id
stringlengths 8
27
| url
stringlengths 33
421
| title
stringlengths 10
176
| source
stringlengths 205
21.2k
| target
stringlengths 5
591
|
---|---|---|---|---|
international-40986185
|
https://www.bbc.com/thai/international-40986185
|
หญิงผู้โปรดปรานภูเขาไฟคุกรุ่น
|
โรซาลีเล่าว่า "คุณต้องรู้ถึงอันตรายต่าง ๆ และดูว่าคุณพอจะทำอะไรได้บ้าง ที่ปรึกษาของฉัน ตอนที่เราดู การปะทุขนาดเล็กของภูเขาไฟเอตนา มีเศษวัตถุขนาดเล็กตกลงมา เขาจะบอกเราให้เข้าไปเก็บตัวอย่าง คุณต้องได้รับการฝึกอย่างดี อย่าวิ่ง ให้อยู่กับที่ และมองขึ้นด้านบน ถ้ามีวัตถุขนาดใหญ่ตกลงมาใส่ ก็จะได้หลบออกด้านข้าง" สำหรับผู้ที่ต้องการชมภูเขาไฟคุกรุ่น โรซาลี แนะนำให้ไป วานูอาตู มีภูเขาไฟชื่อ ยาซูร์ ซึ่งมีการปะทุขนาดเล็ก คล้ายกับดอกไม้ไฟ มีความสวยงาม และเป็นภูเขาไฟที่ไปง่าย เธอบอกว่า สามารถขับรถขึ้นไปเกือบถึงปากปล่อง จากนั้นก็มีบันไดคอนกรีต ที่สามารถเดินขึ้นไปได้ และยังมีม้านั่งให้นั่งเล่นด้วย นอกจากภูเขาไฟบนโลก เธอยังพบภูเขาไฟที่คุกรุ่น 71 ลูก บนดวงจันทร์ไอโอของดาวพฤหัสฯ ด้วย
|
โรซาลี โลเปส นักภูเขาไฟวิทยาของนาซาโปรดปรานการปีนภูเขาไฟที่ยังคุกรุ่นอยู่ เพื่อไปชมการปะทุขนาดเล็ก โดยเธอได้เยือนภูเขาไฟที่คุกรุ่นในทุกทวีปทั่วโลกมาแล้ว 63 ลูก
|
international-44426466
|
https://www.bbc.com/thai/international-44426466
|
ฟุตบอลโลก 2018: รวมตัวเลขที่น่าสนใจในอดีต
|
หมายเลข 1 มีเพียง 1 ทีมที่เข้าร่วมเวิลด์คัพทุกครั้ง นั่นคือ บราซิล โดยการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายที่ประเทศรัสเซียที่กำลังจะเริ่มขึ้นเป็นครั้งที่ 21 ของบราซิล หมายเลข 2 2 ประเทศที่ได้เข้ารอบสุดท้ายฟุตบอลโลกครั้งแรกในรัสเซียคือ ไอซ์แลนด์ และ ปานามา ทั้งสองประเทศมีประชากรรวมกันเพียงแค่ 4.4 ล้านคน หมายเลข 3 3 ทีมที่ได้กลับมาเข้ารอบสุดท้ายหลังจากห่างหายไปกว่า 20 ปี ได้แก่ โมร็อกโก, อียิปต์ และ เปรู หมายเลข 4 นับตั้งเข้ารอบเวิลด์คัพครั้งก่อน อียิปต์คว้าชัยชนะ 4 ครั้งในการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติแอฟริกา แต่จนถึงตอนนี้ ยังไม่เคยชนะการเตะนัดไหนเลยในเวิลด์คัพ หมายเลข 5 มีผู้เล่น 5 คนที่เคยได้รับใบแดงถูกไล่ออกจากสนามในการเตะนัดชิงชนะเลิศเวิลด์คัพ รวมถึง ซีเนดีน ซีดาน ปี 2006 ถึงขนาดมีการสร้างรูปปั้น 'หัวโขก' จากเหตุการณ์ที่ทำให้ซีดานได้ใบแดงเลยทีเดียว หมายเลข 6 6 ผู้เล่นของเบลเยี่ยมตั้งแถวสกัดผู้เล่นเพียงคนเดียว เป็นภาพที่โด่งดังในปี 1982 โดยนักเตะเพียงคนเดียวคนนั้นก็คือ ดิเอโก อาร์มันโด มาราโดนา จากอาร์เจนตินา หมายเลข 7 7 ครั้งคือชัยชนะมากสุดในการเตะ กับทีมอื่น ๆ ในเวิลด์คัพ 1 ครั้ง บราซิลทำได้ในปี 2002 ทีมชาติบราซิลปีนั้นมี โรนัลโด นักเตะที่มีทรงผมสุดพิเศษรวมอยู่ด้วย หมายเลข 8 แฮตทริก 8 ครั้ง เกิดขึ้นในปี 1954 มากที่สุดในเวิลด์คัพทุกครั้ง ส่วนการแข่งขันปี 2006 ไม่มีใครทำแฮตทริกได้เลยสักครั้ง หมายเลข 9 9 นัด คือการห้ามลงแข่งขัน เพราะ หลุยส์ ซัวเรซ จากอุรุกวัย กัด จิออร์จิโอ คิเอลลินี 4 ปีต่อมา ซัวเรซ กลับมาอีกครั้ง ส่วนทีมอิตาลีของ คิเอลลินีไม่ผ่านเข้ารอบสุดท้าย หมายเลข 10 10 หมายถึงปี 2010 ซึ่งเป็นครั้้งเดียวที่เจ้าภาพตกรอบแรกในการแข่งเวิลด์คัพ แอฟริกาใต้ครองสถิติที่ไม่มีใครอยากครองนี้อยู่ รัสเซียหวังว่าจะไม่ดำเนินรอยตาม
|
มีสถิติที่น่าสนใจอะไรบ้างตั้งแต่หมายเลข 1 ถึง หมายเลข 10 ในการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
|
international-38740875
|
https://www.bbc.com/thai/international-38740875
|
เพิ่มอักษรรหัสพันธุกรรมอีก 2 ตัว หลังสร้างแบคทีเรียชนิดใหม่สำเร็จ
|
เชื้อแบคทีเรียอีโคไลที่นักวิจัยนำไปตัดต่อพันธุกรรมให้มีคู่เบสในดีเอ็นเอเพิ่มได้สำเร็จ คณะนักวิจัยนานาชาติจากสหรัฐฯ จีน และฝรั่งเศส ซึ่งทำงานที่สถาบันวิจัย Scripps Research Institute ในรัฐแคลิฟอร์เนีย ตีพิมพ์ผลการศึกษาดังกล่าวลงในวารสาร PNAS โดยใช้เทคนิคล้ำสมัยในการดัดแปลงรหัสพันธุกรรมของเชื้อแบคทีเรียอีโคไลให้มีคู่เบสที่ผิดแผกจากธรรมชาติ (UBP) เพิ่มเข้ามาสองตัว โดยใช้ตัวอักษรแทนคู่เบสนี้ว่า X และ Y ซึ่งเทคนิคล่าสุดจะทำให้คู่เบสนี้คงอยู่ในดีเอ็นเอของแบคทีเรียไปตลอด ไม่ว่าจะมีการแบ่งตัวของเซลล์และทำสำเนาดีเอ็นเอซ้ำกี่ครั้งก็ตาม ศาสตราจารย์ ฟลอยด์ โรเมสเบิร์ก หนึ่งในทีมวิจัยกล่าวว่า เคยมีการดัดแปลงพันธุกรรมของแบคทีเรียอีโคไลในลักษณะนี้มาแล้ว แต่เชื้อแบคทีเรียที่ได้เติบโตช้า และคู่เบส X และ Y ไม่ถูกทำสำเนาซ้ำเมื่อเซลล์แบ่งตัวไปหลายครั้ง แต่ในการทดลองครั้งใหม่นี้ ใช้ตัวส่งผ่านระดับโมเลกุลที่ทำให้เชื้ออีโคไลรับคู่เบส X และ Y เข้าสู่เซลล์ได้ดีขึ้น และทำให้เบส Y ถูกเอ็นไซม์ที่สังเคราะห์โมเลกุลเพื่อทำสำเนาดีเอ็นเอตรวจจับได้ง่ายขึ้น เทคนิคดังกล่าวทำให้เซลล์แบคทีเรียแบ่งตัวโดยยังคงมีสำเนาของคู่เบส X และ Y ติดตัวไปตลอด แม้จะทำซ้ำถึง 60 ครั้งก็ตาม ซึ่งแสดงถึงความสำเร็จในการเข้าแทรกแซงควบคุมกระบวนการทางพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตอีกขั้นหนึ่ง ซึ่งอาจเป็นกุญแจไขไปสู่การค้นพบทางชีววิทยาใหม่ ๆ และยาปฏิชีวนะที่ต้านทานเชื้อดื้อยาอย่างรุนแรง หรือซูเปอร์บั๊กได้
|
นักวิทยาศาสตร์ได้เพิ่มตัวอักษรแทนลำดับเบสในรหัสพันธุกรรม (ดีเอ็นเอ) ของสิ่งมีชีวิตอีก 2 ตัวคือ X และ Y นอกเหนือไปจากตัวอักษรพื้นฐาน 4 ตัวที่มีมาแต่เดิมคือ A T G C หลังใช้เทคนิคตัดต่อพันธุกรรมล่าสุดสร้างแบคทีเรียที่มีรหัสพันธุกรรมผิดแผกจากธรรมชาติได้สำเร็จ และคาดว่าแบคทีเรียนี้จะนำไปสู่การคิดค้นยารักษาโรคเช่นยาปฏิชีวนะประเภทใหม่ได้
|
international-43917108
|
https://www.bbc.com/thai/international-43917108
|
"คิม จอง อึน" ข้ามชายแดนมายังเขตเกาหลีใต้เพื่อประชุมสุดยอดสองผู้นำเกาหลีแล้ว
|
นายมุน แจ อิน ประธานาธิบดีเกาหลีใต้เดินทางมาถึงชายแดนระหว่างสองประเทศเมื่อเวลา 9.30 น. หรือ เวลา 7.30 น. ตามเวลาในไทย ก่อนการประชุมสุดยอดจะเริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ นี่จะเป็นการหารือครั้งประวัติศาสตร์ระหว่างนายคิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือ และประธานาธิบดีเกาหลีใต้ โดยจะให้ความสำคัญกับข้อเสนอล่าสุดของทางการเกาหลีเหนือที่ต้องการยุติโครงการพัฒนาขีปนาวุธและโครงการนิวเคลียร์ และคาดว่าจะมีการลงนามในข้อตกลงร่วมกันระหว่างสองผู้นำและจะมีการกล่าวแถลงการณ์ร่วมอีกด้วย ทั้งนี้ การประชุมสุดยอดดังกล่าวถือเป็นการโหมโรงก่อนที่จะมีการประชุมระหว่างนายคิมและประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ในช่วงต้นเดือน มิ.ย. นี้ ซึ่งถือว่าเป็นเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญของโลก เนื่องจากไม่เคยมีผู้นำคนใดที่ยังคงดำรงตำแหน่งจากสองประเทศ ได้เคยร่วมหารือกันมาก่อน สิ่งที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในวันประวัติศาสตร์
|
นายคิม จอง อึน ได้กลายเป็นผู้นำคนแรกของเกาหลีเหนือที่ได้ย่างเท้าเข้ามายังเขตของเกาหลีใต้ ผ่านเส้นพรมแดนที่แบ่งแยกคาบสมุทรเกาหลีออกจากกันนับตั้งแต่สงครามเกาหลีสิ้นสุดในปี 1953
|
thailand-42242212
|
https://www.bbc.com/thai/thailand-42242212
|
ประวิตรมีทรัพย์เท่าไร ถึงใส่นาฬิกาเรือนละหลายล้านบาทได้
|
พล.อ.ประวิตร ยังยิ้มสู้ พร้อมแจงหลักฐานการครอบครองนาฬิกาหรูด้วยตัวเอง หลักเกณฑ์การยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช กำหนดให้ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองยื่นบัญชีดังกล่าว 3 กรณีด้วยกัน คือ เมื่อเข้ารับตำแหน่ง เมื่อพ้นตำแหน่ง และหลังพ้นจากตำแหน่งครบหนึ่งปี โดยในกรณีของ พล.อ.ประวิตร นั้น มีการยื่นเพียงครั้งเดียวเนื่องจากไม่เคยโยกย้ายตำแหน่งแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม ในจำนวนทรัพย์สินดังกล่าวไม่ปรากฏ "ทรัพย์สินอื่น" ซึ่งกำหนดให้แจ้งหากมีมูลค่าตั้งแต่สองแสนบาทขึ้นไป แต่อย่างใด พล.อ.ประวิตร ยังยิ้มสู้พร้อมแจงหลักฐานด้วยตัวเอง แม้ว่าจะถูกกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมเกี่ยวกับการครอบครองนาฬิกาหรู ในวันนี้ (6 ธ.ค.) พล.อ.ประวิตร ยังคงปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนต่อกรณีดังกล่าว โดยระบุเพียงว่าจะไปชี้แจงต่อต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ด้วยตัวเอง พร้อมย้ำว่าที่ผ่านมาไม่เคยมีเรื่องทุจริต บัญชีทรัพย์สินที่ยื่นต่อ ป.ป.ช เมื่อปี 2557 87,373,757 บาท คือ ทรัพย์สินโดยรวม 53,197,562 บาท เป็นเงินฝาก 7, 076,195 บาท เป็นเงินลงทุน 17 ล้านบาท เป็นที่ดิน 10 ล้านบาท เป็นโรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง และยานพาหนะอีก 1 แสนบาท ในขณะที่เว็บไซต์ข่าวมติชนวันที่ 5 ธ.ค. อ้างข้อมูลจากเพจเฟซบุ๊กอย่าง CSI LA ที่ระบุว่านาฬิกาของ พล.อ.ประวิตร นั้นมีราคาอย่างน้อย 10 ล้านบาท แต่ "ดร.บอย" คอลัมนิสต์ประจำนิตยสารนาฬิกา QP บอกกับบีบีซีไทยว่า นาฬิกาของ พล.อ.ประวิตร น่าจะเป็นรุ่น RM 010 ซึ่งราคาไม่ต่ำกว่า 3 ล้านบาท แต่ไม่ใช่รุ่นที่ราคาถึง 10 ล้านบาท แบบที่นักแสดงและผู้มีชื่อเสียงระดับโลกใส่ อย่างที่หลายฝ่ายพูดถึง ด้าน พล.อ.ประวิตร กล่าวถึงกระแสวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการสวมนาฬิกา ในการประชุมคณะรัฐมนตรีนัดแรกว่า ไม่รู้จะวิจารณ์กันทำไมมากมาย โดยนาฬิกา "เป็นของเดิมที่เคยใส่เป็นประจำ" สิ่งที่น่าสังเกตอีกประการหนึ่งคือ ในขณะที่คาดว่านาฬิกาของ พล.อ.ประวิตร มีมูลค่าราว 3 ล้านบาท ยานพาหนะที่แจ้งไว้ในบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินกลับมีมูลค่าเพียง 1 แสนบาท หาก "ของเดิม" ที่ว่า มีมาก่อนการเข้ารับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จะหมายความว่า พล.อ.ประวิตร ไม่ได้แจ้ง "ทรัพย์สินอื่น" ตามที่กฎเกณฑ์กำหนด แต่หากเป็น "ของเดิม" ที่เพิ่งซื้อหลังจากนั้น ก็อาจหมายความว่าเป็นการซื้อจากเงินเดือนในตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี หรือรายได้ประจำที่เแจ้งไว้บัญชีแสดงรายการทรัพย์สินอย่าง เงินเบี้ยหวัด บำเหน็จ บำนาญ และเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดและบำนาญ ปีละ 874,308 บาท
|
การยกมือขึ้นบังแดดของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ระหว่างรอถ่ายรูปกับคณะรัฐมนตรีใหม่ "ประยุทธ์ 5" เมื่อวันที่ 4 ธ.ค. กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการตั้งคำถามว่าเหตุใด นาฬิกาเรือนโตยี่ห้อ Richard Mille จึงไม่ปรากฏอยู่ในประเภท "ทรัพย์สินอื่น" ที่มีราคามากกว่าสองแสนบาท ในบัญชีทรัพย์สินที่ยื่นต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช ของ พล.อ.ประวิตร เมื่อครั้งเข้ารับตำแหน่ง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เมื่อ ปี 2557
|
thailand-47445713
|
https://www.bbc.com/thai/thailand-47445713
|
ศาลอาญายกฟ้อง 21 จำเลยคดีพันธมิตรฯ ปิดล้อมรัฐสภา หลังศาลฎีกาจำคุก 6 แกนนำคดียึดทำเนียบฯ
|
พิภพ ธงไชย, สมศักดิ์ โกศัยสุข, สนธิ ลิ้มทองกุล (จากซ้ายไปขวา) คือ 3 จาก 5 แกนนำคนสำคัญของกลุ่มพันธมิตรฯ กลุ่มพันธมิตรฯ นำโดยนายสนธิ ลิ้มทองกุล นักธุรกิจเจ้าของสื่อเครือผู้จัดการ เป็นกลุ่มที่ต่อต้านนายทักษิณ ชินวัตร และรัฐบาลภายใต้การนำของนายสมัคร สุนทรเวช และนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ซึ่งพวกเขามองว่าตกอยู่ใต้อิทธิพลของนายทักษิณ ในคดีปิดล้อมรัฐสภา พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 10 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำพันธมิตรฯ และอดีตแกนนำพันธมิตรฯ และแนวร่วมคนอื่น ๆ รวม 21 คน เป็นจำเลยที่ 1 - 21 ความผิดที่โจทก์ฟ้อง มี 5 ข้อหา รวมถึง ใช้กำลังข่มขืนใจหรือใช้กำลังประทุษร้ายเพื่อให้เกิดความปั่นป่วนหรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน ถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร หรือเพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน เมื่อวันที่ 4 มี.ค. ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ได้อ่านคำพิพากษายกฟ้องจำเลยทั้ง 21 คน โดยข้อความตอนหนึ่งระบุว่า ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานที่นำสืบของคู่ความทั้งสองเเล้ว เห็นว่าการที่เเกนนำปราศรัยให้ประชาชนมาชุมนุมขับไล่รัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ที่ถูกมองว่าเป็นตัวเเทนของ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร (ยศขณะนั้น) เป็นการปราศรัยให้ความรู้ต่อประชาชนในการตรวจสอบการทุจริตของรัฐบาล เเละกรณีที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรค รวมถึงคดีที่ทำให้กัมพูชาได้ขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก กรณีความวุ่นวายในการชุมนุมช่วงเช้าวันที่ 7 ต.ค. 2551 ตามการรายงานของข่าวสด ศาลระบุว่า เป็นความวุ่นวายที่เกิดขึ้นจากการถูกละเมิดสิทธิ ไม่ใช่ว่าการชุมนุมที่ผ่านมาของกลุ่มจำเลยก่อนหน้านั้นจะไม่สงบ อีกทั้งการชุมนุมของจำเลยทั้ง 21 เป็นการชุมนุมเเสดงสัญลักษณ์ มีการปราศรัยที่สมเหตุผล ห้ามปรามไม่ให้ก่อความรุนเเรง ถือเป็นการชุมนุมโดยสงบตามรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 มาตรา 63 ได้รองรับไว้ เเละเเม้จะมีการกีดขวางกระทบการจราจรไปบ้าง เเต่ก็เป็นปกติของการชุมนุมเเสดงออกตามสิทธิ การชุมนุมตั้งเเต่วันที่ 5-7 ต.ค. ไม่ปรากฏว่ามีความรุนเเรงหรือมีผู้ใดฝ่าฝืนทำให้ทรัพย์สินเสียหาย ส่วนกรณีความวุ่นวายในการชุมนุมช่วงเช้าวันที่ 7 ต.ค. 2551 ศาลระบุว่า เริ่มจากมีเจ้าหน้าที่ตำรวจใช้กำลังยิงเเก๊สน้ำตาสลายการชุมนุมเปิดทางให้นายสมชาย เข้าไปเเถลงนโยบายต่อรัฐสภา โดยพลันด่วน ทำให้ผู้ชุมนุมซึ่งไม่ทันตั้งตัวเเละได้รับบาดเจ็บความเสียหายไม่สามารถระงับอารมณ์ ขว้างปาขวดน้ำสิ่งของโต้ตอบ กรณีเป็นความวุ่นวายที่เกิดขึ้นจากการถูกละเมิดสิทธิ ไม่ใช่ว่าการชุมนุมที่ผ่านมาของกลุ่มจำเลยก่อนหน้านั้นจะไม่สงบ นอกจากนี้ศาลยังระบุว่า อีกทั้งเหตุการณ์อื่นตามฟ้องของอัยการก็ไม่ปรากฏว่า มีเเกนนำไปอยู่บริเวณที่เกิดเหตุที่จะเกี่ยวข้อง เเละเป็นผลต่อเนื่องจากการที่ผู้ชุมนุมถูกสลายการชุมนุมเมื่อช่วงเช้าวันที่ 7 ต.ค. การกระทำของจำเลยทั้ง 21 จึงเป็นการชุมนุมโดยสงบตามรัฐธรรมนูญ พิพากษายกฟ้อง ด้านทนายฝ่ายจำเลยระบุภายหลังรับฟังคำพิพากษาว่า ต้องรอดูว่าอัยการจะยื่นอุทธรณ์คดีหรือไม่ ถ้าไม่อุทธรณ์ก็เป็นบุญของเรา จะได้เบาลงหน่อย นายสนธิ ลิ้มทองกุล (ซ้าย) และ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ ก่อนหน้านี้มื่อ 13 ก.พ. 2561 ศาลฎีกามีคำพิพากษาคดีที่อดีตแกนนำพันธมิตรฯ บุกยึดทำเนียบรัฐบาล ระหว่างวันที่ 26 ส.ค. - 3 ธ.ค. 2551 โดยแกนนำพันธมิตร 6 คน ถูกตัดสินจำคุก คนละ 8 เดือนโดยไม่รอลงอาญา จำเลยดังกล่าวประกอบด้วย พล.ต. จำลอง ศรีเมือง อายุ 83 ปี, นายสนธิ ลิ้มทองกุล อายุ 70 ปี, นายพิภพ ธงไชย อายุ 72 ปี, นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ อายุ 68 ปี, นายสมศักดิ์ โกศัยสุข อายุ 72 ปี แกนนำพันธมิตรฯ และนายสุริยะใส กตะศิลา อายุ 45 ปี อดีตผู้ประสานงานพันธมิตรฯ เว็บไซต์ข่าวสดรายงานว่า อัยการโจทก์ฟ้องระบุความผิดสรุปว่า เมื่อวันที่ 25 พ.ค. 2551 ผู้ชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯ ซึ่งมีจำเลยดังกล่าวเป็นแกนนำจัดปราศรัยชักชวนประชาชนเข้าร่วมชุมนุมที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถ.ราชดำเนิน เพื่อกดดันให้ นายสมัคร สุนทรเวช ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ศาลอาญาพิพากษายกฟ้องคดีที่กลุ่มพันธมิตรปิดล้อมรัฐสภาเมื่อวันที่ 7 ต.ค. 2551 ผู้ชุมนุมเคลื่อนขบวนฝ่าแนวกั้นของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ไปทำเนียบรัฐบาลและกระจายกำลังปิดล้อมสถานที่ราชการ เช่น สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย และสถานีวิทยุกระจายเสียง กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรฯ ต่อมาหลังจากนายสมัคร พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตามคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญ แล้วนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ขึ้นดำรงตำแหน่งแทน และมีกำหนดวันแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ในวันที่ 7 ต.ค. 2551 ปรากฏว่าวันที่ 26 ส.ค. 2551 เวลากลางวัน จำเลยกับพวก ได้เคลื่อนขบวนไปยังทำเนียบรัฐบาล โดยปิดล้อมทางเข้าออกทำเนียบทุกด้าน ได้ใช้เครื่องมือทำลายกุญแจประตูทำเนียบ และทำลายแผงกั้นที่เจ้าหน้าที่ใช้ควบคุมดูแลความสงบในทำเนียบ จนถึงวันที่ 3 ธ.ค. 2551 พวกจำเลยซึ่งไม่ได้รับอนุญาต ได้ร่วมกันรื้อทำลายสิ่งกีดขวางแล้วปีนรั้วเข้าไปในทำเนียบรัฐบาล รวมทั้งนำรถยนต์ 6 ล้อที่ติดเครื่องขยายเสียงขนาดใหญ่ ไปจอดหน้าตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาลแล้วผลัดเปลี่ยนกันขึ้นปราศรัย ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำพิพากษายกฟ้อง 4 จำเลย คดีสลายชุมนุมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) 7 ต.ค. 2551 รวมถึงนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในช่วงเกิดเหตุ และช่วงวันที่ 26 ส.ค. - 3 ธ.ค. 2551 ระหว่างที่พวกจำเลยจัดเวทีปราศรัยในทำเนียบรัฐบาลซึ่งมีผู้ชุมนุมจำนวนมาก เหยียบสนามหญ้าและต้นไม้ประดับจนตาย และยังทำให้ระบบสปริงเกอร์อัตโนมัติ ระบบไฟสนาม หน้าตึกไทยคู่ฟ้าและหน้าตึกสันติไมตรี ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ได้รับความเสียหายรวม 5 ล้านบาท อีกทั้งเมื่อมีฝนตกทำให้น้ำฝนซึมเข้าขังในถุงดำที่ห่อหุ้มกล้องวงจรปิด ทำให้ระบบอิเล็กโทรนิกส์ของกล้องเสียหายรวม 10 ตัว ค่าเสียหายอีก 1,766,548 บาท โดยจำเลยทั้ง 6 คนให้การปฏิเสธ ข่าวสดรายงานว่า ศาลพิจารณาฎีกาของจำเลยทั้ง 6 แล้วเห็นว่า ไม่ได้เป็นการชุมนุมโดยสงบตามที่จำเลยอ้าง เพราะพฤติการณ์ของจำเลยและผู้ชุมนุมได้ปีนรั้วเข้าทำเนียบรัฐบาลที่ล็อกไว้ และอยู่ต่อเนื่อง ทำลายทรัพย์สินเสียหาย ดังนั้นที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยทั้ง 6 ฐานร่วมกันบุกรุกทำให้เสียทรัพย์นั้นชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยทั้ง 6 ฟังไม่ขึ้น กลุ่มพันธมิตรบุกยึดทำเนียบระหว่าง 26 ส.ค. - 3 ธ.ค. 2551 ส่วนที่จำเลยทั้ง 6 ฎีกาขอให้ลงโทษสถานเบาหรือรอการลงโทษนั้น ศาลเห็นว่าเมื่อการกระทำของจำเลยทั้ง 6 และพวก ได้บุกเข้าทำเนียบซึ่งแม้เป็นสาธารณสมบัติ แต่ก็เป็นสถานที่บริหารราชการแผ่นดิน เป็นศูนย์รวมหน่วยงานราชการหลายแห่ง มีการทำลายทรัพย์สินหลายรายการ ดังนั้นที่ศาลอุทธรณ์ลงโทษจำคุกจำเลยทั้ง 6 เป็นเวลา 8 เดือน ไม่รอลงอาญานั้นเหมาะสมแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย พิพากษายืน รายงานของฮิวแมนไรท์วอทช์เกี่ยวกับเหตุการณ์ในประเทศไทย ปี 2551 ระบุเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า กลุ่มพันธมิตรฯ ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 25 พ.ค. 2551 และได้เริ่มการประท้วงต่อต้านรัฐบาลอย่างยืดเยื้อทั้งในกรุงเทพฯ และจังหวัดอื่น ๆ โดยระบุว่า รัฐบาลสมัคร สุนทรเวช และรัฐบาลสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ซึ่งเป็นน้องเขยของนายทักษิณ เป็นหุ่นเชิดตัวแทนของนายทักษิณ รวมทั้งยังได้กล่าวหารัฐบาลว่า ฉ้อราษฎร์บังหลวง ใช้อำนาจโดยมิชอบ และไม่รักชาติ ผู้ประท้วงได้ปิดถนนและการจราจรในกรุงเทพฯ นานหลายเดือน ระหว่างนั้นได้เกิดเหตุการณ์ที่กลุ่มที่สนับสนุนรัฐบาลใช้กำลังทำร้ายผู้เข้าร่วมชุมนุมของพันธมิตรฯ หลายครั้ง โดยที่ตำรวจไม่ได้ดำเนินการป้องกันและระงับเหตุอย่างจริงจัง ปัจจุบันแกนนำกลุ่มพันธมิตร เผชิญคดีที่ยังไม่ถึงที่สุดรวม 6 คดี แบ่งเป็น คดีอาญา 4 คดี และคดีแพ่งอีก 2 คดี ได้แก่ คดีก่อการร้ายจากการชุมนุมปิดสนามบินปี 2551 (คดีหมายเลขดำ อ.973/2556), คดีชุมนุมปิดล้อมรัฐสภาปี 2551 (คดีหมายเลขดำ อ.4924/2555), คดีชุมนุมดาวกระจายขับไล่รัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช ปี 2551 (คดีหมายเลขดำ อ.3973/2558), คดีชุมนุมต้านการขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก ผิด พ.ร.บ.มั่นคง เมื่อปี 2554 (คดีหมายเลขดำ อ.607/2548), คดีฟ้องละเมิดเรียกค่าเสียหายจากการชุมนุมปิดสนามบินปี 2551 (คดีหมายเลขดำ 6453/2551), และคดีฟ้องละเมิดเรียกค่าเสียหายจากการชุมนุมปิดสนามบินปี 2551 โดยบริษัท วิทยุการบิน เรียกค่าเสียหายกว่า 103 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี (คดีหมายเลขดำ 6412/2552)
|
ในปี 2551 กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ได้ชุมนุมบุกยึดทำเนียบรัฐบาลในสมัยที่นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี และชุมนุมปิดล้อมรัฐสภา เพื่อไม่ให้นายกรัฐมนตรีแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ทำให้แกนนำถูกฟ้อง และศาลฎีกาเพิ่งมีคำตัดสินเมื่อไม่นานนี้ ให้จำคุกแกนนำ 6 คน เป็นเวลา 8 เดือนในคดีบุกยึดทำเนียบ ส่วนคดีปิดล้อมรัฐสภา ศาลอาญายกฟ้อง วานนี้ (4 มี.ค.)
|
features-45563976
|
https://www.bbc.com/thai/features-45563976
|
ศิลปะลวงตาบนเรือนร่าง
|
ศิลปินวัย 25 ปีผู้นี้ โด่งดังจากการโพสต์ภาพแต่งหน้าทางอินสตาแกรม ซึ่งมีผู้ติดตามเกือบ 4 แสนคน และยังเคยได้รับเชิญไปออกรายการโทรทัศน์ของพิธีกรชื่อดังชาวอเมริกัน เอลเลน ดีเจนเนอเรส เธอเล่าว่า สิ่งที่เธอทำ คืองานศิลปะอีกแขนงหนึ่งซึ่งใช้เครื่องสำอางวาดไปบนในหน้าและร่างกายของตัวเอง เพื่อทำหน้าที่เสมือนกระจกเงาสะท้อนสิ่งที่คนเรามองโลก ทาอิน ยูน บอกว่า ดวงตาคือสิ่งน่าสนใจในงานศิลปะของเธอ เพราะเธอคิดว่าดวงตาคือประตูเชื่อมผู้คนเข้าหากัน และแม้คนเราจะใช้ชีวิตด้วยดวงตาที่เปิดกว้าง แต่หลายครั้งเรากลับมองอะไรด้วยมุมมองที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง "ผู้คนใช้ชีวิตอยู่กับภาพลวงตา" เธอเขียนในโพสต์หนึ่งทางอินสตาแกรม "ผู้คนมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ไปตามความคิดเห็นส่วนตัว เช่น เวลาที่มองท้องฟ้า พวกเขาก็คิดว่าท้องฟ้ามีแต่สีฟ้า ทั้งที่ในความเป็นจริงท้องฟ้าประกอบไปด้วยสีต่าง ๆ มากมาย...ภาพลวงตาบิดเบือนความจริงและมุมมองของผู้คน"
|
ทาอิน ยูน ไม่ใช่นักมายากล แต่เธอคือศิลปินชาวเกาหลีใต้ผู้ใช้เรือนร่างของตัวเองแทนผืนผ้าใบสร้างสรรค์งานศิลปะภาพลวงตาที่ทำให้ผู้พบเห็นต้องทึ่งและอาจไม่เชื่อสายตาตัวเอง
|
international-47846927
|
https://www.bbc.com/thai/international-47846927
|
ผู้หญิง : รู้จักเศรษฐีนีผู้ร่ำรวยที่สุดในโลก
|
นางแมคเคนซี เบซอส จะถือหุ้น 4% ของอาณาจักรธุรกิจอีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่ของโลกอย่าง แอมะซอน สัปดาห์ที่ผ่านมา นายเจฟฟ์ เบซอส ผู้ก่อตั้งและซีอีโอแอมะซอน กับนางแมคเคนซี เบซอส ภรรยา บรรลุข้อตกลงหย่าได้สำเร็จ โดยนางเบซอส จะถือหุ้น 4% ของอาณาจักรธุรกิจอีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่ของโลกอย่าง แอมะซอน ซึ่งหุ้นดังกล่าวมีมูลค่า 3.56 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 1.13 ล้านล้านบาท) ทำให้เธอกลายเป็นผู้หญิงร่ำรวยอันดับที่ 3 ของโลก และเป็นบุคคลร่ำรวยที่สุดอันดับที่ 24 ของโลก แล้วใครครองตำแหน่งผู้หญิงที่มีฐานะร่ำรวยที่สุดในโลก 1. ฟร็องซัวส์ เบตตองกูร์ต-เมแยร์ส มีทรัพย์สินรวม 4.93 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 1.57 ล้านล้านบาท) เป็นบุคคลร่ำรวยอันดับที่ 15 ของโลก เธอคือใคร นางเบตตองกูร์ต-เมแยร์ส เป็นทายาทของธุรกิจเครื่องสำอางชื่อดัง ลอรีอัล ซึ่งเธอและครอบครัวถือหุ้น 33% ของอาณาจักรสินค้าความงามแห่งนี้ เศรษฐีนี วัย 65 ปีผู้นี้ รับมรดกความมั่งคั่งจากนางลิเลียน เบตตองกูร์ส มารดาที่เสียชีวิตลงเมื่อเดือน ก.ย.2017 ขณะมีอายุ 94 ปี ทั้งคู่มีความสัมพันธ์ไม่ราบรื่นนัก โดยมีปัญหาความขัดแย้งกันมาตั้งแต่ปี 2007 นางเบตตองกูร์ต-เมแยร์ส ยื่นฟ้องต่อศาลจากความกังวลว่ามารดาที่มีสุขภาพย่ำแย่กำลังถูกกลุ่มคนสนิทแสวงหาผลประโยชน์ และทั้งสองได้กลับมาคืนดีกันหลายปีก่อนที่นางเบตตองกูร์ส จะเสียชีวิตลง นางเบตตองกูร์ต-เมแยร์ส ยังเป็นนักวิชาการ และออกหนังสือเกี่ยวกับเทพเจ้ากรีก และความสัมพันธ์ระหว่างชาวยิวกับชาวคริสต์ 2. อลิซ วอลตัน มีทรัพย์สินรวม 4.44 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 1.41 ล้านล้านบาท) เป็นบุคคลร่ำรวยอันดับที่ 17 ของโลก เธอคือใคร นางวอลตัน วัย 69 ปี เป็นบุตรสาวคนเดียวของนายแซม วอลตัน ผู้ก่อตั้งธุรกิจซูเปอร์มาร์เก็ตยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ อย่าง วอลมาร์ท ในขณะที่พี่น้องผู้ชายทั้ง 2 คนช่วยธุรกิจครอบครัว แต่นางวอลตันกลับเลือกที่จะมุ่งทำงานด้านศิลปะ และกลายเป็นประธาน Crystal Bridges Museum of American Art พิพิธภัณฑ์ศิลปะในเมืองเบนตันวิลล์ รัฐอาร์คันซอ บ้านเกิดของเธอและครอบครัว 3. แมคเคนซี เบซอส มีทรัพย์สินรวม อย่างน้อย 3.56 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 1.13 ล้านล้านบาท) ซึ่งเป็นมูลค่าหุ้นแอมะซอนเพียงอย่างเดียว แต่คาดว่ามูลค่าทรัพย์สินรวมที่แท้จริงของเธอจะสูงกว่านี้ ดังนั้นเราคงต้องรอดูการจัดอันดับบุคคลร่ำรวยที่สุดในโลกประจำปี 2020 ของนิตยสารฟอร์บสว่าทรัพย์สินของเธอจะเพิ่มขึ้นกว่านี้เท่าใด เธอคือใคร นางเบซอส วัย 48 ปี มีลูก 4 คนกับผู้ก่อตั้งแอมะซอน โดยทั้งคู่แต่งงานกันเมื่อปี 1993 หลังจากพบรักขณะทำงานด้วยกันที่กองทุนบริหารความเสี่ยง หรือ เฮดจ์ฟันด์แห่งหนึ่ง นางเบซอส ซึ่งเป็นชาวแคลฟอร์เนีย คือหนึ่งในลูกจ้างคนแรก ๆ ของแอมะซอน โดยทำงานในตำแหน่งพนักงานบัญชี เธอเคยเขียนหนังสือที่ได้รับเสียงตอบรับที่ดี 2 เรื่อง โดยเข้าฝึกเป็นนักเขียนกับ โทนี มอร์ริสัน นักเขียนนวนิยายเจ้าของรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม ซึ่งชื่นชมว่านางเบซอส คือหนึ่งในลูกศิษย์ฝีมือดีที่สุดของเธอ นอกจากงานเขียนแล้ว นางเบซอส ยังก่อตั้งองค์กรต่อต้านการกลั่นแกล้งรังแก Bystander Revolution ซึ่งส่งเสริมให้ผู้คนมีความเมตตา ความกล้าหาญ และความใจกว้าง ไม่แบ่งแยกกีดกันผู้อื่น 4. แจคเกอลีน มาร์ส มีทรัพย์สินรวม 2.39 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 7.62 แสนล้านบาท) เป็นบุคคลร่ำรวยอันดับที่ 33 ของโลก (อันดับนี้จัดขึ้นก่อนจะมีการบรรลุข้อตกลงเรื่องแบ่งทรัพย์สินของนางเบซอสสำเร็จ ซึ่งจะมีผลต่อบุคคลร่ำรวยในอันดับต่อจากนี้) เธอคือใคร สตรีวัย 79 ปีผู้นี้เป็นเจ้าของ 1 ใน 3 ของธุรกิจขนมหวานยักษ์ใหญ่อย่าง มาร์ส ซึ่งก่อตั้งขึ้นโดยนายแฟรงก์ มาร์ส เมื่อปี 1911 เธอทำงานให้ธุรกิจครอบครัวเกือบ 20 ปี และนั่งอยู่ในตำแหน่งกรรมการบริหารบริษัทจนถึงปี 2016 ปัจจุบันเธอหันมาทำงานเพื่อการกุศล โดยนั่งเก้าอี้กรรมการบริหาร Washington National Opera โรงละครโอเปร่าแห่งชาติในกรุงวอชิงตัน ดีซี และหอจดหมายเหตุแห่งชาติของสหรัฐฯ เป็นต้น อีกเรื่องที่คุณอาจไม่รู้เกี่ยวกับบริษัทมาร์ส ก็คือ บริษัทนี้ยังเป็นผู้ผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงรายใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในสหรัฐฯ ด้วย 5. หยาง ฮุยหยาน มีทรัพย์สินรวม 2.21 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 7.07 แสนล้านบาท) เป็นผู้หญิงที่ร่ำรวยที่สุดในจีน และเป็นบุคคลร่ำรวยอันดับที่ 42 ของโลก เธอคือใคร หญิงสาววัย 37 ปีที่จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยโอไฮโอสเตต ในสหรัฐฯ ผู้นี้ ถือหุ้น 57% ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่ของจีนอย่าง คันทรี การ์เด้น โฮลดิ้งส์ ซึ่งเติบโตจากภาคอสังหาริมทรัพย์ที่เฟื่องฟูของจีน โดยหุ้นดังกล่าวเป็นมรดกที่เธอได้รับมาจากบิดา ข้อมูลจากเว็บไซต์บริษัท ระบุว่า คันทรี การ์เด้น โฮลดิ้งส์ เป็นบริษัทผู้พัฒนาด้านอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่อันดับ 3 ของโลกในปี 2016 6. ซูซานเน คลัตเตน มีทรัพย์สินรวม 2.1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 6.72 แสนล้านบาท) เป็นบุคคลร่ำรวยอันดับที่ 46 ของโลก เธอคือใคร ความมั่งคั่งของสตรีชาวเยอรมันวัย 56 ปี ผู้นี้มาจากธุรกิจรถยนต์และเวชภัณฑ์ โดยเธอได้รับมรดกจากพ่อแม่ที่เสียชีวิตเป็นหุ้น 50% ของบริษัทเคมีภัณฑ์ อัลตานา เอจี นอกจากนี้เธอกับน้องชายยังเป็นเจ้าของหุ้นเกือบ 50% ของบีเอ็มดับเบิลยูด้วย นับแต่ได้รับมรดกหุ้นของอัลตานา เอจี เธอได้ทำให้ธุรกิจนี้เป็นเอกชนและเป็นของเธอเพียงผู้เดียว นอกจากนี้ยังซื้อหุ้นในอีกหลายบริษัท ตั้งแต่ธุรกิจพลังงานจากลม ไปจนถึงแร่แกรไฟท์ที่ใช้ในการทำไส้ดินสอ เบ้าหลอมโลหะ และไส้ถ่านไฟฉาย เป็นต้น 7. ลอเรนซ์ โพเวลล์ จอบส์ มีทรัพย์สินรวม 1.86 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 5.95 แสนล้านบาท) เป็นบุคคลร่ำรวยอันดับที่ 54 ของโลก เธอคือใคร เธอคือภรรยาหม้ายของ สตีฟ จอบส์ ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทแอปเปิล โดยหลังจากเขาเสียชีวิตลงเธอและครอบครัวก็ได้รับหุ้นบริษัทแอปเปิลและดิสนีย์ มูลค่า 2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 6.4 แสนล้านบาท) นับจากนั้น หญิงวัย 55 ปีผู้นี้ ก็นำเงินไปลงทุนในด้านสิ่งพิมพ์ โดยซื้อหุ้นใหญ่ของนิตยสารดิแอตแลนติก รวมทั้งลงทุนในสำนักพิมพ์ที่ไม่แสวงหาผลกำไร เช่น มาเธอร์โจนส์ และโปรพับลิกา นอกจากนี้เธอยังลงทุนในโรงเรียนสอนเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ และก่อตั้ง เอเมอร์สัน คอลเลคทีฟ องค์กรที่ทำงานช่วยเหลือผู้อพยพและปฏิรูปการศึกษา เมื่อเดือน พ.ค.ปี 2018 นางโพเวลล์ จอบส์ ทุ่มเงิน 16.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 537 ล้านบาท) ซื้อคฤหาสน์หรูในนครซานฟรานซิสโกที่มีวิวมองเห็นสะพานสะพานโกลเดนเกตอันโด่งดัง
|
เมื่อชายผู้ร่ำรวยที่สุดในโลกหย่าขาดจากภรรยา ทั่วโลกจึงจับตามองไปที่เรื่องการแบ่งทรัพย์สินมูลค่ามหาศาล
|
international-46389378
|
https://www.bbc.com/thai/international-46389378
|
อะไรคืออุปสรรคที่ขวางกั้นไม่ให้ผู้หญิงในศตวรรษที่ 21 ใช้ชีวิตในแบบที่พวกเธอต้องการ
|
โครงการ Freedom Trashcan ของบีบีซีคือการประท้วงในรูปแบบดิจิทัลของการประท้วงอันโด่งดังของกลุ่มนักสตรีนิยมชาวอเมริกันเมื่อปี 1978 เราขอถามผู้หญิงทั่วโลกว่าสิ่งของอะไรทำให้พวกเธอรู้สึกว่าเป็นอุปสรรคในการใช้ชีวิตในแบบที่พวกเธอต้องการ อ่านเรื่องอื่น ๆ ใน 100 Women ของบีบีซี
|
โครงการ Freedom Trash Can พาไปค้นหาว่าสิ่งของใดเป็นสัญลักษณ์ของอุปสรรคที่ขวางกั้นไม่ให้ผู้หญิงในศตวรรษที่ 21 บรรลุศักยภาพสูงสุดของตนเอง
|
international-56311620
|
https://www.bbc.com/thai/international-56311620
|
ความบาดหมางระหว่างดยุคและดัชเชสแห่งซัสเซกซ์กับราชสำนักและสื่ออังกฤษมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร
|
เชื่อกันว่าการตัดสินพระทัยของคู่ขวัญแห่งราชวงศ์อังกฤษในการย้ายไปปักหลักอยู่ในสหรัฐฯ นั้น ได้สร้างความตกตะลึงให้แก่สมาชิกของราชวงศ์ อีกทั้งยังนำไปสู่ความสัมพันธ์อันร้าวฉานระหว่างสองฝ่าย แต่ความบาดหมางที่เกิดขึ้นได้ทวีความรุนแรงและดำเนินมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร ความรักดั่ง "เทพนิยาย" ช่วงปลายปี 2016 มีกระแสข่าวว่าเจ้าชายแฮร์รีกำลังคบหาอยู่กับ น.ส.เมแกน มาร์เคิล นักแสดงหญิงผู้มีชื่อเสียงจากซีรีส์เรื่อง Suits ทั้งคู่ได้รู้จักกันผ่านการแนะนำของพระสหาย และ 18 เดือนต่อมา เจ้าชายแฮร์รีทรงประกาศว่าได้หมั้นหมายและเตรียมจะเสกสมรสกับดาราสาวชาวอเมริกัน ทรงเผยว่าการได้พบและตกหลุมรัก น.ส.มาร์เคิล อย่างรวดเร็วเหลือเชื่อนั้น เป็นเหมือนโชคชะตาที่ "ดวงดาวช่างเป็นใจ" ให้ได้มาเป็นคู่ครองกัน กระแสความสนใจจากสื่อมวลชนได้เริ่มขึ้นในทันที โดยที่ทั้งสองพระองค์ถูกจับตามองในฐานะผู้ที่จะสร้างความเป็นแปลงครั้งใหญ่ให้แก่ราชวงศ์อังกฤษ เพราะเธอคือดาราสาวผู้เปี่ยมเสน่ห์ และการที่ทั้งสองเป็นคู่รักต่างเชื้อชาติก็ยังดึงดูดความสนใจจากบรรดาคนหนุ่มสาว ในพิธีเสกสมรสของทั้งคู่เมื่อเดือน พ.ค.ปี 2018 มีประชาชนหลายพันคนไปเฝ้าดูตามท้องถนนของเมืองวินด์เซอร์ ขณะที่ประชาชนในสหราชอาณาจักรอีก 13 ล้านคนเฝ้าชมพิธีผ่านทางโทรทัศน์ ทว่าดยุคและดัชเชสแห่งซัสเซกซ์ทรงเป็นที่รักของสื่อมวลชนและผู้คนในอังกฤษอยู่เพียงระยะหนึ่ง สถานการณ์เปลี่ยนไปได้อย่างไร ในช่วงแรก เมแกนมีภาพลักษณ์เป็น "ขวัญใจ" คนใหม่ของราชวงศ์ และบรรดาหนังสือพิมพ์แท็บลอยด์ต่างตีพิมพ์บทความเกี่ยวกับเคล็ดลับการแต่งกายให้ "เรียบหรู" แบบพระองค์ วิคตอเรีย ฮาเวิร์ด นักประชาสัมพันธ์และบรรณาธิการ The Crown Chronicles เว็บไซต์ข่าวสารเกี่ยวกับราชวงศ์อังกฤษ ระบุว่า "หลายคนมองว่านี่ (การเข้ามาของเมแกน) คือรุ่งอรุณใหม่ ที่จะแสดงให้เห็นว่าราชวงศ์อังกฤษมีความเปิดกว้าง และเป็นตัวแทน (ของสังคม) เพราะเธอไม่ได้เป็นแค่ลูกครึ่ง แต่ยังเป็นชาวอเมริกัน อีกทั้งเคยผ่านการสมรสและหย่าร้างมาแล้ว" "ทุกคนคิดว่า มันเยี่ยมมาก เธอเป็นคนพูดตรงไปตรงมา และเป็นนักสตรีนิยม ซึ่งในฐานะคู่รัก ทั้งสองพระองค์ทรงได้รับความนิยมอย่างมาก..." อย่างไรก็ตาม มีสัญญาณว่าเมแกนจะกลายเป็นเหยื่อการนำเสนอข่าวของบรรดาสื่อแท็บลอยด์มาตั้งแต่ต้น โดยช่วงปลายปี 2016 ซึ่งเจ้าชายแฮร์รีทรงยืนยันว่ากำลังคบหาอยู่กับเมแกนนั้น ได้ทรงออกแถลงการณ์ตำหนิสื่อมวลชนที่ "ข่มเหงรังแกและคุกคาม" แฟนสาวของพระองค์ ทั้งยังแสดงความคิดเห็นเชิงเหยียดสีผิวในบทความต่าง ๆ และพยายามบุกรุกบ้านพักของเธอ ฮาเวิร์ด บอกว่าพฤติกรรมเช่นนี้ของสื่อแท็บลอยด์ไม่ใช่เรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับสตรีที่กำลังจะเข้ามาเป็นสมาชิกของราชวงศ์อังกฤษ อันที่จริงตอนที่ เคต มิดเดิลตัน (ดัชเชสแห่งเคมบริดจ์) ประกาศเลิกรากับเจ้าชายวิลเลียม ในปี 2007 ก็มีข่าวว่าการถูกสื่อคุกคามคือหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ทั้งคู่ตัดสินใจแยกทางกัน "ความสัมพันธ์ระหว่างสื่อแท็บลอยด์กับผู้หญิงในราชวงศ์มักเป็นแบบเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ตอนที่พวกเธอเข้ามาเป็นสมาชิกราชวงศ์ในช่วงแรก สื่อมักเสนอข่าวในแง่บวกที่ไม่มีพิษภัยใด ๆ เช่น พวกเธอใช้ครีมอะไรบ้าง" ฮาเวิร์ด กล่าว "ปีต่อมา หนังสือพิมพ์เหล่านี้เริ่มตระหนักว่าบทความดี ๆ เหล่านี้เริ่มน่าเบื่อ จึงเริ่มไปสัมภาษณ์เพื่อนฝูงและอดีตเพื่อนร่วมงานเพื่อขุดคุ้ยหาเรื่องราวอื้อฉาว ซึ่งนี่เป็นจุดเริ่มต้นของการมุ่งนำเสนอเรื่องราวในเชิงลบ" เจ้าชายแฮร์รีทรงแสดงออกอย่างชัดเจนว่าจะไม่นิ่งเฉยต่อการที่สื่อมุ่งโจมตีพระชายา โดยตอนที่ทั้งคู่ประกาศลดบทบาทในฐานะพระราชวงศ์ชั้นสูงนั้น พระองค์ตรัสว่า ทำไปเพื่อปกป้องทั้งคู่จากสิ่งแวดล้อม "เป็นพิษ" ที่สื่อมวลชนอังกฤษสร้างขึ้น เจสซิกา มอร์แกน ผู้สื่อข่าวสายราชสำนักของเว็บไซต์ยาฮู บอกว่า "เจ้าชายแฮร์รีได้เห็นถึงสิ่งที่สื่อปฏิบัติต่อพระมารดา และไม่ต้องการให้เรื่องแบบเดียวกันเกิดขึ้นกับพระชายา" "ไดอานาเป็นคนตรงไปตรงมา และกล้าพูดเพื่อตนเอง โดยไม่ยอมนิ่งเงียบ ซึ่งมีความคล้ายคลึงกับเมแกนที่เป็นคนแบบเดียวกัน อีกทั้งยังเป็นลูกครึ่งผิวดำ" ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย? ตอนที่ เลดี้ ไดอานา สเปนเซอร์ เริ่มก้าวเข้าเป็นสมาชิกของราชวงศ์สื่อมวลชนต่างมีปฏิกิริยาเชิงบวก แบบเดียวกับที่เกิดกับเมแกน ฮาเวิร์ด เล่าว่า "ไดอานาเป็นที่รักของสื่อตั้งแต่แรก...เธอเป็นหญิงสาวอายุน้อย เป็นขุนน้ำขุนนาง และหน้าตาสะสวย เธอเป็นขวัญใจผู้คนและทำอะไรถูกไปหมดเสียทุกอย่าง" แต่หลังจากการหย่าร้างจากเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ ไดอานาก็ตกเป็นเป้าการไล่ล่าจากบรรดาช่างภาพปาปารัสซี โดยในปี 1993 พระองค์ตะโกนใส่ช่างภาพคนหนึ่งที่ตามถ่ายภาพว่า "คุณทำให้ชีวิตฉันเหมือนตกอยู่ในนรก" นอกจากนี้ยังมีการแอบถ่ายภาพพระองค์ตามสถานที่ต่าง ๆ เช่น โรงยิม และมีข่าวว่าภาพของพระองค์กับนายโดดี ฟาเยด คู่รักคนใหม่ มีราคาสูงกว่า 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 30 ล้านบาท) ไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์ ทรงถูกสื่อไล่ล่าตามทำข่าวอย่างไม่หยุดหย่อนจนถึงวาระสุดท้ายในพระชนม์ชีพ การตามไล่ล่าอย่างไม่ลดละของปาปารัสซี นำไปสู่โศกนาฏกรรมที่ทำให้ไดอานาสิ้นพระชนม์ในอุบัติเหตุทางรถยนต์ ขณะที่ถูกเหล่าปาปารัสซีไล่ตามในอุโมงค์แห่งหนึ่งในกรุงปารีส อุบัติเหตุครั้งนั้นคือจุดเริ่มต้นความสัมพันธ์ทั้งรักและเกลียดระหว่างสื่อมวลชนกับพระโอรสทั้งสองของพระองค์ ที่ทรงได้รับผลกระทบโดยตรงจากการที่สื่อตามรังควานพระมารดา การเล่นข่าวอย่างไร้ความปรานี ในฐานะรัชทายาทแห่งราชบัลลังก์อังกฤษ สื่อจึงให้ความสนใจในชีวิตของเจ้าชายแฮร์รีเสมอมา และไม่มีข้อยกเว้นสำหรับพระชายาของพระองค์ แต่ความสนใจของสื่อแท็บลอยด์ที่มีต่อเมแกน ซึ่งมักนิยามตนเองว่าเป็น "ผู้หญิงเลือดผสมที่ภาคภูมิใจ" กลับเปลี่ยนอย่างรวดเร็วไปเป็นการนำเสนอข่าวเกี่ยวกับการหย่าร้างกับสามีคนแรก ชีวิตครอบครัว อาชีพเดิม และเรื่องเชื้อชาติของพระองค์ การถูกสื่ออังกฤษนำเสนอข่าวเชิงลบอย่างหนักทำให้ทั้งสองพระองค์หันหลังให้กับบทบาทในฐานะพระราชวงศ์ชั้นสูง ในช่วงแรก เมลออนไลน์ (Mail Online) นำเสนอข่าวอย่างคลาดเคลื่อนเกี่ยวกับเมแกนว่าเติบโตมาในย่านที่เต็มไปด้วยแก๊งอาชญากรรมในนครลอสแอนเจลิส ทั้งที่ความจริงเธอใช้ชีวิตวัยเด็กในฮอลลีวูดและเข้าเรียนในโรงเรียนเอกชน นอกจากนี้ยังบรรยายถึงมารดาของเธอว่าเป็น "หญิงอเมริกันเชื้อสายแอฟริกันที่ไว้ผมทรงเดดร็อก ผู้มาจากครอบครัวยากจนที่อาศัยอยู่ในแอลเอ" มอร์แกน ระบุว่า การรายงานดังกล่าวของแท็บลอยด์อังกฤษทำให้ "รู้สึกเหมือนว่ากลุ่มคนผิวดำกำลังถูกโจมตี มันรู้สึกเหมือนคนกำลังโจมตีฉัน บุคคลที่ฉันรัก และคนที่เป็นแบบฉัน ในฐานะของผู้หญิงผิวดำที่อาศัยอยู่ในสหราชอาณาจักร เรารู้ว่าการเหยียดเชื้อชาติเป็นอย่างไร..." ขณะเดียวกัน หัวข่าวเกี่ยวกับดัชเชสแห่งซัสเซกซ์ก็มักเรียกพระองค์ว่า เป็นคน "เรื่องเยอะ" "ชอบวางอำนาจ" และ "ชอบข่มเหงรังแก" โดยมีรายงานว่าพระองค์ทรงขับไล่ผู้ช่วยส่วนพระองค์ 2 คนออกจากพระราชวังเคนซิงตัน ซึ่งสำนักพระราชวังบักกิงแฮมระบุว่ากำลังสอบสวนเรื่องนี้ ในขณะที่เมแกนเองได้ปฏิเสธข่าวนี้ พร้อมระบุว่านี่คือการ "การโจมตีชื่อเสียง" ครั้งล่าสุดของพระองค์ ส่วนผู้คนในโลกออนไลน์ต่างแสดงความเห็นต่อเรื่องนี้อย่างแพร่หลาย และเปรียบเทียบถึงความแตกต่างเมื่อสื่อแท็บลอยด์รายงานข่าวเกี่ยวกับแคทเธอรีน ดัชเชสแห่งเคมบริดจ์ พระชายาในเจ้าชายวิลเลียม ดยุคแห่งเคมบริดจ์ นักวิจารณ์หลายคนมองว่าสื่ออังกฤษนำเสนอข่าวดัชเชสแห่งเคมบริดจ์และดัชเชสแห่งซัสเซกซ์อย่างลำเอียง ยกตัวอย่างเช่น ในบทความของเดลีเอ็กซ์เพรส (Daily Express) เมื่อเดือน ม.ค.ปี 2019 ที่เชื่อมโยงความชื่นชอบอะโวคาโดของเมแกนกับปัญหาความแห้งแล้งและการฆาตกรรม ในขณะที่บทความของสื่อรายเดียวกันที่ตีพิมพ์ 15 เดือนก่อนหน้านั้น เกี่ยวกับการเสวยอะโวคาโดของ ดัชเชสแห่งเคมบริดจ์ กลับเขียนถึงเรื่องคุณประโยชน์ของอาหารชนิดนี้ว่าช่วยพระองค์จากอาการแพ้ท้องในตอนเช้า มอร์แกน ชี้ว่า "การเป็นผู้หญิงที่มีชื่อเสียงหมายความว่าคุณจะถูกจับตามองอย่างใกล้ชิด และหากคุณเป็นผู้หญิงและผิวดำด้วย การเฝ้าจับตามองนั้นจะมีมากขึ้นไปอีก เพราะผู้คนตั้งมาตรฐานสำหรับผู้หญิงผิวดำไว้สูงกว่า ผู้หญิงผิวดำจะต้องดีเป็นพิเศษ" มอร์แกน ยกตัวอย่างว่า "เมื่อเคตทำผิดข้อปฏิบัติของราชสำนัก พวกเขาพูดว่าเธอกำลังเรียนรู้ แต่เมื่อเมแกนปิดประตูรถเองกลับเป็นเรื่องใหญ่โต มันเป็นปัญหาที่ฝังลึกอยู่ในระบบและในสถาบัน" กรณีที่เกิดขึ้นทำให้ในเดือน ต.ค.ปี 2019 เจ้าชายแฮร์รี ทรงออกแถลงการณ์ตำหนิสื่อมวลชน โดยเฉพาะหนังสือพิมพ์แท็บลอยด์ว่าออกข่าวเชิงลบโจมตีพระชายาอย่างไร้ความปรานี และเป็น "การประโคมข่าวอย่างไม่หยุดหย่อน" ส่งผลให้ในเดือน เม.ย. ปี 2020 ทั้งคู่ประกาศเลิกให้ข่าวแก่หนังสือพิมพ์แทบลอยด์อย่าง เดลีมิร์เรอร์ (Daily Mirror) เดอะซัน (the Sun) เดลีเมล (Daily Mail) และเดลีเอ็กซ์เพรส ฮาเวิร์ด บอกว่า "สิ่งที่สื่อไม่ชอบใจคือการที่แฮร์รีและเมแกนเริ่มโต้กลับอย่างรวดเร็ว" โดยดัชเชสแห่งซัสเซกซ์เพิ่งจะชนะคดีฟ้องร้องเมลออนซันเดย์ (Mail on Sunday) และเมลออนไลน์ ที่นำจดหมายที่พระองค์สื่อสารกับบิดาออกเผยแพร่ ซึ่งศาลสูงของอังกฤษตัดสินให้สื่อทั้งสองต้องตีพิมพ์แถลงการณ์ในหนังสือพิมพ์และเว็บไซต์เพื่อประกาศให้ทราบถึงชัยชนะของดัชเชสแห่งซัสเซกซ์ ซึ่งสื่อทั้งสองมีแผนจะยื่นเรื่องอุทธรณ์คำตัดสินดังกล่าว บีบีซีได้ติดต่อขอความคิดเห็นจากสื่อทั้งสองรายซึ่งมีเจ้าของเดียวกันแต่ไม่ได้รับการตอบกลับ ในตอนหนึ่งของการสัมภาษณ์นี้ ดัชเชสแห่งซัสเซกซ์ตรัสเป็นนัยว่าราชวงศ์และข้าราชสำนักได้ "กล่าวความเท็จ" เกี่ยวกับทั้งสองพระองค์เสมอมา บทสัมภาษณ์กับโอปราห์จะบอกอะไรเราบ้าง ในขณะที่ความบาดหมางกับสื่ออังกฤษเริ่มเด่นชัดขึ้น ก็เริ่มมีกระแสข่าวเรื่องความไม่ลงรอยกันของดยุคและดัชเชสแห่งซัสเซกซ์กับราชสำนักเกิดขึ้น ตอนที่ทั้งคู่ประกาศลดบทบาทในฐานะพระราชวงศ์ชั้นสูงในเดือน ม.ค. ปี 2020 นั้น ดูเหมือนจะเป็นการตัดสินใจโดยที่ไม่มีการปรึกษาหารือกับคนในราชวงศ์เสียก่อน ซึ่งเจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังระบุว่าพระราชวงศ์ต่าง "ผิดหวัง" ที่ได้ทราบข่าวนี้ จากนั้น เจ้าชายแฮร์รีและพระชายา พร้อมด้วย อาร์ชี พระโอรสได้ย้ายไปพำนักในรัฐแคลิฟอร์เนีย ก่อนที่ในเดือน ก.พ.ปี 2021 สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่สองจะทรงยืนยันว่าทั้งคู่จะไม่กลับไปทรงงานในฐานะสมาชิกราชวงศ์อังกฤษอีกต่อไป คาดว่า บทสัมภาษณ์ที่ดยุคและดัชเชสแห่งซัสเซกซ์ประทานแก่โอปราห์ วินฟรีย์ จะเจาะลึกว่าทั้งคู่ทรงรู้สึกอย่างไรต่อการถูกปฏิบัติจากสื่อมวลชนและราชสำนักอังกฤษ โดยในคลิปตอนหนึ่งที่ถูกตัดออกมาประชาสัมพันธ์บทสัมภาษณ์นี้ ดัชเชสแห่งซัสเซกซ์ตรัสเป็นนัยว่าราชวงศ์และข้าราชสำนักได้ "กล่าวความเท็จ" เกี่ยวกับทั้งสองพระองค์เสมอมา ขณะที่เจ้าชายแฮร์รีทรงชี้ให้เห็นถึงความคล้ายคลึงกันของสิ่งที่ ไดอานา พระมารดา และพระชายาถูกปฏิบัติ โดยเผยว่า พระองค์ทรงกลัวว่าประวัติศาสตร์ "จะซ้ำรอย" "ข้าพเจ้าไม่อาจจะจินตนาการได้ว่ามันเป็นอย่างไรสำหรับ (ไดอานา) ที่ต้องเผชิญกับเรื่องนี้ด้วยพระองค์เองตลอดหลายปีที่ผ่านมา เพราะมันเป็นเรื่องหนักหนาสาหัสอย่างเหลือเชื่อสำหรับเราสองคน แต่อย่างน้อยเราก็มีกันและกัน" ฮาเวิร์ดเชื่อว่า บทสัมภาษณ์ครั้งนี้ที่มีกำหนดออกอากาศในสหรัฐฯ คืนวันอาทิตย์ที่ 7 มี.ค. หรือตรงกับวันจันทร์ที่ 8 มี.ค.ตามเวลาในสหราชอาณาจักร จะถูกบันทึกอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์ "นี่จะเป็นช่วงเวลาประวัติศาสตร์สำหรับราชวงศ์อังกฤษ และมันไม่น่าจะออกมาสวยงามเหมือนดอกกุหลาบเป็นแน่"
