงานหรือพูดคุยถึงเรื่องนี้กันมากนัก
|
international-47562092
|
https://www.bbc.com/thai/international-47562092
|
เบร็กซิท : สภาผู้แทนฯ สหราชอาณาจักรมีมติไม่รับญัตติการแยกตัวออกจากอียูโดยไร้ข้อตกลง
|
นายฟิลิป แฮมมอนด์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหราชอาณาจักร (ขวา) ได้เตือนว่า การออกจากอียูโดยไม่ได้ทำข้อตกลงใด ๆ จะทำให้เกิด "ความวุ่นวายอย่างหนัก" การลงมติครั้งนี้ไม่มีผลผูกพันทางกฎหมาย และไม่ตัดโอกาสที่สหราชอาณาจักรจะออกจากอียู แต่เป็นการปูทางให้ ส.ส. ลงมติในญัตติเลื่อนกำหนดเวลาที่ประเทศจะแยกตัวออกจากอียูออกไปได้ โดยการลงมติดังกล่าวจะมีขึ้นในวันที่ 14 มี.ค. หากผ่านความเห็นชอบของ ส.ส. และอียูเห็นพ้องด้วย จะทำให้สหราชอาณาจักรยังไม่ต้องออกจากอียูตามกำหนดเส้นตายเดิมคือวันที่ 29 มี.ค.นี้ นอกจากนี้ ส.ส. ยังมีมติ 374 ต่อ 164 เสียงไม่รับข้อเสนอที่มีการปรับแก้ครั้งที่ 2 ให้เลื่อนกำหนดเส้นตายเบร็กซิทจาก 29 มี.ค. ไปเป็น 22 พ.ค. ศกนี้ เพื่อให้มีเวลาเตรียมตัวสำหรับการออกจากอียูโดยไร้ข้อตกลงใด ๆ ก่อนหน้านี้ นายฟิลิป แฮมมอนด์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้เตือนว่า การออกจากอียูโดยไม่ได้ทำข้อตกลงใด ๆ จะทำให้เกิด "ความวุ่นวายอย่างหนัก" เช่น อัตราว่างงานที่สูงขึ้น ค่าแรงที่ลดลง และราคาสินค้าพุ่งสูงขึ้น ขณะที่นายเจเรมี คอร์บิน ผู้นำฝ่ายค้านจากพรรคเลเบอร์ ออกมาเรียกร้องอีกครั้งให้มีการจัดการเลือกตั้งทั่วไปครั้งใหม่ โดยก่อนหน้านี้ เขาบอกว่า เขาอาจจะสนับสนุนให้มีการลงประชามติครั้งใหม่ แต่ทางเลือกที่เขาอยากได้มากกว่า คือการผลักดันให้มีการเลือกตั้งทั่วไปครั้งใหม่ หรือไม่ก็ให้มีเบร็กซิทตามแนวทางของพรรคเลเบอร์ เบร็กซิท: ทำไมจึงตกลงกันยากนัก เบร็กซิทที่ไร้ข้อตกลงคืออะไร? เบร็กซิทที่ "ไร้ขอตกลง" คือ การที่สหราชอาณาจักรตัดสัมพันธ์ทุกอย่างกับสหภาพยุโรป รัฐบาลของนางเทรีซา เมย์ และหลายฝ่าย เชื่อว่า เบร็กซิทที่ไร้ข้อตกลง จะสร้างความเสียหายอย่างมหาศาลและต้องการให้สหราชอาณาจักรค่อย ๆ ถอนตัวออกจากสหภาพยุโรปมากกว่า แต่ถ้ารัฐสภาไม่สามารถเห็นชอบในข้อตกลงที่นายกรัฐมนตรีอังกฤษนำเสนอร่วมกันได้ และไม่มีข้อตกลงอื่นมาแทนที่ สหราชอาณาจักรจะออกจากสหภาพยุโรปโดยไม่มีข้อตกลง นั่นหมายความว่า สหราชอาณาจักรจะไม่จำเป็นต้องเชื่อฟังสหภาพยุโรปอีกต่อไป และหันไปทำตามเงื่อนไขทางการค้าขององค์การการค้าโลกแทน ธุรกิจจำนวนมากจะถูกเรียกเก็บภาษีอัตราใหม่จากการนำเข้า ส่งออก และบริการ ซึ่งน่าจะเป็นการเพิ่มต้นทุนการดำเนินงานของพวกเขา ราคาสินค้าหลายอย่างในสหราชอาณาจักรก็จะปรับตัวสูงขึ้น สหราชอาณาจักรจะสูญเสียข้อตกทางการค้าที่มีกับประเทศอื่น ๆ ที่เป็นสมาชิกของสหภาพยุโรปด้วย ซึ่งจะต้องมีการเจรจากับประเทศเหล่านั้นใหม่ควบคู่ไปกับการทำข้อตกลงใหม่กับสหภาพยุโรปเองด้วย ผู้ผลิตในสหราชอาณาจักร คาดว่าจะเผชิญความล่าช้าของการส่งชิ้นส่วนประกอบในกระบวนการผลิตที่เกี่ยวพันกับหลายประเทศ สหราชอาณาจักรจะมีอิสระในการกำหนดการควบคุมการตรวจคนเข้าเมืองของตัวเอง อย่างไรก็ตาม ชาวอังกฤษที่ทำงานและใช้ชีวิตในสหภาพยุโรปอาจเผชิญความไม่แน่นอน จนกว่าสถานะของพวกเขาจะมีความชัดเจน คณะกรรมาธิการยุโรประบุแล้วว่า แม้ว่าจะเกิดกรณีเบร็กซิทแบบไร้ข้อตกลงขึ้น นักท่องเที่ยวของสหราชอาณาจักรจะไม่ต้องขอวีซ่าสำหรับการเยือนไม่เกิน 90 วัน พรมแดนระหว่างไอร์แลนด์เหนือ และสาธารณรัฐไอร์แลนด์ จะกลายเป็นพรมแดนภายนอกสำหรับสหภาพยุโรปโดยจะต้องมีการควบคุมการตรวจคนเข้าเมืองและด่านศุลกากร แม้ว่าจะยังไม่มีความชัดเจนการตรวจตราเหล่านั้นจะทำอย่างไรและที่ไหน
|
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ของสหราชอาณาจักร ลงมติไม่รับญัตติการแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (อียู) โดยไร้ข้อตกลง ด้วยคะแนน 312 ต่อ 308 เสียง
|
international-47183853
|
https://www.bbc.com/thai/international-47183853
|
ผู้หญิง : สะท้อนภาพอิหร่านก่อนและหลังการปฏิวัติอิสลาม
|
ช่วงทศวรรษที่ 1930 ในสมัยพระเจ้าชาห์ เรซา ปาห์ลาวี การแต่งกายและผมของผู้หญิงชาวอิหร่านตกอยู่ภายใต้การตรวจสอบอย่างเข้มงวดของทางการ เพราะมีคำสั่งห้ามการสวมผ้าคลุมศีรษะแบบอิสลาม อีกทั้งยังให้อำนาจตำรวจจับถอดสวมผ้าคลุมของผู้ฝ่าฝืนออกในที่สาธารณะ ทว่าในช่วงต้นทศวรรษที่ 1980 หลังจากการปฏิวัติ รัฐบาลใหม่ของสาธารณรัฐอิสลามได้ออกข้อบังคับเรื่องการแต่งกายที่กำหนดให้ผู้หญิงทุกคนต้องสวมฮิญาบเมื่อออกนอกบ้าน นี่คือภาพถ่ายบางส่วนที่สะท้อนให้เห็นชีวิตของผู้หญิงอิหร่านในช่วงก่อนและหลังจากการปฏิวัติ ก่อนการปฏิวัติ ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยเตหะราน ปี 1977 : ขณะที่ผู้หญิงอิหร่านจำนวนมากได้เข้าเรียนในระดับอุดมศึกษาช่วงที่เกิดการปฏิวัติ แต่ช่วงหลายปีหลังจากนั้นตัวเลขดังกล่าวได้เพิ่มขึ้นอย่างมาก ที่เป็นเช่นนี้เพราะส่วนหนึ่งมาจากการที่ทางการอิหร่านโน้มน้าวให้ครอบครัวหัวอนุรักษ์นิยมที่อาศัยอยู่ในชนบทที่ห่างไกลยอมส่งลูกสาวไปเรียนไกลบ้าน บารอนเนสฮาเลห์ อัฟชาร์ ศาสตราจารย์ด้านสตรีศึกษาแห่งมหาวิทยาลับยอร์ก ซึ่งเป็นผู้ที่เติบโตขึ้นในอิหร่านช่วงทศวรรษที่ 1960 เล่าว่า "พวกเขาพยายามกีดกันผู้หญิงไม่ให้เข้าเรียนมหาวิทยาลัย แต่เกิดเสียงตอบรับในแง่ลบ พวกเขาจึงต้องยอมให้ผู้หญิงกลับไปเรียน" "ปัญญาชนหลายคนเดินทางออกจากอิหร่าน และทางการก็ตระหนักว่าการจะขับเคลื่อนประเทศจะต้องให้การศึกษาแก่ทั้งผู้ชายและผู้หญิง" เดินดูของในกรุงเตหะราน ปี 1976 : ก่อนการปฏิวัติ สตรีอิหร่านหลายคนแต่งกายด้วยเสื้อผ้าแบบชาวตะวันตก เช่น กางเกงรัดรูป มินิสเกิร์ต และเสื้อแขนสั้น "รองเท้าไม่เคยเปลี่ยน และความหลงใหลในรองเท้าก็อยู่ในตัวเราทุกคน! ผู้หญิงอิหร่านไม่ต่างไปจากผู้หญิงทั่วโลก และการออกไปชอปปิงก็คือการหลีกหนีจากความเครียดในชีวิตประจำวันของผู้หญิง" ศาสตราจารย์อัฟชาร์ กล่าว ปิกนิกวันศุกร์ในกรุงเตหะราน ปี 1976 : ครอบครัวและเพื่อนฝูงมักรวมตัวกันในวันศุกร์ ซึ่งเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ในอิหร่าน "ปิกนิกคือส่วนสำคัญของวัฒนธรรมอิหร่าน และได้รับความนิยมมากในหมู่ชนชั้นกลาง นี่คือสิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงหลังจากการปฏิวัติ แต่สิ่งที่แตกต่างก็คือ ปัจจุบัน ชายและหญิงที่นั่งด้วยกันจะมีความระมัดระวังมากขึ้น และงดการมีปฏิสัมพันธ์กัน" ศาสตราจารย์อัฟชาร์ กล่าว ร้านทำผมในกรุงเตหะราน ปี 1977 : "นี่คือภาพที่คุณจะไม่ได้พบเห็นในอิหร่านอีกแล้ว แต่หลังจากการปฏิวัติอิสลาม ก็ยังคงมีร้านทำผมเปิดบริการอยู่" ศาสตราจารย์อัฟชาร์ กล่าว "ทุกวันนี้คุณจะไม่เห็นผู้ชายในร้านทำผมสตรี และผู้หญิงจะคลุมผมของพวกเธอทันทีที่เดินออกจากร้าน บางคนอาจเปิดร้านทำผมแบบลับ ๆ ที่บ้าน ซึ่งชายและหญิงสามารถใช้บริการร่วมกันได้" องครักษ์ห้อมล้อมพระเจ้าชาห์ ปี 1971 : หญิงสาวคนหนึ่งเข้าไปหาพระเจ้าชาห์ โมฮัมหมัด เรซา ปาห์ลาวี (คนขวาสุด) ในงานเฉลิมฉลองใหญ่ครบรอบ 2,500 ปีของระบอบกษัตริย์แห่งเปอร์เซีย ซึ่งความยิ่งใหญ่ของงานถูกโจมตีอย่างรุนแรงจากกลุ่มฝ่ายซ้ายและกลุ่มผู้นำศาสนาที่ต่อต้านระบอบกษัตริย์ ศาสตราจารย์อัฟชาร์ เล่าว่า "ในตอนนั้น พระเจ้าชาห์ ไม่เป็นที่ชื่นชอบอย่างมาก และบางคนเชื่อว่าภาพของความฟุ่มเฟือยและความมัวเมานี้นำไปสู่การปฏิวัติในอีก 8 ปีต่อมา" เดินบนถนนที่ปกคลุมไปด้วยหิมะในกรุงเตหะราน ปี 1976 : "คุณไม่สามารถห้ามผู้หญิงออกไปเดินตามท้องถนนในกรุงเตหะรานได้ แต่คุณจะไม่ได้เห็นภาพเช่นนี้ในปัจจุบัน - ต่างหูและการแต่งหน้าของเธอโดดเด่นมากในภาพนี้" ศาสตราจารย์อัฟชาร์ กล่าว "มันมีความคิดเรื่อง 'ความประพฤติที่ถูกทำนองคลองธรรม' ในอิหร่าน ทำให้ทุกวันนี้ผู้หญิงที่เดินตามท้องถนนมักจะสวมเสื้อโค้ทยาวคลุมเข่าและผ้าคลุมผม" หลังการปฏิวัติ ผู้หญิงชุมนุมต่อต้านการสวมฮิญาบ ปี 1979 : หลังจากก้าวขึ้นสู่อำนาจไม่นาน อยาตอลเลาะห์ รูฮอลเลาะห์ โคไมนี ได้ออกกฎหมายให้ผู้หญิงทุกคนต้องสวมผ้าคลุมศีรษะ ไม่ว่าจะนับถือศาสนาหรือมีสัญชาติใด จากนั้นในวันที่ 8 มี.ค. ซึ่งเป็นวันสตรีสากล ผู้หญิงชาวอิหร่านหลายพันคนจากทุกชนชั้นได้พร้อมใจกันออกไปแสดงพลังประท้วงกฎหมายดังกล่าว การประท้วงด้านนอกสถานทูตสหรัฐฯ ในกรุงเตหะราน ปี 1979 : กลุ่มนักศึกษาที่สนับสนุนการปฏิวัติได้จับเจ้าหน้าที่สถานทูตสหรัฐฯ เป็นตัวประกัน ขณะที่กลุ่มผู้ประท้วงต่อต้านสหรัฐฯ อีกหลายพันคนเข้าไปปิดล้อมสถานทูต "ตอนนั้นเป็นเรื่องธรรมดาที่จะเป็นคนหลากประเภทในอิหร่านร่วมแสดงความเกลียดชังอเมริกา" ศาสตราจารย์อัฟชาร์ กล่าว "ทั้งชาวอเมริกันและอังกฤษต่างมีประวัติมายาวนานที่พยายามจะเข้าไปแผ่อิทธิพลและครอบครองน้ำมันในอิหร่าน นั่นจึงทำให้ความไม่ไว้วางใจนี้หยั่งรากลึกมาเป็นเวลานาน" ครอบครัวไปละหมาดวันศุกร์ ปี 1980 : การละหมาดวันศุกร์คือช่วงเวลาที่เหล่าผู้ศรัทธาและสนับสนุนทางการสาธารณรัฐอิสลาม ซึ่งไม่อยากถูกตราหน้าว่าเป็นผู้เห็นต่างจะออกไปรวมตัวกันเพื่อแสดงความสามัคคี ศาสตราจารย์อัฟชาร์ กล่าว "แต่ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องของผู้ชาย ผู้หญิงไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปห้องเดียวกับผู้ชาย พวกเธอนั่งในบริเวณที่แยกออกไปจากพวกผู้ชาย" การซื้อชุดแต่งงานในกรุงเตหะราน ปี 1986 : "ชุดแต่งงานที่โชว์อยู่ล้วนเป็นชุดแบบตะวันตก ผู้หญิงอิหร่านจะสวมชุดในแบบที่เธอต้องการได้ก็ต่อเมื่อเป็นการใส่ในพื้นที่ส่วนตัว" ศาสตราจารย์อัฟชาร์ บอก "งานแต่งและงานเลี้ยงควรต้องแยกชายหญิง ดังนั้นคุณจะสวมอะไรก็ได้ หากในงานมีแต่แขกผู้หญิง แต่หากเป็นงานที่มีทั้งชายและหญิงเข้าร่วม บางคนก็จะจ้างคนเฝ้าประตูสถานที่จัดงาน ขณะที่บางคนติดสินบนให้ตำรวจท้องถิ่น" เดินในเตหะราน ปี 2005 : ไม่ใช่ว่าผู้หญิงทุกคนในอิหร่านจะเลือกสวมชุดสีดำที่คลุมตั้งแต่หัวจรดเท้า เว้นไว้แต่ส่วนของใบหน้า บางคนเลือกที่จะใส่เสื้อตัวนอกและใช้ผ้าคลุมศีรษะแบบหลวม ๆ มากกว่า ศาสตราจารย์อัฟชาร์ บอกว่าคำถามสำคัญคือ คุณจะคลุมผ้าแบบที่เผยให้เห็นผมมากเท่าไหร่ ผู้หญิงที่นี่มีวิธีการขัดขืนเล็ก ๆ ในแบบของตัวเอง และมักพยายามเผยเส้นผมให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ชายหาดทะเลแคสเปียน ปี 2005 : อิหร่านมีกฎห้ามผู้หญิงสวมชุดว่ายน้ำเล่นน้ำในที่สาธารณะ "ชายและหญิงไม่ควรเล่นน้ำด้วยกัน แต่พวกเขาก็หาทางเลี่ยงด้วยการเช่าเรือขับออกไปในทะเลที่ห่างไกล เพื่อพวกเขาจะได้ว่ายน้ำเคียงข้างกันได้" ศาสตราจารย์อัฟชาร์ บอก การเดินขบวนสนับสนุนการสวมฮิญาบในกรุงเตหะราน ปี 2006 : กว่า 25 ปี หลังการปฏิวัติ ผู้หญิงในอิหร่านแสดงพลังสนับสนุนกลุ่มผู้นำสายอนุรักษ์นิยม ด้วยการเดินขบวนประท้วงความล้มเหลวในการบังคับใช้กฎหมายการสวมฮิญาบ โดยผู้หญิงที่เข้าร่วมการชุมนุมครั้งนี้ล้วนสวมชุดคลุมศีรษะจรดปลายเท้า ยกเว้นเพียงหนูน้อยคนนี้ ชมการแข่งฟุตบอลที่ศูนย์การค้าแห่งหนึ่งในกรุงเตหะราน ปี 2008 : แม้อิหร่านจะไม่เคยออกข้อห้ามผู้หญิงชมการแข่งขันฟุตบอลชายอย่างเป็นทางการ แต่พวกเธอมักถูกห้ามไม่ให้เข้าสนาม และคนที่ท้าทายมักถูกจับกุม ซึ่งนี่ขัดแย้งกับช่วงก่อนการปฏิวัติที่ผู้หญิงทุกคนได้รับอนุญาตให้เข้าชมการแข่งขันกีฬาได้อย่างเท่าเทียมกับผู้ชาย ทุกภาพมีลิขสิทธิ์
|
การปฏิวัติอิสลามในอิหร่านเมื่อปี 1979 ไม่เพียงจะเป็นการพลิกโฉมหน้าการเมืองอิหร่าน แต่ยังสร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ให้แก่วิถีชีวิตสตรีชาวอิหร่านด้วย
|
international-49842433
|
https://www.bbc.com/thai/international-49842433
|
สายการบินเจแปนแอร์ไลน์เปิดให้บริการระบุตำแหน่งที่นั่งทารกช่วยผู้โดยสารหลีกเลี่ยงเสียงเด็กร้องงอแง
|
ระบบจองที่นั่งของเจแปนแอร์ไลน์จะแสดงสัญลักษณ์ "หน้าเด็ก" ในตำแหน่งที่นั่งของผู้โดยสารที่เดินทางมาพร้อมเด็กอายุต่ำกว่า 2 ขวบ เว็บไซต์ของสายการบินระบุว่า สัญลักษณ์ดังกล่าวจะ "ช่วยให้ผู้โดยสารคนอื่นได้ทราบว่าจะมีเด็กนั่งอยู่ตรงนั้น" อย่างไรก็ตาม เตือนว่าระบบนี้อาจไม่แสดงข้อมูลตรงตามความเป็นจริงเสมอไป เพราะสัญลักษณ์หน้าเด็กอาจไม่ปรากฏขึ้นหากตั๋วถูกจองผ่านบุคคลที่ 3 หรือมีการเปลี่ยนเครื่องบินในนาทีสุดท้าย สัญลักษณ์ "หน้าเด็ก" บอกตำแหน่งที่นั่งของผู้โดยสารที่เดินทางมาพร้อมเด็กอายุต่ำกว่า 2 ขวบ แม้จะมีคำเตือน แต่ข่าวนี้ได้สร้างความยินดีให้คนจำนวนไม่น้อย หนึ่งในนั้นคือนายราชาต อาห์เหม็ด ผู้ทำงานด้านการเงินและการลงทุน ที่ทวีตข้อความขอบคุณเจแปนแอร์ไลน์ ที่ช่วยเตือนให้เขาทราบถึงตำแหน่งที่จะมีเด็กเล็กนั่ง "นี่ควรเป็นข้อบังคับสำหรับทุกเที่ยวบิน" เขาระบุ พร้อมแนะว่ากาตาร์แอร์เวย์ควรนำเรื่องนี้ "ไปพิจารณา" นายอาห์เหม็ดเล่าว่า "ผมนั่งข้างเด็กเล็ก 3 คนที่ร้องไห้งอแงบนเครื่องบิน (เส้นทางนิวยอร์ก-โดฮา) เมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน" ข้อความทางทวิตเตอร์ของเขาจุดกระแสถกเถียงมากมาย โดยบางคนแสดงความเห็นด้วยกับระบบใหม่ "ที่ยอดเยี่ยม" ในการจองที่นั่งบนเว็บไซต์ของเจแปนแอร์ไลน์ ขณะที่คนอีกส่วนแนะให้ผู้โดยสารเครื่องบินมีความอดทนอดกลั้น "พวกเขาเป็นเพียงทารก เหมือนที่เราต่างเคยเป็นมาก่อน คนเราจำเป็นต้องเรียนรู้ที่จะใจกว้างและอดทน ไม่เช่นนั้นต่อไปคงจะต้องมีการระบุตำแหน่งที่นั่งของพวกหน้าโง่ พวกพูดจาไร้สาระ พวกชอบผายลม พวกคนเมา และอื่น ๆ อีกมากมาย" ผู้ใช้ทวิตเตอร์ที่ชื่อ G Sundar ระบุ ส่วนผู้ใช้บัญชีทวิตเตอร์ที่ชื่อ Andrew Lim ระบุว่า "ผมเคยรู้สึกและพูดแบบเดียวกับที่คุณบอกเป๊ะ แต่หลังจากมีลูกชายของตัวเอง ผมก็เข้าใจหัวอกพ่อแม่ที่ต้องเดินทางกับเด็กมาก ๆ" "ถ้าคุณไม่ชอบใจกับเด็กที่ร้องไห้งอแงบนเครื่องบิน ผมยินดีมากที่จะให้คุณลองใช้เหตุผลกับเด็กเหล่านี้" ส่วน Deirdra Hardimon ผู้ใช้ทวิตเตอร์อีกราย ระบุว่า "เด็กทารกยังไม่มีพัฒนาการพอที่จะสามารถ 'วางแผน' ร้องไห้หรือกรีดร้องได้" ส่วนผู้ใช้ทวิตเตอร์คนอื่นแนะว่าหูฟังแบบป้องกันเสียงรบกวนภายนอกคือคำตอบของปัญหานี้
|
สายการบินเจแปนแอร์ไลน์ของญี่ปุ่นเปิดบริการใหม่ในระบบจองที่นั่งบนเครื่องบิน โดยแสดงตำแหน่งที่มีเด็กเล็กนั่ง เพื่อช่วยให้ผู้โดยสารที่ไม่ต้องการฟังเสียงเด็กร้องกระจองอแง สามารถหลีกเลี่ยงไปจองที่นั่งบริเวณอื่นได้
|
international-46095128
|
https://www.bbc.com/thai/international-46095128
|
มหาสมุทรดูดซับความร้อนของโลกไว้มากกว่าที่คาดถึง 60%
|
ผลการศึกษาล่าสุดชี้ว่า มหาสมุทรดูดซับความร้อนของโลกเอาไว้เกินกว่าที่เคยคาดการณ์กันมาก ตลอดระยะเวลา 25 ปี ซึ่งอยู่ในช่วงระหว่างปี 1991-2016 ที่ผ่านมา ทีมผู้วิจัยพบว่ามหาสมุทรได้ดูดซับพลังงานความร้อนส่วนเกินของโลกไปถึงปีละกว่า 13 เซตตะจูล (Zettajoules) หรือเท่ากับหน่วยพลังงานที่มีค่าเป็นเลข 13 ตามด้วยเลขศูนย์ 21 ตัว พลังงานความร้อนดังกล่าวทำให้มหาสมุทรมีอุณหภูมิสูงขึ้นโดยเฉลี่ย 6.5 องศาเซลเซียสต่อรอบหนึ่งทศวรรษ ซึ่งนับว่าสูงกว่าค่าประมาณการของคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (IPCC) ของสหประชาชาติ ที่เผยออกมาเมื่อปี 2014 ซึ่งค่าประมาณการเดิมคาดว่ามหาสมุทรมีอุณหภูมิสูงขึ้นโดยเฉลี่ย 4.5 องศาเซลเซียสต่อรอบหนึ่งทศวรรษ พลังงานความร้อนที่มหาสมุทรดูดซับจากพื้นผิวและบรรยากาศโลกในแต่ละปี คิดเป็น 150 เท่าของพลังงานที่ใช้ผลิตไฟฟ้าทั่วโลกในช่วงเวลาเดียวกัน ซึ่งนับเป็นปริมาณความร้อนที่สูงกว่าค่าประมาณการเดิมถึง 60% ผู้วิจัยระบุว่าระดับน้ำทะเลอาจเพิ่มสูงขึ้นเร็วกว่าที่เคยมีการทำนายไว้ ก่อนหน้านี้นักวิทยาศาสตร์ทราบเพียงว่า มหาสมุทรดูดซับความร้อนส่วนเกินที่เกิดจากภาวะโลกร้อนไปทั้งหมดราว 90% แต่ไม่ทราบถึงแนวโน้มตัวเลขของค่าพลังงานความร้อนในแต่ละปีอย่างแน่นอน ทำให้ยากที่จะประมาณการเพื่อวางแผนรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศได้อย่างถูกต้อง ดร. ลอร์ เรสแพลนดี ผู้นำทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยพรินซ์ตันบอกว่า ผลการค้นพบนี้ทำให้น่าเป็นห่วงว่าประชาคมนานาชาติจะไม่สามารถบรรลุถึงเป้าหมายของ IPCC ซึ่งมุ่งควบคุมอุณหภูมิโลกไม่ให้เพิ่มขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียสได้ "แผนการหยุดยั้งภาวะโลกร้อน ที่จะจำกัดไม่ให้อุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียสจากระดับในช่วงก่อนยุคอุตสาหกรรมนั้น เดิมก็ถือว่าเป็นไปได้ยากมากอยู่แล้ว แต่การค้นพบของเรายิ่งชี้ว่า แผนการนี้มีความยากลำบากยิ่งขึ้นไปอีกหลายเท่าตัว เพราะความร้อนในมหาสมุทรทำให้โลกรองรับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้น้อยลง" ดร. เรสแพลนดีกล่าว ความร้อนที่เพิ่มขึ้นทำให้ระดับออกซิเจนในน้ำทะเลลดต่ำลง ส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลจำนวนมาก นอกจากนี้ มหาสมุทรที่ร้อนขึ้นจะปลดปล่อยก๊าซออกซิเจนและคาร์บอนไดออกไซด์ออกมามากขึ้น ทำให้ระบบนิเวศใต้ทะเลได้รับผลกระทบจากปริมาณออกซิเจนที่ลดต่ำลง การขยายตัวของน้ำเนื่องจากความร้อน (Thermal expansion) ยังทำให้ระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงเร็วขึ้นอีกด้วย ทั้งนี้ ทีมผู้วิจัยใช้วิธีตรวจวัดความร้อนในมหาสมุทรที่แม่นยำมากขึ้นในการศึกษาครั้งล่าสุด โดยนอกจากจะใช้ข้อมูลของทุ่นสำรวจติดเซ็นเซอร์วัดอุณหภูมิและความเค็มของน้ำทะเลในโครงการ Argo เกือบ 4,000 ตัว ที่ติดตั้งอยู่ทั่วโลกแล้ว ยังใช้การวัดปริมาณออกซิเจนและคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศ ซึ่งมหาสมุทรคายออกมาเมื่อมีอุณหภูมิสูงขึ้นอีกด้วย ซึ่งวิธีนี้ทำให้ทราบถึงข้อมูลเก่าที่ย้อนหลังไปได้หลายปี และนำมาคำนวณเพื่อทราบถึงความร้อนที่เพิ่มขึ้นในท้องทะเลได้ ดร. เรสแพลนดียังเตือนว่า พลังงานความร้อนมหาศาลที่มหาสมุทรดูดซับเอาไว้นั้น อาจถูกคายกลับคืนออกมาได้อีกในช่วงหลายร้อยปีข้างหน้า ตามวงจรการเปลี่ยนแปลงของกระแสน้ำที่ควบคุมการดูดซับและคายความร้อนของมหาสมุทร ซึ่งหมายความว่าการหยุดยั้งภาวะโลกร้อนในอนาคตหลายศตวรรษข้างหน้า มีสถานการณ์ยากลำบากที่น่ากลัวรออยู่
|
ทีมนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยพรินซ์ตันและสถาบันวิจัยสคริปส์ของสหรัฐฯ เผยผลการศึกษาล่าสุดในวารสาร Nature ซึ่งชี้ว่า มหาสมุทรทั่วโลกดูดซับความร้อนส่วนเกินจากปรากฏการณ์เรือนกระจกเอาไว้มากกว่าที่เคยคาดกันถึง 60% ทำให้ความพยายามที่จะหยุดยั้งภาวะโลกร้อนเป็นไปได้ยากยิ่งขึ้น
|
international-38771608
|
https://www.bbc.com/thai/international-38771608
|
นักวิทยาศาสตร์ชี้แมวอาจฉลาดเท่าสุนัข
|
แมวทำคะแนนได้ดีเท่าสุนัขในทดสอบเชิงจิตวิทยาหลายบท นักวิจัยจับแมวบ้าน 49 ตัวมาทดสอบและพบว่าพวกมันสามารถจดจำประสบการณ์ดีๆ อย่างการกินขนมที่ชื่นชอบได้ ซึ่งสิ่งนี้เป็นความจำเฉพาะเจาะจงเกี่ยวกับเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง เช่นเดียวกับที่สุนัขมี หรือที่เรียกว่าความจำอาศัยเหตุการณ์ (episodic memory) ทั้งนี้ นักวจัยได้ทดสอบโดยการสังเกตว่าพวกมันจำได้หรือไม่ว่าชามใดใส่อาหารที่เพิ่งกินไปและชามใดใส่อาหารที่ยังไม่ได้กิน ปรากฏว่า หลังจากเวลาผ่านไป 15 นาที แมวจำข้อมูลเกี่ยวกับชามอาหารว่าคือ "อะไร" และ "ที่ไหน"ได้ ซึ่งอาจแสดงว่าแมวมีความจำอาศัยประสบการณ์ นอกจากนี้ ผลการทดสอบยังชี้ว่าแมวสามารถคงความจำไว้ได้นานกว่าแค่ช่วงเวลาที่วัดผล และความสามารถของพวกมันก็ไม่แพ้สุนัขเมื่อถูกทดสอบเกี่ยวกับความนึกคิด ตอบสนองต่อกิริยาท่าทาง สีหน้าและอารมณ์ของมนุษย์ ถ้าเปรียบเทียบกับมนุษย์ ความทรงจำอาศัยเหตุการณ์ก็เหมือนกับเวลาเรารู้ตัวว่ากำลังคิดถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาแล้ว เช่น อาหารมื้อเช้า การไปทำงานใหม่เป็นวันแรก หรืองานแต่งงานของคนในครอบครัว โดยสิ่งเหล่านี้เป็นความทรงจำเฉพาะที่เกิดขึ้นกับแต่ละบุคคล นายซาโฮะ ทาคากิ นักจิตวิทยา จากมหาวิทยาลัยเกียวโต กล่าวว่า ทั้งแมวและสุนัข ใช้ความทรงจำที่เจาะจงเกี่ยวกับประสบการณ์เดี่ยว ๆ ที่เกิดขึ้นในอดีต ซึ่งอาจจะแปลว่า พวกมันมีความจำอาศัยเหตุการณ์ที่คล้ายกับมนุษย์ และ"ที่น่าสนใจคือแมวอาจจะชอบคิดถึงประสบการณ์ในอดีตเช่นเดียวกับมนุษย์ก็ได้" แมวชอบจำประสบการณ์อดีตหรือไม่? นายทาคากิ กล่าวว่างานวิจัยนี้อาจนำมาใช้ประโยชน์ได้ เพราะการเข้าใจแมวอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น จะช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นระหว่างแมวและมนุษย์ และแท้จริงแล้ว "แมวอาจจะฉลาดเท่าสุนัข ไม่เหมือนที่คนทั่วไปมักคิดว่าสุนัขฉลาดกว่า" เจ้าเหมียวชอบจดจำเรื่องราวในอดีตไหม? ด้าน ศ.ลอรี่ ซานโตส แห่งมหาวิทยาลัยเยล กล่าวว่าการทดลองนี้แสดงให้เห็นได้อย่างดีว่า แมวจดจำข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่ที่มันเคยไปค้นหามาก่อนได้ และยังจำได้ด้วยว่าที่ใดเคยมีอาหารอยู่ ซึ่งข้อมูลนี้จะช่วยนำไปสู่การศึกษาใหม่ ๆ เพื่อทดสอบว่าแมวมีความจำนานแค่ไหน และจำเหตุการณ์เด่น ๆ ในชีวิตได้เหมือนมนุษย์หรือไม่ ส่วนการทดลองต่าง ๆ ก่อนหน้านี้ แสดงว่าสุนัขก็มีความทรงจำที่เชื่อมโยงกับเวลาและสถานที่อันจำเพาะด้วย โดยนักวิทยาศาสตร์ชาวญี่ปุ่นคณะเดียวกันนี้ เคยพบมาแล้วว่า ในการทดสอบทำนองเดียวกัน สุนัขก็มีความทรงจำเรื่องชามใส่อาหารที่มันได้กินไปแล้ว เช่นเดียวกับผลงานของคณะนักวิจัยจากฮังการีเมื่อปีที่แล้ว ซึ่งพบว่าสุนัขสามารถระลึกถึงการกระทำของเจ้าของได้ แม้เราจะไม่ได้เจาะจงสอนให้มันจำก็ตาม
|
ผลการศึกษาของนักวิจัยชาวญี่ปุ่นที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารวิชาการ Behavourial Processes ซึ่งได้ข้อสรุปว่าแมวมีผลการทดสอบหลายข้อที่ชี้ว่าพวกมันความจำดีพอๆ กับสุนัข กำลังทำให้เกิดข้อกังขาเกี่ยวกับแนวคิดที่ว่าสุนัขฉลาดกว่าแมว
|
thailand-39591022
|
https://www.bbc.com/thai/thailand-39591022
|
ไทยอยู่จุดไหน : 5 ปัจจัยเสี่ยงอุบัติเหตุทางถนน
|
ก่อนเทศกาลสงกรานต์ปีนี้ ทางการเร่งเข็นมาตรการรณรงค์ความปลอดภัยทางถนนออกมา โดยบังคับใช้กฎหมายตาม ม.44 กำหนดให้ผู้ขับขี่ ผู้โดยสารรถยนต์ ทั้งส่วนบุคคล-สาธารณะ ต้องคาดเข็มขัดนิรภัยทุกที่นั่ง และยังส่งผลถึงการห้ามบรรทุกผู้โดยสารบนรถกระบะ-แค็ป โดยส่วนหลังนี้เรียกเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าไม่สอดคล้องกับวิถีการใช้รถของ คนไทย จนรัฐต้องยอมผ่อนปรนการบังคับใช้กฎหมายออกไปจนถึงหลังสงกรานต์ ตามรายงานของสหประชาชาติเมื่อปี 2558 ชี้ว่าทั่วโลกมีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนน 1.25 ล้านคนต่อปี และตัวเลขนี้ค่อนข้างคงที่มาตั้งแต่ปี 2550 ทำให้เห็นถึงความ ก้าวหน้าของสิ่งที่ได้ดำเนินการไป แต่ยังไม่เพียงพอ ในรายงานสถานการณ์โลกด้านความปลอดภัยทางถนนยังให้รายละเอียดในเรื่องกฎหมายเกี่ยวกับ 5 ปัจจัยเสี่ยงสำคัญ ได้แก่ความเร็ว เมาแล้วขับ การสวมหมวกนิรภัย การคาดเข็มขัดนิรภัย และการใช้เบาะนิรภัยสำหรับเด็กในรถยนต์ ในส่วนของไทยนั้นถูกจัดอยู่ในกลุ่มประเทศที่ไม่มีกฎหมายจํากัดความเร็ว หรือ จํากัดความเร็วบนถนนในเขตเมืองสูงกว่า 50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่ในแง่กฎหมายว่าด้วยพฤติกรรมเมาแล้วขับนั้นไทยมีกฎหมายกำหนดให้ผู้ขับขี่รถยนต์ห้ามมีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดระหว่าง 0.05 ถึง 0.08 กรัมต่อเดซิลิตรและห้ามมีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดของผู้ขับรถยนต์ ซึ่งเป็นวัยรุ่น/มือใหม่สูงกว่า 0.02 กรัมต่อเดซิลิตร ในเวลาเดียวกันไทยมีกฎหมายและมาตรฐานหมวกนิรภัย ฉบับสมบูรณ์ ส่วนการบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยเข็มขัดนิรภัยนั้น รายงานเมื่อปี 2558 ชี้ว่าไทยอยู่ในกลุ่มที่มีกฎหมายว่าด้วยเข็มขัดนิรภัยกําหนดให้ทุกคนที่นั่งเบาะหน้าต้องคาดเข็มขัดนิรภัย (ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 5 เม.ย.2560 ไทยได้เริ่มบังคับใช้กฎหมายตาม ม.44 กำหนดให้ผู้ขับขี่ ผู้โดยสารรถยนต์ ทั้งส่วนบุคคล-สาธารณะ ต้องคาดเข็มขัดนิรภัยทุกที่นั่ง) แต่ไทยยังไม่มีกฎหมายว่าด้วยเบาะนิรภัยสําหรับเด็ก/กฎหมายว่าด้วยเบาะนิรภัยสําหรับเด็ก ไม่อิงกับอายุ/นํ้าหนัก/ความสูงของเด็กและไม่มีข้อห้ามไม่ให้เด็กนั่งที่เบาะหน้า ห้ามนั่งท้ายกระบะ ต้องให้เวลาปรับตัว ดร.สุเมธ องกิตติกุล นักวิชาการจากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวกับบีบีซีไทยถึงมาตรการห้ามนั่งท้ายรถกระบะว่าแม้จะเป็นมาตรการที่ "ช็อค" ประชาชน แต่ต้องยอมรับว่าคนไทยมีวิถีการใช้รถผิดวัตถุประสงค์ไปจากการออกแบบ โดยรถประเภทนี้ต้องใช้บนถนนที่ใช้ความเร็วต่ำ ประชาชนเองควรเลือกซื้อรถให้ถูกประเภท ไม่ใช่ใช้เอนกประสงค์ ดร.สุเมธ กล่าวว่าการห้ามนั่งท้ายรถกระบะสามารถทำได้แต่ต้องค่อยเป็นค่อยไป โดยระยะแรกอาจประกาศห้ามบนทางหลวงเชื่อมระหว่างภูมิภาค (ทางหลวงเลขตัวเดียว) ก่อน ต่อมาเป็นทางหลวงระหว่างจังหวัด และอาจอนุญาตให้สามารถนั่งท้ายกระบะได้เฉพาะถนนในเขตเทศบาล ไม่ใช่ถนนใหญ่ นอกจากนี้จะต้องให้เวลาประชาชนปรับตัว 1-2 ปี ในเวลาเดียวกันภาครัฐก็จะต้องเร่งทำความเข้าใจให้ประชาชนตระหนักถึงความสำคัญและความปลอดภัย "ครั้งนี้เป็นครั้งแรกว่ารัฐบาลออกมาตรการลักษณะนี้มา เห็นได้ชัดว่ามีแรงต้านค่อนข้างสูง แต่เป็นเรื่องที่ผมรู้สึกยินดีด้วยซ้ำ เพราะอย่างน้อยก็มีการเอามาพูดกันว่ามีความเสี่ยงเรื่องการสูญเสียจากอุบัติเหตุอยู่ ถ้าไม่มีประกาศประชาชนก็จะไม่เคยรู้เรื่องนี้" ใช้กฎหมายอย่างเดียวไม่แก้ปัญหา เพราะประชาชนยังไร้ทางเลือก น.ส.ณิชมน ทองพัฒน์ นักวิจัยอีกคนหนึ่งของทีดีอาร์ไอ เขียนบทความเผยแพร่ทางเว็บไซต์ของทีดีอาร์ไอ "สะท้อนมุมมองกรณีถอยคำสั่ง ห้ามนั่งท้ายกระบะ" โดยระบุว่า แม้ประชาชนจะตระหนักถึงความเสี่ยงเรื่องความปลอดภัยจากการนั่งท้ายกระบะ แต่คนก็ยังขาดทางเลือกในการเดินทาง โดยเฉพาะรถโดยสารสาธารณะที่ปลอดภัยและเพียงพอ ซึ่งรัฐต้องคำนึงในจุดนี้