|
เจ้าชายแฮร์รี ดยุคแห่งซัสเซกซ์ และเมแกน ดัชเชสแห่งซัสเซกซ์ พระชายาประทานสัมภาษณ์พิเศษในรายการโทรทัศน์ของพิธีกรชื่อดัง โอปราห์ วินฟรีย์ ถึงสาเหตุการยุติบทบาทในฐานะพระราชวงศ์ชั้นสูงของราชวงศ์วินด์เซอร์แห่งอังกฤษ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยถูกมองว่าเป็นสัญลักษณ์ของสถาบันกษัตริย์ยุคใหม่
|
international-39263889
|
https://www.bbc.com/thai/international-39263889
|
พบวิตามินบีอาจช่วยร่างกายต้านมลพิษทางอากาศได้
|
ฝุ่นละอองและไอเสียจากรถยนต์บนท้องถนนของกรุงนิวเดลีในอินเดียเป็นภัยต่อสุขภาพของมนุษย์ นักวิจัยจากคณะสาธารณสุขศาสตร์ของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด เผยแพร่ผลการทดลองเบื้องต้นในวารสารวิชาการ PNAS ซึ่งชี้ว่าการรับประทานวิตามินบีหลายชนิดในปริมาณสูง มีแนวโน้มจะช่วยให้ร่างกายมนุษย์สามารถต้านทานผลกระทบที่เกิดจากมลพิษทางอากาศได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับมลพิษที่ไปเปลี่ยนแปลงหน่วยพันธุกรรมหรือยีน มีการทดลองให้อาสาสมัคร 10 ราย รับประทานวิตามินเสริมขณะอยู่ในแหล่งที่มีมลพิษทางอากาศสูง โดยในตอนแรกได้ให้อาสาสมัครรับอากาศบริสุทธิ์และรับประทานยาหลอกก่อนเพื่อป้องกันความคลาดเคลื่อนในการทดลอง จากนั้นได้นำอาสาสมัครชุดเดิมไปยังแหล่งที่มีมลพิษทางอากาศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแหล่งที่มีอนุภาคฝุ่นละอองชื่อ PM2.5 อยู่สูง แล้วให้รับประทานวิตามินบี 6 วิตามินบี 12 และกรดโฟลิกในปริมาณสูงทุกวันเป็นเวลาหนึ่งเดือนเต็ม เตาเผาถ่านและฟืนยังเป็นแหล่งกำเนิดมลพิษทางอากาศที่สำคัญโดยเฉพาะฝุ่นละอองขนาดเล็ก ผลการทดลองเบื้องต้นนี้พบว่า การรับวิตามินบีในปริมาณสูงเป็นประจำ สามารถต้านทานผลกระทบของมลพิษต่อร่างกายในระดับหน่วยพันธุกรรมหรือยีนได้อย่างมาก โดยช่วยจำกัดกระบวนการที่มลพิษจะไปเปลี่ยนแปลงการทำงานของยีนได้ราว 26-76 % ใน 10 ตำแหน่งของยีนบนโครโมโซม ทั้งยังช่วยต้านทานความเปลี่ยนแปลงของไมโทคอนเดรียลดีเอ็นเอได้เป็นส่วนใหญ่ด้วย อย่างไรก็ตาม คณะผู้วิจัยเตือนว่าการทดลองนี้แสดงถึงแนวโน้มความเป็นไปได้เบื้องต้นในการใช้วิตามินบีต้านมลพิษทางอากาศเท่านั้น โดยยังคงต้องทำการทดลองเพื่อศึกษาต่อไปกับกลุ่มตัวอย่างที่มีจำนวนมากขึ้น และมีความหลากหลายทางชาติพันธุ์มากขึ้นด้วย นอกจากนี้ การทดลองเบื้องต้นยังไม่ชี้ชัดว่า จำเป็นต้องได้รับวิตามินบีในปริมาณเท่าใดแน่จึงจะเพียงพอต่อการต้านทานมลพิษ เนื่องจากปริมาณวิตามินที่ใช้ในการทดลองครั้งนี้สูงมากจนเกินมาตรฐานที่แนะนำแก่หญิงตั้งครรภ์ด้วยซ้ำ ผู้ประท้วงในมองโกเลียสวมหน้ากาก เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศอย่างจริงจังขึ้น คณะผู้วิจัยยังมีแผนที่จะทำการทดลองขั้นต่อไปในเมืองที่มีมลพิษทางอากาศสูงเป็นอันดับต้น ๆ ของโลกเช่นกรุงปักกิ่ง กรุงเม็กซิโกซิตี้ และหลายเมืองในอินเดีย ทั้งนี้ องค์การอนามัยโลกระบุว่า ประชากรกว่า 90% ของโลก อาศัยอยู่ในเมืองที่มีมลพิษทางอากาศสูงกว่ามาตรฐานความปลอดภัย โดยอนุภาคฝุ่นละอองที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางเล็กกว่า 2.5 ไมโครเมตร หรือที่เรียกว่า PM2.5 นั้นถือว่ามีอันตรายมากที่สุด โดยอนุภาคที่มีขนาดเพียง 1 ใน 30 ส่วนของเส้นผมมนุษย์นี้ เกิดจากเครื่องยนต์ดีเซลและการเผาถ่านไม้ รวมทั้งการทำปฏิกิริยากันของก๊าซมลพิษอื่น ๆ สามารถเข้าสู่ปอดส่วนลึกของมนุษย์และสร้างความเสียหายให้ระบบทางเดินหายใจและหัวใจได้
|
ผลทดลองเบื้องต้นในมนุษย์พบว่า วิตามินบีมีแนวโน้มจะช่วยป้องกันผลเสียต่อร่างกายที่เกิดจากมลพิษทางอากาศได้
|
thailand-50555396
|
https://www.bbc.com/thai/thailand-50555396
|
ศาลฎีกาพิพากษาจำคุก 2 ปี อดีต รมช.คลัง-ขรก.สรรพากร ฐานช่วยโอ๊ค-เอมเลี่ยงภาษีขายหุ้นชินฯ
|
ศาลฎีกาอ่านคำพิพากษาว่า ฎีกาทุกข้อของจำเลยที่ 1-5 ฟังไม่ขึ้น แต่จำเลยทั้งหมดให้ทางนำสืบพอเป็นประโยชน์อยู่บ้าง จึงพิพากษาแก้ลดโทษให้ 1 ใน 3 จำเลยที่ 1-4 มีความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ หรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ประกอบมาตรา 83 จำคุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา จำเลยที่ 5 เลขานุการส่วนตัวของคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร ความผิดฐานสนับสนุนให้เจ้าพนักงานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ หรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ประกอบมาตรา 86 จำคุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา จำเลยทั้ง 5 คน ได้แก่ 1. นางเบญจา หลุยเจริญ อดีต รมช.คลัง ในฐานะอดีตรองอธิบดีกรมสรรพากร จำคุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา 2. น.ส.จำรัส แหยมสร้อยทอง อดีตผู้อำนวยการสำนักกฎหมาย กรมสรรพากร จำคุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา 3. น.ส.โมรีรัตน์ บุญญาศิริ อดีตผู้อำนวยการสำนักกฎหมาย กรมสรรพากร จำคุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา 4. นายกริช วิปุลานุสาสน์ ผู้อำนวยการสำนักกฎหมาย กรมสรรพากร จำคุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา 5. น.ส.ปราณี เวชพฤกษ์พิทักษ์ เลขานุการส่วนตัวของคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร จำคุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา คดีนี้เริ่มต้นขึ้นเมื่อปี 2558 เมื่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนางเบญจา น.ส.จำรัส น.ส.โมรีรัตน์ นายกริช ในความผิดฐานร่วมกันเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หรือโดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และฟ้อง น.ส.ปราณี ฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ป.ป.ช. กล่าวหาว่าจำเลยร่วมกันวินิจฉัยว่านายพานทองแท้และ น.ส.พินทองทา ไม่ต้องเสียภาษีอากรจากการซื้อหุ้นบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด เมื่อปี 2549 คนละ 164 ล้านหุ้นในราคาพาร์หุ้นละ 1 บาท ขณะที่ราคาหุ้นในตลาดขณะนั้นอยู่ที่ 49.25 บาท ทั้งที่ทั้งสองคนถือเป็นผู้ได้รับเงินพึงประเมิน ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 39 และมีหน้าที่ต้องเสียภาษีของส่วนต่างราคาหุ้น ทำให้กรมสรรพากร กระทรวงการคลังและราชการเสียหายราว 7.9 พันล้านบาท 28 ก.ค. 2559 ศาลอาญาแผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พิพากษาจำคุกจำเลยที่ 1-4 ฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และ 83 จำคุกคนละ 3 ปี ส่วน น.ส.ปราณี มีความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และ 86 มีโทษ 2 ใน 3 ให้จำคุกเป็นเวลา 2 ปี ต่อมาวันที่ 19 ต.ค. 2560 ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น คือ จำคุกนางเบญจาและพวก 3 ปี และจำคุก น.ส.ปราณี 2 ปี หลังจากนั้นจำเลยได้ขอประกันตัวออกมาต่อสู้คดีในชั้นฎีกาจนกระทั่งศาลมีคำพิพากษาในวันนี้
|
ศาลฎีกาพิพากษาจำคุกนางเบญจา หลุยเจริญ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังในสมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และจำเลยอีก 4 คน เป็นเวลา 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา ในความผิดฐานช่วยให้นายพานทองแท้ ชินวัตร และ น.ส.พินทองทา คุณากรวงศ์ บุตรของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ไม่ต้องเสียภาษีหรือเสียภาษีน้อยกว่าที่กำหนด จากการซื้อหุ้นบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด เมื่อปี 2549
|
international-39644735
|
https://www.bbc.com/thai/international-39644735
|
ภาพจากกล้องหลังวาฬ
|
ในการศึกษาของกองทุนสัตว์ป่าโลก และมหาวิทยาลัยโอเรกอนของสหรัฐฯ ในเดือนมีนาคม นักวิทยาศาสตร์ในทวีปแอนตาร์กติกได้ติดกล้องที่มีเครื่องวัดความเร็วด้วยถ้วยดูดบนหลังวาฬมิงค์และวาฬหลังค่อมหลายตัว ภาพเหล่านี้ช่วยเผยให้เห็นนิสัยการหาอาหารของวาฬ และปฏิสัมพันธ์ทางสังคม
|
ภาพจากกล้องติดหลังวาฬช่วยเผยโลกที่ซ่อนเร้นของวาฬ ทำให้ได้ภาพที่ไม่เคยมีใครเห็นมาก่อน
|
thailand-47944088
|
https://www.bbc.com/thai/thailand-47944088
|
กัญชา : เดชา ศิริภัทร กับ ภารกิจช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์ด้วยกัญชาทางการแพทย์
|
ภายหลังเจ้าหน้าที่เข้ายึดต้นกัญชา ผลิตภัณฑ์จากกัญชา และดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิข้าวขวัญ เดชา ศิริภัทร มีกำหนดหารือเรื่องการสกัดกัญชาเพื่อการแพทย์กับกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก "ใช้กัญชาเต็มศักยภาพในคุณค่า" และ "ทุกคนใช้ได้โดยไม่มีข้อจำกัด" เดชา บอกกับบีบีซีไทยถึง "ความฝันสูงสุด" ของเขา เขาคือประธานมูลนิธิข้าวขวัญ ซึ่งตำรวจ ทหาร เจ้าหน้าที่ ป.ป.ส. เข้าตรวจยึดกัญชา 200 ต้น และผลิตภัณฑ์จากกัญชา และจับกุมเจ้าหน้าที่มูลนิธิ ที่ จ.สุพรรณบุรี ในข้อหาครอบครองกัญชา เมื่อวันที่ 3 เม.ย. ที่ผ่านมา แม้ว่าเป็นช่วงที่มีการนิรโทษกรรม 90 วัน ที่เปิดโอกาสให้ผู้ครอบครองกัญชาทางการแพทย์ ยื่นจดแจ้งโดยไม่ต้องรับโทษ ในวันที่เจ้าหน้าที่บุกค้นมูลนิธิ เดชา ไม่ได้อยู่ในประเทศไทย ทว่าทันทีที่เหยียบสนามบินดอนเมือง เขาบอกกับสังคมว่า การแจกจ่ายน้ำมันกัญชาเพื่อรักษาผู้เจ็บป่วย "เป็นเรื่องศีลธรรมที่ต้องทำ" และ "อยู่เหนือกฎระเบียบล้าหลังใด ๆ" "เพราะสิทธิของผู้ป่วยที่จะได้รับยาและการรักษาเป็นสิทธิพื้นฐาน" เขาประกาศย้ำ กว่าหนึ่งสัปดาห์หลังจากเหตุการณ์นั้น บีบีซีไทยพูดคุยกับเดชา ผู้บุกเบิกแนวทางเกษตรกรรมทางเลือก และต่อสู้เพื่อต้านทานการผูกขาดของทุนใหญ่ ทางการเกษตรมานานกว่า 30 ปี เราคุยกับเขาว่าอะไรคือความคิดเบื้องหลังที่เขาขยับจากเรื่องข้าวมากัญชาเพื่อการแพทย์ "ผมได้ประโยชน์จากกัญชาแบบไหน ประชาชนควรจะได้แบบนั้น" สิทธิในการเข้าถึงกัญชารักษาโรคในมุมมองของ เดชา ศิริภัทร ร่างกายที่เดินเหินคล่องแคล่ว ใบหน้าสดใส และการพูดจาที่กระฉับกระเฉง ที่บีบีซีไทยได้พูดคุยในตอนสายของวันหยุดเทศกาลสงกรานต์ ดูราวกับไม่ใช่ว่า ชายสูงวัยตรงหน้ามีอายุถึง 71 ปี ในแวดวงของภาคประชาสังคม และนักเคลื่อนไหวด้านเกษตรกรรมยั่งยืน เดชา เป็นที่รู้จักดี จากงานด้านการพัฒนาเทคโนโลยีทางการเกษตรที่เหมาะสมกับท้องถิ่น และพัฒนาพันธุกรรมข้าว เริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 2527 และดำเนินการเรื่อยมาจนเป็นที่รู้จักในชื่อของ มูลนิธิข้าวขวัญ นั่นเป็นภาคหนึ่งของเดชา ทว่าในห้วงสัปดาห์ก่อนสงกรานต์ปีนี้ ชื่อของเดชา กลับโด่งดังจากข่าวเจ้าหน้าที่บุกค้นการครอบครองกัญชา "แม่ผมเป็นมะเร็งตับเสียชีวิต ทั้งที่เรามีเงินมีทุกอยางพร้อมเมื่อปี 2519 หลังจากนั้นน้าชายผมอีก 4 คน เป็นแบบเดียวกันทั้งหมดเลย เป็นมะเร็งตับและตายกันหมดทั้งที่ทุกคนมีฐานะดีมาก" นั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่เขาเริ่มสนใจ ก่อนศึกษาศาสตร์ของกัญชาในฐานะตัวยารักษาโรคอย่างจริงจัง เมื่อปี 2556 "เพิ่งจะมีคนรู้จักตอนปีนี้เอง ทำจริงจังแบบแจกปี 61-62 ถือว่าคนรู้จักหลายร้อยหลายพันเท่า เร็วกว่าที่ทำเรื่องข้าว" เดชา เลือกศึกษาข้อมูลจากต่างประเทศถึงวิธีการสกัดกัญชา ออกมาในรูปแบบที่ทำเป็นยาน้ำมันกัญชา โดยใช้วิธีการที่ ริค ซิมป์สัน นักเคลื่อนไหวชาวแคนาดาเพื่อกัญชาทางการแพทย์ใช้ "ผมได้ประโยชน์จากกัญชาแบบไหน ประชาชนควรจะได้แบบนั้นด้วย อันนี้เป็นตัวตั้ง เพราะผมทดสอบตัวเองก่อน มันควรจะไปทุกคน ทำไมต้องอยู่ที่ผมคนเดียว" ทดลองกับตัวเอง และผู้ป่วยคนแรก เรื่องราวต่อไปนี้ เดชา เล่าจากประสบการณ์และความเชื่อส่วนบุคคล "ตอนนั้นอายุ 65 ตื่นมาแป๊บเดียวลืม อาการแรกของอัลไซเมอร์ ฝันก็จำได้ อะไรก็ไม่ลืม มือเริ่มสั่นนิด ๆ เป็นอาการแรกเริ่มของพาร์กินสัน แต่ตอนนี้มือผมนิ่งสนิทแล้ว"เดชา เล่าย้อนถึงช่วงเวลาที่เริ่มทดลองใช้น้ำมันกัญชากับตัวเอง และอ้างว่าเขาใช้น้ำมันกัญชารักษาโรคต้อเนื้อในตาด้วย พอเริ่มใช้กับตัวเองจากจุดเริ่มต้นในการศึกษาและพัฒนาองค์ความรู้กัญชา หลังจากนั้นไม่นานเขาได้พบกับญาติของลูกศิษย์คนใกล้ชิดผู้ป่วยโรคมะเร็งคนแรกซึ่งได้ทดลองใช้ยาน้ำมันสกัดจากกัญชา เขายังจำวันนั้นได้ดี "เขาบอกว่าเขาหมดหวังแล้ว หมอใช้ตั้งแต่ คีโม ฉายแสง ผ่าตัดทุกอย่างหมอหมดปัญญาแล้ว คุณมีเวลาเหลือไม่เกิน 2 เดือน หรอกคุณกลับไปเลย จัดการมรดกให้เสร็จเรียบร้อย" หญิงรายนี้มีอายุกว่า 50 ปี ป่วยเป็นมะเร็งตับในขั้นที่ 4 การใช้น้ำมันสกัดกัญชาที่เขาเริ่มต้นที่แรกที่วัดป่าวชิรโพธิญาณ อ. โพทะเล จ. พิจิตร ครั้งนี้ ต้องมีเงื่อนไขที่ผู้ป่วยต้องปฏิบัติตนในทางธรรมะภาวนาตามทางสายพุทธศาสนา งดกินของแสลง และใช้ในอัตราส่วนและวิธีที่เหมาะกับโรค เดชามีความเชื่อว่า ใช่ว่ากัญชาเป็นยาวิเศษที่ทำให้ผู้ป่วยรอดพ้นการตาย หากการหายจากมะเร็งก็ต้องมีปัจจัยในการดูแลรักษาสุขภาพทางกายและจิต "ต้องเข้าใจว่าทุกคนมันตายทุกคน เกิดแล้วตาย แต่จะตายแบบไหน ไม่ทรมานไม่ต้องเจ็บปวด ถึงจะหายด้วยโรคมะเร็งก็ตายด้วยโรคอื่นอยู่ดี" เดชากล่าวตามวิสัยที่เดินทางในสายพุทธ เป็นหลักในการดำเนินชีวิต "ไม่ใช่ว่ามีกัญชาแล้วไม่ตาย แต่ตายแบบไหน" เจ้าหน้าที่ช่างน้ำหนักกัญชาที่โรงงานผลิตในอิสราเอล ซึ่งเป็นหนึ่งในประเทศที่อนุญาตให้ใช้กัญชาเพื่อการแพทย์ได้ อย่างไรก็ตาม องค์การเภสัชกรรม ให้ข้อมูลว่า สำหรับผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย สารสกัดจากกัญชามีผลในแง่ของการใช้เพื่อควบคุมอาการเท่านั้น สอดคล้องกับ รศ.นพ.วิโรจน์ ศรีอุฬารพงศ์ อดีตนายกสมาคมมะเร็งวิทยาสมาคมแห่งประเทศไทย และหัวหน้าศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์โรคมะเร็งครบวงจร โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ที่บอกว่า การวิจัยที่บอกว่าสารจากกัญชาฆ่าเซลล์มะเร็งได้ยังเป็นการทดลองในห้องปฏิบัติการ ส่วนการใช้น้ำมันกัญชาเพื่อลดผลข้างเคียงจากเคมีบำบัด ก็มีประสิทธิภาพไม่ต่างจากยาแผนปัจจุบัน กัญชาเพื่อทางการแพทย์รักษาอะไรบ้าง มากมายสรรพคุณที่ผ่านการวิจัยทางการแพทย์บอกว่า กัญชา รักษาอาการเจ็บปวดเรื้อรังในผู้ใหญ่ รักษาอาการอาเจียนและคลื่นไส้ที่เกิดจากเคมีบำบัด บรรเทาอาการที่ผู้ป่วยแจ้งว่ากล้ามเนื้อแข็งตัวและหดเกร็ง กลุ่มอาการเหล่านี้มีหลักฐานที่มีน้ำหนักมากยืนยัน นอกจากนี้ ยังทำให้การนอนหลับดีขึ้นในคนที่มีอาการบางอย่างโดยเฉพาะ รวมถึง ผู้ที่มีอาการโรคปวดกล้ามเนื้อเรื้อรัง (fibromyalgia) และอาการหยุดหายใจขณะนอนหลับ (obstructive sleep apnoea syndrome) และลดอาการชักในคนที่มีอาการกลุ่มโรคลมชักที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นในเด็ก (ที่มา : ดู US National Academies of Sciences, Engineering and Medicine; New England Journal of Medicine; NHS) ในไทย เมื่อกฎหมายปลดล็อกกัญชาผ่านเมื่อต้นปี 2562 องค์การเภสัชกรรม ได้เริ่มปลูกกัญชาทางการแพทย์ที่ถูกต้องตามกฎหมายแห่งแรกของอาเซียน เมื่อเดือน ก.พ. เมื่อเดือน ก.พ. องค์การเภสัชกรรมเริ่มปลูกกัญชาทางการแพทย์ที่ถูกต้องตามกฎหมายแห่งแรกของอาเซียน เพื่อใช้ผลิตสารสกัดต้นแบบกัญชาทางการแพทย์ คาดว่าในเดือน ก.ค.นี้ ได้ผลิตภัณฑ์ยาจากกัญชาชุดแรก 2,500 ขวด นายแพทย์วิฑูรย์ ด่านวิบูลย์ ผอ. องค์การเภสัชกรรม ให้ข้อมูลเกี่ยวกับประโยชน์สารสกัดจากกัญชาเพื่อใช้ทางการแพทย์ว่ามีสารสองตัว ได้แก่ THC และ CBD THC มีฤทธิ์ต่อจิตประสาท แก้ปวด ต้านอาเจียน และลดการอักเสบ CBD ระงับอาการวิตกกังวลและมีฤทธิ์ต้านการชัก เป็นตัวที่นำมาใช้ทางการแพทย์และการวิจัย ในกลุ่มที่ใช้เพื่อการรักษาโรค ได้แก่ ภาวะคลื่นไส้อาเจียนจากเคมีบำบัด โรคลมชักรักษายากในเด็กและโรคลมชักที่ดื้อต่อยารักษา ภาวะกล้ามเนื้อหดเกร็งในผู้ป่วยปลอกประสาทเสื่อมแข็ง อาการปวดประสาทที่รักษาด้วยวิธีต่างๆไม่ได้ผล กลุ่มที่น่าจะใช้เพื่อควบคุมอาการ ได้แก่ โรคพาร์กินสัน โรคอัลไซเมอร์ โรคปลอกประสาทอักเสบ โรควิตกกังวล ผู้ป่วยที่ดูแลแบบประคับประคอง ผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย #SaveDecha ชีวิตคนตีมูลค่าไม่ได้ กว่าที่กฎหมายจะรับรองให้กัญชาใช้ทางการแพทย์ได้สำหรับประเทศไทย การซื้อขายน้ำมันกัญชาที่มีผู้ป่วยต้องการก็หาได้ไม่ยากนักในทาง "ใต้ดิน" เดชา แจกจ่ายน้ำมันกัญชา ให้ผู้ป่วย โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ในนามแฝงชื่อว่า "อำนาจ มงคลเสริม" ต้นทุนในการสกัดยามาจากเงินทุนส่วนตัวและลูกศิษย์รวมทั้งผู้ป่วยที่ร่วมบริจาค ก่อนเปิดคอร์สอบรมที่คิดค่าใช้จ่าย หวังให้ความรู้ไปถึงชาวบ้านที่จำเป็น หลายคนเขาคิดหาเงินจากยากัญชาที่ยังผิดกฎหมาย ทำไมเดชาเลือกไม่ทำแบบนั้น "ถ้าคุณยังคิดมิติเงินอย่างเดียว คุณก็ไม่ได้ประโยชน์จากกัญชาเท่าที่ควรหรอก เพราะว่ากัญชามีคุณค่ามหาศาล แต่คุณไปตีมูลค่า ซึ่งมูลค่ามันก็เท่านั้น" เดชาตอบคำถามบีบีซีไทย "คุณค่าชีวิตคน คุณตีมูลค่าได้เหรอ ชีวิตคนที่มีประโยชน์ต่อสังคม แล้วความทุกข์เขาล่ะมันมีมูลค่าเท่าไหร่" นี่อาจเป็นที่มา ที่เราได้เห็นจากกระแส #SaveDecha จากผู้ป่วยที่รับการช่วยเหลือ ผู้ใกล้ชิด และนักเคลื่อนไหวประชาสังคมในภาคเกษตร ออกมาเรียกร้องไม่ให้ดำเนินคดีครอบครองกัญชากับเดชา และผู้ช่วยของเขา รวมทั้งนายวิวัฒน์ ศัลยกำธร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ประกาศเอาตำแหน่งและชีวิตรับประกัน ทั้งวิวัฒน์และเดชา ถือได้ว่าอยู่ในเส้นทางเดียวกันในการขับเคลื่อนเรื่องเกษตรกรรมทางเลือก ก่อนเป็นรัฐมนตรี วิวัฒน์เป็นประธานมูลนิธิกสิกรรมธรรมชาติ และประธานสถาบันเศรษฐกิจพอเพียง ทำงานเผยแพร่ความรู้เกษตรทฤษฎีใหม่แก่เกษตรกรทั่วประเทศ ตามแนวทางพระราชดำริของในหลวง รัชกาลที่ 9 ป.ป.ส. ชี้จับกุม เพราะตีความกฎหมายต่างกัน ผู้สนับสนุนเดชาตั้งข้อสังเกตว่า เหตุใดเจ้าหน้าที่จึงเข้าจับกุมในช่วงที่มีการนิรโทษกรรม 90 วัน ที่เปิดโอกาสให้ผู้ครอบครองกัญชาทางการแพทย์ยื่นจดแจ้งโดยไม่ต้องรับโทษ สิ้นสุดในวันที่ 19 พ.ค. 2562 นายนิยม เติมศรีสุข เลขาสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ชี้แจงการจับกุมว่าเป็นการตีความกฎหมายที่ต่างกันในช่วงการนิรโทษ 60 วัน เลขา ป.ป.ส. ชี้แจงผ่านสื่อมวลชนว่า ผู้ที่ต้องการครอบครองกัญชาจะต้องยื่นเรื่องขออนุญาตไปยังสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) หรือสาธารณสุขจังหวัดก่อน หากถูกเจ้าหน้าที่จับกุมระหว่างยื่นเรื่องก็จะมีข้อมูลสามารถตรวจสอบได้ ทั้งนี้ หากเจ้าหน้าที่ไม่จับกุมอาจเกิดกรณีลักลอบขนกัญชา และอ้างการไปจดแจ้ง ซึ่งจะสร้างความเสียหายได้ การปลดล็อกกัญชาในไทย เป็นไปเพื่อทางการแพทย์เท่านั้น การใช้เพื่อการสันทนาการยังเป็นสิ่งผิดกฎหมาย ด้านเดชา กล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ ช่วงนิรโทษกรรม 90 วัน เขาคิดว่าเป็นโอกาสที่ดีในการเผยแพร่ถึงประโยชน์ของสารสกัดกัญชา "ผมคิดว่าเป็นโอกาสดีและปลอดภัยแน่ ๆ ผมก็เอามาเผยแพร่ เพราะว่าช่วง 90วัน มันปลอดภัยว่าแบบนี้มันดีและได้ผล ให้คนอื่นเอาไปทำบ้าง เลยเปิดเผยเลย" เดชากล่าว อีกด้าน ภญ.สุภัทรา บุญเสริม รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา กล่าวเมื่อ 10 เม.ย. ว่า "การผ่อนคลายกฎหมายให้ใช้กัญชาทางการแพทย์และการอนุญาต มิได้ผูกขาดให้กลุ่มทุนใดเป็นการเฉพาะ" และไม่ได้สงวนเฉพาะสำหรับภาครัฐ แต่ทั้งภาคการเกษตรที่รวมตัวเป็นวิสาหกิจชุมชน หรือภาคการศึกษาสามารถปลูก ผลิต หรือสกัดกัญชาได้ ประชาชนควรมีทางเลือก หนึ่งในความกังวลต่อการเปลี่ยนผ่านเพื่อให้กัญชาเป็นยารักษาโรคที่ทุกคนเข้าถึงได้ เดชา ทิ้งคำถามไว้ว่า รัฐจะถูกผลักไปตามผลประโยชน์หรือไม่ "ใครมีแรงมาก ก็ผลักไปทางนั้น" กรมทรัพย์สินทางปัญญา ยกเลิกคำขอสิทธิบัตรกัญชา7 คำขอ จากบริษัทต่างชาติที่ตกค้าง หลัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ใช้คำสั่งตามมาตรา 44 ออกคำสั่งแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยสิทธิบัตรฯ กรณีพิเศษ เมื่อวันที่ 28 ม.ค. 2562 ประเด็นนี้เป็นที่จับตามองของภาคประชาสังคม ท่ามกลางฝุ่นตลบของกฎหมายปลดล็อกกัญชา ที่เริ่มเปิดให้ใช้กัญชาเพื่อทางการแพทย์ การดำเนินคดีกับมูลนิธิข้าวขวัญ ดูเหมือนจะจุดเชื่อมต่อให้ การผลิตยาโดยหมอพื้นบ้าน ได้เจอกับหน่วยงาน ทั้งมหาวิทยาลัย โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ จ.ปราจีนบุรี และอธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก เพื่อจุดหมายในการให้ผู้ป่วยได้เข้าถึงยา การศึกษาวิจัย และการปรับระเบียบปฏิบัติเกี่ยวกับการใช้กัญชาเพื่อการแพทย์ของหมอพื้นบ้าน "ถ้าไม่ทำแบบนั้น เราก็ทำเต็มศักยภาพไม่ได้ เพราะหมอพื้นบ้านปลูกไม่ได้ ต้องมีงานวิจัยมาช่วยให้ปลูก เช่น คณะเภสัชฯ จุฬาฯ ตอนนี้ก็มาเสนอให้เราทำสายพันธุ์กัญชาไทย" เดชากล่าว ในฐานะนักการเกษตรที่ต่อสู้ต่อการผูกขาดทางการเกษตรมาอย่างยาวนาน ในหลักคิดที่ไม่ต่างกัน เดชา เชื่อในการที่ประชาชนมีสิทธิพื้นฐานในการเลือกวิธีการที่รักษาตัวเองได้ เดชา ศิริภัทร ที่สวนชีววิถี จ.นนทบุรี "ผมไม่ได้เชื่อว่าแนวทางผมจะเป็นแนวทางที่ดีที่สุดหรอกนะ มันต้องหลากหลายมาก เพราะนั้น คนป่วยจะเลือกได้ตั้งแต่แผนโบราณ แผนแบบผม แผนแบบนาโนที่ลาวเค้าทำไปแล้ว หรือว่าแบบสมัยใหม่ คีโม เขาควรจะเลือกได้ ไม่จำเป็นต้องมาแนวเดียวหรอก ถ้าเลือกได้มันเป็นประชาธิปไตยแล้ว เขาสามารถปรับให้เข้ากับความต้องการเขาได้ ผมไม่ได้คิดว่าแพทย์อย่างอื่นจะเลิกไปเลย ไม่ใช่ มันควรจะมีให้ดีที่สุดในแบบของเขาแล้วคนป่วยจะเลือกเอาว่า ต้องการอะไร" "เราใช้กัญชาเต็มศักยภาพในคุณค่าของมัน สำหรับทุกคนโดยไม่มีข้อจำกัด" เป็นความฝันสูงสุดที่เขาอยากเห็น และรูปธรรมที่ไกลกว่านั้นคือการเอากัญชาออกจากการเป็นสารเสพติด "ให้ทุกคนเข้าถึงศักยภาพนั้นยิ่งยากใหญ่ เพราะว่ามันขัดผลประโยชน์ สองเรื่องผมคิดว่าถึงผมตายก็ยังไม่เห็นหรอก แต่ไม่เป็นไรผมจะทำไปก่อน ชีวิตผมผมชัดเจนแล้ว"
|
โรคมะเร็งร้ายที่คร่าชีวิตผู้เป็นแม่เมื่อกว่า 40 ปีก่อน เป็นประสบการณ์ที่ทำให้ เดชา ศิริภัทร ผู้บุกเบิกเกษตรกรรมทางเลือกในประเทศไทย วัย 71 ปี เริ่มต้นศึกษาการผลิตยากัญชาทางการแพทย์ เพื่อช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์
|
international-40393781
|
https://www.bbc.com/thai/international-40393781
|
'แมงมุมยักษ์ทอด' เมนูพิสดารในกัมพูชา
|
คำตอบคือ แมงมุมยักษ์ทอดของกัมพูชา โดยขณะนี้ฤดูล่าแมงมุมยักษ์ หรือ ที่คนไทยหลายภาครับประทานและรู้จักกันในชื่อว่า "บึ้ง" ได้เริ่มต้นขึ้นแล้วในช่วงเข้าฤดูฝนเดือนมิถุนายนของทุกปี เมืองสะกวน จังหวัดกัมปงจามของกัมพูชา ซึ่งอยู่ห่างจากกรุงพนมเปญไปทางเหนือราว 70 กิโลเมตร เป็นแหล่งค้าแมงมุมยักษ์ คนที่นั่นพากันออกไปตามล่าหาแมงมุมยักษ์ตามท้องทุ่งและในป่าเป็นรายได้เสริมจากการทำการเกษตร ออม กุมเพียก ผู้ชื่นชอบการกินแมลง วัย 27 ปี กล่าวว่า "แมงมุมยักษ์มีรสชาติที่แตกต่างเมื่อเทียบกับแมลงอื่น ๆ อย่างเช่น จิ้งหรีด มันรสชาติดีกว่าแมลงอื่นมาก" ช่วงหน้าแล้งแมงมุมจะอยู่ในรูลึกและวางไข่ พอหน้าฝนระหว่างเดือนมิถุนายนถึงพฤศจิกายน จึงออกมาเพราะอากาศเริ่มเย็นลง ทำให้ง่ายในการจับ ช่วงเช้าเป็นช่วงเวลาล่าแมงมุมยักษ์ที่ดีที่สุด ชาวบ้านจะใช้ไม้ยาวและถุงผ้ากระทุ้งรอบ ๆ ใต้พุ่มไม้เพื่อหารูแมงมุม เมื่อจับตัวแมงมุมได้ พวกเขาจะเอาเขี้ยวของมันออก เพื่อไม่ให้ถูกกัดขณะจับตัวมัน เขี้ยวแมงมุมยักษ์จะถูกนำไปขายแยกต่างหากเพื่อนำไปทำยาแผนโบราณ แมงมุมยักษ์ทอดปรุงรสด้วยเกลือ น้ำตาล ผงชูรส และผงซุป ขายตัวละประมาณ 5-10 บาทแล้วแต่ขนาด คิม คอย นักล่าแมงมุมยักษ์ วัย 22 ปี เล่าว่า สามารถหาแมงมุมยักษ์ได้ 30-140 ตัวต่อวัน และไม่เคยกลับบ้านมือเปล่า เขาเรียนรู้วิธีการจับจากชาวบ้าน โดยพวกเขาจะออกไปกันเป็นกลุ่มละประมาณ 20 คนเพื่อหาแมงมุม แมลงเป็นอาหารของคนในชนบทของกัมพูชามาช้านานแล้ว แต่ในช่วงเขมรแดงเรืองอำนาจระหว่าง 1975-1979 การปฏิรูปเกษตรกรรมที่ล้มเหลว ทำให้เกิดการขาดแคลนอาหารอย่างรุนแรงและมีผู้คนล้มตายจำนวนมาก นอกเหนือไปจากการถูกทรมานและไล่ล่าสังหารโดยกลุ่มเขมรแดง ในช่วงนั้นเอง จิ้งหรีด ดักแด้ แมงมุมยักษ์ และแมลงอีกหลายชนิด ได้กลายเป็นแหล่งโปรตีนสำคัญของผู้คนที่อดอยากหิวโหย ปัจจุบัน ชาวบ้านนำแมงมุมที่จับได้ไปขายให้แก่แม่ค้าริมถนน ซึ่งนำมันไปปรุงรสด้วยเกลือ น้ำตาล ผงชูรส และผงซุป เพื่อเพิ่มรสชาติก่อนที่จะนำไปทอดในน้ำมันที่ร้อนจัด จากนั้นนำมาขายตัวละประมาณ 5-10 บาทแล้วแต่ขนาด
|
อะไรเอ่ย กรอบ เค็ม หวานปะแล่ม และธรรมชาติ 100%?
|
international-54131091
|
https://www.bbc.com/thai/international-54131091
|
โรคผมร่วงเป็นหย่อม : "ชีวิตไม่สมบูรณ์แบบ แต่ฉันสามารถอ้าแขนรับมันได้"
|
ซาราเลนา แจ็คสัน ดารารายการเรียลิตี้และนักออกแบบแฟชั่นชาวอังกฤษ เปิดเผยชีวิตส่วนตัวให้คนติดตามหลายแสนคนได้เห็น พอผมเธอเริ่มร่วงเมื่อหกสัปดาห์ก่อน เธอจึงต้องเผชิญกับการตัดสินใจครั้งใหญ่ในชีวิต "ตอนแรกฉันคิดจะเลิกเล่นโซเชียลมีเดีย" เธอเล่าให้รายการวิทยุบีบีซี Radio 1 Newsbeat ฟัง "แรงกดดันกำลังทำให้ฉันพังทลาย" แต่เธอตัดสินใจเล่นโซเชียลมีเดียต่อไป และเล่าให้ผู้ติดตามบนโลกออนไลน์ฟังเรื่องอาการที่ผมเธอค่อย ๆ ร่วงเป็นหย่อม ๆ ขณะเธออาบน้ำ ในช่วงเวลาแค่ห้าสัปดาห์ ผมเธอก็ร่วงจนหมด รวมถึงขนบนร่างกายส่วนอื่น ๆ ด้วย "แพลตฟอร์มที่ฉันมีพูดถึงไลฟ์สไตล์ที่ฉันมีทุกอย่าง ดูดี ต่อผมแบบสวยที่สุด อะไรพวกนั้น" อย่างไรก็ดี เธอบอกว่า ผลตอบรับที่เธอได้หลังออกมาแชร์ประสบการณ์อันเลวร้ายนี้ "ยอดเยี่ยมมาก" "น่าเหลือเชื่อมากว่ามีผู้หญิงที่ส่งข้อความมาหาฉันมากแค่ไหน ไม่ว่าจะเป็นคนที่ผมร่วงจากการทำเคมีบำบัดหรือจากโรคผมร่วงเป็นหย่อม" โรคผมร่วงเป็นหย่อม (alopecia) อาจมีสาเหตุมาจากความเครียด อาการป่วย หรือความผิดปกติบางอย่างของร่างกาย โรคผมร่วงเป็นหย่อมมีหลายประเภท และผมบางคนก็อาจงอกกลับคืนมาได้ ซาราเลนา ไม่รู้เลยว่าทำไมเธอถึงเป็นโรคนี้ และกำลังเข้ารับการตรวจว่าเธอเป็นโรคผมร่วงประเภทไหนกันแน่ คิ้วและขนตาเธอเริ่มจะร่วงแต่ก็ยังไม่หายไปทั้งหมด แม้ว่าจะไม่ใช่ "สไตล์" ที่อินฟลูเอนเซอร์มักจะนิยมเท่าไรแต่เธอก็ตัดสินใจที่จะโกนหัวทั้งหมด "ชีวิตไม่สมบูรณ์แบบ แต่ฉันสามารถอ้าแขนรับมันได้" ตอนนี้ ซาราเลนาอยากให้อินฟลูเอนเซอร์คนอื่น ๆ จริงใจเปิดเผยเรื่องต่าง ๆ ที่ต้องเผชิญในชีวิตมากขึ้น "นี่คือเรื่องจริง และเป็นสิ่งที่ผู้หญิงกำลังเผชิญ บ่อยครั้งที่พวกเขาเล่นอินสตาแกรมและได้แต่เห็นชีวิตและผมของผู้หญิงคนอื่นที่สวยสมบูรณ์แบบ" แม้ว่าเธอจะช่วยให้คนบนโลกออนไลน์คิดได้แง่บวกได้มากขึ้น แต่โรคผมร่วงเป็นหย่อมก็ทำให้เธอหมดความมั่นใจไปเยอะ เธอกังวลว่าแฟนจะไม่ชอบเธออีกต่อไป "ไม่ห่วงที่คนอื่นจะมาเห็นเลยยกเว้นเขา ผมเป็นองค์ประกอบสำคัญที่แสดงความเป็นผู้หญิง และฉันไม่รู้เลยว่าเขาจะยังชอบฉันอยู่ไหม" แต่เธอบอกว่า แฟนเธอให้การสนับสนุนอย่างดีเยี่ยมมาก "เขาเรียกฉันว่ากีวี่น้อย ๆ ของเขาเพราะว่าหัวฉันมีขนปุกปุย" อย่างไรก็ตาม บางวันเธอก็รู้สึกแย่มากจนไม่อยากออกไปไหน "แต่ฉันรายล้อมโดยผู้คนที่ดีที่สุด และฉันก็พยายามจะคิดในแง่บวกไว้" "ฉันไม่อยากให้คนมองฉันแล้วรู้สึกสงสาร" "ฉันหัวล้าน และหัวล้านก็สวยได้ ชีวิตสั้นเกินไปกว่าที่จะมานั่งกังวลเรื่องผม"
|
"มันเหมือนกับคุณเสียตัวตนไป มองตัวเองในกระจกแล้วไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไป"
|
features-48012559
|
https://www.bbc.com/thai/features-48012559
|
'ลูกชายของฉันฆ่าตัวตายหลังขริบหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศ'
|
อเล็กซ์ ฮาร์ดี ส่งอีเมลบอกเล่าเรื่องราวที่เขาไม่เคยเปิดเผยมาก่อนให้แม่ฟัง เลสลีย์ โรเบิร์ตส์ ต้องตกตะลึงเมื่อได้อ่านอีเมลฉบับสุดท้ายที่อเล็กซ์ ฮาร์ดี ลูกชายสุดที่รักส่งถึงเธอ เขาตั้งเวลาให้เธอได้รับอีเมลในวันที่ 25 พฤศจิกายน 2017 สิบสองชั่วโมงหลังจากเขาฆ่าตัวตาย อเล็กซ์ เป็นคนหนุ่มในวัย 23 ปีที่ชาญฉลาดและเป็นที่ชื่นชอบ เขาไม่เคยมีประวัติว่ามีอาการป่วยทางจิต นี่ทำให้เลสลีย์ ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมลูกชายถึงได้ตัดสินใจปลิดชีวิตตัวเอง ในอีเมลของอเล็กซ์ เขาอธิบายถึงเรื่องที่เขาได้รับการขริบหนังหุ้มปลายองคชาต ซึ่งคือการตัดหนังหุ้มปลายอวัยะเพศออกไปเมื่อสองปีก่อน อเล็กซ์มองสิ่งนี้ว่าทำให้ "อวัยวะสืบพันธุ์ต้องพิการ" แต่ว่าอเล็กซ์ไม่เคยบอกกล่าวเรื่องนี้กับคนรอบข้าง และแม่ของเขาก็ไม่เคยรู้เลยว่าลูกชายคนโตจากทั้งหมดสามคนได้รับการขริบ หลังอเล็กซ์เสียชีวิต เลสลีย์เพียรพยายามหาคำตอบว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น เด็กชายที่เรียนเก่งและมีพรสวรรค์ เลสลีย์เล่าว่าลูกชายเป็นเด็กเรียนดีและมีพรสวรรค์ ตอนอายุ 14 ปี เขาไปเล่นสกีที่แคนาดาและหลงใหลในประเทศนี้ จนเมื่อมีอายุได้ 18 ปี อเล็กซ์ตัดสินใจว่าจะยังไม่เข้ามหาวิทยาลัย แต่ได้เดินทางไปแคนาดาเป็นเวลาหนึ่งปี และยืดเวลาอยู่ต่อไปเรื่อย ๆ จนถึงช่วงที่เขาเสีย ชีวิต อเล็กซ์อยู่ในแคนาดามานานห้าปีจนได้สถานะเป็นผู้มีถิ่นฐานที่นั่น แม้เลสลีย์จะเดินทางไปเยี่ยมลูกชายหลายครั้ง แต่ลูกก็ไม่เคยปริปากเรื่องปัญหาที่เกิดกับอวัยวะเพศของตัวเองให้ฟัง เธอได้รับรู้เรื่องทั้งหมดหลังจากเขาเสียชีวิตแล้ว "ผมมีปัญหาเรื่องที่หนังหุ้มปลายมันรัดแน่น" อเล็กซ์ยอมเปิดเผยเรื่องนี้กับแม่ในอีเมลฉบับสุดท้ายที่เขาส่งถึงเธอ "เป็นมาตั้งแต่ช่วงวัยรุ่นตอนปลายแล้วที่หนังมันไม่ม้วนเปิดปลายอวัยวะเพศอย่างที่อยากให้เป็น มันทำให้รู้สึกไม่ดีเลย" อเล็กซ์เคยชอบเล่นสกีและสโนว์บอดร์ด แต่หลังการขริบทำให้เขาต้องรู้สึกเจ็บปวดแม้จะทำกิจกรรมธรรมดา ๆ ในปี 2015 อเล็กซ์ยังไม่ยอมเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง แต่ไปปรึกษาแพทย์ในแคนาดา แพทย์สั่งจ่ายครีมที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์ มาให้ทาเพื่อทำให้หนังหุ้มปลายมีความยืดหยุ่น แต่ก็ไม่ได้ผล อาการที่เกิดกับอเล็กซ์มีชื่อเรียกทางการแพทย์ว่าหนังหุ้มปลายองคชาตตีบ ซึ่งก็คือภาวะที่ผิวหนังบริเวณปลายองคชาตหดตัวจนไม่สามารถดึงให้เปิดขึ้นได้ ภาวะนี้พบได้ทั่วไปในเด็กชายช่วงที่ยังเป็นเด็กเล็ก และเมื่อโตขึ้นผิวหนังส่วนนี้ก็จะค่อย ๆ เปิดออก โดยปกติแล้วผู้ที่มีภาวะนี้ไม่ค่อยประสบปัญหา แต่ในรายที่มีอาจทำให้ปัสสาวะลำบาก และเจ็บปวดขณะมีเพศสัมพันธ์ เลสลีย์รู้สึกตลอดเวลาว่ามีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นกับลูกชาย แต่เขาปฏิเสธ หลังปรึกษาแพทย์ที่แคนาดาแล้วอเล็กซ์ถูกส่งตัวต่อไปพบผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับระบบปัสสาวะ "เขาแนะให้ขริบหนังหุ้มปลายทันทีเลย" อเล็กซ์เขียนในอีเมล "ผมถามว่าถ้าใช้วิธีดึงให้เปิดออกจะได้ไหม เขาโกหกเต็ม ๆ ว่ามันไม่ได้ผลแน่ในกรณีของผม" "ผมเชื่อ เพราะรู้สึกว่าเขาคือผู้เชี่ยวชาญที่รู้ว่าอะไรดีที่สุด ผมยอมทำแม้จะรู้สึกว่าต้องชั่งใจก็ตาม" เลสลีย์ แม่ของอเล็กซ์ ได้อ่านรีวิวที่มีคนไข้เขียนถึงผู้เชี่ยวชาญคนเดียวกันนี้และพบว่าหลายคนประสบปัญหา มีคนไข้หญิงคนหนึ่งเล่าว่าไม่สามารถกลับไปทำงานได้อีกเลยหลังได้รับการผ่าตัดจากอาการที่เกี่ยวกับไต แพทย์คนนี้ "ทำลาย" คุณภาพชีวิตของเธอ บางคนเตือนให้ระวังว่าผู้เชี่ยวชาญคนนี้ไม่มีความสามารถในการรักษา วินิจฉัยผิด เขายังเคยลืมเครื่องมือผ่าตัดไว้ในกระเพาะปัสสาวะของคนไข้ด้วย เลสลีย์ เรียกร้องให้มีการสืบสวนเรื่องการทำงานของผู้เชี่ยวชาญรายนี้ แต่ได้รับคำตอบว่ากำลังดำเนินอยู่ แม่ยังคิดถึงอ้อมกอดของลูกชาย ก่อนเข้ารับการผ่าตัด อเล็กซ์ไม่ได้ค้นคว้าหาข้อมูลเกี่ยวกับผู้เชี่ยวชาญ หรือเรื่องการผ่าตัดหนังหุ้มปลายมากนัก เพราะตอนนั้นแลปท็อปของเขาเสีย เขาไม่สะดวกใจที่จะใช้คอมพิวเตอร์ที่ไม่ใช่ของตัวเองค้นคว้าข้อมูลเรื่องการขริบ และไม่กล้าคุยเรื่องนี้กับเพื่อน ในที่สุดอเล็กซ์มีนัดหมายกับแพทย์เพื่อเข้ารับการผ่าตัดในปี 2015 ตอนที่เขามีอายุ 21 ปี อเล็กซ์รักน้องชายตัวน้อยของเขา ในอีเมลที่ส่งถึงแม่ อเล็กซ์เล่าเรื่องทั้งหมดอย่างละเอียดรวมทั้งปัญหาที่เกิดขึ้นหลังการผ่าตัด เขาเล่าว่ารู้สึกว่าปลายองคชาตมีความรู้สึกไวอยู่ตลอดเวลา เพราะไม่มีหนังหุ้มปลายปิด "เขารู้สึกเจ็บปวดมาก แค่จะทำกิจกรรมปกติก็เจ็บแล้ว" เลสลีย์ บอกว่า "เขาชอบเล่นสกีและสโนว์บอร์ดอย่างมาก คุณคงนึกออกว่าเขาจะรู้สึกเจ็บปวดแค่ไหน" ที่อังกฤษ นายเทรเวอร์ ดอร์กิน ผู้เชี่ยวชาญศัลยกรรมระบบทางเดินปัสสาวะบอกว่าในกรณีส่วนใหญ่แล้วความรู้สึกไวนี้จะค่อย ๆ ลดลง อเล็ซ์ยังเขียนเล่าเรื่องที่เขามีอาการอวัยวะเพศไม่แข็งตัว อาการปวดแสบปวดร้อนโดยเฉพาะบริเวณรอยแผลเป็นจากการที่แพทย์ผ่าตัดเอาเส้นเอ็นที่ยึดระหว่างหัวขององคชาตกับหนังหุ้มปลาย (เส้นสองสลึง) ออกไป เส้นเอ็นนี้ นายดอร์กินชี้ว่าเป็นส่วนสำคัญในการมีเพศสัมพันธ์ "ทั้งหนังหุ้มปลาย ส่วนหัวขององคชาตและเส้นสองสลึง ล้วนเป็นบริเวณที่มีความไวอย่างมาก…เมื่อผ่าตัดหนังหุ้มปลาย บางครั้งเส้นเอ็นนี้ก็ถูกผ่าตัดออกไปด้วย แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีผลต่อการมีเพศสัมพันธ์และความรู้สึกสุขสม" นายดอร์กินอธิบาย กลุ่มรณรงค์มองเรื่องขริบเป็นประเด็นทางสิทธิมนุษยชน แต่สำหรับอเล็กซ์ เส้นเอ็นที่หายไปมีความสำคัญสำหรับเขา "ตั้งแต่ไม่มีมันแล้ว ผมบอกได้เลยว่ามันคือจุดที่ไวต่อความรู้สึกทางเพศมากที่สุด" เขาเขียน "ถ้ามีใครมาผ่าเอาปุ่มกระสันของแม่ออกไป แม่ก็คงพอจะเข้าใจว่ามันเป็นอย่างไร" อเล็กซ์ยังเขียนเล่าเรื่องอาการชา หดรัดและ "ความรู้สึกไม่สบาย" ที่ขยายไปถึงบริเวณหน้าท้องของเขาด้วย ในอีเมลที่เขาเขียนสะท้อนให้เห็นว่า อเล็กซ์รู้สึกว่าเรื่องการขริบหนังหุ้มปลายองคชาตของผู้ชายนี้ถูกทำให้เป็นเรื่องธรรมดาเมื่อเทียบกับการขริบอวัยวะเพศหญิง ทั้งที่เป็นการทำให้อวัยวะสืบพันธุ์ต้องพิการเช่นเดียวกัน "ถ้าผมเป็นผู้หญิง (ในประเทศตะวันตก) นี่คงผิดกฎหมายไปแล้ว หมอที่ขริบให้ผมคงทำผิดอาญา และการผ่าตัดคงไม่ใช่ทางเลือกของแพทย์" อเล็กซ์เขียน "ผมไม่เชื่อว่าเราควรจะปกป้องเพศหนึ่งมากกว่าอีกเพศหนึ่ง ผมรู้สึกจริง ๆ ว่าความเท่าเทียมทางเพศนั้นควรจะเท่าเทียมสำหรับทุกคน" นักรณรงค์เชื่อว่าการขริบอวัยวะเพศทารกหรือเด็ก ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย เป็นสิ่งที่ผิดและถือเป็นประเด็นทางสิทธิมนุษยชน เพราะเด็กเหล่านั้นไม่สามารถให้ความยินยอมได้ เลสลีย์ไม่เคยรู้มาก่อนว่าลูกชายขริบหนังหุ้มปลาย ข้อมูลขององค์การอนามัยโลกชี้ว่าชายในไนจีเรียราว 95 เปอร์เซ็นต์ ผ่านการขริบหนังหุ้มปลาย ส่วนในสหราชอาณาจักรมีประมาณ 8.5 เปอร์เซ็นต์ อเล็กซ์ซึ่งเคยมีอวัยวะเพศที่ใช้การได้ตามปกติเชื่อว่าการขริบอวัยวะเพศชายตั้งแต่ยังเล็กทำให้ไม่สามารถรู้ได้เลยว่าได้สูญเสียความรู้สึกไปมากเท่าไหร่ เขาเองประเมินว่าความรู้สึกเสียวซ่านที่เกิดกับอวัยวะเพศของเขานั้นลดลงไปราว 75 เปอร์เซ็นต์ อย่างไรก็ดี ผู้เชี่ยวชาญอธิบายว่าประสบการณ์ที่เกิดกับผู้ชายที่ได้รับการขริบหนังหุ้มปลายนั้นแตกต่างกันไป บ้างก็พึงพอใจมากกว่าเพราะไม่รู้สึกเจ็บปวดจากการที่หนังหุ้มปลายรัดแน่นหรืออักเสบ ขณะที่รายงานบางชิ้นชี้ว่าหลังการขริบความรู้สึกไวจะลดลงและความพึงพอใจจากการร่วมเพศลดลงไปมากเช่นกัน อเล็กซ์เป็นลูกชายคนโต จากทั้งหมดสามคน ก่อนตัดสินใจจบชีวิตอเล็กซ์พยายามหาทางรักษาอาการที่เกิดกับตัวเอง แต่ไม่เคยบอกเล่าเรื่องราวให้แม่และเพื่อนฟังมาก่อน เลสลีย์เองยอมรับว่าเธอรู้สึกอยู่ตลอดเวลาว่ามีอะไรที่ไม่ปกติเกิดขึ้นกับลูก แต่อเล็กซ์ก็ปฏิเสธทุกครั้งที่ถาม เธอบอกว่าลูกเป็นคนที่ไม่ค่อยเปิดเผยอะไรมากนัก ซึ่งไม่ต่างจากเธอ แต่การที่เลสลีย์ยอมเปิดเผยเรื่องนี้ก็เพราะเป็นความปรารถนาของลูก "ผมไม่รู้สึกสบายใจพอที่จะยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดตอนที่ผมมีโอกาส ดังนั้นถ้าเรื่องของผมจะช่วยสร้างความตระหนักหรือทำให้เรื่องที่เกี่ยวกับสุขภาพของผู้ชายนี้ไม่ใช่เรื่องต้องห้ามในสังคมอีกต่อไป ผมก็ยินดีที่จะให้เปิดเผยเรื่องของผมได้" การเปิดเผยเรื่องราวของอเล็กซ์รวมทั้งความหวังที่จะได้พูดคุยเรื่องนี้กับเด็ก ๆ ในโรงเรียน เป็นสิ่งที่เลสลีย์บอกว่าเป็นสิ่งสุดท้าย"ที่จะทำเพื่อลูกชายสุดที่รัก" ของเธอ อเล็กซ์ขอให้แม่บอกเล่าเรื่องราวของเขาให้เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น
|
"เพียงไม่นานก็เป็นที่ชัดเจนว่าสิ่งที่เพิ่งจะเกิดขึ้นนี้คือจุดจบ…ผมตายตั้งแต่ปี 2015 ไม่ใช่ตอนนี้"
|
international-53587212
|
https://www.bbc.com/thai/international-53587212
|
ตำรวจฮ่องกงใช้กฎหมายความมั่นคงบุกจับ นศ. 4 คน ฐานยุยงผ่านโซเชียลมีเดีย
|
นายชุง เป็นอดีตผู้นำกลุ่มที่เรียกร้องให้ฮ่องกงเป็นเอกราช ตำรวจระบุว่า ทั้ง 4 คน ถูกจับกุมในข้อหา "ยุยงให้แยกตัว" ผ่านทางโซเชียลมีเดีย หลังจากที่กฎหมายนี้มีผลบังคับใช้มาตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. กลุ่มที่สนับสนุนเอกราชกลุ่มหนึ่งระบุว่า โทนี ชุง อดีตผู้นำกลุ่ม เป็นผู้หนึ่งที่ถูกจับกุม กฎหมายใหม่ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักของจีนระบุว่าการบ่อนทำลาย การแยกตัว และการสมรู้ร่วมคิดกับกองกำลังต่างชาติ เป็นความผิดทางอาญา การจับกุมก่อนหน้านี้ภายใต้กฎหมายใหม่ เป็นการจับกุมผู้ที่ถือป้ายและตะโกนประท้วงในการชุมนุม ผู้ไม่เห็นด้วยกล่าวว่า กฎหมายใหม่ของจีนจะบ่อนเซาะเสรีภาพของฮ่องกง แต่รัฐบาลจีนไม่สนใจคำวิพากษ์วิจารณ์ โดยระบุว่า จำเป็นต้องใช้กฎหมายนี้ในการหยุดยั้งการประท้วงสนับสนุนประชาธิปไตยแบบที่พบเห็นในฮ่องกงในช่วงปีที่แล้ว เรารู้อะไรเกี่ยวกับการจับกุมครั้งนี้ ตำรวจบอกว่า ผู้ถูกจับกุมเป็นชาย 3 คน หญิง 1 คน อายุระหว่าง 16-21 ปี เพราะต้องสงสัยว่าจัดตั้งหรือยุยงให้มีการแยกตัว ลี ไคว-วา จากหน่วยความมั่นคงแห่งชาติของตำรวจฮ่องกง กล่าวว่า "สายของเราและการสอบสวนเผยให้เห็นว่า บุคคลกลุ่มนี้ประกาศผ่านทางโซเชียลมีเดียเมื่อไม่นานนี้ว่า จะจัดตั้งองค์กรที่สนับสนุนเอกราชของฮ่องกง" มีการประท้วงหลายครั้งในฮ่องกง เพื่อต่อต้านกฎหมายความมั่นคงแห่งชาติฉบับใหม่ เขากล่าวด้วยว่า มีการยึดคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ และเอกสารไว้ด้วย นักศึกษาเหล่านี้เป็นอดีตสมาชิก หรือไม่ก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มเยาวชนสนับสนุนประชาธิปไตยที่ชื่อว่าสตูเดนต์โลคอลิสม์ (Studentlocalism) ซึ่งถูกยุบในเดือน มิ.ย. ก่อนที่จะมีการบังคับใช้กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติฉบับใหม่ ทางกลุ่มระบุว่าจะจัดการรณรงค์จากต่างประเทศต่อไป แต่นายลีกล่าวว่า กิจกรรมในต่างประเทศก็ยังถูกดำเนินคดีตามกฎหมายนี้ได้ "ถ้าใครก็ตามที่บอกคนอื่นว่า เขาสนับสนุนการละเมิดกฎหมายความมั่นคงแห่งชาติจากต่างประเทศ แม้ว่าเขาจะกระทำการในต่างประเทศ เราก็มีขอบเขตอำนาจที่จะสอบสวนคดีประเภทนี้" เขากล่าว ภาพถ่ายที่ถูกโพสต์ทางโซเชียลมีเดีย เป็นภาพที่นายชุง กำลังถูกนำตัวไปขณะถูกใส่กุญแจมือในเขตหยุ่นหลง (Yuen Long) กลุ่มสตูเดนต์โลคอลิสม์ระบุว่า นายชุงถูกจับกุมตัวเมื่อเวลาประมาณ 20.50 น. ตามเวลาท้องถิ่น เจ้าหน้าที่ตำรวจยังได้ยึดสิ่งของหลายรายการใส่กระเป๋าหลายใบไปด้วย โจชัว หว่อง นักเคลื่อนไหวชื่อดังกล่าวว่า นายชุงถูกตำรวจติดตามมานานหลายวันแล้ว เขากล่าวว่านายชุงถูกจับเพราะโพสต์ข้อความทางเฟซบุ๊กเกี่ยวกับ "ชาตินิยมจีน" และกล่าวหาว่าโทรศัพท์ของผู้ถูกจับกุมถูกแฮ็กหลังจากถูกจับตัวไม่นาน "การจับกุมในคืนนี้จะส่งผลให้เกิดบรรยากาศของความหวาดกลัวในการแสดงความคิดเห็นในโลกออนไลน์ในฮ่องกง" นายหว่องระบุผ่านทางทวิตเตอร์ เนื้อหาสำคัญของกฎหมายความมั่นคงฉบับใหม่ ปฏิกิริยาต่อกฎหมายนี้เป็นอย่างไร เจ้าหน้าที่ทั้งในฮ่องกงและจีนแผ่นดินใหญ่ยืนกรานว่า กฎหมายความมั่นคงนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น และจำเป็นต้องใช้ในการปรามคลื่นความไม่สงบที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในฮ่องกง แต่ผู้ไม่เห็นด้วยกล่าวว่า กฎหมายนี้จะทำลายเสรีภาพต่าง ๆ ที่ทำให้ฮ่องกงแยกออกมาจากส่วนอื่น ๆ ของจีนและเป็นลักษณะเฉพาะตัวของฮ่องกง สหราชอาณาจักร แคนาดา ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ต่างระงับสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนที่ทำกับฮ่องกง นับตั้งแต่กฎหมายนี้มีผลบังคับใช้ ขณะที่สหรัฐฯ ได้ตัดสินใจเพิกถอนสิทธิพิเศษทางการของฮ่องกง ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ฮ่องกงเผชิญกับการประท้วงเรียกร้องสิทธิ์มากขึ้นหลายครั้ง ในปี 2019 การประท้วงต่อต้านร่างกฎหมายที่เปิดโอกาสให้มีการส่งตัวผู้ต้องสงสัยไปดำเนินคดีในจีนแผ่นดินใหญ่ได้กลายเป็นความรุนแรงและทำให้มีการเคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตยเป็นวงกว้าง โดยขณะนี้ร่างกฎหมายดังกล่าวถูกยกเลิกไปแล้ว
|
นักศึกษา 4 คน ถูกบุกจับกุมตัวในฮ่องกงจากปฏิบัติการครั้งแรกของตำรวจในการบังคับใช้กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติฉบับใหม่
|
50805487
|
https://www.bbc.com/thai/50805487
|
รัฐธรรมนูญ 2560 : นักรัฐศาสตร์วิจารณ์ กำจัดธนาธร-สกัดแก้ รธน. ทำมวลชนลงถนน
|
นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่รณรงค์ให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ในงานเสวนา "อดีต ปัจจุบัน และอนาคตรัฐธรรมนูญไทย" จัดขึ้นที่คณะรัฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ เริ่มต้นด้วยการฉายภาพการเมืองไทยนับจากปฏิวัติสยาม 2475 โดย ผศ.ดร.ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์ คณะรัฐศาสตร์ ม.รังสิต เขากล่าวว่า เวลาชนชั้นนำพูดถึงประชาธิปไตยมักบอกว่า "ประชาชนยังไม่พร้อม ประชาชนยังไร้การศึกษา" ถึงวันนี้ประชาชนจบการศึกษาระดับปริญญาตรีกันมากมาย แต่วาทกรรมเหล่านี้ก็ยังอยู่ เกิดอะไรขึ้นในรอบ 87 ปีหลังปฏิวัติสยาม รัฐธรรมนูญที่ ผศ.ดร.ธำรงศักดิ์เห็นว่า "สมบูรณ์แบบที่สุด เป็นความใฝ่ฝันของคณะราษฎร" คือรัฐธรรมนูญ 2540 แต่ปัจจุบันมีความพยายามทำให้รัฐธรรมนูญฉบับนี้ถูกลืมเลือน ทำให้รู้สึกว่าผู้นำที่มาจากการเลือกตั้งเป็นความชั่วและความเลว จึงเห็นผู้นำที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งครองอำนาจยาวนาน เขายังฉายภาพ "วงจรอุบาทว์รัฐประหารไทย" ที่อยู่กับการเมืองไทยมาตลอด 87 ปี และเกิดขึ้นซ้ำใน รัฐประหาร 2557 >>สร้าง "รัฐธรรมนูญ(ไม่)ชั่วคราว" แต่อยู่ยาวนานกว่ารัฐธรรมนูญถาวร >> มีรัฐบาล(ไม่)ชั่วคราว เพราะอยู่ยาวนานกว่ารัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง >> สร้าง "รัฐธรรมนูญ(อยาก)ถาวร" >> ออกแบบเสื้อคลุมใหม่ผ่านการเลือกตั้งที่ไม่เสรีและไม่ยุติธรรม >> ได้รัฐบาลสืบทอดอำนาจคณะรัฐประหาร >> มีรัฐบาลที่มาจากพรรคการเมืองอื่น >> รัฐประหาร ปัจจุบันประเทศไทยถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มประเทศที่ปกครองด้วย "ระบอบพันธุ์ทาง" (hybrid regime) ซึ่ง ผศ.ดร.ธำรงศักดิ์อธิบายว่า เป้าหมายหลักคือเป็นเผด็จการอำนาจนิยม แต่ไม่สามารถดำรงอยู่แบบเผด็จการได้จึงต้องไปหาเสื้อคลุมมาใส่ จัดให้มีการเลือกตั้งและระบบรัฐสภา และไปออกแบบรัฐธรรมนูญให้ตอบโจทย์ตรงนั้น "ตอนปี 2490 รัฐทหารไทยยังหน้าบาง ให้มี ส.ว.แต่งตั้ง แต่ไว้คอยโหวตสนับสนุนรัฐบาลเท่านั้น แต่ผ่านไป 70 ปี ไม่หน้าบางแล้ว แต่พร้อมหน้าด้านเพื่ออยู่ในอำนาจ จึงให้ ส.ว. เลือกนายกฯ เลย" ผศ.ดร.ธำรงศักดิ์กล่าว 87 ปีประชาธิปไตยไทย มี รธน. เป็นประชาธิปไตยแค่ 3 ฉบับ ผศ.ดร.ประจักษ์ ก้องกีรติ คณะรัฐศาสตร์ มธ. เป็นอีกคนที่ยืนยันว่า "การมีรัฐธรรมนูญไม่เท่ากับการมีประชาธิปไตย" เพราะรัฐธรรมนูญกับระบอบเผด็จการไปด้วยกันได้ อีกทั้งในระยะหลังมานี้เผด็จการมีความฉลาดขึ้นในการปรับใช้เครื่องมือตามระบอบประชาธิปไตย แต่ความต่างคือรัฐธรรมนูญในระบอบเผด็จการร่างขึ้นเพื่อส่งเสริมให้การครองอำนาจของอำนาจนิยมอยู่คงทนยาวนาน เช่น รัสเซีย จีน กัมพูชา ผู้นำ 7 พรรคฝ่ายค้านจัดเสวนา "พรรคการเมืองร่วมใจแก้ไขรัฐธรรมนูญ" และลงนามสัตยาบันแก้รัฐธรรมนูญ ฉบับประชาชน เมื่อวันที่ 14 ธ.ค. ขณะที่ประเทศไทยอยู่ภายใต้ "รัฐธรรมนูญแบบไทย ๆ" ซึ่งเป็นมรดกของคณะรัฐประหารเป็นส่วนใหญ่ อาจเรียกได้ว่าเป็น "รัฐธรรมนูญสำหรับชนชั้นนำ โดยชนชั้นนำ เพื่อชนชั้นนำ" มีรัฐธรรมนูญเพียง 3 ฉบับเท่านั้นที่ ผศ.ดร. ประจักษ์เห็นว่ามีความเป็นประชาธิปไตย ได้แก่ รัฐธรรมนูญฉบับ 2489, 2517 และ 2540 ขณะที่ ผศ.ดร.ธำรงศักดิ์ระบุว่า รัฐธรรมนูญฉบับ 27 มิ.ย. 2475 และฉบับ 10 ธ.ค. 2475 ก็ถือว่าเป็นประชาธิปไตยด้วย ที่มา : บีบีซีไทยสรุปจากคำกล่าวของ ผศ.ดร.ประจักษ์ ก้องกีรติ นักรัฐศาสตร์ สำนักธรรมศาสตร์ กล่าวว่า บทสรุปของรัฐธรรมนูญที่มีความเป็นประชาธิปไตยทั้ง 3 ฉบับคือ ความต้องการเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตย ทำให้เราได้รัฐธรรมนูญที่ดี แต่ปัจจุบันเป็นการเปลี่ยนผ่านจากระบอบเผด็จการทหารเต็มตัวมาเป็นเผด็จการทหารครึ่งใบ "ตอนนี้โจทย์ยากกว่า แต่ถ้าสำเร็จจะเป็นประวัติศาสตร์ เรากำลังผลักดันให้เกิดการร่างรัฐธรรมนูญที่ดี เพื่อให้รัฐธรรมนูญที่ดีนำเรากลับไปสู่ประชาธิปไตยที่หายไป" ผศ.ดร.ประจักษ์กล่าว หลายคนมองว่ารัฐธรรมนูญ 2560 ถอยหลังไป 40 ปี ทำให้สภาพการเมืองไทยย้อนกลับไปสู่ยุค "ประชาธิปไตยครึ่งใบ" ที่มี พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ อดีตนายกฯ เป็นต้นแบบ แต่ ผศ.ดร.ประจักษ์มองว่า เป็นการเปรียบเทียบที่ผิดฝาผิดตัว เพราะตอนนั้น "ทหารกลับเป็นคนมีวุฒิภาวะ" เมื่อเห็นว่าตัวเองไปไม่รอดแล้ว จึงก่อรัฐประหารรัฐบาลนายธานินทร์ กรัยวิเชียร แล้วสร้างกติกาใหม่ขึ้นมาโดยแบ่งอำนาจให้นักการเมือง นักธุรกิจ และภาคประชาสังคม จึงถือว่าทหารยอมถอย แต่คณะทหารชุดปัจจุบันได้เอาตัวเองรุกคืบมาในพื้นที่ทางการเมืองและรวมศูนย์อำนาจ ทั้งที่สังคมปัจจุบันตื่นตัวกว่ามาก รธน. 2560 สร้าง "ระบอบทหารที่อำพรางด้วยการเลือกตั้ง" เมื่อพินิจดูรัฐธรรมนูญ 2560 เราเห็นอะไร คือคำถามชวนคิดจาก รศ.ดร.สิริพรรณ นกสวน สวัสดี คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผศ.ดร.วรรณภา ติระสังขะ คณะรัฐศาสตร์ มธ. เห็น.. รัฐธรรมนูญที่ร่างบนพื้นฐานความไม่ไว้วางใจคนกลุ่มหนึ่ง คิดว่านักการเมืองต้องโกง อีกทั้งยังเขียนรัฐธรรมนูญให้อ่านยาก เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้มีอำนาจทางการเมืองตีความ-ใช้ดุลยพินิจได้ ซึ่งจะทำให้สังคมขาดความเชื่อมั่นในตัวรัฐธรรมนูญเอง ผศ.อัครพงษ์ ค่ำคูณ วิทยาลัยนานาชาติปรีดี พนมยงค์ มธ. เห็น.. ภาพการเมืองไทยลอกเลียนจากเพื่อนบ้านอาเซียน กล่าวคือ "รัฐธรรมนูญลอกเมียนมา" มีนายทหารเป็น ส.ว., "แบ่งเขตเลือกตั้งแบบมาเลเซีย" มีการแบ่งเขตใหม่เพื่อให้พรรครัฐบาลได้เปรียบ และ "ยุบพรรคฝ่ายตรงข้าม" เหมือนกัมพูชา ผศ.ดร.ประจักษ์เห็น.. "สิ่งมหัศจรรย์ ชนิดที่อาจารย์ปรีดี (พนมยงค์ แกนนำคณะราษฎร) ต้องพลิกตัวในหลุมศพเลย" เมื่อกำหนดให้ ผบ.เหล่าทัพเป็น ส.ว.โดยตำแหน่ง และได้รับเงินเดือน 2 ทาง ถือเป็นผลประโยชน์ทับซ้อน ใช้อำนาจหน้าที่ทับซ้อน ทั้งที่ ผบ.เหล่าทัพเป็นข้าราชการประจำ แต่ก็ร่วมโหวตเลือกนายกฯ ได้ด้วย รศ.ดร.สิริพรรณเชื่อว่า คณะร่างรัฐธรรมนูญมีระบอบอยู่ในมโนคติ ทำให้รัฐธรรมนูญกลายเป็นเครื่องมือของชนชั้นนำทางการเมืองเพื่อเปลี่ยนผ่านไปสู่ความไม่เป็นประชาธิปไตย หรือสร้างระบบใหม่ และทำให้เกิด "รัฐธรรมนูญอาบยาพิษ" เธอเรียกสิ่งที่เห็นว่า "ระบอบทหารที่อำพรางด้วยการเลือกตั้งโดยเปิดช่องให้มีการดูดบังคับตัวแสดงทางการเมืองได้ง่าย" สะท้อนผ่านการปรากฎตัวของ "ตัวแสดง" ที่เป็นนายทหารตามสถาบันการเมืองต่าง ๆ เช่นเดียวกับการเปิดพื้นที่ให้กลุ่มทุนผูกขาดได้เข้ามาเป็น "ตัวแสดง" ในฐานะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ "หากถามว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้มีข้อดีไหม ดิฉันมองไม่เห็น แต่การที่มองไม่เห็นเลย ไม่ได้แปลว่าไม่ดี แต่ไม่เห็นจริง ๆ" รศ.ดร.สิริพรรณระบุ เธอสรุปความล้มเหลวของรัฐธรรมนูญ 2560 เอาไว้ 4 ประการคือ อนาคตรัฐธรรมนูญ 2560 แก้ได้ด้วย "ฉันทามติมหาชน" ท่ามกลางสารพัดปัญหาที่เกิดขึ้นจากการทดลองใช้รัฐธรรมนูญ 2560 สะท้อนผ่านปรากฏการณ์ "รัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ-สภาล่ม-ส.ส. งูเห่า-แจกกล้วย" จึงปรากฏความเคลื่อนไหวทั้งในและนอกสภาของ "ขบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560" รศ.ดร.สิริพรรณมองว่า การได้มาซึ่งรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ไม่จำเป็นต้องฉีกทั้งฉบับ หรือแก้แล้วมีความเป็นประชาธิปไตยแบบแข็งขืนจนชนชั้นนำบางส่วนรับไม่ได้ เพราะบรรยากาศการเมืองขณะนี้แตกต่างจากช่วงก่อนปี 2540 มาก มีการแบ่งขั้วการเมืองชัดเจน การสร้างฉันทามติจึงไม่ใช่เรื่องง่าย นักรัฐศาสตร์จากรั้วจามจุรีแสดงความไม่เห็นด้วยกับคำกล่าวของนักการเมืองคนหนึ่งที่ว่า "รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ถ้าไม่ได้มาด้วยเลือด ก็ต้องมาด้วยการยินยอม" เพราะทำให้เกิดความเห็นแบบ 2 ขั้วที่อันตราย ดังนั้นอาจต้องคิดว่า ทำอย่างไรให้ได้รัฐธรรมนูญที่ดีกว่านี้ ซึ่งอาจไม่ดีที่สุดเท่าที่อยากได้ แต่สร้างการยอมรับระยะหนึ่งแล้วค่อย ๆ แก้ไขไป นายธนาธรระบุว่า การเข้ามามีส่วนร่วมของประชาชนในการแก้ไขรัฐธรรมนูญมีเพียง 2 แนวทาง ระหว่าง "แก้ด้วยเลือด" หรือ "แก้ด้วยความยินยอมพร้อมใจ" "ฉันทามติ" และ "ความชอบธรรม" คือคาถาที่จะทำให้ขบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญประสบความสำเร็จ หนึ่งในโจทย์หลักที่ รศ.ดร.สิริพรรณคิดว่าต้องแก้ไขคือ ระบบเลือกตั้ง ซึ่งผู้ยกร่างรัฐธรรมนูญต้องการลดอิทธิพลของพรรคใหญ่ โดยสามารถจัดการพรรคเพื่อไทย (พท.) ได้ในระดับที่เขาพอใจ แต่ได้ก่อให้เกิดพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) ซึ่งไม่ได้อยู่ในสมการตอนที่ออกแบบระบบเลือกตั้งมา "สุดท้ายระบบที่เขาคิดว่าจะมีความมั่นคงไปเจออนาคตใหม่เป็นภัยคุกคามใหม่ต่อระบอบนี้" รศ.ดร.สิริพรรณกล่าวว่า หากยังใช้ระบบเดิมในการเลือกตั้งครั้งหน้า พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ก็ต้องใช้ต้นทุนสูงมากในการไปดูด ส.ส. มา แต่ก็ยังได้เสียงปริ่มน้ำในสภา "ถึงเวลาก็โหวตไม่ได้ เขาจะทำอย่างไร ต้องแจกกล้วยไปเรื่อย ๆ หรือคะ ตอนนี้กล้วยมันก็เริ่มเหี่ยว กล้วยมันราคาแพงขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้นระบบนี้ก็เป็นภัยคุกคามต่อระบอบที่เขาพยายามจะสร้าง ดังนั้นตัวระบบเลือกตั้งอาจกลายเป็นฉันทามติเบื้องต้นที่ทำให้เขาอยากร่วมแก้รัฐธรรมนูญก็ได้" ปฏิเสธไม่ได้ว่า อนค. เป็นพรรคการเมืองที่หาเสียงด้วยการขอชัยชนะ 3 คูหา (เลือกตั้ง >> ประชามติเปิดทางแก้รัฐธรรมนูญ 2560 >> ประชามติผ่านร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่) และเริ่มขบวนการรณรงค์ 2 ขาทั้งใน-นอกสภาเพื่อไล่รื้อ "มรดก คสช." ร่วมกับ 7 พรรคฝ่ายค้าน ทว่าขณะนี้พรรคสีส้มต้องเผชิญคดียุบพรรคและเตรียมนำมวลชนลงสู่ท้องถนนปีหน้า นี่อาจนำไปสู่เสียงวิจารณ์-ลดทอนความชอบธรรมของ "ขบวนการธงส้ม" ว่า "นักการเมืองแก้รัฐธรรมนูญเพื่อเพื่อตัวเอง" หรือไม่ เกี่ยวกับเรื่องนี้ ผศ.ดร.ประจักษ์ยอมรับว่า การผลักดันของพรรคการเมืองในสภายากจะประสบความสำเร็จ หากมีการยุบ อนค. ก็ยิ่งไปเปลี่ยนดุลอำนาจในสภา จากปัจจุบันเสียงฝ่ายค้านก็ไม่เพียงพออยู่แล้ว และความชอบธรรมก็ไม่สูงมาก จะโดนกล่าวหาว่าแก้เพื่อผลประโยชน์ตัวเอง จึงจำเป็นต้องทำให้เกิดความเคลื่อนไหวคู่ขนานทั้งพรรคและภาคประชาสังคม "ถ้าสามารถสร้างพลังคู่ขนานถึงจุดที่กระแสสังคมสูงพอ กลายเป็นมติมหาชน ถึงจุดนั้นเชื่อว่าพรรคประชาธิปัตย์และพรรคภูมิใจไทยก็คงเอาด้วย... 2 พรรคนี้เป็นพรรคดูทิศทางลมอยู่แล้ว ถ้าลมพัดไม่แรงพอ ไม่เป็นไร กินกล้วยไปก่อน แต้ถ้าลมพัดไปแรง กล้วยไม่มีความหมายแล้ว" ผศ.ดร.ประจักษ์กล่าว การเมืองที่ "มืดมัว" ในปี 2563 ท่ามกลางภาวะอึมครึมการเมืองในช่วงส่งท้ายปี ทำให้ ผศ.ดร.ประจักษ์มองเห็นแต่ความ "มืดมัวมาก ๆ ทั้งทางเศรษฐกิจและการเมือง ไม่มีสัญญาณบวกเลย" ในปี 2563 สิ่งที่เป็นเงื่อนไขสำคัญที่สุดคือพฤติกรรมการใช้อำนาจของผู้มีอำนาจในปัจจุบันทั้งที่มีตำแหน่งทางการและไม่มีตำแหน่ง ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดอารมณ์ของสังคม แต่ขณะนี้ดูเหมือนไม่ค่อยสนใจสังคมเท่าไร เรียกว่า "โนแคร์ โนสน" เขากล่าวต่อว่า ขณะเดียวกันรัฐธรรมนูญจะเป็นชนวนความขัดแย้งครั้งใหญ่ ส่วนตัวไม่อยากเห็นการได้รัฐธรรมนูญใหม่ต้องผ่านการนองเลือด แต่ถ้าไปดูเงื่อนไขตอนนี้เหมือนยากมาก เนื่องจากชนชั้นนำไม่เปิดให้มีพื้นที่ทางการเมืองในระบบ เมื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญในระบบไม่ได้ มันก็บีบให้คนเหลือช่องเดียวคือโมเดลแบบเหตุการณ์ 14 ตุลา 2516 หรืออาหรับสปริง "ในที่สุดรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตยต้องเกิดจากการต่อสู้บนท้องถนนโดยปฏิเสธไม่ได้ ถ้าเราไม่อยากให้เกิดเหตุนองเลือด ชนชั้นนำก็ต้องเห็น ไม่ใช่เรื่องยากที่ต้องใช้สติปัญญาอะไร ต้องเปิดในระบบ และยอมให้แก้ไขกติกาได้... สติปัญญาและวุฒิภาวะของชนชั้นนำจะไปกำหนดว่าสังคมจะไปทางไหน" ผศ.ดร.ประจักษ์กล่าว ขณะที่ ผศ.ดร.ธำรงศักดิ์วิจารณ์ว่า เป็นความไม่ชาญฉลาดของชนชั้นนำไทยที่กำจัดนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ออกจากสภา เพราะการให้อยู่ในสภาเป็นการจำกัดบทบทของหัวหน้า อนค. "เขาอาจมองว่านี่คือกระบวนการทางกฎหมาย แต่ในทางสังคมไม่ได้มองอย่างนั้น มองว่านี่คือการกำจัด" นอกจากนี้ยังปรากฏข่าวเรื่องการกำจัด อนค. ซึ่งสะท้อนภาวะภูมิปัญญาที่ขาดแคลนของชนชั้นนำ และไม่มีความฝันกับการสร้างอนาคตประเทศ แต่ในช่วง 2-3 วันมานี้กลับบอกว่ามีอะไรให้มาคุยกันที่สภาสิ เล่นเกมสภาสิ อย่าไปเล่นเกมถนน เขายังเตือนด้วยว่า มีการก่อ "อาชญากรรมโดยรัฐ" แทบทุก ๆ 10 ปี ทั้งเหตุการณ์ 14 ตุลา 2519, 6 ตุลา 2519, พฤษภา 2535 และคิดว่าชนชั้นนำอาจกำลังคิดอย่างนี้ นี่คือความรุนแรงของรัฐไทยที่อยู่กับเรามาช้านาน ขณะที่ รศ.ดร.สิริพรรณเห็นว่า แรงกดดันต่อความเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นอย่างหนักในปีหน้า หากผู้ยึดกุมโครงสร้างอำนาจรัฐ "ไม่มีปัญญาบริหารให้ประชาชนสุขสบายได้ โดยอ้างแต่ความมั่นคง ๆ มันไปไม่รอด" "รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน" ของหัวหน้า คสช. กล่าวสำหรับรัฐธรรมนูญ 2560 ถือเป็นฉบับที่ 2 ในประวัติศาสตร์การเมืองไทยที่ผ่านการออกเสียงประชามติ โดยมีประชาชนถึง 16.8 ล้านเสียง ต่อ 10.5 ล้านเสียง ให้ความเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ เป็นผลให้หัวหน้า คสช. เรียกขานว่าเป็น "รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน" มีชัย ฤชุพันธุ์ นำทีม กรธ. ร่วมถ่ายภาพหมู่หน้าพระบรมราชานุสาวรีย์ รัชกาลที่ 7 อาคารรัฐสภา ก่อนร่วมพระราชพิธีพระราชทานรัฐธรรมนูญ เมื่อ 6 เม.ย. 2560 โจทย์ในการออกแบบรัฐธรรมนูญที่ คสช. มอบให้คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) คือ "ประชาธิปไตยที่เหมาะสมกับสังคมไทยที่สุดคืออะไร" ต่อมาบรรดาผู้สนับสนุน คสช. และ กรธ. ได้ชี้ให้เห็นสารพัดข้อดีของรัฐธรรมนูญฉบับนายมีชัย ฤชุพันธุ์ และตั้งฉายา "รัฐธรรมนูญ 3 ป." ได้แก่ "ปฏิรูป" "ประชาชนเป็นใหญ่" และ "ปราบโกง"
|
นักรัฐศาสตร์ตั้งวงวิจารณ์ "สติปัญญาของชนชั้นนำ" ทั้งกรณีเอานายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) ออกจากสภาผู้แทนราษฎร รวมถึงการปิดกั้นไม่ให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 ด้วยกลไกรัฐสภา จนทำให้ประชาชนต้องลงสู่ท้องถนน
|
features-50558422
|
https://www.bbc.com/thai/features-50558422
|
ยาเสพติด : หมอแคนาดาผู้นี้เชื่อว่า “การเสพติดล้วนมาจาก ความบอบช้ำ”
|
ดร.เมต ผู้เชี่ยวชาญด้านการเสพติด และเป็นนักประพันธ์ยอดนิยม เกี่ยวกับงานด้านสุขภาพจิต เขาทำวิจัย ศึกษาผู้ป่วยที่ใช้สารเสพติดในย่านใจกลางเมืองแวนคูเวอร์ ซึ่งถือว่าเป็นบริเวณที่มีผู้ใช้สารเสพติดมากที่สุดในทวีปอเมริกาเหนือ ความเชื่อหลักของเขาคือ การเสพติดทุกอย่างมาจากความบอบช้ำ: "ถ้าเรารู้และบอกได้ว่าอะไรคือความบอบช้ำนั้น"
|
ดร.เกเบอร์ เมต แพทย์ชาวแคนาดา เชื่อว่า เราต้องเปลี่ยนความคิดใหม่เกี่ยวกับสาเหตุของการเสพติดและวิธีบำบัด
|
thailand-50909422
|
https://www.bbc.com/thai/thailand-50909422
|
รีวิวนายกฯ 1 ปี กับ 12 วาทะเด่น "ประยุทธ์ จันทร์โอชา"
|
บีบีซีไทยประมวล 12 วาทะเด็ดในแต่ละเดือนของ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่เคยเผยแพร่ผ่านทางเว็บไซต์และสื่อสังคมออนไลน์ของบีบีซีไทย ตลอดปี 2562 เขาแสดงทัศนะไว้อย่างไรในช่วงเกิดความเคลื่อนไหวสำคัญทางการเมือง เริ่มต้นด้วย... วาทะเด่นประจำเดือน มกราคม 2562 หลังคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) "ปลดล็อก" การเมือง และเปิดปฏิทินเลือกตั้ง 2562 โดยที่พรรคการเมืองต่าง ๆ ได้เตรียมเฟ้นบุคคลมาชูเป็นจุดขายของพรรค-มาบรรจุลงบัญชีผู้เสนอตัวเป็นนายกฯ คนใหม่ เวลานั้น สื่อมวลชนทุกแขนงต่างรอดู-รอฟังการตัดสินใจอนาคตทางการเมืองของ พล.อ.ประยุทธ์ ผู้เป็นนายกฯ ควบหัวหน้า คสช. ว่าจะ "ขยายอำนาจ" ตัวเองออกไปอีกหรือไม่ หลังครองอำนาจมา 5 ปีเต็มนับจากรัฐประหาร 2557 พล.อ.ประยุทธ์กล่าวกับสื่อมวลชนเมื่อวันที่ 29 ม.ค. ว่า จะรอพรรคการเมืองเชิญก่อน และขอเวลาศึกษานโยบายของเขาว่ายอมรับได้เพียงใด ผู้สื่อข่าวถามว่า หากตัดสินใจจะเลือกอยู่ในบัญชีรายชื่อพรรคการเมืองหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า "มันต้องอยู่มั้ง ไม่มีอย่างอื่น ถ้าอยู่คือต้องอยู่ในบัญชีนายก ฯ เอาอย่างนี้แล้วกัน เดี๋ยวจะไปบอกว่าจะเป็นนายก ฯ คนใน คนนอก วุ่นวายไปหมด ถ้าอยู่ก็อยู่ในบัญชีรายชื่อ นายกฯ" เมื่อถามย้ำว่า จะลาออกจากตำแหน่งหรือไม่ นายกรัฐมนตรีตอบว่า"ถ้าลาออกแล้วใครจะทำ ไม่ออก เป็นนายกฯอยู่อย่างนี้แหละ กฎหมายไม่ได้ให้ออก" วาทะเด่นประจำเดือน กุมภาพันธ์ 2562 หนึ่งใน "ตัวช่วย" ที่มีบทบาทสำคัญในการกำหนดตัวนายกฯ หนีไม่พ้น "ส.ว. เฉพาะกาล" ซึ่งมาจากการสรรหาและแต่งตั้งโดย คสช. และบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญกำหนดให้ร่วมลงมติกับ ส.ส. เพื่อเลือกนายกฯ ได้ถึง 5 ปี หรือเลือกนายกฯ ได้อย่างน้อย 2 คน ในวันที่ 22 ก.พ. พล.อ.ประยุทธ์ถูกถามว่าคิดอย่างไรที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่า 250 ส.ว. เข้ามาเพื่อเป็นต้นทุนสนับสนุนตัวเอง หัวหน้า คสช. ย้อนถามสื่อทันควันว่าจะมาเป็นต้นทุนอย่างไร วันนี้เขาเตรียมเผื่อไว้ เพราะ ส.ว. ที่ผ่านมาทุกคนก็รู้ว่าเป็นอย่างไร การเลือกตั้งเข้ามาเป็นอย่างไร เป็นเครือข่ายกันแบบไหน พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ส.ว. ชุดนี้ไม่ใช่มาเพื่อโหวตเลือกนายกฯ แต่เป็นกรณีที่แต่ละพรรคเสนอชื่อนายกฯ ขึ้นมา ก็เป็นเรื่องที่ต้องเสนอร่วมกันทั้ง 2 สภา ซึ่ง ส.ว. มีอำนาจแค่ตรงนี้ เป็นการแก้ปัญหากรณีที่พรรคนี้ได้ แต่พอเสนอชื่อขึ้นมาแล้ว พรรคอื่นไม่ยอมรับ ก็จะมีความขัดแย้งกันต่อไป จึงต้องหาวิธีการปลดล็อคเพื่อให้ ส.ว. เข้ามาร่วมพิจารณาด้วยได้ "เป็นเรื่องของการมีสองสภา แม้ ส.ว.จะตั้งมาจากผม แต่ถามว่าพวกคุณจะดูถูกทั้ง 250 คนนี้หรือ เขาไม่มีสมองหรือ เขาไม่รักประเทศหรือ ทุกคนต่างก็รักประเทศ อย่าหวงความรักประเทศชาติ รักประชาธิปไตยอยู่แต่เพียงพรรคการเมือง นักการเมือง ผมขอแค่นี้" นายกฯ กล่าว คำให้สัมภาษณ์ของนายกฯ มีขึ้นภายหลังจากการเป็นประธานพิธีมอบโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ เพื่อเป็นสมบัติของชาติ ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร วาทะเด่นประจำเดือน มีนาคม 2562 10 วันก่อนการเลือกตั้ง (14 มี.ค.) ครั้งแรกในรอบ 8 ปีของไทย และมีภารกิจด้านการต่างประเทศที่สำคัญรออยู่ นั่นคือ บทบาทการเป็นประธานอาเซียน พล.อ.ประยุทธ์กล่าวปาฐกถาพิเศษในการประชุม CLSA อาเซียน ปี 2562 เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนในฐานะประธานอาเซียน ว่า "ประเทศไทยถือเป็นตัวเลือกที่ดีอีกประเทศหนึ่ง ขอบคุณทุกคนที่มาลงทุนในประเทศไทย หากใครที่ยังไม่ได้ตัดสินใจขอให้ตัดสินใจเลย เพราะผมจะได้นอนหลับฝันดี จึงขอให้เชื่อมั่น ผมจะทำให้ดีที่สุด อย่างที่เคยได้ทำมาตลอด 5 ปี" วาทะเด่นประจำเดือน เมษายน 2562 จากนั้น 1 เดือนหลังการเลือกตั้ง ซึ่งพรรคเพื่อไทย (พท.) กำชัยชนะด้วยยอด ส.ส. 137 คน ตามด้วยพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ที่หิ้ว ส.ส. เข้าสภาได้ 116 คน โดยที่ทั้ง 2 พรรคกำลังกวาดแข่งขันกันต้อนคะแนนเสียงของพรรคการเมืองต่าง ๆ ไปร่วมตั้งรัฐบาล ทว่า พล.อ.ประยุทธ์ ผู้เป็น "นายกฯ ในบัญชีของ พปชร." ยังเป็น "นายกฯ ที่มีอำนาจเต็ม" ตามรัฐธรรมนูญ 2560 กำหนดไว้ และออกปฏิบัติภารกิจต่าง ๆ ตามปกติ วันที่ 22 เม.ย. พล.อ.ประยุทธ์ ลงพื้นที่ จ.สระแก้ว เพื่อฉลองความสำเร็จในการก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทย-กัมพูชา และเป็นประธานในพิธีเปิดสถานีรถไฟด่านพรมแดนบ้านคลองลึก โดยมีชาวสระแก้วมาตะโกนให้กำลังใจ "สู้ ๆ " ทำให้นายกฯ กล่าวขอบคุณ ก่อนระบุว่า ที่ให้นายกฯ สู้ ๆ นั้นต้องสู้กับความเดือดร้อนต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ความรักความสามัคคีจะต้องเป็นอย่าง 5 ปีที่ผ่านมา เพื่อให้บ้านเมืองสงบแบบนี้ แต่จะสงบหรือไม่ก็อยู่ที่พวกเรา อย่าให้คนไม่ดีมาเคลื่อนไหว ทำให้ความสงบในวันนี้หายไป พล.อ.ประยุทธ์กล่าวด้วยว่า ประชาธิปไตยคือการเลือกตั้งไปแล้ว ก็ต้องเกิดความสงบ ให้เลือกตั้งแล้วยังไม่สงบก็ไม่ได้ ปีนี้เป็นปีมหามงคล พระราชพิธีบรมราชาภิเษกกำลังใกล้เข้ามา ขอให้ช่วยกันทำบ้านเมืองให้สุขสงบ ข้อสำคัญคือคนไทยต้องรักกัน จะรักใครชอบใครเป็นเรื่องส่วนตัว อย่าเอาเรื่องของคนอื่นมาทะเลาะกัน เพราะจะกลายเป็นเครื่องมือ "ขอความรักความสามัคคีคืนมาให้กับประเทศไทย สร้างความสุขหลังเลือกตั้ง พระราชพิธีบรมราชาภิเษกกำลังจะเกิดขึ้นต้นเดือนหน้า ทำให้สงบ รัชกาลนี้จะต้องเกิดความสงบสุข ใครทำผิดจะต้องถูกลงโทษ ซึ่งผมไม่อยากให้ใครถูกลงโทษ ถ้าทำความดีไม่มีถูกลงโทษ สังคมประเทศไทยต้องอยู่ด้วยคนทุกช่วงวัย เราต้องเลิกในสิ่งที่ไม่ดี สังคมเรามีปัญหาพอสมควรแล้ว" เขากล่าว วาทะเด่นประจำเดือน พฤษภาคม 2562 แม้ผ่านการเลือกตั้งมาเกือบ 2 เดือน แต่ยังไม่ได้รัฐบาลใหม่ และเปิดประชุมสภาชุดใหม่ เมื่อถึงวันที่ 22 พ.ค. ทุกสายตาก็ยังจับจ้อง-วิจารณ์การยึดอำนาจของ พล.อ.ประยุทธ์กับพวก ในวาระครบรอบ 5 ปีรัฐประหาร พล.อ.ประยุทธ์ตอบคำถามผู้สื่อข่าววันนั้นว่า "อย่าให้ความสำคัญกับวันไหนทั้งสิ้น" วาทะเด่นประจำเดือน มิถุนายน 2562 แล้ววันกำหนดอนาคตของ พล.อ.ประยุทธ์ก็มาถึงอย่างเป็นทางการในวันที่ 5 มิ.ย. เมื่อสมาชิกรัฐสภานัดประชุมร่วมกันเพื่อลงมติเลือกนายกฯ แต่กว่าจะได้มติจากการขานชื่อเป็นรายบุคคลก็เฉียดเที่ยงคืน ตลอดช่วงเช้าวันแรกหลังได้รับเสียงโหวตจากสมาชิก 2 สภา เป็น "นายกฯ ห้าร้อย" พล.อ. ประยุทธ์หลีกเลี่ยงที่จะให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนวันที่ 6 มิ.ย. แต่ในระหว่างเดินลงจากตึกไทยคู่ฟ้า เพื่อไปเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการระดับชาติเพื่อเตรียมการจัดการประชุมสุดยอดอาเซียน พล.อ.ประยุทธ์ หยุดทักทายสื่อมวลชนและช่างภาพอย่างอารมณ์ดี มีสีหน้าแจ่มใส ยกมือไหว้และกล่าวว่า "ขอบคุณทุกคนนะครับ" ก่อนจะขอตัวไปประชุม แต่มิวายหันมายิ้มพร้อมกับพูดว่า"ทุกอย่างก็เหมือนเดิมนั่นแหละ" วาทะเด่นประจำเดือน กรกฎาคม 2562 ในวันที่สองของการอภิปรายนโยบายรัฐบาล (26 ก.ค.) ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ พยายามสะกดอารมณ์ตัวเอง และเรียนรู้คำชี้แนะ "วิธีเป็นนักการเมืองในสภา" จาก ส.ส. หลายคนในวันแรก นายกฯ ทักทายสมาชิกรัฐสภาอย่างอารมณ์ดี พร้อมกับบอกว่า "สบายดี อารมณ์ดี สนุกดี" และ "ผมเองกำลังปรับตัว ไม่ได้ติดใจ" ซึ่งน่าจะหมายถึงการปะทะคารมกับ พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ที่โต้เถียงกันไปมา จน พล.อ.ประยุทธ์ถึงกับประกาศ #ตัดพี่ตัดน้อง ที่เคยร่วมเรียนโรงเรียนเตรียมทหารกันมาก่อน วาทะเด่นประจำเดือน สิงหาคม 2562 แม้เป็น "รัฐบาลเต็มขั้น" และไปพูดกับใครต่อใครว่าเป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งอย่างภาคภูมิใจ แต่ พล.อ.ประยุทธ์ต้องเผชิญกับเสียงวิจารณ์-ข้อสงสัยเรื่องการนำคณะรัฐมนตรี (ครม.) กล่าวคำถวายสัตย์ปฏิญาณด้วยข้อความไม่ครบถ้วนตามรัฐธรรมนูญ ต่อมา มีผู้ไปยื่นคำร้องต่อผู้ตรวจการแผ่นดินให้พิจารณาเรื่องนี้ ก่อนที่ผู้ตรวจฯ จะมีมติให้ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยกรณีนายกฯ นำกล่าวคำถวายสัตย์ปฏิญาณไม่ครบถ้วน พล.อ.ประยุทธ์จึงจงใจจัดให้มี "ฉากสำคัญ" กลางทำเนียบรัฐบาล วันที่ 27 ส.ค. เขานำ ครม. เข้ารับกระแสพระราชดำรัส พร้อมลายพระราชหัตถ์ หน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก่อนแถลงต่อสื่อมวลชนว่า "ปลาบปลื้มในพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงพระราชทานมาให้ตามที่รัฐบาลที่ผมขอพระราชทานไป ท่านก็พระราชทานกลับมา ก็เท่านั้นเอง" วาทะเด่นประจำเดือน กันยายน 2562 ในวันที่ 13 ก. ย. ระหว่างการเยี่ยมชม วิทยาลัยอาชีวศึกษาภาวนาโพธิคุณ อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี นายกฯ ได้รับการต้อนรับอย่างชื่นมื่นจากนักศึกษา คณาจารย์ ผู้บริหารและประชาชนชาวสมุย นำทีมโดยนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตแกนนำ กปปส. ผู้ก่อตั้งวิทยาลัยดังกล่าว พล.อ.ประยุทธ์กล่าวกับนักศึกษาตอนหนึ่งว่า "ขอให้รักลุงสุเทพให้มาก ๆ เพราะเขาดูแลเรา" พร้อมวอนประชาชน "ถ้ารักผมก็ขอให้รักรัฐมนตรีของผมทุกคน" วาทะเด่นประจำเดือน ตุลาคม 2562 อีกวาระที่ถูกถล่มกลางสภาเวียนมาถึง ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 เมื่อ 19 ต.ค. ที่ถูกจับตามองอย่างหนักหนีไม่พ้นการตั้งงบประมาณของกลาโหม ซึ่งพบว่ามีการกันไว้ 7-8 หมื่นล้านบาท ทั้งที่ประชาชนประสบปัญหาปากท้อง พล.อ.ประยุทธ์แจกแจงสื่อมวลชนว่า เป็นการตั้งงบผูกพันและเป็นงบในส่วนของกลาโหมเอง ไม่ใช่งบกลาง เว้นในกรณีจำเป็นเร่งด่วนที่เป็นข้อตกลงกับต่างประเทศ นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งซึ่งมีจำนวนน้อยมาก อีกทั้งต้องมีการซื้อทดแทน นอกจากนี้ยังมีเรื่องทหารตามแนวชายแดนที่มีจำนวนหลายแสนนายในพื้นที่ 5,000 กว่ากิโลเมตรทั้งทางบกและทางน้ำ ซึ่งไม่มีเรือที่ทันสมัยจะทำได้หรือไม่ เพราะเรือที่มีอยู่ใช้มากว่า 50 ถึง 60 ปีแล้ว จึงมีการผุพังบ้าง "…การรักษาความมั่นคงทางทะเลซึ่งสำคัญที่สุด ของพวกนี้มันแพงทั้งสิ้น เราก็พยายามหาเรือขนาดเล็กและพยายามต่อเรือเอง อย่างเรือที่มีการติดอาวุธก็มีราคาแพง หากต่อไปมีการกระทบกระทั่งทางทะเล อาจมีเรื่องของเรือประมงมีปัญหากันยิงกัน เพื่อเห็นว่าเราคุ้มครองจะบานปลายไม่ได้ ดังนั้น ยุทโธปกรณ์ของเราต้องทันสมัยพอสมควรให้ทันกับโลกวันนี้" นายกรัฐมนตรีกล่าว วาทะเด่นประจำเดือน พฤศจิกายน 2562 เมื่อวันที่ 13 พ.ย. ในระหว่างการเปิดทำเนียบรัฐบาลต้อนรับและให้โอวาทแก่คณะกรรมการโอลิมปิคแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ เจ้าหน้าที่และนักกีฬาทีมชาติไทยที่จะเดินทางไปร่วมการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 30 ที่ประเทศฟิลิปปินส์ หนึ่งโอวาทนั้นได้กลายเป็น"วาทะแห่งปี" โดยการลงมติของบรรดาผู้สื่อข่าวประจำทำเนียบรัฐบาล และไม่เกี่ยวอะไรเลยกับการให้กำลังใจกองทัพนักกีฬาไทย แต่เป็นการรำพึงรำพันที่บอกใบ้ "วาระอำนาจ" ของชายชื่อประยุทธ์ โดยมีความว่า "อย่าเพิ่งเบื่อผมก็แล้วกัน ยังไงผมก็อยู่อีกนานพอสมควร" วาทะเด่นประจำเดือน ธันวาคม 2562 ปิดท้ายปีด้วยความเคลื่อนไหวของพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) ซึ่งหัวหน้าพรรคต้องพ้นจากสมาชิกภาพ ส.ส. เพราะถือหุ้นสื่อ และพรรคต้นสังกัดยังเผชิญคดียุบพรรคจากปมหัวหน้าพรรคปล่อยกู้ 191 ล้านบาทให้พรรคตัวเอง ทำให้สถานการณ์การเมืองร้อนแรงขึ้นมา วันที่ 11 ธ.ค. พล.อ.ประยุทธ์ตอบคำถามผู้สื่อข่าวที่ว่า หากอนาคตใหม่ถูกยุบพรรค กังวลว่าจะเกิดความวุ่นวายหรือไม่ โดยบอกเพียงว่า เป็นเรื่องที่ฝ่ายความมั่นคงจะดูแล อีกทั้งเป็นเรื่องของศาลและกระบวนการยุติธรรมที่ต้องว่าตามหลักฐาน รัฐบาลไม่สามารถไปก้าวล่วงได้ ดังนั้นขออย่าทำให้วุ่นวาย เมื่อถามถึงกรณีที่โฆษกพรรคอนาคตใหม่ออกมาระบุว่ามี "ใบสั่ง" ถึงขั้นให้ยุบพรรคหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า "ใครสั่ง ไปหามาสิเขาระบุว่าใคร ผมหรือไง ที่พูดมาหมายความว่าผมใช่ไหม ผมไม่ได้ไปก้าวล่วงใครอยู่แล้ว ผมรู้ว่าต้องทำตัวอย่างไรไว้ใจผมสิ" นี่คือการทบทวนวาทะเด่นของนายทหารผู้ผันตัวมาเป็นนักการเมือง จากนายกรัฐมนตรีที่ได้รับการแต่งตั้งโดยคณะรัฐประหารสู่นายกรัฐมนตรีจากการเลือกตั้ง 12 เดือนที่ผ่านมา คุณคิดเห็นอย่างไรกับวาทะเด่นเหล่านี้
|
ผู้ใช้งานสื่อสังคมออนไลน์ไทยต้อนรับเทศกาลคริสต์มาส และช่วงนับถอยหลังสู่เทศกาลปีใหม่ ด้วยการทบทวนผลงานของรัฐบาล ภาพลักษณ์ และคำพูด ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ในรอบปีที่ผ่านมา โดยพร้อมใจกันวิพากษ์วิจารณ์และติดแฮชแท็ก #รีวิวนายก จนกลายเป็นเทรนด์ทวิตเตอร์อันดับ 1 เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา โดยผู้ใช้งานทวิตเตอร์แสดงความเห็นอย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นในด้านบวกและลบ
|
international-42209070
|
https://www.bbc.com/thai/international-42209070
|
นางงามรถเข็นรณรงค์เพื่อสิทธิคนพิการ
|
วิราลี โมดี นักเคลื่อนไหวเพื่อความปลอดภัยของคนพิการในอินเดีย เล่าว่า "ที่สถานีรถไฟกลาง นครบอมเบย์ ฉันถูกลวนลามทางเพศถึงสามครั้ง โดยพนักงานยกกระเป๋า ฉันต้องให้พนักงานสองคนช่วยยกฉันจากรถเข็นขึ้นไปบนรถไฟ ขณะที่ยกฉัน พนักงานคนหนึ่งก็อุ้มฉันจากข้างหลัง เขาเอาแขนพาดหน้าอกของฉัน และเขาก็เริ่มลูบคลำ" เธอบอกว่า "ตอนนั้นฉันรู้สึกไร้ค่าและรู้สึกว่าประชากรคนพิการในอินเดีย ไม่มีสิทธิมีเสียงและไร้ค่า" วิราลีได้รณรงค์ให้ขนส่งมวลชนอินเดียเพิ่มปลอดภัยต่อคนพิการ ให้คนพิการเข้าถึงบริการได้มากขึ้น ทำให้ขณะนี้ สถานีรถไฟรัฐเกรละฝึกหัดให้พนักงานยกกระเป๋าให้ใส่ใจเรื่องการบริการที่ละเอียดอ่อน จัดให้มีทางลาดให้รถเข็นขึ้นลง และทางเดินที่รถเข็นผ่านได้ วิราลีติดเชื้อมาลาเรียตอนอายุ 14 ปี ทำให้เธอเป็นอัมพาต ครอบครัวและเพื่อนทอดทิ้งเธอไป ฉันพยายามฆ่าตัวตายถึงสองครั้ง การใช้ชีวิตมันยากลำบากมาก ต่อมา วิราลีหาแรงจูงใจ จากการประกวดนางงามคนพิการ และได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับหนึ่งจากการประกวดนางงามรถเข็น 2014 "นี่คือบัลลังก์ของฉัน ฉันเป็นราชินี แต่ขอบอกว่าฉันเลือดร้อน เพราะฉะนั้นอย่ามายุ่งกับฉัน" เธอกล่าวติดตลก
|
วิราลี โมดี สาวพิการในอินเดียถูกพนักงานยกกระเป๋าลวนลามทางเพศ ขณะที่เธอโดยสารรถไฟ หลังจากนั้นเธอจึงรณรงค์ให้คนพิการสามารถเข้าถึงบริการขนส่งสาธารณะได้อย่างปลอดภัยมากขึ้น และยังได้รับตำแหน่งรองชนะเลิศอันดับหนึ่งนางงามรถเข็นมาครองด้วย
|
international-38122623
|
https://www.bbc.com/thai/international-38122623
|
ผลงานชีวิตของฟิเดล คาสโตร
|
ฟิเดล คาสโตร เป็นสัญลักษณ์ของคิวบามาเกือบ 50 ปี ดร. สตีเว่น วิลลินสัน บรรณาธิการวารสารระหว่างประเทศคิวบาศึกษา มองถึงชีวิตและผลงานของคาสโตร โดยกล่าวถึงบทกวีที่นิโกลาส กิเย็น กวีชาวคิวบาเคยเขียนว่า "มาร์ตีสัญญา คาสโตรนำส่ง" ซึ่งเป็นการเปรียบเทียบระหว่าง 2 ผู้นำที่ยิ่งใหญ่ของคิวบา คือ โฆเซ่ มาร์ตี วีรบุรุษผู้ต่อสู้เรียกร้องเอกราช กับฟิเดล คาสโตร กิเย็นเห็นว่ามีความเชื่อมโยงโดยตรงระหว่างผู้นำทั้งสอง โดยมาร์ตีเป็นบุคคลผู้สร้างแรงบันดาลใจให้กับชีวิตด้านการเมืองของคาสโตร มาร์ตีสัญญาว่าคิวบาจะเป็นอิสระจากการแทรกแซงของสหรัฐฯ แต่ฝันนี้เป็นจริงหรือไม่ คาสโตรมีผลงานที่ประสบความสำเร็จหรือไม่ คงจะต้องพิจารณาว่าเขาได้ทำให้ความฝันของมาร์ตีกลายเป็นความจริงได้หรือไม่ คิวบาเป็นประเทศเล็ก ๆ ที่ขณะนี้มีประชากรราว 11 ล้านคน โดยในสมัยคาสโตรขึ้นเป็นผู้นำ คิวบามีประชากรไม่ถึง 6 ล้านคน แต่ประเทศเล็ก ๆ อย่างคิวบาก็ได้ให้กำเนิดรัฐบุรุษที่มีชื่อเสียงสำหรับประวัติศาสตร์ภูมิภาคลาตินอเมริกาถึง 2 คน ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องที่พิเศษทีเดียว ไม่ว่าคนจะรักหรือชังคาสโตร เขาก็เป็นบุคคลที่โดดเด่นจริง ๆ การปฏิวัติยึดอำนาจการปกครองได้สำเร็จ ขณะที่อายุเพียง 33 ปี ถือเป็นผลงานที่เด่นเกินวัย แต่การที่คาสโตรสามารถอยู่ในอำนาจได้อย่างยาวนานร่วม 5 ทศวรรรษ ซึ่งในช่วงดังกล่าวสหรัฐฯ มีประธานาธิบดีถึง 10 คน และเขาถูกพยายามลอบสังหารถึง 638 ครั้ง พิสูจน์ได้ว่า เขากุมอำนาจได้จริงและมีความมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว อย่างไรก็ตาม ตลอดช่วงดังกล่าว คาสโตรทำฝันของมาร์ตีให้เป็นจริงหรือไม่ คาสโตรสามารถผลักดันอิทธิพลตรงของสหรัฐฯ ออกไปจากการเมืองภายในคิวบาได้ ทั้งยังสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้นำคนอื่นในภูมิภาค เช่น ประธานาธิบดีเอโว โมราเลส แห่งโบลิเวีย และ อดีตประธานาธิบดีอูโก ชาเวซ แห่งเวเนซุเอลา เจริญรอยตามในการต่อต้านอิทธิพลของสหรัฐฯ ในภูมิภาค คาสโตร เป็นแรงบันดาลใจให้ผู้นำคนอื่นในภูมิภาค เช่น ประธานาธิบดีเอโว โมราเลส แห่งโบลิเวีย และ อดีตประธานาธิบดีอูโก ชาเวซ แห่งเวเนซุเอลา ส่งออกผู้คัดค้าน แต่คิวบาไม่สามารถหลีกเลี่ยงอิทธิพลทางอ้อมของสหรัฐฯ ได้ ทั้งด้านเศรษฐกิจและการเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรัฐฟลอริดาของสหรัฐฯ ซึ่งปรปักษ์ของคาสโตรลี้ภัยอยู่เป็นจำนวนมาก นับว่าการปฏิวัติของคาสโตรเป็นเรื่องที่ยังทำไม่เสร็จ การที่เขาปกครองประเทศได้อย่างยาวนาน อาจเป็นเพราะการปฏิวัติของเขาไม่มีการเสียเลือดเสียเนื้อเหมือนกับการปฏิวัติอื่น ๆ คาสโตรไม่ได้ประหัตประหารกลุ่มชนชั้นกลางและนายทุนคิวบา แต่ว่ามีนักโทษทางการเมืองที่ถูกจองจำโดยไม่มีเหตุผลเพียงพอจนถึงทุกวันนี้ อย่างไรก็ตาม คาสโตรสามารถส่งพวกเขาหลายคนไปยังสหรัฐฯ โดยพวกเขาสามารถรวมพลังกันได้อย่างเหนียวแน่น ทั้งได้พยายามคัดค้านการเปลี่ยนแปลงนโยบายของสหรัฐฯ ในการห้ามส่งสินค้าออกไปยังคิวบา ขณะนี้มีคนที่สืบเชื้อสายคิวบาราว 2 ล้านคน อาศัยอยู่ในสหรัฐฯ และยังคงเป็นประเด็นถกเถียงกันว่าจะถือว่าคิวบาเป็นประเทศที่ดีสำหรับชาวคิวบาทุกคนได้อย่างไร ผู้ไม่เห็นด้วยกับคาสโตร ลี้ภัยไปอยู่สหรัฐฯจำนวนมาก เพื่อชีวิตที่ดีกว่า ชาวคิวบาส่วนใหญ่มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นมากในสมัยที่คาสโตรปกครองประเทศ ไม่ว่าศัตรูของคาสโตรได้กล่าวอะไรไว้ก็ตาม คิวบาภายใต้รัฐบาลคาสโตรเป็นประเทศที่มีระบบสาธารณสุขดีที่สุดประเทศหนึ่ง และมีระบบการศึกษาที่ดีไม่แพ้กัน จนเป็นที่อิจฉาของประเทศกำลังพัฒนาหลายประเทศ ข้อมูลด้านสถิติระบุว่า คิวบาซึ่งมีรายได้ต่อหัวเพียงน้อยนิด แต่มีอัตราการเสียชีวิตของทารกและช่วงชีวิตของคนที่ยืนยาวเทียบเท่ากับประเทศยุโรปตะวันตก ในแต่ละปี มีนักศึกษาแพทย์หลายพันคนจบการศึกษาในคิวบา และรัฐบาลส่งพวกเขาไปยังประเทศต่าง ๆ กว่า 60 ประเทศทั่วโลก เพื่อให้ความช่วยเหลือด้านสาธารณสุข อุตสาหกรรมไบโอเทคของคิวบาจัดได้ว่าทันสมัยระดับโลก ซึ่งได้ช่วยชีวิตคนนับล้านผ่านการผลิตวัคซีนและยาให้กับหลายประเทศที่จำเป็น ทั้งเป็นการผลิตที่มีต้นทุนต่ำมาก เมื่อเทียบกับการผลิตของบริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่หลายแห่ง ความก้าวหน้าด้านวิทยาศาสตร์ ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันกับผู้ยากไร้และผู้ด้อยโอกาสนี้ต้องยกคุณความดีให้กับการมองการณ์ไกลของคาสโตร ซึ่งบางครั้งทำให้คนคิวบาเองไม่พอใจ โดยพวกเขาบ่นว่า ความช่วยเหลือที่มอบให้กับประเทศอื่นนั้น เท่ากับโยกทรัพยากรที่จำเป็นสำหรับคนในประเทศไปให้กับคนนอกประเทศ คิวบาเป็นประเทศที่มีระบบสาธารณสุขดีที่สุดประเทศหนึ่งในโลก อิทธิพลนอกคิวบา บางคนมองว่า คาสโตรล้มเหลว เพราะว่าเขาไม่สามารถพัฒนาเศรษฐกิจของคิวบา ให้ทัดเทียมกับงบประมาณที่ได้ลงไปด้านสาธารณสุขและสวัสดิการสังคม กรณีเศรษฐกิจของคิวบา จะตำหนิคาสโตรทั้งหมดก็ไม่ได้ อย่างไรก็ตาม รากฐานและโครงสร้างที่ยังขาดแคลนซึ่งนายราอูล น้องชายกำลังพยายามแก้ไขอยู่ในขณะนี้ ก็ต้องถือได้ว่าเป็นความรับผิดชอบของนายคาสโตรด้วย นอกเหนือจากผู้สนับสนุนที่คลั่งไคล้คาสโตรในคิวบาแล้ว ยังมีผู้นิยมคาสโตรอยู่ในแอฟริกาและลาตินอเมริกาด้วย อิทธิพลและตัวอย่างของคาสโตรสร้างแรงบันดาลใจให้พวกเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเทศทางตอนใต้ของทวีปแอฟริกา โดยการแทรกแซงของคิวบาในสงครามที่แองโกลาถือว่าได้เปลี่ยนโฉมหน้าประวัติศาสตร์ คาสโตรมีบทบาทสำคัญในทวีปแอฟริกาด้วย คาสโตรเป็นผู้วางแผนให้กองกำลังของคิวบาปราบทหารของกองทัพแอฟริกาใต้ได้ชัยชนะเด็ดขาด ไม่เพียงแต่ทำให้กองทัพแอฟริกาใต้ถอนกำลังออกจากแองโกลาเท่านั้น แต่ยังทำให้นามิเบียได้รับเอกราชด้วย เนสสัน แมนเดลา ถึงกับกล่าวว่า อิสรภาพของเขาจากการถูกคุมขังและการยุตินโยบายเหยียดผิวเป็นผลมาจากเหตุการณ์ในครั้งนั้น ชัยชนะที่แองโกลาและความล้มเหลวของสหรัฐฯ ในการยกพลขึ้นบกที่อ่าวหมูเมื่อปี 2504 ถือว่าเป็นความสำเร็จที่โดดเด่นที่สุดของคาสโตร ปาโบล เนรูดา กวีชาวชิลีเคยกล่าวไว้ว่า คาสโตรแหกกฎความเป็นนักการเมืองลาตินอเมริกาคนอื่นที่รับปากไว้มากมาย แต่ทำให้เป็นจริงเพียงน้อยนิด คาสโตรยืนหยัดต่อต้านสหรัฐฯ และไม่เคยยอมถอย ท้ายที่สุด หากคาสโตรล้มเหลวในการทำตามสัญญาของมาร์ตี ก็ไม่ใช่เพราะเขาไม่ได้พยายาม ไม่ว่าคนจะเห็นด้วยกับแนวนโยบายการเมืองของเขาหรือไม่ก็ตาม ต้องยอมรับว่า ตลอดช่วงเวลาที่ปกครองประเทศ คาสโตรทำในสิ่งที่เขาเชื่อมั่นมาตลอด ซึ่งคุณสมบัตินี้ถือเป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่งในนักการเมือง และมันจะเป็นมรดกที่คาสโตรทิ้งไว้ให้คนรุ่นหลังตราบนานเท่านาน
|
ฟิเดล คาสโตร เป็นผู้นำที่เป็นสัญลักษณ์ของคิวบามาเกือบ 50 ปี
|
international-57197839
|
https://www.bbc.com/thai/international-57197839
|
อิสราเอลและปาเลสไตน์ประกาศหยุดยิงหลังโจมตีรุนแรงตลอด 11 วัน
|
ชาวปาเลสไตน์หลั่งไหลไปที่ถนนในฉนวนกาซาไม่นานหลังจากการพักรบเริ่มขึ้น ในจำนวนผู้ที่เสียชีวิตจากเหตุรุนแรงระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์มีแรงงานไทยอยู่ด้วย 2 คน คือ นายวีรวัฒน์ การันบริรักษ์ อายุ 44 ปี ชาวจังหวัดเพชรบูรณ์ และนายสิขรินทร์ สงำรัมย์ อายุ 24 ปี จากจังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ (กต.) แถลงวันนี้ว่าสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟ ได้รับแจ้งจากบริษัทขนส่งศพว่าจะดำเนินการส่งร่างผู้เสียชีวิตทั้ง 2 รายกลับไทยทันทีที่สถาบันนิติเวชของอิสราเอลอนุญาต ซึ่งคาดว่าจะมาถึงในวันที่ 26 พ.ค. นี้ นายธานี แสงรัตน์ โฆษก กต. กล่าวว่านายเบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล ได้กล่าวแสดงความเสียใจต่อการเสียชีวิตของแรงานไทยผ่าน น.ส. พรรณนภา จันทรารมย์ เอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟ ซึ่งได้ร้องขอต่อนายกฯ อิสราเอลโดยตรงว่าขอทราบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นและขอให้ทางการอิสราเอลช่วยดูแลความปลอดภัยของแรงงานไทยในพื้นที่เสี่ยง ทันทีที่ข้อตกลงหยุดยิงมีผลบังคับใช้วันนี้ ชาวปาเลสไตน์ได้หลั่งไหลไปที่ถนนในฉนวนกาซาพร้อมเปล่งวาจาสรรเสริญและขอบคุณพระเจ้า ทั้งอิสราเอลและกลุ่มฮามาสต่างประกาศชัยชนะในความขัดแย้งนี้ ขณะที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐฯ กล่าวว่าการหยุดยิงนำมาซึ่ง "โอกาสที่แท้จริง" ที่ทุกฝ่ายจะเดินหน้าต่อไป เมื่อวานนี้ (20 พ.ค.) อิสราเอลก่อเหตุโจมตีทางอากาศกว่า 100 ครั้ง โดยพุ่งเป้าไปที่ระบบโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่ของกลุ่มฮามาสทางตอนเหนือของฉนวนกาซา ทำให้กลุ่มฮามาสตอบโต้ด้วยการยิงจรวดใส่อิสราเอล ชายชาวอิสราเอลตรวจสอบความเสียหายในครัวของบ้าน การต่อสู้ครั้งนี้เริ่มต้นขึ้นในฉนวนกาซาตั้งแต่วันที่ 10 พ.ค. หลังจากความตึงเครียดระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์เพิ่มสูงขึ้นหลายสัปดาห์ก่อนหน้านั้นในเยรูซาเล็มตะวันออก นำมาสู่การปะทะกันในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อันเป็นที่เคารพนับถือของทั้งชาวมุสลิมและชาวยิว กลุ่มฮามาสเตือนให้อิสราเอลถอนตัวออกจากพื้นที่ หลังจากนั้นจึงได้เกิดการโจมตีทางอากาศตอบโต้กันขึ้น ข้อมูลจากหน่วยงานสาธารณสุขของกลุ่มฮามาสระบุว่ามีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 232 ราย ในฉนวนกาซา ในจำนวนนี้มีผู้หญิงและเด็กมากกว่า 100 ราย ฝ่ายอิสราเอลระบุว่ามีกลุ่มติดอาวุธอย่างน้อย 150 ราย เสียชีวิตในฉนวนกาซา อย่างไรก็ดี กลุ่มฮามาสไม่ให้ตัวเลขผู้เสียชีวิตสำหรับนักรบกลุ่มนี้ เจ้าหน้าที่บริการทางการแพทย์ระบุว่าในอิสราเอลมีผู้เสียชีวิต 12 ราย เป็นเด็ก 2 ราย ทางฝ่ายอิสราเอลอ้างว่ามีการยิงจรวดราว 4,000 ลูกเข้าไปยังดินแดนของตนโดยกลุ่มก่อการร้ายในฉนวนกาซา การหยุดยิงเกิดขึ้นได้อย่างไร ทั้งสองฝ่ายเผชิญกับแรงกดดันจากนานาชาติที่เพิ่มขึ้นเพื่อยุติการสู้รบ เมื่อวันพุธที่ผ่านมา (19 พ.ค.) ประธานาธิบดีโจ ไบเดนของสหรัฐฯ กล่าวกับนายเนทันยาฮูว่า "คาดว่าจะมีการยกระดับครั้งสำคัญเพื่อนำไปสู่การหยุดยิง" อียิปต์ กาตาร์ และองค์การสหประชาชาติมีบทบาทสำคัญในการไกล่เกลี่ยการเจรจาหยุดยิงระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาสซึ่งปกครองฉนวนกาซา สถานีโทรทัศน์ของอียิปต์รายงานว่า ประธานาธิบดีอับเดล ฟัตตาห์ อัลซีซี ได้สั่งให้คณะผู้แทนด้านความมั่นคง 2 คนเข้าไปในอิสราเอลและดินแดนปาเลสไตน์ที่ถูกยึดครองเพื่อสนับสนุนการหยุดยิงด้วย มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 232 คนรวมทั้งผู้หญิงและเด็กมากกว่า 100 คนในฉนวนกาซา กต.เตรียมแผนอพยพคนไทย สำหรับผลกระทบและการช่วยเหลือคนไทยที่ได้รับผลกระทบจากเหตุรุนแรงในอิสราเอล นายธานี แสงรัตน์ โฆษก กต. แถลงข่าววันนี้ว่า เหตุการณ์เมื่อวันที่ 18 พ.ค. ที่ทำให้แรงงานไทยเสียงชีวิต 2 คน และบาดเจ็บอีก 8 คน "ถือเป็นเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อแรงงานไทยมากที่สุดนับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ขัดแย้งรุนแรงระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน" นายธานีกล่าวว่า ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ความรุนแรงในอิสราเอลและปาเลสไตน์ สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงเทลอาวีฟได้ประกาศเตือนคนไทยให้เพิ่มความระมัดระวัง และได้ประสานกับหัวหน้าแรงงานไทยในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศอิสราเอลให้ติดตามผลกระทบอย่างใกล้ชิดมาโดยตลอด ปัจจุบันมีแรงงานไทยอยู่ในอิสราเอลประมาณ 25,000 คน ส่วนใหญ่อยู่ในชุมชนและนิคมการเกษตร ในจำนวนนี้เป็นแรงงานไทยที่ทำงานอยู่ใกล้กับฉนวนกาซาประมาณ 4,000 คน สำหรับผู้เสียชีวิต 2 ราย สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟอยู่ระหว่างการติดตามความคืบหน้าเรื่องการส่งผู้เสียชีวิตกลับไทย โดยประสานงานกับบริษัทขนส่งศพอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดได้รับแจ้งว่าจะดำเนินการทันทีหลังจากสถาบันนิติเวชของอิสราเอลอนุมัติให้นำศพออกจากสถาบันได้ โดยคาดว่าจะดำเนินการในวันที่ 26 พ.ค. ทั้งนี้ แรงงานทั้งสองรายมีประกันสุขภาพจึงไม่มีค่าใช้จ่ายใด ๆ ในการทำศพและส่งศพ และขณะนี้สถานทูตกำลังติดตามเรื่องสิทธิประโยชน์ รวมทั้งเงินชดเชยสำหรับผู้ที่เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บจากสถาบันประกันแห่งชาติของอิสราเอล และทางครอบครัวจะได้รับเงินจากกองทุนเพื่อช่วยเหลือคนหางานไปทำงานในต่างประเทศของกระทรวงแรงงานด้วย นายธานีกล่าว สำหรับผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ 8 ราย ได้รับการรักษาและออกจากโรงพยาบาลแล้ว 7 ราย อีก 1 รายยังอยู่ในโรงพยาบาล โฆษก กต. ยังได้รายงานปฏิกิริยาของทางการอิสราเอลต่อการเสียชีวิตของแรงงานไทยด้วยว่า เมื่อวันที่ 19 พ.ค. นายเนทันยาฮู นายกฯ อิสราเอล ได้บรรยายสรุปสถานการณ์ความไม่สงบต่อคณะทูตานุทูตในอิสราเอล โดยการบรรยายเขาได้กล่าวแสดงความเสียใจต่อเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงเทลอาวีฟ ที่มีแรงงานไทยเสียชีวิตในเหตุการณ์นี้ "ทั้งนี้ น.ส. พรรณนิภา จันทรารมย์ เอกอัครราชทูตไทย ได้ใช้โอกาสนี้กล่าวกับนายกฯ อิสราเอลโดยตรงว่าขอทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและย้ำให้อิสราเอลช่วยดูแลรักษาความปลอดภัยของแรงงานไทย ซึ่งนายเนทันยาฮูได้มอบหมายให้ทุกหน่วยงานในพื้นที่ให้ความสำคัญอย่างเต็มที่ในการดูแลพลเรือนทั้งหมดในพื้นที่รวมถึงแรงงานไทย" นอกจากนี้เมื่อวันที่ 20 พ.ค. รัฐบาลอิสราเอลได้ตีพิมพ์ข้อความแสดงความเสียใจในนามนายกรัฐมนตรีอิสราเอล รัฐบาลอิสราเอลและประชาชนอิสราเอลต่อการเสียชีวิตของแรงงานไทยทั้งสองรายในหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น 2 ฉบับอีกด้วย และล่าสุด สถานทูตได้รับแจ้งจากแรงงานในพื้นที่ว่า ทางการอิสราเอลได้จัดส่งบังเกอร์เคลื่อนที่ไปยังนิคมอุตสาหกรรมเกษตรที่มีแรงงานไทยทำงานอยู่เพิ่มเติม โฆษก กต. แสดงภาพหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นอิสราเอลที่ลงข้อความแสดงความเสียใจในนามรัฐบาลอิสราเอลต่อการเสียชีวิตของแรงงานไทย (ข้อความในกรอบสีแดง) นายธานีกล่าวเพิ่มเติมว่าล่าสุดวันนี้ (21 พ.ค.) นายโรเวน ริฟลิน ประธานาธิบดีอิสราเอลได้สนทนาทางโทรศัพท์ผ่านล่ามของสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟ กับภรรยาของแรงงานไทยที่เสียชีวิต ได้แก่ น.ส.เรือนรัตน์ แซ่ลี้ ภรรยานายวีรวัฒน์ และ น.ส.อรทัย ภรรยานายสิขรินทร์ โดยประธานาธิบดีได้กล่าวแสดงความเสียใจกับครอบครัวและขอให้ดวงวิญญาณของผู้เสียชีวิตทั้งสองรายไปสู่สุขคติ รวมทั้งขอนำส่งการแสดงความเสียใจและความปรารถนาดีของเขา ตลอดจนรัฐบาลอิสราเอลและประชาชนชาวอิสราเอลไปยังพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัฐบาลไทย และประชาชนชาวไทย ซึ่งเป็นมิตรที่ดีของอิสราเอล ประธานาธิบดีอิสราเอลยังได้ให้คำมั่นว่าจะอำนวยความสะดวกเรื่องการส่งศพแรงงานไทยและดูแลให้ครอบครัวผู้เสียชีวิตได้รับเงินชดเชยตามสิทธิประโยชน์จากอิสราเอลด้วย โฆษก กต.รายงานว่า น.ส.เรือนรัตน์และ น.ส.อรทัยได้แสดงความขอบคุณที่ประธานาธิบดีริฟลินได้สละเวลาพูดคุยและแสดงความเสียใจต่อครอบครัวผู้เสียชีวิต นอกจากแรงงานไทยแล้ว นายธานีกล่าวว่าเจ้าหน้าที่สถานทูตยังได้ติดต่อกับผู้ประสานงานของกลุ่มนักศึกษาไทยที่เข้าร่วมการศึกษาด้านพืชศาสตร์จำนวน 80 คน ทราบว่าทุกคนปลอดภัยดี "ขณะนี้ กต.อยู่ระหว่างการเตรียมแผนอพยพคนไทยออกจากอิสราเอลหากมีความจำเป็นต่อไป โดยในชั้นนี้มีคนไทย 5 คนแสดงความประสงค์กลับไทย โดยสถานทูตได้จัดเที่ยวบินนำคนไทยกลับในวันที่ 25 พ.ค. และหากมีแรงงานไทยต้องการย้ายออกจากพื้นที่อันตราย สถานทูตยินดีช่วยประสานงานให้ ซึ่งล่าสุดได้ย้ายแรงงานไทย 9 คน ออกไปยังพื้นที่ปลอดภัย ห่างจากพรมแดนประมาณ 3 กม." นายธานีกล่าว ภรรยาของหนึ่งในแรงงานไทยที่เสียชีวิตจากเหตุรุนแรงในอิสราเอลสนทนาทางโทรศัพท์กับประธานาธิบดีอิสราเอลผ่านล่าม ท่าทีจากทั้งสองฝ่าย คณะรัฐมนตรีด้านความมั่นคงของอิสราเอลลงมติ "ยอมรับข้อเสนอแนะอย่างเป็นเอกฉันท์" สำหรับการหยุดยิงโดยระบุว่า "สถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในพื้นที่จะเป็นตัวกำหนดความต่อเนื่องของประกาศหยุดยิงนี้" เบนนี แกนซ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของอิสราเอลกล่าวผ่านทวิตเตอร์ว่าปฏิบัติการในฉนวนกาซาทำให้อิสราเอลได้เปรียบทางการทหารอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน เจ้าหน้าที่ของกลุ่มฮามาสบอกกับสำนักข่าวเอพีว่าการหยุดยิงที่ประกาศโดยอิสราเอลถือเป็น "ชัยชนะ" ของชาวปาเลสไตน์และความพ่ายแพ้ของนายกรัฐมนตรีเนทันยาฮู ไม่นานหลังจากการหยุดยิงเริ่มขึ้นในเวลา 02.00 น. ของวันที่ 21 พ.ค. ตามเวลาท้องถิ่น ชาวปาเลสไตน์จำนวนมากพากันออกไปเฉลิมฉลองบนท้องถนน มีการประกาศผ่านเครื่องขยายเสียงของมัสยิดว่า "นี่คือชัยชนะของการต่อต้านอันประสบความสำเร็จของปฏิบัติการ 'ดาบแห่งเยรูซาเล็ม' (Sword of Jerusalem)" แต่บาเซม นาอิม จากสภาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของฮามาสบอกกับบีบีซีว่าเขาไม่เชื่อว่าการสงบศึกชั่วคราวจะคงอยู่ได้นาน "หากปราศจากความยุติธรรมต่อชาวปาเลสไตน์ หากไม่หยุดการรุกรานของอิสราเอล และการสังหารโหดของอิสราเอลต่อประชาชนของเราในเยรูซาเล็ม การประกาศหยุดยิงก็จะเปราะบาง" เขากล่าว ระบบป้องกันการโจมตีทางอากาศ "ไอเอิร์นโดม" ของอิสราเอลสกัดจรวดจากฝั่งปาเลสไตน์ไว้ตลอดคืน ไบเดนว่าอย่างไร ประธานาธิบดีโจ ไบเดนของสหรัฐฯ กล่าวชื่นชมนายเนทันยาฮูระหว่างการสนทนาทางโทรศัพท์หลังจากมีการประกาศข้อตกลงหยุดยิง "สหรัฐฯ สนับสนุนสิทธิของอิสราเอลอย่างเต็มที่ในการปกป้องตนเองจากการโจมตีด้วยจรวดโดยไม่เลือกปฏิบัติจากกลุ่มฮามาสและกลุ่มก่อการร้ายอื่น ๆ ในฉนวนกาซาที่คร่าชีวิตเหยื่อผู้บริสุทธิ์ในอิสราเอล" นายไบเดนกล่าว นายไบเดินเปิดเผยว่านายกฯ อิสราเอลแสดงความขอบคุณสหรัฐฯ ที่ให้การสนับสนุนระบบป้องกันการโจมตีทางอากาศ ที่เรียกว่า "ไอเอิร์นโดม" (Iron Dome) "ซึ่งประเทศของเราพัฒนาร่วมกันและช่วยชีวิตพลเมืองอิสราเอลนับไม่ถ้วนทั้งอาหรับและยิว" "ผมขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อครอบครัวชาวอิสราเอลและชาวปาเลสไตน์ที่สูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก และผมหวังว่าผู้บาดเจ็บจะฟื้นตัวและหายจากอาการบาดเจ็บได้ในเร็ววัน" เขากล่าว ประธานาธิบดีไบเดนกล่าวว่าสหรัฐฯ "ยังคงมุ่งมั่นที่จะทำงานร่วมกับสหประชาชาติ" ในการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่ฉนวนกาซาและฟื้นฟูสภาพหลังการสู้รบ ซึ่งกระบวนการเหล่านี้จะต้องทำ "โดยร่วมมืออย่างเต็มที่กับหน่วยงานปาเลสไตน์ ไม่ใช่กับกลุ่มฮามาส" นายไบเดนยังกล่าวชื่นชมประธานาธิบดีอับเดล ฟัตตาห์ อัล ซีซี ของอียิปต์ที่มีบทบาทสำคัญในข้อตกลงหยุดยิงก่อนที่การต่อสู้นี้จะกลายเป็นความขัดแย้งที่มีชีวิตมนุษย์เป็นเดิมพัน ประธานาธิบดีอัลซีซีของอียิปต์กล่าวว่าเขาได้รับโทรศัพท์ของนายไบเดนอย่าง "มีความสุขที่สุด" และเสริมว่าพวกเขาได้ "แลกเปลี่ยนวิสัยทัศน์เกี่ยวกับการบรรลุสูตรสำเร็จที่จะทำให้ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและฉนวนกาซาในปัจจุบันสงบลง"