|
ศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนสรุปตัวเลขอุบัติเหตุในช่วง 7 วันอันตรายในเทศกาลสงกรานต์ปีนี้ว่า ช่วงสองวัน (11-12 เม.ย.) เกิดอุบัติเหตุทั่วประเทศแล้ว 995 ครั้ง มีผู้เสียชีวิต 82 ราย และบาดเจ็บ 1,049 คน
|
thailand-51497480
|
https://www.bbc.com/thai/thailand-51497480
|
วาเลนไทน์ : คำถามยอดฮิตกับคำตอบของกูรูความรัก 3 ยุค
|
น้าเน็ก เจ้าของรายการอย่าหาว่าน้าสอน พี่อ้อยพี่ฉอด แห่งคลับฟรายเดย์ และดำรง พุฒตาล แห่งนิตยสารคู่สร้างคู่สมในอดีต ดำรง พุฒตาล : จำเป็น เพราะสินสอดสร้างคุณค่าให้ว่าที่เจ้าสาว และแสดงมิตรจิตมิตรใจให้กับพ่อแม่ของเจ้าสาวที่เลี้ยงดูลูกมา พี่อ้อย : สินสอดเป็นสิ่งที่พ่อแม่ใช้วัดใจว่าคนคนหนึ่งพร้อมจะดูแลลูกสาวต่อไหม…บางคนไม่เอาสินสอดสักบาท ไม่ได้แปลว่าเขาไม่เห็นคุณค่าของลูกสาว แต่เขาเห็นแล้วว่าคนคนนี้น่ารักมากพอที่จะดูแลลูกสาวต่อไป น้าเน็ก : การแต่งงานคือการรวมกลุ่มของผู้ที่ไม่ได้เกี่ยวพันกันทางสายเลือด…และย้ายไปอยู่กับครอบครัวของบางคน นั่นหมายความว่าอีกครอบครัวต้องเสียแรงงานไป การให้เงินตรงนี้ชดเชยก็เป็นธรรมเนียมอย่างหนึ่ง...การโอ้อวดสินสอด อาจจะดูดีต่อผู้พบเห็น แต่ไม่ได้แสดงให้เห็นว่าเราเข้าใจถึงวัตถุประสงค์จริง ๆ ของการมีสินสอด 2. เริ่มมีเพศสัมพันธ์ตอนอายุ 15 ปี เร็วไปไหม ดำรง : เร็วเกินไป ยังเด็กเกินไป ยังขาดความรับผิดชอบ ยังขาดวิธีคิดที่ลึกซึ้ง ฝ่ายหญิงจะเสียเปรียบมาก อายุ 18 น่าจะกำลังพอดีในเรื่องของสภาพร่างกายและจิตใจ พี่ฉอด : เป็นเรื่องของการรับผิดชอบ...มันไม่ใช่แค่เรื่องท้อง แต่หมายถึงของความรู้สึกของตัวเองด้วย…หากคนที่เราพลาดพลั้งไปมีอะไรด้วยเขาลุกขึ้นและเดินสะบัดไปแบบไม่สนใจใยดีอะไรเลย เราพร้อมไหมที่จะรับผิดชอบความรู้สึกของตัวเอง น้าเน็ก : ผมพยายามคิดแบบแนวคิดเสรีนิยมสุดโต่งเลย ถ้าคุณมีเพศสัมพันธ์ตอนอายุ 15 ปี แล้วคุณท้อง มีลูก แต่คุณสามารถเรียนหนังสือได้ ระบบการศึกษาไม่กีดกัน คุณสามารถทำหน้าที่รับผิดชอบของตัวเองในการหาความรู้ เพื่อที่จะเติบโตเป็นอะไร ผมว่าแบบนั้นการมีเพศสัมพันธ์ตอนอายุ 15 ก็ไม่มีปัญหา…ถ้าเป็นเพศสัมพันธ์เพื่อสันทนาการและมีแบบรับผิดชอบไม่ให้เกิดโรคติดต่อและการตั้งท้องไม่ทำให้ความรับผิดชอบที่ต้องทำถูกลดทอนไป ผมว่าเรื่องนั้นก็ไม่ใช่ปัญหาเช่นกัน 3. ผู้หญิงใช้เซ็กส์ทอย ถือว่าเป็นคนแรงไหม ดำรง : ผมว่าการใช้เซ็กส์ทอยน่าจะดีกว่าการไปมีเซ็กส์กับผู้ชายทั้ง ๆ ที่ยังไม่ถึงวัย ใช้เซ็กส์ทอยอย่างน้อยมันก็ไม่ตั้งท้อง และก็ไม่เสียชื่อด้วย พี่อ้อย-พี่ฉอด : ถ้าน้องไม่ได้ใช้ตอนอยู่บนรถไฟฟ้าก็ไม่น่าจะแรงนะ...มันเป็นคำถามที่คล้าย ๆ กับว่าเดินแก้ผ้าผิดไหม ก็น้องไม่ได้เดินแก้ผ้าตามสยามนี่ น้าเน็ก : ผมว่ามนุษย์ทุกคนมีสิทธิ์เข้าถึงเซ็กส์อย่างเท่าเทียมกัน ทุกรูปแบบทุกวิธีการ ตราบใดที่ไม่สร้างความเดือนร้อนให้ใคร… คุณจะรู้ได้ยังไงว่ารสนิยมทางเพศของผมเป็นอย่างไร ผมอาจจะเป็นผู้ที่ชอบมีเพศสัมพันธ์กับแตงโมก็ได้ แต่ผมก็ทำในบ้านของผม นั่นหมายความว่า มันเกิดในที่ลับ และเป็นเรื่องส่วนบุคคลของผม ไม่ได้สร้างความเดือนร้อนให้ใคร ไม่ใช่เรื่องแปลกที่มนุษย์ทุกผู้นามและเพศสภาพจะใช้ เซ็กส์ทอย โดยเฉพาะผู้หญิงที่ไม่สามารถ ระบายความต้องการทางเพศได้ง่ายเหมือนผู้ชาย
|
1. สินสอดจำเป็นไหม
|
international-41819139
|
https://www.bbc.com/thai/international-41819139
|
เหตุผลทางวิทยาศาสตร์ 5 ข้อ ที่ทำให้คนเห็นผี
|
คนส่วนมากชอบฟังเรื่องผี และหลายคนก็บอกว่ามีประสบการณ์ได้เห็นภูตผีปีศาจในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งมาแล้ว แต่นักวิทยาศาสตร์ที่ค้นคว้าในเรื่องลึกลับเหนือธรรมชาติ กลับบอกว่ายังไม่พบหลักฐานที่ชี้ชัดว่าผีมีจริง แต่มีคำอธิบายสำหรับปรากฏการณ์สยองขวัญที่มีผู้พบเห็นกันมานักต่อนักว่า แท้ที่จริงอาจเกิดขึ้นเพราะสาเหตุทางวิทยาศาสตร์ดังต่อไปนี้ ประสบการณ์เผชิญหน้ากับวิญญาณที่บอกเล่ากันมาบ่อยครั้งก็คือการถูก "ผีอำ" มองเห็นร่างคนหรือถูกเงาดำกดทับจนขยับไม่ได้ รวมทั้งหูก็ได้ยินเสียงประหลาดต่าง ๆ นักวิทยาศาสตร์เรียกปรากฏการณ์นี้ว่า "ความฝันขณะตื่น" (Waking dream ) ซึ่งเป็นภาวะเคลิ้มที่สมองตื่นอยู่แต่ร่างกายยังหลับไม่ตอบสนอง มีความเกี่ยวข้องกับอาการตัวแข็งเป็นอัมพาตขณะหลับอีกด้วย ดร.โจ นิกเคล นักวิจัยอาวุโสของ "คณะกรรมการซีเอสไอ" (Committee for Skeptical Inquiry - CSI ) ซึ่งเป็นหน่วยงานเอกชนที่ส่งเสริมการตรวจสอบปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติด้วยวิธีทางวิทยาศาสตร์ บอกว่าภาวะความฝันขณะตื่นทำให้คนมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ที่เชื่อมโยงกับความกลัวในจิตใจได้ ไม่ว่าจะเป็นคนที่ตายไปแล้วหรือมนุษย์ต่างดาว ส่วนมากจะเห็นว่ามีภูตผีมายืนข้างเตียง บ้างอาจรู้สึกว่าถูกกดทับหรือถูกบีบคอจนร้องไม่ออก "นั่นคือการที่จิตใจเล่นกลกับตัวคุณเอง โดยทำให้เห็นภาพหลอนที่เหมือนจริง ในชีวิตการทำงาน 50 ปีของผม ไม่เคยพบหลักฐานแม้แต่ชิ้นเดียวที่ยืนยันว่าผีมีจริง แต่ตรงกันข้าม ผมกลับพบคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์สำหรับเรื่องผีมากมาย ทั้งสาเหตุที่มาจากการได้ยินเสียงในย่านคลื่นความถี่ต่ำ (อินฟราซาวด์) ความผิดปกติทางอารมณ์หรือสมอง รวมทั้งการอดนอนก็มีส่วนสร้างภาพหลอนได้อย่างมาก" ดร.นิกเคลกล่าว "เวลาที่คุณอดนอนและเหนื่อยล้า ทั้งยังอยู่ในสถานที่ที่บรรยากาศวังเวงน่ากลัว นั่นคือสูตรสำเร็จของการเห็นผีส่วนใหญ่เท่าที่ผมได้เคยตรวจสอบมาเลยทีเดียว" ความกลัวที่ฝังลึกในจิตใจและส่งผลให้เกิดปฏิกิริยารุนแรงทางกาย ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้มองเห็นภูตผีได้ 2. ภาวะกลัวผีและสิ่งลึกลับอย่างรุนแรง (Phasmophobia) ความกลัวที่ฝังลึกในจิตใจและส่งผลให้เกิดปฏิกิริยารุนแรงทางกาย ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้มองเห็นภูตผีได้ โดยนายแบรนดอน อัลวิส ผู้ก่อตั้งสมาคมวิจัยปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติอเมริกัน (APRA) บอกว่าภาวะดังกล่าวสามารถทำให้เกิดอาการแพนิก (Panic Attack) หรือการตื่นตระหนกหวาดกลัวอย่างรุนแรงควบคุมไม่ได้ จนมองเห็นภาพหลอนขึ้นมา "คนที่มีภาวะนี้จะมีอาการหายใจขัด หรือหายใจหอบถี่เร็ว จังหวะการเต้นของหัวใจไม่แน่นอน เหงื่อตก คลื่นไส้อาเจียน อันเนื่องมาจากความกลัวที่ฝังลึกในจิตใจ คนที่เชื่อเรื่องผีอยู่แล้ว เมื่อไปอยู่ในสถานที่หรือสถานการณ์ที่น่าหวาดกลัว ก็มักจะมองเห็นสิ่งเคลื่อนไหวแปลก ๆ แวบไปมาที่หางตาอยู่เสมอ" นายอัลวิสกล่าว 3. การขาดออกซิเจน การขาดออกซิเจนในสมอง (Cerebral anoxia) สามารถทำให้ประสาทสัมผัสและการรับรู้บิดเบี้ยวผิดจากความเป็นจริงออกไปได้ รวมทั้งยังทำให้มองเห็นภาพหลอนได้ง่ายอีกด้วย โดยนายอัลวิสบอกว่าการขาดออกซิเจนในสมองทำให้ผู้ป่วยหนักรู้สึกถึงประสบการณ์แปลก ๆ ขณะใกล้ตาย และมีความรู้สึกว่าวิญญาณล่องลอยออกจากร่างในหลายกรณีด้วย "คนที่เข้าไปในอาคารเก่า ๆ หรือสถานที่ถูกทิ้งร้าง ซึ่งมีเชื้อราและสารพิษอื่น ๆ อยู่มาก อาจเกิดการขาดออกซิเจนในสมองขึ้นชั่วขณะได้ แต่ละคนอาจมีอาการมากน้อยต่างกันไป แต่ก็สามารถทำให้คนเหล่านั้นเชื่อได้ว่าตนเองมองเห็นภูตผีปีศาจเข้าจริง ๆ" 4. ก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์เป็นพิษ ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า ก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์มีความเกี่ยวข้องกับกรณีบ้านผีสิงหลายแห่งมาตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1920 แล้ว โดยมีหลักฐานการวิจัยที่ชี้ว่า เมื่อสมองได้รับก๊าซดังกล่าวเข้าไปมากจะทำให้ร่างกายเกิดอาการวิงเวียนคลื่นเหียน หายใจขัด รู้สึกเหนื่อยล้าสับสน รวมทั้งเห็นภาพหลอนหรือหูแว่วได้ยินเสียงหลอนประสาทได้ คาร์บอนมอนอกไซด์ไม่มีสีและกลิ่น ทำให้ยากที่จะตรวจพบได้ หากสูดดมในปริมาณมากอาจทำให้ถึงแก่ชีวิต โดยในแต่ละปีมีชาวอเมริกันกว่า 500 คนต้องเสียชีวิตด้วยเหตุนี้ ผู้ที่รอดชีวิตจากเหตุคาร์บอนมอนอกไซด์เป็นพิษ ยังอาจมีอาการป่วยต่อไปหลังจากนั้นนานหลายปีได้ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการทำงานของสมอง ทั้งด้านความจำ ความคิด และพฤติกรรม บ่อยครั้งที่มีรายงานว่าผู้ป่วยเห็นภาพหลอน ได้ยินเสียงแว่วต่าง ๆ ทั้งเสียงกระดิ่งและเสียงคนวิ่งไล่กัน รวมทั้งรู้สึกถึงสัมผัสประหลาดคล้ายผีมาแตะต้องตัวอีกด้วย 5. คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ผู้เชี่ยวชาญจากสมาคมวิจัยปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติอเมริกัน (APRA) ยังบอกว่า การที่เกิดจุดอากาศเย็นผิดปกติ หรือมีผู้สัมผัสถึงพลังงานเคลื่อนไหวประหลาดในบางสถานที่นั้น ความรู้สึกดังกล่าวเกิดขึ้นได้จากการเกิดสนามแม่เหล็กไฟฟ้าชั่วคราว ซึ่งหลายครั้งก็เป็นผลมาจากฝีมือมนุษย์นั่นเอง "ภาพหลอนหรือความรู้สึกประหลาดเหมือนหลุดเข้าไปอยู่ในอีกมิติหนึ่งหรืออีกยุคหนึ่ง เกิดขึ้นได้จากสนามแม่เหล็กไฟฟ้าพลังสูง ที่อาจบังเอิญเกิดขึ้นตามธรรมชาติ หรือเกิดจากการทำงานของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการทำงานของสมองชั่วขณะ" นายอัลวิสกล่าว
|
1. ความผิดปกติในการนอน
|
international-53958656
|
https://www.bbc.com/thai/international-53958656
|
ภาพข่าวเด่นจากทั่วโลก 22-28 ส.ค. 2020
|
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ยืนอยู่เคียงข้างนางเมลาเนีย ทรัมป์ สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง, บารอน ลูกชาย และสมาชิกคนอื่น ๆ ในครอบครัว หลังจากกล่าวสุนทรพจน์ยอมรับการเป็นตัวแทนพรรครีพับลิกันลงสมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ 2020 พิธีนี้จัดขึ้นที่ในบริเวณทำเนียบขาว และเป็นช่วงสุดท้ายของการประชุมใหญ่พรรครีพับลิกัน อาห์เหม็ด นาวาซ สำรวจความเสียหายของร้านค้าของเขา หลังจากเฮอร์ริเคนลอรา พัดถล่มเมืองเลกชาร์ลส์ ในรัฐหลุยเซียนา ของสหรัฐฯ มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 6 คน ขณะที่ลมกระโชกแรงถึง 240 กม./ชั่วโมง ส่งผลกระทบอย่างรุนแรง ทำให้บ้านเรือนกว่า 500,000 หลัง ไม่มีไฟฟ้าใช้ คลื่นซัดเข้าใส่กำแพงอ่าวในเมืองพอร์ธคอว์ลของเวลส์ ขณะที่พายุฟรานซิสพัดถล่มสหราชอาณาจักร ทำให้เกิดฝนตกหนักและลมกระโชกแรงเกือบ 129 กม./ชั่วโมง พายุลูกนี้ ทำให้เกิดน้ำท่วมและไฟฟ้าถูกตัดขาด ส่งผลกระทบต่อการเดินทางเป็นบริเวณกว้าง ธงชาติสหรัฐฯ ปลิวไสวอยู่ที่ด้านหน้าอาคารในสังกัดของกรมราชทัณฑ์สหรัฐฯ หลังจากมีการจุดไฟเผาอาคารนี้ในคืนวันที่ 2 ของเหตุความไม่สงบในเมืองเคอโนชา รัฐวิสคอนซิน เกิดการประท้วงที่รุนแรงขึ้นหลังจากตำรวจยิงนายเจคอบ เบลก จากข้างหลังหลายนัด ขณะที่เขาขึ้นรถที่มีลูกของเขา 3 คนนั่งอยู่ข้างใน เมื่อวันที่ 23 ส.ค. ที่ผ่านมา นายชินโซ อาเบะ นายกรัฐมนตรีที่ดำรงตำแหน่งยาวนานที่สุดของญี่ปุ่น ประกาศลาออกด้วยเหตุผลด้านสุขภาพ นายอาเบะ ซึ่งมีอายุ 65 ปี และเผชิญกับอาการลำไส้อักเสบเรื้อรังมานานหลายปี กล่าวว่า เขาไม่ต้องการให้ความเจ็บป่วยของเขาส่งผลกระทบต่อการทำหน้าที่ เขากล่าวขอโทษต่อประชาชนชาวญี่ปุ่นที่ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ให้ครบวาระการดำรงตำแหน่งได้ เจ้าหน้าที่รัฐบาลท้องถิ่นฉีดพ่นยาฆ่าเชื้อที่บ้านหลังหนึ่งในกรุงเม็กซิโกซิตี้ มหาวิทยาลัยจอห์น ฮอปกินส์ ระบุว่า เม็กซิโก มีผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 แล้วมากกว่า 62,000 คน นับตั้งแต่มีการระบาด ถือว่ามากที่สุดเป็นอันดับ 3 ของโลก เหล่าศิลปินแสดงกายกรรมเรื่อง หญิงเลี้ยงแกะกับชายกวาดปล่องไฟ (The Shepherdess and the Chimney Sweep) ของ แฮนส์ คริสเตียน แอนด์เนอร์เซน ในกรุงปราก สาธารณรัฐเช็ก การแสดงนี้ประกอบด้วยนักกายกรรม, นักแสดง, นักเต้น และนักเล่นเปียโน แสดงร่วมกันจากบนหลังคาตึกในเมืองประวัติศาสตร์แห่งนี้ ลิงกระรอก (Squirrel Monkey) ซึ่งมีถิ่นกำเนิดอยู่ในป่าร้อนชื้นของอเมริกากลางและอเมริกาใต้ ถูกนำมาชั่งน้ำหนักประจำปีที่สวนสัตว์ลอนดอนสมาคมสัตววิทยา (ZSL London Zoo) การชั่งน้ำหนักประจำปีจะทำให้เจ้าหน้าที่ดูแลสัตว์ได้บันทึกสถิติที่สำคัญของสัตว์แต่ละตัว และมั่นใจว่า ข้อมูลของสัตว์เหล่านี้มีความถูกต้องตรงกับความเป็นจริง อิน อาร์โบรธ นักแสดงประวัติศาสตร์ แสดงในงานครบรอบ 700 ปี ปฏิญญาอาร์โบรธ (Arbroath Declaration) ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในเอกสารที่คนรู้จักมากที่สุดในประวัติศาสตร์สกอตแลนด์ จดหมายส่วนตัวถึงสมเด็จพระสันตะปาปาจอห์นฉบับนี้ เป็นการเรียกร้องให้พระองค์ทรงช่วยยุติสงครามเรียกร้องเอกราชจากอังกฤษ ซึ่งสู้รบกันมานานหลายสิบปี แบบจำลองโครงกระดูกของไทแรนโนซอรัส เรกซ์ (Tyrannosaurus Rex) ได้รับการทำความสะอาดที่ พิพิธภัณฑ์เกรตนอร์ธ: แฮนค็อก (Great North Museum: Hancock) ในเมืองนิวคาสเซิล อะพอน ไทน์ (Newcastle upon Tyne) สหราชอาณาจักร พิพิธภัณฑ์แห่งนี้มีกำหนดเปิดในวันที่ 1 ก.ย. นี้ หลังจากถูกปิดตั้งแต่เดือนมี.ค. ที่ผ่านมา เพราะการระบาดใหญ่ของโควิด-19 ภาพทุกภาพมีลิขสิทธิ์
|
ภาพข่าวเด่นจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วโลกในสัปดาห์ที่ผ่านมา
|
international-51285703
|
https://www.bbc.com/thai/international-51285703
|
น้ำแข็งละลายที่ทวีปแอนตาร์กติกา ละลานตากับเส้นทางสู่ 'ธารน้ำแข็งแห่งวันสิ้นโลก'
|
ตะกอนลอยผ่านหน้ากล้อง ขณะที่ ไอซ์ฟิน (Icefin) ยานใต้น้ำสีเหลืองสดไร้คนขับที่ควบคุมจากระยะไกล ค่อย ๆ เคลื่อนไปข้างหน้าใต้แผ่นน้ำแข็ง จากนั้น น้ำก็เริ่มใส ไอซ์ฟิน อยู่ลึกใต้แผ่นน้ำแข็งเกือบ 600 เมตร ที่บริเวณแนวหน้าของธารน้ำแข็งขนาดใหญ่ที่เปลี่ยนแปลงเร็วที่สุดแห่งหนึ่งในโลก ทันใดนั้น ก็มีเงาปรากฏขึ้นด้านบน เป็นเงาจากหน้าผาน้ำแข็งที่ยื่นออกมาและถูกปกคลุมไปด้วยดิน ภาพดูไม่ค่อยเหมือนนัก แต่นี่เป็นภาพที่พิเศษ เพราะเป็นภาพแรกที่ได้มาจากเขตแดนที่กำลังเปลี่ยนแปลงโลกของเรา ไอซ์ฟิน เคลื่อนไปถึงจุดที่น้ำอุ่นในมหาสมุทรพบกับผนังน้ำแข็งที่อยู่แนวหน้าธารน้ำแข็งทเวตส์ขนาดมหึมา ซึ่งเป็นจุดที่ธารน้ำแข็งนี้เริ่มละลาย ธารน้ำแข็งแห่ง 'วันสิ้นโลก' นักวิทยาธารน้ำแข็ง เรียกธารน้ำแข็งทเวตส์ว่า ธารน้ำแข็ง "ที่สำคัญที่สุด" ในโลก ธารน้ำแข็งที่ "สุ่มเสี่ยงที่สุด" หรือแม้กระทั่งเรียกว่า ธารน้ำแข็งแห่ง "วันสิ้นโลก" มันมีขนาดมโหฬาร พื้นที่ประมาณสหราชอาณาจักร น้ำทะเลที่เพิ่มขึ้นในแต่ละปีมาจากธารน้ำแข็งแห่งนี้ราว 4% ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงมากสำหรับธารน้ำแข็งเพียงแห่งเดียว ข้อมูลจากดาวเทียมเผยให้เห็นว่า มันกำลังละลายเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ธารน้ำแข็งแห่งนี้ มีน้ำมากพอที่จะทำให้ระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้นได้กว่าครึ่งเมตร ทเวตส์ตั้งอยู่ในจุดสำคัญ ตรงศูนย์กลางของแผ่นน้ำแข็งแอนตาร์กติกาตะวันตก ซึ่งเป็นบริเวณที่มีน้ำแข็งอยู่ในจำนวนที่มากพอจะทำให้ระดับน้ำทะเลเพิ่มขึ้นสูงกว่า 3 เมตรได้ แต่กระนั้นก็ไม่เคยมีความพยายามทำการสำรวจทางวิทยาศาสตร์ขนาดใหญ่ที่ธารน้ำแข็งแห่งนี้มาก่อน จนกระทั่งปีนี้ ทีมงานไอซ์ฟิน พร้อมกับนักวิทยาศาสตร์อีกราว 40 คน เป็นส่วนหนึ่งของทีมงานระหว่างประเทศที่สำรวจธารน้ำแข็งทเวตส์ ซึ่งเป็นโครงการร่วมมือระหว่างสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักร ระยะเวลา 5 ปี มูลค่าโครงการ 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 1,500 ล้านบาท เพื่อทำความเข้าใจว่า ทำไมธารน้ำแข็งแห่งนี้จึงเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โครงการนี้นับเป็นโครงการสำรวจทางวิทยาศาสตร์ที่ซับซ้อนที่สุดและใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์แอนตาร์กติก คุณอาจแปลกใจว่า ทำไมแทบไม่มีใครรู้อะไรเกี่ยวกับธารน้ำแข็งที่มีความสำคัญมากขนาดนี้มาก่อน ผมก็รู้สึกเช่นนั้น ตอนที่ผมได้รับเชิญให้มาติดตามดูการทำงานของนักวิทยาศาสตร์ แล้วผมก็ได้ทราบคำตอบ ตอนที่ผมพยายามจะไปที่นั่นด้วยตัวเอง หิมะบนทางขึ้นลงเครื่องบินทำให้เที่ยวบินจากนิวซีแลนด์มายังแม็กเมอร์โด (McMurdo) ล่าช้า ที่นั่นคือสถานีวิจัยของสหรัฐฯ ในแอนตาร์กติกา นั่นคือความล่าช้าครั้งแรก ก่อนจะเกิดความล่าช้าและความวุ่นวายต่าง ๆ ตามมาอีกหลายครั้ง ทำให้คณะนักวิทยาศาสตร์ใช้เวลาหลายสัปดาห์เพียงเพื่อเดินทางไปยังที่พักของพวกเขา มีอยู่ช่วงหนึ่ง งานวิจัยของทั้งฤดูกาลนั้นเกือบจะไปถึงจุดที่ถูกยกเลิก เพราะว่าพายุทำให้เที่ยวบินไม่สามารถเดินทางจากแม็กเมอร์โดไปยังแอนตาร์กติกาตะวันตกได้นาน 17 วันติดต่อกัน ทำไมธารน้ำแข็งทเวตส์จึงมีความสำคัญ แอนตาร์กติกาตะวันตกเป็นพื้นที่ที่มีพายุเกิดขึ้นมากที่สุดในทวีปแอนตาร์กติกา ซึ่งเป็นทวีปที่มีพายุเกิดขึ้นมากที่สุดในโลก ธารน้ำแข็งทเวตส์ตั้งอยู่ห่างไกลมาก อยู่ห่างจากสถานีวิจัยที่ใกล้ที่สุดมากกว่า 1,600 กม. มีเพียง 4 คนที่เคยไปถึงบริเวณขอบด้านหน้าสุดของธารน้ำแข็ง พวกเขาก็คือคนที่เดินทางมาสำรวจล่วงหน้าเพื่อเตรียมตัวสำหรับโครงการปีนี้นั่นเอง แต่การทำความเข้าใจว่า เกิดอะไรขึ้นที่นี่ เป็นเรื่องจำเป็นสำหรับนักวิทยาศาสตร์ ในการคาดการณ์การเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลในอนาคตได้อย่างแม่นยำ น้ำแข็งในแอนตาร์กติกากักเก็บน้ำจืดของทั้งโลกอยู่ราว 90% และ 80% ของน้ำแข็งนั้นอยู่ทางตะวันออกของทวีป น้ำแข็งในแอนตาร์กติกาตะวันออกหนามาก โดยเฉลี่ยหนากว่า 1.6 กิโลเมตร แต่มันตั้งอยู่บนที่สูง และค่อย ๆ เคลื่อนตัวลงทะเล น้ำแข็งบางส่วนมีอายุเก่าแก่หลายล้านปี ต่างจากแอนตาร์กติกาตะวันตก ซึ่งมีขนาดเล็กกว่า แต่ว่าก็ยังคงมีขนาดใหญ่ และมีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นได้ง่ายกว่ามาก น้ำแข็งในแอนตาร์กติกาตะวันตกไม่ได้ตั้งอยู่บนที่สูง แต่จริง ๆ แล้ว อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล ถ้าพื้นที่แถวนั้นไม่เป็นน้ำแข็ง มันก็คงเป็นมหาสมุทรลึกที่มีเกาะอยู่จำนวนหนึ่ง ผมอยู่ในแอนตาร์กติกา 5 สัปดาห์ ก่อนที่จะขึ้นเครื่องบินสำรวจแอนตาร์กติกาทวินอ็อตเทอร์ของอังกฤษ ไปยังริมสุดของธารน้ำแข็ง ผมจะไปค้างแรมที่นั่นกับทีมงาน ในบริเวณที่เรียกกันว่า เขตน้ำแข็งหลุดจากการยึดเกาะกับพื้นดิน (grounding zone) พวกเขาตั้งค่ายอยู่บนน้ำแข็งเหนือจุดที่ธารน้ำแข็งเจอกับน้ำในมหาสมุทร และต้องทำงานที่ท้าทายที่สุด พวกเขาต้องการเจาะน้ำแข็งลึกลงไปประมาณครึ่งไมล์ (ราว 800 เมตร) ไปถึงจุดที่ธารน้ำแข็งลอยอยู่ ไม่มีใครเคยทำเช่นนี้บนธารน้ำแข็งที่ใหญ่และซับซ้อนขนาดนี้มาก่อน พวกเขาจะใช้รูนี้ในการลงไปให้ถึงจุดที่น้ำทะเลทำให้ธารน้ำแข็งละลายเพื่อหาคำตอบว่า มันมาจากไหน และทำไมจึงทำให้น้ำแข็งละลายได้อย่างรวดเร็วขนาดนี้ พวกเขาไม่มีเวลามากนัก ความล่าช้าต่าง ๆ หมายความว่า มีเวลาเหลือเพียง 2-3 สัปดาห์ในช่วงหน้าร้อนของแอนตาร์กติกา ก่อนที่สภาพอากาศจะเริ่มเลวร้าย ในช่วงที่สมาชิกทีมขุดเจาะติดตั้งอุปกรณ์ ผมช่วยสำรวจแรงสั่นสะเทือนของก้นทะเลใต้ธารน้ำแข็ง ดร.คียา ริเวอร์แมน นักวิทยาธารน้ำแข็ง ที่มหาวิทยาลัยโอเรกอน ใช้สว่านน้ำแข็งในการขุดเจาะลงไป สว่านนี้ทำจากเหล็กสแตนเลสเกลียวขนาดใหญ่ และมีการจุดระเบิดขนาดเล็ก คนที่เหลือช่วยกันขุดรูในน้ำแข็งเพื่อติด "จีโอร็อดส์" (georods) และ "จีโอโฟนส์" (geophones) หูฟังไฟฟ้าที่ใช้ฟังเสียงสะท้อนของรอยแยกที่สะท้อนจากชั้นหินด้านล่างสุดขึ้นมาผ่านชั้นของน้ำและน้ำแข็ง ทเวตส์ตั้งอยู่ที่ก้นทะเล เหตุผลที่นักวิทยาศาสตร์กังวลเกี่ยวกับธารน้ำแข็งทเวตส์คือ การที่ก้นทะเลมีความลาดลง นั่นหมายความว่า ธารน้ำแข็งจะมีความหนามากขึ้นเมื่อเข้าใกล้ชายฝั่ง ที่จุดที่ลึกที่สุด ฐานของธารน้ำแข็งอยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเลกว่า 1 ไมล์ (ประมาณ 1.6 กม.) และมีน้ำแข็งหนาอีก 1 ไมล์ (ประมาณ 1.6 กม.) เหนือจุดนั้น สิ่งที่เหมือนกำลังเกิดขึ้นในตอนนี้คือ กระแสน้ำอุ่นที่อยู่ในระดับลึกกำลังไหลไปทางชายฝั่ง และลงไปใต้แผ่นน้ำแข็งที่อยู่แนวหน้า ทำให้ธารน้ำแข็งละลาย เมื่อธารน้ำแข็งถอยร่นลง ก็จะเผยพื้นผิวน้ำแข็งให้สัมผัสกับกระแสน้ำอุ่นมากขึ้น คล้ายกับการค่อย ๆ เฉือนก้อนชีสจากด้านที่เป็นลิ่มแหลมออกไปเรื่อย ๆ เมื่อพื้นผิวของน้ำแข็งใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ น้ำแข็งก็ละลายมากขึ้น แต่นั่นไม่ใช่ผลกระทบเพียงอย่างเดียว เมื่อบริเวณแนวหน้าของธารน้ำแข็งละลาย น้ำหนักของธารน้ำแข็งที่อยู่ด้านหลังจะผลักดันมันไปข้างหน้าตามแรงดึงดูดของโลก ดร. ริเวอร์แมน อธิบายว่า มันอยากจะ "ไถลออกมา" เธอบอกว่า หน้าผาน้ำแข็งยิ่งสูง ก็จะยิ่งทำให้ธารน้ำแข็ง "ไถล" ออกมาได้มากขึ้น ดังนั้น เมื่อธารน้ำแข็งละลายมากขึ้น ก็จะยิ่งทำให้น้ำแข็งในธารน้ำแข็งมีโอกาสลอยมากขึ้น "ความน่ากลัวก็คือ กระบวนการเหล่านี้จะเร่งตัวขึ้น" เธอกล่าว "มันเป็นวงรอบที่เกิดขึ้นจากผลกระทบของมัน เป็นวงจรเลวร้าย" การสำรวจทางวิทยาศาสตร์ที่ใหญ่ขนาดนี้ ในสภาพแวดล้อมที่เลวร้ายเช่นนี้ ไม่ใช่แค่การส่งนักวิทยาศาสตร์ 2-3 คน ไปยังพื้นที่ที่อยู่ห่างไกลนั้น แต่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์เฉพาะทางจำนวนมาก และเชื้อเพลิงอีกหลายหมื่นลิตร รวมถึง เต็นท์ และอุปกรณ์ในการพักค้างแรมอื่น ๆ รวมถึงอาหารการกิน ผมพักค้างแรมอยู่บนธารน้ำแข็งนาน 1 เดือน นักวิทยาศาสตร์บางคนอยู่นานกว่านั้นอีก อาจจะ 2 เดือนหรือนานกว่านั้น เครื่องบินขนส่งสินค้า C-130 ที่ติดตั้งสกีขนาดใหญ่ ของโครงการแอนตาร์กติกาสหรัฐฯ ต้องขนส่งนักวิทยาศาสตร์และอุปกรณ์ต่าง ๆ ไปยังสถานีหลักที่ตั้งอยู่กลางแผ่นน้ำแข็งแอนตาร์กติกาตะวันตก โดยใช้เที่ยวบินทั้งหมดมากกว่า 12 เที่ยวบิน จากนั้น เครื่องบินที่ขนาดเล็กลงมา คือ เครื่องบินดาโกตา และเครื่องบินทวินอ็อตเทอร์ จะขนส่งคนและสิ่งของไปยังค่ายพักค้างแรม ที่อยู่ห่างไกลหลายร้อยไมล์บนธารน้ำแข็งในทางที่มุ่งหน้าสู่ทะเล ระยะทางยาวไกลมากจนทำให้ต้องมีการตั้งค่ายพักแรมกลางทางเพื่อให้เครื่องบินลงจอดแวะเติมน้ำมันได้ การสำรวจแอนตาร์กติกาของอังกฤษได้มีส่วนช่วยในการเดินทางอันแสนยาวนานนี้ ด้วยการขนเชื้อเพลิงและสิ่งของจำนวนหลายร้อยตันเข้ามาให้ เรือตัดน้ำแข็ง 2 ลำจอดอยู่ที่ด้านข้างหน้าผาน้ำแข็งที่บริเวณปลายคาบสมุทรแอนตาร์กติกาในช่วงฤดูร้อนปีที่แล้วของแอนตาร์กติกา จากนั้นทีมคนขับรถหิมะพิเศษได้ลากสิ่งของข้ามแผ่นน้ำแข็งเป็นระยะทางกว่า 1 พันไมล์ โดยต้องผ่านพื้นที่ที่ยากลำบากและสภาพอากาศเลวร้ายที่สุดแห่งหนึ่งของโลก การเดินทางเป็นไปด้วยความยากลำบาก และใช้ความเร็วสูงสุดได้เพียง 10 ไมล์ต่อชั่วโมง (ประมาณ 16 กม. ต่อชั่วโมง) ขุดเจาะน้ำแข็ง นักวิทยาศาสตร์ที่พักแรมอยู่บริเวณเขตน้ำแข็งหลุดจากการยึดเกาะกับพื้นดิน (grounding zone) มีแผนที่จะใช้น้ำร้อนในการขุดเจาะน้ำแข็ง โดยต้องใช้น้ำ 10,000 ลิตร นั่นหมายถึงต้องละลายหิมะหนัก 10 ตัน ทุกคนใช้พลั่วตักหิมะขึ้นมาใส่ "ฟลับเบอร์" (flubber) ซึ่งทำจากยางมีขนาดเท่ากับสระว่ายน้ำขนาดเล็ก "มันจะเป็นอ่างน้ำวนที่อยู่ใต้สุดของโลก" พอล อังเคอร์ วิศวกรขุดเจาะของโครงการสำรวจแอนตาร์กติกาของอังกฤษ หยอดมุก หลักการง่ายมาก คุณใช้เครื่องต้มน้ำทำให้น้ำร้อน ต่ำกว่าจุดเดือด จากนั้นก็ฉีดมันใส่น้ำแข็ง เพื่อละลายน้ำแข็งลงไปข้างล่าง แต่การขุดเจาะรูขนาด 30 ซม. ลึกลงไปเกือบครึ่งไมล์ (ประมาณ 800 เมตร) ในน้ำแข็งบริเวณแนวหน้าของธารน้ำแข็งที่อยู่ห่างไกลที่สุดในโลกไม่ใช่เรื่องง่าย น้ำแข็งมีความเย็นประมาณ -25 องศาเซลเซียส ดังนั้นรูที่เจาะจึงกลับมาแข็งตัวได้ไว กระบวนการทั้งหมดขึ้นอยู่กับสภาพอากาศที่คาดเดาไม่ได้ ช่วงต้นเดือนมกราคม ฟลับเบอร์เต็ม และอุปกรณ์ทุกอย่างพร้อม แต่เราได้รับคำเตือนว่า พายุอีกลูกกำลังเข้ามา พายุในแอนตาร์กติกาอาจมีความรุนแรงอย่างมาก มันไม่ใช่เรื่องแปลกที่เจอลมความรุนแรงเท่ากับเฮอร์ริเคน และอุณหภูมิที่ต่ำมาก ๆ พายุลูกนี้ถือว่าค่อนข้างเบาสำหรับแอนตาร์กติกา แต่นั่นก็ยังทำให้มีลมกระโชกแรงถึง 80 กม./ชั่วโมง นาน 3 วัน มันพัดพาหิมะมาตกใส่ที่พักแรม ทับถมอุปกรณ์ ต้องหยุดการทำงานทุกอย่าง เรานั่งอยู่ในเต็นท์เล่นไพ่แล้วก็ดื่มชากัน บรรดานักวิทยาศาสตร์คุยกันว่า ทำไมธารน้ำแข็งถึงร่นลงเร็วมากอย่างนี้ พวกเขาบอกว่า สิ่งที่กำลังเกิดขึ้น เป็นผลมาจากผลกระทบที่ซับซ้อนของภูมิอากาศ สภาพอากาศ และกระแสน้ำในมหาสมุทร กุญแจสำคัญคือ น้ำทะเลที่อุ่น ซึ่งไหลมาจากอีกฝั่งหนึ่งของโลก ขณะที่กระแสน้ำกัลฟ์สตรีม (Gulf Stream) เย็นลงระหว่างกรีนแลนด์และไอซ์แลนด์ น้ำจะจมลง น้ำนี้มีความเค็ม ทำให้มันค่อนข้างหนัก แต่ก็ยังมีอุณหภูมิสูงกว่าจุดเยือกแข็งอยู่ราว 1-2 องศาเซลเซียส กระแสน้ำลึกในมหาสมุทรที่เรียกว่า แอตแลนติกคอนเวเยอร์ (Atlantic conveyor) ได้พัดน้ำเค็มที่หนักลงไปทางใต้ของมหาสมุทรแอตแลนติก กระแสลมเปลี่ยน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะกระแสน้ำเย็นรอบขั้วโลกใต้ (Antarctic Circumpolar Current) ที่พัดอยู่ที่ระดับความลึกราว 530 เมตร อยู่ต่ำกว่าชั้นน้ำที่มีอุณหภูมิต่ำกว่านั้นมาก ผิวน้ำของมหาสมุทรแอนตาร์กติกมีความเย็นมาก อยู่ที่ประมาณ -2 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นจุดเยือกแข็งของน้ำเค็ม กระแสน้ำอุ่นรอบขั้วโลกที่อยู่ในระดับลึก พัดพาไปทั่วภูมิภาค แต่ได้รุกล้ำเข้ามาบริเวณริมแอนตาร์กติกาตะวันตกที่เป็นน้ำแข็งเพิ่มมากขึ้น จุดนี้เองที่ทำให้ภูมิอากาศเกิดการเปลี่ยนแปลง นักวิทยาศาสตร์บอกว่า มหาสมุทรแปซิฟิกกำลังร้อนขึ้น และได้เปลี่ยนแปลงรูปแบบกระแสลมนอกชายฝั่งแอนตาร์กติกาตะวันตก ทำให้กระแสน้ำอุ่นที่อยู่ในระดับลึกพัดขึ้นมาท่วมบริเวณทวีปที่จมอยู่ในทะเล "กระแสน้ำเย็นรอบขั้วโลกใต้ที่อยู่ในระดับลึก มีอุณหภูมิอุ่นกว่าน้ำที่อยู่ด้านบนเพียงเล็กน้อย อาจจะอยู่ที่ 1 ถึง 2 องศาเซลเซียส แต่นั่นก็อุ่นพอที่จะทำให้ธารน้ำแข็งละลายได้" เดวิด ฮอลแลนด์ นักสมุทรศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก กล่าว โดยเดวิด เป็นหนึ่งในนักวิทยาศาสตร์ผู้นำการสำรวจที่พักแรมอยู่บริเวณเขตน้ำแข็งหลุดจากการยึดเกาะกับพื้นดิน (grounding zone) ด้วย ผมควรจะเดินทางออกจากแอนตาร์กติกาช่วงปลายเดือนธันวาคม แต่ความล่าช้าต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ทำให้เพิ่งเริ่มการขุดเจาะได้ในวันที่ 7 มกราคม วันนั้นเองเราได้รับโทรศัพท์ผ่านดาวเทียมจากสำนักงานใหญ่โครงการแอนตาร์กติกาของสหรัฐฯ ที่สถานีแม็กเมอร์โด พวกเขาบอกว่า เราไม่สามารถเลื่อนการเดินทางของเราออกจากแอนตาร์กติกาได้อีกต่อไปแล้ว เราจะต้องโดยสารเครื่องบินขนส่งเสบียงที่กำลังจะเดินทางมาถึงที่ค่ายพักแรมในอีกประมาณ 1 ชั่วโมง กลับออกไป มันน่าหงุดหงิดที่จะต้องออกจากที่นั่นก่อนที่จะขุดเจาะรูเสร็จ และอุปกรณ์ทุกอย่างก็ถูกส่งมาแล้ว โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาถึงระยะเวลาที่ใช้ในการเดินทางถึงที่นั่น เรากล่าวคำลา แล้วก็ขึ้นเครื่องบินลำนั้นไป ผมมองไปข้างหลังและเห็นวงล้อด้านบนอุปกรณ์ขุดเจาะกำลังหมุน ม้วนสายยางสีดำกำลังหมุนออกอย่างต่อเนื่อง พวกเขาคงขุดเจาะน้ำแข็งไปได้เกือบครึ่งทางแล้ว เครื่องบินบินขึ้นเหนือค่ายที่พักแรม และมุ่งหน้าไปทางเหนือ ออกไปทางมหาสมุทร นักวิทยาศาสตร์บอกผมว่า เราตั้งค่ายพักแรมบนอ่าวน้ำแข็งเล็ก ๆ ที่ล้อมรอบด้วยพื้นที่ยกตัวขึ้นเป็นรูปเกือบม้า ตอนที่เราบินออกไปที่บริเวณแนวหน้าของธารน้ำแข็ง ผมถึงได้รู้ว่า พื้นที่ตรงนั้นมีความเปราะบางมากจนน่าตกตะลึง แรงมหาศาลที่เกิดจากการทำงานในพื้นที่นี้ จะทำให้น้ำแข็งค่อย ๆ แตกแยกออก ในบางพื้นที่ แผ่นน้ำแข็งขนาดใหญ่ได้แตกออก และถล่มลงเป็นภูเขาน้ำแข็งจำนวนมาก แล้วก็ลอยออกไปอย่างสะเปะสะปะ ในพื้นที่อื่น ที่มีหน้าผาน้ำแข็ง บางแห่งอาจสูงเกือบ 1 ไมล์ (ประมาณ 1.6 กม.) จากก้นทะเล บริเวณแนวหน้าของธารน้ำแข็งมีความกว้างเกือบ 100 ไมล์ (ประมาณ 160 กม.) และกำลังถล่มลงในทะเลในอัตรา 2 ไมล์ (ประมาณ 3 กม.) ต่อปี เป็นอัตราที่น่าตกใจ และนั่นคือเหตุผลว่า ทำไมธารน้ำแข็งทเวตส์จึงมีส่วนสำคัญต่อการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเล ที่ทำให้ผมตกใจก็คือ การรู้ว่า มีอีกกระบวนการหนึ่งที่อาจเร่งให้ธารน้ำแข็งทเวตส์ร่นลงเร็วมากขึ้นไปอีก ภูเขาน้ำแข็ง อัตราการละลายเพิ่มขึ้น ธารน้ำแข็งส่วนใหญ่ที่ไหลลงสู่ทะเล มีสิ่งที่เรียกว่า "ปั๊มน้ำแข็ง" น้ำทะเลมีความเค็มและหนาแน่น ทำให้มันหนัก ส่วนน้ำแข็งที่ละลาย เป็นน้ำจืด จึงมีน้ำหนักเบากว่า เมื่อธารน้ำแข็งละลาย น้ำจืดจะไหลขึ้นข้างบน ดูดเอาน้ำทะเลที่อุ่นกว่าและหนักกว่าด้านล้างขึ้นมา ตอนที่น้ำทะเลเย็น กระบวนการนี้จะเกิดขึ้นช้ามาก ปั๊มน้ำแข็งจะละลายเพียงไม่กี่สิบเซนติเมตรต่อปี และหิมะที่ตกลงมาก็จะช่วยสร้างน้ำแข็งใหม่ขึ้นมาทดแทนกันได้ไม่ยาก แต่นักวิทยาศาสตร์หลายคนบอกว่า กระแสน้ำอุ่นทำให้กระบวนการนี้เปลี่ยนแปลงไป หลักฐานจากธารน้ำแข็งแห่งอื่น ๆ เผยให้เห็นว่า ถ้าคุณเพิ่มปริมาณน้ำอุ่นที่ไหลไปถึงธารน้ำแข็ง ปั๊มน้ำแข็งจะทำงานเร็วขึ้นกว่าเดิมมาก "มันอาจทำให้ธารน้ำแข็งลุกเป็นไฟ" ศ.