|
การหยุดยิงระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาสซึ่งเป็นกลุ่มติดอาวุธของปาเลสไตน์มีผลบังคับใช้แล้วช่วงเช้าวันนี้ (21 พ.ค.) นำไปสู่การยุติการยิงจรวดและทิ้งระเบิดโจมตีกันตลอด 11 วันที่ผ่านมา ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 240 คน ส่วนใหญ่อยู่ในฉนวนกาซา
|
international-43475155
|
https://www.bbc.com/thai/international-43475155
|
สภาล่างอังกฤษเรียก ซัคเคอร์เบิร์ก เข้าให้การ กรณีละเมิดข้อมูลส่วนตัวผู้ใช้เฟซบุ๊ก
|
เดเมียน คอลลินส์ ประธาน กมธ. สอบสวนเรื่องข่าวลวง กล่าวว่า ที่ผ่านมา ผู้บริหารของเฟซบุ๊กคนอื่น ๆ นอกจาก มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ได้เข้ายื่นหลักฐานแล้ว แต่เมื่อคณะกรรมาธิการถามว่าบริษัทต่าง ๆ ได้ข้อมูลมากจากเฟซบุ๊กได้อย่างไร และบริษัทเหล่านั้นได้ข้อมูลไปโดยได้รับคำยินยอมจากเฟซบุ๊กหรือไม่ เจ้าหน้าที่ของบริษัทก็แสดงท่าทีว่าประเด็นนี้ไม่มีความเสี่ยงอะไร และทำให้คณะกรรมาธิการเข้าใจผิด นายคอลลินส์ ระบุว่า ตอนนี้ อยากจะได้ยินจากผู้บริหารที่มีความน่าเชื่อถือพอ และหวังว่าจะเป็น มาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก โดยวางกรอบเวลาให้นายซัคเคอร์เบิร์กตอบรับภายในวันที่ 26 มี.ค. ขณะนี้ นางเอลิซาเบธ เดนแฮม กรรมาธิการด้านสารสนเทศสหราชอาณาจักร กำลังดำเนินการสอบสวนข้อกล่าวหาว่า เคมบริดจ์ อนาลิติกา ใช้ข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้เฟซบุ๊กกว่า 50 ล้านคน ในการชักจูงผลการเลือกตั้ง ปธน. สหรัฐ เมื่อปี 2016 เธอบอกต่อว่าจะยื่นขอหมายค้นที่ทำการของบริษัทเคมบริดจ์ อนาลิติกา ซึ่งปฏิเสธการกระทำผิด และบอกว่าบริษัททำตามขั้นตอนกระบวนการนำข้อมูลมาและการนำไปใช้ของเฟซบุ๊กทุกประการ คริสโตเฟอร์ วีลี อดีตพนักงานบริษัท เคมบริดจ์ อนาลิติกา อ้างว่า ทางบริษัทได้ข้อมูลส่วนตัวมหาศาลจาการที่ผู้ใช้กดเล่นแอปพลิเคชัน "This is Your Digital Life" ซึ่งสร้างโดย ดร.อเล็กซานร์ โคแกน ล่าสุด นายโคแกน ได้ตอบตกลงที่จะให้ทางการสอบสวน ในขณะที่นายวิลี ไม่ตอบตกลง ราคาหุ้นของเฟซบุ๊กตกต่อเนื่องอีก 3 เปอร์เซ็นต์ ในวันที่ 20 มี.ค. หลังจากตกลงมา 6.7 เปอร์เซ็นต์ เมื่อวันที่ 19 ซึ่งทำให้มูลค่าของบริษัทหายไปเกือบ 3.7 หมื่นล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ
|
คณะกรรมาธิการสอบข้อเท็จจริงของสภาสามัญชนของอังกฤษ เรียกตัว มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ผู้ก่อตั้งและซีอีโอเฟซบุ๊ก เข้าให้หลักฐานกรณีบริษัทที่ปรึกษาด้านการเมือง เคมบริดจ์ อนาลิติกา (Cambridge Analytica) ถูกกล่าวหานำข้อมูลผู้ใช้เฟซบุ๊กกว่า 50 ล้านคนไปใช้เพื่อชักจูงผลโหวตการเลือกตั้ง ปธน. สหรัฐฯ เมื่อปี 2016
|
international-53958657
|
https://www.bbc.com/thai/international-53958657
|
ฟาร์มเพาะเลี้ยงสาหร่ายทะเลขยายตัว เพื่อผลิตอาหารและเชื้อเพลิงแห่งอนาคต
|
น้ำเย็นรอบหมู่เกาะแฟโรเหมาะสำหรับการเลี้ยงสาหร่ายทะเล "ที่นี่ลมค่อนข้างแรง" โอลาเวอร์ เกรกาเซน กล่าว "เดี๋ยวก็รู้ว่าเราจะเข้าไปใกล้เรือเก็บเกี่ยวผลผลิตได้มากแค่ไหน" ไม่นาน เราก็ไปถึงจุดกำบังที่เป็นภูเขาสูงชัน ส่วนบนท้องทะเลก็มีทุ่นหลายร้อยอันลอยอยู่เต็มไปหมด "ทุ่นเหล่านี้ยึดเชือกแนวตั้งไว้" นายเกรการ์เซน กรรมการผู้จัดการของบริษัทโอเชียนเรนฟอเรสต์ (Ocean Rainforest) ผู้ผลิตสาหร่ายทะเล อธิบาย "ทุก ๆ หนึ่งเมตร จะมีเชือกห้อยอยู่ ใช้เป็นที่เลี้ยงสาหร่ายทะเล" ปะทะคลื่น แท่นเพาะเลี้ยงสาหร่ายนี้ถูกสมอยึดไว้กับท้องทะเล ประกอบด้วยเชือกที่มีลักษณะเหมือนโครงตาข่ายยาว 50,000 เมตร ออกแบบมาเพื่อต้านทานต่อคลื่นลมแรงในทะเล "โครงสร้างหลักอยู่ลึกลงไป 10 เมตร การทำเช่นนั้นช่วยให้เราเลี่ยงการปะทะกับคลื่นลูกใหญ่ที่สุดได้" เขาเล่า แม้ว่าจะหมู่เกาะแฟโรของเดนมาร์กจะตั้งอยู่ในแอตแลนติกเหนือที่อยู่ห่างไกล นายเกรการ์เซน บอกว่า น่านน้ำที่ลึกจะอุดมไปด้วยสารอาหารและเหมาะสำหรับการเลี้ยงสาหร่ายทะเล นอกจากนี้ยังมีอุณหภูมิคงที่ระหว่าง 6-11 องศาเซลเซียส โอเชียน เรนฟอเรสต์ (Ocean Rainforest) มีแผนเพิ่มการผลิตเป็นสองเท่า บริษัทของเขาเป็นหนึ่งในบริษัทผลิตสาหร่ายทะเลจำนวนมากที่ผุดขึ้นมาทั่วยุโรปและอเมริกาเหนือ สืบเนื่องมาจากปริมาณความต้องการสาหร่ายทะเลจากอุตสาหกรรมอาหารและอุตสาหกรรมอื่น ๆ "คุณมีชีวมวลที่สามารถใช้เป็นอาหารคนและอาหารสัตว์ได้ และใช้แทนผลิตภัณฑ์ที่ใช้ฟอสซิลอย่าง วัสดุในการบรรจุหีบห่อที่ทำจากพลาสติก" เขากล่าว เครื่องจักร สาหร่ายทะเลเป็นสาหร่ายที่โตเร็ว พวกมันใช้พลังงานแสงอาทิตย์ และดูดซึมสารอาหารและคาร์บอนไดออกไซด์จากน้ำทะเล นักวิทยาศาสตร์ บอกว่า สาหร่ายทะเลอาจช่วยต่อสู้กับปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศโลกได้ และช่วยชดเชยการปล่อยคาร์บอนได้ทั้งหมด โอเชียน เรนฟอเรสต์ เพิ่งได้รับเงินสนับสนุนจากกระทรวงพลังงานของสหรัฐฯ เมื่อไม่นานนี้ เพื่อสร้างระบบที่คล้ายคลึงกันนี้ในแคลิฟอร์เนีย ซึ่งต้องการพัฒนาการผลิตสาหร่ายทะเลระดับอุตสาหกรรมสำหรับใช้เป็นเชื้อเพลิงชีวภาพในอนาคต บนเรือเก็บเกี่ยวผลผลิต คนขับเรือควบคุมแขนกลที่ยกเชือกขึ้นมาจากน้ำ สาหร่ายถูกตัดออก และนำไปใส่ในถังเก็บ มันเป็นงานที่ใช้เวลาไม่นาน แต่ดูวุ่นวาย จากนั้นเชือกจะถูกหย่อนกลับลงไปเลี้ยงสาหร่ายใหม่ คาดว่าปีนี้จะเก็บเกี่ยวผลผลิตสาหร่ายทะเลได้ราว 200 ตัน โอเชียน เรนฟอเรสต์ (Ocean Rainforest) เพิ่งได้รับเงินทุนจากกระทรวงพลังงานของสหรัฐฯ แต่ทางบริษัทกำลังขยายตัว และมีแผนจะเพิ่มกำลังการผลิตให้ได้เป็นสองเท่าภายในปีนี้ นายเกรการ์เซน บอกฉันว่า มันยังไม่ได้กำไรหรอก แต่ก็คงอีกไม่นาน "เราเห็นได้ว่า เราใช้เครื่องจักรเข้ามาทำมันได้ เราผลิตมันได้ในปริมาณมากและมีประสิทธิภาพ" เขากล่าว "มีบริษัทไม่กี่แห่งที่ทำที่ได้กำไรจากการทำเช่นนี้" เครื่องสำอางและยา สาหร่ายทะเลจำเป็นต้องผ่านการแปรรูปอย่างรวดเร็ว ที่โรงงานขนาดเล็กแห่งหนึ่งในหมู่บ้านคาล์ดบากของหมู่เกาะแฟโร เครื่องจักรกำลังทำความสะอาดผลผลิตที่เก็บมาได้ บางส่วนถูกทำให้แห้ง และส่งไปให้ผู้ผลิตอาหาร ส่วนที่เหลือถูกนำไปหมักและส่งไปให้ผู้ผลิตอาหารสัตว์ สาหร่ายทะเลถูกใช้ในการผลิตสารปรุงแต่งอาหาร สิ่งทอ และเชื้อเพลิง สาหร่ายทะเลที่ถูกเพาะเลี้ยงในฟาร์มส่วนใหญ่ถูกบริโภคเป็นอาหาร แต่สารสกัดถูกนำไปใช้ในหลากหลายผลิตภัณฑ์ ไม่ว่าจะเป็นยาสีฟัน เครื่องสำอาง ยา หรืออาหารสัตว์ ผลิตภัณฑ์เหล่านี้มักจะมีส่วนผสมของไฮโดรคอลลอยด์ (hydrocolloid) ที่มาจากสาหร่ายทะเล ซึ่งมีคุณสมบัติเพิ่มความหนืดหรือความข้น นอกจากนี้กำลังมีผลิตภัณฑ์อีกจำนวนมากที่ต้องการใช้สารสกัดจากสาหร่ายทะเล โดยมีบริษัทหลายแห่งที่กำลังผลิตวัสดุที่จะนำมาใช้แทนสิ่งทอและพลาสติก รวมถึงบรรจุภัณฑ์ที่ย่อยสลายได้ แคปซูลน้ำ และหลอดดูด การผลิตสาหร่ายทะเลกำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติระบุว่า ในช่วงปี 2005-2015 ปริมาณการผลิตเพิ่มเป็นสองเท่า เกิน 30 ล้านตันต่อปี ธุรกิจการผลิตสาหร่ายทะเลมีมูลค่ามากกว่า 6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ทั่วโลก หรือราว 1.85 แสนล้านบาท แต่มีการผลิตจำนวนไม่มากอยู่นอกภูมิภาคเอเชีย ซึ่งเป็นแหล่งทำฟาร์มสาหร่ายทะเลมายาวนาน แต่ส่วนใหญ่จะใช้แรงงานคน "ใช้เครื่องจักรมากขึ้น" "ต้นทุนค่าแรงในยุโรปสูงมาก และนั่นเป็นส่วนสำคัญของการผลิต" แอนเนตเตอ บรูห์น ซึ่งเป็นนักวิทยาศาสตร์อาวุโสที่มหาวิทยาลัยออร์ฮูส (Aarhus University) ในเดนมาร์ก อธิบาย "จำเป็นต้องทุ่มเทความพยายามในการใช้เครื่องจักรเพิ่มมากขึ้น การทำฟาร์มให้เกิดผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ เธอบอกว่า "ผลตอบแทนจำเป็นต้องเพิ่มสูงขึ้น และต้นทุนจำเป็นต้องต่ำลง" แต่ระบบการทำฟาร์มไม่สามารถลอกเลียนแบบกันได้ง่าย ๆ "พื้นที่ต่างกันในน่านน้ำที่ต่างกัน จำเป็นต้องมีการดัดแปลง ไม่มีคำตอบตายตัวที่ใช้ได้กับทุกอย่าง" นางบรูห์น กล่าว สาหร่ายทะเลใช้คาร์บอนไดออกไซด์จากทะเล อย่างไรก็ตาม เธอหวังว่า จะมี "หลายพื้นที่ที่ทำสำเร็จ" นั่นคือนวัตกรรมที่ ซินเทฟ (Sintef) กำลังพยายามทำ กลุ่มวิจัยวิทยาศาสตร์ของนอร์เวย์กำลังพยายามหาเทคโนโลยีใหม่ในการทำให้การทำฟาร์มสาหร่ายทะเลมีประสิทธิภาพมากขึ้น "ปัจจุบัน สาหร่ายทะเลส่วนใหญ่ถูกใช้เป็นอาหาร แต่ในอนาคต เราต้องการใช้มันเป็นอาหารปลา ปุ๋ย ก๊าซ ชีวภาพ เราต้องการสาหร่ายทะเลปริมาณมหาศาลและเราจำเป็นต้องผลิตให้เร็วขึ้น" ซีเยียล ฟอร์บอร์ด นักวิทยาศาสตร์ที่ทำการวิจัย กล่าว ห้องปฏิบัติการแห้ง เครื่องจักรต้นแบบอย่างเช่น "เครื่องปั่นสาหร่ายทะเล" จะช่วยนำต้นอ่อนสาหร่ายทะเลจากสายพานไปพันไว้รอบเชือก เตรียมพร้อมนำไปหย่อนลงในทะเล อีกแนวคิดหนึ่งคือ สโปก (SPoke ย่อมาจาก Standardized Production of Kelp หรือ การผลิตสาหร่ายทะเลที่ได้มาตรฐาน) ประกอบด้วยกระสวยเลี้ยงสาหร่ายทรงกลมสำหรับนำไปติดไว้บนเชือกในทะเล มันถูกออกแบบมาเพื่อให้หุ่นยนต์สามารถจับเคลื่อนย้ายซี่ลวดที่มีลักษณะคล้ายวงล้อ ไม่ว่าจะติดตั้งบนสายพานที่ลำเลี้ยงต้นอ่อนของสาหร่าย หรือใช้ในการเก็บเกี่ยวสาหร่าย "เราสร้างแล้วหนึ่งแขนพร้อมกับหุ่นยนต์หนึ่งตัวที่ขยับเดินหน้าถอยหลัง มันถูกทดลองในห้องปฏิบัติการแห้งแล้ว" นางฟอร์บอร์ด อธิบาย แต่ยังต้องมีการลงทุนเพิ่มเติม การเลี้ยงสาหร่ายทะเลบนบก ในบ่อและถังเลี้ยงสาหร่ายทะเลทางตอนเหนือของโปรตุเกสหลายแห่ง กำลังเพาะเลี้ยงสาหร่ายทะเลบนบก บริษัทอัลกาพลัส (AlgaPlus) เป็นหนึ่งในนั้น "มันควบคุมได้ดีกว่ามาก" เฮเลนา อาบริว กรรมการผู้จัดการซึ่งคิดว่าการทำฟาร์มบนบกมีข้อดีมากกว่าการทำฟาร์มในทะเล "เรารักษาระดับอุณหภูมิและทุกอย่างภายในถังได้" เธอกล่าว "คุณผลิตได้ตลอดทั้งปี" นางอาบริวบอกว่า ไม่จำเป็นต้องเพิ่มสารอะไรเข้าไป ไม่ต้องใช้ปุ๋ย นางอาบริว ร่วมก่อตั้งบริษัทนี้ หลังจากใช้เวลา 5 ปี ทำงานเป็นนักชีววิทยาทางทะเลในเมืองอะโซร์สของโปรตุเกส สาหร่ายทะเลที่มีคุณค่าสูงและมีขนาดเล็กถูกผลิตส่งให้แก่บริษัทอาหาร ผู้ผลิตเครื่องสำอาง และภัตราคารหรูหลายแห่ง นวัตกรรม น้ำทะเลจากลากูนริมฝั่งทะเลไหลเข้ามายังบ่อเลี้ยงปลา จากนั้น มันจะถูกสูบผ่านระบบกรองเข้าไปเก็บในถังเพาะเลี้ยงสาหร่ายทะเล นอกจากนี้ยังมีที่เพาะต้นอ่อนสาหร่ายด้วย เธอบอกว่า "เราต้องคิดค้นขึ้นมาใหม่หมด" น้ำเหล่านี้อุดมไปด้วยไนโตรเจน ซึ่งสาหร่ายดูดซึมไปเป็นอาหาร เลียนแบบสภาพแวดล้อมในธรรมชาติ "เราไม่จำเป็นต้องเพิ่มสารอะไรเข้าไป ไม่ต้องใช้ปุ๋ย เราใช้น้ำจากการเลี้ยงปลาในการเลี้ยงสาหร่ายทะเลของเรา" เธอเล่า อัลกาพลัส ผลิตสาหร่ายทะเลขนาดเล็กที่มีคุณค่าสูง นางอาบริว ไม่คิดว่า เรื่องที่ดินจะเป็นข้อจำกัด เธอบอกว่า ที่ดินที่เคยใช้ทำนาเกลือและฟาร์มเลี้ยงปลาเดิมสามารถนำมาใช้เลี้ยงสาหร่ายทะเลได้ โดยชี้ว่า มีที่ดินจำนวนมหาศาลที่เอามาใช้ทำฟาร์มได้ทั้งในโปรตุเกส ฝรั่งเศส อิตาลี กรีซ และตุรกี มีการทำฟาร์มสาหร่ายทะเลบนบกในแคนาดาและแอฟริกาใต้ด้วย โดยสาหร่ายขนาดเล็กถูกเพาะเลี้ยงในระบบถัง แต่ยังมีความท้าทายอีกหลายอย่าง "ปัญหาหลักก็คือ ต้นทุนพลังงาน การทำงานโดยใช้ถังจำนวนมาก คุณต้องสูบน้ำและเติมอากาศเพื่อให้น้ำไหลเวียนอยู่ตลอด" นางอาบริว กล่าว ขณะนี้ ทางบริษัทไม่สามารถอยู่รอดได้ด้วยการพึ่งยอดขายเพียงอย่างเดียว แต่นางอาบริว เชื่อว่า ตลาดสาหร่ายทะเลจะเติบโตขึ้นต่อไป "มันเป็นแนวโน้มที่มาแรง" เธอกล่าว "แต่ละปี มีบริษัทเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ มีบริษัทหน้าใหม่เข้ามาในทุกขั้นตอนของสายการผลิตนี้"
|
ลมและฝนกำลังตกลงมา ขณะที่เรือยนต์กำลังแล่นผ่านฟยอร์ดแห่งหนึ่งในหมู่เกาะแฟโร
|
features-47224577
|
https://www.bbc.com/thai/features-47224577
|
วาเลนไทน์ : 5 ภาษาสื่อรักมัดใจคนรัก
|
แกรี แชปแมน ผู้ให้คำปรึกษาเรื่องชีวิตคู่ และผู้เขียนหนังสือชื่อดังเรื่อง The Five Love Languages: How to express heartfelt commitment to your mate บอกว่า เพราะแต่ละคนมีมุมมองความรักที่แตกต่างกัน ทำให้อีกฝ่ายอาจไม่เข้าใจ จนเกิดเป็นปัญหาในความสัมพันธ์ขึ้น แชปแมน แนะนำ 5 วิธีในการสัมผัสและแสดงความรักต่อคู่รัก ที่เขาเรียกว่า "ภาษารัก" ซึ่งได้แก่ : 1. คำพูดที่เสริมสร้างความสัมพันธ์กับคู่ของคุณ เช่น การกล่าวคำขอบคุณ หรือใช้คำพูดบอกรัก 2. ให้ของขวัญแทนใจที่สื่อว่าคุณคิดถึงผู้รับอยู่ 3. ให้บริการ โดยการปรนนิบัติหรือทำสิ่งที่แฟนคุณชอบ เช่น ทำอาหารให้ทาน 4. ใช้เวลาคุณภาพร่วมกัน โดยให้ความสนใจคู่ของคุณอย่างเต็มที่ 5. สัมผัสทางกาย เช่น การจับมือ โอบกอด และร่วมรัก ซึ่งล้วนเป็นการสื่อถึงความรักต่อกัน คุณอาจสนใจเรื่องเหล่านี้
|
การมีความรักกับใครสักคนอาจไม่ใช่เรื่องยาก แต่การจะรักษาความรักให้หวานชื่นอยู่เสมอนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย บีบีซีมีคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญในการเติมเต็มความหวานเพื่อให้ชีวิตคู่ของคุณไม่จืดจางลง
|
thailand-47398409
|
https://www.bbc.com/thai/thailand-47398409
|
เลือกตั้ง 2562 : นโยบายการศึกษาพรรคไหนจะทำให้ฝันของเด็กเหล่านี้เป็นจริง
|
ความฝันวัยเยาว์ กับ การเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพ บีบีซีไทยติดตามชีวิตในวัยเรียนของเด็กประถมสามคนที่แม้จะมีฐานะแตกต่างกัน แต่ความฝันเรื่องการศึกษาไม่ต่างกัน และคุยกับนักวิชาการว่าจุดอ่อนของระบบการศึกษาไทยนั้นอยู่ที่ใด และนโยบายของพรรคการเมืองต่าง ๆ ต่อการศึกษานั้นเป็นอย่างไร อ่านหนังสือในแสงตะเกียง เบลที่บ้านหลังเก่า สุนัขสภาพมอมแมมหลายตัวเห่าเสียงดังต้อนรับเหล่าผู้มาเยือนกระต๊อบริมคูน้ำใน อ.แสวงหา จ.อ่างทอง แห่งนี้ทันที ฝูงไก่แจ้พากันวิ่งไปหาอาหารใกล้ท้องนาสีเขียว ส่วนเจ้าแมวทั้งสามตัวยังคงนอนอย่างสงบพลางชายตามองเท่านั้น สัตว์เลี้ยงเหล่านี้ต่างอาศัยอยู่ใต้ชายคาบ้านที่ประกอบขึ้นอย่างง่าย ๆ ด้วยไม้และสังกะสีเขรอะสนิมของ เบล - จิรัฐติกาล ช่างบรรจง นักเรียนชั้น ป.6 รร.อนุบาลแสวงหา กับตาและยายอายุเกือบ 80 ปี "ตอนนั้นบ้านหนูอยู่ที่กระท่อม ไม่มีไฟฟ้าใช้ ต้องใช้ตะเกียง เวลาฝนตกก็จะไม่สามารถจุดตะเกียงได้ ทางเข้าก็ลำบาก" เบลเล่าถึงชีวิตเมื่อประมาณ 2 ปีก่อนให้บีบีซีไทยฟังอย่างด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ "แต่พอได้เงินบริจาคจากผู้ใจบุญก็นำมาสร้างบ้าน มีไฟฟ้าใช้ มีน้ำใช้ ไม่ลำบากเหมือนเดิมค่ะ" ปัจจุบัน เบลอาศัยในบ้านหลังใหม่บนพื้นดินที่เช่าจากวัดบ้านเพชรด้วยราคาเดือนละ 15 บาท กับตาผู้ยังชีพโดยการเลี้ยงเป็ด ไก่ รวมถึงเก็บขยะและเศษเหล็กขายเป็นประจำ ด้านยายยังคงดึงดันที่จะอยู่ดูแลกระต๊อบริมคูน้ำเช่นเดิม ส่วนเงินประมาณหนึ่งแสนบาทที่เหลือจากการสร้างบ้านนั้น ตาตั้งใจเก็บไว้เป็นทุนการศึกษาในระดับมัธยมปลายและอุดมศึกษาของเบลในอนาคตหลังจากเธอเรียนจบการศึกษาภาคบังคับในระดับชั้น ม.3 ที่ รร.อนุบาลแสวงหา ซึ่งเป็นโรงเรียนขยายโอกาสของภาครัฐที่เด็ก ๆ ทั้ง 340 คน ไม่ต้องเสียค่าเล่าเรียนและค่าอาหารกลางวัน "ตอนนั้นเคยสอบได้ที่ 7 ตอนนี้เลื่อนขึ้นมาสอบได้ที่ 4 เพราะมีไฟฟ้าที่ทำให้อ่านหนังสือได้และมีความสะดวกสบาย เวลาฝนตกก็ยังอ่านหนังสือและทำการบ้านได้" เบลซึ่งชอบเรียนหนังสือโดยเฉพาะวิชาภาษาไทยและวิชาคณิตศาสตร์กล่าวอย่างภาคภูมิใจถึงผลการเรียนของตัวเองเมื่อเทียบกับเพื่อนร่วมชั้น ป.6 ทั้งหมด 36 คน เมื่อถามว่าอยากให้การศึกษาของไทยพัฒนาอย่างไร เบลตอบบีบีซีไทยว่า "อยากให้ครูสอนแบบเข้าถึง ให้เด็กเข้าใจทุกคน" นอกจากนี้ เธอยังอยากเพิ่มทักษะภาษาอังกฤษของตัวเอง "เพราะหนูไม่ค่อยเก่ง อ่านได้เป็นบางคำแล้วบางทีก็ไม่เข้าใจความหมายค่ะ" และแม้ว่าตอนนี้เบลจะยังไม่มีอาชีพในฝันที่ชัดเจน แต่เธอบอกว่า "ถ้าหนูมีงานทำแล้วหนูจะตอบแทนบุญคุณตาค่ะ คุณตาเป็นคนที่ดูแลมาตั้งแต่เด็กเลย เขาเป็นคนที่รักเราและเมตตาต่อเราที่สุด" โตขึ้นอยากเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาล รถสองแถวคันเก่าวิ่งเข้ามาตามซอยแคบที่ขนาบข้างด้วยทุ่งนาสีเขียวและบ้านเรือนหลังเล็กแต่เช้าตรู่ ก่อนจะจอดรับเด็ก ๆ จำนวนหนึ่งรวมถึง ฟ้าใส - ปุณยาพร มิตรมาก นักเรียนหญิงผมสั้นชั้น ป.6 ไปส่งที่ อนุบาลบ้านท่าพระยาจักร โรงเรียนรัฐบาลขนาดใหญ่ที่อยู่ห่างออกไปประมาณหนึ่งกิโลเมตรในตัวเมืองของ อ.อู่ทอง จ.สุพรรณบุรี ฟ้าใสและนักเรียนที่นี่ทุกคนตั้งแต่ชั้นอนุบาลจนถึง ม.3 ไม่จำเป็นต้องเสียค่าเล่าเรียนและค่าอาหารกลางวัน จะมีก็แต่ค่าจ้างครูต่างชาติสำหรับการสอนภาษาอังกฤษเดือนละ 100 บาท และกิจกรรมการเรียนบางส่วนเท่านั้น นอกจากนี้ รร. ยังพัฒนาอย่างรวดเร็วด้วยฝีมือการบริหารและหาทุนทรัพย์ของ ผอ. คนใหม่มาดวัยรุ่นอย่าง ประกฤษ โพธะนัง ที่ทั้งผู้ปกครองและคุณครูต่างชื่นชม และแม้ฟ้าใสไม่เคยเรียนพิเศษมาก่อน แต่ด้วยความขยันหมั่นเพียรตั้งแต่เด็ก เธอจึงเคยคว้าอันดับหนึ่งของจังหวัดในโครงการทดสอบอัจฉริยภาพทางวิชาการ (Center One) วิชาคณิตศาสตร์เมื่อสมัย ป.4 และปัจจุบันก็เป็นหัวหน้าห้องอีกด้วย เธอบอกว่า "ในการเรียนหนูไม่เหนื่อย ถ้ามีผลการเรียนที่ดี อนาคตจะทำงานอะไรก็ดี ดีกว่ามีผลการเรียนไม่ดีแล้วต้องไปทำงานที่เหนื่อย ๆ ในอนาคตค่ะ" "ไอดอลทางการเรียนคือ ผอ.รพ.อู่ทอง ค่ะ ตอนเด็ก ๆ เขาก็ลำบากแต่เขาไม่ย่อท้อ" ฟ้าใสบอกกับบีบีซีไทยด้วยน้ำเสียงเจื้อยแจ้ว "พ่อจะมีเรื่องเล่าจาก ผอ.รพ. คนนี้ เพราะพ่อขับรถให้เขานะคะ แล้วมันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างดีและเกี่ยวกับการศึกษา หนูเห็นว่ามันควรนำมาปฏิบัติต่อไปค่ะ" ซึ่งนี่เองเป็นแรงบันดาลใจให้เธอตั้งมั่นว่าจะเลือกเรียนคณะแพทย์ศาสตร์แล้วเป็น ผอ.รพ. ในอนาคต เมื่อถามว่าคิดอย่างไรกับระบบการศึกษาของไทย ฟ้าใสตอบว่า "หนูอยากให้รัฐบาลส่งเสริมการเรียนมากกว่านี้ ตอนนี้เด็กไทยจะแพ้เรื่องของการศึกษา ถ้าเกิดเราสามารถพัฒนาการศึกษาได้ก็จะส่งผลดีต่อประเทศชาติของเราด้วย" เธอบอกอีกว่าอยากพัฒนาทักษะด้านภาษาอังกฤษมากกว่านี้เพราะยังฟังแล้วไม่เข้าใจเป็นบางคราว ทางด้าน จุฑาทิพย์ พูนเปี่ยม คุณแม่ของฟ้าใสผู้ขายผ้าที่ถักทอขึ้นเองกับมือและทำไร่อ้อย ก็อยากให้การสอนภาษาอังกฤษพัฒนาขึ้นเช่นกัน นอกจากนี้ เธอยังเล่าให้บีบีซีไทยฟังว่า สมัยเด็กต้องดูแลแม่ที่ล้มป่วยจึงไม่มีโอกาสได้เรียนหนังสือสูง ๆ "พอถึง [คราว] ลูก แม้เราไม่ไหว เราก็ต้องไหว …ทำให้ลูกได้หมดถ้าเกิดว่าลูกต้องการอะไร พี่พร้อมสำหรับลูก แม้จะมีปัญหาด้านอื่นบ้างเราก็ต้องแก้กันไป" แชมป์เลขระดับนานาชาติผู้เคยได้ 4 เต็ม 30 "รายการที่อยู่ทางด้านขวามือของผมครับ เป็น World International Mathematical Olympiad ซึ่งมีเด็กเข้ามาแข่งเป็นพันคน และคัดตัวรอบสุดท้ายเหลือเพียง 10 กว่าคน" โอโซน - กิรัชภาส ถาวร นักเรียนชั้น ป.6 ผายมือไปยังถ้วยรางวัลสีขาวซึ่งโดดเด่นมากกว่าชิ้นอื่น ๆ รอบห้องจัดแสดงผลงานของเขา โอโซนเพิ่งคว้าเหรียญทองจากการแข่งขันคณิตศาสตร์ระดับนานาชาติครั้งนี้เมื่อ 30 ธ.ค. ปีที่แล้ว ในกรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย คะแนน 4 เต็ม 30 ในการสอบคณิตศาสตร์ของสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) สมัยอยู่ ป.2 ผลักดันให้เขายิ่งมุ่งมั่นและหลงใหลในตัวเลขมากกว่าเดิม ส่วนเคล็ดลับในการเรียนนั้น โอโซนเปิดเผยว่า "แค่ครูสอนอะไร เราจดแล้วกลับมาอ่านก่อนสอบก็ทำได้แล้วครับ หากเราจดก็จะทำให้เราจำได้ ถ้าจำไม่ได้ ก็จดอีก จดไปเรื่อย ๆ เพราะการจดทำให้สมองเราจำ" ปัจจุบัน โอโซนศึกษาในหลักสูตรภาษาอังกฤษ ของ รร.อัสสัมชัญศรีราชา อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี โรงเรียนเอกชนขนาดใหญ่กว่า 550 ไร่ ร่วมกับเพื่อนร่วมชั้นรวม 25 คน โดยมีคุณครูชาวไทยคอยช่วยเหลือด้านการเรียนขนาบข้างคุณครูชาวต่างชาติที่สอนทั้งวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และ สังคมศาสตร์ เป็นภาษาอังกฤษ นอกจากนี้ โอโซนยังเรียนพิเศษ 5 วันต่อสัปดาห์ ทบทวนบทเรียนทุกคืนก่อนนอน และมักเข้าร่วมการสอบแข่งขันและกิจกรรมต่าง ๆ อีกด้วย "โอโซนชินกับการไปแบบนี้ พลังงานเขามี เขาอยากไปเรียน อยากไปอยู่กับเพื่อน อยากมีกิจกรรมทำนู่นทำนี่" ฉัตรชนก ถาวร คุณแม่ของเขาเล่าให้บีบีซีไทยฟัง "เราก็จะถามโอโซน ไปมั้ยลูก สอบมั้ย ไปก็ไป ไม่อยากก็ไม่ไป แต่คำตอบที่ได้คือไปทุกครั้ง" ส่วนโอโซนบอกด้วยท่าทางสบาย ๆ ว่า "มันก็ไม่เหนื่อยมาก พักครึ่งชั่วโมงหรือ 45 นาทีก็หาย - อย่าใช้คำว่าเหนื่อยครับ เรียกว่าเบื่อมากกว่าเวลาทำ [อ่านหนังสือ] ไปนาน ๆ เบื่อก็จะไปเล่นระนาด แล้วก็กลับมาทำต่อ" สำหรับอาชีพในฝันแล้ว โอโซนอยากเดินตามรอยเท้าของคุณพ่อด้วยการเป็นแพทย์ด้านกระดูกสันหลังแล้วรักษาคนไข้อยู่ที่บ้านเกิด นอกจากนี้ เขายังเสนอแนะความเห็นต่อการศึกษาของไทยด้วยว่า "อยากให้ปรับปรุงเรื่องโรงเรียนในชนบท อยากให้เขาเรียนหลักสูตรภาษาอังกฤษได้ครับ เป็นข้อแรกก่อนจะไปเรื่องอื่นได้ เพราะภาษาอังกฤษเป็นการเปิดประเทศ หากเขาไปต่างประเทศก็นำหลักสูตรกลับมาพัฒนาเมืองไทยต่อไป" การศึกษาไทย เหลื่อมล้ำอย่างไร การศึกษาไทยมีคุณภาพต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศเพื่อนบ้านในกลุ่มอาเซียน (ASEAN) อย่างสิงคโปร์ เวียดนาม และกัมพูชา จากรายงานตามติดเศรษฐกิจไทยฉบับเดือน ม.ค. 2019 ของธนาคารโลก (World Bank) ที่นำผลสอบระดับนานาชาติหลายรูปแบบมาคำนวณ (Harmonized Test Scores) โดยหนึ่งในสาเหตุสำคัญ คือ เด็กส่วนใหญ่ของประเทศไม่ได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพมากเพียงพอ นี่คือความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ปัญหาที่รัฐบาลผู้มาจากการเลือกตั้งในวันที่ 24 มี.ค. นี้ ต้องเผชิญ "ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาในไทยเป็นเรื่องละเอียดอ่อนมาก" ดร.รัตนา แซ่เล้า หญิงสาวนักวิจัยด้านการศึกษาจากมูลนิธิเอเชีย (The Asia Foundation) อธิบายถึงปัญหาดังกล่าวให้บีบีซีไทยฟัง "มันคือ [เด็ก] เข้าถึงการศึกษาแบบไหน เพื่อให้ออกมาเป็นคนแบบไหน - คุณภาพทุกวันนี้มันต่างกันมาก" โดยมีฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมของครอบครัวเป็นตัวแปรสำคัญ การประเมินนักเรียนระดับนานาชาติ หรือ PISA เมื่อปี 2015 ที่จัดขึ้นโดยองค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) ชี้ว่า เด็กไทยจากครอบครัวที่มีฐานะดี 20% แรกสุด ได้คะแนนเฉลี่ย 450 แต้ม ส่วนเด็กไทยจากครอบครัวที่มีรายได้น้อย 20% ล่างสุด ได้คะแนนเฉลี่ย 390 แต้ม ซึ่งความแตกต่างประมาณ 60 คะแนนนี้หมายความว่า นักเรียนกลุ่มแรกกำลังมีทักษะและความรู้มากกว่านักเรียนกลุ่มหลังอยู่ประมาณ 2 ปีการศึกษาเลยทีเดียว นอกจากนี้ ผลลัพธ์ของการทดสอบ PISA ยังแสดงให้เห็นความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาระหว่างเด็ก ๆ ที่อาศัยในเมืองใหญ่กับเด็ก ๆ ที่อาศัยในหมู่บ้านแถบชนบทด้วย โดยนักเรียนกลุ่มแรกเองก็มีคะแนนมากกว่านักเรียนกลุ่มหลังประมาณ 60 แต้ม หรือเทียบเท่ากับ 2 ปีการศึกษาเช่นกัน "การศึกษาคือสิ่งที่เห็นชัดที่สุดของการรวมศูนย์ของความเจริญ" ดร.รัตนากล่าว "คุณอยู่กรุงเทพ คุณสามารถได้ทุกอย่าง พอ [รัฐบาล] ไปพัฒนาภาคอีสานก็ลงทุกอย่างขอนแก่นหรือโคราช - ความรวมศูนย์คือสิ่งที่ทำให้ประเทศไทยเป็นแบบนี้" แม้ว่าปัจจุบัน ในต่างจังหวัดจะมีโรงเรียนชื่อดังและคุณภาพดีจำนวนหนึ่งบ้างแล้วก็ตาม ทั้งนี้ การทดสอบ PISA จะประเมินทักษะด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และการอ่าน ของเด็กอายุ 15 ปี เพราะช่วงวัยนี้มักจบการศึกษาภาคบังคับแล้วต้องเข้าสู่การทำงาน จึงสามารถสะท้อนว่าทรัพยากรมนุษย์ของประเทศจะมีคุณภาพเพียงใดในอนาคต ซึ่งผลการสอบเมื่อปี 2015 ชี้ให้เห็นว่า เด็กไทยกว่าครึ่งมีทักษะทั้ง 3 ด้านต่ำกว่าระดับพื้นฐาน ส่วนเด็กไทยที่มีทักษะระดับสูงนั้นมีประมาณ 1% เท่านั้น ขณะเดียวกัน ในการทดสอบครั้งนี้ เด็ก ๆ ในประเทศเพื่อนบ้านของไทยอย่างเวียดนามส่วนใหญ่แล้วมีทักษะทั้ง 3 ด้านในระดับพื้นฐาน ส่วนสิงคโปร์ที่มีคะแนนเฉลี่ย PISA เมื่อปี 2015 สูงที่สุดในโลกนั้น นอกจากนักเรียนในประเทศประมาณ 10% เท่านั้นที่มีทักษะต่ำกว่าพื้นฐาน เด็กที่มีทักษะสูงด้านคณิตศาสตร์ก็ยังมีจำนวนมากกว่า 1 ใน 3 หรือประมาณ 35% และเด็กที่มีทักษะสูงในด้านวิทยาศาสตร์ยังมีจำนวนเกือบ 1 ใน 4 หรือประมาณ 24% เลยทีเดียว ของดีถูกตีตรวน "เรื่องปฏิรูปการศึกษาคนก็เอาใจช่วยเยอะ เวลาเห็นข่าวการศึกษาของประเทศทีไรไม่ค่อยเป็นข่าวดี จะมีอยู่บ้าง เช่น [เด็กชนะการแข่งขัน] โอลิมปิกวิชาการ แต่ปีหนึ่งอาจจะมีสักสิบกว่าคนเท่านั้น ขณะเดียวกันเด็กที่เกิดปีเดียวกับเขามีตั้งเจ็ดแสนคน" นพ.สุภกร บัวสาย ผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ให้สัมภาษณ์บีบีซีไทยระหว่างการเยี่ยม รร.สตรีวัดอัปสรสวรรค์ ในกรุงเทพฯ ทั้งนี้ องค์กรขนาดเล็กที่มีเจ้าหน้าที่ประมาณ 20 คนแห่งนี้เพิ่งถูกรัฐบาลจัดตั้งขึ้นเมื่อปีก่อนเพื่อบรรเทาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาโดยเฉพาะ โครงการล่าสุดของ กสศ. คือ การมอบเงินให้นักเรียนจากครอบครัวที่มีรายได้น้อยเป็นพิเศษทั่วประเทศจำนวนหกแสนคน คนละ 1,600 บาทต่อปี โดยครึ่งหนึ่งจะให้แก่เด็ก ๆ โดยตรง ส่วนอีกครึ่งนั้นได้มอบหมายให้ รร. แต่ละแห่งนำไปจัดกิจกรรมส่งเสริมการศึกษาให้เกิดประโยชน์ระยะยาว เช่น เด็ก ๆ ในโครงการนี้จำนวน 64 คน จาก รร.สตรีวัดอัปสรสวรรค์ ได้เรียนทำขนมหวาน ทว่าเมื่องบประมาณมีจำกัด จึงจำเป็นต้องปล่อยนักเรียนจากครอบครัวรายได้น้อยอีกกว่าสองล้านคนที่เหลือไป "จะมาบอกว่ามี กสศ.แล้วความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาจะหมดไป มันเป็นไปไม่ได้ มันเป็นปัญหาใหญ่มากของประเทศ" นพ.สุภกร กล่าว "อย่างน้อยเราเป็นคนที่มีความรับผิดชอบในการคิดถึงมัน ต้องหาคำตอบ แล้วบอกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง บอกรัฐบาลว่าจะแก้ [ปัญหา] ยังไง" ในความคิดเห็นของเขา สาเหตุที่ปัญหาในระบบการศึกษาของไทยคลี่คลายลงได้ยากเย็นนักเป็นเพราะระบบราชการ "ของดี ไอเดีย (ความคิด) ดี ๆ มันไปติดระบบราชการ เช่น จะให้ครูพัฒนาการเรียนการสอน แต่เวลาให้ความดีความชอบไปดูเรื่องเปเปอร์ (งานเอกสาร) ของครู" นอกจากนี้ การที่นโยบายด้านการศึกษามักจะเปลี่ยนแปลงไปมาตลอด ก็ทำให้บรรดาคุณครูเห็นว่าไม่จำเป็นต้องรีบปฏิบัติตาม "ถ้าดูว่าบทเรียนของโลกเขาเป็นยังไงเนี่ย อันหนึ่งที่น่าจะชัดเจนคือการกระจายอำนาจให้ รร.เป็นตัวของตัวเองที่สุด แล้วเราก็ดูความแตกต่าง" นพ.สุภกร เสนอความเห็น "มันไม่ได้หมายความว่า [รร.] ทุกที่จะประสบความสำเร็จ แต่ที่ไหนดีก็จะเป็นตัวอย่างขึ้นมา ไอ้ที่ยังไม่ดีก็จะปรากฏตัว และให้เขาได้เรียนรู้ระหว่างกัน ก็จะทำให้ทั้งหมดค่อย ๆ ยกระดับไป" เด็กน้อยเอยจงกระตือรือร้น โรงเรียนทุกประเภทในไทยทั้งขยายโอกาส รัฐบาล หรือ เอกชน ล้วนได้รับเงินอุดหนุนจากภาครัฐเป็นจำนวนเท่ากันเพื่อช่วยให้เด็ก ๆ เข้าถึงการศึกษา 15 ปี ตั้งแต่ชั้นอนุบาลจนถึงมัธยมต้น ซึ่งเป็นเพียงส่วนหนึ่งของงบประมาณด้านการศึกษาของประเทศที่ "สูงมาก ประมาณ 6% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) หรือเก้าแสนล้านบาท …รัฐมีศักยภาพพอที่จะทำทุกอย่าง แต่เงินส่วนมากเอาไปใช้จ่ายค่าตึกหรือเงินเดือนครู ไม่มีงบประมาณที่นำมาใส่ใจด้านคุณภาพมากขึ้น" ดร.รัตนา นักวิจัยด้านการศึกษา บอกกับบีบีซีไทย นอกจากนี้เธอยังกล่าวว่า คุณภาพของคุณครูที่ไม่เท่ากันก็เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา "ครูเก่งก็อยากอยู่ รร.เก่ง ไม่มีครูเก่งอยากไปอยู่ต่างจังหวัด เราอาจต้องมีแรงจูงใจ เช่น เงินเดือนครู" ซึ่งงานวิจัยจากต่างประเทศก็ชี้ว่าการพัฒนาให้คุณภาพครูใกล้เคียงกันนี้นับเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด หรือ "single most important" เช่นกัน "เราห้ามไม่ได้เรื่องความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาที่มาจากฐานะทางครอบครัว สิ่งนี้ทำให้ผลลัพธ์ทางการศึกษามีความเหลื่อมล้ำมากที่สุด" ดร.รัตนากล่าวพร้อมเสนอว่า "ฉะนั้นสิ่งที่รัฐให้ต้องมีคุณภาพ ไม่ใช่สักแต่ขอว่าให้ ถ้ารัฐสามารถปรับให้การศึกษาขั้นพื้นฐานที่เด็กต้องใช้เวลา 7 - 8 ชั่วโมงต่อวัน มีคุณภาพใกล้เคียงกัน ความเหลื่อมล้ำตรงนี้ก็จะลดลง" ขณะเดียวกัน เธอก็ตระหนักถึงโลกแห่งความเป็นจริงว่า "เด็กควรมีความกระตือรือร้น การเปลี่ยนโครงสร้าง [สังคม] มันใช้เวลาและเป็นสิ่งที่รัฐต้องทำสม่ำเสมอและตลอดไป แต่กว่าโครงสร้างจะเปลี่ยนเด็กคงจะเรียนจบแล้ว เพราะฉะนั้นไม่ควรรอ ทุกคนจะต้องมีความทะเยอทะยานที่จะไปถึงจุดมุ่งหมายที่ตัวเองตั้งไว้ ขยันเรียนวิชาที่ตัวเองชอบและทำให้ดีที่สุด" พรรคการเมืองกับการศึกษา นโยบายด้านการศึกษาที่ก้าวหน้าจำนวนมากต่างถูกนำเสนอจากเกือบทุกพรรคการเมือง บีบีซีไทยสำรวจข้อมูลดังกล่าวจากเว็บไซต์และเวทีเสวนาต่าง ๆ สำหรับการตัดสินใจกาบาทครั้งสำคัญในวันเลือกตั้งที่ 24 มีนาคมนี้ ของคนไทยที่ต่างอยากเห็นการศึกษามีคุณภาพดีอย่างเท่าเทียมกัน ที่มา : บีบีซีไทยรวบรวมจากเว็บไซต์ของพรรคการเมืองและเว็บไซต์ ELECT คุณผู้อ่านสามารถติดตามความเคลื่อนไหว สัมภาษณ์พิเศษ บทวิเคราะห์ พร้อมทั้งทำความรู้จักกับ การเลือกตั้ง 2562 โดยทีมงานบีบีซีไทยได้ที่เว็บไซต์ www.bbc.com/thai/election2019 พร้อมทั้งสื่อสังคมออนไลน์บีบีซีไทยผ่านทาง เฟซบุ๊ก, อินสตาแกรม และ ยูทิวบ์ รวมทั้ง #ThaiElection2019 หรือ #เลือกตั้ง2562
|
ประเทศไทยทุ่มเงินหลายแสนล้านบาทในระบบการศึกษา แต่ทว่าผลสอบระดับนานาชาติของเด็ก ๆ กลับมีคะแนนโดยเฉลี่ยต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนามและกัมพูชา นักวิชาการระบุว่าเป็นเพราะความเหลื่อมล้ำด้านคุณภาพการศึกษา
|
thailand-53711375
|
https://www.bbc.com/thai/thailand-53711375
|
แฟลชม็อบชายแดนใต้ : สำรวจความคิดเยาวชนปลายด้ามขวาน ทำไมออกมาต้านรัฐบาล
|
การเคลื่อนไหวในแฟลชม็อบของเยาวชน นักศึกษาใน จ.ปัตตานี มีการยกบทสนทนาว่าด้วยการมีประชาธิปไตยในฐานะเครื่องมือสร้างสันติภาพในพื้นที่ขัดแย้ง วันที่ 23 ก.ค. นักศึกษามหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี (มอ. ปัตตานี) รวมตัวเปิดเวทีหนุนข้อเรียกร้องของกลุ่มนักศึกษา "เยาวชนปลดแอก" 3 ข้อ ได้แก่ ให้รัฐบาลยุบสภา ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ที่เป็นประชาธิปไตย และหยุดการคุกคามประชาชน การชุมนุมเคลื่อนย้ายจากภายในรั้วสถาบันการศึกษาสู่พื้นที่ที่เป็นสัญลักษณ์การต่อสู้ของชาวมลายูมุสลิมที่มัสยิดกรือเซะในวันที่ 2 ส.ค ภายใต้ข้อเรียกร้องชุดเดียวกัน แต่ที่เพิ่มเติมคือมีการกล่าวถึงประเด็นปัญหาในชายแดนใต้ที่ยืดเยื้อเรื้อรังยาวนาน 16 ปี ภายใต้บรรยากาศที่อยู่ภายใต้ "รัฐที่ปกครองโดยทหาร" นับตั้งแต่เหตุปล้นปืนที่ค่ายปิเหล็ง จ.นราธิวาสเมื่อปี 2547 ผศ.เอกรินทร์ ต่วนศิริ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มอ. วิทยาเขตปัตตานี ให้ความเห็นถึงขบวนการคนรุ่นใหม่ในพื้นที่ว่า แม้มีการเคลื่อนไหวภายใต้ข้อเสนอที่แนบแน่นกับเยาวชนปลดแอกที่กรุงเทพฯ แต่มีการเชื่อมโยงประเด็นปัญหาของพื้นที่ภาคใต้ และมีการวิพากษ์ "แตะ" ไปถึงระดับโครงสร้าง สถาบันทางการเมือง ที่กระทบต่อชีวิตของพวกเขา มากกว่าการเคลื่อนไหวกับเหตุการณ์เฉพาะเหมือนที่ผ่านมา "มีการเชื่อมโยงว่าปัญหาทางใต้เกี่ยวข้องกับปัญหาทางการเมืองไทย โดยเฉพาะเมื่อพูดถึงประเด็นประชาธิปไตย พวกเขาเห็นว่าเป็นสาเหตุทำให้ทางภาคใต้ไม่สงบ มีวาทกรรมนี้ที่อยู่ในสนามของการรวมตัวของขบวนคนรุ่นใหม่" แฟลชม็อบภายในมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี เมื่อวันที่ 23 ก.ค. จากการสังเกตการณ์ นักวิชาการรัฐศาสตร์ ยังเห็นสิ่งใหม่ในพื้นที่คือการออกมาของนักเรียน มัธยมสู่พื้นที่การเมืองจากม็อบเยาวชนทั้งสองครั้ง และการหยิบยกปัญหาที่หลากหลายขึ้นมาพูดถึง เช่น ปัญหาทรัพยากรอย่างการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมจะนะ จ.สงขลา อีกทั้งมีการปรากฏของกลุ่มที่หลากหลาย เช่น กลุ่มเด็กพุทธ มลายูมุสลิม กลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ (แอลจีบีที) ความเคลื่อนไหวเยาวชนชายแดนใต้ คลื่นการเปลี่ยนแปลงที่ปรากฏให้เห็นถึงความคิด ความเห็นของคนรุ่นใหม่ ปฏิเสธไม่ได้ว่ามาจากข้อมูลที่ไหลเวียนผ่านสื่อโซเชียลมีเดียซึ่งไม่ได้ผูกขาดข้อมูลและความจริงเพียงหนึ่งเดียว สิ่งเหล่านี้ไปถึงคนรุ่นใหม่ ทำให้พวกเขาก็ได้เห็นความ "ไม่เท่ากัน" และ "ไม่เท่าเทียม" ของโอกาสในการมีชีวิตที่ดีและระบอบการเมืองที่สองมาตรฐาน ผศ.เอกรินทร์ ให้ความเห็นว่า เด็กรุ่นใหม่มองไม่เห็นว่าอนาคตของพวกเขาจะฝากไว้ที่อะไร คำถามนี้เกิดขึ้นในเครือข่ายนักศึกษา เยาวชนที่ออกมาประท้วงทั่วประเทศ แต่หากมองภายใต้บริบทเฉพาะของชายแดนใต้ ผศ.เอกรินทร์ชี้ว่า เยาวชนในพื้นที่ชายแดนใต้เติบโตมากับการเห็นเครือข่ายระบบอุปถัมภ์ ซึ่งจากงานวิจัยที่ผ่านมาระบุว่าเป็นพื้นที่ที่ปัญหานี้รุนแรงที่สุดในประเทศ รวมไปทั้งการเมืองการเลือกตั้งที่ใช้ "เงิน" เยอะที่สุด สิ่งเหล่านี้เป็นระบบที่คนรุ่นใหม่ไม่เอาด้วยแล้ว "คำตอบเดิมๆ ที่กดทับพวกเขาว่าเพราะอยู่ต่างจังหวัด สำหรับพวกเขามันไม่กินปัญญาเขาแล้ว คนรุ่นใหม่ไม่เอาคำตอบนั้น เขาเลยมีคำถามใหม่ แล้วทำไมเราไม่เหมือนคนอื่น ทำไมการเติบโตหรือการจัดสรรงบฯ มันถึงน้อยกว่าที่อื่น" ผศ.เอกรินทร์ ต่วนศิริ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี การเกิดแฟลชม็อบของเยาวชนทั่วประเทศในช่วงต้นปี รวมถึงในพื้นที่ภาคใต้แม้ว่าปัจจัยส่วนหนึ่งจะมาจากการยุบพรรคอนาคตใหม่ แต่แกนนำนักศึกษา มอ.ปัตตานี บอกกับบีบีซีไทยว่าความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นตอนนี้ได้ก้าวข้ามประเด็นนั้นไปแล้ว ไม่ใช่เพราะพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งที่จุดกระแสขึ้นได้ในหมู่คนรุ่นใหม่ แต่เยาวชนออกมาเพราะกังวลถึงอนาคตที่รัฐบาล "ไม่มีหลักประกัน" ที่สามารถตอบโจทย์ชีวิตพวกเขา "ตอนนี้มันไม่ใช่เพราะ (พรรค) อนาคตใหม่แล้ว มันเป็นเพราะอนาคตของเรามากกว่า เขาไม่อาจจะที่อยู่ได้ภายใต้สภาวะสังคมแบบนี้ มันมองไม่เห็นทางว่าถ้าจบปริญญาตรีออกไปแล้วจะสามารถลืมตาอ้าปากได้" ฟาห์เรน นิยมเดชา ประธานกรรมาธิการพิทักษ์สิทธินักศึกษา มอ.ปัตตานี แกนนำจัดแฟลชม็อบ กล่าวกับบีบีซีไทย สอดคล้องกับมุมมองของ อารีฟิน โสะ เยาวชนนักกิจกรรมปาตานี หนึ่งในผู้จัดกิจกรรมแฟลชม็อบ ที่เห็นว่าการแก้ไขปัญหาความรุนแรงความขัดแย้งชายแดนใต้ การเมืองทั้งในและนอกสภา ต้องขับเคลื่อนไปด้วยกัน เขาเห็นว่านี่เป็นเรื่องของโครงสร้างอำนาจที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาลซึ่งเป็นศูนย์กลางอำนาจ หากมีรัฐบาลที่ฟังเสียงของประชาชนย่อมส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้ "ถ้านโยบายของรัฐดี จริงจังกับกระบวนการสันติภาพก็แก้ได้ งบประมาณจำนวนมหาศาล ทรัพยากร คนที่เชี่ยวชาญเยอะแยะเต็มไปหมด แต่ไม่ถูกนำมาใช้ มีนักวิชาการที่เสนอทางออกมากมายว่าจะทำอย่างไรให้โครงสร้างอำนาจของรัฐไทยกับคนในพื้นที่ยังอยู่ได้โดยไม่ต้องแยกตัวออกไป แต่ไม่ได้ถูกนำมาใช้ประโยชน์กับการแก้ปัญหา" ข้อเรียกร้อง 3 ข้อ กับสันติภาพชายแดนใต้ หนึ่งในข้อสังเกตที่ ผศ.เอกรินทร์ มองเห็นจากการเคลื่อนไหวของเยาวชน คือ การเกิดขึ้นของวาทกรรมประชาธิปไตยเพื่อแก้ไขปัญหาความไม่สงบในชายแดนใต้ ผ่านไป 16 ปี นับตั้งแต่ความขัดแย้งปะทุขึ้นระลอกใหม่เมื่อปี 2547 การปกครองที่ใช้การทหารและกฎหมายพิเศษควบคุมพื้นที่ชายแดนใต้ และ 4 อำเภอของ จ.สงขลา ไม่สามารถทำให้เกิดความสงบ ซ้ำยังเกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชนคนในพื้นที่หลายกรณี ประเด็นนี้ถูกนำมาอธิบายภายใต้ข้อเรียกร้อง 3 ข้อ ในการปราศรัยของกลุ่มเยาวชนปาตานีที่มัสยิดกรือเซะ "ถ้าหากรัฐบาลใช้คำว่าประชาธิปไตยในการปกครองอย่างจริง ๆ จัง ๆ รัฐบาลจะรับฟังเสียงของคนในพื้นที่มากยิ่งขึ้น ซึ่งมันไม่ใช่แค่พื้นที่ในปาตานี หรือสามจังหวัดฯ เท่านั้น แต่มันยังรวมถึงพื้นที่ในอีสาน พื้นที่ในภาคเหนือ เสียงของประชาชนเหล่านี้ จะถูกรับฟังมากยิ่งขึ้น" ซูรัยยา วาหะ นักกิจกรรมหญิงมุสลิมจากสหพันธ์นิสิตนักศึกษานักเรียนและเยาวชนปาตานี(PerMAS) กล่าวกับบีบีซีไทย เยาวชนชายแดนใต้ นักกิจกรรมหญิงมุสลิมวัย 22 ปี ซึ่งขึ้นปราศรัยที่มัสยิดกรือเซะ เมื่อวันที่ 2 ส.ค. ที่ผ่านมา อธิบายถึงข้อเรียกร้องให้แก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตยว่า เหตุที่ต้องการให้ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ เพราะรัฐธรรมนูญเป็นกฎเกณฑ์การอยู่ร่วมกัน การที่ชายแดนใต้อยู่ภายใต้กฎหมายพิเศษมา 16 ปี นั่นหมายความว่าพวกเขาไม่มีส่วนในการกำหนดกติกาการอยู่ร่วมกัน นอกจากนี้ การบังคับใช้กฎหมายพิเศษยังเป็นใบอนุญาตให้เจ้าหน้าที่คุกคามประชาชน "หลาย ๆ เรื่องเจ้าหน้าที่หรือทหารสามารถใช้กฎหมายสองฉบับนี้กับคนในพื้นโดยไม่มีคำอธิบายที่ชัดเจนและโดยไม่มีเหตุผล เมื่อเกิดความรุนแรง ไปหาชาวบ้าน ไม่มีหมายศาล ไม่มีใบแจ้งความทางกฎหมายอย่างชัดเจน แต่อ้างโดยใช้กฎหมายพิเศษ อ้างโดยใช้กฎอัยการศึกเข้ามาตรวจค้นบ้าน เข้ามาจับกุมคนไปสอบสวน" ซูรัยยากล่าว "เรามองว่าการที่สันติภาพในปาตานีจะเกิดขึ้นได้ รัฐบาลจะต้องรับฟังว่าอะไรคือสิ่งที่คนในพื้นที่ต้องการหรือไม่ต้องการ เพื่อจะปรับปรุงเป็นนโยบายลงมาในพื้นที่อย่างถูกต้อง" เธอให้ความเห็น สอดคล้องกับความเห็นของแกนนำจัดแฟลชม็อบ มอ.ปัตตานี ที่เชื่อว่า แม้ไม่อาจการันตีได้ว่า มีประชาธิปไตยแล้วภาคใต้จะสงบ แต่เห็นว่าเงื่อนไขแรกในการแก้ปัญหาความขัดแย้งจังหวัดชายแดนใต้ คือ ต้องมีประชาธิปไตยที่เคารพในสิทธิเสียงประชาชน ไม่ใช้ความรุนแรงขจัดผู้เห็นต่าง การพูดเรื่อง "เอกราช" และ "สถาบันกษัตริย์" ในแฟลชม็อบที่มัสยิดกรือเซะ เมื่อวันที่ 2 ส.ค. แกนนำผู้จัดกิจกรรมประกาศต่อผู้ชุมนุมว่าการรวมตัวอยู่ภายใต้ข้อเรียกร้อง ยุบสภา ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ และยุติการคุกคามประชาชน หากมีป้ายข้อความเกี่ยวกับประเด็นว่าด้วยเอกราชปาตานี หรือสถาบันกษัตริย์ ถือว่าไม่ใช่จุดประสงค์ของแฟลชม็อบ ความเคลื่อนไหวนี้ ผศ.เอกรินทร์ เห็นว่า เป็นการต่อรองกันเองภายในกลุ่มเยาวชนที่ประเมินว่าสารที่จะเสนอจะไปถึงไหน พื้นที่แบบไหนพูดเรื่องแบบนี้ได้ พร้อม ๆ ไปกับการรักษาแนวร่วม "สิ่งที่สำคัญคือ มันมีเวลาที่มันไม่จบแค่ม็อบสองม็อบ พวกเขาจะได้เรียนรู้ถ้าได้ผนึกรวมกับขบวนใหญ่หรือกับทั้งประเทศ เขาจะต้องต่อรองแบบไหนอย่างไร เพราะต้องคำนึงถึงขบวนที่หลากหลายเพื่อต้องการผนึกกำลังให้เข้มแข็ง เช่น ใน 3 ข้อเสนอใหญ่ ถ้าคุณไปบอกว่าเพิ่ม คนอื่นจะเอาด้วยไหม และจะจัดลำดับความสำคัญอย่างไร" ป้ายประท้วงที่แสดงให้เห็นการสนับสนุนข้อเรียกร้องของเยาวชนปลดแอกที่เคลื่อนไหวในศูนย์กลางกรุงเทพฯ ส่วนความเคลื่อนไหวที่กรุงเทพฯ ที่ประเด็นสถาบันกษัตริย์ ปรากฏในขบวนการเคลื่อนไหว นักศึกษาทางใต้คิดอย่างไร ฟาห์เรน นิยมเดชา ประธานกรรมาธิการพิทักษ์สิทธินักศึกษามอ.ปัตตานี แกนนำจัดแฟลชม็อบ ซึ่งเป็นนักศึกษาคณะรัฐศาสตร์ กล่าวว่า ประเด็นที่เกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ เช่น การใช้งบประมาณ ขอบเขตของพระราชอำนาจ และกฎหมายที่ดูแลการวิพากษ์วิจารณ์สถาบันฯ ควรเป็นเรื่องที่พูดถึงได้ในที่สาธารณะ หากแต่ต้องตั้งอยู่บนหลักการ เหตุผล และข้อเสนอในการจัดความสัมพันธ์ควบคู่ไปกับการพัฒนาระบอบประชาธิปไตย "ผมคิดว่าเป็นเรื่องที่คุยกันได้ ด้วยหลักเหตุผลและเสนอวิธีการแก้ไขปัญหา... แต่ถ้านำเสนอด้วยอารมณ์ นำเสนอด้วยความเกลียดชัง นำเสนอด้วยสิ่งที่ไม่เป็นหลักการ ขบวนการนักศึกษา ขบวนการเรียกร้องประชาธิปไตยไปต่อไม่ได้ เพราะนั่นคือการสร้างความชอบธรรมให้กองทัพใช้ความรุนแรง" ก่อนการนัดชุมนุมในวันที่ 23 ก.ค. นักศึกษาแกนนำผู้จัดงานต้องเผชิญกับคำสั่งของมหาวิทยาลัยที่สั่งห้ามการรวมตัวในสถานศึกษา ทางเลือกที่สาม นอกจากรัฐไทยและกลุ่มขบวนการฯ จากปัจจัยเฉพาะของชายแดนใต้ นักวิชาการรัฐศาสตร์ มองว่า ความเคลื่อนไหวของเครือข่ายนักศึกษา เยาวชน เป็นสิ่งที่ทั้งรัฐและขบวนการติดอาวุธต้องรับฟัง เขาเห็นว่าการออกมาของคนรุ่นใหม่สะท้อนว่า "เด็กที่นี่ไร้ซึ่งความหวัง" จากการเติบโตมาและได้เห็นเครือข่ายกลุ่มผลประโยชน์ทางการเมืองแบบเก่า นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมการเลือกตั้งเมื่อปี 2562 คะแนนเสียงจำนวนมากจึงถูกเทให้กับพรรคการเมืองที่ทำการเมืองด้วยวิธีใหม่ "คนรุ่นใหม่ต้องการเปลี่ยนแปลง และสิ่งที่สำคัญขบวนการฯ ก็ไม่ได้ตอบโจทย์ หากพูดในทางทฤษฎีการเมือง พวกเขาก็เป็นกลุ่มผลประโยชน์กลุ่มหนึ่ง มีชุดอุดมการณ์ชุดหนึ่ง แต่ไม่ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่" ผศ.เอกรินทร์ ชี้ว่าจังหวะก้าวของเยาวชนตอนนี้คือการ "สร้างที่ทางเลือกที่สาม" ของตัวเอง คนรุ่นใหม่ส่วนหนึ่งไม่ชอบรัฐไทยอยู่แล้ว แต่จะไม่สมาทานตัวเองเข้ากับขบวนการ เพราะสำหรับพวกเขาขบวนการก็ไม่ต่างจากรัฐไทย เพราะ "ขบวนการมีอาวุธ รัฐไทยมีกฎหมาย" "ผมคิดว่าสังคมที่นี่ถ้าพูดถึงที่สุด วัยหลังจากนี้จะเดินไปสู่การเปลี่ยนแปลง และบทบาทของขบวนการฯ เอง ของรัฐไทยเอง ถ้าไม่ผูกโยงกับผลประโยชน์ในความหมายที่ว่าทำเพื่อประชาชนให้มากพอ ผมว่ามันจะค่อย ๆ ห่างหายจากชีวิตพวกเขาจนเขาไม่สามารถจะพึ่งอะไรได้แล้ว" ทำงานทางความคิด-ยอมรับความหลากหลาย-สร้างสรรค์การเคลื่อนไหว ในฐานะนักวิชาการในพื้นที่และผู้สังเกตการณ์ ผศ.เอกรินทร์ กล่าวถึงภาพที่อยากเห็นในขบวนนักศึกษา เยาวชน ในแดนใต้ว่า อยากเห็นงานทางความคิดที่เป็นข้อเสนอเฉพาะเจาะจงเกี่ยวกับประเด็นทางชายแดนใต้ที่โยงกับระบอบการเมืองเพื่อสร้างความรับรู้เข้าใจกับมวลชนนอกพื้นที่ มีกิจกรรมที่สร้างสรรค์ เปิดรับการร่วมขบวนจากอัตลักษณ์อื่น พร้อมอยากเห็น "การยอมรับความหลากหลายมากขึ้น" ในขบวนการการเคลื่อนไหวเพื่อเพิ่มแนวร่วมในการผลักดันเรื่องต่าง ๆ โดยต้องไม่จำกัดตัวเองภายใต้กรอบคิดว่าชายแดนใต้เป็น "รัฐศาสนา" "เรามีผู้คนหลากหลายเกี่ยวข้องกับคนจำนวนมหาศาลที่มีความคิดความเชื่อต่างจากเรา เราจำเป็นที่จะต้องให้ขบวนมันมีความหลากหลายมากขึ้น เช่น มีกลุ่มผู้หญิงมาเกี่ยวข้อง มีกลุ่มแอลจีบีที มีกลุ่มศาสนา หรือกลุ่มอื่น ๆ แต่ให้อยู่ภายใต้ข้อเสนอเพื่อตอบสนองเรื่องความเป็นธรรม... ไม่ใช่เรื่องของใครที่มีอำนาจ แต่ให้ทุกคนมีความเท่าเทียม"