ฮอลแลนด์ กล่าวว่า "เพิ่มอัตราการละลายได้มากขึ้น 100 เท่าตัว" เครื่องบินขนาดเล็กพาเราไปยังค่ายพักแรมกลางแผ่นน้ำแข็งแอนตาร์กติกา แต่สภาพอากาศที่เลวร้ายทำให้การเดินทางต้องล่าช้าออกไปอีก กว่าที่เครื่องบิน C-130 จะมารับเรากลับไปที่แม็กเมอร์โดได้ ต้องรอถึง 9 วัน ระหว่างนั้นมีนักวิทยาศาสตร์บางส่วนเดินทางมาสมทบ ฤดูกาลนี้ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก พวกเขายืนยันว่า กระแสน้ำอุ่นรอบขั้วโลกใต้ที่ระดับลึกได้ไหลเข้ามาใต้ธารน้ำแข็งและพวกเขาเก็บข้อมูลได้จำนวนมหาศาล ไอซ์ฟิน ยานใต้น้ำไร้คนขับ สามารถปฏิบัติภารกิจได้ถึง 5 ครั้ง ทำการวัดจำนวนมากในน้ำบริเวณใต้ธารน้ำแข็ง และบันทึกภาพน่าพิศวงได้จำนวนหนึ่ง คงต้องใช้เวลาหลายปีในการประมวลผลข้อมูลทั้งหมดที่ทีมงานเก็บมาได้ และรวบรวมการค้นพบให้เป็นแบบจำลองที่ใช้ในการทำนายการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลได้ในอนาคต ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น ธารน้ำแข็งทเวตส์จะไม่หายไปในชั่วข้ามคืน นักวิทยาศาสตร์บอกว่าจะต้องใช้เวลานานหลายสิบปี หรืออาจจะนานกว่า 100 ปี แต่นั่นก็ไม่ควรทำให้เรานิ่งนอนใจ ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น 1 เมตร อาจจะดูไม่มาก เมื่อพิจารณาจากปัจจุบันก็มีน้ำขึ้นน้ำลง 3-4 เมตรอยู่แล้วในแต่ละวันในบางพื้นที่ แต่ ศ.เดวิด วอห์น ผู้อำนวยการด้านวิทยาศาสตร์ของโครงการสำรวจแอนตาร์กติกาของอังกฤษ กล่าวว่า ระดับน้ำทะเลส่งผลกระทบอย่างมากต่อความรุนแรงของคลื่นพายุซัดฝั่ง (storm surge) ลองดูกรุงลอนดอนเป็นตัวอย่าง การเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเล 50 ซม. ทำให้คลื่นพายุซัดฝั่งที่ปกติเกิดขึ้นทุก ๆ 1 พันปี จะเกิดถี่ขึ้นเป็นทุก ๆ 100 ปี ถ้าคุณเพิ่มระดับน้ำทะเลเป็น 1 เมตร คลื่นพายุซัดฝั่งอาจจะเกิดขึ้นทุก ๆ 10 ปีก็ได้ "เมื่อคุณลองคิดดู เรื่องพวกนี้ไม่ได้น่าแปลกใจเลย" ศ.วอห์น กล่าว ขณะที่เรากำลังเตรียมขึ้นเครื่องบินที่จะพาเรากลับไปที่นิวซีแลนด์และเดินทางต่อกลับบ้าน ระดับคาร์บอนไดออกไซด์ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง กำลังทำให้เกิดความร้อนในชั้นบรรยากาศและมหาสมุทรมากขึ้น ความร้อนคือพลังงาน และพลังงานก็ส่งผลต่อสภาพอากาศและกระแสน้ำในมหาสมุทร เขากล่าวว่า ปริมาณพลังงานที่เพิ่มขึ้นในระบบ ทำให้การเปลี่ยนแปลงในระดับโลกก็จะต้องเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ "มันเกิดขึ้นแล้วในอาร์กติก" ศ. วอห์น กล่าว พร้อมกับถอนหายใจ "สิ่งที่เรากำลังพบเจอในแอนตาร์กติกา เป็นเพียงระบบขนาดใหญ่อีกแห่งหนึ่งที่กำลังแสดงปฏิกิริยาในแบบของมันเท่านั้น" ค้นคว้าและทำกราฟิก โดย อลิสัน ทราวส์เดล, เบ็กกี เดล, ลิลลี ฮวีนห์, ไอริน เด ลา ตอร์เร ถ่ายภาพโดย เจ็มมา ค็อกส์ และ เดวิด วอห์น ค้นคว้าเพิ่มเติมโดย ศาสตราจารย์แอนดรูว์ เชปเพิร์ด มหาวิทยาลัยลีดส์
|
ภาพที่ปรากฏแต่แรกดูขมุกขมัว
|
international-48102964
|
https://www.bbc.com/thai/international-48102964
|
อารมณ์มนุษย์ 7 ประเภทที่เปลี่ยนแปลงไป หรือไม่มีอยู่แล้ว
|
อารมณ์ความรู้สึก หรือวิธีที่คนเราประสบและนิยามมัน สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา อย่างไรก็ดี อารมณ์ความรู้สึกของผู้คนในแต่ละที่ไม่เหมือนกัน ลองนึกถึงคำในภาษาเยอรมันอย่าง "Schadenfreude" ซึ่งหมายถึงความรู้สึกพออกพอใจที่ได้จากการเห็นคนอื่นประสบเคราะห์ร้าย นอกจากนี้ ยังมีอารมณ์ประเภทใหม่ ๆ เกิดขึ้นตลอดเวลา อย่างเช่นคำย่อว่า FOMO หรือ Fear of Missing Out ซึ่งคือความรู้สึกวิตกกังวลว่าตัวเองกำลังพลาดสิ่งน่าตื่นเต้นหรือน่าสนใจที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ที่อื่น อารมณ์นี้มักจะเกิดเมื่อได้เห็นเรื่องราวที่มีคนโพสต์ทางโซเชียลมีเดีย อารมณ์ความรู้สึก หรือวิธีที่คนเราประสบและนิยามมัน ก็สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา รายการบีบีซีเรดิโอ 3 พูดคุยกับ ดร.ซาราห์ แชนีย์ ผู้เชี่ยวชาญจากศูนย์ประวัติศาสตร์ด้านอารมณ์ในสหราชอาณาจักร เพื่อหาคำตอบว่าอารมณ์ความรู้สึกในอดีตจะช่วยให้เราเข้าใจสิ่งที่เรากำลังรู้สึกอยู่ในปัจจุบันได้อย่างไร และนี่คืออารมณ์บางประเภทที่เราอาจไม่เคยได้ยินกัน 1.อาซีเดีย (Acedia) อาซีเดียเป็นคำที่ใช้กับวิกฤตทางจิตวิญญาณของนักบวชโดยเฉพาะ อาซีเดียเป็นความรู้สึกของผู้ชายเฉพาะกลุ่มในยุคกลาง นั่นก็คือนักบวชในโบสถ์นั่นเอง บ่อยครั้งที่พวกเขารู้สึกถึงอารมณ์นี้จากการเผชิญวิกฤติทางจิตวิญญาณ ผู้มีความรู้สึกนี้จะรู้สึกสิ้นหวัง เฉื่อยชา และที่สำคัญที่สุดคือต้องการจะละทิ้งชีวิตนักบวช ดร.แชนีย์ บอกว่า นี่อาจเทียบได้กับภาวะซึมเศร้าในยุคปัจจุบัน แต่อาซีเดียเป็นคำที่ใช้กับวิกฤตทางจิตวิญญาณของนักบวชโดยเฉพาะ เมื่อเวลาผ่านไป คำว่า อาซีเดีย เกือบจะใช้แทนกันได้กับคำว่า "sloth" ซึ่งหมายถึงความขี้เกียจ ซึ่งเป็นหนึ่งในบาป 7 ประการ 2.เฟรนซี่ (Frenzy) ดร.แชนีย์ บอกว่านี่เป็นอารมณ์ความรู้สึกจากยุคกลาง เหมือนกับความโกรธ แต่เป็นความรู้สึกเฉพาะกว่าคำว่าโกรธที่เราใช้อยู่ในปัจจุบัน ส่วนคำภาษาไทยที่ใกล้เคียงที่สุดอาจจะเป็นคำว่า คุ้มคลั่ง นั่นเอง ดร.แชนีย์ บอกว่า "คนที่รู้สึกถึงอารมณ์ "เฟรนซี่" จะกระวนกระวายมาก รู้สึกโกรธเกรี้ยว กระฟัดกระเฟียด และส่งเสียงโวยวาย" นั่นหมายความว่า เราไม่สามารถพูดได้ว่าคน ๆ หนึ่งกำลังนั่ง "คุ้มคลั่ง" อยู่เงียบ ๆ ได้นั่นเอง อารมณ์ประเภทนี้ทำให้เรานึกถึงความคิดเราในปัจจุบันที่มักจะคิดว่าอารมณ์คือสิ่งที่เกิดขึ้นภายในเป็นหลัก เป็นสิ่งที่เราซ่อนไว้ภายในได้หากพยายามมากพอ 3. เมลันโคลี (Melancholy) จนถึงศตวรรษที่ 16 เชื่อกันว่าสุขภาพเป็นผลมาจากความสมดุลของของเหลว 4 อย่างในร่างกายคือ เลือด เสมหะ น้ำดีเหลือง และน้ำดีดำ ทุกวันนี้ เราใช้คำว่า เมลันโคลี สำหรับความรู้สึกเศร้าซึมอย่างครุ่นคิด แต่ ดร.แชนีย์ บอกว่า ในสมัยก่อนหน้านี้ คิดกันว่า เมลันโคลี เป็นความเจ็บปวดทางร่างกาย จนถึงศตวรรษที่ 16 เชื่อกันว่าสุขภาพเป็นผลมาจากความสมดุลของของเหลว 4 อย่างในร่างกายคือ เลือด เสมหะ น้ำดีเหลือง และน้ำดีดำ โดยเชื่อกันว่า เมลันโคลี จะเกิดขึ้นเมื่อร่างกายคนเรามีน้ำดีดำมากเกินไป "ในบางกรณี คนหวาดกลัวที่จะเคลื่อนไหวร่างกายเพราะพวกเขาคิดว่าร่างกายตัวเองทำจากแก้วและอาจจะแตกหักได้" ดร.แชนีย์ กล่าว เป็นที่รู้กันดีว่าพระเจ้าชาร์ลส์ ที่ 6 แห่งฝรั่งเศส ก็ทรงมีอาการหลอนว่าพระองค์มีอาการนี้ด้วย และทรงให้มีการเย็บแท่งโลหะเข้ากับเสื้อผ้าพระองค์เพื่อป้องกันไม่ให้ร่างตัวเองแตกหักโดยอุบัติเหตุ 4.นอสตาลเจีย (Nostalgia) "เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นขณะพวกเขาอยู่ไกลบ้าน เป็นความรู้สึกโหยหาอยากกลับบ้าน" คุณอาจจะคิดว่ารู้จักคำว่า นอสตาลเจีย ดีแล้ว ซึ่งหมายถึงความรู้สึกโหยหาอดีต แต่ ดร.แชนีย์ บอกว่า ในตอนแรก มีการใช้คำนี้โดยคิดว่าเป็นโรคทางร่างกาย "มันเป็นโรคของกะลาสีเรือในศตวรรษที่ 18 เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นขณะพวกเขาอยู่ไกลบ้าน เป็นความรู้สึกโหยหาอยากกลับบ้าน" นอสตาลเจีย ในศตวรรษที่ 18 เป็นลักษณะอาการทางร่างกาย กะลาสีจะรู้สึกเหนื่อยล้า เฉื่อยชา และรู้สึกเจ็บปวดโดยไร้สาเหตุ ทำให้ไม่สามารถทำงานได้ กรณีร้ายแรงอาจส่งผลให้คนเสียชีวิตได้ ซึ่งไม่เหมือนกับความหมายคำในปัจจุบันที่หมายถึงการหวนหาวันดี ๆ ในอดีต 5.เชลล์ ช็อก (Shell shock) เชลล์ ช็อก มีที่มาจากอาการช็อกของทหารที่ผวาจากระเบิดในสงคราม หลายคนรู้จักคำว่า เชลล์ ช็อก ซึ่งมีที่มาจากอาการช็อกของทหารที่ผวาจากระเบิดในสงคราม อย่างไรก็ดี ในอดีต เชลล์ ช็อก เป็นที่รู้จักกันคล้ายกับ เมลันโคลี และนอสตาลเจีย ตรงที่เป็นอาการที่คาบเกี่ยวกันระหว่างทางจิตและกาย ดร.แชนีย์ บอกว่า "คนที่เจ็บป่วยจากอาการเชลล์ช็อกมีอาการชักกระตุกอย่างแปลกประหลาดและมักสูญเสียความสามารถในการเห็นและได้ยิน แม้ว่าดูจากภายนอกร่างกายพวกเขาดูจะไม่ได้มีอะไรผิดปกติ" ดร.แชนีย์ บอกว่า ตอนช่วงต้นของสงครามโลกครั้งที่ 1 คนคิดกันว่าอาการนี้เกิดจากการผวาระเบิดซึ่งส่งผลกระทบไปถึงสมอง อย่างไรก็ตาม ในเวลาต่อมาความคิดในเรื่องนี้เปลี่ยนไป เป็นมองว่าอาการเหล่านี้เกิดจากประสบการณ์ที่คนไข้ต้องเผชิญและจากสภาพอารมณ์ของพวกเขา 6.ไฮโปคอนดริอาซิส (Hypochondriasis) แม้คนจะมีอาการทางร่างกายให้เห็น แต่ก็เชื่อกันว่าเป็นจิตใจต่างหากที่กำลังมีอาการป่วย จนถึงศตวรรษที่ 19 ไฮโปคอนดริอาซิส กลายเป็นที่รู้จักว่าเป็นอาการในเชิงอารมณ์เท่านั้น ดร.แชนีย์ บอกว่า เป็นอาการของผู้ชายซึ่งสามารถเทียบเท่าได้กับสิ่งที่แพทย์ในยุควิคตอเรียนเรียกว่า "ฮิสทีเรีย" ของผู้หญิง เธอบอกว่า ว่ากันว่าอาการนี้ทำให้รู้สึกเหนื่อยล้า เจ็บปวด และมีปัญหาด้านระบบขับย่อย ในศตวรรษที่ 17 และ 18 คิดกันว่าเป็นอาการที่มีสาเหตุจากม้าม แต่ต่อมาคิดว่ามีสาเหตุจากระบบประสาท คนสมัยวิคตอเรียนเชื่อกันว่าอาการทางร่างกายเกิดจาก ไฮโปคอนดริอาซิส หรือการหมกมุ่นเรื่องสุขภาพตัวเองเกินเหตุ นั่นหมายความว่าแม้คนจะมีอาการทางร่างกายให้เห็น แต่ก็เชื่อกันว่าเป็นจิตใจต่างหากที่กำลังมีอาการป่วย 7. วิกลจริต (Moral insanity) คำว่า moral แปลว่าเชิงศีลธรรม แต่ช่วงหนึ่งในอดีต คำว่า moral มีความหมายในเชิงจิตใจและอารมณ์ คำว่า moral insanity คิดค้นโดย นพ.เจมส์ คาวล์ส พริชาร์ด ในปี 1935 แต่ ดร.แชนีย์ บอกว่า หมายถึงความวิกลจริตทางอารมณ์ คำว่า moral แปลว่าเชิงศีลธรรม แต่ช่วงหนึ่งในอดีต คำว่า moral มีความหมายในเชิงจิตใจและอารมณ์ คนไข้ที่ นพ.พริชาร์ด มองว่า วิกลจริต จะมีพฤติกรรมที่ไม่อาจคาดเดาได้ แต่ขณะเดียวกันก็ไม่มีสัญญาณว่ามีอาการทางจิตแต่อย่างใด "เขารู้สึกว่ามีคนไข้จำนวนมากที่สามารถใช้ชีวิตได้เหมือนกับคนอื่น แต่อาจจะไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้ หรือไม่ก็ก่ออาชญากรรมแบบที่ไม่มีใครคาดคิด" ยกตัวอย่างเช่น โรคชอบหยิบฉวย หรือ Kleptomania ในหมู่สังคมผู้หญิงที่มีการศึกษา ก็ถูกมองว่าเป็นอาการวิกลจริตเพราะผู้หญิงเหล่านั้นไม่มีเหตุผลที่จะต้องขโมยของ ดร.แชนีย์ บอกว่า moral insanity เป็นคำรวม ๆ ที่ถูกจับไปใช้กับอารมณ์สุดโต่งต่าง ๆ และบ่อยครั้งที่ถูกใช้กับเด็ก ๆ ที่ไม่ว่านอนสอนง่าย
|
เรามักคิดว่าอารมณ์ความรู้สึกเป็นสิ่งสากลและไม่มีวันเปลี่ยนแปลง
|
international-50893326
|
https://www.bbc.com/thai/international-50893326
|
ดูชีวิตผู้คนในเมืองนอร์ทโพลของอะแลสกาที่ซึ่งมีคริสต์มาสตลอดปี
|
บ้านซานตาคลอสมีผู้นิยมมาเที่ยวชมตลอดทั้งปี ได้เลยครับ ตรงไปที่ถนนซานคาคลอสเลน แล้วเลี้ยวขวาเข้าถนนเซนต์นิโคลัสไดรฟ์ เลยร้านเบอร์เกอร์เวนดีไปครับ นี่อาจเป็นการบอกทางที่ฟังดูประหลาด แต่เมืองนอร์ทโพลในรัฐอะแลสกาแห่งนี้ก็ไม่มีอะไรที่ธรรมดาอยู่แล้ว โคดี เมเยอร์ คนที่บอกทางให้เรา เติบโตมาในเมืองนี้ เขาอายุ 21 ปี และตอนนี้ก็ทำงานอยู่ที่บ้านซานตาคลอส (Santa Claus House) เวลาที่คุยกับคนเพิ่งรู้จักทางออนไลน์ โคดีต้องคอยอธิบายเรื่องเมืองที่เขาอยู่ "คนทั่วไปมักจะคิดว่า 'โอ้ คุณมาจากขั้วโลกเหนือเหรอ ล้อเล่นน่า'" โคดี เล่าให้บีบีซีฟัง ในเมืองนอร์ทโพลมีอนุสาวรีย์ซานตาคลอสที่ทำจากไฟเบอร์กลาสขนาดใหญ่ที่สุดในโลกตั้งอยู่ เมืองเล็ก ๆ ที่ชื่อว่านอร์ทโพล ซึ่งแปลว่าขั้วโลกเหนือนี้ มีประชากร 2,117 คน และอยู่ห่างจากขั้วโลกเหนือจริง ๆ ราว 2,700 กม. แต่ที่นี่คุณจะมีโอกาสได้เห็นกวางเรนเดียร์และเล็มหญ้าอยู่ริมนถนนสโนว์แมนเลน หลอดไฟประดับรูปแท่งขนมหวานปรากฏอยู่ทุกที่ และยังมีรูปปั้นซานตาคลอสที่สร้างขึ้นจากไฟเบอร์กลาสขนาดใหญ่ที่สุดในโลกด้วย เมืองนอร์ทโพลซึ่งอยู่ห่างจากอาร์กติกเซอร์เคิลไปทางใต้ด้วยการขับรถเพียง 2-3 ชั่วโมง เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยม และจดหมายทุกฉบับที่ผู้ส่งจ่าหน้าถึง "ซานตาคลอส ขั้วโลกเหนือ" ไปรษณีย์ของสหรัฐฯ ก็จะนำส่งมาที่นี่ และเหล่าอาสาสมัครที่ฐานทัพอากาศอีลสัน (Eielson Air Force Base) จะช่วยกันตอบ มิตซี วิลค็อกซ์ เจ้าหน้าที่กองทัพอากาศสหรัฐฯ ที่ประจำการอยู่ที่เมืองนอร์ทโพลมานาน 2 ปีแล้ว บอกว่า "ซานตาเป็นคนที่ยุ่งมาก ฉันมั่นใจว่า เขาต้องดีใจแน่ที่ได้เราช่วยตอบจดหมาย" เธอคิดว่าการอาศัยอยู่ในเมืองนี้ เป็นประสบการณ์สุดพิเศษ "จะมีสักกี่คนที่พูดได้ว่า พวกเขาอาศัยอยู่ในนอร์ทโพล เราตอบจดหมายส่งกลับไปถึงเด็ก ๆ ทั่วโลก ฉันจำได้ว่า เคยเขียนจดหมายถึงซานตาแล้วก็คิดว่า คงจะมีความสุขมากทีเดียว ถ้าซานตาตอบจดหมายฉัน" มิตซี บอกว่า เธอตอบจดหมายที่ส่งมาถึงซานตาจากทั่วโลก ในช่วงเวลานี้ของปี ช่วงเวลากลางวันไม่ยาวเท่าไหร่ "ปกติพระอาทิตย์จะขึ้นตอน 11 โมง หรือเที่ยง ในช่วงที่มืดที่สุดของฤดูหนาว" โคดีอธิบาย "จากนั้นพระอาทิตย์จะตกประมาณบ่าย 3 นั่นหมายความว่าจะมีแสงสว่างประมาณ 4 ชั่วโมง" มิตซี บอกว่าชาวเมืองได้รับคำแนะนำให้ใช้หลอดไฟแฮปปี้ไลต์ [หลอดไฟที่จำลองแสงจากดวงอาทิตย์] และทานวิตามินเสริม ในเดือน ธ.ค. อุณหภูมิที่เมืองนอร์ทโพลอาจจะลดต่ำลงไปอยู่ที่ราว -25 องศาเซลเซียส "ฉันต้องใส่เสื้อซ้อนกันหลายชั้น" เธอบอก "หน้าหนาวดูเหมือนจะยาวนานมาก แต่การอยู่ทางเหนือของโลกแบบนี้ เรามีโอกาสได้เห็นแสงเหนือ" นักท่องเที่ยวจำนวนมากเดินทางไปยังเมืองนอร์ทโพลเพื่อชมแสงเหนือ หรือ ออโรรา บอเรลลิส (Aurora Borealis) อันเลื่องชื่อ แล้วชีวิตกลางคืนในเมืองนอร์ทโพลเป็นอย่างไร โคดี บอกว่าการทำกิจกรรมกลางแจ้งช่วยได้ "เราไปเล่นสโนว์บอร์ด" เขาเล่า "แล้วก็ยังมีรถสโนว์โมบายล์กับตกปลาในน้ำแข็งด้วย" แต่การมีชีวิตเหมือนอยู่ในช่วงคริสต์มาสตลอดเวลาแบบนี้จะมีอะไรที่น่าตื่นเต้นอยู่อีกไหม มิตซี บอกว่า 2 ปีในเมืองนอร์ทโพล ยังไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกเบื่อ "คริสต์มาสยังเป็นช่วงเวลาสุดโปรดในรอบปีของฉัน" ส่วนโคดีก็ไม่คิดจะทิ้งเมืองซานตาไปอยู่ที่อื่น "ผมรักที่นี่" เขาบอก "ถ้าไม่ได้อยู่ตลอดชีวิต ผมก็คงจะอยู่ที่นี่ไปอีกนานแสนนาน" เรื่องนี้เผยแพร่ในรายการนิวส์บีตทางเรดิโด 1 ของ บีบีซี
|
คุณช่วยบอกทางไปบ้านซานตาหน่อยได้ไหมครับ
|
features-53831955
|
https://www.bbc.com/thai/features-53831955#:~:text=%E0%B8%AB%E0%B8%8D%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8B%E0%B8%B4%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%A2,%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%81%E0%B8%B3%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B9%83%E0%B8%88%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%9B%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A2
|
“ฉันไม่ได้กินอาหารมานานกว่า 2 ปี” สาวบราซิลเล่าเรื่องการต่อสู้กับโรคทางพันธุกรรมที่รักษาไม่หาย
|
โรค EDS ทำให้เฟอร์นันดาต้องเข้าโรงพยาบาลจากภาวะขาดสารอาหารอย่างรุนแรง 2 ครั้ง นี่คือคำถามที่ เฟอร์นันดา มาร์ติเนซ ต้องเจอทุกครั้งที่เธอล็อกอินเข้าใช้บัญชีโซเชียลมีเดียของตนเอง แต่เฟอร์นันดามักตอบคำถามเหล่านี้โดยไม่รู้สึกรำคาญใจ เพื่ออธิบายให้ผู้คนได้เข้าใจถึงโรคทางพันธุกรรมที่พบได้ยากที่เธอเป็นอยู่ และทำให้เธอไม่สามารถ "รับประทานอาหาร" ได้เหมือนคนทั่วไปมานานกว่า 2 ปีแล้ว หญิงสาวชาวบราซิลวัย 22 ปีผู้นี้ป่วยเป็น "โรคหนังยืดผิดปกติ" (Ehlers-Danlos syndrome หรือ EDS) ซึ่งเป็นกลุ่มอาการของโรคทางพันธุกรรม ที่ทำให้เกิดความผิดปกติต่าง ๆ หนึ่งในนั้นคือ ความผิดปกติในการผลิตคอลลาเจนในร่างกาย ซึ่งส่งผลกระทบต่อระบบย่อยอาหารได้ โรค EDS แบ่งออกเป็น 13 ชนิด และสมาคม Ehlers-Danlos Society ประเมินว่าคนอย่างน้อย 1 ใน 5,000 คนโลกทั่วป่วยเป็นโรคนี้ ผลของโรคนี้ ทำให้เฟอร์นันดา ต้องใส่สายให้สารอาหารมาตั้งแต่ปี 2018 เพราะร่างกายของเธอไม่สามารถย่อยอาหารได้ตามปกติอีกต่อไป นอกจากโรคดังกล่าวแล้ว เฟอร์นันดายังป่วยเป็นมะเร็งต่อมไทรอยด์ ซึ่งเป็นโรคที่ถ่ายทอดกันในครอบครัวของเธอ แต่ถึงอย่างนั้น เฟอร์นันดา ก็ตัดสินใจบอกเล่าเรื่องราวความเจ็บป่วยของเธอให้โลกได้รับรู้ผ่านทางโซเชียลมีเดียเพื่อช่วยเหลือผู้ที่อาจป่วยแบบเดียวกับเธอ เฟอร์นันดา บอกเล่าเรื่องราวความเจ็บป่วยของตัวเอง และให้กำลังใจผู้ป่วยแบบเธอผ่านทางโซเชียลมีเดีย ปัญหาใหญ่ที่สุดของเฟอร์นันดา คือการกินและการดื่ม เพราะเธอไม่สามารถทำสองสิ่งนี้ได้นั่นเอง วิธีเดียวที่จะช่วยให้ร่างกายของเธอได้รับสารอาหารที่จำเป็นคือการให้สารอาหารทางเส้นเลือด (parenteral nutrition) ซึ่งเธอจะได้รับสารอาหารหรือวิตามินผ่านสายน้ำเกลือ พาเมลา ริคา นักโภชนาการที่ดูแลเฟอร์นันดา อธิบายว่า "มันเหมือนกับเราย่อยอาหารด้านนอกร่างกายแล้วสกัดเอาสารอาหาร เช่น กรดอะมิโน โปรตีน ลิพิด ไขมัน และน้ำตาลกลูโคส จากนั้นก็ฉีดมันเข้าสู่ร่างกายของเธอโดยตรง เฟอร์นันดา ยินดีที่จะอธิบายเรื่องนี้ให้ผู้ติดตามเธอทางโซเชียลมีเดียจำนวนหลายแสนคนได้เข้าใจ ไม่ว่าจะเป็นทางบัญชีใช้งานส่วนตัวของเธอ หรือบัญชีใช้งานของโครงการที่เธอทำอยู่ที่มีชื่อว่า Living with Rare Diseases หรือการใช้ชีวิตร่วมกับโรคที่พบได้ยาก คำอธิบายของเธอได้รับความสนใจอย่างมาก โดยคลิปวิดีโอ และตัวอักษรที่เธอใช้ให้กำลังใจแก่ผู้ป่วยเป็นโรคที่พบได้ยากเช่นเธอมียอดชมกว่า 1 ล้านครั้งทางแอปพลิเคชันติ๊กต่อก (TikTok) "ความสงสัยไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกรำคาญ และฉันได้รับข้อความให้กำลังใจมากมายจากผู้คนที่เปลี่ยนแปลงมุมมองต่อชีวิตของตัวเองหลังจากได้เห็นฉันรับมือกับสิ่งต่าง ๆ" เฟอร์นันดา เล่าให้บีบีซีฟัง คลิปวิดีโอ และตัวอักษรที่เธอใช้ให้กำลังใจแก่ผู้ป่วยเป็นโรคที่พบได้ยากเช่นเธอมียอดชมกว่า 1 ล้านครั้งทาง TikTok โรคภัยที่รุมเร้า เฟอร์นันดา เล่าว่า เธอเป็นคนขี้โรคมาตั้งแต่ยังเล็ก "ตอนเป็นทารก ฉันเริ่มแสดงสัญญาณความผิดปกติ" "ฉันเป็นเด็กที่มีอาการเจ็บปวดรุนแรงตามแขนขา ฉันเกิดมาพร้อมกับอาการกรดไหลย้อนรุนแรง และหูหนวกข้างหนึ่ง" นอกจากนี้เธอยังมีอาการข้อหลวม (hypermobile joints) ที่ทำให้สามารถขยับข้อต่อได้มากกว่าปกติ ส่งผลให้เกิดอาการเคล็ดขัดยอก และข้อหลุดเคลื่อนออกจากตำแหน่งปกติได้ง่าย "อาการเหล่านี้รุนแรงขึ้นเมื่อฉันอายุมากขึ้น...ทุกคนรู้ว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้นกับฉัน แต่พวกเขาไม่รู้แน่ชัดว่ามันคืออะไร" แต่โซเชียลมีเดียก็ทำให้เฟอร์นันดาไขปริศนาอาการเจ็บป่วยของตัวเองได้ หลังจากได้ค้นพบกลุ่มผู้ป่วยโรค EDS ทางเฟซบุ๊ก "ฉันไปพบนักพันธุศาสตร์ ซึ่งทำการตรวจทุกอย่างให้ และยืนยันว่าฉันเป็นโรค EDS" เฟอร์นันดา มีอายุ 17 ปี ตอนที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคนี้ แต่ตอนนั้นโรคแทรกซ้อนต่าง ๆ ของเธอก็มีความรุนแรงแล้ว เธอมีอาการบาดเจ็บตามข้อต่อ และมีอาการระบบประสาทอัตโนมัติบกพร่อง (dysautonomia) ซึ่งหมายความว่า ระบบประสาทบางส่วนของเธอที่มีหน้าที่ควบคุมการทำงานของหัวใจและลำไส้ไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ "ฉันมีอาการท้องร่วง อาเจียน และปวดท้อง" เฟอร์นันดา เล่า "แต่อย่างน้อยก็มีชื่อสำหรับอาการเจ็บป่วยทุกอย่างที่เกิดขึ้น ตอนนี้ฉันได้คำอธิบาย และสามารถบอกหมอและคนอื่น ๆ ได้ว่าฉันเป็นอะไร" เฟอร์นันดา และแม่ (ซ้าย) ที่เห็นลูกสาวของตัวเองโตขึ้นมาพร้อมปัญหาสุขภาพ โรค EDS ส่งผลอย่างมากต่อการผลิตคอลลาเจน ซึ่งเป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับการก่อกำเนิดโครงสร้างร่างกายคนเรา เช่น กระดูก ผิวหนัง และเส้นเอ็นต่าง ๆ เฟอร์นันดา บอกว่า โรคนี้ทำให้ "ข้อต่อและอวัยวะเปราะบางขึ้น รวมทั้งเส้นเลือดฉีกขาดได้ง่าย" ความหิว "ฉันไม่สามารถกินหรือดื่มอะไรได้" เฟอร์นันดา กล่าว "อวัยวะและกล้ามเนื้อภายในของฉันเริ่มอ่อนแอ เพราะโรค EDS ระบบประสาทซึ่งทำงานสอดประสานกับระบบย่อยอาหารก็ได้รับผลกระทบไปด้วย" "แต่ฉันไม่รู้สึกหิวมานานแล้ว เพราะความรู้สึกหิวขึ้นอยู่กับการทำงานของระบบย่อยอาหารซึ่งของฉันไม่ทำงานอีกต่อไปแล้ว" เฟอร์นันดา บอกว่าบางครั้งเธอยังมีความรู้สึกอยากทางใจที่จะกินอาหาร ซึ่งเมื่อเกิดขึ้น เธอจะใช้วิธีเคี้ยวอาหารแล้วคายออกโดยที่ไม่กลืนมันเข้าไป "แต่ทุกวันนี้ ฉันยังคงเคี้ยวอาหารเพื่อรักษากิจวัตรนี้ไว้ อย่างเวลาที่ต้องนั่งเป็นเพื่อนแม่ทานอาหารเที่ยง เพื่อที่ท่านจะไม่ต้องทานอาหารตามลำพัง" เธอกล่าว เฟอร์นันดา บอกว่าบางครั้งเธอยังมีความรู้สึก "อยากทางใจ" ที่จะกินอาหาร เฟอร์นันดา เริ่มมีปัญหาการกินช่วงปลายปี 2016 และหลังจากนั้นไม่นานก็เริ่มมีภาวะขาดสารอาหารอย่างรุนแรง "ฉ้นเริ่มกินได้น้อยลงทุกที และพยายามเปลี่ยนอาหารที่กิน" ในเดือน พ.ค.2018 เฟอร์นันดา เริ่มรับอาหารทางสายยางที่สอดเข้าในร่างกาย ซึ่งมันดูเหมือนจะช่วยแก้ปัญหาได้ "แต่หลังจากผ่านไปหนึ่งปีครึ่ง ร่างกายของฉันก็เริ่มปฏิเสธทุกอย่างที่ให้ผ่านสายยาง ลำไส้ของฉันไม่ดูดซึมสารอาหารอีกต่อไป" เธอเล่าย้อนถึงเหตุการณ์ในตอนนั้น ช่วงปลายปี 2019 เฟอร์นันดาถูกส่งเข้าโรงพยาบาลด้วยภาวะขาดสารอาหารอย่างรุนแรงอีกครั้ง และแพทย์เริ่มใช้วิธีให้สารอาหารทางเส้นเลือด เธอเล่าว่า "ฉันเริ่มมีน้ำหนักตัวขึ้นมาอยู่ในระดับเดิม แต่ปัญหาตอนนี้อยู่ที่ตับ ซึ่งมีหน้าที่แปรรูปสารอาหารต่าง ๆ" ปัจจุบัน เฟอร์นันดา รักษาตัวอยู่ที่บ้านทางภาคใต้ของบราซิลซึ่งเธออาศัยอยู่กับแม่และยาย และมีพยาบาล 2 คนคอยดูแลทุกวัน การอาบน้ำ นอกจากความเจ็บป่วยที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว เฟอร์นันดา ยังมีอาการ "ภูมิแพ้น้ำ" (aquagenic urticarial) ที่เมื่อผิวหนังสัมผัสกับน้ำจะเกิดอาการลมพิษที่คันและเจ็บปวด ซึ่งมันส่งผลกระทบต่อเธอในหลายด้าน "ฉันพยายามหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับน้ำให้ได้มากที่สุด ฉันพยามไม่ปล่อยให้เหงื่อออกจนโชกชุ่ม ฉันไม่สามารถลงสระว่ายน้ำหรือทะเลได้ ฉันยังพยายามหลีกเลี่ยงน้ำฝนด้วย" เฟอร์นันดา ยังเป็น "โรคภูมิแพ้น้ำ" ที่เมื่อผิวหนังสัมผัสกับน้ำจะเกิดอาการลมพิษที่คันและเจ็บปวด อย่างไรก็ตาม เฟอร์นันดา ก็อาบน้ำสัปดาห์ละสองครั้ง โดยที่ต้องใช้ยาแก้แพ้เสียก่อน แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังมีอาการอยู่บ้าง "มันจะคันไปหมด ผิวหนังของฉันเต็มไปด้วยจุดสีแดง" "เวลาที่อาการรุนแรงก็จะเจ็บปวดมาก ราวกับถูกเข็มนับพันเล่มทิ่มแทงไปทั้งตัว" แต่ถึงเธอจะไม่มีอาการภูมิแพ้ดังกล่าว เธอก็ไม่สามารถอาบน้ำได้ตามปกติอยู่ดี เพราะสายให้สารอาหารทางเส้นเลือดไม่สามารถเปียกน้ำได้ โรค EDS รักษาให้หายขาดได้หรือไม่ ปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาโรค EDS ให้หายขาดได้ "ปัญหาที่ข้อต่อสามารถควบคุมได้ด้วยการทำกายภาพบำบัด เพี่อป้องกันไม่ให้เกิดการบาดเจ็บเพิ่มขึ้น" เฟอร์นันดา อธิบาย แต่หมอบอกเธอว่าปัญหาเรื่องกระเพาะอาหารและลำไส้ไม่น่าจะแก้ได้ และเป็นไปได้ว่าเธอจะต้องรับสารอาหารทางเส้นเลือดไปตลอดชีวิต แต่ถึงอย่างนั้น เฟอร์นันดา ก็มุ่งมั่นที่จะใช้ชีวิตเป็นปกติให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ "สิ่งที่ฉันสามารถทำเพื่อตัวเองได้คือการมีคุณภาพชีวิตที่ดี และทำในสิ่งที่ฉันชอบ เช่น การเล่นเกมออนไลน์" "ฉันไม่ได้รู้สึกต่อต้านอาการป่วยที่เป็นอยู่ แต่พยายามเรียนรู้จากมัน" แม้ปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาโรค EDS ให้หายขาด แต่เฟอร์นันดา ก็มุ่งมั่นที่จะใช้ชีวิตเป็นปกติให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เฟอร์นันดา บอกว่า การต้องพบแพทย์นับครั้งไม่ถ้วนทำให้เธอ "หลงรัก" เรื่องการแพทย์ และวางแผนจะศึกษาทางด้านนี้ "ก่อนจะถึงตอนนั้น ฉันอยากทำบัญชีรวบรวมโรคที่พบได้ยากให้ได้มากที่สุด เพื่อช่วยเหลือผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าป่วยเป็นโรคเหล่านี้ และไม่รู้ว่ามันหมายความว่าอย่างไร" "นี่ไม่ใช่การทำหน้าที่แทนหมอ แต่เพื่อช่วยให้คนเข้าใจเกี่ยวกับโรคและอธิบายเกี่ยวกับมันด้วยวิธีการที่เข้าใจได้ง่าย" "ถ้าฉันช่วยเหลือคนได้แค่หนึ่งคน มันก็คุ้มค่าแล้ว" แต่เฟอร์นันดาบอกว่าการสื่อสารทางโซเชียลมีเดียของเธอก็เป็นหนทางที่แสดงให้ผู้คนได้เห็นว่าไม่ควรจะปล่อยให้โรคภัยไข้เจ็บเอาเวลาทั้งหมดของคุณไป "โรคที่พบได้ยากมักเอาเวลา 99% ของผู้ป่วยไป แต่ส่วนที่เหลืออีก 1% คือความสุข และความปรารถนา ซึ่งช่วยสร้างสมดุลให้ชีวิตของเรา" "เป้าหมายของฉันคือการแสดงให้เห็นว่าเวลา 1% นี้มีความสำคัญเช่นกัน" เฟอร์นันดา กล่าวทิ้งท้าย
|
"จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าเกิดคุณกินอะไรเข้าไป"
|
international-41508186
|
https://www.bbc.com/thai/international-41508186
|
คาตาลูญญาจะรุ่งหรือร่วงหากได้เป็นรัฐเอกราช
|
ความเป็นรัฐเอกราชมีความซับซ้อนหลายมิติมากกว่าที่เราคิด อย่างเช่น การต่างประเทศ การเงินการคลัง การรักษาความสงบภายใน กองกำลังป้องกันตัวเอง หรือแม้แต่การเป็นหนี้ระหว่างประเทศ ฯลฯ ความปรารถนาจะแยกตัวจากสเปนของคาตาลูญญาทำให้เกิดคำถามขึ้นว่าคาตาลูญญาจะยืนอยู่ได้ด้วยกำลังความสามารถของตัวเองหรือไม่ หากมองโดยผิวเผินแล้ว แคว้นคาตาลูญญามีลักษณะหลายอย่างที่บ่งบอกถึงความเป็นรัฐ เช่น ธง รัฐสภา และนายคาร์เลส ปุดจ์เดมองต์ที่เป็นผู้นำ นอกจากนี้ คาตาลูญญายังมีกองกำลังตำรวจของตนเองที่เรียกว่า มอสโซส เดเอสควอดรา มีสำนักงานควบคุมสื่อกระจายเสียง สถานทูตขนาดเล็กในต่างประเทศซึ่งคอยทำหน้าที่ส่งเสริมการค้าและการลงทุน และดำเนินบริการสาธารณะด้วยตัวเอง เช่น โรงเรียน และ โรงพยาบาล บรรยากาศในบาร์แห่งหนึ่งในบาร์เซโลนาขณะนายคาร์เลส ปุกเดมองต์ กล่าวถึงสถานการณ์ของคาตาลูญญา แต่หากจะตั้งตัวเป็นประเทศเอกราช ก็ยังต้องจัดตั้งอีกหลายหน่วยงาน ซึ่งขณะนี้อยู่ภายใต้การดูแลของรัฐบาลกลางสเปน เช่น สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ศุลกากร การสถาปนาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอย่างเป็นทางการ กระทรวงกลาโหม ธนาคารกลาง กรมที่ดิน และหน่วยงานควบคุมการจราจรทางอากาศ คำถามที่ตามมาก็คือ แม้สามารถจัดตั้งหน่วยงานเหล่านี้ขึ้นมาใหม่ได้ แต่รัฐบาลจะสามารถรองรับค่าใช้จ่ายได้ทั้งหมดหรือไม่? เหตุผลที่ทำให้ยิ้มได้ สโลแกนของกลุ่มผู้สนับสนุนการแยกตัวที่ว่า "มาดริด โนส โรบา" หรือ "รัฐบาลกลางสเปนกำลังปล้นเรา" เกิดจากการที่แคว้นคาตาลูญญาที่มั่งคั่งกว่า ต้องจ่ายเงินสนับสนุนงบประมาณรัฐบาลกลางเกินกว่าประโยชน์ที่ได้รับกลับคืน คาตาลูญญามีประชากรประมาณร้อยละ 16 ของสเปน แต่มีกิจกรรมทางเศรษฐกิจถึงร้อยละ 19 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ และมูลค่าการส่งออกถึงกว่า 1 ใน 4 ของตัวเลขการส่งออกทั้งประเทศ คาตาลูญญามีกองกำลังตำรวจของตนเอง นอกจากนี้ คาตาลูญญายังเป็นแหล่งดึงดูดนักท่องเที่ยว คิดเป็นประมาณ 18 ล้านคน จากทั้งหมด 75 ล้านคนที่เดินทางไปยังสเปนเมื่อปีที่ผ่านมา หรือเรียกได้ว่าเป็นแคว้นที่มีนักท่องเที่ยวจำนวนมากที่สุดของสเปน เมืองทาราโกนา เป็นหนึ่งในศูนย์กลางอุตสาหกรรมเคมีที่ใหญ่ที่สุดของยุโรป และนครบาร์เซโลนา อยู่ในรายชื่อ 20 เมืองท่าสำคัญของยุโรป จากการจัดอันดับตามน้ำหนักสินค้าเข้าออก ส่วนประชากรในวัยทำงานของคาตาลูญญา มีประมาณ 1 ใน 3 ที่จบการศึกษาระดับอุดมศึกษา ตัวเลขงบประมาณปี 2014 ชี้ว่า ชาวคาตาลันจ่ายภาษีเกินกว่าที่รัฐบาลสเปนให้คืนกลับมา เกือบ 1 หมื่นล้านยูโร (ราว 3.96 แสนล้านบาท) แต่คำถามก็คือ หากแยกตัวแล้ว คาตาลูญญาจะได้เงินส่วนต่างนี้กลับคืนมาหรือไม่? และยังมีข้อถกเถียงอยู่ว่า แม้การประกาศเอกราชจะช่วยให้เก็บเงินภาษีได้เพิ่มขึ้น แต่ก็อาจจะต้องใช้จ่ายไปกับการก่อตั้งหน่วยงานใหม่ที่จำเป็นจนหมด และอาจต้องนำเงินไปลงทุนกับหน่วยงานเหล่านี้อย่างไม่คุ้มค่า การคิดคำนวณที่ซับซ้อน อย่างไรก็ตาม คาตาลูญญายังมีหนี้ของรัฐให้คำนึงถึงด้วย โดยรัฐบาลท้องถิ่นเป็นหนี้ 77 พันล้านยูโร (ราว 3.05 ล้านล้านบาท) หรือประมาณร้อยละ 53.4 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมของแคว้น โดยในจำนวนนี้ 52 พันล้านยูโร (ราว 2.06 ล้านล้านบาท) มีรัฐบาลกลางสเปนเป็นเจ้าหนี้ เมื่อปี 2012 รัฐบาลกลางสเปน ได้จัดตั้งกองทุนพิเศษขึ้น เพื่ออัดฉีดเงินสดให้กับแคว้นต่างๆ ซึ่งไม่สามารถกู้ยืมจากแหล่งเงินทุนต่างประเทศได้ในช่วงหลังจากเกิดวิฤกตการเงิน ซึ่งตั้งแต่เริ่มโครงการมา คาตาลูญญาได้รับผลประโยชน์จากโครงการนี้มากที่สุด เป็นเงิน 67 พันล้านยูโร (2.65 ล้านล้านบาท) การแยกตัวจากสเปน ไม่เพียงแต่จะมีผลให้คาตาลูญญาไม่สามารถเข้าถึงโครงการดังกล่าวเท่านั้น แต่ยังทำให้เกิดคำถามตามมาว่า เมื่อประกาศเอกราชแล้ว จะจ่ายเงินคืนได้เท่าไร และนี่จะเป็นประเด็นอยู่ในการเจรจาใดๆ ก็ตาม บวกกับคำถามที่ว่า รัฐบาลกลางสเปนจะคาดหวังให้รัฐบาลคาตาลูญญาช่วยแบกรับหนี้ของรัฐบาลสเปนด้วยหรือไม่ ชาวคาตาลันจำนวนมาก ภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของสหภาพยุโรป (อียู) ซึ่งเป็นประเด็นที่อาจรักษาไว้ได้ยากหลังการประกาศเอกราช การแยกตัวโดยไม่สมัครใจ นอกจากความยุ่งยากในการแยกระบบเศรษฐกิจออกจากสเปน ซึ่งจะตามมาหลังการประกาศเอกราชแล้ว อำนาจทางเศรษฐกิจของคาตาลูญญา ยังขึ้นอยู่กับสมาชิกภาพอียูด้วย หรืออย่างน้อยการเข้าถึงตลาดร่วม การส่งออก 2 ใน 3 ของคาตาลูญญา มีคู่ค้าเป็นประเทศในกลุ่มอียู ซึ่งหากแยกตัวจากสเปนแล้ว คาตาลูญญาจะต้องสมัครเข้าเป็นสมาชิกใหม่ และการจะเข้าถึงตลาดร่วมได้ จะต้องได้รับความเห็นชอบจากทุกชาติสมาชิกอียู รวมถึงสเปนด้วย ผู้ที่สนับสนุนการประกาศเอกราชบางส่วน มองว่าคาตาลูญญา อาจจะหันไปทำข้อตกลงในแบบเดียวกับนอร์เวย์ได้ โดยเป็นสมาชิกในตลาดร่วมแต่ไม่ได้เป็นสมาชิกอียู ซึ่งชาวคาตาลันอาจจะยินดีจ่ายค่าเข้า และยอมรับการเข้าออกอย่างเสรีของประชาชนที่ถือสัญชาติสมาชิกอียู ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับสเปนว่า จะเลือกทำให้การอยู่อย่างเป็นเอกราชของคาตาลูญญา กลายเป็นเรื่องลำบากหรือไม่
|
ลักษณะความเป็นรัฐ
|
international-48070276
|
https://www.bbc.com/thai/international-48070276
|
ไม่กินมื้อเช้า อันตรายถึงชีวิตจริงหรือ?
|
งานวิจัยโดยวิทยาลัยด้านหทัยวิทยา American College of Cardiology ซึ่งตีพิมพ์เมื่อวันที่ 22 เม.ย. ระบุว่า มื้อเช้าอาจช่วยชีวิตคุณได้ โดยการไม่ทานข้าวเช้ามีความเชื่อมโยงกับโรคระบบหัวใจหลอดเลือด ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงของการเสียชีวิตได้ ผลการวิจัยเป็นความร่วมมือระหว่างแพทย์และนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยในสหรัฐฯ หลายแห่ง พวกเขาวิเคราะห์จากกลุ่มคนที่มีอายุระหว่าง 40-75 ปี จำนวน 6,550 คน ซึ่งร่วมแบบสำรวจด้านสุขภาพและอาหารแห่งชาติระหว่างปี 1988 ถึง 1994 ผู้เข้าร่วมการวิจัยจะให้ข้อมูลว่าพวกเขาทานข้าวเช้าบ่อยแค่ไหน โดยรวมแล้ว 5 เปอร์เซ็นต์ของผู้ร่วมแบบสำรวจไม่เคยทานข้าวเช้า ในขณะที่ราว 11 เปอร์เซ็นต์ บอกว่าแทบจะไม่ทานเลย ส่วนอีก 25 เปอร์เซ็นต์ บอกว่าพวกเขาทานมื้อเช้าบ้างเป็นช่วง ๆ จากนั้น นักวิจัยก็วิเคราะห์บันทึกการเสียชีวิตจนถึงปี 2011 (มีผู้ร่วมแบบสำรวจเสียชีวิตไป 2,318 ราย) และมองหาความเชื่อมโยงระหว่างความถี่ในการทานข้าวเช้า และอัตราการเสียชีวิต หลังจากพิจารณาปัจจัยอื่น ๆ แล้ว อาทิ การสูบบุหรี่และโรคอ้วน ทีมนักวิจัยพบว่าคนที่ไม่ทานข้าวเช้ามีโอกาสที่จะเสียชีวิตจากโรคระบบหัวใจหลอดเลือดมากกว่า 87 เปอร์เซ็นต์ และมีโอกาสเสียชีวิตจากปัจจัยอื่นมากกว่า 19 เปอร์เซ็นต์ ข้อถกเถียง นักวิจัยทางการแพทย์ได้เคยออกมาชี้แล้วว่า การไม่ทานข้าวเช้าอาจมีผลกระทบไม่ดีต่อสุขภาพของเรา แต่นักวิทยาศาสตร์ยังพยายามทำความเข้าใจความเชื่อมโยงนี้อยู่ ด้าน สำนักงานบริการสุขภาพแห่งชาติ หรือ เอ็นเอชเอส (NHS) ของสหราชอาณาจักร ออกมาโต้งานวิจัยชิ้นนี้ว่า "ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าการไม่ทานข้าวเช้าเป็นสาเหตุโดยตรงของการเสียชีวิตจากโรคระบบหัวใจหลอดเลือด" บทความซึ่งตีพิมพ์ในเว็บไซต์ของเอ็นเอชเอส ระบุว่า คนร่วมแบบสำรวจที่ไม่ได้ทานข้าวเช้ามีแนวโน้มที่จะมาจากชั้นสังคมเศรษฐกิจที่ด้อยกว่า เคยสูบบุหรี่ ดื่มหนัก ไม่ชอบออกกำลังกาย รับประทานอาหารไม่ดี เมื่อเทียบกับคนที่ทานอาหารเช้า เอ็นเอชเอส บอกว่า การวิจัยนี้อาจไม่สะท้อนถึงพฤติกรรมอื่น ๆ ที่มีมาทั้งชีวิตของผู้ร่วมแบบสำรวจ ตัวอย่างเช่น คนส่วนมากทานข้าวเช้าทุกวัน แต่อาจมีความแตกต่างระหว่างคนที่ทานข้าวเช้าที่ดีต่อสุขภาพตอน 8 โมง กับคนที่ทานเบค่อนเป็นอาหารเช้าตอนช่วงสาย อย่างไรก็ดี ดร.เหว่ย เบา ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านระบาดวิทยา มหาวิทยาลัยไอโอวา และเป็นผู้นำการวิจัยในครั้งนี้ ยืนยันในผลการวิจัย เขาบอกว่า งานวิจัยหลายชิ้นชี้ว่าการไม่ทานข้าวเช้าเกี่ยวข้องกับโรคอ้วน ความดันโลหิตสูง และคอเลสเตอรอลสูง และงานวิจัยของพวกเขาก็ชี้ว่าการทานข้าวเช้าสามารถเป็นวิธีง่าย ๆ ที่จะช่วยเสริมสุขภาพระบบหัวใจหลอดเลือดได้ โรคระบบหัวใจหลอดเลือด โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดสมอง เป็นสาเหตุหลักหนึ่งของการเสียชีวิตทั่วโลก โดยองค์การอนามัยโลกบอกว่า ในปี 2016 มีผู้เสียชีวิตจากโรคนี้รวม 15.2 ล้านรายด้วยกัน
|
คนชอบเรียกมื้อเช้าว่าเป็น "มื้อที่สำคัญที่สุดของวัน"
|
international-56464761
|
https://www.bbc.com/thai/international-56464761
|
หญิงชราเชื้อสายจีนเล่าประสบการณ์ถูกทำร้ายจน “เสียขวัญ” ในสหรัฐฯ
|
เซี่ย เสี่ยวเจิ้น หญิงชราวัย 76 ปี เล่าไปพร้อมกับร่ำไห้ถึงเหตุการณ์ที่เธอถูกคนแปลกหน้าชกเข้าที่ใบหน้าอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยในระหว่างที่กำลังยืนรอข้ามถนนในนครซานฟรานซิสโก สื่อท้องถิ่นรายงานว่า หลังจากถูกทำร้ายร่างกาย หญิงชราผู้นี้ก็ต่อสู้กลับไปตามสัญชาตญาณ ด้วยการเอาท่อนไม้ฟาดคนร้าย ซึ่งคลิปที่บันทึกได้จากจุดเกิดเหตุเผยให้เห็นอาม่ากำลังถือท่อนไม้อยู่ในมือพร้อมกับเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้เจ้าหน้าที่ตำรวจฟังพร้อมกับร้องไห้ไปด้วย ขณะเดียวกันก็ปรากฏภาพคนร้ายที่เป็นชายผิวขาวในสภาพได้รับบาดเจ็บกำลังถูกเจ้าหน้าที่นำตัวขึ้นรถพยาบาล เสียขวัญ เซี่ย เสี่ยวเจิ้น ถือเป็นคนเชื้อสายเอเชียรายล่าสุดที่ตกเป็นเป้าการทำร้ายร่างกายในสหรัฐฯ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 17 มี.ค.ที่ผ่านมา ในขณะที่หญิงชราผู้มีบ้านเกิดในมณฑลกวางตุ้ง กำลังรอจะข้ามถนนในย่านใจกลางนครซานฟรานซิสโก และได้ยินคนตะโกนว่า "คนจีน" ก่อนที่จู่ ๆ เธอจะถูกต่อยเข้าที่ใบหน้า ด้วยความตกใจเธอจึงใช้ท่อนไม้ที่อยู่บริเวณใกล้เคียงเป็นอาวุธต่อสู้คนร้าย คลิปที่ถ่ายไว้ทันทีหลังเกิดเหตุ เผยให้เห็นนางเซี่ย ร้องไห้คร่ำครวญพร้อมกับใช้ห่อน้ำแข็งประคบดวงตาที่บวมแดง ขณะที่ชายผู้ต้องสงสัยเป็นคนร้ายนอนอยู่บนเตียงเข็นฉุกเฉินของรถพยาบาล ตำรวจซานฟรานซิสโกระบุว่าได้จับกุมชายวัย 39 ปี และกำลังสอบสวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่ามีแรงจูงใจในการก่อเหตุจากความเกลียดชังทางเชื้อชาติหรือไม่ ในเวลาต่อมา นางเซี่ยและลูกสาวได้ให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์ท้องถิ่น โดยลูกสาวระบุว่าแม่ของเธอ ได้รับบาดเจ็บที่ดวงตา และ "เสียขวัญมาก" กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น "ท่านกลัวและตกใจมาก และเจ็บมากด้วย...ยังมีเลือดไหลออกจากดวงตา" "ตาข้างขวาของท่านยังมองอะไรไม่เห็นเลย" ขณะที่หลานชายของนางเซี่ยได้โพสต์ทางเว็บไซต์ GoFundMe เพื่อขอรับเงินบริจาคมาใช้เป็นค่ารักษาพยาบาลให้อาม่า เขาบอกว่าเธอมี "แผลฟกช้ำรุนแรงที่ดวงตาสองข้าง โดยข้างหนึ่งมีเลือดไหลออกมาไม่หยุด และมีอาการบวมที่ข้อมือด้วย" ขณะเดียวกันเธอก็มีสภาพใจย่ำแย่มาก ๆ เขาเล่าว่า "เมื่อไหร่ที่มีการพูดถึงเรื่องนี้...ท่านก็จะเริ่มร้องไห้ออกมา" ในแถลงการณ์ของครอบครัว ระบุว่า นางเซี่ยหวังว่า "ชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียรุ่นใหม่ทุกคนจะสามารถยืนหยัดขึ้นปกป้องกันและกัน รวมทั้งช่วยปกป้องเหล่าผู้อาวุโสด้วย" นางเซี่ยหวังว่า "ชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียรุ่นใหม่ทุกคนจะสามารถยืนหยัดขึ้นปกป้องกันเองและช่วยปกป้องเหล่าผู้อาวุโส" อาม่าผู้กล้าหาญ เรื่องราวของนางเซี่ย ได้รับความสนใจอย่างมาก โดยเฉพาะในประเทศจีนบ้านเกิดของเธอ ซึ่งคนที่นั่นต่างชื่นชมในความกล้าหาญของหญิงชราผู้นี้ แฮชแท็ก Asian-American granny retaliates against attacker หรือ "คุณยายอเมริกันเชื้อสายจีนสู้กับคนทำร้าย" ถูกใช้อย่างแพร่หลายในหมู่ผู้ใช้เว็บไซต์สังคมออนไลน์เว่ยป๋อ (Weibo) และมียอดชมถึง 1,400 ล้านครั้ง ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตจำนวนมากแสดงความชื่นชมนางเซี่ยว่าเธอ "กล้าหาญมาก" ขณะที่บางคนบอกว่าเธอ "ได้สั่งสอนบทเรียนเขา (คนร้าย)" ส่วนคนอื่น ๆ แนะนำให้คนเอเชียทั้งหลาย "รวมกลุ่มกัน" เพื่อ "สู้กลับ...ไม่อย่างนั้นพวกเขาจะต้องถูกข่มเหงรังแกและทนทุกข์อยู่เงียบ ๆ" ช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมามีเหตุทำร้ายคนอเมริกันเชื้อสายเอเชียเกิดขึ้นหลายครั้งในสหรัฐฯ ท่ามกลางกระแสความเกลียดชังทางเชื้อชาติที่ทวีความรุนแรงขึ้นหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งคนเอเชียถูกกล่าวหาว่าเป็นต้นตอของการแพร่เชื้อไวรัสชนิดนี้ เมื่อเดือน ม.ค. ที่ผ่านมา นายวิชา รัตนภักดี ชายไทยวัย 84 ปี ที่อาศัยอยู่ในนครซานฟรานซิสโก ถูกคนร้ายผลักล้มจนได้รับบาดเจ็บสาหัสบริเวณบ้านพักของเขา และเสียชีวิตในอีกสองวันต่อมา นอกจากนี้ เพียงหนึ่งวันก่อนที่นางเซี่ยจะถูกทำร้าย มีหญิงเอเชีย 6 คนเสียชีวิต ในเหตุกราดยิงร้านสปา 3 แห่งในเมืองแอตแลนตา รัฐจอร์เจีย ปัญหาที่เกิดขึ้นส่งผลให้ล่าสุดประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐฯ เรียกร้องให้ชาวอเมริกันร่วมต่อต้านความเกลียดชัง โดยเตือนว่า "การเงียบของเราคือการสมรู้ร่วมคิด" "การเหยียดสีผิวเป็นยาพิษที่ตามหลอกหลอนและคุกคามประเทศเรามานาน ชาวอเมริกันต้องร่วมกันทำให้มันหมดสิ้นไป" นายไบเดนกล่าว เขายังเรียกร้องให้สมาชิกสภาคองเกรสเร่งผ่านร่างกฎหมายอาชญากรรมแห่งความเกลียดชังที่เกี่ยวข้องกับโควิด-19 ที่เสนอโดย ส.ส. เชื้อสายเอเชีย 2 คน นายไบเดนชี้ว่า ร่างกฎหมายฉบับนี้จะช่วยสนับสนุนการทำงานของทั้งรัฐบาลกลางและรัฐบาลท้องถิ่น เพื่อปรับปรุงการรายงานเหตุอาชญากรรมที่เกิดจากความเกลียดชัง และทำการให้แน่ใจว่าชุมชนชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียจะเข้าถึงข้อมูลเกี่ยวกับอาชญากรรมจากความเกลียดชังได้มากขึ้น "ความเกลียดชังต้องไม่มีพื้นที่หลบภัยอีกต่อไปในอเมริกา มันต้องหมดไป" และ "มันขึ้นอยู่กับพวกเราทุกคนที่จะร่วมกันหยุดมัน" ผู้นำสหรัฐฯ กล่าว
|
"ฉันไม่รู้จักเขา ทำไมเขาถึงทำร้ายฉัน"
|
international-47278380
|
https://www.bbc.com/thai/international-47278380
|
หลี่ รุ่ย : อดีตเลขาฯ ของ เหมา เจ๋อตุง ผู้ยืนหยัดวิพากษ์ระบอบคอมมิวนิสต์ และวิจารณ์ สี จิ้นผิง
|
หลี่ รุ่ย ยังคงเป็นนักเคลื่อนไหวและนักอุดมการณ์ จนกระทั่งเสียชีวิต หลี่ รุ่ย กล่าวประโยคนี้ไว้เมื่อปี 2013 ขณะที่พูดถึงความคล้ายคลึงกันระหว่าง สี จิ้นผิง ซึ่งเพิ่งขึ้นมาเป็นผู้นำคนใหม่ของจีนในขณะนั้น และ เหมา เจ๋อตุง บิดาผู้เปลี่ยนการปกครองจีนให้เป็นคอมมิวนิสต์ เขาเตือนว่า นายสีกำลังปิดกั้นความคิดของปัจเจกบุคคลเหมือนกับเหมา และกำลังพยายามสร้างลัทธิเชิดชูตัวบุคคลที่คล้ายคลึงกัน ทั้งสองอย่างนี้ เขาได้เจอมากับตัวเอง หลี่ รุ่ย เข้าร่วมพรรคคอมมิวนิสต์ในปี 1937 ช่วงที่สงครามจีน-ญี่ปุ่นอันโหดเหี้ยมเริ่มต้นขึ้น ก่อนที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนจะชนะสงครามกลางเมืองในอีก 12 ปีต่อมา และเปลี่ยนการปกครองประเทศเป็นสาธารณรัฐประชาชนจีน พร้อมกับการได้รับเลือกจากเหมาให้เป็นเลขานุการส่วนตัวในปี 1958 แต่ไม่นานหลังจากนั้น เขาก็ถูกจำคุก เพราะวิจารณ์นโยบายการก้าวกระโดดที่ยิ่งใหญ่ของเหมา ซึ่งเป็นโครงการที่ต้องการทำให้จีนทันสมัยขึ้นแต่กลับล้มเหลว และคาดว่า ทำให้มีผู้เสียชีวิตราว 30-60 ล้านคน จากการถูกทรมานและความอดอยาก แม้เขามีประวัติศาสตร์ว่าชอบสร้างความวุ่นวายให้พรรค แต่การที่นายหลี่ เป็นหนึ่งในนักปฏิวัติยุคแรก ทำให้เขาได้รับฐานะพิเศษในประเทศจีนยุคใหม่ เขาได้รับเสรีภาพในการกล่าวถึงปัญหาของพรรคคอมมิวนิสต์จีนได้ในระดับหนึ่ง และแสดงความคิดเห็นที่แตกต่างต่อนโยบายของรัฐ แม้คนทั่วไปไม่ได้รับอนุญาตให้พูดถึงความผิดพลาดในอดีต แต่นายหลี่ไม่สนใจ ผลงานของเขาได้ช่วยให้นักประวัติศาสตร์จำนวนมากรู้ความจริง และระดับความโหดเหี้ยมของเหมาด้วย หลี่ รุ่ย เสียชีวิตในกรุงปักกิ่ง เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาด้วยวัย 101 ปี ขบวนการปฏิวัติใต้ดิน สมัยที่เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย นายหลี่ เข้าร่วมกลุ่มนักเคลื่อนไหวที่มีอุดมการณ์คอมมิวนิสต์ประท้วงต่อต้านการยึดครองของญี่ปุ่น ไม่นานหลังจากนั้น เมื่อเขาอายุได้ 20 ปี เขาได้เข้าร่วมกับพรรคอย่างเป็นทางการ เขาถูกทรมานจากการทำกิจกรรมเกี่ยวกับคอมมิวนิสต์ แต่สิ่งต่าง ๆ ได้เปลี่ยนแปลงไป เมื่อทางพรรคคอมมิวนิสต์ได้ขึ้นมามีอำนาจในปี 1949 และในปี 1958 นายหลี่ ได้กลายเป็นรัฐมนตรีช่วยที่อายุน้อยที่สุดของจีน นอกจากนั้นยังเป็นปีที่เขาได้ร่วมประชุมกับเหมา ซึ่งการประชุมที่เปลี่ยนแปลงเส้นทางชีวิตของเขา หลัง เหมาเห็นว่านายหลี่คัดค้านการสร้างเขื่อนสามผาในแม่น้ำแยงซีอย่างหนัก จึงเลือกเขาให้มาเป็นเลขานุการส่วนตัว ความสัมพันธ์นี้คงอยู่ไม่นาน 'เหมาไม่เห็นค่าของชีวิตมนุษย์' ในปี 1959 นายหลี่ วิจารณ์นโยบายการก้าวกระโดดที่ยิ่งใหญ่ของเหมาอย่างเปิดเผย นโยบายที่ควรจะเป็นการกระตุ้นผลผลิตทางเศรษฐกิจของจีน แต่กลับทำให้ความอดอยากแผ่ขยายไปทั่วประเทศ ผลคือ นายหลี่ถูกขับออกจากพรรคคอมมิวนิสต์ และถูกจำคุกนาน 8 ปี ในเรือนจำฉินเฉิง ซึ่งเป็นเรือนจำความมั่นคงสูงสุดที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อควบคุมตัวเจ้าหน้าที่พรรคอาวุโสที่สร้างความเสื่อมเสีย "วิธีการคิดและการปกครองของเหมาน่ากลัว" เขากล่าวกับหนังสือพิมพ์เดอะการ์เดียนในอีกหลายปีต่อมา "เขาไม่เห็นค่าของชีวิตมนุษย์ ความตายของคนอื่นไม่มีความหมายสำหรับเขา" หลี่ รุ่ย กล่าวว่า เหมา เจ๋อ ตุง (ในภาพ) "ไม่เห็นค่าของชีวิตมนุษย์" หลังการเสียชีวิตของเหมา เติ้ง เสี่ยวผิง ซึ่งมีแนวทางปฏิบัติที่เข้ากับความเป็นจริงมากกว่า ได้ขึ้นมามีอำนาจในปี 1978 นายหลี่ ได้รับการฟื้นฟูสุขภาพและได้รับอนุญาตให้กลับเข้าสู่พรรคได้ จากนั้นเขาได้กลายเป็นผู้สนับสนุนการปฏิรูปการเมืองคนสำคัญ และอีกหลายปีหลังจากนั้น เขาก็ได้เรียกร้องให้จีนก้าวไปข้างหน้าสู่ระบบแบบสังคมนิยมในยุโรป เขาเขียนหนังสือเกี่ยวกับเหมา 5 เล่ม ทั้งหมดถูกตีพิมพ์ในต่างประเทศ และเป็นหนังสือต้องห้ามในจีนแผ่นดินใหญ่ หนังสือเล่มสุดท้ายของเขาซึ่งตีพิมพ์ในปี 2013 เรียกร้องให้มีการยกเครื่อง "ระบอบอุดมการณ์เดียว, ผู้นำคนเดียวและพรรคเดียว" หลี่ หนานยาง ลูกสาวของเขา เคยเล่าว่า หนังสือบันทึกความทรงจำของพ่อเธอหลายเล่มถูกยึดที่สนามบินกรุงปักกิ่ง นอกจากการเขียนหนังสือแล้ว ในช่วงที่อายุล่วงเลยวัย 90 ปี เขายังได้เป็นผู้อุปถัมภ์นิตยสารปฏิวัติ "เหยียนหวง ชุนชิว" ซึ่งอาจแปลได้ว่า "จีนผ่านยุคสมัยต่าง ๆ" อ่านเรื่องราวของบุคคลอื่น ๆ ที่น่าสนใจ นิตยสารนี้ถูกซื้อไปในปี 2016 อู๋ ซือ บรรณาธิการนิตยสารถูกบีบให้ออก และอดีตพนักงานของนิตยสารได้ออกแถลงการณ์เตือนว่า "ผู้ตีพิมพ์วารสารที่มีชื่อ เหยียนหวง ชุนชิว ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับพวกเขา" ศาสตราจารย์สตีฟ จาง ผู้อำนวยการสถาบันจีนของโซแอส (SOAS) บอกกับ บีบีซี นิวส์ ว่า เรื่องนี้ส่งผลกระทบต่อ หลี่ รุ่ย อย่างมาก "สิ่งสำคัญเพียงสิ่งเดียวที่ หลี่ รุ่ย มี คือการอุปถัมภ์นิตยสารเหยียนหวง ชุนชิว" ศาสตราจารย์จาง กล่าว "มันยังมีอยู่ แต่มันเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง ในแง่ของการจัดการและสิ่งที่นิตยสารให้ความสำคัญ ในทางปฏิบัติมันคือนิตยสารเล่มใหม่" นักอุดมการณ์คนสุดท้าย แม้ว่าหนังสือของเขาจะถูกห้าม แต่นายหลี่ก็ไม่ได้เป็นผู้แข็งข้อ เขายังคงเป็นสมาชิกพรรคจนกระทั่งเขาเสียชีวิต การที่เขาถูกปล่อยให้เขียนหนังสือได้ที่อะพาร์ตเมนต์ที่สมเกียรติในกรุงปักกิ่ง แสดงให้เห็นว่า แม้ว่าเขาจะวิพากษ์วิจารณ์ผู้นำปัจจุบันอย่างเปิดเผย แต่เขาก็ยังคงได้รับการยกย่องจากบทบาทที่เขาเป็นหนึ่งในนักปฏิวัติดั้งเดิมของประเทศ แต่นายหลี่ ได้ตายไปพร้อมกับอุดมการณ์นักเคลื่อนไหวที่เข้าร่วมพรรคคอมมิวนิสต์เมื่อ 80 ปีก่อน และใช้เวลาหลายปีนับตั้งแต่นั้น ในการต่อต้านผู้นำที่ใช้อำนาจโดยมิชอบ "เขาเป็นหนึ่งในนักอุดมการณ์รุ่นสุดท้ายที่เข้าร่วมพรรคคอมมิวนิสต์ตั้งแต่เริ่มต้น และเป็นผู้ที่เรียกร้องให้พรรคคอมมิวนิสต์ยึดมั่นต่ออุดมการณ์สมัยที่พวกเขาเข้าร่วมพรรค" ศาสตราจารย์จาง กล่าว "คงไม่มีใครอีกแล้วที่จะเรียกร้องให้พรรคยึดมั่นต่อสิ่งที่ทางพรรคบอกไว้ตั้งแต่ต้นว่าตั้งใจจะทำ"
|
"เราไม่ได้รับอนุญาตให้พูดถึงความผิดพลาดในอดีต"
|
features-39063668
|
https://www.bbc.com/thai/features-39063668
|
งานวิจัยชี้ ห่างจากมือถือเพียงไม่กี่นาที ก็ทำให้เครียดได้
|
นักจิตวิทยาพบว่า สำหรับคนหนุ่มสาวอายุ 18-26 ปีแล้ว คำตอบน่าจะอยู่ที่เพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น การศึกษาชิ้นนี้พบว่า กลุ่มตัวอย่างที่ถูกจับให้แยกจากโทรศัพท์ จะแสดง "พฤติกรรมเครียด" มากกว่าผู้ที่มีโทรศัพท์อยู่กับตัว ส่วนผู้เข้าร่วมการศึกษาที่ได้รับโทรศัพท์ของคนอื่น แสดงอาการเครียดน้อยกว่า นักวิจัยหลายคนมองว่า โทรศัพท์มือถือช่วยให้ความอุ่นใจกับเจ้าของได้ จากการทำหน้าที่เป็นวัตถุแทนปฏิสัมพันธ์ของมนุษย์ โดยนำไปเปรียบเทียบกับความรู้สึกของเด็กทารกที่มีผ้าห่มเป็นเครื่องปลอบประโลมเวลาต้องอยู่ห่างผู้ปกครอง ผลการศึกษานี้ จัดทำโดยนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัย ออทโวส โลแรนด์ ประเทศฮังการี และได้รับการตีพิมพ์ในวารสารวิชาการ Computers in Human Behaviour เวโรนิก้า โคโนค หนึ่งในทีมวิจัยกล่าวว่า "วัตถุอาจเป็นตัวแทนความผูกพันของคนเราได้ เช่น ภาพถ่ายของคนสำคัญ หรือของเล่น ส่วนโทรศัพท์มือถือมีความพิเศษ เพราะไม่ได้เป็นเพียงวัตถุที่สำคัญเท่านั้น แต่ยังเปรียบเสมือนตัวแทนความสัมพันธ์ทางสังคมอื่น ๆ ของเราด้วย" การศึกษานี้ ใช้วิธีถ่ายภาพและบันทึกอัตราการเต้นของหัวใจ จากกลุ่มตัวอย่าง 87 คน ที่มีอายุระหว่าง 18-26 ปี โดยในจำนวนนี้ครึ่งหนึ่งจะถูกริบโทรศัพท์มือถือแล้วนำไปใส่ไว้ในตู้ จากนั้นก็ให้แต่ละคนเข้าไปนั่งในห้องคนเดียวเพื่อตอบแบบทดสอบคณิตศาสตร์และปริศนาบนแล็ปท็อป ผลปรากฎว่า ภายในช่วงพัก 3.5 นาทีระหว่างการทำแบบทดสอบ ผู้ที่ไม่มีโทรศัพท์ติดตัวจะไปเดินวนเวียนอยู่ใกล้ ๆ กับตู้เก็บโทรศัพท์ และยังแสดงอาการเครียด เช่น มีอัตราการเต้นของหัวใจแปรปรวน กระวนกระวาย จับหน้าตัวเอง หรือเกา ซึ่งนักจิตวิทยาที่ควบคุมการทดลองนี้กล่าวว่า นี่ล้วนเป็นอาการของผู้ที่มีความเครียดทั้งสิ้น นอกจากนี้ ผู้เข้าร่วมการทดลอง ยังถูกทดสอบปฏิกิริยาต่อคำศัพท์เกี่ยวกับอารมณ์ด้วย ซึ่งพบว่าพวกเขาจะตอบสนองต่อคำที่มีความหมายเกี่ยวข้องกับการแยกจากมากกว่า เช่นคำว่า "เลิกคบ" และ "สูญเสีย" เวโรนิก้า กล่าวเสริมถึงความคิดของเธอว่า คนที่อายุยังน้อยจะรู้สึกเชื่อมโยงกับโทรศัพท์มากกว่า "เด็กที่ใช้โทรศัพท์มือถือตั้งแต่ยังเป็นทารก น่าจะติดมากกว่านี้ด้วยซ้ำ" ผลการศึกษาครั้งนี้ อาจไม่ได้สร้างความประหลาดใจนัก เพราะเป็นที่รู้กันดีว่าคนเราจะรู้สึกเครียดพอสมควร เวลาโทรศัพท์แบตเตอรี่หมดหรือหาโทรศัพท์ไม่เจอในช่วงสั้น ๆ ความกลัวที่ต้องถูกแยกจากโทรศัพท์ ยังมีชื่อเรียกด้วยว่า โนโมโฟเบีย (nomophobia) ซึ่งย่อมาจากคำว่า "no-mobile-phone-phobia" หรือความกลัวไม่มีโทรศัพท์มือถือนั่นเอง โดยผลการศึกษาบางชิ้นบ่งชี้ว่า เป็นภาวะที่มีผลต่อวัยรุ่นประมาณ 4 ใน 5 คน
|
คุณสามารถทนอยู่โดยไม่มีโทรศัพท์มือถือได้นานเท่าใด?