|
การชุมนุมเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลของนักศึกษา มอ.ปัตตานี และกลุ่มเยาวชนปาตานีที่มัสยิดกรือเซะ ในจังหวะเวลาเดียวกับความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นในกรุงเทพฯ และทั่วประเทศ เป็นการส่งเสียงจากพื้นที่ที่มีอัตลักษณ์เฉพาะไปถึงศูนย์กลางของอำนาจ พร้อม ๆ กับการเปิดบทสนทนาที่เครือข่ายนักศึกษา เยาวชนในชายแดนใต้เชื่อว่า เมื่อมีประชาธิปไตยก็จะมีสันติภาพ
|
thailand-49806762
|
https://www.bbc.com/thai/thailand-49806762
|
สังคมสูงอายุ : คนสูงวัยในครอบครัวข้ามรุ่น อยู่อย่างไรเมื่อไทยเป็นสังคมผู้สูงอายุ
|
เนียมและเสมอ ซึ่งเคยเลี้ยงดูหลานพร้อมกันถึง 6 คน ในช่วงกว่า 20 ปีที่ผ่านมา กังวลถึงอนาคตเมื่อแก่ตัวขึ้น พวกเขาจะทำกินเพื่อเลี้ยงปากท้องและเหลนอย่างไร เนียมและเสมอเคยทำงานก่อสร้างในกรุงเทพฯ เมื่อ 20 กว่าปีก่อน แต่วิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 ทำให้เธอและเขาก็ต้องเลิกอาชีพและเดินทางกลับบ้านที่บุรีรัมย์ คล้ายเป็นวงจรชีวิต ลูก ๆ 3 คนของเนียมและเสมอต่างก็ออกจากบ้านไปทำงานต่างถิ่นเช่นกัน ทั้งที่กรุงเทพฯ สมุทรปราการ และนครราชสีมา ทิ้งหลาน 6 คนที่อยู่ในวัยไล่เลี่ยกันให้สองตายายเลี้ยง ช่วงหนึ่งสองตายายต้องเลี้ยงหลานวัย 5-6 เดือนพร้อมกันถึง 3 คน "ตอนนั้นลำบากหนักเลย ไร่นาไม่มี คนก็สงสารเรา ตาไม่ได้ไปไหน เฝ้าหลานอยู่บ้าน ยายก็หาบของขาย" เธอเล่าถึงช่วงชีวิตหลังปี 2540 ผ่านไปกว่าสิบปี เมื่อหลาน ๆ โตขึ้นจนจบ ม.3 หรือ ม.6 พวกเขาก็ทยอยทิ้งบ้านไปทำงานที่อื่นอีก หลานสาวคนสุดท้ายเพิ่งออกจากบ้านไปเมื่อเดือน เม.ย.ที่ผ่านนี่เอง และแน่นอนว่าเมื่อหลาน ๆ มีลูก ก็เป็นหน้าที่ของเนียมและเสมอที่จะต้องเลี้ยงดูเหลน ตอนนี้ เนียมกับเสมอต้องเลี้ยงเหลน 2 คน วัย 4 ขวบและ 6 ขวบ นอกจากนี้ยังต้องดูแลแม่ที่อายุกว่า 80 ปี ครอบครัวที่มีเพียงผู้สูงอายุและเด็กอยู่แค่สองรุ่นอย่างครอบครัวของเนียม มีชื่อเรียกทางประชากรศาสตร์ว่า "ครอบครัวข้ามรุ่น" หรือ "ครอบครัวแหว่งกลาง" จากสถิติครอบครัวลักษณะนี้เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า จาก 1 แสนครัวเรือน เป็น 4 แสนครัวเรือน ในเวลาไม่ถึง 30 ปี (2530-2556) ในจำนวนนี้เป็นครัวเรือนที่อยู่ในภาคอีสานเกือบครึ่งหนึ่ง ชีวิตที่ไม่ง่ายของตายายใน “ครอบครัวข้ามรุ่น” นี่เป็นอีกภาพหนึ่งเมื่อไทยกำลังจะเข้าสู่การเป็นสังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ในอีก 2 ปีข้างหน้า ในโอกาสวันผู้สูงอายุสากลวันที่ 1 ต.ค. บีบีซีไทยพาไปรู้จักชีวิตและความเป็นไปของครอบครัวข้ามรุ่นครอบครัวหนึ่งใน จ.บุรีรัมย์ ตายาย ต่างพ่อแม่ "สวัสดีค่ะ บ้านนี้อยู่กันกี่คนคะ" เราเอ่ยถามเจ้าบ้านเมื่อเดินทางไปถึง หญิงสูงวัยสองคนนั่งอยู่ใต้ร่มไม้ กำลังใช้ท่อนไม้ตอกอะไรบางอย่างอยู่บนลานดิน "7 คน จ้ะ ตามทะเบียนบ้าน" เนียม เงินสยาม หญิงที่ดูอ่อนวัยกว่าตอบ ส่วนหญิงชราอีกคนคือแม่ของเธอที่อายุ 80 กว่าแล้ว แม้ในทะเบียนบ้านจะมีสมาชิกตามจำนวนที่เธอว่า แต่เมื่อ 4 ปีที่แล้ว ครอบครัวนี้เคยมีสมาชิกร่วมชายคาอุ่นหนาฝาคั่งกว่านี้มาก ในจำนวนนั้นมีหลานชายหญิง 6 ชีวิตที่ล้วนเติบโตจากการเลี้ยงดูของเนียมและสามี ทำไม้กะหาด วัตถุดิบในการกินหมากขาย เป็นหนึ่งในรายได้ของครัวเรือนนี้ เสมอ ผู้ชายคนเดียวในบ้านต้องขับรถมอเตอร์ไซค์ออกไปหาไม้ในที่ที่ไกลขึ้น เขายังต้องปีนต้นไม้สูง ๆ เพื่อตัดไม้เหล่านี้มา "เขาเอาลูกมาทิ้งไว้ให้ เราก็เอา ถ้าไม่เอาเขาก็ไม่ได้ทำงาน พอเลี้ยงให้เขา เขาก็กลับไปกรุงเทพฯ ไปทำงาน เราก็เลี้ยงคอยเขาอยู่ที่บ้าน" เนียมเล่าถึงลูก ๆ "แต่ก่อนเขาไปทำงานก่อสร้าง ไม่ได้ทำโรงงาน เราก็เข้าใจอยู่ ต้องช่วยกัน เราไม่ช่วยลูกช่วยเต้าแล้วจะช่วยใคร... เข้าใจเขา เราไม่ดูแลให้ เขาก็หา (ทำกิน) ไม่ได้ ถ้ามานั่งเฝ้านอนเฝ้าพอดีอด เรายิ่งไม่มีอะไรอยู่ เราไม่หาไม่ดิ้นรนก็ไม่มี " เนียมเล่าว่าหลังเกิดวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 เธอและสามีถูกโกงค่าจ้างรับเหมาก่อสร้างที่รับช่วงต่อมาไปถึง 2-3 แสนบาท ทั้งคู่จึงตัดสินใจกลับมาอยู่ที่บ้านเกิดที่บุรีรัมย์พร้อมเงินในบัญชีก้อนหนึ่ง ตอนนั้นหอบหิ้วเอาหลานวัยไม่กี่เดือน 3 คนกลับมาเลี้ยงด้วย จากนั้นก็มีหลานเพิ่มมาอีกรวมเป็น 6 คน เนียมบรรยายถึงความยากลำบากในการเลี้ยงดูหลานตัวเล็ก ๆ พร้อมกันถึง 6 คนจนตอนนี้เติบโตเป็นหนุ่มสาวกันหมดแล้ว "เงินซื้อข้าวก็ไม่มี ซื้อนมก็ไม่มี ต้องถือหม้อข้าวไปขอน้ำข้าวจากบ้านอื่น ใครหุงข้าวก็ไปขอ กลับมาก็เทใส่กระติกน้ำร้อนไว้ให้มันอุ่น เอาเกลือใส่ไปหน่อยแล้วใส่ขวดนมให้เค้าดูด พอโตมาหน่อยยายก็หาบของขาย ตาก็อยู่บ้านกับหลาน" "ตอนกลางคืน หลานนอนกัน 3-4 อู่ แบ่งกันดูคนละ 2 อู่ พอตื่นขึ้นมาบางทีง่วงนอนมาก ๆ ก็ไม่รู้อู่ไหนร้อง ก็ต้องนั่งฟังจนรู้เรื่อง" "พอป่วยทีก็เหมารถไปโรงพยาบาล ไปอนามัย ที่นั่นเขาว่า ยายเนียมมาอีกแล้วเหรอ แบบนี้ยาอนามัยจะไม่หมดหรอกเหรอ เพราะเขาเห็นหลานเยอะ ไปที 6 คน" เธอเล่าติดตลก ชีวิตเดือนต่อเดือน ลูก ๆ ของเนียมส่งเงินมาให้เป็นค่าใช้จ่ายในบ้านและเลี้ยงดูหลาน ๆ มากบ้างน้อยบ้างแล้วแต่เดือน เพราะลูกบางคนทำงานรับค่าจ้างรายวัน "มันก็ไม่เยอะหรอก อย่างมากก็เดือนละ 5,000-6,000 บาท ลูกสองคนเขาทำงานก่อสร้างไม่ค่อยได้หรอก บางทีส่งมา 500 ยายก็ไม่เคยเกี่ยง ให้เท่าไหร่ก็เอา" เนียมกล่าว เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุที่เนียมและเสมอได้รับคนละ 600-700 บาทต่อเดือน ถูกจัดสรรสำหรับค่าไฟค่าน้ำ ส่วนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่ได้เดือนละ 500 บาท เนียมบอกว่าใช้รูดซื้อแป้งและน้ำตาลทรายเพื่อนำมาทำขนมขาย ทำขนม ทำกับข้าว ดองหน่อไม้ เก็บผัก หาปลามาขายในหมู่บ้าน เป็นช่องทางทำมาหากินที่ทำให้สองตายายพอมีรายได้มาหนุนรายจ่ายในชีวิตประจำวันจำพวกของกินของใช้ เงินให้หลานไปโรงเรียน แต่เมื่อเนียมเริ่มป่วยเป็นโรคเบาหวาน ไขมัน ความดัน เมื่อไม่กี่ปีมานี้ รายได้จากส่วนนี้ก็ลดลงไป โอกาสทางการศึกษา โถงในบ้านตรงหน้าทีวีเป็นบริเวณที่หลาน ๆ นั่งทำการบ้านกันเรียงรายเมื่อครั้งเป็นเด็ก เสมอยังจำภาพนั้นได้ดี หลานคนโตนั่งริมสุดคอยสอนน้อง ส่วนตัวเขา "สอนเป็นบางอย่าง โดยมากก็สอนคนโต คนโตเขาสอนน้องต่อ ๆ มา" นอกจากดูแลการกินอยู่ในชีวิตประจำวันของหลาน ๆ แล้ว อีกบทบาทของผู้สูงวัยในครอบครัวข้ามรุ่น คือ การอบรมกล่อมเกลานิสัยและการดูแลเรื่องการศึกษา ส่วนใหญ่แล้ว เสมอเป็นผู้ที่จัดการเรื่องพาหลานเข้าโรงเรียน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นโรงเรียนใกล้บ้านที่เขาพอไปรับส่งได้ด้วยมอเตอร์ไซค์พ่วงข้างที่ใช้ทำมาหากิน "เช้าวันธรรมดาไปโรงเรียน วันหยุดเสาร์อาทิตย์ก็ดูแลเครื่องนุ่งห่มและหาอาหารให้เขา แต่หลานผมไม่งอแง ดูนะแขกไปใครมาผู้ใหญ่มา อบต. มา กำนันมา หวัดดีจ๊ะ ขึ้นรถพ่วงไปโรงเรียนเห็นใครหวัดดีจ๊ะตลอด" พอขึ้นชั้นมัธยม หลานบางคนถูกส่งไปเรียนโรงเรียนประจำต่างอำเภอ บางคนไปเช้าเย็นกลับ ทำให้มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ทั้งเรื่องการเดินทางและค่ากินอยู่ สุดท้ายเสมอต้องให้หลานกลับมาเรียนโรงเรียนใกล้บ้านเพราะสู้ค่าเดินทางไม่ไหว เมื่อถึงวัยหนึ่ง แรงกดดันในการเลี้ยงปากท้องผลักให้รุ่นหลานของบ้านนี้ต้องออกจากโรงเรียนในที่สุด หลาน ๆ ของเนียมและเสมอ ออกมาทำงานตั้งแต่เรียนจบชั้น ป.6 ม. 3 หรือไม่ก็ ม. 6 เมื่อหลานสาวที่เพิ่งเรียนจบชั้น ม. 6 มาบอกเนียมว่าจะไม่เรียนต่อและจะเข้าไปทำงานที่กรุงเทพฯ เธอได้แต่บอกหลานไปว่าเธอเองก็ไม่มีปัญญาส่งให้เรียนแล้ว "ก็แล้วแต่ ไม่ว่า หนูจะทำงานไปด้วยเรียนไปด้วยก็ได้" เนียมบอกหลานไปเช่นนั้น "หนูจะหยุดเรียนก่อน แล้วค่อยกลับมาเรียนต่อ" ภาคอีสานมีแรงกดดันมากกว่าภาคอื่น เมื่อเป็นสังคมผู้สูงอายุ รศ.ดร. ดุษฎี อายุวัฒน์ อาจารย์ประจำสาขาวิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ผู้ศึกษาเรื่องการย้ายถิ่นของคนอีสานมากว่า 30 ปี กล่าวกับบีบีซีไทยว่า เมื่อพูดถึงตายายที่ดูแลหลาน คนทั่วไปมักถึงคนที่อายุเยอะ แต่จริง ๆ แล้วไม่ได้เป็นเช่นนั้น "งานวิจัยของนักศึกษาปริญญาโท-เอก เมื่อเร็ว ๆ นี้บอกว่า ครอบครัวที่เหลือแต่ปู่ยาตายยาอยู่กับหลานนั้น คนที่เป็นปู่ย่าตายายอายุไม่มากเลย แค่ 50-60 ต้น ๆ" รศ. ดร.ดุษฎี อธิบายว่า ในอีสานสถานการณ์สังคมผู้สูงอายุเป็นไปในทิศทางเดียวกับภาพรวมของประเทศ แต่ภาคอีสานมีปัจจัยที่ทำให้เกิดภาวะ "กดดัน" ต่อผู้สูงอายุมากกว่าภูมิภาคอื่น เพราะสังคมอีสานมีพื้นฐานเรื่องการโยกย้ายถิ่นฐาน "เมื่อพ่อแม่ไม่ได้อยู่บ้าน ตายายก็ไม่มีโอกาสในการสร้างรายได้ รายได้ที่ผู้สูงอายุทำก็เป็นรายได้เพียงแค่หัตถกรรม ซึ่งเขาแทบจะไม่มีเวลาจะทำ เพราะเรี่ยวแรงก็อ่อนล้าแล้ว" รศ.ดร. ดุษฎีกล่าวและเสริมว่า "แม้ว่าพอถึงรุ่นลูกก็ยังเป็นเช่นนี้ เพราะเขาไม่ได้หลุดออกจากวงจรการย้ายถิ่น ถ้าพัฒนาการด้านการศึกษาดีขึ้นก็อาจจะมีอาชีพอย่างอื่นที่ดีกว่า" อย่างไรก็ตาม แม้ว่าประเทศไทยจะเปิดโอกาสเรื่องการศึกษาให้เด็กไทยเข้าถึงมากขึ้นอย่างการศึกษาฟรีหรือการให้ทุน แต่ รศ.ดร. ดุษฎี ชวนให้คิดว่า สำหรับครอบครัวยากจน ค่าใช้จ่ายในการดำรงชีวิต ค่ากินค่าอยู่ อาจเป็นจำนวนเงินที่มากเกินกว่าที่พวกเขาคาดคิดและสนับสนุนได้ รายงานสถานการณ์ประชากรไทย 2558 โฉมหน้าครอบครัวไทย ยุคเกิดน้อย อายุยืน ที่จัดทำโดยกองทุนประชากรแห่งสหประชาชาติประจำประเทศไทย (UNFPA) และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติระบุว่า ในเวลาไม่ถึง 30 ปี (2530-2556) ครอบครัวข้ามรุ่นเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจาก 1 แสนครัวเรือนเป็น 4 แสนครัวเรือน รายงานฉบับนี้ยังระบุไว้ว่า จากการเก็บข้อมูลเมื่อปี 2555 พบว่า 1 ใน 5 ของผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่ในครอบครัวข้ามรุ่นมีรายได้ครัวเรือนต่อหัวต่ำกว่าเส้นความยากจน และอาจมีผลกระทบร้ายแรงต่อพัฒนาการของหลานที่อยู่วัยเรียน "คนย้ายถิ่นก็ไม่ได้ส่งทุกเดือนเพราะว่า พวกเขาก็ทำงานรายวัน" รศ.ดร. ดุษฎี อ สะท้อนอีกมุมของแรงงานที่ละทิ้งบ้านไปทำงานในพื้นที่ที่มีการจ้างงานทั้งในประเทศ และการไปทำงานต่างประเทศ เมื่อคนจน ไม่มีทางออมได้ บทความว่าด้วยเรื่อง "ต้องมีเงินเท่าไหร่ในวัยเกษียณอายุ" มีให้เห็นอยู่มากมายในอินเทอร์เน็ต คำตอบที่กูรูนักการเงินแนะนำอาจบอกว่า 2-3 ล้านบาทก็ไม่พอ ต้องมี 10 ล้านถึงจะพออยู่ได้ถึงอายุ 70 แต่กับครอบครัวแรงงานนอกระบบหรือแรงงานย้ายถิ่นที่ยากจน ผู้สูงอายุในครอบครัวเช่นนี้จะใฝ่ฝันถึงชีวิตบั้นปลายแบบไหนได้บ้าง "พวกเขาไม่มีทางจะออมได้เลย ทำยังไงถึงจะให้ครอบครัวเหล่านี้ยังชีพได้โดยไม่ลำบาก เพิ่มมาจากเงินยังชีพที่รัฐให้ใส่กระเป๋า" รศ.ดร. ดุษฎีให้ความเห็นและเสริมว่า เงินเบี้ยยังชีพเพียงพอต่อการ "บรรเทา" ความเดือดร้อน แต่ไม่ใช่รายได้หลักในการดำรงชีวิต นักวิชาการด้านการโยกย้ายถิ่นในภาคอีสานผู้นี้ เสนอว่า ชุมชนท้องถิ่นอาจต่อยอดจากกองทุนสวัสดิการหรือกองทุนหมู่บ้านตามนโยบายรัฐที่มีอยู่เดิมให้ได้ดอกผลมากขึ้น และพิจารณากลไกในการช่วยเหลือครอบครัวข้ามรุ่น ซึ่งมีความกดดันทางเศรษฐกิจและความเป็นอยู่กว่าครอบครัวอื่น และมองว่าหน่วยงานที่ดูแลผู้สูงอายุโดยตรงอย่างกรมกิจการผู้สูงอายุควรจะเข้ามาดูแลในเรื่องนี้ "จะมีผู้สูงอายุกี่คนที่ลุกขึ้นมาทำอาชีพได้ ขณะที่จะเลี้ยงหลานให้มีสุขภาพอนามัยดี เป็นมนุษย์ที่ไม่เจ็บไม่ป่วยยังยากมากเลย" ท้องถิ่นกับการดูแลผู้สูงอายุ "ถามว่า 600 บาท จริง ๆ ชาวบ้านพอหรือยัง ไม่พอหรอกครับ เพราะบางทีผู้สูงอายุบางคนที่มีลูกเยอะ เช่น มีลูก 5 คน หลาน 10 คน เปลี่ยนเข้าเปลี่ยนออก พ่อแม่เลี้ยงลูกหลานจนตายจากกัน" นี่เป็นสถานการณ์ผู้สูงอายุที่นายเจริญ สุขวิบูลย์ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลโคกกลาง อ.ลำปลายมาศ จ.บุรีรัมย์ ฉายให้เราเห็น ที่ อบต. โคกกลาง มีความพยายามในการดูแลคนในชุมชนด้วยตัวเอง นอกเหนือจากเงินให้เปล่าจากรัฐ เช่น เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุและบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ด้วยการจัดสวัสดิการกองทุนผู้สูงอายุ กองทุนวันละบาท และกองทุนสวัสดิการผู้พิการ การดำเนินการกองทุนวันละบาทและกองทุนผู้สูงอายุ ชาวบ้านที่เป็นสมาชิกแต่ละกองทุน ต้องออมเงินเข้ากองทุนคนละ 30 บาทต่อเดือน และ อบต. จะช่วยสมทบในสัดส่วนที่เท่ากัน ในรูปแบบ "รัฐช่วยหนึ่งบาท ประชาชนช่วยหนึ่งบาท" เมื่อมีสมาชิกเจ็บป่วยต้องเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาล พวกเขาจะได้เงินช่วยเหลือคืนละ 100 บาท "มีชาวบ้านคนหนึ่ง พ่อเขาเข้าโรงพยาบาล เขามาพูดกับผมว่า นายกฯ ขอเงินสักร้อยสิ ผมมาเฝ้าพ่อเป็นสิบคืนไม่มีใครมาเปลี่ยนเลย ไม่มีเงินกินข้าว" เจริญเล่าถึงเหตุการณ์เมื่อ 17 ปีที่แล้ว ที่จุดประกายให้เขาเริ่มทำงานด้านสวัสดิการในชุมชน เจริญ สุขวิบูลย์ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลโคกกลาง อ.ลำปลายมาศ จ.บุรีรัมย์ อย่างไรก็ตาม ผู้บริหารท้องถิ่นรายนี้บอกว่า ยังมีข้อจำกัดในเรื่องกฎเกณฑ์การใช้งบประมาณ สำหรับภารกิจดูแลประชาชนเฉพาะกลุ่มอย่างผู้สูงอายุในครอบครัวข้ามรุ่น ระเบียบเรื่องการใช้งบประมาณ กลายเป็นข้อจำกัดที่ทำให้องค์การปกครองส่วนท้องถิ่นไม่สามารถทำกิจกรรมหรือโครงการบางอย่างที่น่าจะช่วยเหลือประชากรกลุ่มนี้ได้อย่างตรงจุด "การส่งเสริมอาชีพ สร้างงาน สุดท้ายเราทำไม่ได้เพราะว่ามันมีระเบียบมาแบบนี้ ๆ" เจริญกล่าว ในปี 2564 ประเทศไทยจะเป็นสังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ คือ มีผู้สูงอายุมากกว่าร้อยละ 20 ของประชากรทั้งหมด การเปลี่ยนแปลงของประชากรเช่นนี้ทำให้รัฐมีความกังวลต่อภาระงบประมาณของประเทศที่เพิ่มขึ้นทุกปี ในมุมของเสมอ ชาวบุรีรัมย์วัย 65 ปี ที่ยังต้องทำงานและเลี้ยงหลานและเหลน เขาก็มีความกังวลต่อชีวิตในวันข้างหน้าเช่นกัน "อยากให้รัฐช่วยเหมือนกัน แต่หนทางไหนที่ช่วยให้เมื่อเราอายุมากขึ้น ๆ ไม่ให้เราทุกข์แบบทุกวันนี้ ต่อไปเราก็แก่ตัวไปเรื่อย ๆ ปีนี้เราหากินแบบนี้ ปีหน้าเราจะหากินยังไงหนอ ก็คิดเหมือนกันครับ"
|
เนียม เงินสยาม หญิงชาวบุรีรัมย์ วัย 62 ปี และเสมอ สามีวัย 65 ปี เลี้ยงดูหลานมาแล้ว 6 คน และกำลังเลี้ยงเหลนอีก 2 หลังจากที่ทั้งลูกและหลานของเธอพากันไปทำงานต่างถิ่น ทิ้งลูกเล็กไว้ที่บ้านเกิด
|
international-39895478
|
https://www.bbc.com/thai/international-39895478
|
ฤาเส้นทางสายไหมจะเป็นเพียงนิทานก่อนนอนเรื่องหนึ่งของจีน
|
แต่ก่อนอื่นเขาจะลองเล่าให้บรรดาผู้นำโลกฟังเสียก่อน แต่นี่ไม่นับรวมผู้นำสหรัฐฯ ญี่ปุ่น อินเดีย และหลายประเทศในสหภาพยุโรปที่ปฏิเสธคำเชิญเข้าร่วมการประชุมระดับสูง เวทีข้อริเริ่มเส้นทางสายไหมและเส้นทางสายไหมทางทะเลในศตวรรษที่ 21 ที่จีนเป็นเจ้าภาพจัดขึ้นที่กรุงปักกิ่ง สุดสัปดาห์นี้ โดยหวังจะโน้มน้าวให้หันมามองจีนด้วยวิสัยทัศน์ที่ว่าจีนเป็นกำลังหลักในการผลิตสินค้าป้อนแก่โลกใบนี้ สี จิ้นผิง ขึ้นรับตำแหน่งประธานาธิบดีจีนเมื่อ 5 ปีก่อนพร้อมกับความมุ่งมั่นว่า จีนควรเลิกเก็บงำความสามารถของตัวเอง แทนที่จะค่อย ๆ คืบคลานเข้ามามาจัดระเบียบโลกอย่างเงียบ ๆ เขาคิดว่าจีนควรจะต้องมีความภาคภูมิใจในฐานะที่เป็นชาติที่เข้มแข็งมีอารยธรรม สามารถก้าวจากประเทศที่มีบทบาททางเศรษฐกิจอยู่แต่เพียงชายขอบ กลายมาเป็นชาติที่มีการค้าขายใหญ่ที่สุดในโลกเพียงชั่วระยะเวลาไม่ถึง 4 ทศวรรษ จีนต้องการเพิ่มการเชื่อมโยงกับตลาดโลก "ความสัมพันธ์ระหว่างจีนและส่วนอื่น ๆ ของโลกกำลังก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตร์ ขอให้บอกเล่าเรื่องราวของจีนให้ดี" เขาเรียกร้องสื่อ นักการทูต และผู้ทรงอิทธิพลทางความคิดของจีน พร้อมสำทับให้นำเสนอภาพลักษณ์ของจีนในฐานะผู้สร้างสันติภาพและผู้มีส่วนที่ทำให้โลกเกิดการพัฒนา สุดสัปดาห์นี้ เขาจะก้าวขึ้นเวทีในฐานะหัวหน้านักเล่านิทาน ในเวทีข้อริเริ่มเส้นทางสายไหมฯ นับเป็นจังหวะที่ดีของจีน เพราะสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป หรือ อียู ต่างก็ไม่มีเรื่องเล่าระดับโลกมาเล่าแข่ง ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ มุ่งเดินหน้านโยบาย "ทำให้อเมริกากลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง" ส่วนอียูก็กำลังวุ่นอยู่กับการถอนตัวออกจากการเป็นสมาชิกของสหราชอาณาจักร และความท้าทายอื่น ๆ มีวาระด้านภูมิศาสตร์การเมือง? เรื่องเล่าที่จีนให้ความสำคัญนี้เป็นที่รู้จักกันดีในบรรดาแขกของนายสี การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและการเติบโตอย่างรวดเร็วได้ทำให้จีนกลับสู่จุดเดิมในอดีตอีกครั้งในฐานะศูนย์กลางเศรษฐกิจภูมิภาคเอเชียตะวันออก รถไฟสินค้าจีน-ยุโรป กลับถึงจีนเมื่อวันที่ 29 เม.ย. 2017 ผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์วิสัยทัศน์ของจีน ทั้งในสหรัฐฯ ญี่ปุ่นและอินเดียตั้งข้อสังเกตว่าโครงการเส้นทางสายไหมและเส้นทางสายไหมทางทะเลในศตวรรษที่ 21 โดยส่วนใหญ่แล้วดูจะเป็นประโยชน์สำคัญทางยุทธศาสตร์ของจีน ทั้ง ท่อส่งก๊าซและน้ำมันข้ามเอเชียกลาง ท่าเรือในมหาสมุทรอินเดีย ซึ่งก่อสร้างทั้งในปากีสถาน และศรีลังกา โดยอาจใช้ประโยชน์ทั้งทางการทหารและเชิงพาณิชย์ ผู้สังเกตการณ์หลายคนเห็นว่าข้อริเริ่มเส้นทางสายไหมและเส้นทางสายไหมทางทะเลในศตวรรษที่ 21 มีวาระด้านภูมิศาสตร์การเมืองอย่างชัดเจน แต่จีนปฏิเสธอย่างแข็งขัน และเพื่อลดความหวาดหวั่นของเพื่อนบ้าน จีนได้วางกรอบแนวคิดว่าเป็นการฟื้นฟูเส้นทางสายไหมในยุคโบราณ ไม่ต่างอะไรจากกองคาราวานอูฐขนสินค้าจากจีนข้ามทวีปเอเชียไปตะวันตกเมื่อกว่า 1,000 ปีที่แล้ว แต่เป้าหมายของจีนคือการส่งสัญญาณถึงการใช้อำนาจแบบนุ่มนวลของจีน อำนาจอันทรงพลังแต่มีความเป็นสันติ เป็นการบอกชาวโลกว่าจีนพร้อมทำทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์ร่วมกัน เพียงแต่ว่าโครงการเส้นทางสายไหมฯ นี้ มีความทะเยอทะยานกว่าเส้นทางกองคาราวานอยู่หลายขุม พ่อค้าชาวคาตาโลเนีย (อาจจะเป็นพ่อค้าผ้าไหม) เดินทางไปตามเส้นทางสายไหม ประมาณปี 1350 ภาพนี้มาจาก 'แผนที่คาตาลัน' ปี 1375 ด้วยการเชื่อมโยงทั้งทางบกและทางทะเล เครือข่ายการขนส่ง โทรคมนาคม ท่อส่งพลังงาน และศูนย์กลางอุตสาหกรรม จีนรับปากจะดึงชาติต่าง ๆ กว่า 60 ประเทศ ที่มีประชากรราว 60% ของประชากรทั้งโลก เข้าร่วม การบอกเล่านิทานเรื่องนี้ของจีนให้คนในประเทศฟังมีข้อเน้นย้ำอยู่ที่โอกาสของภูมิภาคทางตะวันตกของประเทศ กับการผลักดันจีนเข้าสู่อุตสาหกรรมอย่างรถไฟความเร็วสูง และพลังงานนิวเคลียร์ ขณะที่สิ่งที่จีนสื่อกับภายนอกจะไม่เน้นเรื่องการเล็งผลเลิศ นิทานก่อนนอน นายสีอาจกลายเป็นข่าวหน้าหนึ่งในการประชุมที่จะมีขึ้นในสุดสัปดาห์นี้ แต่ นสพ.ไชน่าเดลี่ของทางการจีนได้อุ่นเครื่องเผยแพร่วิดีโอมีภาพตัวละครคุณพ่อชาวอเมริกันกำลังเล่านิทานก่อนนอนเรื่องเส้นทางสายไหมฯ ว่า "เป็นความคิดของจีน ที่เป็นของทั้งโลก" ในวิดีโอยังมีมิวสิควิดีโอเด็ก ๆ หลากหลายเชื้อชาติพากันขับร้องเพลงเชิดชูโครงการเส้นทางสายไหมฯ โดยมีอูฐเป็นภาพประกอบมิวสิควิดีโอที่มีเนื้อร้องว่า "เรากำลังแผ้วถางทาง สร้างท่าเรือ หาทางเลือกใหม่ ๆ กับเพื่อน ๆ ทุกหมู่เหล่า มันคือการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม เราค้าขายกัน ด้วยหัวใจที่เชื่อมโยง เราจะแข็งแกร่งขึ้น" วิดีโอการ์ตูนบอกว่าโครงการเส้นทางสายไหมศตวรรษที่ 21 เป็นโครงการที่ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย แต่ว่านายสี เล่านิทานเส้นทางสายไหมมา 4 ปีแล้ว ทำไมถึงเพิ่งเชิญผู้นำทั่วโลกมามาฟังเรื่องเล่าถึงกรุงปักกิ่งในตอนนี้? เป้าหมายของชาติ และเป้าหมายส่วนตัว คำตอบสั้น ๆ คือ เขาจำเป็นต้องกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจภายในประเทศที่กำลังชะลอตัว และการส่งออกขีดความสามารถในการก่อสร้างของจีนในโครงการเส้นทางสายไหมฯ จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจจีนในระยะสั้นและระยะกลาง หากโครงสร้างพื้นฐานประสบความสำเร็จเพียงบางโครงการ แต่ก็อาจจะมีส่วนช่วยการเติบโตของจีนในระยะยาว จากความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้นจากประเทศเพื่อนบ้าน แต่เหตุผลที่ถือว่าเป็นส่วนตัวมากกว่าก็คือวัฎจักรทางการเมืองของนายสีเอง ในประเทศที่มีพรรคการเมืองเดียว การเป็นหัวหน้าพรรคคอมมิวนิสต์มีความสำคัญยิ่งกว่าการเป็นประธานาธิบดี และปีนี้จีนจะจัดการประชุมใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์ การเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระดับโลกเช่นนี้จึงเป็นการเปล่งประกายราศีของการเป็นผู้ที่มีความคงกระพัน ด้วยการย้ำเตือนพรรคคอมมิวนิสต์จีนและประชาชนว่าเขาได้ทำให้จีนมีอิทธิพลเพิ่มมากขึ้นบนเวทีโลก พิธีปิดการประชุมใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีนวันที่ 14 พฤศจิกายน 2012 ซึ่งในวันต่อมามีการเปิดเผยกลุ่มผู้นำระดับสูงที่จะขึ้นมาบริหารประเทศในอีก 10 ปีข้างหน้า เหตุผลประการที่สามที่จีนจัดประชุมในช่วงนี้เป็นการฉวยโอกาสทางการเมืองอย่างมีไหวพริบ ในขณะที่พันธมิตรหลายชาติของสหรัฐฯ ในภูมิภาคต่างผิดหวังจากการถอนตัวออกจากความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก หรือ ทีพีพี ซึ่งผู้นำสหรัฐฯ คนก่อนหน้าเห็นว่ามีความสำคัญต่อสหรัฐฯ ในการเข้ามากำหนดกฎเกณฑ์ต่าง ๆในภูมิภาคแทนที่จะปล่อยให้จีนมีบทบาทเพียงฝ่ายเดียว พันธมิตรหลายชาติของสหรัฐฯ ในภูมิภาคผิดหวังจากการตัดสินของนายทรัมป์ในการถอนตัวออกจาก ความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก หรือ ทีพีพี (the Trans-Pacific Partnership: TPP) ผลลัพธ์ที่คลุมเครือ สุดสัปดาห์นี้ ท้องฟ้าเหนือกรุงปักกิ่งจะสดใสอีกครั้ง ผู้เข้าร่วมประชุมจะไม่ต้องเผชิญกับปัญหาหมอกควัน การจราจรที่ติดขัด หรือเห็นภาพเมืองที่เต็มไปด้วยอาคารขนาดใหญ่ที่ถูกทิ้งร้าง นี่คือวิธีการของ สี จิ้นผิง ในการแสดงให้เห็นว่าจีนคือปรมาจารย์ผู้สร้างที่น่าเกรงขาม และผู้ให้ความหวังว่าสิ่งที่จีนทำได้ ชาติอื่นก็ทำได้เช่นกัน แต่ความจริงก็คือ ความตั้งใจของนายสีเป็นเพียงหลักการที่กำหนดขึ้นเพื่อคนบางกลุ่ม บางเวลา และเพื่อเป้าหมายอันเฉพาะเจาะจงเพียงไม่กี่อย่าง แต่สิ่งนี้จะเป็นจริงได้มากเพียงใดในขณะที่เศรษฐกิจจีนมีปัญหารุมเร้า นักลงทุนของจีนก็มีความผิดพลาดไม่ต่างจากในประเทศอื่น ๆ เช่นกัน เงินและความสามารถในการก่อสร้างของจีนอาจทำให้เกิดสิ่งปลูกสร้างที่น่าอัศจรรย์ได้ในโครงการที่เหมาะสม และราคาที่เหมาะสม โครงการเส้นทางสายไหมและเส้นทางสายไหมทางทะเลในศตวรรษที่ 21 เป็นโครงการริเริ่มที่มีความสำคัญ แต่ขณะเดียวกันก็ขาดความชัดเจนทั้งเรื่องขอบเขต ช่วงเวลา และผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้น ดังนั้นบรรดาแขกของนายสี จึงไม่ควรทำผิดพลาดด้วยการคิดว่าผู้เล่นทุกคนในจีนจะทำตามความพยายามของเขา และไม่ควรคิดว่านิทานก่อนนอนทุกเรื่องจะกลายเป็นจริง
|
นี่คือเรื่องราวที่ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ตั้งใจจะบอกเล่าให้ชาวโลกฟัง
|
thailand-51205334
|
https://www.bbc.com/thai/thailand-51205334
|
งบ 2563 : 90 ส.ส. รัฐบาลยื่นศาลรัฐธรรมนูญตีความ พ.ร.บ.งบประมาณฯ 2563 เป็น “โมฆะ” หรือไม่ จากเหตุ “ฉลองเสียบบัตรค้าง”
|
ส.ส. ภูมิใจไทย ในระหว่างประชุมสภาเพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ วาระ 2 และ 3 เมื่อ 8-11 ม.ค. การเบิกจ่ายงบประมาณแผ่นดินปีนี้ วงเงินรวม 3.2 ล้านล้านบาท ซึ่งล่าช้ามากว่า 4 เดือนแล้ว มีแนวโน้มต้องยืดเยื้อต่อไปอีกอย่างน้อย 2 เดือน เพราะล่าสุดวันนี้ (22 ม.ค.) ส.ส.รัฐบาล 90 คน นำโดยนายวิรัช รัตนเศรษฐ ประธานกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร (วิปรัฐบาล) เข้าชื่อกันยื่นต่อนายชวน หลีกภัย ประธานสภา เพื่อขอให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยใน 3 ประเด็น ดังนี้ การดำเนินการดังกล่าวเป็นการใช้อำนาจตามข้อบังคับการประชุมสภาพ.ศ. 2562 ข้อ 139 ที่เปิดทางให้สมาชิกไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 ของสองสภา หรือ 75 จาก 750 คน ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าเป็นร่างกฎหมายที่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่ ภายใน 3 วันหลังวุฒิสภาให้ความเห็นชอบ นายวิรัช รัตนเศรษฐ โชว์เอกสารที่ ส.ส. รัฐบาลร่วมกันลงชื่อส่งศาลรัฐธรรมนูญตีความร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ 2563 วันเดียวกัน ส.ส. ฝ่ายค้าน 84 คนก็ได้ร่วมกันลงชื่อเพื่อยื่นต่อประธานสภาให้ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ 2563 เช่นเดียวกัน แต่อาศัยอำนาจตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 148(1) ทั้งนี้ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทย (พท.) ชี้ว่าความแตกต่างคือ คำร้องของรัฐบาลมุ่งขอให้ศาลตีความประเด็น ส.ส. เสียบบัตรแทนกัน ขณะที่ฝ่ายค้านมุ่งให้ตีความว่าร่างกฎหมายทั้งฉบับตราขึ้นโดยมิชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ 2563 ซึ่งมีเนื้อหา 55 มาตรา ได้ผ่านความเห็นชอบของทั้ง 2 สภาแล้ว โดยสภาผู้แทนราษฎรให้ความเห็นชอบเมื่อ 11 ม.ค. หลังเปิดอภิปรายในวาระ 2 และ 3 กันยาวนาน 4 วัน 3 คืน และส่งต่อให้วุฒิสภาพิจารณาและเห็นชอบเมื่อ 21 ม.ค. หลังใช้เวลาอภิปรายพอหอมปากหอมคอ 2 วัน ในระหว่างยังไม่ชัดเจนว่าร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ฉบับนี้จะเป็น "โมฆะ" หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม จะชะลอการนำร่างขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายเพื่อให้ทรงลงพระปรมาภิไธย บีบีซีไทยสรุปสภาพปัญหางบประมาณแผ่นดินเอาไว้ ดังนี้ ใครคือผู้เปิดประเด็นงบ 2563 ส่อ "โมฆะ" ผู้ขุด-คุ้ย-แคะข้อมูลจนเจอปัญหางบประมาณแผ่นดินส่อ "โมฆะ" มิใช่คนในขั้วตรงข้ามรัฐบาล หากแต่เป็นนายนิพิฎฐ์ อินทรสมบัติ อดีต ส.ส.พัทลุง และรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ที่ออกมาเปิดประเด็นเมื่อ 20 ม.ค. ว่า นายฉลอง เทอดวีระพงศ์ ส.ส.พัทลุง พรรคภูมิใจไทย (ภท.) ให้บุคคลอื่นเสียบบัตรแสดงตนและกดลงคะแนนแทน ในระหว่างการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ วาระ 2 ตั้งแต่มาตรา 31 จนถึงการลงมติวาระ 3 หรือตั้งแต่เวลา 20.55 น. ของวันที่ 10 ม.ค. ถึงเวลา 17.32 น. ของวันที่ 11 ม.ค. เนื่องจากมีหลักฐานปรากฏว่าช่วงระยะเวลาดังกล่าว นายฉลองไม่ได้อยู่ในห้องประชุมสภา แต่กลับมีชื่อเป็น "องค์ประชุม" และ "ร่วมลงมติ" การลงมติระหว่างการประชุมสภาเพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ เกิดขึ้นเป็นระยะ ๆ เนื่องจากมี กมธ. สงวนความเห็น และ ส.ส. สงวนคำแปรญัตติ นับร้อยคน จึงต้องลงมติกันแทบทุกมาตรา นายนิพิฏฐ์อ้างว่า เวลา 20.50 น. นายฉลองไปเดินอยู่ที่สนามบินหาดใหญ่ ก่อนที่วันรุ่งขึ้นจะไปปรากฏตัวเป็นประธานงานวันเด็กแห่งชาติที่จัดโดยเทศบาลตำบลอ่างทอง อ.ศรีนครินทร์ และองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ชะมวง อ.ควนขนุน จ.พัทลุง โดยมีภาพถ่ายในเฟซบุ๊กขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นดังกล่าวเป็นหลักฐานยืนยันมัดตัว ในฐานะนักฎหมาย นายนิพิฎฐ์ได้หยิบยกกรณี "ฉลอง ณ ภูมิใจไทย" ไปเทียบเคียงกับ "มือเสียบพรรคเพื่อไทย" อันหมายถึงนายนริศร ทองธิราช อดีต ส.ส. สกลนคร พรรคเพื่อไทย (พท.) เสียบบัตรและลงคะแนนแทนเพื่อน ส.ส. ในระหว่างการประชุมสภาเมื่อ 20 ก.ย. 2556 เพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ หรือที่รู้จักในนาม พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท ยุครัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ ต่อมาศาลรัฐธรรมนูญมีมติว่าร่าง พ.ร.บ. ดังกล่าว ตราขึ้นโดยไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ นี่กลายเป็นเหตุผลที่นายนิพิฏฐ์ตั้งข้อสังเกตว่ากรณี "ฉลองเสียบบัตรค้าง" อาจทำให้ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ 2563 ต้องเป็น "โมฆะ" หรือไม่ คำสารภาพของฉลอง "เสียบบัตรทิ้งไว้" จริง นายฉลองเป็นอดีตปลัดจังหวัดพัทลุงที่ลาออกจากราชการ ก่อนสวมเสื้อภูมิใจไทยลงสู่สนามเลือกตั้งครั้งแรก 24 มี.ค. 2562 ก็สามารถโค่นผู้แทนราษฎรฯ สังกัดพรรคสีฟ้าซึ่งยึดครองพื้นที่มายาวนานอย่างนายนิพิฏฐ์ลงได้ หลังถูกคู่แข่ง-คู่แค้นการเมืองออกมาแฉ นายฉลองรับสารภาพกับสื่อมวลชนว่าได้ออกจากรัฐสภาช่วงค่ำของวันที่ 10 ม.ค. จริง และ "ได้เสียบบัตรทิ้งไว้ แต่ไม่ได้มอบหมายให้ใครกดแทน" เขาแจกแจงว่า ต้องรีบกลับบ้านเพื่อเตรียมการรับศพญาติภายหลังจากประสบอุบัติเหตุ 5 ศพ ที่ อ.เขาค้อ จ.เพชรบูรณ์ นี่คือคำชี้แจงรายละเอียดเพียงหนเดียวของ "ฉลองเสียบบัตรค้าง" เพราะหลังจากนั้นเมื่อถูกสื่อมวลชนซักถามเพิ่มเติม เขาก็ไม่ประสงค์จะชี้แจงอีกแล้ว ปฏิกิริยาจากพรรคต้นสังกัด พฤติกรรมของ ส.ส. 1 คน ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนทางการเมืองกลับมายังพรรคต้นสังกัดอย่าง ภท. ซึ่งเป็นพรรคอันดับ 2 ของรัฐบาลผสม 18 พรรค อย่างมิต้องสงสัย นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.สาธารณสุข ในฐานะหัวหน้า ภท. ได้ออกคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการในการปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมของพรรค จำนวน 3 คน มีนายสิรภพ ดวงสอดศรี ผู้อำนวยการพรรค เป็นประธาน เพื่อดำเนินการสอบสวนกรณีนายฉลองให้ผู้อื่นเสียบบัตรแทนจริงหรือไม่ พร้อมกำหนดบทลงโทษตั้งแต่ขั้นตักเตือนไปถึงขั้นให้พ้นจากการเป็นสมาชิกพรรค นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้า ภท. (ซ้าย) นั่งประกบคู่นายจุรินทร์ ลักษณวิศิฎฐ์ หัวหน้า ปชป. "หากเขาทำผิดจริง ผมก็ไม่เลี้ยงไว้แน่นอน" และ "หากเจอตัวต้องตำหนิอย่างรุนแรง ต้องหวดกันบ้าง เพราะการประชุมสภาเป็นสิ่งสำคัญ" หัวหน้า ภท. แสดงท่าทีขึงขัง แต่ถึงกระนั้น เขาก็เห็นว่าการลืมบัตรไว้ที่สภาถือเป็นเรื่องปกติ เรื่องลืมเป็นเรื่องธรรมดา ขนาดตัวนายอนุทินเองยังลืมปากกา ลืมแว่น ไม่ใช่สาระสำคัญ ที่สำคัญคือต้องไม่ให้ใครกดบัตรแทน เชื่อว่าเจ้าตัวไม่ได้สั่งให้ใครกดแทน เพราะทราบดีถึงโทษและระเบียบอยู่แล้ว ส่วนการออกมาแฉของนายนิพิฏฐ์ จะกระทบกับความสัมพันธ์ระหว่าง ปชป. กับ ภท. หรือไม่นั้น นายอนุทินตอบว่า เป็นเรื่องส่วนตัว ความจริงทุกคนควรมีน้ำใจนักกีฬา รู้แพ้รู้ชนะรู้อภัย การแข่งขันเป็นเรื่องปกติ ถ้าชนะต้องไม่ประมาท ถ้าแพ้ต้องปรับปรุงตัวให้ดีขึ้น ไม่ใช่ใช้อารมณ์ส่วนตัวมาหาวิธีแก้มือกัน กรรมาธิการงบประมาณฝ่ายค้าน ทักทายประธานกรรมาธิการงบประมาณ นำโดยนายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง ด้านนายศุภชัย ใจสมุทร ส.ส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะนายทะเบียน ภท. ได้ออกมาเปิดเผย 7 ข้อเท็จจริง หลังพูดคุยกับนายฉลอง แนวทางสะสางปัญหาของฝ่ายนิติบัญญัติ นายชวน หลีกภัย ประธานสภา มอบให้นายสรศักดิ์ เพียรเวช เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ไปตรวจสอบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น "มีการเสียบบัตรแทนกันจริง และไม่พบว่ามีการเสียบบัตรค้างไว้ข้ามคืน" นายชวนกล่าวหลังได้รับรายงาน ประธานสภายังออกมาชี้ช่องเรื่องการให้สมาชิกรัฐสภา 1 ใน 10 เข้าชื่อกันยื่นศาลรัฐธรรมนูญตีความเพื่อให้เกิดความชัดเจน "ผมคงไปยุให้สมาชิกทำไม่ได้... แต่กฎหมายที่ต้องนำขึ้นทูลเกล้าฯ ไม่ควรมีปัญหา และต้องไม่มีอะไรเคลือบแคลงสงสัย กระบวนการอาจจะเสียเวลาไปบ้างแต่ก็ดีกว่ามาเคลือบแคลงกันทีหลัง" นายชวนระบุ ประธานสภาสังกัด ปชป. ยังตอบคำถามผู้สื่อข่าวที่ว่ากรณีที่เกิดขึ้นจะทำให้ภาพลักษณ์สภาเสียหายหรือไม่ โดยบอกว่า "อย่าไปห่วงภาพลักษณ์ ให้ห่วงความชอบธรรม ความถูกต้องดีกว่า เมื่อสภาเป็นสถาบันหลักต้องสร้างมาตรฐาน ไม่ใช่ไปปกปิดความจริงกัน ต้องให้โอกาสความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย" วานนี้ (21 ม.ค.) เลขาธิการสภาได้เรียกประชุมทีมกฎหมาย และเชิญผู้เกี่ยวข้องมาตรวจสอบและให้ข้อมูล ก่อนพบว่า "ข้อกล่าวหาของนายนิพิฏฐ์เป็นความจริง ทำให้ผลการลงมติตั้งแต่มาตรา 31-55 ตลอดจนข้อสังเกตของร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย" ที่มา : บีบีซีไทยสรุปจากคำแถลงข่าวของนายสรศักดิ์ เพียรเวช เลขาธิการสภา เมื่อ 21 ม.ค. 2563 ข้อสังเกตของทีมกฎหมายของสภาเห็นว่า กรณี "ฉลองเสียบบัตรค้าง" จะไม่ทำให้ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ 2563 ต้องตกไป เพราะเป็นเพียงเสียงเดียว แต่พร้อมเคารพการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อให้ทุกอย่างถูกต้องตามกระบวนการ เรื่องจริงที่ไม่อยากพูดของประยุทธ์ หลังรัฐบาลต้องใช้ พ.ร.บ.งบฯ ช้าไป 6 เดือน ขณะที่แกนนำรัฐบาลออกอาการ "หนาว ๆ ร้อน ๆ" ไปตาม ๆ กัน ทั้ง "มือกฎหมาย-มือเศรษฐกิจ" เพราะเกรงว่าพิษ ส.ส. เสียบบัตรแทนกัน จะกระทบต่อกฎหมายงบประมาณแผ่นดินที่ออกล่าช้าอยู่แล้ว ให้ต้องล่าช้ายิ่งขึ้น โดยเฉพาะเมื่องบลงทุนเบิกจ่ายออกไปไม่ได้ ในระหว่าง พล.อ.ประยุทธ์หอบหิ้ว ครม. ไปประชุมสัญจรถึง จ.นราธิวาส 20-21 ม.ค. จึงมีการปิดห้องคุยวงเล็ก ระหว่างนายกฯ, พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ, นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ และผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ ครม. สัญจรนราธิวาส ว่ากันว่า นายวิษณุได้ประเมินให้ผู้นำสูงสุดของรัฐบาลฟังว่าปัญหาที่เกิดขึ้น จะกระทบต่อการประกาศใช้ พ.ร.บ.งบประมาณฯ 2563 ซึ่งต้องล่าช้าไปอีก 1-2 เดือน โดยคาดว่าจะประกาศใช้ได้ราวเดือน เม.ย.-พ.ค. แต่ไม่ถึงขั้นที่กฎหมายจะกลายเป็น "โมฆะ" นายวิษณุเจ้าของฉายา "ศรีธนญชัยรอดช่อง" บอกใบ้กับสื่อมวลชนต่อปัญหาที่จะเกิดขึ้นกับงบ 3.2 ล้านล้านบาทเพียงว่า "ไม่เกิดผลกระทบเสียหาย แค่ล่าช้า" ผลที่จะตามมาจากกรณี ส.ส.เสียบบัตรแทนกันตามความเห็นของรองนายกฯ คือ 1. ร่างตกทั้งฉบับ 2. เสียไปเฉพาะมตินั้น และ 3. เสียไปเฉพาะหักคะแนนที่จับได้ว่าเป็นการเสียบบัตรแทนกัน ตรงนี้ก็สุดแท้แต่ หรืออาจจะมีข้อ 4, 5, 6 ซึ่งไม่ทราบ ไม่ควรพูดชี้นำ "ผลกระทบที่มีแน่ ๆ คือยืดเยื้อและใช้เวลา ตามที่เคยคาดว่างบประมาณจะออกได้ต้น หรือกลางเดือน ก.พ. ก็ไม่เป็นเช่นนั้น ความล่าช้านี้ทำให้เสียหายบ้าง แต่ไม่ถึงรุนแรงอะไร" นายวิษณุกล่าว โดยปกติ การใช้จ่ายงบประมาณแต่ละปีจะเริ่มเบิกจ่ายตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. ทว่าการจัดงบประมาณของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ทำได้ล่าช้า เนื่องจากต้องรอให้รัฐบาลหลังเลือกตั้งมาดำเนินการ ซึ่งเดิมสำนักงบประมาณคาดการณ์ว่าจะประกาศใช้ พ.ร.บ.งบประมาณฯ 2563 ได้ช่วงต้นเดือน ก.พ. ซึ่งก็ถือว่าล่าช้าไป 4 เดือนแล้ว แต่ปัญหาแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นจากปม ส.ส. เสียบบัตรแทนกัน ทำให้การประกาศใช้งบประมาณต้องล่าช้าไปถึง 6 เดือน ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ ออกอาการ "ไม่สบอารมณ์อย่างหนัก" หลังถูกสื่อตั้งคำถามเรื่องร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ส่อเค้าเป็น "โมฆะ" จากปม ส.ส. เสียบบัตรแทนกัน โดยบอกว่า เป็นเรื่องของการเมือง อย่าเอาปัญหานี้มาถามนายกฯ เพราะเป็นรัฐบาลเป็นฝ่ายบริหาร เรื่องของสภาเป็นเรื่องของคนอื่น ผู้สื่อข่าวซักต่อว่า แต่นายกฯ เกี่ยวข้องในฐานะผู้ใช้งบ พล.อ.ประยุทธ์ตอบด้วยน้ำเสียงดุดันว่า "ก็เขาไม่ออกงบฯ มาให้ แล้วเป็นความผิดของใครล่ะ เป็นความผิดที่ผมเหรอ ความผิดของใครไปตรวจสอบมาสิจ๊ะ ขั้นตอนมันติดตรงไหน ไม่ใช่มาถามผม เพราะผมเป็นคนรอรับงบฯ มาใช้" ถูกฉะ-แฉ "ก๊อก 2" ปม "นาทีทัวร์จีน" และ ส.ส.ภท. และ พปชร. เสียบบัตรเกิน 1 ใบ นอกจากปม "ฉลองเสียบบัตรค้าง" ยังมีอีก 2 ประเด็นร้อนที่ยังรอการตรวจสอบ กรณีแรก นายนิพิฏฐ์คนเดิมออกมาแฉเพิ่มเติมว่ามีหลักฐานว่านางนาที รัชกิจประการ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ภท. เดินทางไปทัวร์จีนวันโหวตงบประมาณ โดยผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) เวลา 15.28 น. ของวันที่ 11 ม.ค. ทว่าในเวลา 15.46 น. กลับมีชื่อของนางนาทีร่วมลงมติในมาตรา 49 และถ้าย้อนเวลาเดินทางอย่างน้อย 1 ชั่วโมง พบว่า มีการลงมติในมาตรา 45-49 จึงเรียกร้องให้ ภท. "เสียสละอวัยวะเพื่อรักษาร่างกาย" ให้ ส.ส.ภท. ออกมายอมรับว่าไม่ได้ร่วมโหวตมาตราใด เพื่อไม่ให้ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ทั้งฉบับต้องตกไป ซึ่งเรื่องนี้หัวหน้า ภท. ยังขอเวลาตรวจสอบ กรณีที่สอง ช่างภาพสถานีทิวีดิจิทัลช่อง 35 หรือที่รู้จักในนามช่อง 7 HD เผยแพร่คลิปวิดีโอระหว่างการลงมติร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ วันที่ 8 ม.ค. ซึ่งปรากฏภาพ ส.ส.ภท. รายหนึ่งถือบัตรลงคะแนนในมือมากกว่า 1 ใบ ก่อนเสียบบัตรลงคะแนนเข้าไปในเครื่องลงคะแนนมากกว่า 1 ครั้ง อีกภาพเกิดขึ้นวันที่ 10 ม.ค. เห็น ส.ส.หญิงสังกัด พปชร. และ ส.ส.ชายสังกัด ภท. วางบัตรลงคะแนนบนโต๊ะ 2 ใบ ก่อนจะหยิบบัตรลงคะแนนเสียบเข้าไปในเครื่องลงคะแนน เกี่ยวกับกรณีนี้ ประธานวิปรัฐบาลบอกว่ายังไม่ทราบว่าเป็นการลงมติเรื่องอะไร
|
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) สังกัดรัฐบาล 90 คน ยื่นเรื่องผ่านประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อขอให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 เป็น "โมฆะ" หรือไม่ เนื่องจากมีการใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์แสดงตนและลงมติทั้งที่ไม่ได้อยู่ในห้องประชุมในระหว่างการพิจารณาวาระ 2 และ 3
|
international-42236664
|
https://www.bbc.com/thai/international-42236664
|
เงินสดยังจำเป็นอยู่ไหม ในโลกยุคดิจิทัล?