|
features-48424311
|
https://www.bbc.com/thai/features-48424311
|
"ฉันรู้สึกพึงพอใจทางเพศกับตัวเองมากกว่ากับคนอื่น"
|
คำเตือน: บทความนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับเพศ มันอาจฟังดูแปลก แต่ฉันมีความรู้สึกดึงดูดทางเพศกับตัวเองมาตลอด และเช่นเดียวกับคนอื่น ๆ ฉันเคยมีความรู้สึกไม่มั่นใจในตัวเองเหมือนวัยรุ่นทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องบุคลิกภาพหรือรูปลักษณ์ภายนอก แต่บางครั้งคราว เมื่อฉันส่องกระจกมองเรือนร่างอันเปลือยเปล่าของตัวเอง ตอนที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จหรือตอนกำลังแต่งตัว ฉันจะรู้สึกถึงแรงดึงดูดทางเพศขึ้นมาในทันที ฉันไม่ใช่คนที่คุณอาจเรียกว่า คนสวยแบบ "พิมพ์นิยม" ฉันเป็นคนผอม คางใหญ่ และหัวฟู แต่ถึงอย่างนั้น ภาพร่างกายอันเปลือยเปล่าของตัวเองกลับทำให้ฉันมีอารมณ์ทางเพศอย่างมาก การลูบไล้ไปตามส่วนโค้งเว้า ยอดปทุมถัน และผิวที่นุ่มนวลของตัวเองให้ความรู้สึกเสียวซ่านอย่างไม่มีอะไรมาเปรียบได้ ฉันไม่เคยคิดว่ามันเป็นเรื่องแปลกหรือผิดปกติอะไร จนกระทั่งฉันเล่าให้เพื่อน ๆ ฟังตอนอายุ 17 ปี พวกเราโตมาด้วยกันและยังเป็นเพื่อนเหนียวแน่นกันจนถึงทุกวันนี้ เรามักพูดคุยกันเรื่องประสบการณ์ทางเพศ ดังนั้นตอนที่ฉันเล่าให้เพื่อน ๆ ฟังจึงหวังว่าพวกเขาจะรู้สึกแบบเดียวกัน และเข้าใจว่าฉันหมายถึงอะไร ทว่าเมื่อฉันเล่าไปกลับไม่มีใครเข้าใจฉันเลย แถมพวกเขายังบอกว่าฉันพูดเรื่องตลกแล้วล้อว่าฉันเป็นพวกหมกมุ่นกับตัวเอง ตอนนั้นฉันได้แต่หัวเราะไปกับพวกเขา แต่ข้างในฉันเริ่มสงสัยว่าตัวเองผิดปกติหรือเปล่า นั่นเป็นครั้งแรกที่ฉันเริ่มตระหนักได้ว่าฉันมีความรู้สึกดึงดูดทางเพศกับตัวเองในแบบที่คนอื่นไม่เป็นกัน ปัจจุบันฉันชินกับความรู้สึกแบบนี้เสียแล้ว แต่ก็เพิ่งทราบเมื่อไม่นานมานี้ว่ามันมีคำเรียกความรู้สึกที่ฉันมีมานานแบบนี้ ทุกวันนี้ฉันภูมิใจที่จะเรียกตัวเองว่า "ออโตเซ็กชวล" (autosexual) หรือผู้มีรสนิยมทางเพศที่รักใคร่ในตัวของตัวเอง คำนี้เป็นคำที่นักวิทยาศาสตร์ยากจะให้คำนิยาม และไม่มีข้อมูลหรืองานวิจัยเกี่ยวกับมันมากนัก แต่เชื่อว่าคำนี้ถูกบัญญัติขึ้นเป็นครั้งแรกโดย ดร.เบอร์นาร์ด อาฟเฟลบาวม์ นักบำบัดทางเพศผู้ล่วงลับ ที่นิยามคำนี้ไว้ในงานวิจัยที่ตีพิมพ์เมื่อปี 1989 โดยเขาใช้คำว่า "ออโตเซ็กชวล" กล่าวถึงผู้ที่ไม่มีอารมณ์ทางเพศจากการกระตุ้นโดยบุคคลอื่น ในปัจจุบัน คำนี้มีขอบเขตการใช้ที่กว้างขึ้น โดยหมายถึง คนที่มีความรู้สึกเร้าทางเพศกับร่างกายของตัวเองเป็นหลักหรือส่วนใหญ่ ดร.ไมเคิล แอรอน ผู้เขียนหนังสือเพศศึกษาเรื่อง Modern Sexuality: The Truth About Sex And Relationships ให้สัมภาษณ์กับเว็บไซต์ Refinery29 ว่า การรู้สึกมีอารมณ์ทางเพศกับร่างกายตัวเองเป็นเรื่องที่พบได้ค่อนข้างบ่อย "บางคนมีความรู้สึกลักษณะนี้แบบเดียวกับรสนิยมทางเพศ ที่จะรู้สึกเร้าและตื่นตัวทางเพศกับตัวเองมากกว่าการถูกกระตุ้นโดยผู้อื่น และพวกเขาก็ถูกเรียกว่า ออโตเซ็กชวล" ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา บางคนพยายามหาเหตุผลมาทำให้ฉันเลิกมีความรู้สึกแบบนี้ และฉันก็จำไม่ได้แล้วว่าเพื่อนฝูงบอกว่าบางทีฉันอาจเป็นแค่คนหลงตัวเอง (narcissist) แต่ ดร.เจนนิเฟอร์ แมคโกแวน จากยูนิเวอร์ซิตี คอลเลจ ลอนดอน (ยูซีแอล) บอกว่าอาจไม่ใช่แบบเดียวกัน โดย "โรคหลงตัวเอง" (Narcissistic Personality Disorder) เป็นโรคบุคลิกภาพผิดปกติชนิดหนึ่ง ที่ผู้ป่วยมักยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง ต้องการการยกยอชื่นชม หมกมุ่นอยู่กับการโอ้อวดตัวเอง และขาดความเห็นใจผู้อื่น แต่ออโตเซ็กชวลนั้นต่างออกไป ดร.แมคโกแวน อธิบายว่า "ผู้เป็นออโตเซ็กชวลมักรู้สึกสบายใจและพึงพอใจทางเพศเมื่ออยู่กับตัวเอง ในขณะที่ผู้เป็นโรคหลงตัวเองมักต้องการความสนใจจากผู้อื่น นอกจากนี้ ออโตเซ็กชวลมักไม่เกี่ยวข้องกับการขาดความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น หรือความต้องการให้ความสุขทางเพศแก่ผู้อื่น แต่สนใจความสุขและประสบการณ์ทางเพศเป็นการส่วนตัวมากกว่า หลายปีที่ผ่านมานี้ ฉันมักสำเร็จความใคร่ให้ตัวเองโดยจินตนาการถึงตัวเอง ฉันมักคิดถึงภาพตัวเองนอนเปลือยเปล่าบนชายหาด หรือตอนที่ฉันช่วยตัวเองในอ่างอาบน้ำตอนที่เพื่อนร่วมบ้านอยู่ชั้นล่าง การสัมผัสจากคนอื่นไม่ทำให้ฉันตื่นเต้นเร้าใจได้เท่านี้ สำหรับผู้มีรสนิยมทางเพศแบบอื่น ๆ ก็มีอาจมีความรู้สึกแบบออโตเซ็กชวลได้เช่นกัน ยกตัวอย่างแบบฉัน หากคุณนึกภาพของตัวเองเวลาช่วยตัวเอง หรือแม้แต่จินตนาการว่ามีเซ็กส์กับตัวเอง คุณก็อาจเป็นออโตเซ็กชวลแบบเต็มขั้น อย่างไรก็ตาม หากคุณแค่มีอารมณ์ทางเพศจากการเห็นภาพตัวเองมีเซ็กส์ หรือโพสต์ท่าในชุดชั้นใน คุณก็อาจไม่ใช่ออโตเซ็กชวลแบบเต็มขั้น สำหรับฉันแล้ว มันไปไกลกว่าการสำเร็จความใคร่ให้ตัวเอง มันเป็นความรู้สึกดึงดูดที่ลึกซึ้งจากสัญชาตญาณที่มีต่อตัวฉันเอง ไม่ว่าจะเป็นตอนที่ฉันอยู่ตามลำพังหรืออยู่กับแฟนหนุ่ม ฉันรู้ว่าเพื่อนส่วนใหญ่ของฉันมักเกิดอารมณ์ทางเพศเวลาที่คิดถึงคู่นอนของพวกเขา โดยหากไม่ได้อยู่ด้วยกัน ก็อาจเป็นการจินตนาการถึงพวกเขาแทน แต่สำหรับฉันมันต่างออกไป แม้ว่าฉันจะมีความสุขกับการมีเซ็กส์กับคนอื่น แต่ฉันจำเป็นต้องจินตนาการถึงตัวเอง และสัมผัสตัวเองเพื่อให้ถึงจุดสุดยอดทางเพศ คนที่เป็นออโตเซ็กชวลมักเป็นคนที่มีอารมณ์รักโรแมนติกกับตัวเองด้วย ซึ่งนั่นหมายถึงความคิดเรื่องการออกเดทกับตัวเอง ผู้หญิงคนหนึ่งที่ชื่อ เจีย วิทาเล เขียนเกี่ยวกับการมีความสัมพันธ์กับตัวเองเอาไว้ว่า "ฉันพาตัวเองออกไปดื่มกาแฟ ไปเดินสำรวจธรรมชาติ สวมชุดชั้นใน และโอบกอดตัวเอง หรือไม่ก็นั่งอยู่ในความมืดและมีความสุขกับการได้อยู่กับตัวเอง" "บางครั้งฉันจะจุดเทียน แล้วเต้นรำอย่างรัญจวนใจเพื่อสร้างความสุขให้กับตัวเอง เวลาที่ฉันรู้สึกดีกับชีวิต ฉันจะทำเรื่องโรแมนติกต่าง ๆ ให้กับตัวเอง ฉันเรียนรู้ที่จะออกเดทกับตัวเองโดยที่ไม่ได้วางแผนเอาไว้ล่วงหน้า บางครั้งการทาโลชั่นให้ตัวเองก็อาจกลายเป็นช่วงเวลาแห่งความดื่มด่ำทางเพศได้..." ฉันเข้าใจสิ่งที่เจียบอก และฉันมีชีวิตทางเพศที่แสนวิเศษได้ตามลำพัง แต่ขณะเดียวกันก็รู้ว่ามันอาจสนุกได้พอ ๆ กัน หากเป็นการมีเซ็กส์กับคนที่ใช่ที่เข้าใจความต้องการของฉัน นอกจากนี้ ความสัมพันธ์ไม่ใช่แค่เรื่องเซ็กส์เพียงอย่างเดียว ฉันชอบคิดเรื่องการแต่งงานมีครอบครัวในสักวันหนึ่ง ฉันไม่เห็นเหตุผลว่าทำไมฉันจะแต่งงานมีครอบครัวไม่ได้ เพียงเพราะว่าฉันรู้สึก "ใคร่กับตัวเอง" ถึงแม้ปัจจุบันฉันจะเปิดเผยและภูมิใจกับการเป็นออโตเซ็กชวลของตัวเอง แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายแบบนี้มาตลอด เพราะหลังจากประสบความล้มเหลวในการอธิบายให้เพื่อน ๆ เข้าใจ ฉันก็ต้องต่อสู้กับความรู้สึกอับอายเกี่ยวกับสิ่งที่ฉันเป็น ฉันหยุดพูดเกี่ยวกับมันอยู่นานและมักปิดบังมันจากบรรดาแฟนหนุ่ม จนมันแทบจะเป็นเหมือน "ความลับที่สกปรก" ของฉัน ครั้งหนึ่ง ตอนที่ฉันมีเซ็กส์กับแฟนเก่าที่หน้ากระจกบานใหญ่ ฉันเอาแต่จ้องมองตัวเองแทนที่จะมองเขา และแม้เขาจะมีหุ่นที่แสนเซ็กซี่ แต่ผิวที่ขาวซีดและหุ่นผอมแห้งของฉันกลับเร้าอารมณ์ฉันได้มากกว่า พอฉันเล่าความจริงให้เขาฟัง แฟนเก่าของฉันก็เสียใจ เพราะรู้สึกว่าฉันไม่เสน่หาในตัวเขา สิ่งที่ฉันทำได้คือพยายามอธิบายให้เขาฟังว่าฉันไม่ได้คิดว่าตัวเองเลิศเลอ ฉันรู้ดีว่าฉันไม่ได้สวยตามมาตรฐานความงามของสังคม ฉันยังคงรู้สึกไม่มั่นใจกับความรู้สึกว่าตัวเองอ้วนและขี้เหร่ แต่พอฉันมีอารมณ์ทางเพศ ฉันกลับมองว่าตัวเองเซ็กซี่มาก ผู้ชายอีกคนที่ฉันเคยเดทดูเหมือนจะรับได้ขึ้นมาหน่อย และเขามองว่ามันเป็นสัญญาณแสดงให้เห็นว่าฉันมีความภูมิใจในตัวเอง เขาทำให้ออโตเซ็กชวลเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตทางเพศของพวกเรา เขาชอบดูฉันโลมเล้าตัวเอง และช่วยให้ฉันเลิกรู้สึกอับอายกับมัน เราถึงขนาดพูดตลกว่าฉันมีความเสน่หาในตัวเองมากกว่าในตัวเขาอย่างไร แต่ฉันเพิ่งรู้ว่าการพูดตลกเกี่ยวกับเรื่องที่ส่วนตัวมาก ๆ นั้นมันไม่ใช่แบบเดียวกับการยอมรับและรู้สึกสบายใจเกี่ยวกับมัน ในขณะที่ฉันเรียนรู้ที่จะยอมรับการเป็นออโตเซ็กชวล แต่ก็มีบางครั้งที่ฉันอยากจะเป็น "ปกติ" มันทำให้ฉันหงุดหงิดใจเวลาที่เพื่อนไม่เข้าใจว่าฉันต้องผ่านอะไรมาบ้าง และบางครั้งเวลาที่อยู่กับแฟน ฉันก็จะรู้สึกแย่ที่มีความสุขทางเพศในรูปแบบอื่นซึ่งต่างไปจากที่เขาได้ระหว่างที่เรามีเซ็กส์กัน ในช่วงนั้นฉันอยากจะหยุดเป็นออโตเซ็กชวลลงชั่วคราว แล้วลองสำรวจการมีรสนิยมทางเพศแบบคนปกติให้มากขึ้น แต่ฉันก็ฉุกคิดได้ว่าไม่มีอะไรที่ "ปกติ" เกี่ยวกับรสนิยมทางเพศ และเราแต่ละคนล้วนต่างกันออกไป โลกเรามีคนที่มีรสนิยมหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการชอบคนเพศเดียวกัน ชอบคนทั้งสองเพศ หรือผู้ที่ไม่ฝักใฝ่ในเรื่องทางเพศ การที่สังคมเราเปิดกว้างขึ้น ผู้คนก็เริ่มซื่อสัตย์กับความรู้สึกและรสนิยมทางเพศของตัวเองมากขึ้น ฉันรู้สึกว่าเราเริ่มจะเห็นว่ารสนิยมทางเพศมีการเคลื่อนตัวและไหลลื่นไปได้มากเพียงใด ฉันหวังว่าสักวันหนึ่ง ออโตเซ็กชวล จะเป็นเรื่องที่ผู้คนเข้าใจมากขึ้นเพราะฉันอยากจะบอกเรื่องนี้ให้ครอบครัวทราบ แต่ตอนนี้พวกเขาคงไม่เข้าใจ ฉันเคยจะอธิบายให้แม่ฟังครั้งหนึ่ง แต่ท่านทำท่าตกใจฉันเลยหยุดพูด ฉันเพิ่งได้รู้จักกับผู้หญิงที่เป็นออโตเซ็กชวลทางออนไลน์ และสารภาพกับเธอว่าฉันน่าจะเป็นเหมือนกัน มันรู้สึกดีที่ได้รับการตอบสนองด้วยความเข้าอกเข้าใจ ไม่ใช่การหัวเราะเยาะหรือความรู้สึกกระอักกระอ่วนใจ เราเป็นคนกลุ่มใหม่ที่กำลังหาว่าเราอยู่ตรงไหนกันแน่ในวิถีทางเพศ แต่ฉันก็ดีใจที่ยังมีหนทางอธิบายถึงสิ่งที่ฉันรู้สึกได้ หากมีโอกาสได้คบหากับคนที่เป็นออโตเซ็กชวลเหมือนกันก็คงเป็นเรื่องวิเศษมาก เพราะมันจะหมายความว่าฉันจะได้มีความสัมพันธ์ที่เท่าเทียมกันอย่างแท้จริงเป็นครั้งแรกในชีวิต แต่ฉันก็ไม่รู้ว่าจะไปหาคนแบบนี้ที่ไหน และมันก็ไม่มีช่องระบุข้อมูลแบบนี้ในแอปพลิเคชันหาคู่ที่ไหนเลยในปัจจุบัน หลายคนอาจไม่เข้าใจ และเป็นเรื่องที่จะถูกล้อเลียน หรือถูกตัดสินได้ง่าย แต่หากคุณไม่ใช่คนที่เป็นออโตเซ็กชวลอย่างแท้จริงก็จะไม่มีวันได้รู้ว่ามันให้ความรู้สึกดีเพียงใด ฉันได้มีเพศสัมพันธ์ที่ยอดเยี่ยมกับคนอื่น แต่ที่สุดแล้วฉันได้มีความสุขสมทางเพศที่ยอดเยี่ยมกับตัวเอง และไม่ว่าฉันจะโสดหรือมีคู่รัก ฉันก็จะอยู่เคียงให้ความสุขกับตัวเองได้เสมอ แล้วจะไม่ให้ฉันชอบการเป็นแบบนี้ได้อย่างไรกัน
|
ผู้เขียนขอสงวนนาม
|
international-47536631
|
https://www.bbc.com/thai/international-47536631
|
สาเหตุการตายของคนทั่วโลก บอกอะไรเราได้บ้าง
|
ในปี 1950 อายุคาดเฉลี่ยเมื่อแรกเกิดของคนทั่วโลกอยู่ที่ 46 ปีเท่านั้น แต่ในปี 2015 ได้เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่มากกว่า 71 ปี ในบางประเทศ การมีอายุคาดเฉลี่ยเมื่อแรกเกิดที่ยาวนานขึ้นไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องเผชิญทั้งโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ และเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงหลายเหตุการณ์ การเสียชีวิตจากการก่อการร้าย สงคราม และภัยธรรมชาติ คิดเป็นสัดส่วนไม่ถึง 0.5% ของการเสียชีวิตจากทุกสาเหตุรวมกัน ขณะที่มีคนจำนวนมากทั่วโลกที่เสียชีวิตที่อายุยังน้อย และเกิดจากสาเหตุที่ป้องกันได้ สาเหตุของการเสียชีวิตของผู้คนทั่วโลก เกิดจากอะไรบ้าง และเปลี่ยนไปอย่างไร สาเหตุการเสียชีวิตทั่วโลก ในปี 2017 มีผู้เสียชีวิตทั่วโลกราว 57 ล้านคน มากกว่าปี 1990 จำนวน 10 ล้านคน เพราะจำนวนประชากรโลกเพิ่มมากขึ้น และโดยเฉลี่ยคนมีอายุยืนขึ้น ผู้เสียชีวิตมากกว่า 70% เสียชีวิตจากโรคเรื้อรังและไม่ใช่โรคติดต่อ โรคเหล่านี้ไม่ได้ติดจากคนหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่ง และมักมีพัฒนาการของโรคอย่างค่อยเป็นค่อยไป โรคที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตมากที่สุดคือ โรคหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งส่งผลกระทบการทำงานของหัวใจและเส้นเลือดแดงใหญ่ เป็นสาเหตุของการเสียชีวิตราว 1 ใน 3 ตัวเลขนี้สูงกว่าอัตราการเสียชีวิตจากโรคมะเร็ง 2 เท่า โดยโรคมะเร็งเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตราว 1 ใน 6 โรคที่ไม่ติดต่ออื่น ๆ อย่าง เบาหวาน โรคทางเดินหายใจ และความจำเสื่อม ต่างติดอันดับต้น ๆ เช่นกัน การเสียชีวิตจากโรคที่ป้องกันได้ สิ่งที่น่าตกใจกว่าคือ คนจำนวนมากยังเสียชีวิตจากโรคที่ป้องกันได้หลายโรค มีคนราว 1.6 ล้านคนเสียชีวิตจากโรคที่เกี่ยวกับท้องร่วงในปี 2017 ทำให้สาเหตุการเสียชีวิตนี้ติดอยู่ใน 10 อันดับแรก โดยในบางประเทศ มันเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตมากที่สุด ความผิดปกติตั้งแต่แรกเกิด ซึ่งทำให้ทารกเสียชีวิตภายใน 28 วันแรกหลังคลอด ทำให้ทารกเกิดใหม่เสียชีวิตในปี 2017 จำนวน 1.8 ล้านคน อัตราการเสียชีวิตนี้แตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ ในญี่ปุ่น มีทารกที่เสียชีวิตใน 28 วันแรกที่อัตราน้อยกว่า 1 ต่อ 1,000 คน ขณะที่ในประเทศที่ยากจนที่สุดในโลกหลายประเทศอยู่ที่อัตราราว 1 ต่อ 20 คน ญี่ปุ่น เป็นหนึ่งในประเทศที่มีอายุคาดเฉลี่ยสุงที่สุดในโลก สาเหตุการเสียชีวิตที่ป้องกันได้อื่น ๆ ที่ติดอันดับต้น ๆ คือ การบาดเจ็บบนท้องถนน ทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก ทั้งในประเทศที่ร่ำรวยที่สุดและยากจนที่สุด โดยในปี 2017 มีผู้เสียชีวิตจากสาเหตุดังกล่าวที่ 1.2 ล้านคน ขณะที่ประเทศที่มีรายได้สูงหลายประเทศ มีผู้เสียชีวิตจากการบาดเจ็บบนท้องถนนลดลง อย่างมีนัยสำคัญในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา แต่จำนวนผู้เสียชีวิตจากการบาดเจ็บบนท้องถนนทั่วโลกไม่ได้เปลี่ยนแปลงจากเดิมมากนัก ตัวเลขที่น่าสนใจอีกตัวเลขหนึ่งคือ จำนวนผู้เสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายทั่วโลก คิดเป็น 2 เท่า ของตัวเลขของผู้ที่เสียชีวิตจากการถูกฆาตกรรม โดยในสหราชอาณาจักร มีตัวเลขจากการฆ่าตัวตายสูงกว่าถึง 16 เท่า และเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้น ๆ ของผู้ชายวัย 20-40 ปี สาเหตุการตายบอกอะไรเรา สาเหตุการเสียชีวิตของผู้คน เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา และตามการพัฒนาของประเทศ ในอดีต โรคติดเชื้อต่าง ๆ เป็นสาเหตุของการเสียชีวิตมากกว่าในปัจจุบัน ในปี 1990 ผู้เสียชีวิตราว 1 ใน 3 มีสาเหตุมาจากโรคติดเชื้อและโรคติดต่อ ส่วนในปี 2017 ตัวเลขนี้ลดลงมาอยู่ที่ 1 ใน 5 เด็ก ๆ เสี่ยงต่อการติดโรคติดเชื้อต่าง ๆ โดยในช่วงศตวรรษที่ 19 มีเด็กราว 1 ใน 3 ทั่วโลก เสียชีวิตก่อนที่จะมีอายุครบ 5 ขวบ อัตราการเสียชีวิตของเด็ก ลดต่ำลงอย่างมีนัยสำคัญตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เพราะมีวัคซีนเกิดขึ้นหลายชนิด และมีการพัฒนาเรื่องสุขอนามัย โภชนาการ การดูแลสุขภาพ และการเข้าถึงน้ำสะอาด การเสียชีวิตของเด็กในประเทศร่ำรวยแทบจะไม่เกิดขึ้น ขณะที่ในภูมิภาคที่ยากจนต่าง ๆ มีอัตราการเสียชีวิตของเด็กใกล้เคียงกับสหราชอาณาจักรและสวีเดนในช่วงครึ่งแรกของศตวรรษที่ 20 และกำลังลดต่ำลงเรื่อย ๆ การที่เด็กทั่วโลกเสียชีวิตลดลง เป็นหนึ่งในความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของวงการสาธารณสุขสมัยใหม่ จำนวนเด็กที่เสียชีวิตในแต่ละปีลดลงมากกว่าครึ่งในช่วงไม่กี่สิบปีที่ผ่านมา เพราะเรามีการรับมือกับโรคติดเชื้อและโรคติดต่อได้ดีขึ้น ทำให้อัตราการเสียชีวิตส่วนใหญ่เปลี่ยนไปอยู่ที่โรคไม่ติดต่อในผู้สูงอายุ หลายประเทศ มีความกังวลเกี่ยวกับญาติและระบบดูแลสุขภาพที่ต้องรับภาระหนักเพิ่มขึ้น เมื่อผู้คนอายุมากขึ้น และเผชิญกับโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ยาวนานขึ้น เหตุการณ์ที่คาดไม่ถึง ช่วยทำให้การพัฒนาที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องสะดุดลง วิกฤตเอชไอวี/เอดส์ในทศวรรษ 1980 เป็นตัวอย่างของเรื่องนี้ โรคระบาดนี้ส่งผลกระทบต่อภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วโลก แต่ภูมิภาคที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดต่ออายุคาดเฉลี่ยคือ ซับซาอาราของแอฟริกา หลังจากที่อายุคาดเฉลี่ยเพิ่มขึ้นต่อเนื่องมาหลายสิบปี อายุคาดเฉลี่ยได้ลดต่ำลงอย่างมากในหลายประเทศในภูมิภาคนี้ การรักษาด้วยยาต้านไวรัสและการศึกษาเกี่ยวกับวิธีการป้องกันต่าง ๆ ทำให้การเสียชีวิตจากโรคที่เกี่ยวข้องกับเอดส์ทั่วโลกลดลงครึ่งหนึ่งในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา จาก 2 ล้านคนต่อปี ลงมาอยู่ที่ 1 ล้านคนต่อปี นับจากนั้น อายุคาดเฉลี่ยก็เริ่มกลับมาเพิ่มขึ้นในประเทศเหล่านี้ แต่ก็ยังกลับมาอยู่ที่ระดับก่อนเกิดวิกฤตเท่านั้น แม้แต่ในประเทศที่ร่ำรวยที่สุด การมีอายุคาดเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้นก็ไม่ใช่เรื่องง่าย อายุคาดเฉลี่ยในสหรัฐฯ ลดลงเล็กน้อยในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ส่วนใหญ่เป็นเพราะวิกฤตยาเสพติดจากสารสกัดจากฝิ่น อายุคาดเฉลี่ยของคุณแม่มือใหม่ก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน มีอยู่ราว 10 ประเทศที่หญิงสาวในปัจจุบันมีโอกาสเสียชีวิตในช่วงระหว่างหรือหลังจากคลอดลูกไม่นาน มากกว่าในสมัยแม่ของพวกเธอ นั่นรวมถึงสหรัฐฯ ด้วย ต้องเดินหน้าต่อ ภาพรวมในปัจจุบันยังถือว่าอยู่ในแง่บวก เรามีชีวิตที่ยืนยาวขึ้น ขณะที่มีคนเสียชีวิตจากสาเหตุที่ป้องกันได้น้อยลง โดยเฉพาะในเด็ก แต่หนทางนี้ยังอีกยาวไกล เราก็ต้องเดินหน้าต่อไป การพัฒนาในด้านสุขอนามัย โภชนาการ วัคซีน และการดูแลสุขภาพพื้นฐานต่าง ๆ เป็นเรื่องสำคัญ เช่นเดียวกับการเพิ่มมาตรการด้านความปลอดภัยและการดูแลสุขภาพจิต การเข้าใจว่าผู้คนเสียชีวิตจากอะไรมีความสำคัญ หากเราต้องการให้การพัฒนาที่เกิดขึ้นนี้ มีแนวโน้มที่ดีขึ้นต่อไป เกี่ยวกับงานเขียนชิ้นนี้ บทวิเคราะห์นี้ บีบีซี ให้ผู้เชี่ยวชาญที่ทำงานนอกองค์กรเขียนขึ้น ฮันนาห์ ริตชี เป็นนักวิจัยของอ็อกซ์ฟอร์ด มาร์ติน และกำลังทำงานเป็นนักวิจัยที่ OurWorldinData.org ซึ่งเป็นโครงการร่วมระหว่างอ็อกซ์ฟอร์ด มาร์ติน และ Global Change Data Lab แก้ไขโดย เอลีนอร์ ลอว์รี
|
ผู้คนทั่วโลกมีชีวิตที่ยืนยาวขึ้น
|
international-52309595
|
https://www.bbc.com/thai/international-52309595
|
โควิด-19 : งานวันเกิดในบราซิลกลายเป็นจุดเริ่มต้นของงานศพคนครอบครัวหนึ่ง
|
มาเรีย (ซ้ายสุด) เสียชีวิตหลังร่วมงานเลี้ยงวันเกิดของ เวียรา ลูเซีย (คนยืน) มีการสันนิษฐานว่า งานเลี้ยงฉลองวันคล้ายวันเกิดของครอบครัวหนึ่งในประเทศบราซิล กลายเป็นต้นตอการแพร่เชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในหมู่สมาชิกของครอบครัว และสร้างบาดแผลในจิตใจของพวกเขาไปตลอดกาล กรณีที่เกิดขึ้นส่งผลให้พี่น้อง 3 คนเสียชีวิต และทำให้อีก 10 คนล้มป่วยภายในระยะเวลา 2 สัปดาห์เศษ หลังจากไปร่วมงานสังสรรค์ดังกล่าว ทางการบราซิล ยืนยันว่า ผู้ตายอย่างน้อยหนึ่งคน เสียชีวิตจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ แผนงานปาร์ตี้ งานเลี้ยงดังกล่าวจัดขึ้นเมื่อวันที่ 13 มี.ค. ในนครเซาเปาโล ขณะนั้นมีข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุขบราซิลว่ามีผู้ได้รับการยืนยันว่าติดเชื้อโรคโควิด-19 ในประเทศจำนวน 98 คน และยังไม่มีรายงานผู้เสียชีวิต โดยผู้ติดเชื้อเกือบ 60 คน อยู่ในนครเซาเปาโล ซึ่งเป็นหนึ่งในเมืองที่มีประชากรหนาแน่นที่สุดในโลก คือกว่า 21 ล้านคน 3 สัปดาห์ต่อมา คือวันที่ 8 เม.ย. ตัวเลขผู้ติดเชื้อในบราซิลพุ่งทะลุ 16,000 ราย และมีผู้เสียชีวิตกว่า 800 คน ตัวเลขผู้ติดเชื้อโรคโควิด-19 ในบราซิลพุ่งจากไม่ถึง 100 คน ไปเป็น 16,000 คนภายในเวลาไม่ถึง 1 เดือน ตอนที่จัดงาน เวียรา ลูเซีย ทราบว่าเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ได้ระบาดไปถึงบราซิลแล้ว และกำลังลุกลามไปในหลายพื้นที่ อันที่จริงเธอคิดที่จะยกเลิกแผนการจัดงานวันเกิดอายุครบ 59 ปีของเธอ "เราไม่ค่อยแน่ใจ" เธอเล่าให้ทีมข่าวบีบีซีฟัง "แต่ก็ตัดสินใจจัดงานตามแผนที่วางไว้" "ตอนนั้นยังมีผู้ติดเชื้อในประเทศไม่มาก" และยังไม่มีการสั่งปิดเมือง คนไปร่วมงาน 28 คน งานเลี้ยงฉลองวันเกิดของ เวียรา ลูเซีย จัดขึ้นที่สวนหลังบ้านของเธอโดยมีญาติพี่น้องไปร่วมงานกัน 28 คน งานเลี้ยงฉลองวันเกิดของ เวียรา ลูเซีย มีญาติพี่น้องมาร่วมงานกัน 28 คน แขกในงานรวมถึงพี่น้องของ เปาโล วิเอรา สามีของเธอ ทั้งเปาโล, โคลวิส และมาเรีย น้องชายกับน้องสาวของเขา ต่างสนุกไปกับงาน โดยที่ไม่ล่วงรู้เลยว่าโรคโควิด-19 จะคร่าชีวิตของพวกเขาทั้งสามคน ในงานยังมีน้องสาวของเวียรา ลูเซีย รวมถึงหลานชายและหลานสาวของเธอ หลังร่วมงานเลี้ยงเพียงไม่กี่วัน ราวครึ่งหนึ่งของแขกในงานเริ่มมีอาการไอ ไข้สูง และหายใจลำบาก ซึ่งล้วนเป็นอาการของโรคโควิด-19 ส่วนใหญ่มีอาการไม่รุนแรง และไม่ต้องไปหาหมอ "โรคที่ร้ายกาจ" แต่สามีของเวียรา ลูเซีย และน้องทั้งสองคนของเขาได้เสียชีวิตลงภายในระยะเวลา 1 สัปดาห์เมื่อช่วงต้นเดือน เม.ย. ทางการยืนยันว่า มาเรีย เสียชีวิตจากโรคโควิด-19 ราฟาเอลา ลูกสาวของมาเรีย ให้สัมภาษณ์กับบีบีซีว่า "ตอนนี้เราแน่ใจแล้วว่าเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่คือสาเหตุการเสียชีวิตของแม่ฉัน" มาเรีย มีเบาหวานเป็นโรคประจำตัวอยู่แล้ว และอาการของเธอก็ทรุดลงอย่างรวดเร็วในช่วงเวลาเพียงไม่กี่วัน ตอนนี้ครอบครัวกำลังรอผลการชันสูตรศพของเปาโลและโคลวิส เวียราบอกว่า "หมอเจ้าของไข้บอกว่าพวกเขามั่นใจ 99% ว่ามันคือโรคโควิด-19" ลูกชายผู้รอดชีวิต ทั้งเวียรา ลูเซีย และลูกชายของเธอต่างล้มป่วยเช่นกัน แต่หายป่วยมาได้ "อาการทางกายของฉันดีขึ้นแล้ว แค่ไอเล็กน้อย แต่มันเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากมาก" เวียรา ลูเซีย เล่า "เราใช้ชีวิตอย่างหวาดกลัวอยู่หลายวัน" เปาโลและเวียรา ลูเซีย กับลูกชายของพวกเขา ไม่อยากเชื่อ ตอนแรก สมาชิกในครอบครัวไม่เชื่อว่าพวกเขาติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ "ตอนนั้นมีผู้ติดเชื้อเพียงไม่กี่รายในบราซิล เราจึงคิดว่าไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เป็นเรื่องไกลตัว" สมาชิกที่รอดชีวิตคนหนึ่งกล่าว พวกเขาบอกว่าในงานเลี้ยงทุกคนดูมีสุขภาพแข็งแรงดี จึงทำให้ไม่อาจทราบได้แน่ชัดว่าใครคือผู้ติดเชื้อรายแรก "การค้นหาความจริงมันไม่ได้ทำให้อะไรเปลี่ยนแปลงไปสำหรับเราในตอนนี้" หลังจากมาเรียเสียชีวิต โคลวิส ซึ่งมีอายุ 62 ปี ก็มีอาการทรุดลง โคลวิส (ซ้าย) ซึ่งมีอายุ 62 ปี ไม่มีโรคประจำตัวใด ๆ ตอนที่เสียชีวิต "3 วันหลังจากงานเลี้ยง พ่อของผมก็เริ่มไออย่างหนัก" อาเธอร์ ลูกชายของโคลวิส เล่าให้บีบีซีฟัง "พ่อมีอาการปวดหัว และมีไข้สูง นอกจากนี้เขายังสูญเสียประสาทการรับกลิ่นและรับรสชาติ" แม้โคลวิสจะไม่ได้มีโรคประจำตัวเหมือนมาเรีย แต่อาการป่วยของเขาก็เริ่มรุนแรงขึ้นทุกที อาเธอร์พาพ่อของเขาส่งโรงพยาบาลเมื่อวันที่ 23 มี.ค. แต่โรงพยาบาลบอกให้เขากลับบ้าน "พวกหมอยังไม่คิดว่ามันคือเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่" ไอซียู หลังจากนั้นไม่นาน เปาโล สามีของเวียรา ลูเซีย ก็ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล ใคร ๆ ก็คิดว่าเขาเป็นคนสุขภาพแข็งแรงที่สุดในบรรดาพี่น้องทั้งสามคน เขาออกกำลังกายทุกวัน และมักเดินขึ้นเขาและปั่นจักรยานระยะทางไกล ๆ ตอนที่เปาโลเข้าโรงพยาบาล แพทย์ประเมินว่าสุขภาพของเขาอยู่ในเกณฑ์ดี และเขาแค่บ่นว่ามีอาการหายใจลำบาก "แต่ 2 วันต่อมา เขาก็ถูกย้ายตัวไปยังหอผู้ป่วยอาการวิกฤต (ไอซียู)" เวียรา ลูเซีย เล่า อาเธอร์พาพ่อของเขาส่งโรงพยาบาลเมื่อวันที่ 23 มี.ค. แต่โรงพยาบาลบอกให้เขากลับบ้าน เพราะหมอไม่คิดว่าเขาติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ พิธีศพที่ถูกจำกัด เช้าของวันที่ 1 เม.ย. มาเรีย มีภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน และไม่ฟื้นขึ้นมาอีกเลย โคลวิส เสียชีวิตในวันถัดมา และเปาโล ก็จากไปในคืนวันที่ 3 เม.ย. พวกเขาเป็นพี่น้องที่สนิทสนมกันตั้งแต่เกิดจนตาย เวียรา ลูเซีย กับ เปาโล สามี มาเรียและเปาโล ถูกฝังในโลงศพที่ถูกปิดตาย ตามคำแนะนำของสำนักงานเฝ้าระวังด้านสาธารณสุขแห่งชาติของบราซิล เพราะเข้าข่ายการเสียชีวิตที่ต้องสงสัยหรือได้รับการยืนยันว่าเป็นโรคโควิด-19 ส่วนร่างของโคลวิส ใช้วิธีการเผา ตามความคำสั่งเสียของเจ้าตัว งานศพของพี่น้องทั้งสามถูกจัดแยกกันต่างเวลาและต่างสถานที่ พิธีศพใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที และมีการจำกัดจำนวนผู้ร่วมงานไว้ไม่เกิน 10 คน ตามแนวปฏิบัติของทางการ การกักตัว ผู้รอดชีวิตจากงานวันเกิดเมื่อวันที่ 13 มี.ค.ต่างต้องกักตัวเองในบ้าน ส่วนคนที่ล้มป่วยแต่หายดีแล้ว ก็เลือกที่จะกักตัวเองเพื่อเป็นมาตรการป้องกันไว้ก่อน พวกเขาเรียกร้องให้ผู้คนมีความรับผิดชอบต่อสังคมเพื่อไม่ให้เกิดการแพร่เชื้อสู่กัน และให้เก็บตัวอยู่ในบ้าน ราฟาเอลา ผู้สูญเสีย มาเรีย ผู้เป็นแม่ให้กับเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่กล่าวว่า "มันไม่ใช่ไข้หวัด มันเป็นมหันตภัย มันเป็นไวรัสที่น่ากลัวและร้ายแรง" "โบลโซนาโรพูดแต่เรื่องเหลวไหล" ประธานาธิบดีชาอีร์ โบลโซนาโร ผู้นำจากฝ่ายขวาจัดของบราซิล ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากการแสดงพฤติกรรมที่ขัดต่อข้อแนะนำของรัฐบาลบราซิลที่ขอให้ประชาชนเว้นระยะห่างทางสังคม รวมทั้งยังแสดงความกังขาถึงความรุนแรงของโรคระบาดที่เกิดขึ้น โดยบอกว่ามันเป็นเพียงไข้หวัดเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น ปธน.โบลโซนาโร ของบราซิล เรียกโรคโควิด-19 ว่า "ไข้หวัดเล็ก ๆ น้อย ๆ" เวียรา ลูเซีย บอกว่าเธอรู้สึกงุนงงกับปฏิกิริยาของประธานาธิบดีผู้นี้มาก "โบลโซนาโร พูดแต่เรื่องเหลวไหล เขาอยู่ในฐานะผู้มีอำนาจและจะต้องคำนึงถึงความรับผิดชอบของตัวเอง" สำหรับเธอแล้ว ความท้าทายใหญ่ที่สุดนับจากนี้คือการต้องดำเนินชีวิตต่อไปโดยปราศจากสามี "แต่ชีวิตของเราต้องดำเนินต่อไป ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม เราไม่อยากให้ครอบครัวไหนต้องเจอกับเหตุการณ์แบบเดียวกับพวกเรา"