|
ปัจจุบันความนิยมชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์มีเพิ่มมากขึ้น จากการสำรวจความคิดเห็นทางออนไลน์ของคนในยุโรป สหรัฐฯ และออสเตรเลีย ราว 1,000 คน ในปี 2017 โดย ING ผู้ให้บริการด้านการธนาคาร การเงิน ประกันภัย และการบริหารสินทรัพย์ พบว่าคนราว 1 ใน 3 พร้อมที่จะเลิกใช้เงินสด ในการชำระค่าสินค้าและบริการ ในปัจจุบันคนยุโรปราว 1 ใน 5 (21%) แทบจะไม่ได้ใช้เงินสดเลย โดยประเทศที่คนยังใช้เงินสดมากอยู่คือเยอรมนี ส่วนคนในฝรั่งเศสและสหรัฐฯ ใช้เงินสดน้อยลงทุกที ไอเอ็นจีระบุว่าความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทำให้บัตรเดบิตและเครดิต เป็นเครื่องมือในการชำระเงินแทนธนบัตรและเหรียญ อย่างไรก็ดี ทางเลือกในการชำระเงินด้วยระบบดิจิทัลผ่านโทรศัพท์มือถือก็กำลังคืบคลานเข้ามาแทนที่ ในขณะเดียวกันบางประเทศพยายามหาทางยุติการชำระค่าใช้จ่ายด้วยเงินสดอย่างสิ้นเชิง ซึ่งผู้เชี่ยวชาญหลายคนเห็นว่าเป็นวิธีการที่จะหยุดยั้งการ คอร์รัปชันและการเลี่ยงภาษีได้ ตัวอย่างเช่นในประเทศที่ใช้เงินสกุลยูโรเอง จะยกเลิกการใช้ธนบัตรมูลค่า 500 ยูโร ภายในสิ้นปีหน้า
|
สังคมไร้เงินสด เป็นประเด็นที่หลายประเทศให้ความสนใจ ซึ่งรวมถึงประเทศไทยเองที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เคยกล่าวผ่านรายการศาสตร์พระราชา เมื่อวันที่ 1 ก.ย. เชิญชวนประชาชนและภาคธุรกิจ ให้หันมาใช้การชำระเงินโดยใช้บัตรเดบิตกับโทรศัพท์มากขึ้น และใช้เงินสดน้อยลง โดยให้เหตุผลข้อหนึ่งว่าเพื่อความสะดวกสบาย และปลอดภัยไม่ต้องกลัวถูกฉกชิงวิ่งราว
|
39454517
|
https://www.bbc.com/thai/39454517
|
30 ปี ของศึกพิพาทที่ดิน: ณ ระนอง vs 54 ชาวบ้าน
|
30 ปี ของศึกพิพาทที่ดิน: ณ ระนอง vs 54 ชาวบ้าน ร่องรอยต้นกาแฟเก่า มังคุด และมะพร้าวที่ชาวบ้านเคยปลูกไว้ ยังมีให้เห็นอยู่รอบๆ หลุมฝังศพทั้งสามหลุมของตระกูล ณ ระนองที่ตั้งอยู่บนเทือกเขาใน อ. เมือง จ. ระนอง พื้นที่ซึ่งเคยเป็นที่อยู่อาศัยของชาวบ้านกว่า 50 ราย รวมถึงนายภิรมย์ สองสมุทร อดีตศึกษานิเทศเขตวัย 62 ปี ซึ่งเป็นจำเลยรายล่าสุดที่ถูกฟ้องคดีอาญาข้อหาบุกรุกที่ดินพระราชทาน สุสานคอซู้เจียง บ้านของเขาถูกรื้อครั้งที่สอง หลังจากที่ศาลฎีกาได้ตัดสินในปี 2558 ว่าเขามีความผิดจริง ทั้งๆ ที่เป็นที่ดินที่มีโฉนดที่เขาซื้อมาเมื่อปี 2524 ต้นยางพาราที่นายภิรมย์เคยปลูกไว้กว่า 4,000 ต้นเพื่อกรีดน้ำยาง ปัจจุบันได้ถูกโค่นไปหมด และในปีที่แล้ว มีคนเข้ามาทำประโยชน์ในพื้นที่ตรงนั้น โดยการปลูกปาล์มและพืชผักสวนครัว เช่นเดียวกันกับที่ดินบริเวณใกล้เคียงกัน ซึ่งมีการทำสวนปาล์ม ทุเรียน กล้วย มะพร้าว และแบ่งสรรปันส่วนเป็นล็อคๆ พระยาดำรงสุจริตมหิศรภักดี (คอซูเจียง ณ ระนอง) ซึ่งได้รับพระราชทานที่ดินจากรัชกาลที่ 5 เพื่อทำเป็นสุสานของบุคคลในตระกูล ณ ระนอง นายโกศล ณ ระนอง ผู้รับมอบอำนาจจากร้อยโทอภินันท์ ณ ระนอง ผู้จัดการมรดกของตระกูล ณ ระนอง กล่าวว่า เดิมที่ดินพระราชทานจากรัชกาลที่ 5 ผืนนี้ ต้นตระกูล ณ ระนอง ได้ใช้เป็นที่ฝังศพอย่างเดียว แต่ในระยะหลังมีการเข้าไปปรับปรุงเป็นสวนโดยลูกหลานของตระกูล เพื่อป้องกันการบุกรุก แม้ว่าคดีของนายภิรมย์และชาวบ้านรายอื่นๆ จะถึงที่สุดแล้ว แต่พวกเขายังค้างคาใจว่าไม่ได้รับความยุติธรรม เนื่องจากที่ดินที่รังวัดไม่ได้เป็นไปตามพระบรมราชโองการของรัชกาลที่ 5 ส่งผลทำให้เนื้อที่เกินความเป็นจริง และไม่เคยมีการต่อสู้เรื่องนี้กันในศาลมาก่อน ส่วนนายโกศลยืนยันว่าที่ดินกว่า 500 ไร่นั้น เป็นของตระกูล ณ ระนองทั้งหมด แผนที่ที่นายโกศลเป็นผู้นำชี้แนวเขต และต่อมาใช้เพื่อฟ้องร้องชาวบ้าน 53 ราย เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา นายภิรมย์ปั่นจักรยานจากระนองไปกรุงเทพฯ เป็นเวลา 5 วัน เพื่อยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมที่ทำเนียบรัฐบาลและกรมสอบสวนคดีพิเศษ "ตอนนี้ต่อสู้เพื่อความเป็นจริง ว่าที่ดินพระราชทานอยู่ตรงไหนกันแน่" เขากล่าวกับ บีบีซีไทย ออกไปรังวัด แม้ว่าในปี 2433 รัชกาลที่ 5 ได้มีพระบรมราชโองการพระราชทานที่ดินตำบลเขาระฆังทอง ซึ่งปัจจุบันอยู่ในอำเภอเมืองระนอง ให้คอซิมก๊อง ณ ระนอง ผู้ว่าราชการเมืองระนอง ขณะนั้น สำหรับใช้ทำเป็นสุสานของคนในตระกูล พร้อมแผนที่ผูกติดกับหนังสือพระราชทานที่ดินก็ตาม แต่นายโกศลอ้างว่าแผนที่นั้นสูญหายไป ในปี 2498 กรมที่ดินได้มีการออกแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค. 1) ให้กับนายบุญศักดิ์ ณ ระนอง ผู้จัดการมรดก ณ ขณะนั้น โดยมีพื้นที่ทั้งหมด 342 ไร่ และมีความยาวของทิศต่างๆ ตรงตามที่รัชกาลที่ 5 ระบุไว้ในหนังสือพระบรมราชโองการ คือ ทิศเหนือยาว 18 เส้น ทิศใต้ยาว 20 เส้น ทิศตะวันออกยาว 20 เส้น 15 วา และทิศตะวันตกยาว 15 เส้น นายโกศล ณ ระนอง แต่นายโกศล ซึ่งเข้ามาดูแลที่ดินพระราชทานของตระกูล ณ ระนอง เมื่อประมาณปี 2525 กล่าวกับบีบีซีไทย ที่อาคารศาลบรรพบุรุษตระกูล ณ ระนอง ว่า เขาไม่เห็นด้วยกับแนวเขตที่ระบุไว้ในแบบ ส.ค. 1 และได้ไปแจ้งที่ดินเพื่อรังวัดที่ดินใหม่เพื่อการออกโฉนด ซึ่งนายโกศลกล่าวว่า สมัยนั้นการรังวัดที่ดินทำโดยใช้โซ่วัด ซึ่งเป็นเหล็กอ่อนๆ ม้วนเก็บได้ ความยาวประมาณ 20 เมตร โดยดึงโซ่ไปที่จุดที่ดินแต่ละจุดและคำนวณหาพิกัดที่ดิน "ผมไปรังวัดเอง ไปเดินขึ้นเขาเอง ที่ดินก็วาดให้ตามที่เรารังวัด" นายโกศล อายุ 68 ปี กล่าว และยืนยันว่า เขาไม่ได้ชี้แนวเขตออกนอกเขตที่ดินพระราชทาน แม้ว่าจะไม่ยึดถือตามระยะที่ดินที่กำหนดไว้ในหนังสือพระบรมราชโองการก็ตาม ที่ระบุว่ามีจำนวนเนื้อที่คำนวณเป็นตารางเส้นได้ 375 เส้นกับ 300 ตารางวา หรือ 375 ไร่ 300 ตารางวา เพียงแต่รังวัดตามแนวเขตธรรมชาติ ซึ่งระบุว่า ด้านตะวันออกและตะวันตกมีลำคลองเป็นเขต และทิศใต้ชี้แนวเขตที่ดินไปจนถึงตลิ่งลงที่เลน ส่วนทิศเหนือของที่ดินพระราชทานมีหลักซึ่งกรมการปักไว้เป็นเขต แต่ตนไม่เคยเห็นหลักดังกล่าว จึงได้อาศัยสุสานต่างๆ ซึ่งตั้งอยู่ทางด้านทิศเหนือของที่ดินพระราชทาน และตั้งอยู่บนเนินเขา "ทางเรายึดถือขอบเขตโดยไม่คำนึงว่าเนื้อที่เท่าไหร่" นายโกศลกล่าว พบผู้บุกรุก กลุ่มชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบ ครอบครัวของนางรุ่งทิพย์ นิยมไทย เป็นหนึ่งในชาวบ้านที่เข้ามาอยู่อาศัยในพื้นที่ใกล้เคียงบริเวณเขตที่ดินสุสานเป็นครอบครัวแรกๆ โดยที่ดินของปู่และย่าของเธอจำนวน 27 ไร่ ได้ออก ส.ค. 1 เมื่อปี 2498 ครอบครัวของเธอเป็นหนึ่งในจำเลย 53 รายที่ถูกฟ้องคดีแพ่ง ข้อหาบุกรุกที่ดินพระราชทาน ซึ่งต่อมาศาลฎีกาพิพากษาในปี 2535 ว่าจำเลยทั้งหมดมีความผิดจริง นางรุ่งทิพย์ ซึ่งปัจจุบันอายุ 46 ปีและประกอบอาชีพขายน้ำเต้าหู้ กล่าวว่า สาเหตุที่แพ้คดีเนื่องจากทนายความตั้งประเด็นผิดตั้งแต่แรก นั่นคือ ตั้งสู้ว่าครอบครองปรปักษ์ ซึ่งนั่นหมายความว่า พวกเขายอมรับว่าอาศัยอยู่ในที่ดินเป็นเวลาเกิน 10 ปีขึ้นไป ซึ่งกฎหมายให้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินได้ แทนที่จะฟ้องว่าอยู่นอกเขตที่ดินพระราชทาน นายชวลิต พิชยกัลป์ อีกหนึ่งในจำเลยกล่าวว่า คดีนี้ศาลได้ใช้แผนที่ที่นายโกศลเป็นผู้ขอให้เจ้าหน้าที่ที่ดินเป็นผู้รังวัดเมื่อปี 2525 ซึ่งใช้เป็นแผนที่พิพาทในศาลที่ทำการรังวัดโดยขาดการมีส่วนร่วมของชาวบ้านที่อยู่อาศัยในพื้นที่พิพาทในการนำชี้ที่ดิน นายชวลิตกล่าวอีกว่าแม้เขาอาศัยอยู่ในพื้นที่ตรงนั้นมาเป็นเวลา 19 ปี แต่ที่ดินประมาณสองไร่ของเขาก็ถูกตระกูล ณ ระนองคัดค้านการออกโฉนด สุสานของตระกูล ณ ระนอง ซึ่งอยู่ในพื้นที่พิพาทระหว่างตระกูลกับชาวบ้าน "ยังแคลงใจอยู่ว่าเราแพ้เพราะเหตุผลอะไร ทำไมทนายไม่สู้ว่าอยู่นอกเขตพระราชทาน เขาสู้แบบนี้เราก็ไม่รู้ว่าจะขัดเขาอย่างไร" นายชวลิต วัย 69 ปี กล่าว สิบปีหลังจากคำพิพากษาศาลฎีกาคดีชาวบ้าน 53 ราย นายภิรมย์เป็นรายล่าสุดที่ถูกดำเนินคดีข้อหาบุกรุกที่ดินพระราชทาน ซึ่งเขาก็ได้แพ้คดีแพ่งและอาญาที่ฟ้องเมื่อปี 2545 และปี 2552 เขาได้สร้างบ้านในบริเวณเดียวกันกับที่เกิดเหตุในคดีที่แล้ว ในการทำแผนที่พิพาทในคดีหลังนี้ นายโกศลและนายภิรมย์เป็นผู้นำชี้แนวเขตที่ดิน โดยมีเจ้าหน้าที่จากสำนักงานที่ดินจังหวัดระนอง เป็นผู้รังวัดและจัดทำแผนที่พิพาท โดยใช้กล้องอิเล็กทรอนิกส์เป็นเครื่องมือรังวัด ซึ่งหลังจากรังวัดที่ดินและคำนวณเนื้อที่เสร็จแล้ว จากแผนที่พิพาทที่ผู้สื่อข่าวเห็น ปรากฏว่าที่ดินของนายโกศลนำชี้มีเนื้อที่กว่า 534 ไร่ พื้นที่งอก พันเอกปิยะ จารุกาญนจ์ ซึ่งในขณะนั้นรับราชการอยู่ที่กรมแผนที่ทหาร และได้รับเชิญให้มาเป็นพยานจำเลยในคดีที่นายภิรมย์ถูกฟ้องข้อหาบุกรุกที่ดิน ได้นำแผนที่พิพาทมาวิเคราะห์ว่าพื้นที่พระราชทานควรอยู่ตรงไหน โดยใช้วิธีสแกนแผนที่พิพาทเข้าไปในโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ซึ่งระบบการคำนวณพื้นที่ที่สามารถรังวัดพื้นที่ได้เลย พันเอกปิยะกล่าวว่า การจะทราบแนวเขตที่ดินพระราชทานที่แท้จริงจะต้องดูระยะของที่ดินและลักษณะภูมิประเทศประกอบกันด้วย ไม่ใช่ดูอย่างใดอย่างหนึ่งเหมือนที่นายโกศลนำชี้เฉพาะแนวเขตธรรมชาติให้เจ้าหน้าที่ที่ดิน จากการคำนวณของพันเอกปิยะ พบว่าที่ดินพระราชทานมีเนื้อที่กว่า 382 ไร่เท่านั้น ไม่ใช่ 534 ไร่ตามแผนที่พิพาท "การที่รัชกาลที่ 5 พระราชทานที่ดิน ท่านกำหนดไว้ว่าทิศไหนจรดอะไร ประเด็นที่สองกำหนดว่าแต่ละด้านยาวเท่าไหร่ เพราะฉะนั้นเนื้อที่ต้องหาให้ได้ระยะประมาณนั้น" พันเอกปิยะกล่าว เมื่อนำระยะที่ดินต่างๆ ดังกล่าวมาคำนวณแล้ว พบว่าที่ดินพระราชทานมีเนื้อที่กว่า 382 ไร่เท่านั้น ไม่ใช่ 534 ไร่ตามแผนที่พิพาท และเนื้อที่กว่า 146 ไร่นั้นอยู่นอกเขตที่ดินพระราชทาน "สมัยก่อนไม่มีใครคิดจะหาเนื้อที่และระยะที่อยู่ตามพระบรมราชโองการว่าอยู่ตรงไหน ซึ่งจริงๆ แล้วกลายเป็นว่า ณ ระนองไม่ปฏิบัติตามพระบรมราชโองการ ท่าน (ร.5) พระราชทานไว้ 382 ไร่ ท่าน (นายโกศล) ไปเอา 500 ไร่" พันเอกปิยะกล่าวกับบีบีซีไทย "ถ้าคำนึงถึงหลักวิชาการ ความคลาดเคลื่อนของที่ดิน ไม่น่าเคลื่อนเป็นร้อยๆ ไร่อย่างนั้นหรอก" ทั้งนี้ นายโกศลยังยืนยันว่า การที่ตนยึดแนวเขตธรรมชาติตามพระบรมราชโองการเพียงอย่างเดียว โดยไม่คำนึงถึงเนื้อที่ ไม่ได้เป็นการกระทำที่ขัดพระบรมราชโองการ นายโกศลกล่าวว่า ลูกหลานตระกูล ณ ระนองได้เข้ามาทำสวน เพื่อป้องกันการบุกรุก ศาลจังหวัดระนองเมื่อปี 2557 ได้พิพากษาว่านายภิรมย์มีความผิดฐานบุกรุกที่ดิน โทษจำคุก 1 ปี โดยศาลมองว่าคดีก่อนซึ่งศาลอุทธรณ์เคยวินิจฉัยไปแล้วว่าที่ดินนั้นเป็นที่สุสาน ในคดีนี้ เมื่อจำเลยยอมรับว่าที่เกิดเหตุเป็นที่เดียวกับคดีก่อน จึงฟังว่าจำเลยบุกรุกในที่ดินดังกล่าว แม้ในคดีหลังจำเลยจะมีพยานหลักฐานใหม่ก็ตาม ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง เนื่องจากการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำที่ใช้ในการพิจารณาคดีแพ่ง หากนำมาใช้ในคดีอาญาย่อมเป็นหลักกฎหมายปิดปาก ซึ่งทำให้การวินิจฉัยการกระทำความผิดของจำเลยในคดีอาญาเป็นไปอย่างจำกัดสิทธิ์ จึงได้พิจารณาไปถึงข้อเท็จจริง และเมื่อพิจารณาคำเบิกความของนายโกศล พบข้อพิรุธ คือ การชี้แนวเขตโดยไม่ทราบแนวเขตที่แน่ชัดตามหนังสือพระราชทาน นอกจากนั้น ตระกูล ณ ระนองยังเคยแจ้งการครอบครองที่ดินต่อทางราชการ ซึ่งมีแนวเขตทั้งสี่ด้านตรงกับหนังสือพระราชทาน และระบุที่ดินเพียง 342 ไร่ แต่เมื่อปี 2558 ศาลฎีกาพิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น เรียกร้องการตรวจสอบตำแหน่งใหม่ บ้านของนายภิรมย์ถูกรื้อเป็นครั้งที่สอง แม้ว่าชาวบ้านทั้งหมดที่เคยถูกดำเนินคดีบุกรุกที่ดิน จะแยกย้ายกันไปอยู่อาศัยนอกเขตพื้นที่พิพาทดังกล่าวแล้ว แต่มีบางส่วนที่อยากให้มีการตรวจสอบตำแหน่งที่ดินใหม่ เนื่องจากไม่เคยมีการต่อสู้เรื่องการรังวัดมาก่อน โดยมองว่าตระกูล ณ ระนองมีการชี้ผิดตั้งแต่แรก นางสาวคุณัญญา สองสมุทร บุตรของนายภิรมย์ กล่าวว่า ภายในเดือน พ.ค. ตนจะฟ้องศาลปกครอง ว่าเจ้าหน้าที่ที่ดินที่เคยทำแผนที่พิพาททุกคดี ปฏิบัติหน้าที่ทำให้ชาวบ้านได้รับความเสียหาย เช่น ระบุตำแหน่งเขาระฆังทองผิด และไม่มีการคำนวณเนื้อที่ให้ชัดเจน ระหว่างนี้ กรมที่ดินได้ส่งหนังสือไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดระนอง ให้ตรวจสอบเรื่องที่นายภิรมย์ยื่นเรื่องไปที่สำนักนายกรัฐมนตรี เกี่ยวกับการให้ตรวจสอบตำแหน่งที่ดินพระราชทาน บ้านหลังปัจจุบันของนายภิรมย์ "ที่มีปัญหา คือ เขาไม่ยอมทำตามเอกสารของเขา และส่งผลกระทบกับเรา ซึ่งที่ผ่านมายังไม่มีการต่อสู้ว่าไม่มีการทำตามเอกสาร" นางสาวคุณัญญากล่าว และเพิ่มเติมว่า การนำชี้ที่ดินของนายโกศลเพื่อจัดทำแผนที่พิพาทไม่ถูกต้องตรงกับหนังสือพระราชทานที่ดิน จึงทำให้พนักงานที่ดินคำนวณเนื้อที่ที่ดินตามที่นายโกศลนำชี้ว่ามีเนื้อที่กว่า 534 ไร่ ทั้งนี้ นายโกศลยังยืนยันกับบีบีซีไทยว่า พื้นที่ทั้งหมดที่เขานำชี้นั้น อยู่ในขอบเขตของพระบรมราชโองการ "ทางเราตีความเข้าข้างเรา ทางเขาก็ตีความเข้าข้างเขา แต่ยึดหลักศาลพิพากษา เพราะทุกคนต้องเชื่อฟังคำสั่งศาลอยู่แล้วตามกฎหมายไทย" เขากล่าว จากพื้นที่กว่า 500 ไร่ที่นายโกศลอ้างว่าเป็นที่ดินของตระกูล ณ ระนองทั้งหมด มีการสร้างสุสานของบุคคลต่างๆ ในตระกูล ณ ระนองไว้เพียง 15 แห่งเท่านั้น และตั้งอยู่แบบกระจัดกระจาย ซึ่งแห่งสุดท้ายสร้างเมื่อปี 2543 ไว้เป็นที่ฝังศพของนายฐิตินันท์ ณ ระนอง อดีตเอกอัครราชทูตไทย นายภิรมย์ สองสมุทร นายโกศลกล่าวว่า หลังจากนั้น ไม่มีการสร้างสุสานเพิ่มเติม เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายสูง และการทำสุสานตามประเพณีจีนต้องคำนึงถึงว่าในอนาคตจะมีลูกหลานมาดูแลหรือไม่ จนถึงปัจจุบัน พื้นที่สุสานพระราชทานก็ยังไม่ได้รับการออกโฉนด นับตั้งแต่ที่นายโกศลยื่นเรื่องต่อกรมที่ดินเพื่อทำการรังวัดเมื่อปลายปี 2524 "เราไม่จำเป็นต้องออกโฉนดก็ได้ เพราะมีพระบรมราชโองการ ศักดิ์สิทธิ์กว่าโฉนด" นายโกศลกล่าว แต่ชาวบ้านคู่พิพาทบอกว่า จะนำเรื่องนี้ ดำเนินการหาความยุติธรรมจนถึงที่สุด "ขยายเป็น 500 ไร่ ทำให้พ่อเดือดร้อน 30 ปีแล้ว เหมือนตกนรกทั้งเป็น หมดทุกสิ่งทุกอย่าง พ่อไม่มีอะไรเหลือแล้ว พ่ออยากพิสูจน์ความบริสุทธ์ว่าพ่อผิดจริงไหม" นายภิรมย์ใช้สรรพนามแทนตัวว่า "พ่อ" ขณะกล่าวกับ บีบีซีไทย ด้วยน้ำตาคลอ
|
ศึกพิพาทที่ดินมาราธอน สามทศวรรษหลังชาวบ้านกว่า 50 รายถูกคำสั่งศาลขับไล่ออกจากพื้นที่สุสานพระราชทานของตระกูล ณ ระนอง ขณะนี้ชาวบ้านบางส่วนกำลังเรียกร้องให้ทางการรังวัดที่ดินใหม่ หลังปรากฏหลักฐานใหม่ว่า พื้นที่ดังกล่าวเพิ่มขึ้น จาก 375 ไร่ที่ระบุไว้ในพระบรมราชโองการของรัชกาลที่ 5 เป็น 500 กว่าไร่
|
thailand-54568639
|
https://www.bbc.com/thai/thailand-54568639
|
ชุมนุม 16 ตุลา : ปฏิบัติการสลายพลังเยาวชนคนหนุ่มสาวหลังนายกฯถาม "ผมผิดอะไร"
|
สถานการณ์ดูตึงเครียดตั้งแต่ช่วงเช้า เมื่อ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เรียกประชุมคณะรัฐมนตรีนัดพิเศษ เพื่อผ่านความเห็นชอบประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรงใน กทม. ฉบับที่ 2 โดยนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ลงนามในวันเดียวกัน ให้มีผลบังคับใช้ถึงวันที่ 13 พ.ย. หลังการประชุม เขาแถลงกับผู้สื่อข่าวว่า รัฐบาลไม่ได้มุ่งหวังทำร้ายใคร และที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่เป็นฝ่ายที่ถูกทำร้ายและถูกขัดขวางการปฏิบัติงาน "เจ้าหน้าที่ทำอย่างเต็มที่ ไม่มีการใช้กำลัง มีแต่ถูกใช้กำลังทั้งสิ้น เราจะอยู่กันอย่างนี้เหรือ" เขาตั้งคำถามผ่านสื่อมวลชน "เจ้าหน้าที่โดนทำร้าย โดนกระทำทั้งหมด ไม่เคยให้กำลังใจเจ้าหน้าที่กันเลย แล้วใครจะทำงานให้" หนึ่งในสามข้อเรียกร้องผู้ชุมนุม คือ ให้นายกฯลาออก ซึ่ง พล.อ. ประยุทธ์ ย้ำว่า "ไม่ออกอะ...แล้ววันนี้ผมทำความผิดอะไรหรือ ผมผิดอะไรหรือ" ไม่สนคำสั่งห้ามชุมนุม ตั้งแต่ช่วงบ่ายของวันที่ 16 ต.ค. ตำรวจหลายกองร้อยได้เข้าสู่พื้นที่บริเวณสี่แยกราชประสงค์ ตั้งแนวสกัดไม่ให้ประชาชนชุมนุม หลังการชุมนุมเมื่อวันที่ 15 ต.ค. มีผู้มาร่วมนับหมื่นคน เป็นไปอย่างสงบ และจบลงในเวลาราว 22.00 น. ตำรวจปิดการจราจร บริเวณ ถ.พญาไท ตั้งแต่แยกประทุมวัน แยกราชเทวี รวมถึงแยกสามย่าน ส่วนบริการบีทีเอสนั้น มีการปิด 5 สถานีหลัก คือ ชิดลม ราชดำริ สยาม สนามกีฬา และราชเทวี พล.ต.ต. ยิ่งยศ เทพจำนงค์ โฆษกของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ออกมาแถลงห้ามผู้ชุมนุมมาร่วมชุมนุมที่แยกราชประสงค์ถึง 3 ครั้ง คือ 13.00 น 16.20 น. และ 17.15 น."เพื่อให้เป็นไปตามหลักสากลในการควบคุมฝูงชน" "ท่านจะจัดการชุมนุมไม่ได้โดยเด็ดขาด หากพบการกระทำผิดเราจพเป็นต้องดำเนินการตามกฎหมาย" โฆษก ตร. กล่าวประโยคนี้ซ้ำสองครั้ง เช่นเดียวกับประโยคที่ว่า "มาตรการบังคับใช้กฎหมายจะเริ่มเข้มข้นขึ้น" สรุปรอบวัน หนึ่งในการสกัดการชุมนุม คือ คำสั่งของกองอำนวยการร่วมแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง (กอร.ฉ.) ที่ห้ามเคลื่อนย้ายพาหนะ 3 ชนิดเข้าพื้นที่ชุมนุม คือ รถดัดแปลงเป็นเครื่องขยายเสียง รถสุขาเคลื่อนที่ และรถขนเครื่องอุปโภคบริโภค ผู้จัดเปลี่ยนสถานที่นัดหมายมาเป็นแยกปทุมวัน ผู้ชุมนุมมารอตั้งแต่ 15.00 น. จนกระทั่ง 17.10 น. แกนนำ "คณะราษฎร 2563" ซึ่งมี น ส. จุฑาทิพย์ ศิริขันธ์ เป็นหนึ่งในนั้น ปรากฏตัวที่แยกปทุมวัน กลุ่มผู้ชุมนุมส่วนใหญ่ขณะนี้เป็นเยาวชนและนักเรียน เกาะกลุ่มทอดแนวไปจนบริเวณหน้าห้างมาบุญครอง แกนนำประกาศเชิญชวนประชาชนที่อยู่ด้านบนสกายวอล์คให้ลงมาร่วมชุมนุม พร้อมระบุว่า "เราหลอกตำรวจสำเร็จแล้ว" ตร.เดินหน้ากระชับพื้นที่ 18.20 น. ตำรวจประกาศให้ผู้ชุมนุมเลิกการชุมนุม และอ่านข้อกำหนด 3 ข้อตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ ห้ามชุมนุมเกิน 5 คน จากนั้นสั่งให้ตำรวจควบคุมฝูงชนพร้อมโล่และกระบอง เคลื่อนขบวนจากแยกเฉลิมเผ่าไปบนถนนพระราม 1 มุ่งหน้าแยกปทุมวันที่ผู้ชุมนุมอยู่ ผู้ชุมนุมตะโกนสวนมาว่า "ขี้ข้าเผด็จการ" ตำรวจได้ประกาศผ่านรถเครื่องขยายเสียงให้ผู้ชุมนุมกลับบ้านทันที พร้อมเคลื่อนรถฉีดน้ำแรงดันสูงอย่างน้อย 3 คันเข้ามาใช้ในปฏิบัติการกระชับพื้นที่ เวลา 18.39 น. ในระหว่างแนวร่วมคณะราษฎร ซึ่งเป็นนักเรียนชายชั้นมัธยมกำลังปราศรัย โดยประกาศรายชื่อของคนเสื้อแดงที่เสียชีวิตในระหว่างการชุมนุมที่แยกราชประสงค์ เมื่อปี 2553 "เพื่อล้างมลทินให้ผู้ชุมนุม" ได้เกิดเหตุชุลมุนขึ้น จู่ ๆ ผู้ชุมนุมต่างพากันลุกขึ้นยืน แล้ววิ่งหนีจากหน้าเวทีไปยัง 2 ทิศทาง กลุ่มหนึ่งมุ่งหน้าไปทาง รร.ปทุมวัน ปริ้นเซส อีกกลุ่มแตกฮือไปทางหอศิลป์กรุงเทพฯ ท่ามกลางสายฝนที่โปรยปรายลงมาอย่างหนัก เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น หลังรถฉีดน้ำแรงดันสูงคันหนึ่งได้เคลื่อนเข้าใกล้พื้นที่ชุมนุม โดยมีเสียงเจ้าหน้าที่ตำรวจประกาศว่า "จะใช้น้ำ ขอให้ย้ายออกจากพื้นที่ภายในเวลานี้" ทำให้นักเรียนและนักศึกษาซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงวิ่งออกไปตะโกนขับไล่เจ้าหน้าที่ให้ "ออกไป " และต่อต้านด้วยการทำสัญลักษณ์ "ชู 3 นิ้ว" ใส่ เสียงตะโกน "ทุกคนคือแกนนำ ๆ" ดังกึกก้องแยกปทุทมวันจากผู้ชุมนุมที่พากัน "ชู 3 นิ้ว" อย่างไรก็ตามตำรวจชุดควบคุมฝูงชนราว 1 กองร้อย ได้เคลื่อนเข้าประชิดกลุ่มผู้ชุมนุม จากบริเวณหน้าห้างสรรพสินค้าสยามพารากอน และประกาศให้ออกจากพื้นที่ชุมนุมโดยให้เวลา 3 นาที ไม่เช่นนั้นจะใช้วิธีจากเบาไปหาหนัก แต่ฝ่ายผู้ชุมนุมไม่ยินยอม มีการลากเอาแผงเหล็กและกระถางต้นไม้มาทำแนวกีดขวางกั้นเจ้าหน้าที่ มีระยะห่างกันเพียง 150 เมตรเท่านั้น ในระหว่างที่สองฝ่ายประจันหน้ากัน นักเรียนบางส่วนได้ฉีดพ่นสีที่เตรียมมาใส่โล่ตำรวจที่ยืนตั้งแถวอยู่เพื่อแสดงอาการต่อต้าน เวลา 18.55 น. ตำรวจเริ่มฉีดแรงดันสูงใส่ฝูงชน โดยที่กลุ่มผู้ชุมนุมบางส่วนได้กางร่มต้านแรงดันน้ำ ขณะที่บางส่วนก็เริ่มขวางปาสิ่งของใส่ตำรวจ ในระหว่างนี้ มีสามเณรเข้าไปไหว้ตำรวจเพื่อขอให้หยุดฉีดน้ำใส่ผู้ชุมนุม เช่นเดียวกับผู้ชุมนุมหญิงในชุดนักเรียนอีกรายหนึ่งได้ร่ำไห้และก้มกราบตำรวจเพื่อขอให้ยุติการเข้ากระชับพื้นที่ เพราะพวกเธอกับเพื่อนไม่มีอาวุธ เวลา 19.15 น. มีเสียงดัง "ปัง" ขึ้นหนึ่งครั้ง หลังจากนั้นก็มี "น้ำผสมสารสีน้ำเงิน" ซึ่งมีกลิ่นคล้ายแก๊สฉีดเข้าใส่ฝูงชน ทำให้ทั้งผู้ชุมนุมและสื่อมวลชนเกิดอาการแสบตาและแสบผิว ต่างคนต่างต้องนำน้ำดื่มมาล้างหน้าล้างตา ผลจาก "น้ำสีน้ำเงิน" ทำให้มวลชนเริ่มถอยร่น ขณะที่ตำรวจก็รุกคืบกินพื้นที่ได้มากขึ้น ๆ จากบริเวณห้างสยามพารากอน มาถึงสยามเซ็นเตอร์ โดยค่อย ๆ รื้อถอนเครื่องกีดขวางที่ผู้ชุมนุมทำเอาไว้เป็นชั้น ๆ ขณะที่แกนนำได้ประกาศให้ผู้ชุมนุมเคลื่อนพลไปยังจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเพื่อหลีกเลี่ยงการบาดเจ็บ โดยระบุ "การถอยร่นครั้งนี้ไม่ใช่การยอมแพ้" และ "อย่าปะทะนะครับเราไม่อยากเสียใคร" ด้านจุฬาฯ ได้เปิดประตูให้กลุ่มผู้ชุมนุมเข้าไปหลบภัยได้ ทว่าเมื่อไปถึงทางแกนนำได้ประกาศยุติการชุมนุมในเวลาประมาณ 20.00 น. แต่บอกให้รอฟังการนัดหมายชุมนุมรอบใหม่ในวันที่ 17 ต.ค. "บ้านเมืองต้องการคนรักชาติ ต้องการคนรักสถาบัน" ขณะที่ผู้ชมทางบ้านกำลังรับชมการสลายการชุมนุมผ่านการรายงานสดทางโทรทัศน์ เมื่อถึงเวลา 20.00 น. ข่าวในพระราชสำนักก็มาตามกำหนด หนึ่งในข่าวนั้นคือข่าว สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจที่ ม.ราชภัฏสกลนคร แล้วเสด็จออก ณ ห้องรับรองที่ประทับ หอประชุมมหาวชิราลงกรณ ม.ราชภัฏสกลนคร เมื่อเวลา 21.21 น. ของวันที่ 15 ต.ค. สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระราชินีได้พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้แกนนำคณะผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยใน 5 จังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ประกอบด้วย จ.นครพนม จ.สกลนคร จ.มุกดาหาร จ.กาฬสินธุ์ และ จ.อุดรธานี เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ทั้งหมดเป็นอดีตคอมมิวนิสต์ที่เคยปฏิบัติงานในพื้นที่ จ.นครพนม ซึ่งรัชกาลที่ 9 ได้พระราชทานความช่วยเหลือด้านต่าง ๆ จนปัจจุบันทุกคนเจริญรอยตามเบื้องพระยุคลบาท ใช้ชีวิตเรียบง่าย มีความหนักแน่น และน้อมรับเศรษฐกิจพอเพียงไปปรับใช้ ในการนี้ทรงมีพระราชปฏิสันถารกับแกนนำผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย ตอนหนึ่งว่า "เพราะฉะนั้นเราก็ร่วมกันรักชาติ ร่วมกันรักประชาชน และทุกอย่างที่ท่านทำมาเนี่ยก็ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ดี และก็พูดกันตรง ๆ ว่าท่านก็ได้ทำประโยชน์กับประเทศชาติ ตอนนี้ก็คงจะเข้าใจว่าบ้านเมืองต้องการคนรักชาติ ต้องการคนรักสถาบัน แล้วก็ประสบการณ์ใด ๆ ที่ทำมา หรืองานที่ผ่านมาเอามาใช้ประโยชน์ต่อชาติบ้านเมืองได้ แล้วก็สามารถที่จะสอนเด็ก ๆ รุ่นใหม่ถึงประสบการณ์ที่ตนเองได้มีมา เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง" "ตำรวจรังแกประชาชน" ส่วนสื่อทางเลือกหลายแห่งเดินทางรายงานสดเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทางเฟซบุ๊กไลฟ์ บางรายถูกยึดโทรศัพท์ให้ยุติการถ่ายทอด และจับกุมตัวไป ขณะที่ผู้ผู้ชุมนุมบางส่วนยังปักหลักอยู่บนลานสกายวอล์ค ด้านหน้าหอศิลป์กรุงเทพฯ พร้อมส่งเสียงตะโกนด่าทอ "ตำรวจรังแกประชาชน" อยู่เกือบตลอดเวลา จุดนี้เป็นจุดที่มีความตึงเครียดสูง ทำให้ พล.ต.ท.ภัคพงศ์ พงษ์เภตรา ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) ต้องมาบัญชาการสถานการณ์ด้วยตนเอง โดยยืนอยู่หลังแนวรถฉีดน้ำแรงดันสูงที่ฉีดใส่ผู้ชุมนุมบนลานสกายวอล์ค ตั้งแต่เวลา 20.30-21.00 น. เพื่อยึดคืนพื้นที่แยกปทุมวัน เวลา 21.00 น. เจ้าหน้าที่ชุดควบคุมฝูงชนตำรวจเริ่มสวมใส่หน้ากากป้องกันสารพิษ และสั่งการให้สื่อมวลชนออกนอกพื้นที่ลานสกายวอล์ค แต่ระหว่างนี้ยังมีสื่อมวลชนบางส่วนถ่ายทอดสดบรรยากาศอยู่บริเวณดังกล่าว ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนเปิดเผยว่า นักข่าวประชาไทถูกยึดกล้องและโทรศัพท์ขณะถ่ายทอดการชุมนุม ขณะที่อีกจุด ผู้ชุมนุมที่ถอยร่นจากแยกปทุมวันได้ไปรวมตัวกันที่แยกราชเทวี โดยสถานการณ์กลับมาตึงเครียดในเวลา 22.00 น. เมื่อกลุ่มผู้ชุมนุมได้นำแบร์ริเออร์มาตั้งขวางถนน และตะโกนเรียกร้องให้ปล่อยผู้ชุมนุมที่ถูกจับไป เจ้าหน้าที่จึงนำรถควบคุมฝูงชนมาเพิ่มจาก 1 คัน เป็น 3 คัน จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดควบคุมฝูงชนพร้อมโล่และกระบองเริ่มขยับเข้าใกล้ผู้ชุมนุมที่มีเพียงหลักสิบคน หวังยึดคืนพื้นที่สะพานหัวช้าง ระหว่างนี้ ผู้ชุมนุมบางส่วนได้ขว้างปาขวดใส่แนวเจ้าหน้าที่ ขณะที่บางส่วนได้พยายามร้องขอไม่ให้เจ้าหน้าที่ให้ยุติการกระชับพื้นที่ ท้ายที่สุดเจ้าหน้าที่ก็ยึดคืนพื้นที่ได้สำเร็จ พร้อมจับกุมผู้ชุมนุมไปจากจุดนี้อย่างน้อย 2 คน "จับกุมไปแล้วกว่า 100 คน" 21.15 น. ส.ส.พรรคก้าวไกลกลุ่มหนึ่งประกอบด้วย นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร และนายชัยธวัช ตุลาธน เดินทางมาที่แยกปทุมวันเพื่อขอเจรจากับนายตำรวจผู้บัญชาการปฏิบัติการสลายการชุมนุม ขอให้เปิดทางให้ผู้ชุมนุม จำนวนหนึ่งที่ติดค้าง ออกจากพื้นที่ ต่อมานายพิธาเปิดเผยหลังเจรจากับ พล.ต.ท. ภัคพงศ์ พงษ์เภตรา ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) ว่าตำรวจระบุว่ามีผู้ชุมนุมถูกจับกุมไปแล้วกว่า 100 คน และเมื่อปฏิบัติการกระชับพื้นที่แล้ว ตำรวจก็จำเป็นต้องจับกุมผู้ชุมนุม ออกหมายจับเพิ่ม 12 แกนนำ ในระหว่างตำรวจเปิดปฏิบัติการสลายการชุมนุมที่แยกปทุมวัน เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ประกาศหมายจับแกนนำการชุมนุมเพิ่มเติม 12 คน ในข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน กรณีจัดการชุมนุมต่อเนื่องในวันที่ 14 ต.ค. ถึงวันนี้ ซึ่งเมื่อจับกุมได้แล้ว จะส่งตัวไปยังกองบังคับการตำรวจตระเวนชายแดนภาค 1 จ.ปทุมธานี ต่อไป สำหรับ 12 บุคคลที่ถูกออกหมายจับ ประกอบด้วย จับ "ฟอร์ด ทัตเทพ" ก่อนดับสัญญาณไลฟ์สด เวลา 22.40 น. นายทัตเทพ เรืองประไพกิจเสรี แกนนำกลุ่ม "เยาวชนปลดแอก" และสมาชิก "คณะราษฎร" ถูกจับกุมตัว โดยมีนายภานุมาศ สิงห์พรม หรือเจมส์ แนวร่วมเยาวชนปลดแอก เดินทางไปที่ ตชด. ภาค 1 ด้วยในฐานะบุคคลที่ไว้ใจ ในระหว่างนั้น เจมส์ได้ถ่ายทอดสดบรรยากาศในรถเก๋งของตำรวจที่ควบคุมตัวเขาไป แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้สั่งให้ยุติการถ่ายทอดและจะขอยึดโทรศัพท์ของทั้งคู่ จนเกิดการโต้เถียงกันไปมา โดยฟอร์ดตระบุว่าเป็นเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ "การห้ามไลฟ์ถือว่าละเมิดกฎหมายสูงสุด นายพี่ก็ช่วยไม่ได้" และ "พี่ไม่มีสิทธิ พี่ไม่มีอำนาจใด ๆ พี่ยึด พี่ขัดรัฐธรรมนูญ ผมจะฟ้องกลับพวกพี่ ๆ" สุดท้ายตำรวจได้ตัดสินใจจอดรถ และยึดโทรศัพท์มือถือไปจากพวกเขาท่ามกลางเสียงตะโกน "ไม่ได้ ๆ ๆ" ก่อนที่สัญญาณจะขาดหายไปในเวลา 22.49 น. ขณะมีผู้ชมถ่ายทอดสดกว่า 1 แสนคน นายกฯ ลงนามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรงใน กทม. ฉบับ 2 เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตท้องที่กรุงเทพมหานคร (ฉบับที่ 2) มีใจความสำคัญว่า พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ลงนามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรงใน กทม. ฉบับที่ 2 หลังผ่านความเห็นชอบคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันนี้ โดยกำหนดให้การประกาศภาวะฉุกเฉินใน กทม. โดยอาศัยอำนาจตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มีผลบังคับใช้ถึงวันที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563 ไม่ได้ใช้กระสุนยาง-แก๊สน้ำตา ใช้เพียง "สารเคมีสี" หลังคุมสถานการณ์ไว้ได้ พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษก ตร. แถลงว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมฝูงชนได้ "ปฏิบัติตามขั้นตอนสากล" มีการประกาศแจ้งเตือนก่อนหน้า แต่เมื่อไม่ปฏิบัติตามจึงมีความจำเป็นในการบังคับใช้กฎหมายจากเบาไปหนัก เนื่องจากเป็นการชุมนุมที่มิชอบ สำหรับประเด็นการใช้อุปกรณ์ตามหลักสากลในการเข้าปฏิบัติการนั้น โฆษกตร. กล่าวว่า เป็นการใช้น้ำ และ "น้ำที่ผสมสารเคมีประเภทสี" เพื่อแยกกลุ่มผู้ชุมนุมออกจากประชาชนทั่วไป เพื่อการดำเนินคดีในอนาคต ซึ่งไม่เป็นอันตรายแต่อย่างใด รวมถึงการใช้ "สารเคมีผสมน้ำ" ที่ส่งผลให้เกิดอาการแสบร้อนบริเวณผิวหนัง ซึ่งสามารถใช้น้ำล้างออกได้ สำหรับประเด็นที่มีทั้งกลุ่มผู้ชุมนุม และเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับบาดเจ็บบางส่วนนั้น พ.ต.อ.กฤษณะ กล่าวแสดงความเสียใจ เนื่องจากเป็นสิ่งที่เจ้าหน้าที่ไม่ประสงค์จะให้เกิดขึ้น พล.ต.ต.ปิยะ ต๊ะวิชัย รอง ผบช.น. กล่าวว่า ขณะนี้สามารถเข้ายึดพื้นที่ได้ทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว โดยยืนยันว่าไม่ได้มีการใช้กระสุนยาง หรือใช้การยิงแก๊สน้ำตา เป็นเพียงการใช้สารเคมีที่ใช้ตามหลักสากลเท่านั้น รอง ผบช.น. ชี้แจงด้วยว่า ตร. ได้จับกุมแกนนำและผู้ชุมนุมแล้วกว่า 7 ราย วานนี้ ยังไม่จบ ? กลุ่ม เยาวชนปลดแอก โพสต์ข้อความเทางเฟซบุ๊กช่วงตี 1 ของ วันที่ 17 ต.ค. ว่า "พวกเราขอยืนยันที่จะจัดชุมนุมต่อในวันที่ 17 ตุลาคม 2563 โปรดติดตามรายละเอียดแถลงการณ์อีกครั้งในเวลาย่ำรุ่ง"
|
การชุมนุมวันที่ 3 ของกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า "คณะราษฎร 2563" ต้องยุติลงกลางคันหลังกำลังตำรวจนับร้อยพร้อม รถฉีดน้ำแรงสูงเข้าสลายผู้ชุมนุมที่มีเด็กและเยาวชนจำนวนมากตั้งแต่ช่วงค่ำของ 16 ต.ค. เป็นเหตุให้มีผู้ถูกจับกุม "นับร้อย"
|
48964952
|
https://www.bbc.com/thai/48964952
|
ธรรมนัส พรหมเผ่า : การกลับมาของตระกูลการเมือง "ผู้มีอิทธิพล" และ "เจ้าพ่อ" ใน ครม.ประยุทธ์ 2/1
|
ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ บอกว่าเขาเป็นคน "ใจนักเลง" "เราสามารถทำอดีตให้เป็นปัจจุบันได้มั้ย มันทำไม่ได้หรอกครับ...ไม่ใช่ว่าเอะอะอะไรก็มาเฟีย นักเลง คนใจนักเลงอย่างผมน่ะ ลองให้ผมทำงานดูก่อน ถ้าผมทำไม่ได้เรื่องแล้วผมจะพิจารณาตัวเอง" ร.อ.ธรรมนัสกล่าวในการแถลงข่าวยาวเกือบครึ่งชั่วโมง ที่รัฐสภาชั่วคราว หอประชุมทีโอที เมื่อวันที่ 12 ก.ค.2562 นับเป็นการ "เปิดใจ" ครั้งแรกของ ร.อ.ธรรมนัส หลังจากที่เขาถูกขุดประวัติขึ้นมาวิพากษ์วิจารณ์นานนับเดือน ตั้งแต่มีกระแสข่าวว่าเขาจะเข้ามาเป็นหนึ่งในรัฐมนตรีของ ครม.ประยุทธ์ การแถลงข่าวของ ร.อ.ธรรมนัส มีขึ้นเพียงหนึ่งวันหลังจากนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ออกมาช่วยยืนยันว่า คุณสมบัติของ ร.อ.ธรรมนัสนั้น "ไม่ขัดต่อกฎหมาย" ส่วนจะเหมาะสมหรือไม่นั้น คนที่ตัดสินชี้ขาดคือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ร.อ.ธรรมนัส ไม่ใช่รัฐมนตรีคนเดียวที่ถูกเชื่อมโยงกับความเป็นผู้มีอิทธิพล หากสำรวจรายชื่อของรัฐมนตรีใน ครม.ประยุทธ์ 2/1 ก็จะพบว่ามีอย่างน้อย 5 นามสกุลที่มีภาพลักษณ์ของความเป็นผู้มีอิทธิพล-เจ้าพ่อในท้องถิ่นและแวดวงการเมือง "พรหมเผ่า" ร.อ. ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (พรรคพลังประชารัฐ) ร.อ.ธรรมนัส อายุ 53 ปี จบการศึกษาโรงเรียนเตรียมทหารรุ่น 25 และโรงเรียนนายร้อย จปร. รุ่น 36 จากการแถลงข่าวเมื่อวันที่ 12 ก.ค. ร.อ.ธรรมนัสยอมรับว่าเขาเคยถูกจับในประเทศออสเตรเลียเมื่อปี 2536 ในข้อหารู้ว่ามียาเสพติดแต่ไม่แจ้งให้ตำรวจรับทราบ เขาถูกจำคุก 8 เดือน หลังจากได้รับการปล่อยตัว เขาทำงานในออสเตรเลียอีกระยะจึงกลับเมืองไทย ปี 2542 ร.อ.ธรรมนัสถูกกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องในคดีฆาตกรรมหนุ่มนักเรียนนอก ส่งผลให้เขาต้องลาออกจากการรับราชการทหาร แต่ต่อมาศาลได้พิพากษายกฟ้อง จากนั้นจึงผันตัวเองมาทำธุรกิจมากมายทั้งบริษัทรักษาความปลอดภัย บริหารตลาดและเป็นตัวแทนจำหน่ายล็อตเตอรี่รายใหญ่ เขาเริ่มทำงานการเมืองควบคู่ไปกับการทำธุรกิจด้วยการทำฐานเสียง กทม. ให้กับพรรคไทยรักไทย ปี 2562 ร.อ.ธรรมนัสพลิกขั้วมาอยู่กับพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ลงสมัคร ส.ส. พะเยา และเป็นประธานยุทธศาสตร์การเลือกตั้งภาคเหนือของ พปชร. "คนใจนักเลงอย่างผมน่ะ ลองให้ผมทำงานดูก่อน ถ้าผมทำไม่ได้เรื่องแล้วผมจะพิจารณาตัวเอง" ร.อ.ธรรมนัสกล่าวในการแถลงข่าวที่รัฐสภาชั่วคราว 12 ก.ค. 2562 ร.อ.ธรรมนัส ตกเป็นเป้าวิพากษณ์วิจารณ์อย่างหนักว่ามีประวัติและคุณสมบัติไม่เหมาะสมต่อการเป็นรัฐมนตรี เขาจึงตัดสินใจออกมาชี้แจงโดยยืนยันว่า "ผมไม่เคยโดนข้อหาผลิต จำหน่ายและนำเข้ายาเสพติดที่ออสเตรเลีย" มีเพียงข้อหา รู้ว่ามียาเสพติดแต่ไม่แจ้งให้ตำรวจรับทราบเท่านั้น ส่วนคดีในประเทศไทยนั้น เขาระบุว่า "ผมไม่เคยมีประวัติอาชญากรรมใด ๆ ทั้งสิ้น...ผมไม่เคยมีคดีใดค้างคาอยู่ที่ศาล ผมได้ใช้กระบวนการยุติธรรมพิสูจน์ตัวเองว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ในทุกเรื่อง" สาเหตุที่ชื่อของเขามักไปพัวพันกับเรื่องราวและคดีความนั้น ร.อ.ธรรมนัสบอกว่าเป็นเรื่องปกติของคนที่มีผู้ใต้บังคับบัญชาเยอะ "ผมเป็นคนกว้างขวาง ผมเป็นคนคบเพื่อนฝูงเยอะและเป็นคนใจกว้าง บางครั้งการคบคนนั้นคนนี้เราไม่ได้กรอง ไม่ได้ไตร่ตรอง เมื่อเขานำภัยมาหาเรา เราจะไปโทษคนนั้นคนนี้ ไม่ใช่วิถีผม ผมใช้กระบวนการยุติธรรมพิสูจน์ตัวเองว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ในทุกเรื่อง" ร.อ.ธรรมนัสบอกว่าเขาไม่ได้เป็นนักเลง แต่เป็น "คนใจนักเลง" พร้อมกับขอโอกาสพิสูจน์ฝีมือการทำงาน และเชื่อว่าประสบการณ์ทางการเมืองและทางธุรกิจ ประกอบกับความเป็นลูกชาวนาที่เข้าใจความต้องการของเกษตรกร ทำให้เขาเหมาะสมกับตำแหน่ง รมช.เกษตรฯ ร.อ.ธรรมนัส (คนกลาง) ไม่อยากให้คนเรียกเขาว่าเป็น "นักเลง" หรือ "มาเฟีย" ร.อ.ธรรมนัสเคยให้สัมภาษณ์วาสนา นาน่วม นักข่าวสายความมั่นคงในรายการ "ลับลวงพราง" เมื่อปี 2559 ว่าเขาไม่อยากให้คนมองคนเช่นเขาว่าเป็น "มาเฟีย" หรือ "เจ้าพ่อ" แต่น่าจะเปลี่ยนมาเรียกว่า "ผู้มีบารมี" "บารมีมันเกิดจากคอนเนคชันที่เรามี เนื่องจากเราจบ ตท.รุ่น 25 ทำให้รู้จักรุ่นพี่รุ่นน้องที่เป็นตำรวจทหารหรือนักธุรกิจ...ความที่เรารู้จักคนเยอะทำให้เรามีคอนเนคชัน เวลามีปัญหาเราติดต่อแก้ปัญหาให้คนได้ ไม่ใช่มาเฟียที่รังแกชาวบ้าน เราช่วยคนมากกว่า" "ไทยเศรษฐ์" มนัญญา ไทยเศรษฐ์ รมช. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (พรรคภูมิใจไทย) มนัญญา วัย 57 ปี เป็นนายกเทศมนตรีเมืองอุทัยธานี เธอเป็นแม่ของเจเศรษฐ์ ไทยเศรษฐ์ ส.ส.อุทัยธานี เขต 1 พรรคภูมิใจไทย และเป็นน้องสาวของนายชาดา ไทยเศรษฐ์ ส.ส.อุทัยธานี เขต 2 และรองหัวพรรคคนที่ 4 ของพรรคภูมิใจไทย ชาดาและมนัญญาเกิดในครอบครัวนักธุรกิจ พ่อแม่ทำธุรกิจสัมปทานบรรทุกไม้ซุงก่อนจะหันมาทำกิจการโรงฆ่าสัตว์และขายเนื้อในตลาดอุทัยธานี แต่ผู้เป็นพ่อถูกยิงเสียชีวิตจากการขัดแย้งผลประโยชน์ทางธุรกิจตั้งแต่ชาดาอายุได้เพียง 7 ขวบ อีกหลายปีต่อมา แม่ของเขาก็ถูกยิงเสียชีวิตเช่นกัน ชาดาย้ายไปอยู่กับญาติที่ จ.กาญจนบุรี ก่อนจะกลับมาปักหลักในอุทัยธานีอีกครั้งพร้อมกับรื้อฟื้นกิจการโรงฆ่าสัตว์ของครอบครัวจนประสบความสำเร็จ และขยายสู่ธุรกิจอื่น ๆ เช่น รับเหมาก่อสร้างและโรงแรม ส่งผลให้เขาเริ่มมีอิทธิพลกว้างขวางในอุทัยธานี นายชาดายอมรับว่าเขาเป็นผู้มีอิทธิพล แต่เขาไม่เคยใช้อิทธิพลไปสร้างปัญหาให้บ้านเมือง นอกจากจะเคยถูกจับกุมในข้อหาจ้างวานฆ่าเมื่อปี 2546 ซึ่งสุดท้ายศาลพิพากษายกฟ้องแล้ว เขายังเคยถูกตำรวจเข้าตรวจค้นหลายครั้ง รวมทั้งภายใต้นโยบายกวาดล้างผู้มีอิทธิพลของ คสช. เมื่อเดือน พ.ค.2560 ที่ตำรวจและทหารนับร้อยนายสนธิกำลังตรวจค้นขบวนรถยนต์ 8 คันของเขาและผู้ติดตามใน จ.อุทัยธานี พบปืนพก 6 กระบอก มีรายงานว่าเขาส่งน้องสาวมาเป็นเป็นรัฐมนตรีแทนตัวเองที่มีปัญหาด้านภาพลักษณ์ของความเป็น "มาเฟีย-เจ้าพ่อ" ซึ่งเป็นภาพลักษณ์ที่ชาดาปฏิเสธมาตลอด ระหว่างให้สัมภาษณ์ในรายการเผชิญหน้า สถานีโทรทัศน์สปริงนิวส์เมื่อปี 2558 พิธีกรถามถึงการที่ตำรวจขึ้นบัญชีเขาเป็นเจ้าพ่อ ชาดาบอกว่า "ไม่เคยได้ยินเรื่องนี้และรับไม่ได้กับตำแหน่งนี้" พร้อมกับกล่าวติดตลกว่า "เจ้าพ่อก็ต้องอยู่ที่ศาล (ศาลเจ้าพ่อ)" "เคยได้ยินแต่ (คนเรียก) ว่าเป็นผู้มีอิทธิพล แต่จะมีอิทธิพลด้านดีหรือด้านเลวก็ต้องมาคุยกัน ผมยอมรับว่าผมมีอิทธิพล แต่ผมไม่ใช้อิทธิพลสร้างปัญหาให้บ้านเมือง" ชาดากล่าว เขาย้ำเรื่องนี้อีกครั้งในการสัมภาษณ์ทางวอยซ์ทีวีเมื่อเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา "ถามว่าผมมีอิทธิพลมั้ย ผมยอมรับว่ามีอิทธิพล ถ้าไม่มีอิทธิพลจะทำงานเพื่อบ้านเพื่อเมืองได้เหรอ แต่ผมไม่เคยใช้อิทธิพลไปรังแกใคร ไม่ได้ใช้อิทธิพลทำร้ายบ้านเมือง ผมใช้อิทธิพลช่วยเหลือคน" "ชิดชอบ" ศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว. กระทรวงคมนาคม (พรรคภูมิใจไทย) นายศักดิ์สยาม อายุ 56 ปี จบปริญญาตรีและโทด้านรัฐศาสตร์ เคยรับราชการในตำแหน่งปลัดอำเภอ ก่อนผันตัวเข้าสู่การเมือง เริ่มต้นด้วยการเป็น ส.ส. บุรีรัมย์ สังกัดพรรคชาติไทย และพรรคไทยรักไทยซึ่งต่อมาถูกยุบทำให้เขาถูกตัดสิทธิทางการเมือง 5 ปี เนื่องจากเป็นกรรมการบริหารพรรค เมื่อพ้นจากการถูกตัดสิทธิ์ ศักดิ์สยามสมัครเป็นสมาชิกพรรคภูมิใจไทยและได้รับเลือกเป็นเลขาธิการพรรค ศักดิ์สยามเป็นลูกชายของนายชัย ชิดชอบ นักการเมืองอาวุโสที่เริ่มต้นจากการทำธุรกิจโรงโม่หินใน จ.บุรีรัมย์ และเป็นน้องของนายเนวิน ชิดชอบ นักการเมืองชื่อดังที่ผันตัวมาทำงานด้านกีฬา เป็นที่รู้กันดีว่าทั้งนายชัยและนายเนวินต่างเป็นผู้มีบารมีกว้างขวางใน จ.บุรีรัมย์ ศักดิ์สยาม ชิดชอบ อีกหนึ่งทายาททางการเมืองของตระกูล "ชิดชอบ" แห่งบุรีรัมย์ ดร.สติธร ธนานิธิโชติ นักวิชาการจากสถาบันพระปกเกล้า กล่าวถึงตระกูลชิดชอบในงานวิจัยเรื่อง "ตระกูลการเมืองในระบอบประชาธิปไตยของไทย" ว่าเป็นตระกูลการเมืองที่ก่อร่างสร้างฐานอำนาจมาในยุคเดียวกับตระกูลชินวัตรและยังเป็นตระกูลที่มีบทบาททางการเมืองสูงในหลายยุคหลายสมัย โดยมีนายชัยเป็นผู้วางรากฐานอำนาจทางการเมืองของตระกูล และมีลูกชายอย่างเนวินและศักดิ์สยาม รวมทั้งกรุณา ชิดชอบ ภรรยาของเนวิน มาสานต่องานการเมืองของตระกูล "คุณปลื้ม" อิทธิพล คุณปลื้ม รมว.กระทรวงวัฒนธรรม (พรรคพลังประชารัฐ) นายอิทธิพล อายุ 45 ปี เป็นลูกคนที่ 4 ของ นายสมชาย คุณปลื้ม หรือ "กำนันเป๊าะ" นักการเมืองท้องถิ่นผู้ทรงอิทธิพลแห่ง จ.ชลบุรีและภาคตะวันออก นายอิทธิพลเคยเป็น ส.ส.ชลบุรี สังกัดพรรคชาติไทย ไทยรักไทย พลังประชาชนและเพื่อไทย แต่สอบตกในการเลือกตั้ง 24 มี.ค. 2562 เคยดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีหลายกระทรวง และเคยได้รับเลือกตั้งเป็นนายกเมืองพัทยา 2 สมัย ด้วยบารมีของกำนันเป๊าะ อดีตนายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองแสนสุข จ.ชลบุรี ซึ่ง ดร.ประจักษ์ ก้องกีรติ นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ บอกว่าเป็นตัวละครสำคัญของการเมืองไทยใน "ยุคทองของการเมืองแบบเจ้าพ่อ" ช่วงปี 2520-2540 ทำให้ตระกูลคุณปลื้มมีบทบาทและขยายอิทธิพลในการเมืองระดับท้องถิ่นและระดับชาติอย่างต่อเนื่อง นอกจากนายอิทธิพลแล้ว ยังมีพี่ชายและพี่สะใภ้ของเขาคือ สนธยาและสุกุมล คุณปลื้ม ที่เป็นทายาททางการเมือง สานต่องานการเมืองของตระกูลคุณปลื้ม กำนันเป๊าะเสียชีวิตในวัย 82 ปี เมื่อวันที่ 17 มิ.ย.2562 หลังจากป่วยด้วยโรคมะเร็งมานาน ปิดฉาก "เจ้าพ่อเมืองชลฯ" ที่มีชีวิตโลดแล่นทั้งในทางธุรกิจและการเมือง กำนันเป๊าะถูกศาลพิพากษาจำคุก 25 ปี ในคดีจ้างวานฆ่านายประยูร สิทธิโชติ ในปี 2547 และถูกศาลตัดสินจำคุกอีก 5 ปี 4 เดือนในคดีทุจริตจัดซื้อที่ดินสาธารณะ ต.เขาไม้แก้ว จ.ชลบุรี เขาหลบหนีคดีจนกระทั่งถูกจับกุมเมื่อต้นปี 2556 หลังจากจำคุกอยู่ 4 ปี เขาก็ได้รับการพักโทษเมื่อเดือนธันวาคม 2560 เนื่องจากป่วยเป็นมะเร็ง "หวังศุภกิจโกศล" วีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล รมช. กระทรวงพาณิชย์ (พรรคภูมิใจไทย) นายวีรศักดิ์ นักธุรกิจวัย 64 ปี มีฉายาว่า "เสี่ยแป้งมันพันล้าน" เนื่องจากเขาเป็นประธานบริหารบริษัท แป้งมันเอี่ยมเฮงอุตสาหกรรม จำกัด นับว่าเป็นนักธุรกิจการเมืองท้องถิ่นอีกคนหนึ่งในสังกัดพรรคภูมิใจไทย โดยมีตำแหน่งเป็นกรรมการบริหารพรรคด้วย เช่นเดียวกับผู้กว้างขวางในท้องถิ่นที่หันมาเล่นการเมืองระดับชาติ นายวีรศักดิ์หรือ "กำนันป้อ" มีบทบาทหลากหลายอย่างใน จ.นครราชสีมา และภาคอีสาน เช่น เป็นกรรมการโรงานผู้ผลิตมันสำปะหลัง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และประธานชมรมกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อ. เสิงสาง จ.นครราชสีมา เป็นต้น เฟซบุ๊ก "คนภูมิใจไทย" แนะนำนายวีรศักดิ์ไว้ว่า "เป็นตัวจริงของหนึ่งในผู้คร่ำหวอดอยู่ในวงการเกษตรกรชาวไร่มันสำปะหลัง" เขาเคยถูกกล่าวหาว่ารุกที่ดิน ส.ป.ก. แต่หลังจากได้รับโปรดเกล้าฯ เป็น รมช.กระทรวงพาณิชย์ เขาก็ออกมายืนยันว่าคดีนี้ยุติแล้ว และเขาไม่มีเรื่องใดค้างคาอยู่ในศาล เจ้าพ่อ-ผู้มีอิทธิพลในการเมืองไทย นักวิชาการหลายคนได้ทำการศึกษาบทบาทของเจ้าพ่อ-ผู้มีอิทธิพลในการเมืองไทย เช่นงานวิจัยเรื่อง "ตระกูลการเมืองในระบอบประชาธิปไตยของไทย" ของ ดร.สติธร ที่อธิบายว่าปัจจัยสำคัญที่ทำให้ "เจ้าพ่อ" ในสังคมไทยก่อเกิดและขยายบทบาททางการเมืองได้อย่างกว้างขวางนั้นมีทั้งปัจจัยทางการเมืองผ่านการมีอิทธิพลเหนือเจ้าหน้าที่รัฐ ปัจจัยทางวัฒนธรรมโดยอาศัยฐานะความเป็นผู้นำตามธรรมชาติที่ได้รับการยอมรับนับถือจากคนในท้องถิ่น และปัจจัยทางเศรษฐกิจโดยการทำธุรกิจแบบผูกขาดตลาด ขณะที่ ดร.ประจักษ์ ก้องกีรติ ให้สัมภาษณ์บีบีซีไทยเมื่อเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมาว่า เจ้าพ่อหรือผู้มีอิทธิพลท้องถิ่นเข้ามามีอิทธิพลทางการเมืองไทยในยุค "ประชาธิปไตยครึ่งใบ" สมัย พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นยุคที่ local godfather หลายคนเริ่มเข้ามามีบทบาททางการเมืองมากขึ้น ดร.ประจักษ์ ก้องกีรติ นิยาม "เจ้าพ่อ" ว่าหมายถึง "นักธุรกิจ+นักเลง" "คนเหล่านี้มีลักษณะร่วมกัน คือ เป็นนักธุรกิจในต่างจังหวัดที่สะสมความมั่งคั่งจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจในยุคจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ผู้มีอิทธิพลกลุ่มนี้เข้าไปผูกขาดธุรกิจสัมปทานในท้องถิ่นจนร่ำรวยอย่างรวดเร็ว เช่น เอเย่นต์ค้าสุรา กิจการรถเมล์ กิจการขายล็อตเตอรี่ ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างที่ได้สัมปทานจากรัฐ และธุรกิจกึ่งผิดกฎหมายกึ่งถูกกฎหมาย หรือ 'ธุรกิจสีเทา' ที่งานวิจัยของ อ.นวลน้อย ตรีรัตน์ เรียกว่า 'หวย ซ่อง บ่อน ยาบ้า' ธุรกิจเหล่านี้ทำให้มีเศรษฐีใหม่-นายทุนท้องถิ่นที่ร่ำรวยขึ้นมา" "เรานิยามเจ้าพ่อว่าคือ 'นักธุรกิจ+นักเลง' เจ้าพ่อไม่ใช่นักธุรกิจปกติทั่วไป แต่ก็ไม่ใช่นักเลงหัวไม้ที่ไปตีรันฟันแทงกัน แต่เป็นสองอย่างนี้รวมกัน เมื่อมาเป็นนักการเมืองเราก็เรียกนักการเมืองกลุ่มนี้ว่า 'นักการเมืองแบบเจ้าพ่อ' ซึ่งมีจำนวนมากในยุค 2520 ถึงยุคก่อนปี 2540 ซึ่งเรียกว่าเป็นยุคทองของนักการเมืองแบบเจ้าพ่อ" ดร.ประจักษ์อธิบาย