|
ความสนุกสนานในงานเลี้ยงฉลองวันเกิดกลับจบลงด้วยเรื่องที่น่าเศร้า
|
international-42478357
|
https://www.bbc.com/thai/international-42478357
|
ข่าวเด่นประเด็นการเมืองโลกปี 2017
|
2017 เป็นปีที่เวทีการเมืองโลกเต็มไปด้วยสีสัน ไม่ว่าจะเป็นการได้ต้อนรับมหาเศรษฐีนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อย่าง นายโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้สาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 45 ของสหรัฐฯ ในวันที่ 20 ม.ค. และได้สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้แวดวงการเมืองทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้ง การที่นายคิม จอง อึน ผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือเร่งเดินหน้าพัฒนาโครงการอาวุธนิวเคลียร์ที่สั่นคลอนเสถียรภาพและสันติสุขในภูมิภาค บีบีซีไทยได้รวบรวมข่าวการเมืองระหว่างประเทศที่สำคัญในปีนี้และจะมีผลสืบเนื่องไปถึงปีหน้ามาดังนี้ นายโดนัลด์ ทรัมป์ กลายเป็น ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนแรกในรอบกว่า 60 ปี ที่ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งทั้งที่ไม่เคยมีประสบการณ์ทางการเมืองมาก่อน ท่ามกลางข้อครหาว่ารัสเซียเข้าแทรกแซงในโลกไซเบอร์เพื่อช่วยเหลือการรณรงค์หาเสียงของเขาจนชนะการเลือกตั้ง นายโดนัลด์ ทรัมป์ สาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 45 ของสหรัฐฯ ในวันที่ 20 ม.ค. นับแต่เข้าดำรงตำแหน่ง นายทรัมป์ ได้ใช้คำสั่งพิเศษของประธานาธิบดีไปแล้วราว 50 ครั้ง ตั้งแต่การสั่งห้ามพลเมืองจากชาติมุสลิมเดินทางเข้าสหรัฐฯ, การถอนตัวออกจากความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (TPP) ไปจนถึงการนำสหรัฐฯ ถอนตัวจากความตกลงปารีสว่าด้วยการต่อสู้กับปัญหาโลกร้อนและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก ที่ก่อให้เกิดเสียงตำหนิจากทั่วโลก เกือบหนึ่งปีในการบริหารประเทศ รัฐบาลของนายทรัมป์สร้างความเปลี่ยนแปลงหลายด้านให้สหรัฐฯ โดยเฉพาะด้านนโยบายต่างประเทศ การประกาศรับรองสถานะของเยรูซาเลมให้เป็นเมืองหลวงของอิสราเอล นับเป็นการกระทำที่สวนทางกับนโยบายที่สหรัฐฯ ดำเนินมายาวนานในการพยายามวางตัวเป็นกลางในปัญหาความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์ ส่งผลให้ประชาคมโลกประณามการกระทำดังกล่าวของนายทรัมป์อย่างรุนแรง โดยทั้งประเทศสมาชิกสหประชาชาติ (ยูเอ็น) และสหภาพยุโรป (อียู) ต่างก็ต่อต้านความต้องการของสหรัฐฯ ในการรับรองเยรูซาเลมเป็นเมืองหลวงของอิสราเอล คิม เขย่าโลก ผู้นำโลกอีกคนที่โลกจับตามองมากที่สุดในปีนี้ คือ นายคิม จอง อึน ผู้นำชาติคอมมิวนิสต์เกาหลี ซึ่งสร้างความหวาดหวั่นให้นานาชาติ และสั่นสะเทือนเสถียรภาพบนคาบสมุทรเกาหลี ด้วยการเดินหน้าทดสอบขีปนาวุธอย่างต่อเนื่องหลายครั้งในปีนี้ โดยเฉพาะขีปนาวุธข้ามทวีปที่เกาหลีเหนืออวดอ้างว่ามีขีดความสามารถในการยิงโจมตีเป้าหมายได้ไกลถึงแผ่นดินใหญ่ของสหรัฐฯ และการทดสอบอาวุธนิวเคลียร์ครั้งที่ 6 เมื่อเดือน ก.ย. ส่งผลให้ยูเอ็นเพิ่มมาตรการคว่ำบาตรเกาหลีเหนือเพื่อตอบโต้การกระทำดังกล่าว ขณะที่สหรัฐฯ ใช้ทั้งคำขู่และปลอบเพื่อหว่านล้อมให้เกาหลีเหนือยอมร่วมโต๊ะเจรจาเพื่อยุติโครงการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ เกาหลีเหนือเดินหน้าพัฒนาอาวุธอย่างต่อเนื่องในปีนี้ ทั้งการยิงทดสอบขีปนาวุธและระเบิดนิวเคลียร์ โดยประธานาธิบดีทรัมป์ เคยทั้งใช้ไม้อ่อนป้อนคำหวานเยินยอนายคิม รวมทั้งใช้ไม้แข็งขู่จะใช้กำลังทหารโจมตีเกาหลีเหนือ ดังที่เขาได้กล่าวสุนทรพจน์ต่อที่ประชุมยูเอ็นเป็นครั้งแรกในฐานะผู้นำสหรัฐฯ โดยกล่าวถึงนายคิม จอง อึน ว่า "มนุษย์จรวดกำลังดำเนินภารกิจปลิดชีพตัวเองและระบอบปกครองของตน" และเตือนว่าหากถูกบีบให้ป้องกันตนเอง สหรัฐฯ ก็อาจไม่มีทางเลือกอื่นใด นอกจากทำลายเกาหลีเหนือให้ราบคาบ เหตุใดเกาหลีเหนือจึงมุ่งพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ นอกจากนายคิม จอง อึน จะถูกมองเป็นภัยคุกคามความมั่นคงของโลกแล้ว เขายังถูกมองเป็นฆาตกรเลือดเย็นที่กำจัดศัตรูทางการเมืองอย่างไร้ความปรานี แม้กระทั่งคนสายเลือดเดียวกัน อย่าง นายคิม จอง นัม พี่ชายต่างมารดาที่ถูกลอบสังหารด้วยสารพิษทำลายระบบประสาท วีเอ็กซ์ อย่างอุกอาจกลางสนามบินกรุงกัวลาลัมเปอร์ของมาเลเซีย จนกลายเป็นข่าวครึกโครมเมื่อเดือน ก.พ. ที่ผ่านมา โรฮิงญา เรื่องน้ำท่วมปากของ ออง ซาน ซูจี ปัญหาความรุนแรงระลอกใหม่ในรัฐยะไข่ของเมียนมาที่ปะทุขึ้นเมื่อเดือน ส.ค. ก่อให้เกิดวิกฤตด้านมนุษยธรรมครั้งใหญ่ในภูมิภาค ชนกลุ่มน้อยชาวมุสลิมโรฮิงญากว่าครึ่งล้านคนต้องหลบหนีการใช้กำลังปราบปรามอย่างรุนแรงของทหารเมียนมาเข้าไปในบังกลาเทศ แม้ที่ผ่านมารัฐบาลและกองทัพเมียนมาจะยืนกรานปฏิเสธเรื่องการกระทำโหดร้ายและการ "ล้างเผ่าพันธุ์" ชาวโรฮิงญา แต่ภาพที่สื่อมวลชนหลายสำนักได้พบเห็นนั้นกลับแตกต่างไปโดยสิ้นเชิง ขณะที่ยูเอ็นเรียกกรณีที่เกิดขึ้นว่า "การล้างเผ่าพันธุ์แบบในตำรา" แม้หลายฝ่ายจะพยายามยื่นมือเข้าไปช่วยชาวโรฮิงญาที่ต้องเผชิญกับชะตากรรมอันโหดร้าย แต่ผู้ที่ยังคงนิ่งเฉยต่อวิกฤตการณ์นี้คือ นางออง ซาน ซู จี เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ซึ่งยืนยันว่าไม่มีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เกิดขึ้นในรัฐยะไข่ ทั้งยังหลีกเลี่ยงการใช้คำว่า "โรฮิงญา" เรียกชนกลุ่มน้อยชาวมุสลิมในรัฐยะไข่ เพื่อแสดงจุดยืนที่ทางการเมียนมาไม่ยอมรับว่าคนกลุ่มนี้คือหนึ่งในกลุ่มชาติพันธุ์ที่หลากหลายของเมียนมา ทว่าเป็นเพียงคนเข้าเมืองผิดกฎหมายจากบังกลาเทศ ใครเผาหมู่บ้านโรฮิงญา ท่าทีที่เมินเฉยต่อเรื่องนี้ของนางซู จี ทำให้เธอถูกวิจารณ์อย่างหนักจากองค์กรเพื่อสิทธิมนุษยชนและประชาคมโลก เปลี่ยนภาพลักษณ์ "วีรสตรีแห่งประชาธิปไตย" ของเธอไปภายในระยะเวลา 2 ปีที่ก้าวขึ้นบริหารประเทศเมียนมา ซาอุฯ ยุคใหม่กับมกุฎราชกุมารพระองค์ใหม่ นับแต่ เจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน พระชนมายุ 32 พรรษา ทรงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นมกุฎราชกุมารแห่งซาอุดีอาระเบียเมื่อเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมานั้น ก็ทำให้ซาอุดีอาระเบียมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกิดขึ้น เจ้าชายโมฮัมเหม็ด ทรงมีพระประสงค์จะให้ประเทศกลับสู่แนวทางของอิสลามสายกลาง อันเป็นกุญแจสำคัญของแผนการปฏิรูปซาอุดีอาระเบียให้ทันสมัยขึ้น ทรงเดินหน้าปราบปรามปัญหาการทุจริตอย่างเด็ดขาด โดยมีการจับกุมและควบคุมตัว เจ้าชาย รัฐมนตรี และนักธุรกิจนับร้อยไว้ที่โรงแรมหรู ฐานมีส่วนพัวพันกับการทุจริต ศึกชิงบัลลังก์ นอกจากนี้ยังทรงสนับสนุนการยกเลิกกฎเกณฑ์ที่ล้าหลัง เช่น การห้ามผู้หญิงขับรถ หรือเข้าสนามกีฬา ทรงสนับสนุนการเปิดโรงภาพยนตร์เอกชนขึ้นในประเทศอีกครั้ง และทรงหาหนทางให้ซาอุดีอาระเบียมีเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งโดยลดการพึ่งพิงอุตสาหกรรมน้ำมัน รวมทั้งยังทรงสนับสนุนการทำสงครามในหลายสมรภูมิ ทั้งการรบกับเยเมน เป็นชาติแกนนำการคว่ำบาตรกาตาร์ ตลอดจนทำสงครามน้ำลายกับคู่อริอย่างอิหร่าน ซึ่งความเคลื่อนไหวเหล่านี้ไม่เพียงจะส่งผลต่อสถานการณ์ในภูมิภาค แต่ยังรวมถึงโลกด้วย ศักราชใหม่ของจีนในยุค สี จิ้นผิง ปี 2017 ยังมีเหตุการณ์สำคัญทางการเมืองโลกเกิดขึ้นอีกมากมาย เช่น การที่นายสี จิ้นผิง ได้ขึ้นครองอำนาจเป็นผู้นำที่มีอิทธิพลสูงสุดของจีน เทียบเท่ากับประธานเหมา หลังจากที่ประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีนครั้งที่ 19 มีมติเป็นเอกฉันท์ให้บรรจุ "ความคิดของ สี จิ้นผิง ว่าด้วยสังคมนิยมแบบจีนสำหรับยุคใหม่" ลงเป็นหลักการสำคัญในธรรมนูญฉบับใหม่ของพรรค เมื่อเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา 'แนวคิด สี จิ้นผิง' คืออะไร? ความเคลื่อนไหวดังกล่าวเท่ากับเป็นการเปิดศักราชเข้าสู่ยุคใหม่ที่นายสีครองอำนาจอย่างสมบูรณ์ โดยจีนมุ่งสู่ความเป็นเอกภาพภายในและมั่งคั่งยิ่งขึ้น รวมทั้งแผ่อิทธิพลอย่างกว้างไกลในเวทีนานาชาติ ตามแนวความคิดของนายสี ซึ่งนับแต่นี้บรรดานักเรียนนักศึกษา คนงานในโรงงานต่าง ๆ รวมทั้งสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีนกว่า 90 ล้านคน จะต้องศึกษาแนวความคิดดังกล่าวให้ขึ้นใจ นอกจากนี้ "เบร็กซิท" ก็เป็นอีกเหตุการณ์สำคัญในหน้าประวัติศาสตร์การเมืองโลกหลังจากเมื่อช่วงต้นปี ผู้นำสหราชอาณาจักรได้แจ้งความประสงค์ออกจากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป (อียู) อย่างเป็นทางการ ตามมาตรา 50 ของสนธิสัญญาลิสบอน ถือเป็นการเริ่มต้นกระบวนการ "หย่าขาด" จากอียูที่จะมีผลอย่างเป็นทางการในเดือน มี.ค. 2019 หลังจากเป็นสมาชิกมานาน 44 ปี ซึ่งการแยกตัวจากอียูครั้งนี้จะมีผลต่อข้อตกลงความร่วมมือด้านต่าง ๆ ระหว่างสองฝ่าย เช่น การเมือง การค้า การลงทุน เศรษฐกิจ ความมั่นคง การดูแลรักษาความปลอดภัยข้ามเขตแดน และการต่อต้านการก่อการร้าย
|
ทรัมป์ เปลี่ยนโลก
|
international-55530481
|
https://www.bbc.com/thai/international-55530481
|
เฟมินิสต์: ชายเรียกร้องชายร่วมแก้ปัญหากีดกันทางเพศ
|
ยูจีน ฮัง หันมาต่อสู้เพื่อสิทธิสตรี หลังจากลูกสาวคนโตของเขากำเนิดขึ้นเมื่อ 14 ปีก่อน ครูสอนวิชาคณิตศาสตร์จากรัฐแคลิฟอร์เนียผู้นี้บอกว่า เขาเริ่มครุ่นคิดว่าโลกนี้เป็นอย่างไรสำหรับเด็กผู้หญิง หลังจากลูกสาวคนโตของเขากำเนิดขึ้นเมื่อ 14 ปีก่อน มันทำให้เขาได้คิดทบทวนถึงเรื่องต่าง ๆ เกี่ยวกับเพื่อนร่วมงานหญิงที่วิทยาลัย ซึ่งรู้สึกไม่ปลอดภัยเวลาที่ต้องเดินจากห้องสมุดเพื่อกลับบ้านตามลำพัง "พวกเธอต้องรับมือกับมัน (ความรู้สึกไม่ปลอดภัย) ในขณะที่ผมไม่ต้อง ผมได้ตระหนักว่าผมมีความได้เปรียบในเรื่องนี้ และผมก็ไม่เคยมองเห็นมาก่อน" ฮังเล่าให้บีบีซีฟัง "การเป็นผู้ชายในสังคมนี้ ผมจึงไม่เห็นค่าของมัน" คุณพ่อนักสตรีนิยม ฮัง บอกว่า การแก้ปัญหาความไม่เสมอภาคทางเพศจำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากผู้ชาย การได้ตระหนักถึงเรื่องดังกล่าวทำให้ฮังหันมาต่อสู้เพื่อสิทธิสตรี เขาเริ่มทำบล็อกที่ชื่อ Feminist Asian Dad เพื่อเป็นปากเป็นเสียงและสนับสนุนความสำเร็จของผู้หญิง ฮังโพสต์บทความต่าง ๆ ที่ให้ความรู้ผู้คนเกี่ยวกับการยินยอมในการมีความสัมพันธ์ทางเพศ การคุกคามทางเพศในที่ทำงาน และความรุนแรงทางเพศ เขารู้สึกว่าเป็นสิ่งสำคัญมากที่ผู้ชายจำเป็นต้องเป็นส่วนหนึ่งในการพูดคุยเรื่องเหล่านี้ "ผู้ชายจำเป็นต้องรู้ว่า ราว 90% ของกรณีความรุนแรงต่อสตรีในสหรัฐฯ นั้น มาจากน้ำมือของผู้ชาย" "หลายครั้งที่เรื่องเหล่านี้ถูกโบ้ยให้เป็นปัญหาของผู้หญิง แต่ที่จริงมันเกิดจากผู้ชาย แล้วปัญหามันอยู่ตรงไหนล่ะ ปัญหามันอยู่ที่พวกเรา (ผู้ชาย) แล้วทำไมเราไม่พูดถึงมันให้มากกว่านี้" เจตนากับการกระทำ ข้อมูลจากยูเอ็นระบุว่า ผู้หญิงยังได้ค่าจ้างน้อยกว่าผู้ชาย 23% ในการทำงานแบบเดียวกัน ฮังยอมรับว่าทัศนคติของผู้ชายเปลี่ยนไปอย่างมากใน 2-3 ช่วงอายุคนที่ผ่านมา แต่ความไม่เสมอภาคทางเพศยังคงเด่นชัดและพบเห็นได้ในชีวิตประจำวัน ข้อมูลจากองค์การสหประชาชาติระบุว่า ผู้หญิงยังได้ค่าจ้างน้อยกว่าผู้ชาย 23% ในการทำงานแบบเดียวกัน นอกจากนี้ ผู้หญิงยังใช้เวลาทำงานบ้านโดยไม่มีค่าตอบแทนมากกว่าผู้ชายกว่าสองเท่า ในกว่า 100 ประเทศทั่วโลกยังคงมีกฎหมายที่ห้ามผู้หญิงทำงานบางประเภทอยู่ "ถ้าเรื่องพวกนี้เป็นปัญหาที่เกิดจากผู้หญิงจริง ๆ มันคงจะถูกแก้ไขไปนานแล้ว" ฮังกล่าว เขาชี้ว่า การแก้ปัญหาเหล่านี้จำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากผู้ชาย และผู้ชายกลับ "ไม่ได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาเหล่านี้" "จนกว่าพวกเรา (ผู้ชาย) จะพูดคุยเรื่องพวกนี้กับครอบครัว เพื่อนฝูง ชุมชน และสังคมโดยรวม เราจะไม่สามารถสร้างความคืบหน้าได้อย่างแท้จริง" ฮังบอก แล้วทำไมผู้ชายไม่ทำอะไรให้มากขึ้นล่ะ ? ความกลัว ลูโด กาเบรียล บล็อกเกอร์ที่เขียนเรื่องความเป็นชายและความเป็นพ่อ กล่าวว่า "ผู้ชายถูกปลูกฝังมากตั้งแต่ต้นถึงแนวคิดที่ต้องพยายามหลีกเลี่ยงการแสดงออกถึงพฤติกรรมแบบผู้หญิงให้ได้มากที่สุด" "ด้วยเหตุนี้ เมื่อพวกเราก้าวขึ้นสู่สถานะที่มีอำนาจในที่ทำงาน แนวความคิดที่ถูกปลูกฝังมากจึงขัดแย้งกับความคิดของตัวเอง หากคุณเป็นผู้ที่ให้การสนับสนุนผู้หญิง" กาเบรียล อธิบายให้บีบีซีฟัง กาเบรียล ทำงานในโครงการที่ชื่อ MARC (Men Advocating Real Change) หรือ "ผู้ชายสนับสนุนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง" ที่รณรงค์ให้ลูกจ้างชายและหญิงแก้ปัญหาการเหยียดเพศในที่ทำงาน MARC เป็นโครงการที่เกิดจากผลการศึกษาที่ยาวนานหนึ่งทศวรรษของ Catalyst องค์กระไม่แสวงหาผลกำไรชั้นนำของโลก ที่ต้องการผลักดันผู้หญิงขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำในองค์กรต่าง ๆ ในการศึกษาเมื่อปี 2020 Catalyst ได้สำรวจความเห็นผู้ชาย 1,500 คนในแคนาดา ในหัวข้อการเหยียดเพศและการกีดกันทางเพศในที่ทำงาน และพบข้อมูลที่ช่วยอธิบายว่าเหตุใดผู้ชายส่วนใหญ่จึงไม่ทำอะไรเพื่อหยุดยั้งปัญหาเหล่านี้ ผลสำรวจพบว่า แม้ 86% ของผู้ตอบแบบสำรวจจะต้องการหยุดยั้งพฤติกรรมเหยียดเพศที่ได้พบเห็น แต่มีเพียง 31% เท่านั้นที่รู้สึกมั่นใจว่าพวกเขาจะสามารถทำเช่นนั้นได้ ผลสำรวจของ Catalyst ชี้ผู้ชายส่วนใหญ่อยากหยุดยั้งพฤติกรรมเหยียดเพศที่ได้พบเห็นในที่ทำงาน แต่ไม่กล้าพอที่จะลงมือทำ อาลิกซานดรา โพลแลค รองประธาน MARC บอกกับบีบีซีว่า "งานวิจัยของเราบ่งชี้ให้เห็นถึงอุปสรรคใหญ่ 3 ประการ คือ ความไม่รู้ ความไม่แยแส และความกลัว ในเรื่องความกลัว โพลแลค อธิบายว่า "ความกลัวหลัก ๆ คือการกลัวถูกตัดสินจากผู้ชายคนอื่น กลัวจะสูญเสียสถานะในหมู่ผู้ชายด้วยกัน และกลัวจะสูญเสียสถานะในที่ทำงาน" กาเบรียลกล่าวเสริมว่า "ปัจจัยเรื่องความกลัวคือความกลัวจะไม่ได้รับการยอมรับในหมู่เพื่อนผู้ชายด้วยกัน โดยเฉพาะหากวัฒนธรรมองค์กรเน้นเรื่องการแข่งขันกัน" "นอกจากนี้ยังมีความกลัวว่าจะเริ่มต้นจากตรงไหน เพราะผู้ชายหลายคนมีเจตนาดี แต่กลัวที่จะทำผิดพลาดแล้วถูกกีดกันออกไป" ปัญหาใหญ่ที่ไม่มีใครอยากพูดถึง ผู้ชายหลายคน เช่น ฮัง และกาเบรียล อยากให้ผู้ชายคนอื่น "ยอมรับว่าเราคือส่วนหนึ่งของปัญหา และเราต้องเป็นส่วนหนึ่งในการแก้ไข" ดังที่ กาเบรียล เขียนไว้ในบล็อกของเขา โพสต์นั้นมีชื่อเรื่องว่า "เปิดเผยตัวตนในฐานะนักสตรีนิยมชาย และเหตุใดคุณจึงควรทำเช่นกัน" กาเบรียลเริ่มเขียนบล็อกที่ชื่อ Woke Daddy (คุณพ่อผู้ตื่นรู้) 2 เดือนหลังจากโซเฟีย ลูกสาวของเขาเกิดเมื่อปี 2017 แต่ 3 ปีก่อนหน้านั้นเขาได้ลาออกจากตำแหน่งผู้อำนวยการของบริษัทแห่งหนึ่ง ลูโด กาเบรียล อยากให้ผู้ชายคนอื่น "ยอมรับว่าเราคือส่วนหนึ่งของปัญหา และเราต้องเป็นส่วนหนึ่งในการแก้ไข" ตอนนั้นเขาอายุ 31 ปี มีบ้าน มีภรรยา และลูกชายคนหนึ่ง ที่เขาไม่ค่อยมีเวลาให้ กาเบรียลเป็นทุกข์กับความรู้สึกที่ไม่เติมเต็ม ในเวลาต่อมา เขาได้ตระหนักว่า ความทุกข์ที่เกิดขึ้นมาจากการใช้ชีวิตตามครรลองของผู้ชาย เช่น ความเคอะเขินเมื่อต้องแสดงอารมณ์ความรู้สึกต่าง ๆ ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ผู้ชายหลายคนในปัจจุบันไม่ชอบเช่นกัน ผลสำรวจของ Dove and Promundo องค์กรไม่แสวงหาผลกำไรที่ทำงานในประเด็นเกี่ยวกับผู้ชาย พบว่า 85% ของพ่อใน 7 ประเทศ ได้แก่ บราซิล อาร์เจนตินา สหรัฐฯ สหราชอาณาจักร แคนาดา เนเธอร์แลนด์ และญี่ปุ่น บอกว่าพวกเขาจะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มีส่วนร่วมในการเลี้ยงดูลูก แต่ผู้ชายส่วนใหญ่ในจำนวนนี้กลับไม่ได้ลาหยุดงานเลยหลังจากลูกคลอดออกมา หรือหลังจากการรับเด็กมาเลี้ยง พวกเขาต่างโทษว่าเป็นเพราะทัศนคติของเพื่อนร่วมงานและหัวหน้างาน ซึ่งทำให้พวกเขารู้สึกว่าไม่สามารถขอลางานได้ ผลสำรวจพบว่า 85% ของพ่อในบราซิล อาร์เจนตินา สหรัฐฯ สหราชอาณาจักร แคนาดา เนเธอร์แลนด์ และญี่ปุ่น บอกว่าพวกเขาจะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มีส่วนร่วมในการเลี้ยงดูลูก จอช เลฟส์ ผู้ทำงานด้านความเสมอภาคทางเพศ และได้รับการแต่งตั้งเป็น Global Gender Champion ในโครงการของสหประชาชาติเพื่อส่งเสริมความเสมอภาคทางเพศ ให้สัมภาษณ์กับบีบีซีว่า ปัญหาดังกล่าวเกิดขึ้นเพราะสังคมปัจจุบันมีระบบที่ผลักให้ผู้หญิงอยู่กับบ้านและผู้ชายออกไปทำงาน เลฟส์ ชี้ว่า การจะแก้ปัญหานื้ สังคมจะต้องทบทวนกฎหมายและนโยบายต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับเรื่องสิทธิการลาคลอดบุตร และโอกาสที่เท่าเทียมกันระหว่างชายหญิง รวมทั้งทัศนคติดั้งเดิมเรื่องบทบาททางเพศ เขายังมองว่าระบบนี้ยังส่งผลเสียต่อภาคธุรกิจด้วย เพราะทำให้มีการกีดกันผู้หญิงที่มีความสามารถในการทำงาน "เมื่อเราปล่อยให้ครอบครัวมีอิสระในเลือกว่าใครจะทำหน้าที่ดูแลครอบครัวและใครจะออกไปทำงาน ธุรกิจจะไปได้ดีขึ้น เศรษฐกิจจะดีขึ้น ตลาดงานในประเทศจะดีขึ้น และครอบครัวจะดีขึ้น"
|
ยูจีน ฮัง เป็นนักสตรีนิยมและภูมิใจกับเรื่องนี้
|
international-53651320
|
https://www.bbc.com/thai/international-53651320
|
ทำไมสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดอื่นจึงสูญหายไปในบริเวณคุ้มครองแพนด้า
|
ความพยายามหลายสิบปีในการอนุรักษ์ทำให้แพนด้าเพิ่มจำนวนขึ้น ความพยายามหลายสิบปีในการสร้างที่อยู่อาศัยที่ได้รับการคุ้มครองแก่แพนด้า ทำให้แพนด้าเพิ่มจำนวนขึ้น จากที่เกือบจะสูญพันธุ์ แต่จากการศึกษาใหม่พบว่า สัตว์อีกหลายชนิดในบริเวณเดียวได้รับประโยชน์จากการอนุรักษ์แพนด้า แต่อีกหลายชนิดกลับหายไปเกือบหมด เสือดาว, เสือดาวหิมะ, หมาป่า และหมาใน หายไปจากพื้นที่คุ้มครองส่วนใหญ่ นักวิจัยในจีนกล่าวว่า การตัดไม้ การล่าสัตว์ และโรคภัยต่าง ๆ ทำให้สัตว์เหล่านี้ใกล้สูญพันธุ์ การสูญหายไปของพวกมันอาจนำไปสู่ "การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ อาจจะถึงขั้นการล่มสลายในระบบนิเวศวิทยาได้" แม้ว่าสัตว์ป่าอื่นบางชนิดจะได้รับประโยชน์ แต่ความพยายามในการอนุรักษ์ดังกล่าวส่งผลกระทบต่อสัตว์กินเนื้อขนาดใหญ่อย่างเสือดาวและหมาป่า หากไม่มีสัตว์อย่างเสือดาวและหมาป่า กวางและปศุสัตว์อื่น ๆ ก็จะเร่ร่อนหากินไปได้ทั่วโดยไม่ต้องหวาดกลัว ทำให้เกิดความเสียหายต่อที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติ และส่งผลกระทบทางอ้อมแก่สัตว์ป่าชนิดอื่น ๆ รวมถึงแพนด้าเองด้วย นักอนุรักษ์เชื่อว่า การปกป้องพื้นที่ป่าให้แพนด้าไม่เพียงแต่จะช่วยคุ้มครองแพนด้า แต่สัตว์อีกหลายสายพันธุ์ที่อาศัยอยู่ในบริเวณเดียวกันก็จะได้รับประโยชน์ไปด้วย คณะนักวิจัยระบุว่า จำเป็นต้องใช้แนวทางที่ครอบคลุมและกว้างขวางยิ่งขึ้นในการจัดการกับระบบนิเวศวิทยาซึ่งมีแพนด้าอาศัยอยู่ และต้องเป็นแนวทางที่ไม่ทำให้สัตว์สำคัญสูญหายไปด้วย จีนเป็นที่อยู่อาศัยของเสือดาวหิมะมากที่สุดในโลก ดร. เซิ่ง หลี่ จากมหาวิทยาลัยปักกิ่งในกรุงปักกิ่ง ผู้ร่วมศึกษา กล่าวว่า นี่เป็นเรื่อง "จำเป็นอย่างยิ่งในการเพิ่มความยั่งยืนและความสามารถในการฟื้นตัวของระบบนิเวศ ไม่ใช่แค่เพื่อแพนด้า แต่เพื่อสัตว์ป่าชนิดอื่น ๆ ด้วย" การทำเรื่องนี้ให้สำเร็จ นักวิจัยได้กำหนดมาตรการหลายอย่าง รวมถึงการบังคับใช้กฎหมายกับการล่าสัตว์และการฟื้นฟูที่อยู่อาศัยของสัตว์ต่าง ๆ ที่เป็นอาหารของสัตว์กินเนื้อ แพนด้าถูกมองว่าเป็นความสำเร็จของการอนุรักษ์ที่จับต้องได้ จำนวนแพนด้าในป่าเพิ่มขึ้นหลังจากลดลงมาหลายปี ในปี 2016 สถานะแพนด้าถูกปรับขึ้นจากสัตว์ประเภท "ใกล้สูญพันธุ์" เป็น "เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์" ในบัญชีแดงของสหภาพระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (International Union for Conservation of Nature-IUCN) สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมสีขาวดำที่ไม่เหมือนใครชนิดนี้ ถือว่าเป็น "สายพันธุ์ที่ให้ร่มเงา" ซึ่งเป็นสัตว์สายพันธุ์ที่ถูกเลือกสำหรับการอนุรักษ์ เพราะว่าการคุ้มครองสัตว์เหล่านี้ จะเป็นการช่วยเหลือสัตว์อื่นในระบบนิเวศทางอ้อมไปด้วย ในกรณีของแพนด้าที่อาศัยอยู่ตามธรรมชาติ การคุ้มครองป่าที่พวกมันอาศัยอยู่จะเป็นผลดีต่อสัตว์และพืชอื่น ๆ รวมถึงนกและสัตว์กินเนื้อขนาดเล็ก แต่สัตว์นักล่าขนาดใหญ่อย่างเสือดาว หมาป่า และสุนัขป่าเอเชียที่ไม่ค่อยมีใครรู้จัก หรือหมาใน ดูเหมือนจะมีอาหารให้กินลดลง นับตั้งแต่มีการตั้งเขตสงวนแพนด้าในช่วงทศวรรษ 1960 สัตว์ทั้ง 4 สายพันธุ์นี้ก็หายไปจากพื้นที่ส่วนใหญ่ของเขตสงวน เสือดาวหายไปจาก 81% ของพื้นที่เขตสงวน ส่วนเสือดาวหิมะ หมาป่า และหมาใน หายไป 38%, 77% และ 95% ของพื้นที่เขตสงวนตามลำดับ หมาในได้รับผลกระทบจากการสูญเสียถิ่นที่อยู่และโรคภัย จำนวนของพวกมันก็ลดลงมาก ยกตัวอย่าง มีการพบเห็นหมาในเพียง 4 ครั้ง จากข้อมูลที่เก็บมาจากสถานีสำรวจเกือบ 8,000 แห่ง ซึ่งมีกล้องบันทึกภาพในช่วงกลางวันกว่า 1.5 ล้านตัว ศ. ซามูเอล เทอร์เวย์ จากสมาคมสัตววิทยาลอนดอน (Zoological Society of London--ZSL) ซึ่งไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการศึกษานี้ กล่าวว่า การอนุรักษ์ในจีนและแห่งอื่นในโลกมักจะเป็นเรื่องของการคุ้มครองพื้นที่สำหรับสัตว์ที่เป็นเป้าหมายหลักในการอนุรักษ์ ซึ่งมีประโยชน์ต่อความหลากหลายทางชีวภาพในภูมิภาคมากกว่า เขากล่าวว่า สัตว์เหล่านี้รวมถึงแพนด้าในตอนกลางของจีน และชะนีที่ใกล้ต่อการสูญพันธุ์อย่างยิ่งในไหหลำ "การทำเช่นนี้เป็นการฟื้นฟูสัตว์สำคัญบางสายพันธุ์ แต่ความพยายามในการรักษาความหลากหลายทางชีวภาพที่ถูกคุกคาม ต้องพูดถึงกิจกรรมของมนุษย์ในระดับระบบนิเวศที่กว้างออกไปด้วย ไม่เช่นนั้น สัตว์ที่ไม่ได้เป็นกลุ่มเป้าหมายก็อาจจะค่อย ๆ ลดจำนวนลงโดยไม่มีใครสังเกต" ศ. เทอร์เวย์ กล่าว ในการศึกษานี้ นักวิจัยวิเคราะห์ข้อมูลจากพื้นที่คุ้มครอง 73 แห่ง รวมถึงเขตสงวนพันธุ์แพนดา 66 แห่ง เปรียบเทียบกับข้อมูลจากการสำรวจในอดีตที่ใช้กล้องในการเก็บภาพนาน 10 ปี งานวิจัยนี้ตีพิมพ์ในวารสารวิวัฒนาการและนิเวศวิทยาธรรมชาติ (Nature Ecology & Evolution)