|
การตั้งคำถามถึงความเหมาะสมของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ส.ส.พะเยา พรรคพลังประชารัฐ ที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ใน ครม.ประยุทธ์ 2/1 ทำให้สังคมหันมาสนใจบทบาทของ "ผู้มีอิทธิพล" หรือที่บางครั้งเรียกว่า "เจ้าพ่อ" ในการเมืองไทยอีกครั้ง
|
thailand-53418425
|
https://www.bbc.com/thai/thailand-53418425
|
เราเที่ยวด้วยกัน : กระตุ้นท่องเที่ยว 2 หมื่นล้าน เพียงพอกับรายได้ 2 ล้านล้านที่สูญไปหรือไม่
|
ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ ที่ปรึกษาสถาบันวิจัยภัทร กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร กล่าวกับบีบีซีไทยว่า หากรัฐบาลยังยืนกรานนโยบาย "ปิดประเทศ" เพื่อให้ตัวเลขผู้ติดเชื้อไวรัสโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) เป็นศูนย์ ตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติก็จะเป็นศูนย์ตามไปด้วย ผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติภายในประเทศ (จีดีพี) ก็จะหายไป 12-15% ทันที ส่งผลกระทบต่อแรงงานในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว 6-7 ล้านคน โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการขนาดกลางและย่อย (เอสเอ็มอี) ที่เสี่ยง "ล้มทั้งยืน" คณะรัฐมนตรี (ครม.) ทุ่มงบประมาณ 22,400 ล้านบาท เพื่อดำเนินมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศ ส่วนหนึ่งเพื่อตอบแทน-เป็นกำลังใจแก่บุคลากรสาธารณสุขซึ่งถือเป็น "ด่านหน้า" ในการรับมือกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 คือ อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) และเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ขณะที่อีกส่วนเปิดให้บุคคลทั่วไปที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป เดินทางระหว่าง 18 ก.ค.-31 ต.ค. ภายใต้ชื่อ "เราไปเที่ยวกัน" และ "เที่ยวปันสุข" กระทรวงการคลังประเมินว่ามาตรการ "เราเที่ยวด้วยกัน" จะทำให้มีเม็ดเงินไหลเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจไม่ต่ำกว่า 50,000 ล้านบาท และส่งผลให้จีดีพีมีโอกาสขยายตัวเพิ่มขึ้น 0.2-0.3% จากที่หลายสำนักพยากรณ์ทางเศรษฐกิจเคยคาดการณ์ไว้ว่าจีดีพีปีนี้มีโอกาสติดลบตั้งแต่ 5-10% 5 ล้านคืน/ห้องรัฐบาลอุดหนุนค่าที่พักให้ประชาชน 18,000ล้านบาท งบประมาณที่ใช้ 3,000บาท/ห้อง/คืน ช่วยจ่ายค่าที่พักสูงสุดในอัตรา 40% 600บาท/คืน แจกคูปองอาหาร (ไม่เกิน 5 คืน) 24,700 แห่ง โรงแรม/โฮมสเตย์ที่ได้ประโยชน์ 38,755 แห่ง ร้านอาหารที่ได้ประโยชน์ แต่ถึงกระนั้น ดร.ศุภวุฒิ สมาชิกแรกเริ่มของขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมที่เรียกตัวเองว่ากลุ่ม CARE ประเมินว่า เป็นไปได้ที่โรงแรมระดับบนที่อยู่ใกล้กรุงเทพฯ เท่านั้นที่จะได้รับอานิสงส์จากการหมุนของเงิน 50,000 ล้านบาท หากพิจารณา "ความพร้อม" และ "พฤติกรรมใหม่" ของนักท่องเที่ยวในยุคหลังโควิด-19 พร้อมหยิบยกข้อมูลที่ได้จากการพูดคุยกับแอร์บีเอ็นบี (Airbnb) มาสนับสนุนสมมติฐาน "ผมเดาว่าคนที่พร้อมจะไปท่องเที่ยวน่าจะเป็นคนรวย เพราะตอนนี้เขาไปเที่ยวต่างประเทศไม่ได้ แต่ก็ยังมีเงินเยอะอยู่ เขาก็จะไปท่องเที่ยวในที่แพง ๆ ซึ่งคิดว่าปลอดภัย ขับรถไปได้ ส่วนคนระดับกลางลงมาหน่อยอาจกลัวว่าจะตกงาน อยากเก็บเงินสดไว้ จึงไม่กล้าออกไปเที่ยวแม้จะมีมาตรการจูงใจ เพราะต้องจ่ายเงินเองอีก 60%" ดร.ศุภวุฒิกล่าว 2 ล้านใบรัฐบาลอุดหนุนตั๋วเครื่องบินภายในประเทศให้ประชาชน 2,000ล้านบาท งบประมาณที่ใช้ 1,000บาท ส่วนลดค่าตั๋วเครื่องบินสูงสุดในอัตรา 40% 2ล้านคน/ครั้ง กระตุ้นให้เกิดการเดินทาง คาดหากยังไม่เปิดประเทศก่อน ต.ค. มี SME เจ๊งเพียบ รัฐบาลคาดหวังว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งนี้จะช่วย "ชุบชีวิต" ผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรมที่ "บาดเจ็บสาหัส" เพราะมี "รายได้เป็นศูนย์" ในช่วงที่รัฐบาลประกาศล็อกดาวน์ ข้อมูลจากสมาคมโรงแรมไทยระบุว่า โรงแรม 90% ได้ประกาศ "ปิดชั่วคราว" ในช่วงโควิด-19 ระบาดหนัก ส่งผลกระทบต่อแรงงานในระบบที่มีอยู่ 1.6-1.8 ล้านคน กระทั่งเดือน ก.ค. จึงทยอยกลับมาเปิดให้บริการอีกครั้ง แต่ถึงกระนั้นก็มีผู้ประกอบการราว 30-40% ที่ยังคงปิดให้บริการ และคาดการณ์ว่าโรงแรมไม่ต่ำกว่า 20% ต้อง "ปิดถาวร" เพราะไม่อาจแบกรับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากการต้องปรับรูปแบบการดำเนินธุรกิจให้สอดคล้องกับชีวิตวิถีใหม่ (New Normal) และการแข่งขันสูงเพื่อช่วงชิงลูกค้า "ถ้าไม่มีการผ่อนคลาย หรือมาตรการชัดเจนผ่อนคลายให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาบ้าง เชื่อว่าโรงแรมต้องปิดถาวรไปเลยอีกจำนวนหนึ่ง เพราะเปิดมา รายได้ก็ไม่ครอบคลุมกับรายจ่าย ก็คือขาดทุน แล้วเราจะทนขาดทุนไปได้อีกกี่เดือน" นางศุภวรรณ ถนอมเกียรติภูมิ นายกสมาคมโรงแรมไทย ระบุ บีบีซีไทยตรวจสอบพบว่า ผู้ประกอบการที่มาลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ "เราเที่ยวด้วยกัน" มีตั้งแต่โฮสเทลถึงโรงแรมระดับ 5-6 ดาว สนนราคาห้องพักคืนละตั้งแต่ 200-35,500 บาท ทว่าหากประชาชนต้องการได้รับอานิสงส์เต็มพิกัดตามมาตรการนี้คือได้รับการสนับสนุนค่าที่พักคืนละ 3,000 บาท ก็ต้องจองห้องพักกับโรงแรมมากดาวที่คิดค่าเข้าพักคืนละ 7,500 บาทขึ้นไป เป็ดน้อยในหนองประจักษ์ จ.อุดรธานี ต้องสวมหน้ากากอนามัย ในยามโควิด-19 อย่างไรก็ตามผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจมหภาคอย่าง ดร.ศุภวุฒิไม่คิดว่ารัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ออกมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวด้วยฐานคิดเรื่อง "อุ้มนายทุน แล้วหวังให้คนข้างบนไปพยุงคนข้างล่างต่อ" เพราะในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว มีเอสเอ็มอีนับแสนรายกระจายตัวอยู่ทั่วประเทศ ต่างจากบางอุตสาหกรรมที่มีผู้เล่นขาใหญ่อยู่ไม่กี่ราย โจทย์สำคัญคือทำอย่างไรจะดูแลกลุ่มเอสเอ็มอีให้ทั่วถึง "ตอนนี้ทุกคนก็ใช้สายป่านตัวเองหมดล่ะ เขายังสงสารลูกน้อง ยังพยายามเปิด พยายามจ้างงาน โดยหวังว่าเดือน ต.ค. จะมีโกลเดน วีค (สัปดาห์เฉลิมฉลองวันชาติจีน) แต่ถ้าเขาสงสัยว่าจะไม่มีการเปิดประเทศ ไม่มีอนาคต ไม่มีความหวัง เมื่อไปถึงตรงนั้น เขาอาจจะต้องยอมปิดบริษัทไป โรงแรมขนาดกลางและขนาดเล็กก็จะเริ่มขายทิ้ง ตอนนั้นล่ะที่นายทุนตัวใหญ่ ๆ จะเข้ามาซื้อสินทรัพย์ราคาถูก และทำให้ปัญหาความเหลื่อมล้ำยิ่งเพิ่มขึ้น" นักเศรษฐศาสตร์ของกลุ่ม CARE ระบุ อัดฉีด "ไทยเที่ยวไทย" ไม่ต่างจาก "เอาเนื้อหนูไปปะเนื้อช้าง" การแพร่ระบาดของไวรัสมรณะ ทำให้ตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติหายไป 80% หรือคิดเป็น 30 ล้านคน โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) คาดการณ์ว่าตลอดทั้งปีจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเหลือเพียง 8.2 ล้านคน รายได้หายไป 1.5 ล้านล้านบาท และมีคนไทยเที่ยวในประเทศ 70 ล้านคน/ครั้ง นั่นทำให้รายได้จากการท่องเที่ยวทั้งปีหดหายไป 2.19 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 13% ของจีดีพี คำถามคือเม็ดเงินเพียง 22,400 ล้านบาทที่รัฐบาลโปรยลงไปจะสร้างมรรคผลอะไรได้ในทางเศรษฐกิจ เกี่ยวกับเรื่องนี้ ดร.ศุภวุฒิอธิบายว่า มันก็ไปได้ตามระยะเวลาที่รัฐบาลเปิดลงทะเบียน ก็อาจช่วยต่อชีวิตคนในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวได้สัก 2-3 เดือน หากโชคดีเป็นพนักงานโรงแรมใน อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์, อ.เขาใหญ่ จ.นครราชสีมา และเมืองพัทยา จ.ชลบุรี แต่ถ้าเป็นพนักงานที่หาดป่าตอง จ.ภูเก็ต ดีไม่ดีเงินอาจไปไม่ถึงตรงนั้น "ทุกอย่างมันขึ้นกับว่าคุณอยู่ตรงไหนของเศรษฐกิจ ซึ่งแต่ละพื้นที่ แต่ละสาขาอุตสาหกรรม ก็ได้รับผลแตกต่างกันไป" สิ่งที่นักเศรษฐศาสตร์ ผู้ออกนโยบาย และผู้รับนโยบายไปปฏิบัติ เห็นตรงกันคือ การส่งเสริม "ไทยเที่ยวไทย" ไม่สามารถทดแทนตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เสียไปได้ อ่าวมาหยา จ.กระบี่ เคยเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมของนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะชาวตะวันตก ถ่ายเมื่อปี 2561 สำหรับ 6 จังหวัดที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการหายไปของท่องเที่ยวต่างชาติ ได้แก่ กรุงเทพฯ ภูเก็ต ชลบุรี กระบี่ สุราษฎร์ธานี และพังงา ดร.ศุภวุฒิยกตัวอย่างว่า ใน จ.ภูเก็ตเคยต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติถึงปีละ 10.6 ล้านคน สร้างรายได้ 4.19 แสนล้านบาท และมีนักท่องเที่ยวไทย 3.9 ล้านคน/ครั้ง สร้างรายได้ 5.23 หมื่นล้านบาท หรือคิดเป็น 12% ของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ความพยายามจะเอา 12 บาท ไปโปะ 100 บาท จึงเป็นยากและเป็นไปไม่ได้ในความเห็นของ ดร.ศุภวุฒิ มาตรการ "เราเที่ยวด้วยกัน" จึงไม่ต่างจากการ "เอาเนื้อหนูไปปะเนื้อช้าง" เช่นเดียวกับนายธเนศวร์ เพชรสุวรรณ รองผู้ว่าด้านสื่อสารการตลาด ททท. ที่ระบุว่า "ไทยเที่ยวไทย" เป็นเพียงการช่วย "ผ่อนหนักให้เป็นเบา" และ "แค่กระเตื้อง แต่ไม่รู้จะกลับมาเมื่อไร" เพราะแม้ในภาวะปกติ รายได้จากไทยเที่ยวไทยก็ทำสร้างรายได้ให้ประเทศเพียง 1 ใน 3 เท่านั้น ออกนโยบาย "กล้า ๆ กลัว ๆ" งบกระตุ้นการท่องเที่ยว 22,400 ล้านบาทนี้ เจียดมาจากเงินกู้ 1 ล้านล้านบาท ตามพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 แม้เป็นการ "กู้เงินมาเที่ยว" และเป็นการ "ดึงเงินในอนาคตมาใช้" แต่ ดร.ศุภวุฒิย้ำว่านี่คือสถานการณ์ไม่ปกติ แต่ทั้งหมดขึ้นอยู่กับแนวคิดในการบริหารจัดการวิกฤต เขาทดลองถอดแนวคิด-วิธีจัดการของประเทศหลัก ๆ ที่มองโควิด-19 เป็นวิกฤตที่ไม่มีใครคาดฝัน ทำให้รัฐบาลต้องสั่งปิดธุรกิจ ปิดเศรษฐกิจ ซึ่งไม่ใช่ความผิดของผู้ประกอบการ อุปมาได้กับเส้นทางที่ทุกคนเดินมากลาย จู่ ๆ ตกลงไปเป็นเหวลึกและยาวประมาณ 2 ปีกว่าจะมีวัคซีน จึงเป็นหน้าที่ของรัฐบาลในการทอดสะพานเพื่อให้ทุกคนทุกธุรกิจเดินข้ามไปได้ และยืนอยู่ได้จนถึงจุดที่ทุกอย่างกลับเข้าสู่ภาวะปกติ นั่นทำให้รัฐบาลหลายประเทศเอาเงินให้บริษัทรักษาอัตราการจ้างงาน พอข้ามสะพานใหม่แล้วค่อยปรับโครงสร้างหลังโควิด-19 หรือแม้แต่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ก็ยังเตือนว่า "ระวังอย่าให้เศรษฐกิจเป็นแผลเป็นขนาดใหญ่" เมื่อย้อนกลับมาดูการล้างพิษเศรษฐกิจจากไวรัสโคโรนาของรัฐบาลไทย ที่มีหัวหน้ารัฐบาลเป็นเจ้าของเพลง "สะพาน" สิ่งที่ ดร.ศุภวุฒิเห็นคือการออกมาตรการแบบ "กล้า ๆ กลัว ๆ" และ "ค่อย ๆ ทำทีละขยัก" รอดูก่อนว่าถูกใจประชาชนหรือไม่ ถ้าถูกใจก็อาจต่ออายุหรือขยายกลุ่มคนที่ได้รับประโยชน์ เหมือนกรณีแจกเงินเยียวยา 5,000 บาท "การ์ดอย่าตก" สร้างต้นทุนทางเศรษฐกิจสูง 2 วันก่อนรัฐบาลเปิดให้ประชาชนลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ "เราเที่ยวด้วยกัน" หวังดึงเงินจากกระเป๋าสตางค์ของกลุ่มคนที่พอมีกำลังซื้อมาเยียวยาเศรษฐกิจ ได้เกิดเหตุ "โควิดถล่มระยอง" เมื่อศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) รายงานข้อมูลเมื่อ 13 ก.ค. พบผู้ติดเชื้อหน้าใหม่จำนวน 3 ราย ในจำนวนนี้เป็นนายทหารสัญชาติอียิปต์ซึ่งเดินทางเข้าไทยระหว่างวันที่ 8-11 ก.ค. ก่อนเข้าพักในโรงแรม และได้ไปเดินเล่นที่ห้างสรรพสินค้า 24 ชม. ผ่านไป คำสั่งจองโรงแรมและห้องสัมมนาภายในเมือง "ผลไม้รสล้ำ อุตสาหกรรมก้าวหน้า" ถูกยกเลิก 100% ตามคำเปิดเผยของประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดระยอง ขณะที่ ศบค. สั่งชะลอการอนุญาตการเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรแบบผ่อนคลายตามข้อกำหนดของบรรดา "วีไอพี" ประกอบด้วย กลุ่มที่มีเหตุยกเว้นหรือได้รับอนุญาต, กลุ่มบุคคลในคณะทูต และกลุ่มนักธุรกิจที่เดินทางเข้ามาในระยะสั้น ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ เห็นว่าสิ่งที่ภาคเอกชนต้องการมากที่สุดจากรัฐบาลในเวลานี้คือการสถาปนาหลักเกณฑ์ที่เป็นทางการเพื่อเปิดให้นักท่องเที่ยวและนักธุรกิจชาวต่างชาติเข้ามาในไทยได้ สิ่งที่ ดร.ศุภวุฒิอยากชี้ชวนให้สังคมพิจารณาจากกรณีทหารอียิปต์ และกรณีเด็กหญิงวัย 9 ขวบ บุตรสาวของอุปทูตซูดาน ติดเชื้อโควิด-19 คือทั้ง 2 กรณีนี้จะทำให้เกิดผู้ป่วยหน้าใหม่ในไทยกี่ราย สถานการณ์การแพร่ระบาดรุนแรงแค่ไหน และรัฐสามารถบริหารจัดการได้ดีหรือไม่ เพราะถ้าพิจารณาตัวเลขผู้ป่วยสะสมทั้งประเทศ ณ วันที่ 15 ก.ค. จำนวน 3,232 ราย และผู้เสียชีวิตสะสม 58 ราย ก็คิดเป็นเพียง 1.79% ของยอดผู้ป่วย "ในเมื่อโรคนี้มีผู้เสียชีวิตเปอร์เซ็นต์กว่า ๆ แล้วทำไมคุณต้องการ absolute perfection (ความสมบูรณ์แบบอย่างสัมบูรณ์) ทั้งที่ต้นทุนทางเศรษฐกิจมหาศาล" ตลอดเวลา 5 เดือนของการ "ปิดประเทศ" และ "ปิดเศรษฐกิจ" ดร.ศุภวุฒิประเมินว่าอาจทำให้จีดีพีหายไป 30% ส่วนแรกคือ กลุ่มนักท่องเที่ยว ขณะนี้มีนักท่องเที่ยวต่างชาติต้องการเข้ามาเที่ยวเมืองไทย แต่ไทยยังไม่เปิดประเทศรับเพราะกลัวเชื้อโควิด ทั้งที่สถิติของประเทศที่มียอดผู้ติดเชื้อสะสมสูงสุดของโลกอย่างสหรัฐฯ ที่ 3.54 ล้านราย ก็คิดเป็นเพียง 1.08% ของพลเมืองอเมริกันทั้งหมด 329 ล้านคน "นี่คือสิ่งที่คนไม่ได้นึกถึง ดังนั้นถ้าเราคัดกรองดี ๆ ในหลักการคุณน่าจะสามารถคัดกรอง 98-99% ที่ไม่ติดเชื้อได้ไม่ใช่หรือ ไม่ใช่ว่าเขาติด 40-50% พอคุณจิ้มไปก็เจอเชื้อ ฉะนั้นในหลักการโอกาสที่เขาจะไม่ติดเชื้อมีสูงนะครับ" แต่แน่นอนว่าทุกอย่างมีความเสี่ยง และเป็นเรื่องที่รัฐไทยต้องถามตัวเองว่าจะสยบความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นได้รวดเร็วแค่ไหน ดร.ศุภวุฒิกล่าวต่อไปว่า หากรัฐต้องการมาตรการที่เท่าเทียมกัน (equal treatment) ก็ต้องห้ามไม่ให้นักธุรกิจเข้ามาด้วย นักธุรกิจญี่ปุ่นที่มีบริษัทในไทยไม่สามารถเข้ามาดูโรงงาน ดูแลควบคุมมาตรฐานการผลิตได้เลยหรือ ทุกอย่างต้องหยุดชะงักไปหมดเลยหรือไม่ หรือในส่วนของการลงทุนใหม่ผ่านกองทุนร่วมลงทุน (Matching Fund) ซึ่งปกติคิดเป็น 20% ของจีดีพี จะต้องหยุดไปแค่ไหน ถ้าหยุดไปครึ่งหนึ่งก็ 10% ของจีดีพี ซึ่งการลงทุนนี้สำคัญ เพราะนอกจากเป็นการสร้างงานในปัจจุบัน ยังเป็นการสร้างการผลิตในอนาคต และมีความสำคัญต่อการทำให้จีดีพีโตในระยะยาว "คุณไปลองคิดดูให้ดีดีกว่าว่าคุณจะอยู่กับโควิด 19 อย่างไร แล้วก็เลือกจับคู่กับประเทศที่มีมาตรการรัดกุม ไปเจรจากับเขาว่าจะแบ่งความเสี่ยงกันอย่างไร มันเป็นการแบ่งความเสี่ยงแน่นอน เขาก็ไม่ได้อยากให้ประชากรของเขามาติดเชื้อในประเทศเรา เขาก็ต้องรับผิดชอบประชากรเขาเช่นกัน" นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสระบุ ทิวทัศน์บ้านแหลมหิน จ.ภูเก็ต ซึ่งดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติยังคงเงียบสงบช่วงต้นเดือน ก.ค. อุปสรรคที่ทำให้การ "เปิดเศรษฐกิจ" ยังไม่อาจเกิดขึ้นตามทัศนะของ ดร.ศุภวุฒิ เกิดจาก "ความกลัว เพราะรัฐบาลบอกให้กลัว" "รัฐบาลพยายามพูดเหมือนกับว่า absolute perfection เป็นผลงานที่ดีมากเลยของรัฐบาล ไม่อยากให้อันนี้เปรอะเปื้อนเลย และรัฐบาลขู่ตลอดอย่าการ์ดตก ๆ ขนาดปลอดเชื้อในประเทศ 44 วันก็ยังบอกให้ตั้งการ์ด แต่ถ้าเราตั้งการ์ดตลอดเวลา มือคุณทำอย่างอื่นไม่ได้เลยนะ มันก็มีต้นทุนทางเศรษฐกิจสูง" ดร.ศุภวุฒิพูดพลางแสดงท่ายกมือตั้งการ์ดให้ดู จาก "สุขภาพนำเสรีภาพ" สู่ "สุขภาพนำเศรษฐกิจ" เมื่อฐานคิดในการปราบโควิด-19 ของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ค่อย ๆ เคลื่อนจาก "สุขภาพนำเสรีภาพ" ในช่วงต้น ไปสู่ "สุขภาพนำเศรษฐกิจ" ณ ปัจจุบัน ภาพความเสียหายทางเศรษฐกิจที่ "เจ็บจริง-เลือดไหลจริง" จึงคล้ายถูกกดทับด้วย "ความกลัวหมู่" "ใช่ มันไม่เห็นภาพ (ความเสียหายทางเศรษฐกิจ) นักเศรษฐศาสตร์และนักจิตวิทยาพูดกันเสมอว่าเราประเมินความเสี่ยงไม่เป็น หลายคนถึงคิดว่าตัวเองจะถูกล็อตเตอรี่ไงทั้งที่โอกาสถูกน้อยมาก ฉันใดก็ฉันนั้น กรณีนี้เราคิดว่าเรามีโอกาสติดโควิดสูงมากเลย ผมถามว่าคุณรู้จักใครสักคนไหมที่ติดเชื้อ คนไทยส่วนใหญ่ไม่รู้จักนะ เพราะมีแค่ 3,000 คน จาก 68 ล้านคน แต่ถามว่าคุณรู้จักคนที่ถูกรถชนตายไหม ผมว่าเราอาจรู้จักนะ เพราะในแต่ละปีประเทศไทยมีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนน 40,000-50,000 คน แต่ถามว่าคุณห้ามขับรถไหม ไม่ห้าม" ภาพ "ตลกร้าย" ที่นักเศรษฐศาสตร์รายนี้พบเห็นบนท้องถนน เป็นภาพชายขับขี่รถจักรยานยนต์ไม่สวมหมวกกันน็อก แต่สวมใส่หน้ากากอนามัย ทั้งที่ชีวิตบนท้องถนน ความเสี่ยงในการประสบอุบัติเหตุสูงกว่าการติดเชื้อไวรัส หมายเหตุ : ข้อมูลบางส่วนจากบีบีซีไทยสรุปจากงานสัมมนา "ระดมสมอง ฟื้นเศรษฐกิจ ชุบชีวิตท่องเที่ยว" Rescue Forum : Tourism" จัดโดยหนังสือพิมพ์ข่าวสด และกลุ่ม CARE เมื่อ 11 ก.ค. 2563
|
15 ก.ค. วันแรกของการเปิดให้ประชาชนลงทะเบียนรับสิทธิท่องเที่ยวผ่านเว็บไซต์ "เราเที่ยวด้วยกัน" โดยที่นักเศรษฐศาสตร์และหน่วยขับเคลื่อนนโยบายเห็นตรงกันว่าตลาด "ไทยเที่ยวไทย" ไม่อาจทดแทนตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติที่หายไปได้ และหากยังไม่มีการเปิดประเทศ ผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรมราว 20% เสี่ยงต้องปิดกิจการ
|
international-39266298
|
https://www.bbc.com/thai/international-39266298
|
“ป่ากันไฟ” ในอินโดนีเซีย
|
เมื่อปี 2558 ไฟป่ารุนแรงในพื้นที่ป่าพรุบนเกาะกาลิมันตันกินพื้นที่กว่า 8,000 ตร.กม. หมอกควันหนาทึบจากไฟป่าสร้างความเดือดร้อนให้แก่ผู้คนในพื้นที่และประเทศเพื่อนบ้านในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นานนับเดือน แต่มีพื้นที่ป่าแห่งหนึ่งซึ่งรอดจากหายนะครั้งนั้นมาได้ นาย จานุมินโร บุนซาล ชาวบ้านบนเกาะกาลิมันตันขุดบ่อน้ำตามแนวรอบป่าใช้เป็นฉนวนกันไฟ เขาระดมทุนผ่านทางโซเชียลมีเดีย และจัดตั้งเครือข่ายเฝ้าระวังไฟป่า จนสามารถรักษาป่าแห่งนี้ให้รอดจากไฟป่ารุนแรง ขณะนี้มีแผนจะนำโครงการของเขามาปรับใช้ทั่วประเทศ เพื่อแก้ปัญหาไฟไหม้ป่าพรุซึ่งเกิดขึ้นทุกปีในช่วงฤดูแล้ง ทั้งนี้ พื้นที่ป่าพรุสามารถติดไฟได้นานกว่าไฟป่าทั่วไป เพราะมีซากพืชซากสัตว์ทับถมอยู่ใต้ดินปริมาณมาก และเมื่อถูกเผาไฟจะคุอยู่ใต้ดิน ส่งควันและมลพิษออกมามากกว่าไฟไหม้ทั่วไป
|
ไฟไต้ดินที่ป่าพรุในอินโดนีเซีย ถือเป็นปัญหาใหญ่ของประเทศ
|
international-42553535
|
https://www.bbc.com/thai/international-42553535
|
ว่ายน้ำกับฉลามใหญ่สุดอันดับ 2 ของโลก
|
ฉลามบาสกิง (Basking shark) มีน้ำหนักมากได้ถึง 7 ตัน แต่ยังชีพด้วยการกินแพลงก์ตอน และสัตว์ขนาดเล็ก ฉลามยักษ์นี้ไม่ทำอันตรายคน ฉลามบาสกิงมีปากขนาดมหึมาที่กว้างถึง 1 เมตร แต่ละชั่วโมง มันกรองน้ำได้เทียบเท่ากับน้ำในสระว่ายน้ำโอลิมปิก 1 สระ ผ่านเหงือกที่ทำหน้าที่เหมือนคราด ทำให้กินแพลงก์ตอนสัตว์ได้ 30กก. ในแต่ละวัน ฉลามบาสกิงสามารถเติบโตจนมีความยาวได้ถึง 12 เมตร แม้ว่านักวิทยาศาสตร์พยายามศึกษาเกี่ยวกับมันอย่างมาก แต่ก็ยังไม่รู้ว่าพวกมันมาจากไหนกันแน่ และมันหายไปจากชายฝั่งเมื่อไหร่
|
ฉลามบาสกิง เป็นฉลามที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองของโลก และไม่ทำอันตรายมนุษย์ บีบีซี สตูดิโอส์ พาไปว่ายน้ำกับฉลามบาสกิงและเรียนรู้เกี่ยวกับสัตว์ทะเลเลี้ยงลูกด้วยนมชนิดนี้
|
features-45563974
|
https://www.bbc.com/thai/features-45563974
|
เกษตรกรอินเดียผลิตผ้าไหมจากน้ำเน่าเสีย
|
ปัญหาขาดแคลนน้ำในอินเดียมีสาเหตุมาจากการสูบน้ำบาดาลขึ้นมาใช้อย่างมหาศาล โดยมีปริมาณมากกว่าน้ำบาดาลที่สหรัฐฯ และจีนสูบขึ้นมาใช้รวมกัน ด้วยเหตุนี้น้ำจึงกลายเป็นทรัพยากรหายากในหลายพื้นที่ของประเทศ "มูนิราจู" เกษตรกรคนหนึ่งในเมืองบังกาลอร์จำเป็นต้องละทิ้งอาชีพปลูกผักขายในยามน้ำแล้ง แล้วคิดวิธีผันน้ำเสียจากชุมชนเมืองมาใช้ปลูกต้นหม่อนเพื่อนำใบไปเลี้ยงหนอนไหมสำหรับผลิตเส้นไหมส่งขายเลี้ยงชีพ มูนิราจู บอกว่า การใช้น้ำเสียที่ยังไม่ผ่านการบำบัดมาปลูกต้นหม่อนไม่เป็นอันตรายต่อคน เพราะใบหม่อนที่ได้นำไปใช้เป็นอาหารของหนอนไหม และเส้นไหมที่ได้จากกระบวนการผลิตแบบนี้ก็ไม่มีผลกระทบด้านสุขภาพต่อผู้สวมใส่ด้วย แนวคิดการทำเกษตรด้วยน้ำเสียของ มูนิราจู สร้างแรงบันดาลใจให้เกษตรกรอินเดียจำนวนมาก อีกทั้งยังแสดงให้เห็นถึงภูมิปัญญาชาวบ้านในการใช้น้ำเสียทั้งที่ผ่านและยังไม่ผ่านการบำบัดมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
|
ชาวอินเดีย มีความนิยมเครื่องแต่งกายที่ทำจากผ้าไหมมาช้านานไม่ต่างจากคนไทย และมักสวมใส่ผ้าไหมในโอกาสพิเศษต่าง ๆ เช่น งานวิวาห์ และงานเลี้ยง แต่ปัญหาขาดแคลนน้ำสะอาดเพื่อเกษตรกรรมทำให้เกษตรกรที่อาศัยอยู่แถบชานเมืองบังกาลอร์ทางภาคใต้ของอินเดียต้องปรับตัว ด้วยการใช้น้ำเสียที่ยังไม่ผ่านการบำบัดจากชุมชนในการปลูกต้นหม่อนสำหรับผลิตผ้าไหม
|
thailand-44959751
|
https://www.bbc.com/thai/thailand-44959751
|
ทีมหมูป่า กับ ความหวังของคนไร้สัญชาติเกือบ 1 ล้านคน
|
นางเอื้อนบอกว่า "เงิน" อาจจะเป็นสิ่งที่ทำให้ลูกชายของทั้งสองของเธอได้สัญชาติจนได้ นางทอง* เจ้าของกิจการร้านขายของชำใน อ.แม่สาย จ.เชียงราย กำลังพูดถึงข่าวการขอสัญชาติของสมาชิกทีมหมูป่าอะคาเดมี เปรียบเทียบกับหลานสาววัย 22 ปีของเธอที่เกิดในประเทศไทยแต่กลับเป็นคนไร้สัญชาติ ปฏิบัติการช่วยเหลือทีมหมูป่าอะคาเดมี 13 ชีวิต ออกจากถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอนที่สำเร็จลุล่วง ได้จุดประเด็นเรื่องคนไร้สัญชาติที่อาศัยอยู่ในไทย เนื่องจากโค้ชทีมหมูป่าและนักฟุตบอลของทีมบางคน เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่อาศัยอยู่ในไทย แต่ไม่ได้มีสัญชาติไทย อย่างไรก็ดี ล่าสุดวันนี้ (8 ส.ค.) ได้มีพิธีมอบสัญชาติไทยให้ผู้ที่ขอสัญชาติไทย ตามมาตรา 7 ทวิ และมาตรา 23 ตามพ.ร.บ.สัญชาติ จำนวนทั้งหมด 30 คน ซึ่งรวมถึงสมาชิกทีมหมูป่าอะคาเดมีและผู้ช่วยโค้ช 4 คน ได้แก่ ด.ช.มงคล บุญเปี่ยม ด.ช.อดุลย์ สามอ่อน นายพรชัย คำหลวง และนายเอกพล จันทะวงศ์ หรือโค้ชเอก อายุ 25 ปี ด้วย "ภาวนาขอให้ได้" นางทองกล่าว "อยากให้คนนี้ได้ เป็นห่วงเพราะว่าเขาไม่มีพ่อไม่มีแม่ ขาดความอบอุ่น อยากให้เขาได้บัตรไทย ถ้าได้บัตรไทยแล้ว แม่เฒ่าก็ดีใจ" นางทองกล่าว เมื่อกลางเดือน ก.ค. สำนักข่าวไทยรายงานว่า กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ได้ออกมายืนยันว่า กรณีขอสัญชาติของสมาชิก 4 คนของทีมหมู่ป่าอะคาเดมี จะเป็นไปตามหลักเกณฑ์ปฏิบัติเหมือนกับทุกคน แต่คำถามที่ยังเป็นประเด็นถกเถียงอย่างกว้างขวางก็คือ บุคคลไร้สัญชาติคนอื่น ๆ จะได้รับการดำเนินการด้วยมาตรฐานและความรวดเร็วแบบเดียวกันหรือเปล่า ด.ช. อั้ม ซึ่งเคยสังกัดทีมหมูป่าอะคาเดมี บอกว่า รู้สึก "ดีใจด้วย" หากเพื่อน ๆ จะได้รับสัญชาติไทย ตามข้อมูลประกาศสำนักทะเบียนกลาง กระทรวงมหาดไทย ตามหลักฐานการขึ้นทะเบียนราษฎร ณ วันที่ 31 ธ.ค. ปี 2560 ในจำนวนราษฎรทั่วราชอาณาจักรไทยที่มีมากว่า 66.1 ล้านคน มีบุคคลที่ไม่ได้มีสัญชาติไทยถึง 875,814 คน นางทอง และลูกสาวและหลานสาวของเธอ ก็เป็นส่วนหนึ่งในจำนวนคนเหล่านั้น ซึ่งถือบัตรประจำตัวประชาชนที่ขึ้นต้นด้วยเลข 0 หรือ 9 ซึ่งเป็นบัตรของบุคคลไร้สถานะทางทะเบียน นั่นคือ ไม่ปรากฏว่าบุคคลนั้นมีสัญชาติใดเลย การถือบัตรนี้ถือว่าอยู่ในกระบวนการขึ้นทะเบียนเพื่อรอการพิสูจน์ยืนยันตัวบุคคลในการขอสัญชาติ "ด.ญ. ไทยใหญ่" ปัญหาสำหรับหลานสาวของนางทองคือ มีหนังสือรับรองการเกิดแต่กลับยังไม่ได้เขียนชื่อ ที่โต๊ะหินอ่อนหน้าร้านขายของชำ นางทองนำเอกสารหลักฐานปึกใหญ่มาเปิดให้ดู ชื่อบนหนังสือรับรองการเกิดของหลานสาวเธอเขียนเพียงว่า "ด.ญ." และนามสกุลว่า "ไทยใหญ่" ซึ่งเธอบอกว่าเป็น "ความไม่ละเอียด" ของทางการ "ด.ญ. ไทยใหญ่" นางทองเล่าว่า ทั้งพ่อและแม่ของหลานสาวเสียชีวิตไม่นานหลังจากเธอเกิด และนี่ทำให้หลานสาวของเธอไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเกิดในประเทศไทยจริง ๆ และก็ไม่มีรูปถ่ายจากงานศพของพ่อแม่เป็นหลักฐานตามที่มูลนิธิที่ให้การช่วยเหลือเรื่องการขอสัญชาติแนะนำ นางจันทร์* ลูกสาวอีกคนหนึ่งของนางทองซึ่งถือบัตรประจำตัวที่ขึ้นต้นด้วยเลข 0 เช่นกัน เล่าว่า ขณะนี้ หลานสาวซึ่งกำลังทำงานอยู่ที่กรุงเทพฯ ต้องพบกับปัญหามากมาย อาทิ สมัครงานยากเพราะนายจ้างส่วนใหญ่ต้องการคนที่ถือประจำตัวประชาชนไทย และยังต้องเดือนทางกลับบ้านมาเพื่อรายงานตัวทุก ๆ 6 เดือนด้วย ในกรณีของทีมหมูป่าอะคาเดมี สมาชิกทีมทั้ง 4 คน คือ ด.ช.มงคล บุญเปี่ยม อายุ 13 ปี ด.ช.อดุลย์ สามอ่อน อายุ 14 ปี นายพรชัย คำหลวง อายุ 16 ปี และนายเอกพล จันทะวงศ์ หรือโค้ชเอก อายุ 25 ปี ล้วนไม่ได้แจ้งการเกิด และไม่มีสูติบัตร ตามรายงานของสำนักข่าวไทย การขอสัญชาติของคนทั้ง 4 คน ต้องเริ่มด้วยการพิสูจน์ว่าพวกเขาเกิดในประเทศไทยเพื่อที่จะได้รับสูติบัตรหรือหนังสือรับรองการเกิดจากนายทะเบียน โดยพยานหลักฐานสำคัญที่จะต้องใช้ได้แก่ บุคคลที่รู้เห็นการเกิด อาจเป็นหมอตำแย ญาติ เพื่อนบ้านใกล้เคียง หรือผู้ใหญ่บ้าน เป็นต้น นางทอง และหลานสาวของเธอ ถือบัตรประจำตัวประชาชนที่ขึ้นต้นด้วยเลข 0 ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดในพระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ. 2508 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 ด.ช.มงคล และนายพรชัย จะได้รับสัญชาติหากพวกเขาเกิดในประเทศไทย โดยมีบิดาหรือมารดาเป็นชนกลุ่มน้อยที่ทางราชการได้สำรวจจัดทำทะเบียนประวัติไว้ และมีเลขประจำตัว 13 หลัก เและบิดาหรือมารดาต้องเข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศไทยเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 15 ปีนับถึงวันที่บุตรยื่นขอสัญชาติ นางทองมีเอกสารที่เธอคิดว่าน่าจะเป็นหลักฐานได้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนบ้านที่รู้จักกันมาตั้งแต่หลานสาวเกิด สมุดรายงานประจำตัวที่โรงเรียนอนุบาล ไปจนถึงใบแสดงผลการเรียนระดับมัธยมต้นและประกาศนียบัตรวิชาชีพ นางจันทร์บอกว่า มูลนิธิที่ให้การช่วยเหลือเรื่องการขอสัญชาติบอกเธอว่า การจบปริญญาตรีจะเป็นอีกโอกาสหนึ่งให้หลานสาวเธอมีสิทธิได้สัญชาติในที่สุด ซึ่งอาจเข้าหลักเกณฑ์แบบโค้ชเอก ซึ่งระบุว่า ถ้าเด็กเกิดในประเทศไทยโดยมีบิดามารดาเป็นคนต่างด้าวที่มิใช่ชนกลุ่มน้อย เด็กจะต้องเรียนในประเทศไทยจนจบปริญญาตรี แล้วเอาหลักฐานปริญญาบัตรและผลการเรียนไปยื่นขอสัญชาติ ในกรณีดังกล่าว รมว. กระทรวงมหาดไทยได้มอบอำนาจให้นายอำเภอเป็นผู้อนุมัติ กรณีผู้ขอสัญชาติมีอายุไม่เกิน 18 ปีบริบูรณ์ และให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้อนุมัติ กรณีผู้ขอมีสัญชาติมีอายุเกินกว่า 18 ปี "เราจะเอาตังค์ไปส่งให้ลูกให้หลายเรียนได้ไง ลูกของเราเรายังลำบากเลย อันนี้หลาน" นางจันทร์กล่าว "พ่อแม่เขาก็เสียหมด แล้วเราก็เลี้ยงเขามาถึงขนาดนี้ เขาก็โตแล้ว เขาก็ไปทำงานแล้ว ไม่อยากเป็นภาระให้เรา ...คนไทย ถ้าเขาไม่มีเงินเรียน เขาก็กู้ กยศ. ได้ เราไม่ได้ไง เราไม่มีบัตรไทย ขอไม่ได้ ขอเรียนต่อไม่ได้" สมาชิกทีมหมูป่าทั้ง 4 คนล้วนไม่ได้แจ้งการเกิด และไม่มีสูติบัตร อีกหนึ่งหลักเกณฑ์ที่โค้ชเอกสามารถยื่นขอสัญชาติได้คือ ตามมาตรา 23 แห่งพระราชบัญญัติสัญชาติ ซึ่งกำหนดคุณสมบัติว่าผู้ขอจะต้องมีหลักฐานการเกิด มีเลขประจำตัว 13 หลัก มีความประพฤติดี หรือทำคุณประโยชน์ให้แก่สังคม และอาศัยอยู่ติดต่อกันในประเทศไทย โดยกฎหมายให้อำนาจนายอำเภอเป็นผู้พิจารณาอนุมัติ แต่ในขณะที่คนทั้งโลกรู้จักโค้ชเอกในฐานะ "ฮีโร่" เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เด็ก ๆ รอดชีวิตออกมาได้ สิ่งที่สังคมอาจตั้งคำถามได้คือ นิยามของการ "ทำคุณประโยชน์ให้แก่สังคม" คืออะไร และหลานสาวนางทองจะสามารถใช้หลักเกณฑ์นี้ได้หรือไม่ นายสุรพงษ์ กองจันทึก อดีตประธานอนุกรรมการสิทธิมนุษยชนด้านชนชาติ ผู้ไร้สัญชาติ แรงงานข้ามชาติและผู้พลัดถิ่น สภาทนายความ กล่าวกับบีบีซีไทย ถึงปัญหาบุคคลไร้สัญชาติที่มีจำนวนหลายแสนคนในประเทศไทย ว่า สาเหตุที่คนไร้สัญชาติจำนวนมากยังไม่ได้สัญชาติ มีทั้งปัจจัยด้านตัวบุคคลเองที่ยังไม่ได้ยื่นขอ กลุ่มนี้เป็นผู้ที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกล ไม่มีเอกสารราชการยืนยัน และมีอุปสรรคทางการสื่อสารที่ต้องใช้ภาษาไทย หรือหลาย ๆ กรณียื่นไปแล้ว ดำเนินการล่าช้า เนื่องจากเจ้าหน้าที่ไม่เพียงพอ โดยเฉพาะในพื้นที่ชายขอบซึ่งมีบุคคลไร้สัญชาติจำนวนมาก " บางอำเภอมีสภาพปัญหาเยอะ แต่อัตรากำลังของเจ้าหน้าที่กลับเท่ากับพื้นที่ที่ปัญหามีอยู่น้อย หรือไม่มีเลย บางพื้นที่มี 10 คน บางพื้นที่เป็นหมื่นคน แต่จำนวนเจ้าหน้าที่เท่ากัน" สุรพงษ์ กล่าว สุรพงษ์ กล่าวว่าปัญหาการให้สัญชาติยังเกี่ยวพันกับทัศนคติของรัฐที่เป็นอุปสรรคต่อการได้สัญชาติของบุคคลไร้รัฐ สุรพงษ์ยกตัวอย่างกรณีที่เกิดขึ้นกับคนไทยพลัดถิ่นในพื้นที่ อ.แม่สอด และ อ.แม่ระมาด จ.ตาก ที่ฟ้องศาลปกครองให้เพิกถอนมติคณะกรรมการรับรองความเป็นคนไทยพลัดถิ่นที่ไม่รับรองผู้ฟ้อง 351 คน ซึ่งทำให้กลุ่มนี้ไม่ได้สัญชาติไทยโดยการเกิด ก่อนภายหลังศาลปกครองมีคำพิพากษาให้เพิกถอนคำสั่งนี้และให้คืนสัญชาติไทยกับผู้ฟ้อง คนไทยพลัดถิ่น คือ คนไทยที่ไร้สัญชาติซึ่งได้รับผลกระทบจากการปักปันเขตแดนระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้านเมื่อกว่า 100 ปีที่ผ่านมา กรมการปกครอง ขึ้นทะเบียนคนไทยพลัดถิ่นใน 6 จังหวัดชายแดนไว้ที่กว่า 18,000 คน หลังจากปรับปรุงกฎหมายสัญชาติ พ.ร.บ.สัญชาติ (ฉบับที่ 5) เมื่อปี 2555 เพื่อแก้ปัญหาคืนสัญชาติไทยให้กลุ่มคนไทยพลัดถิ่น "ผมเชื่อว่าคนไทยพลัดถิ่นอาจจะได้สัญชาติไทยคืนไม่ถึง 10 เปอร์เซ็นต์ หลังรัฐบาลแก้ปัญหาเมื่อ 5-6 ปีก่อน" สุรพงษ์กล่าว การศึกษาฟรี รักษาฟรี ที่หมู่บ้านข้างเคียงนางทอง ด.ช. อั้ม* วัย 14 ปี บอกกับบีบีซีไทยว่า การถือ "บัตรศูนย์" ไม่ได้เป็นอุปสรรคในการใช้ชีวิต นอกจากการ "ถ้าไปแข่ง[ฟุตบอลที่ต่างจังหวัด] บัตรไทยมันจะดีกว่า เวลาไปแข่งมันจะไม่ยุ่งยาก" นายกิตติชัย เมืองมา ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา (ผอ.สพป.) เชียงราย เขต 3 กล่าวว่า สิทธิทางการศึกษาและโอกาสทางการไทยให้ต่อเด็กกลุ่มไร้สัญชาติอย่างเต็มที่ เช่น อาหารกลางวันฟรี และค่าเล่าเรียนฟรี 15 ปี นอกจากนี้พวกเขาสามารถศึกษาเล่าเรียนได้ถึงขั้นปริญญาตรี ส่วนสิทธิทางการปกครองก็เป็นส่วนของกฎหมายปกครองไป แม่ของอั้มเล่าว่า ลูกชายเกิดที่ รพ.เชียงรายประชานุเคราะห์ ซึ่งเป็นที่เดียวกับที่ทีมหมู่ป่าอะคาเดมีพักฟื้นร่างกายหลังออกจากถ้ำ "เขาต้องไปดำเนินการและพิสูจน์ตัวเองว่าเป็นคนไทยอย่างไร จะได้สัญชาติด้วยการโอน หรือการเกิด ซึ่งเป็นเรื่องของกฎหมายปกครอง" นายกิตติชัยกล่าว ปัจจุบันเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงรายเขต 3 มีนักเรียนทังหมดราว 36,000 คน มีเด็กที่ไร้สัญชาติอยู่ราว 30% ด.ช. อั้ม เองก็เคยสังกัดทีมหมูป่าอะคาเดมีและรู้จักกับสมาชิกทีมที่ติดอยู่ในถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน เป็นอย่างดี เขาบอกว่า รู้สึก "ดีใจด้วย" หากเพื่อน ๆ จะได้รับสัญชาติไทย และไม่ได้รู้สึกว่าไม่ยุติธรรมเพราะ "เดี๋ยวเราก็ได้" แม่ของอั้มเล่าว่า ลูกชายเกิดที่ รพ.เชียงรายประชานุเคราะห์ ซึ่งเป็นที่เดียวกับที่ทีมหมู่ป่าอะคาเดมีพักฟื้นร่างกายหลังออกจากถ้ำ เธอตอบคำถามด้วยความเข้าใจดีถึงระบบราชการของไทยในการให้สัญชาติ "มันเป็นตามขั้นตอน แล้วก็ถ้าเกิดว่าเรารู้จักเส้น รู้จักผู้หลักผู้ใหญ่หน่อย ก็จะยื่นเรื่องเราเร็วหน่อย ถ้าเกิดเราไม่รุ้จักเราก็ตามนั้นแหละ ปีหน้าก็คือปีหน้า สองปีก็คือสองปี รอไป" เธอบอกบีบีซีไทย นางเอื้อน และลูกชายสองคนย้ายมาจากเมืองตองจี เมียนมา ตั้งแต่ปี 2540 ในทางเดียวกัน นางเอื้อน* ซึ่งย้ายมาจากเมืองตองจี เมียนมา ตั้งแต่ปี 2540 มารับจ้างขนของอยู่ที่ตลาดโชคเจริญ บอกว่า "เงิน" อาจจะเป็นสิ่งที่ทำให้ลูกชายของเธอทั้งสองคนได้สัญชาติจนได้ แม้ว่าเธอจะทำสูติบัตรของลูกชายคนเล็กหายไป เหลือแต่สมุดฝากครรภ์ และพยายามไปเดินเรื่องกับทางการมาหลายปีแต่ไม่เป็นผล "เขาได้ แต่เราไม่ได้ ก็เซ็งนิดนึง" นางเอื้อนกล่าว เมื่อถามถึงข่าวเรื่องการขอสัญชาติของสมาชิกทีมหมูป่าอะคาเดมี 4 คน และบอกว่าเริ่มถอดใจ ได้ "บัตรหัวศูนย์" ก็ดีแล้ว ดีใจแล้วที่ได้อยู่ประเทศไทย "มีคนบอกว่า ไม่เป็นไร ขอให้มีตังค์เถอะ ถ้ามีตังค์ก็ไปอุดหนุนนายอำเภอมั่ง คนรับรองมั่ง มีคนที่แต่ก่อนทำงานด้วยกัน มีบัตรหัวศูนย์เหมือนเราเนี่ย ไปเปลี่ยนเป็นบัตรประชาชน ต้องมีคนค้ำเจ็ดคน หมดไปแสนกว่า คนนั้นไม่มีใบเกิด" นางเอื้อนบอกว่า "เงิน" อาจจะเป็นสิ่งที่ทำให้ลูกชายของทั้งสองของเธอได้สัญชาติจนได้ *นามสมมติ ผู้ให้สัมภาษณ์ไม่ประสงค์เปิดเผยชื่อจริงด้วยความกังวลว่าจะส่งผลต่อการเดินเรื่องขอสัญชาติของตัวเอง
|
"เกิดในประเทศไทยแท้ ๆ ก็ยังไม่ได้ ถ้าเขาได้ เราได้ด้วยไม่ได้เหรอ" หญิงชราวัย 65 ปี เชื้อสายไทใหญ่ ตั้งคำถาม
|
features-46494298
|
https://www.bbc.com/thai/features-46494298
|
เทคโนโลยี : เรือเฟอร์รีไร้คนขับในฟินแลนด์
|
เรือข้ามฟากดังกล่าว ควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์ ถือเป็นหนึ่งในเรือเฟอร์รีลำแรก ๆ ที่ขับเคลื่อนอัตโนมัติเต็มรูปแบบ โดยใช้ตัวเซ็นเซอร์และกล้องช่วยให้เรือเล่นไปตามทิศทางต่าง ๆ ได้เอง ทั้งยังสามารถตรวจจับและหลีกเลี่ยงอุปสรรคต่าง ๆ ได้เองอัตโนมัติ นายออสการ์ เลวานเดอร์ รองประธาน อินโนเวชัน โรลส์รอยซ์ ผู้พัฒนาเทคโนโลยีนี้ ระบุว่า อุบัติเหตุทางเรือส่วนใหญ่เกิดจากความผิดพลาดของมนุษย์ และหลายครั้งมีสาเหตุจาก เรื่องทั่ว ๆ ไป เช่น ความเหนื่อยล้า หรือลูกเรือไม่ได้พักผ่อนเพียงพอ ปัญหาดังกล่าวสามารถแก้ได้ด้วยเครื่องจักรอัตโนมัติ แต่ในกรณีฉุกเฉินเจ้าหน้าที่ยังสามารถบังคับเรือได้จากบนฝั่ง โดยศูนย์ปฏิบัติการทางไกลจะช่วยให้กัปตันเข้าควบคุมเรือได้ โดยการเชื่อมต่อทางดาวเทียมหรืออินเทอร์เน็ตไม่ว่าเรือจะอยู่ที่ใดในโลก โรลส์รอยซ์เชื่อว่า เทคโนโลยีนี้จะทำให้เราได้เห็นเรือเดินสมุทรแบบไร้คนขับเต็มรูปแบบในอนาคต ซึ่งทำงานโดยใช้เทคโนโลยีขับเคลื่อนอัตโนมัติที่สามารถควบคุมได้จากระยะไกล ทำให้เรือมีพื้นที่บรรทุกสินค้าเพิ่มและใช้พลังงานน้อยลง
|
ฟินแลนด์เริ่มใช้เรือเฟอร์รีที่ขับเคลื่อนอัตโนมัติ และสามารถจอดเทียบท่าได้เองโดยไม่ต้องมีคนขับ
|
thailand-50573578
|
https://www.bbc.com/thai/thailand-50573578
|
คดีหมิ่น : ไผ่ ดาวดิน นำทีม กมธ. ซักอดีตมือแจ้งความ คสช. คดีความมั่นคง
|
ไผ่ ดาวดิน ระหว่างทำกิจกรรมรณรงค์ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 6 เม.ย. 2559 "ชีวิตผมหายไปนาน แต่เพื่อความกระจ่างผมขอคำถามเดียว ใครเป็นคนสั่งขังผมครับ" นายจตุภัทร์ถาม "ศาลครับ" คือคำตอบเพียงวลีเดียวที่หลุดจากปาก พ.อ.พิทักษ์พล ชูศรี หรือ เสธ.พีท ผบ.กรมทหารพรานที่ 22 ในฐานะอดีตหัวหน้าฝ่ายข่าวกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยจังหวัดขอนแก่น (กกล.รส.จ.ขอนแก่น) ผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษนายจตุภัทร์ อย่างไรก็ตาม พ.อ.พิทักษ์พลได้เล่าย้อนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อ 2 ธ.ค. 2559 ว่าเขาไม่ใช่คนแรกที่เห็นข้อความที่นายจตุภัทร์แชร์ เพราะในหน่วยข่าวจะมีเจ้าหน้าที่จากสำนักข่าวกรองแห่งชาติ สันติบาล และส่วนอื่น ๆ ในฐานะที่เป็น ผบ.กองร้อย ก็ได้รับข้อมูลจากทีมงาน "พอผมเปิดดูแล้ว ก็ต้องไปรายงานและสอบถามไปยังฝ่ายกฎหมายว่าจะเอาอย่างไร ผู้บังคับบัญชาก็มีดุลพินิจมา" และ "ตอนนั้นผมกับน้องไผ่ก็ไม่มีเหตุโกรธเคืองกันมาก่อน ผมก็ไปแจ้งความตามขั้นตอนในฐานะเจ้าพนักงานรักษาความสงบเรียบร้อยและในฐานะประชาชน เมื่ออ่านแล้วเข้าข่ายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ผมก็ไปแจ้งความ แต่ไม่ขอก้าวล่วงเรื่องคดี และบัดนี้น้องก็เป็นอิสรภาพแล้ว" พ.อ.พิทักษ์พลกล่าว ไผ่ ดาวดิน เป็นอดีตผู้ต้องขังคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และผิดพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ จากกรณีแชร์บทความพระราชประวัติสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 ของบีบีซีไทย ทางเฟซบุ๊กส่วนตัว ก่อนได้รับอิสรภาพเมื่อ 11 พ.ค. 2562 เพราะได้รับพระราชทานอภัยโทษ รวมระยะเวลาที่ถูกจองจำนาน 2 ปี 6 เดือน จากโทษเต็ม 5 ปี นายปิยบุตร แสงกนกกุล ประธาน กมธ. กฎหมายฯ ระบุว่าการพูดคุยกันวันนี้อยู่ภายใต้บรรยากาศเปลี่ยนไปจาก 5 ปีก่อน ขณะนี้เริ่มกลับเข้าสู่ระบบปกติ การใช้ดุลพินิจในนามของ "ความมั่นคง" ก็อาจจะเปลี่ยนไป ในระหว่างการประชุมคณะกรรมาธิการ (กมธ.) กฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายปิยบุตร แสงกนกกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ และเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) เป็นประธาน ช่วงเช้าวันนี้ (27 พ.ย.) ไผ่ ดาวดิน ในฐานะเลขานุการประจำ กมธ. กฎหมายฯ เผชิญหน้ากับ 2 นายทหารผู้มีบทบาทสำคัญในการร้องทุกข์กล่าวโทษเขาและเพื่อนนักกิจกรรมการเมืองหลังรัฐประหารปี 2557 นอกจาก พ.อ.พิทักษ์พล ยังมี พล.ต.บุรินทร์ ทองประไพ ผอ.สำนักงานพระธรรมนูญทหารบก และผู้ชำนาญการสำนักงานกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า (กอ.รมน.ภาค 4) ในฐานะอดีตฝ่ายกฎหมาย คสช. วาระสำคัญในการประชุมคือการพิจารณากรณีการดำเนินคดีของรัฐต่อประชาชนผู้เห็นต่างทางการเมือง โดยมีตัวแทนนักกิจกรรมการเมืองและประชาชนเข้าร้องเรียน 10 ราย และตัวแทนรัฐเป็นผู้ชี้แจง 2 ราย ใช้เวลาประชุมนาน 3 ชม. โดยมีการถ่ายทอดสดผ่านแฟนเพจ กมธ. กฎหมายฯ ตลอดเวลา ยอมรับจับ "คนดัง" ก่อน หากแชร์ข้อมูลผิดกฎหมาย นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ อนค. และอดีตนักศึกษา "ขบวนการประชาธิปไตยใหม่" ซึ่งเป็น "เพื่อนร่วมคุก" ของไผ่ ในคดีชุมนุมต่อต้านรัฐประหาร ครบ 1 ปี ได้ใช้สิทธิ กมธ. กฎหมายฯ โยนคำถามใส่ 2 นายทหาร ว่ามีผู้แชร์บทความของบีบีซีไทยกว่า 3 พันคน เหตุใดจึงมีเพียง 2 คนที่ถูกดำเนินคดีมาตรา 112 อีกมุมหนึ่งของห้อง น.ส.ชลธิชา แจ้งเร็ว อดีตนักศึกษา "ขบวนการประชาธิปไตยใหม่" ซึ่งมาในฐานะผู้ร้องเรียน ได้ตั้งข้อสังเกตในการดำเนินคดีกับนายจตุภัทร์ และ น.ส.ชนกนันท์ รวมทรัพย์ หรือการ์ตูน ว่า "ล้วนแล้วแต่เป็นนักกิจกรรมการเมืองที่ออกมาเคลื่อนไหวต่อต้าน คสช." และ "หลายครั้งต่อให้เป็นการวิจารณ์ คสช. แต่เรามักจะถูกพ่วงคำว่าล้มเจ้ามาด้วย" เกี่ยวกับเรื่องนี้ พล.ต.บุรินทร์ออกตัวว่า เขาไม่เกี่ยวข้องกับคดีแชร์บทความของบีบีซีไทย แต่ในภาพรวมเราจะดูได้ว่าใครแชร์ และเรารู้จักใครบ้าง "ถ้าท่านโรมไปแชร์ ฝ่ายข่าวต้องรู้เพราะท่านเป็นคนดัง แต่ถ้าเป็นคนอื่น หรืออวตาร เป็นตัวที่สร้างมาปลอม ๆ เกิดเหตุอย่างนี้เยอะมาก กว่าจะพิสูจน์ตัวตนได้ก็ยาก การกล่าวโทษหรือสอบสวนใคร ต้องพิสูจน์ว่าเขาเป็นผู้กระทำความผิดจริง ซึ่งตัวผมไม่ได้ทำคดีนี้ เป็นเรื่องของ ปอท. (กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี)" คดีสำคัญ ๆ ในช่วง 5 ปีหลังรัฐประหาร มักปรากฏชื่อ พล.ต.บุรินทร์ ทองประไพ เป็นผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษแทน คสช. นอกจากคดี ไผ่ ดาวดิน ยังมีเหตุการณ์อื่น ๆ ที่ถูกหยิบยกขึ้นมาร้องเรียนต่อ กมธ. กฎหมายฯ ซึ่งทั้งหมดเกิดขึ้นในช่วง 5 ปีหลังรัฐประหารโดย คสช. พบว่า มีการใช้อำนาจทั้งตาม "กฎหมายพิเศษ" และ "กฎหมายปกติ" ดำเนินคดีกับประชาชนผู้เห็นต่างทางการเมือง ประกอบด้วย ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และมาตรา 116, คำสั่งหัวหน้า คสช. ฉบับที่ 3/2558 ห้ามชุมนุมทางการเมืองเกิน 5 คน, พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ บีบีซีไทยสรุปบางคำถาม-คำตอบ ข้อสังเกต-ข้อโต้แย้ง ที่เกิดขึ้นในระหว่าง "ผู้แจ้งความ" เผชิญหน้าและถูกซักฟอกโดย "ผู้ต้องหา-จำเลย-อดีตผู้ต้องขัง" ร่วมกับ "ผู้แทนราษฎร" ณ ห้องประชุม กมธ. ภายในอาคารรัฐสภา บุรินทร์แจง "เป็นแค่ฟันเฟืองเล็ก ๆ" ทำตามคำสั่งนาย พล.ต.บุรินทร์กล่าวว่า เขาอยู่ในฐานะ "ผู้รับมอบอำนาจ" จาก คสช. ให้ไปดำเนินการร้องทุกข์กล่าวโทษ และไม่ได้เป็น "ผู้ปฏิบัติ" ที่มีหน้าที่ติดตามบุคคล จึงไม่อาจตอบได้ทุกคำถาม เช่นคำถามที่ว่ามีเลือกตั้งแล้ว ทำไมประชาชนและนักกิจกรรมการเมืองยังถูกทหารตำรวจติดตามอยู่ ในการดำเนินคดีการเมืองและความมั่นคงหลังรัฐประหารปี 2557 แบ่งออกเป็น 2 ส่วน พล.ต.บุรินทร์ระบุว่า เมื่อมีเหตุการณ์ ฝ่ายข่าวจะแสวงหาและรวบรวมพยานหลักฐานต่าง ๆ เสนอไปยัง คสช. ให้ใช้ดุลพินิจ เมื่อ คสช. เห็นอย่างไรถึงมอบอำนาจลงมา พร้อมกับพยานหลักฐานต่าง ๆ "ผมทราบจากสำนักเลขาฯ ผมไปไม่ถึงหรอกครับข้างบนน่ะ ผมแค่เฟืองเล็ก ๆ" พล.ต.บุรินทร์กล่าว นายพลผู้เป็น "มือแจ้งความ" ของ คสช. ถูกตั้งคำถามต่อไปว่าสถานภาพของเขาเปรียบเหมือน "บุรุษไปรษณีย์" ที่นำความจากผู้บังคับบัญชาไปยื่นร้องทุกข์กล่าวโทษประชาชน หรือสามารถโต้แย้ง-ใช้ดุลพินิจทางกฎหมายได้บ้าง "หากมีหนังสือมอบแล้ว มันไม่มีโอกาสใช้ดุลพินิจเลย มันเป็นคำสั่ง" เขาตอบ ถ้าเช่นนั้นใครต้องเป็นผู้รับผิดชอบต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชนหากมีคดีความขึ้นมา พล.ต.บุรินทร์ตอบเลี่ยง ๆ ไปว่า คสช. เป็นผู้พิจารณาร่วมกัน และให้เลขาธิการ คสช. ไปดำเนินการต่อ ซึ่งเลขาฯ ก็เปลี่ยนมาหลายคนตามวาระ ผบ.