|
การอนุรักษ์แพนด้าเป็นหนึ่งในความสำเร็จของงานด้านอนุรักษ์
|
international-49730653
|
https://www.bbc.com/thai/international-49730653
|
คนเราโกหกกันเกือบตลอดเวลา การโกหกส่งผลดีต่อสังคมอย่างไร
|
คุณเชื่อสิ่งที่เห็นทุกอย่างหรือไม่ การเป็นสัตว์สังคม การพูดโกหก หรืออย่างน้อยก็โกหกเพื่อทำให้ผู้อื่นรู้สึกดี อาจจะเป็นสิ่งที่ยึดเหนี่ยวคนเราไว้ด้วยกัน แม้ว่าคนเราจับโกหกไม่เก่ง แต่มีเคล็ดลับง่าย ๆ บางอย่างที่จะช่วยให้คุณบอกได้ว่า ใครพูดโกหก ลูซี คุก นักสัตววิทยา และนักเขียน ค้นพบว่า เหตุใดพฤติกรรมโกหกจึงเกิดขึ้นอย่างแพร่หลายในอาณาจักรสัตว์ และในหมู่มนุษย์ เราเลี่ยงพูดความจริงเพื่อรักษาความสงบ การแสดงความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมาทุกครั้ง อาจจะไม่เป็นผลดีต่อตัวคุณ เรามักจะเข้าใจว่า "การโกหก" หมายถึง การที่ใครสักคนหลอกลวงเราด้วยคำพูดหรือการกระทำ แต่ความจริงแล้ว การสนทนากันปกติก็เกิดการโกหกขึ้นได้ เพราะเราไม่ได้พูดอย่างที่เราคิดหรือหมายความอย่างนั้นจริง ๆ ลองนึกดูว่า ถ้าในการพูดคุยทุกครั้ง คนที่คุณคุยด้วย พูดทุกอย่างที่พวกเขาคิดเกี่ยวกับคุณหรือสิ่งที่คุณเลือกทำออกมา คงเป็นเรื่องที่ยากจะรับได้ ถึงเราจะไม่ชอบทรงผมใหม่ของใครสักคนอย่างมาก เราส่วนใหญ่ก็คงจะไม่มีใครพูดออกมา เพราะเรารู้ว่า การพูดความจริงออกมา จะเป็นผลเสียมากกว่าผลดี นี่เป็นหัวใจของการมีปฏิสัมพันธ์ของมนุษย์ การโกหกหลอกลวง จึงเป็นกาวใจที่ยึดเหนี่ยวเราไว้ด้วยกัน เป็นน้ำมันที่หล่อลื่นฟันเฟืองของการอยู่ร่วมกัน และรักษาความสงบสุขของโลกใบนี้ มนุษย์ 1 ใน 3 ของโลก โกหกจริงจังทุกวัน ผมไม่เคยโกหกเลย ริชาร์ด ไวส์แมน นักจิตวิทยา กล่าวว่า "ประชากรราว 1 ใน 3 พูดโกหกคำโตอยู่ทุกวัน" การสำรวจเมื่อไม่นานมานี้ ระบุว่า 5% ของประชากร อ้างว่า ไม่เคยโกหกเลย ดูเหมือนคนเราไม่สามารถแม้จะบอกความจริงในการสำรวจที่ไม่ต้องเปิดเผยชื่อ... นักโทษจับโกหกได้เก่งกว่าผู้พิพากษา เรามักจะโกหก แต่เราจับโกหกไม่ค่อยเก่ง "เราโกหกได้ แต่จับโกหกไม่ค่อยเก่ง" ริชาร์ด กล่าวต่อ เราคิดว่า เราจับโกหกคนอื่นเก่ง แต่เมื่อคุณลองให้คนสองคนเข้ามาในห้องแล็บ แล้วก็เปิดวิดีโอที่มีคนคนหนึ่งพูดโกหก แล้วก็มีคนอีกคนหนึ่งพูดความจริง แล้วถามผู้เข้าร่วมการทดลองว่า ใครพูดความจริง ใครพูดโกหก มีคนที่ตอบถูกเพียงราว 50% เท่านั้น รวมถึง ตำรวจ ทนายความ หรือแม้แต่ผู้พิพากษา มีเพียงคนกลุ่มเดียวที่ตอบถูกมากกว่าคนกลุ่มอื่น นั่นก็คือ นักโทษ จับโกหก ต้องใช้หู ไม่ดูด้วยตา อย่ามัวแต่มองหาสัญญาณผิดปกติ แค่ให้ฟังอย่างตั้งใจ เหตุผลที่เราจับโกหกไม่เก่ง เป็นเพราะเราเป็นสิ่งมีชีวิตที่พึ่งพาการมองเห็นเป็นหลัก สมองหลายส่วนของเรามีการประมวลผลการมองเห็น เราก็เลยมักจะมองหาสัญญาณต่าง ๆ เมื่อต้องจับโกหกใครสักคน เขาขยับตัวไหมตอนที่นั่ง พวกเขามีท่าทางพิรุธอะไรหรือเปล่า มีการแสดงออกทางสีหน้าอย่างไร อย่างไรก็ตาม คนเราสามารถควบคุมท่าทางส่วนใหญ่ได้ ทำให้คนที่โกหกเก่ง รู้ว่า คนอื่นกำลังพยายามจะจับผิดพวกเขาอย่างไร แต่สัญญาณต่าง ๆ ที่เป็นด้านการใช้คำพูด เราพูดว่าอะไร พูดอย่างไร เป็นสิ่งที่คนที่ชอบโกหกควบคุมได้ยากกว่ามาก ดังนั้น ถ้าคุณให้ความสนใจกับเรื่องนี้ และรู้ว่า ต้องมองหารูปแบบการพูดอย่างไร คุณก็จะเป็นคนที่จับโกหกได้เก่ง โดยทั่วไป คนโกหก มักจะพูดน้อย ใช้เวลาในการตอบคำถามนาน และมักจะไม่เอาตัวเองเข้าไปยุ่งเกี่ยวทางอารมณ์ ดังนั้นมักจะไม่มีการใช้คำอย่างคำว่า "ฉัน" หรือ "ของฉัน" ตรวจสอบว่า คุณเป็นคนที่โกหกเก่งหรือไม่ ด้วยการวาดตัวคิวใหญ่บนหน้าผาก ลองใช้นิ้วชี้เขียนตัวคิวใหญ่บนหน้าฝากของตัวเอง มีคนบางส่วนที่โกหกเก่งกว่าคนอื่น ริชาร์ด ไวส์แมน มีวิธีการทดสอบเรื่องนี้ ที่เรียกว่า การทดสอบเขียน "ตัวคิว" ซึ่งใช้เวลาเพียง 5 วินาที โดยให้ใช้นิ้วชี้ของมือข้างที่คุณถนัด วาดตัวคิวใหญ่ลงบนหน้าผากของตัวเอง คำถามคือ คุณวาดหางตัวคิวไปทางตาข้างซ้ายหรือตาข้างขวาของคุณ พูดอีกอย่างคือ คุณกำลังวาดตัวคิวเพื่อให้คนที่มองมาที่หน้าผากคุณอ่านได้ หรือเขียนให้ตัวเองอ่านได้ ทฤษฎีนี้บอกว่า ถ้าคุณวาดหางตัวคิวไปที่ตาซ้าย เพื่อให้คนที่หันหน้ามาทางคุณอ่านได้ คุณมักจะเป็นคนที่คิดว่า คนอื่นจะมองคุณอย่างไร คุณจึงมักจะเป็นนักโกหกที่ดี แต่ถ้าคุณเขียนหางตัวคิวไปทางตาขวา คุณกำลังมองโลกจากมุมมองของตัวเอง คุณมักจะซื่อสัตย์มากกว่า ในโลกแห่งความเป็นจริง เต็มไปด้วยนักต้มตุ๋น คนลวงโลก อย่าเชื่อไก่ การโกหกหลอกลวงเกิดขึ้นทุกหนทุกแห่ง ในโลกแห่งความเป็นจริง สัตว์ต่าง ๆ หลอกลวงกันอยู่ตลอดเวลา ด้วยพฤติกรรมบางอย่าง และการพรางตัว เพื่อที่จะได้ผสมพันธุ์ เช่น ปลาหมึกตัวผู้ที่พรางตัวเป็นตัวเมีย เพื่อที่จะฝ่าด่านปลาหมึกตัวผู้ที่แข็งแกร่ง พวกมันจะส่งสัญญาณที่บ่งบอกเพศที่อยู่บริเวณด้านข้างของตัวให้ตัวเมียเห็น แต่จะซ่อนสัญญาณนี้ไม่ให้ตัวผู้ตัวอื่นเห็น ส่วนในไก่ ไก่ตัวผู้จะล่อให้ไก่ตัวเมียวิ่งเข้ามาหา ด้วยการทำเสียงร้องเรียกให้มากินอาหาร แต่เมื่อไก่ตัวเมียวิ่งเข้ามา ไก่ตัวผู้ก็จะพยายามที่จะผสมพันธุ์กับไก่ตัวเมียแทน นกทะเลมักจะอยู่กันเป็นคู่ตลอดชีวิต เรามักจะคิดว่า พวกมันคงจะซื่อสัตย์ต่อคู่ของตัวเอง แต่นักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่า แม้แต่นกที่จับคู่กันตลอดชีวิต อย่างเช่น นกกิลเลอมอต (guillemot นกทะเลสีดำขาวซึ่งมีจงอยปากยาวและแคบ) จะมีการแอบผสมพันธุ์กับนกที่ไม่ใช่คู่ของมัน ถ้าพวกมันคิดว่า การผสมพันธุ์นี้จะทำให้มีลูกนกที่แข็งแรงกว่า มนุษย์เริ่มโกหกเมื่อไหร่ โกง หรือ แก้ปัญหา ริชาร์ด ไวส์แมน กล่าวว่า มีการศึกษาที่น่าสนใจบางอย่างที่บอกว่า เด็ก ๆ เริ่มโกหกตอนอายุเท่าไหร่ "คุณนำเด็ก ๆ เข้ามาในห้อง แล้วก็บอกพวกเขาว่า 'เรากำลังนำของเล่นโปรดของพวกเขามาวางไว้ข้างหลัง แต่อย่าหันไปมองนะ' จากนั้นให้คุณเดินออกจากห้อง แล้วก็เตือนพวกเขาว่า อย่าหันไปมองของเล่นนะ" เขากล่าว เมื่อคุณดูเด็ก ๆ ผ่านกล้องวงจรปิด จะพบว่า พวกเขาจะหันไปมองหาของเล่นเพียงไม่กี่นาทีหลังจากที่คุณออกมาจากห้อง เมื่อคุณกลับเข้าไปในห้อง คุณลองถามพวกเขาว่า "เด็ก ๆ ได้หันไปมองของเล่นไหม" "เมื่อคุณลองทดสอบกับเด็ก 3 ขวบ ซึ่งเป็นวัยที่เริ่มเรียนรู้การใช้ภาษา คุณจะพบว่า 50% ของเด็ก จะโกหก" ริชาร์ด กล่าว "แต่เด็กที่อายุระหว่าง 3-5 ขวบ ไม่มีใครสักคนที่พูดความจริงเลย" เรามีประวัติศาสตร์ของการโกหกอย่างแยบยลมายาวนาน เมื่อความไม่ซื่อสัตย์ ส่งผลดีต่อส่วนรวมมากกว่า การโกหก มีความสำคัญอย่างยิ่งในการอยู่ในโลกที่ต้องอยู่ร่วมกันกับคนอื่น ๆ เป็นสังคมที่ซับซ้อน ในสัตว์ประเภทไพรเมตอย่าง ชิมแปนซี การอยู่รวมกันเป็นฝูงใหญ่มีข้อได้เปรียบอย่างมาก พวกมันสามารถแบ่งความรับผิดชอบในการหาอาหารได้ แล้วก็ช่วยกันระวังผู้ล่า แต่ถ้ามันแย่งอาหารกับชิมแปนซีตัวอื่น ก็อาจเกิดการต่อสู้กันจนได้รับบาดเจ็บได้ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อทั้งฝูงได้ ดังนั้น การแอบกินอาหารอาจจะเป็นเรื่องดีที่ต่อตัวของมันเองและชิมแปนซีตัวอื่น ๆ การหลอกลวงที่แยบยลมีประวัติศาสตร์ความเป็นมายาวนานในสัตว์ที่ต้องอยู่รวมกันเป็นสังคม สังคมที่ก้าวหน้าที่มีการอยู่ร่วมกันอย่างกลมเกลียว มักจะเป็นสังคมที่มีการโกหกหลอกลวงกัน ผลการศึกษาพบว่า สัตว์ที่ฉลาดมากขึ้นเท่าไหร่ ก็จะยิ่งมีการโกหกหลอกลวงกันมากขึ้นเท่านั้น ดังนั้น การเป็นคนพูดโกหก จึงไม่ใช่เรื่องเลวร้ายเสมอไป หากไม่มีการโกหก เราคงจะไม่มาถึงจุดนี้ มันมีความสำคัญต่อการอยู่รอดของเรา บทความนี้นำมาจากรายการ The Power of Deceit โดยลูซี คุก ทางวิทยุของบีบีซี
|
คุณเป็นคนซื่อสัตย์หรือไม่
|
international-45737878
|
https://www.bbc.com/thai/international-45737878
|
ช่องคลอดหดเกร็ง: เมื่อร่างกายของผู้หญิงปฏิเสธเซ็กส์
|
เมื่อไอส์ลีย์ ลีนน์ นึกถึงประสบการณ์ทางเพศครั้งแรกของเธอในช่วงเป็นวัยรุ่น เธอเรียกว่ามันว่าล้มเหลวตั้งแต่ยังไม่ทันได้เริ่ม "ฉันรู้สึกว่ามันทรมานใจมาก ฉันรู้สึกเหมือนใจสลาย ฉันรู้สึกผิดทั้งที่ไม่ใช่ความผิดของฉัน" ขณะที่คนอื่นอาจจะรู้สึกกระอักกระอ่วน ทำตัวไม่ถูกเมื่อมีประสบการณ์ทางเพศครั้งแรก แต่สำหรับไอส์ลีย์แล้วประสบการณ์ของเธอเกี่ยวข้องกับ อาการที่ไม่ค่อยมีใครพูดถึงนัก ไอส์ลีย์ ปัจจุบันอายุ 30 ปี ยังคงมีอาการช่องคลอดหดเกร็ง (vaginismus) เธอเดินสายแสดงละครเรื่อง Skin a Cat บอกเล่าประสบการณ์ของตัวเอง ในเรื่องนี้ Skin a Cat บอกเล่าเรื่องราวผู้หญิงคนหนึ่งที่มีปัญหาช่องคลอดหดเกร็ง บริการสาธารณสุขแห่งชาติ (National Health Service--NHS) ของสหราชอาณาจักร ระบุว่าช่องคลอดหดเกร็ง คือปฏิกิริยาอัตโนมัติของร่างกาย ที่มีต่อความกลัวการสอดใส่ทางช่องคลอดในบางรูปแบบหรือทุกรูปแบบ โดยกล้ามเนื้อช่องคลอดจะเกิดการบีบรัดจนไม่สามารถควบคุมได้ คนที่มีอาการนี้อาจรู้สึกว่า การสอดใส่ผ้าอนามัยแบบสอดเป็นเรื่องยากเย็น, การมีเซ็กส์เป็นเรื่องต้องใช้ความพยายามอย่างมาก, อาจรู้สึกแสบร้อน หรือ ปวดเหมือนถูกแมลงต่อย ไอส์ลีย์ บอกว่า: "ฉันลองใช้ผ้าอนามัยแบบสอดครั้งแรก ตอนอายุ 10 ขวบ มันเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส เหมือนกับไม่มีช่องให้สอด เหมือนกับมีผนังมาปิดกั้นตรงที่ควรจะเป็นช่องให้สอดเข้าไป" "ฉันรู้สึกว่า มีอะไรบางอย่างผิดปกติอย่างรุนแรง หลังจากมีแฟนคนแรก" ผู้ที่มีอาการช่องคลอดหดเกร็ง อาจเผชิญกับปัญหาในการใช้ผ้าอนามัยแบบสอด อาการที่เธอเผชิญยังส่งผลกระทบใหญ่หลวงต่อความสัมพันธ์ของไอส์ลีย์ด้วย "ฉันจำได้ว่า ฉันรู้สึกกลัวว่าคนที่ฉันคบหาอยู่จะคิดว่าฉันไม่ได้รักเขา หรือเขาไม่ดึงดูดใจฉันพอ" เธอเล่า ไอส์ลีย์ ซึ่งเป็นนักเขียนบทละคร ได้รับการวินิจฉัยว่ามีปัญหาช่องคลอดหดเกร็งในช่วงวัยรุ่นตอนปลาย และได้รับการรักษาด้วยอุปกรณ์ฝึกช่องคลอด ซึ่งจะช่วยค่อย ๆ ขยายขนาดเพื่อให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย และยังได้รับการรักษาทางกายภาพด้วย ไอส์ลีย์ เล่าว่า หลังจากพยายามรักษาหลายวิธี ไม่นานเธอก็รู้ว่าไม่ได้ผล และ "การรักษา" ไม่ใช่คำตอบของความสุขในระยะยาวของเธอ การรักษาช่องคลอดหดเกร็ง รวมถึงการบำบัดจิตวิทยาทางเพศ และเทคนิคในการผ่อนคลายต่าง ๆ "คนที่ช่วยบำบัดอาการของฉันเป็นคนที่หยุดและถามฉันว่า ฉันอยากจะเป็นปกติมากแค่ไหน" "จากการสนทนาครั้งนั้น คุณก็เห็นละครฉากสุดท้าย ตัวละครตัวนี้ถูกขอให้บอกสิ่งที่เธอต้องการเกี่ยวกับชีวิตทางเพศของเธอ" เธอเล่า "แล้วเธอก็ตระหนักว่าเธอมีความสุขได้โดยไม่จำเป็นต้องมีชีวิตทางเพศในแบบเดียวกันกับคนอื่น" "คุณกำหนดบทละครชีวิตของตัวเอง และควรทำในสิ่งที่คุณมีความสุข" ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะประเมินว่ามีผู้หญิงในสหราชอาณาจักรมากน้อยเพียงใดที่มีปัญหาช่องคลอดหดเกร็ง อย่างไรก็ดี การสำรวจเมื่อไม่นานนี้พบว่า เกือบ 1 ใน 10 ของผู้หญิงอังกฤษ รู้สึกเจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์ การเจ็บนั้นอาจมาจากหลายเหตุผล แต่ช่องคลอดหดเกร็งเป็นสาเหตุหนึ่ง ดร. วาเนสซา แม็กเคย์ สูตินรีแพทย์ที่ปรึกษาและแพทย์ผู้ชำนาญโรคสตรี จากโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยควีนเอลิซาเบธ ในเมืองกลาสโกว์ อธิบายว่า "ช่องคลอดหดเกร็ง แตกต่างจากอาการเจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์ เพราะมันเป็นปฏิกิริยาอัตโนมัติของร่างกายที่ทำให้เกิดอาการขึ้น" "มันเป็นเรื่องยากที่จะระบุว่ามีผู้หญิงที่มีปัญหานี้อยู่เท่าไหร่ เพราะผู้หญิงส่วนใหญ่ซึ่งมีปัญหาทางเพศมักไม่ค่อยพูดถึงเรื่องนี้" นอกจากการแก้ปัญหาทางกายภาพแล้ว การรักษายังมุ่งเน้นไปที่ด้านจิตใจด้วย นั่นก็คือความกลัวการสอดใส่ ดร. แม็กเคย์ บอกว่า การให้คำปรึกษาทางจิตวิทยาทางเพศ มักจะนำมาใช้อยู่บ่อย ๆ ซึ่งเป็นการบำบัดด้วยการพูดคุยที่ช่วยให้คนคนนั้นเข้าใจและเปลี่ยนแปลงความรู้สึกที่มีต่อร่างกาย "เรื่องเทคนิคต่าง ๆ ที่ช่วยในการผ่อนคลายจะช่วยให้คุณรู้จักผ่อนคลายกล้ามเนื้อช่องคลอด การออกกำลังกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน ก็เป็นวิธีที่นำมาใช้ในการรักษาช่องคลอดหดเกร็งได้เช่นกัน "เราได้สั่งให้ใช้อุปกรณ์ฝึกช่องคลอดด้วย ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับผ้าอนามัยแบบสอดที่มีผิวเรียบ มีความกว้างหลายขนาด ที่ช่วยทำให้คุณรู้สึกคุ้นเคยกับการมีอะไรอยู่ในช่องคลอด" เทเรซา พยายามใช้การสะกดจิตในการรักษาช่องคลอดหดเกร็ง เทเรซา วัย 23 ปี ก็เป็นอีกคนที่มีปัญหาช่องคลอดหดเกร็ง เธอเล่าว่า หลังจากได้รับการวินิจฉัยโรค เธอได้รับคำแนะนำให้รักษาด้วยวิธีการต่าง ๆ "นักบำบัดคนหนึ่งแนะนำให้ฉันลองใช้การสะกดจิต ฉันก็ลองทำดูตอนที่รู้สึกแย่ ๆ แต่มันไม่ได้ผลสำหรับฉันเลย ฉันรู้สึกไม่มั่นใจอยู่ตลอดเวลา คอยแต่คิดว่า 'แบบนี้จะได้ผลหรือเปล่านะ'" เทเรซา เล่า เธอกล่าวเพิ่มเติมว่า: "วิธีหนึ่งที่ได้ผลสำหรับฉันคือ อุปกรณ์ถ่างช่องคลอดที่มีหลายขนาด เพียงแต่คุณต้องฝึกให้ตัวเองผ่อนคลายเวลาใช้มัน" "ตอนนี้ ชีวิตค่อนข้างดี ฉันไม่กังวลเรื่องนี้ทุกวันแล้ว ฉันรู้สึกสบาย ๆ มีความสุขมาก ตอนแรก ๆ ก็ยาก แต่ฉันคิดว่า เมื่อคุณพบทางออก มันก็ง่ายแล้วล่ะ" เธอกล่าว
|
"คุณไม่สามารถควบคุมร่างกายตัวเองได้ตลอดเวลาหรอกค่ะ"
|
international-44480226
|
https://www.bbc.com/thai/international-44480226
|
ฟุตบอลโลก 2018: สถิติบอกได้ไหมว่าใครจะเป็นแชมป์ปีนี้?
|
แต่คุณจะทำนายได้อย่างไรว่าทีมไหนจะได้ครองถ้วยเวิลด์คัพ ในกรุงมอสโก ในวันที่ 15 กรกฎาคม? ด้วยการดูแนวโน้ม, สถิติต่าง ๆ และรูปแบบที่เคยเกิดขึ้นจากการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายในอดีต บีบีซี สปอร์ต ตัด 31 ทีมที่เข้าร่วมการแข่งขัน ออกไปจนเหลือทีมเดียวที่จะได้ครองแชมป์ในปีนี้ และนี่คือสิ่งที่ผู้ชนะการแข่งขันฟุตบอลโลก 2018 ต้องทำ เป็นทีมวางของกลุ่ม นับตั้งแต่มีการเพิ่มจำนวนทีมที่เข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอลโลกเป็น 32 ทีม ในปี 1998 ทีมที่ได้ครองแชมป์ล้วนแต่เป็นหนึ่งในทีมวางในการจับสลาก แบ่งสาย เพื่อไม่ให้ทีมเหล่านี้ต้องมาแข่งขันกันเองในรอบแรก ครั้งสุดท้ายที่ทีมซึ่งไม่ได้เป็นทีมวางของกลุ่มคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกมาครองได้นั้น เกิดขึ้นเมื่อปี 1986 เมื่อดิเอโก มาราโดนา และ 'หัตถ์แห่งพระเจ้า' ของเขานำพาทีมอาร์เจนตินาคว้าแชมป์มาได้ หากพิจารณาตามสถิตินี้ เราตัดทีมต่าง ๆ ออกไป 24 ทีมในคราวเดียว เหลือเพียง 8 ทีม อย่าเป็นเจ้าภาพ รัสเซียได้เปรียบจากประเพณีที่ทำกันมานาน 44 ปี คือชาติเจ้าภาพได้เป็นทีมวางในการแบ่งกลุ่ม แต่ด้วยอันดับโลกของรัสเซียซึ่งอยู่ที่ 66 รัสเซียจะไม่มีโอกาสได้เป็น 1 ใน 8 ทีมที่เหลือ ถ้ารัสเซียไม่ได้จัดการแข่งขันครั้งนี้ การเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันเวิลด์คัพ ไม่ใช่หนทางสู่ความสำเร็จอย่างที่เคยเป็นมาในอดีต เพราะแม้ในการแข่งขันฟุตบอลโลก 11 ครั้งแรก ตั้งแต่ปี 1930 ถึง 1978 มีทีมเจ้าภาพที่คว้าแชมป์ 5 ครั้ง แต่ในการแข่งขัน 9 ครั้งที่ผ่านมา ปรากฏว่ามีทีมชาติเจ้าภาพที่คว้าแชมป์เพียงครั้งเดียวคือ ฝรั่งเศส ในปี 1998 ในขณะที่ไม่น่ามีความเป็นไปได้ที่สหรัฐฯ, ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้ หรือ แอฟริกาใต้ จะคว้าแชมป์ฟุตบอลโลก แต่อิตาลีซึ่งเป็นเจ้าภาพในปี 1990 เยอรมนี ปี 2006 และบราซิลเมื่อ 4 ปีที่แล้ว การเป็นเจ้าภาพก็ไม่ได้ช่วยอะไรเช่นกัน เสียประตูน้อย ในยุคที่การแข่งขันฟุตบอลโลกมีทีมที่เข้าร่วมแข่งขัน 32 ทีม ไม่มีทีมไหนจาก 5 ทีมที่เป็นแชมป์ เสียประตูมากกว่า 4 ประตูในการลงเตะ 7 นัด ลองมาดู 7 ทีมที่เหลือของเรา โปแลนด์เป็นทีมที่กองหลังอ่อนที่สุดในการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก โดยเสียประตู 1.4 ประตูต่อนัด เยอรมนีและโปรตุเกสเสียประตู 0.4 ประตูต่อนัด, เบลเยียมและฝรั่งเศส 0.6, บราซิล 0.61 และอาร์เจนตินา 0.88 มาจากยุโรป ผู้ชนะการแข่งขันฟุตบอลโลกเป็นทีมที่มาจากยุโรปและอเมริกาใต้ กระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ทีมจากยุโรปดูจะไปได้ไม่ไกล อย่างไรก็ดีชัยชนะของทีมชาติ สเปนในการแข่งขันที่แอฟริกาใต้ และเยอรมนีในนัดที่บราซิลเป็นเจ้าภาพ เรียกได้ว่าสวนกระแส สำหรับการแข่งขันที่จัดขึ้นในยุโรป เมื่อดูตามสถิติแล้วจะเห็นได้ว่าชาติที่ครองแชมป์มักจะมาจากยุโรป หากดูสถิติการแข่งขันที่ชาติยุโรปเป็นเจ้าภาพ 10 ครั้ง มีเพียงครั้งเดียวที่ได้ผู้ชนะจากนอกทวีป นั่นคือการแข่งขันในปี 1958 ซึ่งบราซิลคว้าแชมป์ได้ในสวีเดน มีผู้รักษาประตูที่ดีที่สุด คุณอาจคิดว่าผู้ทำประตูช่วยทำให้ชนะเวิลด์คัพ แต่มีเพียง 2 ครั้งตั้งแต่ปี 1982 ที่นักเตะจากทีมที่คว้าแชมป์ได้รางวัลรองเท้าทองคำ ได้แก่ โรนัลโด จากบราซิลในปี 2002 ขณะที่ดาบิด บียา จากสเปน ในปี 2010 ซึ่งเป็นปีที่มีนักเตะได้รางวัลนี้ร่วมกัน 4 คน การทำนายว่าทีมใดจะคว้าแชมป์บอลโลกจึงมีความแม่นยำมากกว่าเมื่อดูจากผู้รักษาประตู เพราะหากดูจากรางวัลถุงมือทองคำซึ่งมอบให้กับผู้รักษาประตูที่ดีที่สุด ปรากฏว่า 4 ใน 5 ครั้งที่ผ่านมา รางวัลนี้ตกเป็นของผู้รักษาประตูจากทีมที่คว้าแชมป์ จากบรรดา 4 ทีมที่เหลืออยู่ ก็ไม่ใช่เรื่องยากนักที่จะจินตนาการได้ว่าผู้รักษาประตูคนใดคนหนึ่งต่อไปนี้น่าจะได้รับรางวัลผู้รักษาประตูยอดเยี่ยม มานูเอล นอยเออร์ (เยอรมนี), ฮิวโก ลอรีส (ฝรั่งเศส) หรือทีโบ ควอตวา (เบลเยียม) ส่วนที่ว่า รุย ปาตริซิโอ ของโปรตุเกส จะคว้ารางวัลถุงมือทองคำนั้น ดูจะเป็นเรื่องที่ต้องจินตนาการไปไกลมากกว่า มีประสบการณ์ ทีมที่ชนะเวิลด์คัพมีประสบการณ์เพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง นั่นคือแนวโน้มที่เกิดขึ้นเมื่อการแข่งขันฟุตบอลโลกมีทีมที่เข้าร่วมการแข่งขัน เพิ่มเป็น 32 ทีมในปี 1998 ในครั้งนั้น ทีมฝรั่งเศสซึ่งคว้าแชมป์มีทีมที่ผู้เล่นได้ลงเล่นในการแข่งขันระดับระหว่างประเทศ 22.77 นัดต่อคน เมื่อ 4 ปีที่แล้ว เยอรมนีคุยว่านักเตะ ของตนได้ลงแข่ง 42.21 นัดต่อคน ในช่วงระหว่างนั้นตัวเลขก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยทีมบราซิลผู้เล่นได้ลงแข่งขันในระดับระหว่างประเทศ 28.04 นัดต่อคน ในปี 2002, อิตาลี 32.91 ในปี 2006 และสเปน 38.30 ในปี 2010 เมื่อทีมที่เหลืออยู่ 3 ทีมของเราประกาศรายชื่อผู้เล่นในทีม ค่าเฉลี่ยการลงแข่งขันในระดับระหว่างประเทศของฝรั่งเศสลดลงมาอยู่ที่ 24.56 นัดต่อคน ส่วนเยอรมนีอยู่ที่ 43.26 และเบลเยียมอยู่ที่ 45.13 อย่าเป็นทีมที่มาป้องกันแชมป์ การป้องกันแชมป์ฟุตบอลโลกไม่ใช่เรื่องง่าย นับตั้งแต่บราซิลคว้าแชมป์ติดกัน 2 ครั้งในปี 1958 และ 1962 ก็ไม่มีทีมไหนอีกเลยที่ทำได้ ความจริงแล้ว นับตั้งแต่บราซิลป้องกันแชมป์ได้สำเร็จ ทีมชาติที่ป้องกันแชมป์ 13 ทีมผ่านเข้าไปไกลกว่ารอบก่อนรองชนะเลิศได้เพียงแค่ 2 ครั้ง คือ อาร์เจนตินา ในปี 1990 และบราซิล ในปี 1998 แต่ว่าบราซิลได้อันดับที่ 4 ในปี 1974 ซึ่งมีรูปแบบการแข่งขันแบบแบ่งกลุ่ม 2 รอบ จากนั้นก็เป็นรอบชิงชนะเลิศ และในการแข่งขัน 4 ครั้งที่ผ่านมา ทีมที่มาป้องกันแชมป์ตกรอบแบ่งกลุ่ม 3 ครั้ง เยอรมนีมีสถิติเวิลด์คัพที่ยอดเยี่ยมในช่วงที่ผ่านมา โดยในการแข่งขัน 9 ครั้งที่ผ่านมา รวมถึงสมัยที่เป็นเยอรมนีตะวันตกด้วย เยอรมนีคว้าแชมป์ได้ 2 ครั้ง เข้ารอบชิงชนะเลิศได้อีก 3 ครั้ง และได้ที่ 3 อีก 2 ครั้ง แต่เมื่อต้องคว้าแชมป์ให้ได้อีกครั้งในรัสเซีย จากประวัติศาสตร์คาดว่า เยอรมนีจะทำไม่สำเร็จ เพราะฉะนั้นทีมที่น่าจะคว้าแชมป์บอลโลกปีนี้ก็คือเบลเยียม เว้นเสียแต่ว่าทีมชาติอื่นจะแย่งไป ซึ่งก็มีโอกาสเป็นไปได้... กราฟิกโดยเคที่ โมเสส และแอนดรูว์ พาร์ก ของบีบีซี สปอร์ต
|
จาก 32 ชาติ จะมีผู้ชนะเพียงหนึ่งเดียว
|
features-47282032
|
https://www.bbc.com/thai/features-47282032
|
ความรุนแรงในครอบครัว : “ผมไม่กล้าเลิกแฟนเพราะกลัวเธอจะฆ่าผม”
|
อเล็กซ์กับจอร์แดน ที่ดูภายนอกไม่ต่างจากคู่รักทั่วไป คำเตือน : บทความนี้มีเนื้อหาที่อาจทำให้รู้สึกไม่สบายใจ ผมไม่มีวันลืมตอนที่ จอร์แดน แฟนสาวของผมเทน้ำเดือด ๆ ใส่ผม ตอนนั้นเธอต้อนผมจนมุมที่ห้องหนึ่งในบ้านที่เราอยู่ด้วยกันในมณฑลเบดฟอร์ดเชียร์ โดยถือกาต้มน้ำที่กำลังเดือดอยู่ในมือ ตอนนั้นเราอยู่กินกันมา 3 ปี และสิ่งที่เริ่มขึ้นจากเรื่องเล็ก ๆ เช่น เธอบอกไม่ให้ผมใส่เสื้อผ้าสีเทาหรือเธอไม่ชอบทรงผมของผม ได้กลายเป็นการทำร้ายร่างกายอย่างต่อเนื่องตลอด 9 เดือน ผมกลัวเธอมาก ผมยังเห็นภาพน้ำเดือดหยดแรกที่ตกใส่ผิวของผม เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นราวกับภาพสโลว์โมชั่น หลังจากนั้นผิวหนังของผมก็หดย่นเพราะความร้อน มันเป็นความเจ็บปวดที่ผมไม่เคยรู้สึกมาก่อน ผมขอให้เธอปล่อยผมลงแช่ตัวในอ่างอาบน้ำที่เต็มไปด้วยน้ำเย็น มันเป็นสิ่งเดียวที่ผมคิดออกว่าจะช่วยหยุดอาการไหม้ได้ ซึ่งเธอก็ยอมให้ผมลงแช่ตัว และทันใดนั้นความเจ็บปวดได้บรรเทาลงในทันที คุณคิดไม่ถึงหรอกว่ามันเป็นความรู้สึกวิเศษเพียงใดที่ได้แช่ตัวลงในน้ำเย็นจัดหลังจากสิ่งที่เกิดขึ้น มันเป็นความรู้สึกดีที่สุดในโลก จากนั้นเธอสั่งให้ผมขึ้นจากอ่างอาบน้ำ ไม่อย่างนั้นเธอจะทำสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดอีกครั้ง ถ้าผมเริ่มร้องคร่ำครวญว่าเจ็บปวด เธอจะบอกว่า "กลับลงอ่างสิ" จากนั้นเธอจะทำแบบเดิมแล้วให้ผมขึ้นจากอ่างอาบน้ำ มันคือการเล่นเกมปั่นหัวของเธอ เธอต้องการควบคุมชีวิตผมในทุก ๆ ด้าน ผมจำได้ว่านอนแช่น้ำในสภาพเปลือยเปล่า ผมดูราวกับกำลังอยู่ในเตาอบ ผิวหนังเริ่มหลุดลอกออกมา มันน่ากลัวมาก ๆ ตัวเลขล่าสุดจากการสำรวจปัญหาอาชญากรรมในอังกฤษและเวลส์ พบว่าเมื่อปีที่แล้ว มีผู้ใหญ่อายุ 16-59 ปี ราว 2 ล้านคนตกเป็นเหยื่อความรุนแรงในครอบครัว ในจำนวนนี้กว่า 1 ใน 3 เป็นผู้ชาย นอกจากนี้ยังประเมินว่า ราว 1 ใน 5 ของวัยรุ่น ถูกคู่รักทำร้ายร่างกาย และปัญหานี้เกิดขึ้นกับผู้ชายมากกว่าที่คนส่วนใหญ่รับรู้ โดยข้อมูลจากตำรวจในอังกฤษและเวลส์เผยให้เห็นว่า เมื่อปี 2017 ผู้ชายตกเป็นเหยื่อของความรุนแรงในครอบครัวเกือบ 150,000 ราย ซึ่งเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าของตัวเลขในปี 2012 ข้อมูลจากองค์กรการกุศล ManKind Initiative ยังพบว่า จำนวนที่พักพิงฉุกเฉินสำหรับเหยื่อความรุนแรงในครอบครัวนั้น มีไม่ถึง 1% ที่จัดไว้รองรับผู้ชาย และในกรุงลอนดอนก็ไม่มีที่พักพิงลักษณะนี้ไว้ให้ผู้ชายเลย จอร์แดน เวิร์ธ และผมมีอายุ 16 ปีตอนที่เราพบกันครั้งแรกในวิทยาลัยเมื่อปี 2012 เธอเรียนดีมากและได้รับเลือกให้เข้าเรียนด้านวิจิตรศิลป์ที่มหาวิทยาลัยฮาร์ตฟอร์ดเชียร์ เธออยากเป็นครู ในช่วงเดือนแรก ๆ ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี เรามีช่วงเวลาดี ๆ และทำสิ่งต่าง ๆ ที่คู่รักทั่วไปทำ เช่น การไปดูหนัง และการเดินเล่นด้วยกัน มันเป็นเรื่องแปลกใหม่ที่ผมได้บอกเพื่อน ๆ ว่าผมมีแฟนแล้ว ไม่กี่เดือนหลังจากนั้น ก็เกิดเรื่องแปลก ๆ ขึ้น ตอนนั้นมันดูเหมือนแค่พฤติกรรมเรียกร้องความสนใจ พ่อแม่ผมออกเงินให้ผมกับจอร์แดนไปดูละครเวทีเรื่องเดอะไลอ้อนคิงในลอนดอน แต่จู่ ๆ จอร์แดนกลับหายไป พวกเราตามหาเธอกันให้วุ่น จนไปพบเธออยู่ที่ ล็อบบี้โรงแรมที่เราพัก และหัวเราะชอบใจใหญ่ มันประหลาดมาก แต่พอมองย้อนกลับไป ผมคิดว่ามันเป็นวิธีการทำให้ผมตกใจและให้ผมเป็นห่วงเธอเพื่อรั้งผมไว้กับเธอ จากนั้นไม่นาน จอร์แดนก็เริ่มกีดกันไม่ให้ผมติดต่อกับเพื่อนฝูงและครอบครัว ด้วยการห้ามผมไปพบและควบคุมบัญชีเฟซบุ๊กของผม ซึ่งเป็นรูปแบบของความรุนแรงในครอบครัวที่พบได้บ่อย มันทำให้ผมไม่รู้จะหันหน้าไปหาใคร ภาพอเล็กซ์ฉลองวันเกิดปีที่ 18 กับแม่และลุค คู่แฝดของเขา เธอเริ่มไม่ให้ผมกินอาหาร ทำให้ผมน้ำหนักลดลงอย่างมาก ผมพยายามท้าทายพฤติกรรมของเธอ แต่เธอกลับทำให้ผมรู้สึกว่าเป็นตัวปัญหา ผมรู้ว่ามันไม่ใช่ความผิดผม แต่เธอโน้มน้าวใจจนผมเชื่อตาม และลงเอยด้วยการถามตัวเองว่า "ผมทำอะไรผิดไป" เวลาที่เธอบอกว่า "ฉันไม่ชอบสีเทา" หรือ "ฉันไม่ชอบรองเท้าคู่นั้น" ผมจะคิดว่า "โอเค ผมจะไม่ใส่มัน เพราะผมอยากเอาใจเธอ" ในความเป็นจริง เธอกำลังทำให้ผมเป็นในสิ่งที่เธอต้องการ มันทำลายความมั่นใจในตัวเองของผม มันเป็นการต่อสู้ที่คุณไม่มีวันชนะ และมันน่าท้อใจมาก เรามีลูกด้วยกัน 2 คน และผมได้แต่หวังว่าจะมีบางอย่างเปลี่ยนไป แน่นอนว่าลูก ๆ ที่ยังเล็กอยู่จะต้องเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น แม้เธอจะไม่ได้ทำร้ายพวกเขาโดยตรง แต่ผมกลัวอยู่เสมอว่า ถ้าผมไปจากเธอ เธอจะหันไปทำร้ายลูกแทน ผมจึงจำใจอยู่ต่อ แน่นอนว่าผมมีช่วงเวลาดี ๆ กับจอร์แดน ช่วงเวลาที่ผมมีความสุข เวลาที่เราหัวเราะและสนุกด้วยกัน มันไม่ใช่ฝันร้ายตลอดเวลา และผมอยากพยายามให้ความสัมพันธ์นี้ไปรอด เพราะสุดท้ายผมก็รักเธอ มันกินเวลา 18 เดือนจากการทำร้ายจิตใจมาเป็นการทำร้ายร่างกาย มันเริ่มขึ้นตอนที่เธอนอนโดยมีขวดวางไว้ข้างตัว เธอกล่าวหาว่าผมนอกใจโดยการพูดคุยและส่งข้อความหาหญิงอื่น ซึ่งมันไม่เป็นความจริงเลย เธอมักจะอ้างว่าได้รับข้อความจากคนนั้นคนนี้ แต่ตอนหลังผมพบว่าเธอกุเรื่องขึ้นมา จากนั้นเธอจะรอให้ผมหลับ แล้วใช้ขวดฟาดที่หัวของผม แล้วถามว่า "เธอกำลังคิดอะไรอยู่" ฟิล์มเอกซเรย์ช่องปากของอเล็กซ์ เผยให้เห็นร่องรอยฟันหัก พอผ่านไปได้ระยะหนึ่งมันถึงจุดที่ผมไม่รู้สึกเจ็บอีกต่อไป ผมชินกับความเจ็บปวดมาก แทบจะไม่รู้สึกอะไรอีกต่อไป ดังนั้นเธอจึงเพิ่มระดับและหาวิธีทำร้ายผมที่หนักขึ้น หลังจากขวดแก้วก็เปลี่ยนเป็นค้อน และเป็นอะไรก็ตามที่เธอหาได้ ครั้งหนึ่งเธอใช้สายชาร์จแล็ปท็อป โดยพันสายไฟไว้ที่ข้อมือแล้วฟาดปลั๊กไฟส่วนที่เป็นหัวเสียบลงที่หัวของผม เลือดเริ่มไหลทะลักออกมา ผมร้องว่า "ช่วยผมที" และมองจอร์แดนเดินขึ้นบันไดพร้อมกับหัวเราะชอบใจ เธอพูดว่า "ทำไมไม่ไปตายซะล่ะ ไม่มีใครห่วงเธออยู่แล้ว" ในที่สุด จอร์แดนก็เริ่มใช้มีด เธอเฉือนผม ครั้งหนึ่งมันเกือบโดนเส้นเลือดใหญ่ที่ข้อมือผม จากนั้นก็เป็นน้ำเดือด มันทำให้ผมมีแผลไฟไหม้ระดับที่ 3 เมื่อใดก็ตามที่ผมเริ่มชินชากับความเจ็บปวด เธอจะเพิ่มระดับความรุนแรง ซึ่งขั้นต่อไปหลังจากน้ำร้อนลวกก็คงจะเป็นความตาย กาต้มน้ำร้อนที่จอร์แดนใช้ทำร้ายอเล็กซ์ แน่นอนว่าผมกลัวจอร์แดน และสิ่งที่เธอจะทำ ตอนนั้นผมรู้สึกว่าถ้าผมบอกเรื่องนี้กับใครเธอจะฆ่าผมทิ้ง ดังนั้นเวลาที่ไปโรงพยาบาล ผมจะโกหกว่าผมสะดุดล้มแล้วหัวไปกระแทก หรือไม่ก็ถูกน้ำร้อนจากฝักบัวลวกผิวหนัง เพื่อนบ้านเคยโทรแจ้งตำรวจ 2-3 ครั้ง ตอนที่พวกเขาได้ยินเสียงร้องตะโกน ซึ่งผมจะพูดแก้ตัวให้จอร์แดน มันไม่ใช่เรื่องดี แต่ผมทำเพื่อรักษาชีวิตตัวเอง เวลาที่ผมตาเขียวหรือมีรอยฟกช้ำ เธอจะใช้เครื่องสำอางกลบร่องรอย เพราะเธออยากปิดบังสิ่งที่เธอทำกับผม ตอนนั้นผมรู้สึกว่าร่างกายกำลังจะหยุดทำงาน ผมน้ำหนักลดไป 31 กก. หมอบอกว่าถ้าช้ากว่านี้ 10 วันผมคงจะตาย เพราะผมไม่ได้กินอาหารมาเป็นเวลานานและอาการบาดเจ็บก็สาหัสมาก เรื่องทั้งหมดจบลงในปี 2018 ตอนที่ตำรวจมาที่บ้านเพื่อติดตามคดีและสอบปากคำผม และความจริงทั้งหมดก็ถูกเปิดเผย ภาพจากกล้องของตำรวจ เผยให้เห็นอเล็กซ์ในสภาพที่ได้รับความบอบช้ำทั้งทางร่ายกายและจิตใจ ถ้าตำรวจไม่ยื่นมือเข้ามาในตอนนั้น ผมคงลงไปนอนในหลุมแล้วแน่นอน ผมโชคดีที่ร่องรอยบาดแผลและหลักฐานทั้งหมดมัดตัวจอร์แดนไว้แน่นหนา และทำให้เธอถูกจับกุมตัวไป ผมคิดว่าแรงจูงใจของจอร์แดนมาจากความหึงหวงล้วน ๆ ผมเคยสนิทกับครอบครัวมาก และมีเพื่อนดี ๆ มากมาย แต่เธอกีดกันผมจากทุกคน เธอพรากผมจากทุกสิ่งที่ผมเคยมี ผมจำได้ว่าครั้งหนึ่งเธอพูดว่า "ฉันจะทำลายชีวิตเธอ" ข้อมูลจากองค์กร ManKind Initiative ระบุว่า ในขณะที่ 1 ใน 6 ของผู้ชายตกเป็นเหยื่อความรุนแรงในครอบครัว แต่มีเพียง 1 ใน 20 เท่านั้นที่กล้าขอความช่วยเหลือ จอร์แดนไม่เคยแสดงความเสียใจ โดยตอนที่ตำรวจสอบปากคำนั้น แม้เธอจะทำท่าเหมือนสำนึกผิดในวิดีโอที่ตำรวจบันทึกไว้ แต่ผมคิดว่าเธอทำเช่นนั้นเพราะกลัวว่าจะถูกจับได้ว่าทำอะไรกับผม เธอยอมรับสารภาพในชั้นศาล ผมเชื่อว่าเพราะเธอยากได้รับการบรรเทาโทษ จอร์แดนขณะถูกตำรวจสอบปากคำ ผมไม่รู้ว่าจอร์แดนจะอ้างความชอบธรรมอะไรกับพฤติกรรมของเธอ ผมคิดว่าคนที่ใช้ความรุนแรงกับคนในครอบครัวทำมันลงไปเพราะรู้สึกดี เหมือนกับการใช้ยาเสพติด ที่ยิ่งพวกเขาเสพมากเท่าไหร่ก็ยิ่งรู้สึกว่าจะเอาตัวรอดได้มากเท่านั้น ผมเคยได้ยินเรื่องความรุนแรงในครอบครัวต่อผู้ชายก่อนที่ผมจะรู้จักกับจอร์แดน ผมรู้ดีว่าสิ่งที่เธอทำมันคืออะไร แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเหมือนกัน ผมไม่ได้พยายามหนีออกจากสถานการณ์นี้ มันฟังดูตลก แต่มันไม่มีทางที่ผมจะออกมาได้เลย ที่สำคัญเรามีลูกด้วยกัน 2 คน ผมแค่หวังว่ามันจะหยุด ถ้าผมถูกตีน้อยลง 1 ครั้ง วันนั้นคือวันดีของผมแล้ว สิ่งที่ผมเป็นห่วงก็คือลูก ๆ คุณไม่ควรบอกใครให้ออกจากสถานการณ์เช่นนี้ สิ่งที่คุณทำได้คือการพูดว่า "ถ้าคุณอยากคุยกับฉัน ฉันอยู่ตรงนี้" อเล็กซ์กับหนูน้อยไอริส ลูกสาว หลังเขาออกจากโรงพยาบาล เมื่อเดือน เม.ย. 2018 จอร์แดนถูกตัดสินจำคุก 7 ปีครึ่ง เธอรับสารภาพว่ามีพฤติกรรมควบคุมและบีบบังคับคู่รัก ทำร้ายร่างกายและจงใจให้ได้รับบาดเจ็บสาหัส ตอนที่ผมทราบข่าว ผมไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ ผมไม่สนใจกับอะไรอีกต่อไป ผมคิดว่าเป็นเพราะความบอบช้ำทางจิตใจที่ผมได้ประสบ ตอนที่ศาลมีคำพิพากษา ผมคิดเพียงว่า "นั่นมันยุติธรรมแล้ว" หลังจากนั้นผมรู้สึกโล่งใจ ราวกับได้ยกภูเขาออกจากอก ทันทีที่ผมรู้ว่าเธอถูกนำตัวขึ้นรถไปเรือนจำ มันเป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปีที่ผมรู้สึกสบายใจและไม่ต้องกังวลว่าจะมีเรื่องร้าย ๆ เกิดขึ้นอีก ส่วนเด็ก ๆ ไม่ได้รับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ผมเก็บข้อมูลและเอกสารทางกฎหมายต่าง ๆ ไว้ให้พวกเขาได้อ่านเมื่อโตพอจะเข้าใจ และผมจะอธิบายเรื่องราวทั้งหมดให้พวกเขาฟัง สิ่งที่ผมแคร์ทั้งหมดก็คือการที่วันหนึ่งลูก ๆ จะพูดว่า "พ่อทำดีแล้ว" จอร์แดน เป็นผู้หญิงคนแรกในสหราชอาณาจักรที่ต้องเข้าคุกฐานมีพฤติกรรมควบคุมและบีบบังคับคู่รัก แสดงให้เห็นว่าทางการให้ความสำคัญกับประเด็นนี้ ปัจจุบันยังคงมีมุมมองเชิงลบในสังคมที่ทำให้ผู้ชายไม่กล้าเปิดเผยเรื่องการตกเป็นเหยื่อความรุนแรงในครอบครัว และบ่อยครั้งที่ตำรวจไม่จริงจังกับปัญหาความรุนแรงต่อผู้ชาย ทำให้พวกเขามักถูกละเลยในการรณรงค์ต่อต้านปัญหาความรุนแรงในครอบครัว ในอนาคตอเล็กซ์อยากเปิดบ้านพักฉุกเฉินให้ผู้ชายที่ถูกทำร้ายแบบเขา ผมไม่โง่พอที่จะคิดว่าผู้หญิงทุกคนเหมือนจอร์แดน แต่ผมยังไม่พร้อมจะเริ่มความสัมพันธ์ครั้งใหม่กับใครอีกในตอนนี้ ผมอยากจะสนุกกับสิ่งที่ผมรักในวัยเด็กแต่ถูกจอร์แดนพรากไป และผมอยากช่วยองค์กรการกุศลที่ให้ความช่วยเหลือผู้ชายที่เป็นเหยื่อความรุนแรงในครอบครัว ในอนาคตผมอยากเปิดบ้านพักฉุกเฉินให้ผู้ชายที่ถูกทำร้ายแบบผม บางครั้งผมคิดว่าเหตุผลหลักที่ผมยังมีชีวิตอยู่นั้นก็เพื่อทำหน้าที่รณรงค์ให้สังคมตระหนักกับปัญหานี้ ทำไมมีดถึงพลาดจุดสำคัญ และทำไมผมจึงไม่เคยกะโหลกร้าวแม้จะถูกทุบตีนับพันครั้ง มันต้องมีเหตุผลสำหรับเรื่องนี้ และเหตุผลก็คือการช่วยเหลือผู้คน ผมแค่อยากให้เหยื่อรายอื่น ๆ มีชีวิตที่ดีขึ้น เรื่องนี้ได้รับการบอกเล่าผ่าน โซฟี เฮย์ด็อก
|
อ เล็กซ์ สกีล อายุ 22 ปี
|
international-46579367
|
https://www.bbc.com/thai/international-46579367
|
5 แนวคิดแห่งโลกอนาคตในปี 2019
|
ลองคิดย้อนกลับไป ถึงช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิต จากนั้นจินตนาการว่าตื่นขึ้นมา และรู้สึกแบบนั้นในทุก ๆ วัน มันเกิดขึ้นได้โดยใช้ขั้วไฟฟ้า และดัดแปลงระบบประสาท 2-3 อย่าง เทคโนโลยีสร้าง 'สมองนักออกแบบ' อาจจะเกิดขึ้นในปี 2019 มันจะปรับวงจรของสมองใหม่ เพื่อให้ทำหน้าที่ดีขึ้น และพัฒนาสุขภาพจิต ด้วยการส่งแรงสั่นสะเทือนจากแม่เหล็กไฟฟ้า เข้าไปยังพื้นที่เป้าหมายของสมอง วิธีที่เรียกว่า การแฮ็กทางชีวภาพ (biohacking) ซึ่งครั้งหนึ่งไม่มีใครรู้จัก ตอนนี้กำลังมีคนนิยมเพิ่มขึ้น การแฮ็กทางชีวภาพ คือ การที่คนพยายามเปลี่ยนแปลง ความเป็นอยู่ของตัวเอง ด้วยการเปลี่ยนวิถีชีวิต, ผ่าตัด หรือการรักษาที่ไม่ได้รับอนุญาต อย่างเช่นการฝังชิป คาดว่ามีคน 10,000 คนแล้วในโลกที่ฝังชิป คุณอาจเคยได้ยินเรื่องการพิมพ์ 3 มิติ แล้วเคยได้ยินการพิมพ์อวัยวะ 3 มิติ หรือเปล่า? นักวิทยาศาสตร์หวังว่าจะผลิตอวัยวะต่าง ๆ ที่ใช้ฝังในตัวมนุษย์ให้ได้ภายใน 20 ปี แต่บริษัทเทคโนโลยีชีวภาพ ตั้งเป้าที่จะพิมพ์หัวใจของมนุษย์ภายในปี 2019 คุณจะกินเบอร์เกอร์สังเคราะห์หรือไม่? มันอาจจะวางขายในสหรัฐฯ ปีหน้า ปัจจุบันเทคโนโลยี 'เนื้อสะอาด' มีราคาสูงมาก แต่ธุรกิจเกิดใหม่กำลังคิดหาวิธีทำให้เทคโนโลยีนี้มีราคาถูกลง ใน 100 ปีโลกอาจจะมีคนอาศัยอยู่ 11,000 ล้านคน ดังนั้นการผลิตอาหารเพิ่มขึ้นจึงสำคัญมาก
|
แนวคิดทางวิทยาศาสตร์ที่น่าสนใจ สำหรับปี 2019 มีอะไรบ้าง?
|
international-40011333
|
https://www.bbc.com/thai/international-40011333
|
ย้อนรอย 5 เหตุร้าย ใน สหราชอาณาจักร
|
เหตุระเบิดฆ่าตัวตายที่หอแสดงคอนเสิร์ตในเมืองแมนเชสเตอร์ของอังกฤษ ทำให้มีผู้เสียชีวิต 22 คน และบาดเจ็บอีก 59 คน ถือเป็นเหตุก่อการร้ายครั้งล่าสุดที่สั่นสะเทือนความมั่นคงของสหราชอาณาจักร บีบีซี รวบรวมเหตุโจมตีครั้งสำคัญบางเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ยุคปัจจุบันของประเทศนี้ คนร้าย 4 คนก่อเหตุระเบิดฆ่าตัวตายในเครือข่ายขนส่งมวลชนในกรุงลอนดอนเมื่อวันที่ 7 ก.ค. 2005 หรือที่เรียกว่าเหตุการณ์ 7/7 คนร้ายจุดชนวนระเบิดแสวงเครื่อง 3 ลูกในรถไฟใต้ดินลอนดอนภายในเวลาติด ๆ กัน โดยลูกหนึ่งระเบิดใกล้สถานีอัลด์เกท ทำให้มีผู้เสียชีวิต 6 คน อีกลูกระเบิดใกล้กับสถานีเอดจ์แวร์โรด คร่าชีวิตผู้คนไป 7 ราย และอีกลูกระเบิดบนรถไฟใต้ดินสายพิคคาดิลลี ระหว่างสถานีคิงส์ครอสส์และสถานีรัสเซลสแควร์ จุดนี้มีผู้เสียชีวิตมากถึง 27 คน ส่วนระเบิดลูกที่ 4 เกิดขึ้นบนรถประจำทางที่มีผู้โดยสารหนาแน่นที่กำลังแล่นอยู่บริเวณสถานีเทวิสต็อกสแควร์ ทำให้มีผู้เสียชีวิต 14 คน ผู้ก่อเหตุเป็นกลุ่มอิสลามหัวรุนแรง 4 คน จากตอนเหนือของอังกฤษ ซึ่งนำโดยนายโมฮัมหมัด ซีดิก ข่าน ส่วนมือระเบิดอีก 3 คนเป็นบุตรชายของผู้อพยพชาวปากีสถานที่เกิดในอังกฤษ หลังเกิดเหตุ 2 สัปดาห์ มีความพยายามจะก่อเหตุเลียนแบบขึ้นโดยคนร้ายพุ่งเป้าโจมตีเครือข่ายขนส่งมวลชนหลายจุด แต่เคราะห์ดีที่ระเบิดไม่ทำงาน เหตุโจมตีท่าอากาศยานกลาสโกว์ 30 มิ.ย.2007 3 วันหลังจากนายกอร์ดอน บราวน์ เข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอังกฤษ ชาย 2 คนก่อเหตุขับรถจี๊ปพุ่งชนอาคารผู้โดยสารของสนามบินกลาสโกว์จนรถที่ใช้ก่อเหตุเกิดไฟลุกไหม้ ช่วงเกิดเหตุ นายบิลัล อับดุลลาห์ หนึ่งในคนร้าย ซึ่งเป็นแพทย์ชาวมุสลิมเชื้อสายอิรักที่เกิดในอังกฤษและทำงานที่โรงพยาบาลรอยัลอเล็กซานดรา ลงจากรถแล้วพยายามเข้าไปทำร้ายผู้คนภายในอาคารผู้โดยสารดังกล่าวแต่ถูกตำรวจควบคุมตัวไว้ได้ ส่วนคนขับคือนายคาฟีล อาห์เหม็ด วิ่งลงจากรถเพราะถูกไฟไหม้ตามร่างกาย จากนั้นก็เสียชีวิตลงจากบาดแผลไฟไหม้ เหตุการณ์ครั้งนี้ไม่มีประชาชนผู้บริสุทธิ์เสียชีวิต ภายหลังพบข้อมูลว่าเหตุโจมตีดังกล่าวมีความเชื่อมโยงกับเหตุพยายามระเบิดไนท์คลับแห่งหนึ่งในกรุงลอนดอนเมื่อ 36 ชม.ก่อนหน้านั้น เหตุสังหาร ลี ริกบี 22 พ.ค. 2013 ชาย 2 คน คือ ไมเคิล อเดโบลาโจ และนายไมเคิล อเดโบวาลี ก่อเหตุสังหาร ลี ริกบี ทหารอังกฤษที่ด้านนอกค่ายทหารในย่านวูลิช ทางตะวันออกเฉียงใต้ของกรุงลอนดอน โดยคนร้ายขับรถชนริกบี จากนั้นใช้อาวุธมีดขนาดใหญ่ทำร้ายริกบีจนถึงแก่ความตาย หลังเกิดเหตุชายทั้งสองรอมอบตัวต่อตำรวจในที่เกิดเหตุ และประกาศเจตนารมณ์ผ่านคลิปวิดีโอที่บันทึกโดยผู้อยู่ในเหตุการณ์คนหนึ่งโดยระบุว่า การก่อเหตุสะเทือนขวัญครั้งนี้มีจุดประสงค์ในการล้างแค้นที่ทหารอังกฤษเข่นฆ่าชาวมุสลิม คนร้ายทั้งสองเป็นชาวอังกฤษเชื้อสายไนจีเรีย และโตมาโดยนับถือศาสนาคริสต์ แต่ภายหลังได้เปลี่ยนไปนับถือศาสนาอิสลาม พวกเขาถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิต โดยศาลให้นายอเดโบลาโจรับโทษจำคุกตลอดชีวิตโดยไม่มีการลดหย่อนโทษ ส่วนนายอเดโบวาลี ศาลให้รับโทษจำคุกอย่างน้อย 45 ปีจึงจะมีสิทธิ์ขอลดโทษได้ ฆาตกรรม ส.ส.โจ ค็อกซ์ 16 มิ.ย. 2016 นางโจ ค็อกซ์ ส.ส.หญิงสังกัดพรรคเลเบอร์ถูกนายโธมัส แมร์ สังหารที่ด้านนอกห้องสมุดประจำเมืองเบอร์สตอล ในมณฑลเวสต์ยอร์กเชียร์ โดยขณะก่อเหตุคนร้ายร้องตะโกนคำว่า "Britain first" (อังกฤษต้องมาก่อน) สำนักงานอัยการสูงสุดของอังกฤษระบุว่ากรณีที่เกิดขึ้นเป็น "การก่อการร้าย" โดยนายแมร์ ก่อเหตุอย่างอุกอาจทั้งยิงและจ้วงแทงนางค็อกซ์จนเสียชีวิต ทั้งยังแทงพลเมืองดีวัย 77 ปี ที่พยายามเข้าไปช่วยนางค็อกซ์ด้วย เหตุสะเทือนขวัญครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงที่สหราชอาณาจักรกำลังรณรงค์เรื่องการลงประชามติถอนตัวออกจากสหภาพยุโรป ซึ่งผู้พิพากษาระบุว่าเหตุที่เกิดขึ้นเป็นการกระทำที่มีแรงจูงใจทางการเมือง เหตุโจมตีเวสต์มินสเตอร์ 22 มี.ค. 2017 นายคาลิด มาซูด ที่เกิดในอังกฤษ โดยมีชื่อเดิมว่า เอเดรียน เอล์มส์ ก่อเหตุขับรถยนต์พุ่งชนผู้คนที่เดินอยู่บนสะพานเวสต์มินสเตอร์ กลางกรุงลอนดอน ก่อนจะขับรถพุ่งชนรั้วของอาคารรัฐสภาอังกฤษ จากนั้นใช้อาวุธมีดสังหารพลตำรวจคีธ พาลเมอร์ นอกจากนี้ยังมีประชาชนผู้บริสุทธิ์เสียชีวิตอีก 4 คน ส่วนคนร้ายถูกตำรวจวิสามัญฆาตกรรม ทางการอังกฤษเชื่อว่า นายมาซูด ก่อเหตุโดยมีแรงจูงใจจากแนวคิดอิสลามสุดโต่ง
|
เหตุโจมตีลอนดอน 7 ก.ค. 2005
|
institutional-38497681
|
https://www.bbc.com/thai/institutional-38497681
|
ข้อมูลส่วนบุคคลและความเป็นส่วนตัว
|
คุณนำข้อมูลของฉันไปทำอะไร เรานำมันไปใช้เพื่อพัฒนา BBC ให้ดีขึ้นสำหรับคุณและทุกคน หมายถึงเราทำสิ่งต่าง ๆ เช่น: เรายังนำข้อมูลไปใช้ในเชิงธุรกิจ การกำกับดูแลและกฎหมาย เช่น หากคุณอาศัยอยู่นอกราชอาณาจักร คุณจะเห็นเว็บไซต์ BBC ภาคระหว่างประเทศ คือ bbc.com ซึ่งมีโฆษณาด้วย โฆษณาบางชิ้นจะถูกปรับให้เหมาะกับคุณ ขึ้นอยู่กับว่าคุณใช้เว็บไซต์ bbc.com และเว็บไซต์อื่น ๆ อย่างไร คุณจะเก็บของมูลของฉันไว้นานเท่าไร โดยทั่วไป เราเก็บข้อมูลของคุณไว้นานเท่าที่จำเป็น ทั้งนี้เพื่อบริการในเรื่องที่คุณเข้าใช้ ถ้าคุณยังไม่ได้เข้าใช้บัญชีผู้ใช้บริการ BBC ในช่วงสองปีที่ผ่านมา เราอาจจัดให้อยู่ในกลุ่มผู้ใช้ที่ไม่มีความเคลื่อนไหว หรือลบข้อมูลทิ้งตามนโยบายของเราเรื่องความเป็นส่วนตัว กรุณาตรวจสอบในกล่องข้อความของคุณว่า เราได้ส่งอีเมลเกี่ยวกับเรื่องนี้ไปให้คุณแล้ว ฉันสามารถลบข้อมูลของฉันได้ไหม คุณสามารถลบบัญชีผู้ใช้บริการ BBC ของคุณได้เมื่อไรก็ได้ และมันก็จะลบข้อมูลส่วนบุคคลในบัญชีของคุณที่เรามีเกี่ยวกับตัวคุณ และหมายความว่าข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับการใช้ BBC ของคุณจะกลายเป็นข้อมูลนิรนาม การลบบัญชีผู้ใช้บริการของคุณจะไม่ลบข้อมูลที่คุณแบ่งปันกับ BBC ในเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับบัญชีผู้ใช้บริการของคุณ เช่น ถ้าคุณสมัครร่วมในรายการ BBC Shows รายการ Tours and Take Part เราจะยังคงเก็บข้อมูลของคุณไว้ เพื่อว่าเราสามารถที่จะให้บริการและบอกคุณเกี่ยวกับรายการโชว์ในอนาคตที่คุณอาจชอบ ข้อพึงตระหนัก ถ้าคุณลบบัญชีผู้ใช้บริการ BBC ของคุณ คุณจะไม่สามารถเข้าใช้บัญชี BBC Store ที่เชื่อมโยงกับบัญชีผู้ใช้บริการได้ เพราะว่าบัญชีดังกล่าวใช้เทคโนโลยีเดียวกัน ดังนั้นคุณอาจเสียผลประโยชน์เกี่ยวกับเรื่องที่คุณซื้อโดยใช้บัญชี BBC Store คุณส่งข้อมูลของฉันให้องค์กรอื่นหรือไม่? เราเก็บข้อมูลของคุณไว้ภายใน BBC และใช้มันเพื่อให้บริการคุณหรือเพื่อพัฒนาการใช้บริการ BBC ของคุณ นี่หมายความว่าเราแบ่งปันข้อมูลก็ต่อเมื่อ เมื่อเรานำข้อมูลของคุณไปใช้นอก BBC เราจะ เมื่อเรานำข้อมูลของคุณไปใช้ภายใน BBC เราอาจนำข้อมูลของคุณไปใช้ในหน่วยงานต่าง ๆ ของ BBC เพื่องานวิจัย วิเคราะห์ การตลาด หรือใบอนุญาตการรับชมโทรทัศน์ ซึ่งรวมถึงหน่วยงานเชิงพาณิชย์ของ BBC เช่น BBC Worldwide เมื่อมีความจำเป็นที่ต้องให้บริการตามที่คุณขอมา ตัวอย่างเช่น เมื่อคุณซื้อสินค้าบางอย่างจาก BBC Store ฉันจะรู้ได้อย่างไรว่า คุณมีข้อมูลเกี่ยวกับฉันเรื่องไหนบ้าง คุณสามารถติดต่อ BBC ได้โดยตรง เพื่อขอสำเนาข้อมูลเกี่ยวกับคุณและขอให้แก้ไขข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง นี่เป็นสิทธิ์ของคุณตามพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูล การยื่นขอข้อมูลในลักษณะนี้มีค่าใช้จ่าย 10 ปอนด์ โดยคุณเขียนเช็คสั่งจ่าย BBC พร้อมกับแนบสำเนาเอกสารเกี่ยวกับตัวคุณสองสำเนา จากเอกสารดังกล่าวต่อไปนี้ หนังสือเดินทาง, ใบขับขี่, สูติบัตร, บิลค่าสาธารณูปโภค (สามเดือนล่าสุด), เอกสารการจดทะเบียนยานพาหนะฉบับปัจจุบัน, รายการในบัญชีเงินฝาก (สามเดือนล่าสุด), สมุดบันทึกการเช่าที่พักและการจ่ายค่าเช่า (สามเดือนล่าสุด) หากต้องการติดต่อเรื่องนี้ ส่งอีเมลไปที่ dpa.officer@bbc.co.uk หรือเขียนจดหมายไปที่ The BBC Data Protection Officer Room BC2 A5 Broadcast Centre White City Wood Lane London W12 7TP สำหรับผู้ที่อาศัยอยู่นอกสหราชอาณาจักร ส่งอีเมลไปที่ dataprotection@bbc.com หรือเขียนจดหมายส่งไปที่ The Privacy Team BBC Worldwide 4A Television Centre 101 Wood Lane London W12 7FA BBC Worldwide จะอธิบายถึงวิธีการเข้าถึงหรือการแก้ไขข้อมูลของคุณ
|
ข้อมูลส่วนบุคคล
|
international-50955440
|
https://www.bbc.com/thai/international-50955440
|
ปณิธานปีใหม่ ทำอย่างไรให้สำเร็จ ?
|
นี่เป็นช่วงเวลาที่หลายคนชอบนั่งทบทวนปีที่ผ่านมา และวางแผนว่าปีใหม่จะตั้งปณิธานว่าจะทำอะไรให้สำเร็จ รักษาสุขภาพให้ดีขึ้น หรือว่าเก็บเงินให้ได้มาก ๆ อาจจะอยากเริ่มทำกิจกรรมยามว่างใหม่ ๆ หรือไม่ก็ลด-ละ-เลิก อะไรสักอย่าง แรงจูงใจเป็นสิ่งสำคัญเพราะนี่ไม่ใช่สิ่งที่ทำง่ายเลย งานวิจัยโดยมหาวิทยาลัยสแครนตัน รวบรวมโดยสถาบันสถิติ Statistic Brain ในสหราชอาณาจักร พบว่า มีเพียง 8 เปอร์เซ็นต์ของคนทั้งหมดเท่านั้นที่สามารถสานปณิธานที่ตั้งไว้ได้สำเร็จ ใน 8 เปอร์เซ็นต์นั้นอาจจะเป็นคุณก็ได้ และนี่คือเคล็ดลับที่จะช่วยให้คุณประสบความสำเร็จ 1.เริ่มต้นด้วยก้าวเล็ก ๆ การตั้งปณิธานที่สมจริงทำให้เรามีโอกาสทำสิ่งที่ตั้งใจไว้สำเร็จมากขึ้น เรเชล ไวน์สตีน นักจิตบำบัด บอกว่า การตั้งเป้าหมายเกินจริงเป็นส่วนหนึ่งของปัญหา ยกตัวอย่างเช่น ออกไปซื้อรองเท้าและไปวิ่งระยะสั้น ๆ แทนที่จะตั้งใจวิ่งมาราธอน 2.เจาะจง เรามักชอบตั้งเป้าหมายโดยไม่รู้แน่ชัดว่าจะทำให้สำเร็จอย่างไร การลงรายละเอียดจึงเป็นเรื่องสำคัญ ศ.นีล เลวี จากมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ดระบุว่า การพูดว่า "ฉันจะไปออกกำลังกายวันอังคารและวันเสาร์" มีโอกาสสำเร็จมากกว่าแค่พูดว่า "ฉันจะออกกำลังกายให้มากขึ้น" การลงรายละเอียดเช่นนี้จะช่วยให้เราไม่ใช่แค่พูดว่าตั้งใจจะทำอะไร แต่วางขั้นตอนชัดเจนว่าจะทำอย่างไรด้วย 3.สร้างแรงสนับสนุน การมีเพื่อนร่วมตั้งใจทำอะไรบางอย่างไปด้วยกันเป็นแรงจูงใจที่ดี นั่นอาจหมายถึงการลงคลาสเรียนอะไรสักอย่างกับเพื่อน หรือไม่ก็ป่าวประกาศความตั้งใจอย่างสาธารณะ ดร.จอห์น ไมเคิล อาจารย์ด้านปรัชญาจากมหาวิทยาลัยวอร์ริค เป็นผู้ศึกษาปัจจัยทางสังคมที่เกี่ยวข้องกับการตั้งและรักษาคำมั่น เขาบอกว่า เรามีแนวโน้มจะรักษาสัญญาหากว่านั่นเป็นสิ่งที่สำคัญต่อผู้อื่น เช่นนี้เอง การให้คนอื่นเข้ามามีส่วนร่วมจะช่วยให้เรามีโอกาสทำสำเร็จมากขึ้น 4.เอาชนะความล้มเหลว เมื่อเจออุปสรรค ให้หยุดพักและนั่งคิดทบทวน คุณเจออุปสรรคอะไร? วิธีไหนที่มีประสิทธิภาพที่สุด วิธีการไหนที่ใช้ไม่ได้ ตั้งใจทำตามเป้าหมายที่สมจริงมากขึ้น เฉลิมฉลองกับทุกความสำเร็จแม้จะเป็นเพียงก้าวเล็ก ๆ หากติดขัด คุณอาจจะลองใช้วิธีใหม่เพื่อลองทำปณิธานเดิมให้สำเร็จ 5.ตั้งปณิธานให้ไปในทิศทางเดียวกันกับแผนระยะยาว ปณิธานที่ดีที่สุดคือปณิธานที่เป็นส่วนหนึ่งของเป้าหมายชีวิตระยะยาวสำหรับชีวิตคุณ ไม่ใช่ปณิธานที่ไม่ชัดเจนหรือเพ้อฝัน หากคุณไม่เคยสนใจเล่นกีฬา การตั้งใจจะเป็นสุดยอดนักกีฬาให้ได้ก็อาจจะเกินจริงไป ตั้งปณิธานที่คุณสนใจ หรือที่ทำให้คุณตื่นเต้น และเริ่มต้นตั้งใจทำตั้งแต่วันแรกเลยด้วยแผนการที่ชัดเจน
|
ส่งท้ายปีเก่า ถึงเวลาต้อนรับปีใหม่ 2020
|
Subsets and Splits
No community queries yet
The top public SQL queries from the community will appear here once available.