ทบ. จากนั้นจึงไปที่สำนักงานเลขาธิการ คสช. และถึงจะมาถึงตัวเขา ส่วนที่ปรากฏข้อมูลในโลกออนไลน์ว่าฝ่ายกฎหมาย คสช. รายนี้แจ้งความดำเนินคดีกับประชาชนมาแล้ว 200-300 คดี พล.ต.บุรินทร์ชี้แจงว่าตัวเลขดังกล่าวครอบคลุมคดียาเสพติด คดีผู้มีอิทธิพล และอื่น ๆ ไม่ใช่เฉพาะคดีการเมืองเท่านั้น ทหารไม่เคยผลัก ปชช. เป็นศัตรู อีกคำถามที่เกิดขึ้นคือ คสช. ใช้ "กฎหมายปิดปาก" ผู้เห็นต่างทางการเมืองหรือไม่ เพราะคนที่ถูกดำเนินคดีล้วนเป็นคนที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ คสช. ขณะที่คดีความที่ประชาชนฟ้องเอาผิดหน่วยงานที่สร้างข่าวปลอม หรือ IO กลับไม่มีความคืบหน้า พล.ต.บุรินทร์ยืนยันว่า ส่วนตัวไม่เคยไปข่มขู่ไม่ให้ประชาชนออกมาเคลื่อนไหว แต่เมื่อมีการกระทำความผิดเกิดขั้น ถึงได้รับมอบอำนาจให้ไปแจ้งความดำเนินคดี "เมื่อเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย ผมก็ต้องปฏิบัติ ถ้าไม่ปฏิบัติก็มีความผิด" และเวลาพูดถึงฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล ส่วนตัวไม่เคยมองประชาชนเป็นศัตรู แต่มองเป็นพลเมือง เป็นพี่น้องประชาชนคนไทยด้วยกัน "เราไม่มีการผลักประชาชนให้เป็นศัตรูกับเรา ไม่มีประเทศไหน รัฐไหน หรือทหารที่ไหนผลักประชาชนเป็นศัตรู กองทัพต้องอยู่กับประชาชนอยู่แล้ว" ส่วนการไปแจ้งความดำเนินคดี ถือเป็นเรื่องที่ต้องไปติดตามจากพนักงานสอบสวน ไม่เคยมีคำสั่งว่าต้องดำเนินคดีใครหรือไม่ นายพลผู้เป็นตัวแทน คสช. ถูกตั้งคำถามว่าเหตุใดต้องงัดข้อหายุยงปลุกปั่นตามมาตรา 116 ซึ่งเป็น "ข้อหาหนัก" มาดำเนินคดีกับประชาชน พล.ต.บุรินทร์ชี้แจงว่าเป็นเพราะผู้ชุมนุมได้เชิญชวนให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมาย ซึ่งในขณะที่เจ้าหน้าที่แจ้งความ ยังมีคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 3/2558 อยู่ การเรียกคนมาชุมนุมเกิน 5 คน จึงเป็นการชวนคนมาละเมิดกฎหมาย เมื่อถูก กมธ. ซักต่อไปว่าการรณรงค์ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญในชั้นประชามติ เข้าเกณฑ์ความผิดตามมาตรา 116 ตรงไหน เขาตอบว่า การดำเนินคดีตามมาตรา 116 ต้องมี "เจตนาพิเศษ" มีขั้นตอนดำเนินการ แอบไปส่งหนังสือตรงไหน มีความมุ่งหมายอย่างไร มีองค์ประกอบอื่น ๆ ไม่ใช่เอาหนังสือมาอ่านอย่างเดียว ยังมีหลักฐานอื่นๆ ประกอบด้วย เช่นเดียวกับการใช้ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ซึ่งอาจมีผู้เข้าใจผิดว่าถูกดำเนินคดีเพราะไปโจมตีนายกฯ รองนายกฯ "อันนี้ไม่มีการแจ้งความต่อตัวบุคคลเลยครับ แต่เราเน้นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง หรือทำให้ประชาชนตื่นตระหนก คสช. ถึงมอบอำนาจ จะเห็นว่าที่ด่าทอนายกฯ เสีย ๆ หาย ๆ ไม่มีการแจ้งความตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์เลย แต่ที่แจ้งคือโพสต์บิดเบือน ทำให้ประชาชนตื่นตระหนก" จากเปิดศาลเที่ยงคืนฝากขัง นศ. ถึงดำเนินคดีอาญากับ ธนาธร ในห้วงครบรอบ 1 ปีรัฐประหาร เกิดเหตุการณ์ "เปิดศาลถึงเที่ยงคืน" เพื่อฝากขัง 14 นักศึกษา ขบวนการประชาธิปไตยใหม่" ข้อหาฝ่าฝืนคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 3/2558 และมาตรา 116 จนเกิดเสียงวิจารณ์ไปทั่ว และนำมาสู่คำถามอีกครั้งในวง กมธ. นี้ พล.ต.บุรินทร์ชี้แจงว่า ขณะนั้นมีหมายจับแล้วจึงตามไปจับกุม โดยได้ประสานงานกับศาลทหารกรุงเทพตั้งแต่ช่วงบ่ายว่าจะดำเนินการจับกุม แต่เนื่องจากมีมวลชนมาก ทำให้ควบคุมลำบากและอาจเกิดเหตุรุนแรง จึงขอศาลให้อยู่รอ "เป็นการเปิดศาลอย่างต่อเนื่อง" กว่าจะไปโรงพัก มีญาตินักศึกษาไปเยี่ยม เอาตัวไปส่งศาลได้ก็ราว 20.00-21.00 น. เมื่อไปถึงก็มีกระบวนการซักถามของศาล ก่อนที่ศาลจะอนุญาตให้ฝากขัง เวลาจึงล่วงเลยไปตามที่ปรากฏเป็นข่าว คดีนี้เกี่ยวข้องกับกลุ่มทำกิจกรรมหน้าหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร และเกี่ยวกับนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ซึ่งต่อมาตกเป็นผู้ต้องหาคดีมาตรา 116 และให้ที่พักพิงผู้ต้องหาตามมาตรา 189 ทั้งนี้ พล.ต.บุรินทร์บอกว่า "ตอนนั้นท่านยังไม่ดัง ผมไม่รู้จักท่านเลย" ก็เป็นกลุ่มที่ไปติดตามอยู่หน้า สน.ปทุมวัน ตอนเจ้าหน้าที่เตรียมจับกุมนักศึกษาตามหมายจับ ปรากฎว่ามีการหลบหนี และมีการติดตามไปถึงอีกสถานที่หนึ่งที่ไปหลบกันอยู่ เป็นคดีที่มีคำสั่งให้ไปแจ้งความตั้งแต่ปี 2558 และได้ส่งมอบหลักฐานให้พนักงานสอบสวนหมดแล้ว จึงไม่ได้ไปติดตามต่อ กระทั่งปลายปี 2561 มีการตรวจสำนวน จึงได้รับมอบหมายให้ไปแจ้งความเพิ่มเติม รังสิมันต์ โรม เผชิญหน้ากับ พล.ต.บุรินทร์ ทองประไพ กมธ. ถาม ตัวแทน คสช. ตอบ ไผ่ ดาวดิน : ที่บอกว่าทหารเคียงข้างประชาชน แต่ที่ผ่านมามีประชาชน 929 คนถูกปรับทัศนคติ 572 คนถูกข่มขู่และติดตามตัว 18 คนกล่าวหาว่าซ้อมทรมาน ฯลฯ อันนี้คือการทำเพื่อประชาชนหรือ พล.ต.บุรินทร์ : ผมไม่รู้รายละเอียดแต่ละข้อเท็จจริง ถ้าท่านเปรียบเทียบอย่างนี้ ทีตำรวจจับคนไปในเรือนจำเป็นหมื่น ๆ ทำเพื่อประชาชนไหม ต้องแยกผู้กระทำผิดกับประชาชน ส่วนไหนที่เป็นพลเมืองปกติ เราก็ดูแลตามปกติไม่ว่าน้ำท่วมภัยแล้ง "จะไปบอกว่าส่วนแค่นี้กับประชาชน 70 ล้านคน ไม่ใช่แล้ว ถ้าไม่ได้ทำผิดกฎหมาย ผมเชื่อมั่น 100 เปอร์เซ็นต์ ไม่มีใครไปยุ่งกับท่าน" ไผ่ ดาวดิน : ทัศนคติที่ดีที่ไม่ทำให้โดนจับ คือทัศนคติแบบไหน พล.ต.บุรินทร์ : ผมอาจขออนุญาตยกตัวอย่างคดีเก่าแล้ว กรณีประเทศไทยเคยมีการขาดแคลนน้ำมัน ก็มีการออกกฎหมายห้ามกักตุนน้ำมัน ต่อมาน้ำมันไม่ขาดแคลนแล้วก็ยกเลิก เหมือนกัน ตอนนั้นประเทศต้องการความสงบ หัวคำสั่งที่ 3/2558 ก็เขียนอยู่แล้ว ต่อมาเมื่อมีเลือกตั้ง คสช. เลิกไป ประเทศก็เข้าสู่ระบบการปกครองที่มีสภา มันเป็นห้วง ๆ ลักษณะของช่วงเวลาว่าประเทศชาติต้องการอะไรในขณะนั้น ไผ่ ดาวดิน : การปล่อยให้ประชาชนใช้สิทธิเสรีภาพ จะทำให้ประเทศไม่เกิดความสงบแบบไหน พล.ต.บุรินทร์ : ขอแยกเป็น 2 ส่วน เรื่องการแสดงความคิดเห็น ใน ม.ธรรมศาสตร์ เวลามีจัดเสวนา เราก็ไปดู แต่เราไม่มีการดำเนินคดีต่าง ๆ เพราะเป็นเรื่องทางวิชาการ แต่การดำเนินคดีเกิดจากการออกมาบนพื้นที่สาธารณะ ทางท้องถนน ซึ่งมีความเปราะบาง อาจมีมวลชนอื่น แนวร่วมอื่น นี่เป็นจุดหลักที่เราแจ้งความดำเนินคดี รังสิมันต์ : ประเด็นใหญ่วันนี้เป็นเรื่องดุลพินิจ ผมคงไม่ตำหนิท่าน เพราะบอกไม่ได้เกิดจากมูลเหตจูงใจส่วนตัว แต่ท่านต้องไปให้การในฐานะพยานในคดีต่าง ๆ ถ้าท่านจะเปลี่ยนแปลงคำให้การก็ได้ ลองใช้ดุลพินิจของท่านดู แต่อยากถามว่าทุกครั้งที่ต้องปฏิบัติหน้าที่ จับกุมคนต่าง ๆ เวลากลับบ้าน ท่านสามารถนอนหลับหรือไม่เมื่อฟังจากผู้ร้องซึ่งได้รับความลำบากทุกข์ทรมาน พล.ต.บุรินทร์ : การมาบอกให้ผมปฏิบัติหน้าที่และเปลี่ยนแปลงได้ ถ้า กมธ. ใช้อำนาจแบบนี้จะเสียหายนะครับ เพราะผมต้องปฏิบัติตามข้อเท็จจริง ไม่สามารถไปเปลี่ยนแปลง ใช้อารมณ์หลังมาพบท่านนะครับ ในระหว่างการประชุม นายสิระ เจนจาคะ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ ซึ่งเป็น กมธ.กฎหมายฯ ด้วย เล่าประสบการณ์ที่ถูกทหารเรียกไปปรับทัศนคติที่กรมทหารราบ 11 หลังเอามวลชนไปชุมนุมปิดล้อมพื้นที่ทุ่งสองห้อง ทหารจึงเชิญตัวไปทำประวัติและก็พูดคุยอธิบายให้เข้าใจ "อย่าคิดว่าการปรับทัศนคติมีแต่ผลร้าย ทหารไม่ได้มุ่งร้ายกับประชาชน" และ "การที่ผมยอมรับเรื่องปรับทัศนคติ เพราะมีกฎหมายรองรับ และผมยอมรับว่าผมผิดกฎหมาย หากผมไม่ได้โดนปรับทัศนคติในวันนั้น คงไม่ได้มาเป็นผู้แทนฯ ในวันนี้ เขาใช้มาตรการอาญาลงโทษผมก็ได้" คำพูดของ ส.ส.รัฐบาลรายนี้ ทำให้ น.ส.ณัฏฐา มหัทธนา สมาชิกกลุ่มคนอยากเลือกตั้ง ในฐานะผู้ร้องเรียน กล่าวเชิงเสียดสีว่าไม่แน่ใจว่านายสิระมาชี้แจงในนามโฆษกกองทัพบกหรืออะไร จนประธานที่ประชุมต้องพยายามตัดบทเพื่อรักษาบรรยากาศในการพูดคุย ภายหลังการประชุม กมธ. เสร็จสิ้นลง นายรังสิมันต์แถลงว่า ทางผู้ร้องเตรียมเดินหน้าเพื่อนำไปสู่การเชิญตัว ผบ.ทบ. ที่มีส่วนเกี่ยวข้องตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันมาชี้แจงกับ กมธ.ชุดนี้ต่อไป
|
นายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือไผ่ ดาวดิน ตั้งคำถามต่อนายทหารที่เป็นผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษเขาตามมาตรา 112 ของประมวลกฎหมายอาญา ใช้ดุลพินิจอะไรในการแจ้งความดำเนินคดีกับเขา
|
international-39338692
|
https://www.bbc.com/thai/international-39338692
|
อังกฤษเอาอย่างสหรัฐฯ ห้ามแล็ปท็อปขึ้นเครื่อง
|
โฆษกนายกรัฐมนตรีอังกฤษยืนยันว่าอุปกรณ์ที่ถูกห้ามประกอบด้วยคอมพิวเตอร์แล็ปท็อป แท็บเล็ต เครื่องเล่นดีวีดี และโทรศัพท์ที่มีขนาดใหญ่กว่าโทรศัพท์มือถือปกติ หรือที่มีขนาดยาว 16 เซ็นติเมตร กว้าง 9.3 เซ็นติเมตร และหนา 1.5 เซ็นติเมตร ผู้โดยสารของเที่ยวบินขาเข้าประเทศอังกฤษทุกเที่ยวบินที่เดินทางมาจาก 6 ประเทศได้แก่ ตุรกี เลบานอน จอร์แดน ซาอุดีอาระเบีย อียิปต์ และ ตูนิเซีย จะไม่สามารถนำอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เหล่านี้ขึ้นห้องโดยสารของเครื่องบินได้ แต่สามารถนำอุปกรณ์ดังกล่าวใส่ในกระเป๋าสัมภาระเพื่อโหลดใต้ท้องเครื่องได้ คำสั่งของอังกฤษและสหรัฐฯ ห้ามนำแล็ปท็อปขึ้นห้องโดยสารแต่สามารถโหลดใส่ใต้ท้องเครื่องบินได้ อังกฤษออกประกาศดังกล่าวเพียงไม่นานหลังจากสหรัฐฯ ประกาศห้ามในลักษณะเดียวกันกับจากเที่ยวบินขาเข้าประเทศของสายบิน 9 แห่งที่เดินทางมาจากสนามบิน 10 แห่ง ใน 8 ประเทศ แต่คำสั่งของสหรัฐฯ ไม่ครอบคลุมถึงโทรศัพท์มือถือ คำสั่งห้ามของสหรัฐฯส่งผลกระทบต่อสายการบิน 9 แห่งที่เดินทางออกจาก 10 สนามบินใน 8 ประเทศ คำสั่งของทางการทางอังกฤษส่งผลกระทบต่อสายการบินของอังกฤษ 6 แห่งรวมถึงสายการบินบริติชแอร์เวย์ และอีซี่เจ็ต และสายการบินต่างชาติ 8 แห่ง ที่มีเที่ยวบินเดินทางมาจาก 6 ประเทศดังกล่าว ผู้สื่อข่าวของบีบีซีประจำกระทรวงมหาดไทยอังกฤษ รายงานว่า ความพยายามวางระเบิดเครื่องบินลำหนึ่งในโซมาเลียเมื่อปีที่แล้วมีความเกี่ยวข้องกับการใช้อุปกรณ์แล็ปท็อป มาตรการด้านความมั่นคงนี้เป็นความพยายามในการป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์คล้ายกันขึ้นอีก ทางการอังกฤษสั่งห้ามนำแล็ปท็อป แท็บเล็ต เครื่องเล่นดีวีดี และโทรศัพท์ที่มีขนาดใหญ่กว่าปกติขึ้นห้องโดยสารของเครื่องบินที่เดินทางมาจาก 6 ประเทศ ด้านรัฐบาลตุรกี ระบุว่า การห้ามของสหรัฐฯเป็นเรื่องที่ผิดพลาดและควรจะยกเลิก ขณะที่กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิของสหรัฐฯระบุว่ากลุ่มหัวรุนแรงกำลังหาวิธีการใหม่ๆในการวางระเบิดเครื่องบิน รัฐบาลสหรัฐฯกังวลเกี่ยวกับกลุ่มก่อการร้ายที่หันมาพุ่งเป้าโจมตีสายการบินพาณิชย์มากขึ้น รวมถึงศูนย์กลางการคมนาคมต่าง ๆ ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา
|
อังกฤษเอาอย่างสหรัฐฯ ห้ามนำแล็ปท็อปขึ้นเครื่องบินจาก 6 ประเทศ
|
international-47305215
|
https://www.bbc.com/thai/international-47305215
|
ชาวซีเรียกำลังกลับบ้านเกิด หลังหนีภัยสงครามนานหลายปี
|
ผู้คนเหล่านี้ กำลังเข้าแถว เพื่อเข้าซีเรีย ส่วนใหญ่เป็นผู้ลี้ภัยชาวซีเรีย ที่บริเวณพรมแดนจาเบอร์ ของจอร์แดน ซึ่งถูกปิดมานาน 3 ปี เพราะสงครามกลางเมือง ที่โหดเหี้ยมในซีเรีย ผู้คนรู้สึกปลอดภัยที่จะกลับไป แม้แต่นักท่องเที่ยว อาห์หมัด นักท่องเที่ยวชาวบาห์เรน เล่าว่า "ช่วงก่อนสงคราม ผมไปซีเรียอยู่ตลอด ตั้งแต่เราเป็นเด็ก เราไปเที่ยวที่นั่นเสมอ มีอะไรหลายอย่างที่ไม่มีในประเทศของเรา มาเที่ยวซีเรียสิครับ มันเป็นประเทศที่สวยงาม" ผู้ลี้ภัยหลายพันคน เดินทางกลับ หลังจากกองกำลังรัฐบาลที่ได้รับการสนับสนุนจาก รัสเซียและอิหร่าน ยึดคืนพื้นที่ส่วนใหญ่ได้ "ตอนเราจากมา เราได้แต่หวังว่า พระเจ้าจะทำให้ทุกอย่างสงบ แล้วตอนนี้ เราก็กำลังกลับไป เราอยากจะกลับประเทศของเรา บ้านของเรา ไม่มีอะไรดีกว่า ประเทศของคุณเอง" คงต้องใช้เวลาอีกยาวนาน กว่าซีเรียจะฟื้นตัวจากสงคราม และการกลับเข้าประเทศก็ถือเป็นเรื่องสำคัญ
|
หลังจากผู้คนหนีภัยสงครามกลางเมืองออกไปจากซีเรียนานหลายปี ขณะนี้มีคนจำนวนมากกำลังต่อแถวยาวกลับเข้าประเทศในแต่ละวัน จอร์แดนเปิดด่านพรมแดนจาเบอร์ตั้งแต่เดือนต.ค. ปีที่แล้ว หลังจากที่ทหารรัฐบาลซีเรียปราบกลุ่มกบฏได้ ผู้คนนับพันข้ามพรมแดนเข้าไปในซีเรียในแต่ละวันเพื่อหวังว่าจะไปเริ่มต้นชีวิตใหม่
|
international-39538256
|
https://www.bbc.com/thai/international-39538256
|
บรรยากาศธุรกิจบนเกาะเต่า 2 ปีหลังคดีฆ่าข่มขืนนักท่องเที่ยวอังกฤษ
|
วิดีโอโดย จิราพร คูหากาญจน์ บีบีซีไทย ได้พูดคุยกับบรรดาผู้ประกอบการบนเกาะเต่าหลายรายที่ระบุว่า บรรยากาศการท่องเที่ยวบนเกาะเต่าไม่ได้เบาบางลงในรอบเกือบสามปีที่ผ่านมา แต่จำนวนธุรกิจและผู้ประกอบการมีมากขึ้น ทำให้มีการแข่งขันกันสูง และในบางรายยอดขายตกลงประมาณ 30% ในปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามผู้ประกอบการบางส่วนยังคงมองว่าการท่องเที่ยวบนเกาะเต่าได้รับผลกระทบจากกรณีฆาตกรรมปี 2557
|
กว่าสองปีหลังคดีฆ่าข่มขืนนักท่องเที่ยวชาวอังกฤษบนเกาะเต่า ตำรวจเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยให้นักท่องเที่ยวต่างถิ่น แต่สำหรับคนท้องถิ่นบางส่วนมองว่าชีวิตลำบากขึ้น
|
thailand-56425371
|
https://www.bbc.com/thai/thailand-56425371
|
แก้รัฐธรรมนูญ: พปชร. ผนึก ส.ว. โหวตคว่ำร่างแก้ไข รธน. วาระ 3
|
การลงมติในครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางความไม่คาดคิดของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) และสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) บางส่วน เมื่อจู่ ๆ นายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส. พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ได้เสนอ "ญัตติซ้อนญัตติ" โดยขอให้พิจารณาดำเนินการตามระเบียบวาระ "เรื่องด่วน" ซึ่งหมายถึงการเดินหน้าลงมติในวาระที่ 3 ก่อนที่รัฐสภาเสียงข้างมากจะมีมติ "เห็นด้วย" กับญัตติของนายไพบูลย์ ด้วยคะแนนเสียง 473 ต่อ 127 งดออกเสียง 39 และไม่ลงคะแนน 5 เป็นผลให้ญัตติอื่น ๆ ของเพื่อนร่วมรัฐสภาที่เสนอไว้ และประธานกำลังเตรียมการให้ลงมติ 3 ญัตติ ต้องตกไปโดยปริยาย นายชาดา ไทยเศรษฐ์ ส.ส.อุทัยธานี พรรคภูมิใจไทย (ภท.) ลุกขึ้นสอบถามประธานรัฐสภากล่าวว่า "นี่เรากำลังจะลงมติวาระ 3 แล้วใช่ไหมครับ" เมื่อได้รับคำยืนยันแน่ชัด เขาก็กล่าวขึ้นว่า "ผมคงไม่ร่วมสังฆกรรมด้วยกับพวกฉ้อฉล ศรีธนญชัย โกหกปลิ้นปล้อน และก็ไร้สาระสิ้นดี นี่คือสภาโจ๊กครับ" จากนั้นบรรดา ส.ส.ภท. ได้พร้อมใจกันวอล์กเอาต์ทันที และไม่อยู่ร่วมลงมติ ในการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญวาระที่ 3 กำหนดให้ใช้วิธีเรียกชื่อและลงคะแนนโดยเปิดเผย และต้องได้คะแนนเสียงเห็นชอบจากสมาชิกรัฐสภา "มากกว่ากึ่งหนึ่ง" ของสมาชิกเท่าที่มีอยู่ของสองสภา หรือ 367 คน จากสมาชิกที่ปฏิบัติหน้าที่ได้ 737 คน (ปัจจุบันมี ส.ส. ที่ปฏิบัติหน้าที่ได้ 487 คน และ ส.ว. 250 คน) แต่มีเงื่อนไขสำคัญคือ ต้องได้เสียงสนับสนุนจาก ส.ส. ฝ่ายค้าน 20% หรือ 43 จาก 211 เสียง และมี ส.ว. เห็นชอบไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของ ส.ว. ที่มีอยู่ หรือ 84 คน ทว่าเมื่อนายชวนสั่งนับองค์ประชุมเพื่อเตรียมลงมติ กลับมีสมาชิกรัฐสภาแสดงตนเพียง 379 คน หรือเกินองค์ประชุมแบบฉิวเฉียดเพียง 10 คน และเมื่อเข้าสู่ช่วงลงคะแนน ก็มี ส.ว. และ ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลบางส่วนหายไป หรือเอ่ยว่า "ไม่ประสงค์ลงคะแนน" รวมถึงนายวิรัช รัตนเศรษฐ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เจ้าของร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญด้วย" สำหรับผลการลงมติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ออกมา มีดังนี้ รัฐสภาถก 11 ชม. ก่อนเดินหน้าโหวตวาระ 3 ก่อนหน้านี้ สมาชิกสภาสูงและสภาล่างได้ใช้เวลากว่า 11 ชม. ในการปรึกษาหารือกัน เนื่องจากตีความคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเมื่อ 11 มี.ค. ไม่ตรงกัน แม้ศาลรัฐธรรมนูญยืนยันว่ารัฐสภามีหน้าที่และอำนาจจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ แต่ได้กำหนดเงื่อนไขว่า "ต้องให้ประชาชนผู้มีอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญได้ลงประชามติเสียก่อนว่าประชาชนประสงค์จะให้มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ และเมื่อจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เสร็จแล้ว ต้องให้ประชาชนลงประชามติเห็นชอบหรือไม่กับร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่อีกครั้งหนึ่ง" นายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส. พปชร. และนายสมชาย แสวงการ ส.ว. เจ้าของคำร้องยื่นศาลรัฐธรรมนูญตีความ ให้ความเห็นตรงกันว่ารัฐสภาไม่สามารถลงมติในวาระที่ 3 ได้ เพราะศาลวินิจฉัยว่า "ต้องจัดให้ประชาชนผู้ทรงอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญออกเสียงประชามติเสียก่อนว่าสมควรมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่" พร้อมยกเอาความเห็นฝ่ายกฎหมายของสภาผู้แทนราษฎรและฝ่ายกฎหมายของวุฒิสภามาสนับสนุนการตีความของตนเอง นายไพบูลย์ นิติตะวัน แต่แล้วก็เป็นนายไพบูลย์คนเดิมที่เสนอญัตติแทรกซ้อนกลางรัฐสภา และนำไปสู่การเดินหน้าลงมติในวาระที่ 3 ส.ส. ส.ว. เสนอ 5 ญัตติซ้อนกลางสภา ตลอดทั้งวัน มีสมาชิกรัฐสภาลุกขึ้นอภิปราย 42 คน ในจำนวนนี้มีผู้เสนอญัตติด้วยวาจากลางรัฐสภา และมีสมาชิกรับรองครบถ้วนตามข้อบังคับการประชุมสภา รวม 5 ญัตติ ภายใต้ 3 แนวทางหลัก ได้แก่ งดโหวต, เลื่อนโหวต และเดินหน้าโหวต ซึ่งนายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา ระบุว่าจะให้สมาชิกรัฐสภาได้ลงมติหลังรับฟังความเห็นอย่างกว้างขวางแล้ว ทว่าสุดท้ายญัตติเหล่านี้ได้ "แท้งไป" จากญัตติแทรกซ้อนของนายไพบูลย์ หนึ่ง การลงมติของรัฐสภาในวาระที่ 3 ไม่อาจกระทำได้ เนื่องจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญถือเป็นเด็ดขาดและมีผลผูกพันทุกองค์กร จึงมีผลให้ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญต้องตกไป เสนอโดยนายสมชาย แสวงการ ส.ว สอง ขอให้รัฐสภามีมติให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยอำนาจหน้าที่ของรัฐสภา ตามมาตรา 210(2) ของรัฐธรรมนูญปี 2560 เสนอโดยนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) เพราะขณะนี้เกิดข้อถกเถียงว่าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรมนูญมีความหมายอย่างไรในทางปฏิบัติ "ยืนยันว่าไม่ได้ตั้งใจเตะถ่วง หรือประวิงเวลา เพราะจุดยืนของ ปชป. ต้องการเห็นการแก้รัฐธรรมนูญไปสู่ประชาธิปไตยที่แท้จริง แต่ที่ต้องส่งศาลรัฐธรรมนูญอีกครั้งเพื่อให้กระบวนการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นไปด้วยความรอบคอบ ชอบของรัฐธรรมนูญ และเป็นไปตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ" หัวหน้า ปชป. กล่าว ชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา สาม ขอให้ที่ประชุมรัฐสภามีมติไม่ให้มีการลงมติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในวาระที่ 3 เพราะเป็นการขัดกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 4/2564 เสนอโดยนายเสรี สุวรรณภานนท์ ส.ว. ซึ่งเป็นการเสนอญัตติเพื่อปรับปรุงถ้อยคำตามญัตติของนายสมชาย แสวงการ ให้ชัดเจนขึ้นหลังถูก ส.ส. ท้วงติงว่ารัฐสภาไม่มีอำนาจวินิจฉัยว่าร่างกฎหมายตกไปแล้ว ญัตติของนายสมชายจึงไม่เป็นญัตติ สี่ ขอให้รัฐสภาพิจารณาหาแนวทางการปฏิบัติตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญใน 4 แนวทาง 1) ให้รัฐสภาทำหน้าที่ต่อไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ มาตรา 256(6) คือมีการลงมติวาระที่ 3 2) ให้รัฐสภาชะลอการลงมติ แล้วส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยอำนาจหน้าที่ของรัฐสภาต่อไป 3) ให้รัฐสภาชะลอการลงมติ แล้วไปทำประชามติก่อนลงมติในวาระที่ 3 4) ให้รัฐสภามีมติไม่ให้มีการลงมติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในวาระที่ 3 เสนอโดย นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทย ทว่าเจ้าตัวได้อภิปรายสนับสนุนแนวทางแรก ให้รัฐสภาได้หน้าที่ให้สมบูรณ์ "มันเป็นอำนาจของเรา อยากให้รัฐสภาเดินหน้าโหวตวาระที่ 3 เพื่อให้ประชาชนได้ตัดสินต่อในการทำประชามติหลังผ่านวาระนี้ ถ้าเราปิดกั้นในวันนี้ ก็เท่ากับปิดกั้นอำนาจของประชาชน" นพ. ชลน่านกล่าวและว่า "อย่าให้ร่างรัฐธรรมนูญนี้ต้องแท้งก่อนคลอด" ห้า ขอให้ที่ประชุมรัฐสภาลงมติตามระเบียบวาระ เสนอโดยนายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล นอกจากนี้ยังมี "ข้อเสนอลอย" ที่บรรดาผู้ทรงเกียรติแสดงความคิดเห็นกลางรัฐสภา แต่ไม่ได้นำเสนอในรูปญัตติอีก 2 ความเห็น ทว่า นพ. ชลน่าน ศรีแก้ว ได้รับเอาแนวคิดไปเป็นทางเลือกส่วนหนึ่งในญัตติที่เขานำเสนอไว้คือ หนึ่ง ขอให้รัฐสภา "เลื่อน" หรือ "แขวน" การพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในวาระที่ 3 เอาไว้ก่อน เพื่อหาข้อสรุปชัดเจนว่าสถานะที่ค้างอยู่เป็นอย่างไร ต้องทำประชามติกี่ครั้ง, ใช้อำนาจตามกฎหมายใด, กำหนดคำถามว่าอย่างไร, ใครเป็นผู้เสนอคำถาม, เสนอไปที่ใคร เสนอโดยนายนิกร จำนง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) โดยเขาเห็นว่าหากเดินหน้าลงมติในขณะนี้ จะทำให้ร่างนี้ตกไปแน่นอน สอง ขอให้รัฐสภาเลื่อนการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในวาระที่ 3 ไปก่อน จากนั้นจะเสนอญัตติขอให้ประธานรัฐสภาส่งเรื่องให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ทำประชามติเพื่อถามประชาชนว่า "ท่านต้องการรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่" โดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ ที่รัฐสภากำลังจะพิจารณาใน 2 วันนี้ เสนอโดยนายวีระกร คำประกอบ ส.ส.นครสวรรค์ พปชร. ส.ว. ขู่ยื่นศาลรัฐธรรมนูญตีความซ้ำหากเดินหน้าโหวตวาระ 3 ท่ามกลางสารพัดญัตติที่เกิดขึ้น บรรดา ส.ว. ได้อภิปรายสนับสนับสนุนญัตติของเพื่อนร่วมสภาสูงด้วยกัน เพราะมองว่าร่างรัฐธรรมนูญที่ค้างสภาอยู่ในเวลานี้ขัดต่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เพราะไม่ได้ทำประชามติก่อน และหากเดินหน้าลงมติ จะทำให้สมาชิกรัฐสภาทำผิดรัฐธรรมนูญเสียเอง โดยว่าที่ ร.ต. วงศ์สยาม เพ็งพานิชภักดี ส.ว. ประกาศกลางสภาว่า "ถ้าเดินหน้าโหวต ผมเป็นคนหนึ่งจะยื่นศาลรัฐธรรมนูญตีความเอง" ขณะที่พรรคร่วมรัฐบาลทั้ง พปชร., ปชป., ชทพ. และ ภท. ต่างลุกขึ้นอภิปรายสนับสนุนแนวทาง "เลื่อนลงมติ" ในวาระที่ 3 ออกไปก่อน ระหว่างรอการตีความแนวปฏิบัติตามคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญให้ชัดเจน โดยที่ ส.ส.ปชป. และ ภท. สองพรรคการเมืองที่เข้าร่วมรัฐบาลด้วยเงื่อนไขต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญต่างระบุตรงกันว่าหากไม่มีการยื่นศาลรัฐธรรมนูญตีความรอบแรก เชื่อว่ารัฐสภาน่าจะผ่านร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในวันนี้ "เมื่อบรรยากาศสะดุดหยุดลง เพราะติดกับดักที่พวกเราเหมือนทำกันเองหรือเปล่า ก็เหมือนกับสิ่งที่ทุ่มเททำงานมา น่าจะล่มสลายไป... ภท. สนับสนุนความคิดของ ปชป. ให้ส่งเรื่องไปถามศาลอีกครั้ง" นายศุภชัย ใจสมุทร ส.ส.บัญชีรายชื่อ ภท. กล่าว อย่างไรก็ตาม ส.ส. ฝ่ายค้านเห็นว่าศาลรัฐธรรมนูญอาจไม่รับ "ตีความซ้ำ" เพราะไม่ได้อยู่ในฐานะเป็นที่ปรึกษาด้านกฎหมายของรัฐบาล และเห็นว่ารัฐสภาต้องเดินหน้าลงมติในวาระที่ 3 ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไร เพื่อให้ประชาชนได้เห็นไปเลยว่าใครขัดขวางกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ นักการเมืองฝ่ายค้านยืนยันว่าร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่ใช่การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ แต่เป็นการแก้ไขรายมาตรา (มาตรา 255, 256) เพื่อให้มี ส.ส.ร. มาจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ อีกทั้งยังมีการกำหนดเงื่อนไขอยู่แล้วว่าห้ามแก้ไขหมวด 1 และหมวด 2 ของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ในระหว่าง นพ. ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พท. กำลังอภิปราย ได้เกิดเสียงสัญญาณเตือนไฟไหม้ดังขึ้น ทำให้ทั้งสมาชิกรัฐสภาแตกตื่นเล็กน้อย เมื่อสัญญาณสงบลง นายชวน หลีกภัย กล่าวติดตลกว่า "สงสัยอภิปรายจนน้ำไหลไฟดับ" ก้าวไกลชูป้าย "ปล่อยเพื่อนเรา" กลางสภา นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ตั้งข้อสังเกตว่าการเสนอญัตติให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญตีความซ้ำมีเจตนาแอบแฝงหรือไม่ เพราะทำให้กระบวนพิจารณาร่างการแก้ไขรัฐธรรมนูญต้องล่าช้าออกไป พร้อมเรียกร้องไปยังพรรคร่วมรัฐบาลให้ "เลิกพายเรือให้หัวหน้าคณะรัฐประหารที่ฉีกรัฐธรรมนูญนั่ง ถึงเวลาต้องมายืนเคียงข้างประชาชน ทำตามที่หาเสียงไว้ว่าจะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ" ส.ส. รายนี้ยังพูดถึง "ความแปลกประหลาด" ที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองคือ มีรัฐสภาที่ไม่รู้ว่าอำนาจหน้าที่ของตนเป็นอย่างไร ต้องไปถามศาลรัฐธรรมนูญ, มี ส.ว. ที่อ้างถึงอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญเป็นของประชาชน แต่เมื่อปี 2562 กลับโหวตให้หัวหน้าคณะรัฐประหารที่ฉีกรัฐธรรมนูญเป็นนายกฯ และมีองค์กรตุลาการที่ขาดความเชื่อมั่นประชาชน ขังผู้เห็นต่างทางการเมืองไปแล้วถึง 11 คน ซึ่งคนกลุ่มนี้มีบทบาทรณรงค์ให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ ส.ส. พรรคก้าวไกลชูป้าย "ปล่อยเพื่อนเรา" กลางสภา เมื่อนายรังสิมันต์อภิปรายมาถึงตรงนี้ บรรดา ส.ส. ก้าวไกล ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ต่างพร้อมใจชูป้าย ไอแพด หรือสมาร์ทโฟน ที่มีภาพวาดแกนนำกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า "ราษฎร" ที่ตกเป็นจำเลยคดี 112 และคดีอื่น ๆ ที่เกี่ยวเนื่องจากการชุมนุมทางการเมือง และถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำจะระหว่างการพิจารณาคดีขึ้นมากลางรัฐสภา พร้อมข้อความเรียกร้องให้ปล่อยตัวคนกลุ่มนี้ จนเกิดความวุ่นวายขึ้นเล็กน้อยกลางสภา เมื่อ ส.ว. นำโดยนายกิตติศักดิ์ รัตนวราหะ ลุกขึ้นประท้วงประธานที่ปล่อยให้มีการ "สร้างโอกาสนำเสนอป้ายที่ไม่เกี่ยวกับเนื้อหาการอภิปราย" และตั้งคำถามว่า "อภิปรายเรื่องรัฐธรรมนูญ เกี่ยวอะไรกับ 'ปล่อยเพื่อนกู' หรือ เดี๋ยวเพื่อนจะตามเข้าไปอีก" ร้อนถึงนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานวุฒิสภา ทำหน้าที่ประธานการประชุม ต้องสั่งให้งดชูป้าย ทว่า ส.ส. ก้าวไกลบางคนก็เปลี่ยนไปใช้วิธี "ชูสามนิ้ว" แทน โดยภาพทั้งหมดถูกถ่ายทอดสดผ่านทีวีรัฐสภา
|
ร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 256 และเพิ่มหมวด 15/1 ถูกโหวตคว่ำในวาระที่ 3 ตามคาด หลังที่ประชุมรัฐสภาใช้เวลา 4 ชม. ในการลงมติ ซึ่งปรากฏว่ามีคะแนน "เห็นชอบ" 208 ต่อ 4 เสียง งดออกเสียง 94 และไม่ลงคะแนน 136 คะแนน ทว่าเมื่อคะแนนเสียงที่ได้ไม่มากกว่ากึ่งหนึ่ง จึงถูกตีตกไป
|
thailand-51454076
|
https://www.bbc.com/thai/thailand-51454076
|
กราดยิงโคราช : ผบ.ทบ. ปาดน้ำตา อย่าด่ากองทัพบก-ทหาร "ให้ด่า พล.อ.อภิรัชต์" แต่ไม่ลาออก
|
"อย่าด่าว่ากองทัพบก อย่าว่าทหาร ถ้าจะด่า จะตำหนิ ท่านมาด่า พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์" ผบ.ทบ.กล่าว นี่เป็นครั้งแรกในรอบ 3 วันที่ พล.อ.อภิรัชต์ ออกมาสื่อสารต่อสาธารณะ หลังเกิดเหตุกราดยิงโคราชเมื่อ 8 ก.พ. ต่อเนื่องวันที่ 9 ก.พ.ที่ผ่านมา ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 30 ราย รวมผู้ก่อเหตุที่ถูกวิสามัญฆาตกรรรม และมีผู้บาดเจ็บ 58 คน โดยที่ จ.ส.อ.จักรพันธ์ ถมมา "มือปืน" ผู้ก่อเหตุอุกฉกรรจ์ในวันมาฆบูชา เป็นนายทหารชั้นประทวนสังกัดกรมสรรพาวุธกระสุนที่ 22 กองบัญชาการช่วยรบที่ 2 (บชร.2) ค่ายสุรธรรมพิทักษ์ จ.นครราชสีมา ซึ่งเจ้าหน้าที่ชี้ว่ามูลเหตุจูงใจมาจากปัญหาขัดแย้งเรื่องค่าซื้อขายที่ดินกับ "นายพัน" ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชา และ "แม่ยาย" อีกทั้งอาวุธที่ใช้ก่อเหตุก็ถูกปล้นจากคลังอาวุธ จนก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ไปทั่วในเรื่องมาตรการรักษาความปลอดภัยคลังอาวุธของกองทัพ วันนี้ (11 ก.พ.) พล.อ.อภิรัชต์ได้เปิดห้องรับรองภายในกองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.) แถลงข่าวและตอบสารพัดข้อซักถามจากสื่อมวลชนทั้งไทยและต่างประเทศ ใช้เวลาเกือบ 2 ชั่วโมง โดยที่ ผบ.ทบ. ได้ยกร่างคำชี้แจงไว้ 8 ข้อหลัก แล้วค่อย ๆ แจกแจงไปตามลำดับ โดยมีเสียงถอนหายใจดังขึ้นบ่อยครั้ง ขณะที่บางช่วงเขาพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือและถึงต้องปาดน้ำตา "ขอโทษ และแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งจากเหตุการณ์สะเทือนขวัญครั้งนี้ที่มีผู้ก่อเหตุซึ่งเป็นกำลังพลของกองทัพบก" คือบทเริ่มต้นของ พล.อ.อภิรัชต์หลังประจำการที่โพเดียมแถลงข่าว บีบีซีไทยสรุปสาระสำคัญไว้ ดังนี้ ลำดับเหตุการณ์ "กราดยิงโคราช" ฉบับ ผบ.ทบ. พล.อ.อภิรัชต์ได้ลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่เวลาราว 14.00 น. เมื่อผู้ก่อเหตุใช้ "อาวุธปืนส่วนตัว" ตัดสินใจสังหารคู่กรณีและเครือญาติ (พ.อ.อนันต์ฐโรจน์ กระแสร์ ผบ.พัน. กระสุน 22 ผู้บังคับบัญชา และนางอนงค์ มิตรจันทร์ แม่ยาย) ณ บ้านพักของคู่กรณี ทั้งนี้อาวุธปืนส่วนตัวที่ใช้ก่อเหตุ 5 ชนิด ประกอบด้วย ปืนบก 9 มม. ปืน 11 มม. ปืนลูกโม่แม็กนั่ม .44 ปืนเล็กยาว .22 และปืนลูกซองแบบ 870 ทั้งหมดเป็นการซื้ออย่างถูกต้องด้วยการกู้เงินไปซื้อมา และมีใบอนุญาตการครอบครอง ต่อมาเวลา 15.00 น. ผู้ก่อเหตุใช้ "รถยนต์ส่วนตัว" ยี่ห้อมิตซูบิชิ สีน้ำเงิน ขับไปที่ป้อมยามรักษาการณ์ในค่ายสุรธรรมพิทักษ์ ก่อนก่อเหตุ ดังนี้ ที่มา : บีบีซีไทยสรุปจากคำแถลงข่าวของ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ. ขณะนั้นนายทหารในค่ายได้ใช้ปืนพกไล่ยิง จนผู้ก่อเหตุออกมาพ้นนอกค่าย ขณะเดียวกันก็ได้แจ้งตำรวจ ก่อนที่ผู้ก่อเหตุจะไปกราดยิงประชาชนตามรายทาง และเข้าไปก่อเหตุที่ห้างสรรพสินค้าเทอร์มินอล 21 โคราช ในเวลาต่อมา ตลอดระยะเวลาเกือบ 2 ชั่วโมงของการแถลงข่าว พล.อ.อภิรัชต์ ถอนใจและน้ำตาไหลเป็นระยะ ๆ เผยแรงจูงใจของ "จ่าคลั่ง" พล.อ.อภิรัชต์ชี้ว่ามูลเหตุของผู้ก่อเหตุในครั้งนี้ เนื่องจาก "ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากผู้บังคับบัญชาและเครือญาติ" โดย 2 ฝ่ายได้ซื้อขายที่ดินผิดสัญญากันในเรื่องผลตอบแทน ซึ่งในรายละเอียดต้องสืบต่อไปว่ามีผู้บังคับบัญชารายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องอีกหรือไม่ "ณ นาที ณ วินาทีที่ผู้ก่อเหตุได้ลั่นไกสังหารคู่กรณี ณ วันนั้น ณ นาทีนั้น เขาคืออาชญากร ไม่ใช่ทหารอีกต่อไปแล้ว" ผบ.ทบ.ระบุ มาตรการ "ล้อมคอก" คลังอาวุธ พล.อ.อภิรัชต์ยืนยันว่า ทบ. มีมาตรการดูแลรักษาความปลอดภัยและป้องกันคลังอาวุธกระสุนมานานแล้ว ทั้งการติดตั้งกล้องวงจรปิด (ซีซีทีวี) ยามรักษาการณ์ บางหน่วยมีสุนัขร่วมด้วย พร้อมปฏิเสธข่าวเรื่อง "วัวหายล้อมคอก" แต่ยอมรับว่าอาจมีหน่วยงานที่หละหลวมก็ต้องลงโทษ และเพิ่มมาตรการให้รอบคอบรัดกุมยิ่งขึ้น ทั้งหมดนี้ก็ขึ้นกับตัว ผบ.หน่วยนั้น ๆ อย่างไรก็ตามในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ผบ.ทบ. ชี้ว่า ผู้ก่อเหตุปฏิบัติราชการในหน่วยงานนั้น มีความเชี่ยวชาญช่ำชองทั้งการใช้อาวุธ และรู้จักพื้นที่เป็นอย่างดี จึงรู้ว่าต้องไปเอาอะไรตรงไหน เผยความสัมพันธ์กับ "จักรทิพย์" โตมาพร้อมกัน ผ่านวิกฤตด้วยกัน ให้เกียรติกัน พล.อ.อภิรัชต์ระบุว่า ทันทีที่ "จบภารกิจ" บางประการที่เจ้าตัวไม่ขอเปิดเผย แต่บอกให้สื่อมวลชนไปสืบเอาเอง ก็ได้รายงานสถานการณ์ที่โคราชให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม รับทราบ ก่อนที่นายกฯ จะมอบหมายให้ พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กลาโหม และ ผบ.ทบ. เดินทางไปถึงที่เกิดเหตุราว 22.00 น. เพื่อตัดสินและไปดูการบริหารสถานการณ์เพื่อให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ตลอดจนไปประเมินภัยคุกคาม โดยได้ประชุมร่วมกับ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) รายงานให้นายกฯ ทราบ แล้วจึงดำเนินการใน 3 ข้อ พล.อ.อภิรัชต์กล่าวว่าเขากับ พล.ต.อ.จักรทิพย์เติบโตมาด้วยกัน ผ่านวิกฤตด้วยกันมาหลายครั้งและทำงานโดยให้เกียรติซึ่งกันและกัน กระทั่งเวลาราว 05.00 น. ของวันที่ 9 ก.พ. รมช.กลาโหม และ ผบ.ทบ. จึงได้ออกนอกพื้นที่ ไปเตรียมบรรยายสรุปให้นายกฯ ที่จะลงถึงพื้นที่ในเวลา 10.00 น. แต่ระหว่างนั้นได้ติดตามสถานการณ์และประสานงานกับชุดควบคุมสถานการณ์โดยตลอด ในระหว่างบรรยายภารกิจในปฏิบัติการปิดล้อมห้าง-ล่าตัวจ่าทหารซึ่งกินเวลานาน 17 ชั่วโมง ปรากฏว่า พล.อ.อภิรัชต์ได้ก้มหน้า ถอนหายใจใส่ไมโครโฟนเสียงดังเป็นระยะ ๆ ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าภาพทำงานของ ผบ.ทบ. ถูกนำไปเปรียบเทียบกับ ผบ.ตร. โดยผู้ใช้งานสื่อสังคมออนไลน์พร้อมใจยกย่อง พล.ต.อ.จักรทิพย์ ว่าเป็น "ฮีโร่" จากเหตุการณ์ ตรงข้ามกับ ผบ.ทบ. ที่ถูกเรียกร้องให้ลาออกเพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น "ผม และ ผบ.ตร. ร่วมทำงานกันมา เติบโตกันมาตั้งแต่ผมยังเป็นนายทหารชั้นผู้น้อย และเขาเป็นนายตำรวจชั้นผู้น้อย เราผ่านวิกฤตสถานการณ์หลาย ๆ อย่างมาด้วยกัน เราทำงานให้เกียรติซึ่งกันและกัน เราเคารพการตัดสินใจซึ่งกันและกัน ทั้งนี้เพื่อประโยชน์สูงสุดคือการรักษาชีวิตของประชาชน" พล.อ.อภิรัชต์กล่าว พล.อ.อภิรัชต์ยืนยันด้วยว่า ทบ. จะเยียวยาทหารที่เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บจากการปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มที่ตามสิทธิและสวัสดิการ และเปิดโรงพยาบาลค่ายสุรนารีพร้อมรองรับผู้ได้รับบาดเจ็บ จะเยียวยารักษาทั้งด้านร่างกายและจิตใจ เมื่อพูดถึงตรงนี้ ผบ.ทบ. เม้มปากแล้วหยุดไปพักหนึ่ง ก่อนกล่าวขึ้นว่า "ผมในฐานะ ผบ.ทบ. พร้อมที่จะทำทุกอย่างให้สภาพจิตใจ... ทั้งครอบครัวผู้เสียชีวิตและผู้ได้รับบาดเจ็บนั้นดีขึ้น ส่วนประชาชนที่เสียชีวิต (นำมือขึ้นมาปาดน้ำตา) ทบ. ก็พร้อมจะรับครอบครัวเข้ารับราชการตามคุณวุฒิการศึกษา อีกทั้งผู้บาดเจ็บที่เสียโอกาสประกอบวิชาชีพ ทบ. อ้าแขนรับท่านโดยไม่มีข้อแม้" พล.อ.อภิรัชต์กล่าวก่อนกระแอม โดยมีน้ำตารื้นออกจากนัยน์ตาของเขา ประชาชนจำนวนมากนำดอกไม้ไปวางไว้อาลัยผู้เสียชีวิตจากเหตุกราดยิงที่ห้างเทอร์มินอล 21 ขู่ลงโทษ "นาย" เอาเปรียบลูกน้อง ให้ร้องผ่าน "ช่องทางลับ" จาก "ข้อพิพาทส่วนตัว" ระหว่าง "จ่าทหาร" กับ "ผู้พันและแม่ยาย" ได้ลุกลามบานปลายจนกลายเป็นโศกนาฏกรรมที่มีผู้เสียชีวิตถึง 30 ราย และบาดเจ็บอีก 58 ราย ทำให้ พล.อ.อภิรัชต์สั่งการให้เปิด "ช่องทางลับ" ให้ผู้ใต้บังคับบัญชาที่ถูกเอาเปรียบส่งเรื่องร้องเรียนโดยตรงถึงเขา รวมถึงผู้บังคับบัญชาที่ไม่ใส่ใจดูแลทุกข์สุขของผู้ใต้บังคับบัญชา "เดิมผมไม่มีเฟซบุ๊ก ไม่เล่นไอจี (อินสตาแกรม) เพราะรับไม่ไหวในหลาย ๆ เรื่อง แต่ก็จะมีช่องทางให้สามารถรายงาน โดยไม่ผ่านช่องทาง ทบ. ซึ่งผมจะสถาปนาและหาบุคลากรมาทำ.. ผมจะลงโทษอย่างเต็มที่ในขีดความสามารถที่ผมจะทำได้" ผบ.ทบ. ให้คำมั่น พล.อ.อภิรัชต์ยังแย้มด้วยว่าจะมีการล้างบางธุรกิจภายในกองทัพด้วย โดยบอกใบ้ว่าในเดือน ก.พ., มี.ค. เม.ย. นี้ "ตั้งแต่นายพลยันพันเอกไม่มีงานทำแน่หลายคน และผมก็ไม่สนด้วย รู้สึกว่ามันไม่ถูก" และยังขีดเส้นตายไว้ด้วยว่าภายในสิ้นเดือนนี้ นายทหารที่เกษียณอายุราชการแล้ว แต่พักอาศัยในพื้นที่ราชการ ให้ย้ายออก "อย่าด่ากองทัพบก ให้ด่า พล.อ.อภิรัชต์" เมื่อการแถลงข่าวมาถึงการอ่านเอกสารข้อสุดท้าย พล.อ.อภิรัชต์สูดหายใจยกใหญ่ ถอนใจเสียงดัง และกล่าวย้ำว่าเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น "ตลอดระยะเวลาตั้งแต่นาทีที่เกิดเหตุ (ถอนใจ ก้มหน้าอยู่นาน) มีคำตำหนิกองทัพบก มีคนด่าว่ากองทัพบก ซึ่งกองทัพบกนั้นเป็นองค์กรด้านความมั่นคง เป็นองค์กรที่มีความศักดิ์สิทธิ์ มีคนมากมายด่าทหาร แต่ผมอยากให้ทราบว่า ท่านอย่าด่ากองทัพบก ท่านอย่าด่าทหาร กองทัพบกเป็นองค์กร ไม่มีความรู้สึก กองทัพบกเป็นองค์กรแห่งความศักดิ์สิทธิ์ องค์กรด้านความมั่นคง" พล.อ.อภิรัชต์กล่าว เขายังยกสารพัดภารกิจของทหารที่ยังปฏิบัติหน้าที่อยู่ตามแนวชายแดน, ปราบปรามยาเสพติด, ปกป้องอธิปไตยของชาติ, ช่วยเหลือน้ำท่วม ภัยแล้ง ไฟไหม้ป่า และย้ำว่าทหารดี ๆ มีอยู่มาก อย่าไปด่าเขาเลย เขาจะเสียกำลังใจในการทำงาน "ไม่มีใครในโลกนี้อยากให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นในประเทศของตัวเอง ผมว่าไม่มีคนไทยคนไหนอยากให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีก ดังนั้นท่านอย่าด่าว่ากองทัพบก อย่าว่าทหาร ถ้าจะด่า จะตำหนิ ท่านมาด่า พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผมน้อมรับคำตำหนิ การแสดงความคิดเห็นทุกอย่าง ท่านมาด่าผม เพราะผมเป็น ผบ.ทบ." เขากล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ก่อนบรรยายต่อไปว่า ในคนหมู่มากทุกองค์กรก็ย่อมมีทั้งคนดีและคนไม่ดีปะปนกันอยู่ แต่สิ่งหนึ่งที่มั่นใจและพูดไปแล้วคือถ้าจะด่า ให้ด่าตรงมาที่ พล.อ.อภิรัชต์ แม้จะเหลือเวลาราชการอีก 7-8 เดือน แต่จำไว้ว่าเขาจะไม่ย่อท้อในการปรับปรุง ทบ. พัฒนาบุคลากร เข้มงวด รักษามาตรฐานให้ดีขึ้น เรียกความเชื่อมั่นให้กลับมา "จะใช้อำนาจหน้าที่ในฐานะ ผบ.ทบ. ในวันสุดท้ายที่ผมส่งมอบธงให้ ผบ.ทบ. ท่านต่อไป" พล.อ.อภิรัต์กล่าวในนาทีที่ 44 หลังเปิดแถลงข่าวร่ายยาวอยู่ฝ่ายเดียว ก่อนเปิดให้สื่อมวลชนซักถามคำถาม เมื่อผู้สือข่าวถามว่าเขาจะแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออกจากตำแหน่งหรือไม่ พล.อ.อภิรัชต์ย้อนถามว่า "สมควรใช้คำถามนี้กับผมไหม" ในระหว่างนี้ พล.อ.อภิรัชต์เผยว่าต้องทำการบ้านมา 2 คืน 3 วัน แทบไม่ได้นอน เพราะ "เสียใจ" และต้องเรียกเจ้าหน้าที่มาเสิร์ฟน้ำและกาแฟเพื่อผ่อนคลายอารมณ์ของตัวเอง และยังบอกด้วยว่าบุตรสาวเตือนมาว่าอย่าพูดจาไม่ดี หยาบคาย ใช้อารมณ์ ซึ่ง ผบ.ทบ. บอกว่า "ไม่ได้โกรธ ไม่ว่าสื่อจะถามอะไรก็ตาม แต่เป็นอารมณ์แห่งความเศร้าสลดจริง ๆ" ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการกระทำส่วนตัว หนึ่งในคำถามที่เกิดขึ้นจากผู้สื่อข่าวอย่างน้อย 3 สำนัก หนีไม่พ้นคำถามที่ว่า ผบ.ทบ. จะแสดงความรับผิดชอบอย่างไร จะลาออกหรือไม่ ซึ่งเจ้าตัวบอกว่าไม่ได้คุยกับสื่อมวลชนมาก่อน แต่เป็นคำถามข้อแรกที่เขาเตรียมเอาไว้ว่าจะถูกยิงคำถามใส่ โดยแรก ๆ พล.อ.อภิรัชต์ก็อธิบายความซ้ำว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องระหว่างผู้ก่อเหตุกับคู่กรณี เป็นเรื่องการบาดหมางจิตใจกัน และมาก่ออาชญากรรม ไม่ใช่เรื่องปฏิบัติการทางทหาร ซึ่ง ทบ. ก็จะรับผิดชอบดูแลครอบครัวผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต แต่เมื่อถูกย้ำถามคำถามเดียวกันเรื่องลาออกเป็นรอบที่ 2 และ 3 เขาก็เริ่มมีอารมณ์ "มันสมควรที่จะใช้คำถามนี้กับผมหรือเปล่า ผมมีความรับผิดชอบเพียงพอต่อภารกิจทุกอย่างที่ผมสั่ง ในการดำเนินการทุกตำแหน่งที่ผ่านมา ทุกวิกฤตที่ผ่าน... อะไรที่สั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาทำ ผมรับผิดชอบ แต่ผมไม่สามารถที่จะรับผิดชอบต่อการกระทำที่เกิดจากเหตุการณ์ส่วนตัว กระทำผิดกฎหมายอาชญากรรม อันนั้นผมรับไม่ได้" พล.อ.อภิรัชต์กล่าว พล.อ.อภิรัชต์หันหน้าเข้ากำแพงเพื่อสงบสติอารมณ์ก่อนหันกลับมาตอบคำถามผู้สื่อข่าว ผบ.ทบ. บอกด้วยว่า ขอให้ตั้งอยู่บนพื้นฐานก่อนว่าความจริงคืออะไร และผลกระทบที่เกิดขึ้นคืออะไร ควรตอบสนองอย่างไร และตั้งข้อสังเกตว่าคนถามมุ่งให้เขาตอบบางสิ่งบางอย่างที่พอเขาตอบไปแล้ว คนถามก็จะพึงพอใจ รู้สึกว่าตัวเองชนะ "ผมบอกเลยว่าผมไม่ยอมแพ้ ผมแสดงความรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้นเนื่องจากผู้ก่อเหตุเป็นทหาร" พล.อ.อภิรัชต์เผยว่าได้ติดตามข้อมูลในโซเชียลมีเดีย พบว่าตัวเองถูกตั้งคำถามว่าจะลาออกหรือไม่ ทำไมแต่งตัวชุดนี้ไปปฏิบัติภารกิจ ซึ่งเขาบอกว่าเป็นเครื่องแบบปกติ ซึ่งไม่ว่าแต่งชุดอะไร ก็โดนด่า จริง ๆ "ไม่อยากพูดเรื่องนี้เพราะรู้ว่าพูดไปแล้ว มันก็ต้องไปกระทืบทวิตเตอร์ เอาไปใส่อีก" แต่ในวันนั้นได้ให้นายทหารคนสนิท (ทส.) แบกกระเป๋าไป 2 ใบ หากได้รับการร้องขอจากตำรวจก็พร้อมเป็นผู้ช่วยเจ้าพนักงาน บางครั้งหากโอเวอร์รีแอคเกินไป ก็จะทำให้สถานการณ์ตึงเครียด "เหตุการณ์ครั้งนี้ ผมเสียใจ ขณะเดียวกันก็จะทำให้ผมเข้มแข็งในระยะเวลาที่เหลือในการเป็น ผบ.ทบ. ในการแน่วแน่ แก้ไข ในสิ่งผิด" พล.อ.อภิรัชต์ยุติการแถลงข่าวด้วยการอัญเชิญข้อความในเพลงพระราชนิพนธ์ "ความฝันอันสูงสุด"
|
การเปิดแถลงข่าวของ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ต่อเหตุการณ์ "กราดยิงโคราช" เริ่มต้นด้วยการเอ่ยคำ "ขอโทษ" ที่กำลังพลของกองทัพบกคือผู้ก่อเหตุ "โศกนาฏกรรม" ครั้งใหญ่ ก่อนลงท้ายด้วยบทเพลงพระราชนิพนธ์ "จะแน่วแน่แก้ไขในสิ่งผิด"
|
thailand-56191617
|
https://www.bbc.com/thai/thailand-56191617
|
วัคซีนโควิด-19 ล็อตแรกถึงไทย
|
วัคซีนของซิโนแวคที่ชื่อว่า "โคโรนาแวค" (CoronaVac) ที่เดินทางมาถึงไทยวันนี้มีจำนวน 200,000 โดส ส่วนวัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้า มีจำนวน 117,000 โดส รวมทั้งหมด 317,000 โดส นับเป็นวัคซีนโควิด-19 ล็อตแรกที่เดินทางมาถึงไทย หลังจากรัฐบาลถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักถึงยุทธศาสตร์และความล่าช้าในการจัดหาวัคซีนมาให้คนไทย วัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้าที่จะมาถึงในช่วงบ่ายวันนี้ ได้รับการขึ้นทะเบียนตำรับยาแผนปัจจุบันจากองค์การอาหารและยา (อย.) ตั้งแต่วันที่ 20 ม.ค. ส่วนโคโรนาแวคของซิโนแวคที่มาถึงก่อนในช่วงเช้านั้น อย. เพิ่งขึ้นทะเบียนเมื่อวันที่ 22 ก.พ. หรือเพียง 2 วันก่อนที่วัคซีนล็อตแรกจะเดินทางมาถึงวันนี้ ทะเบียนยาของวัคซีนทั้ง 2 ยี่ห้อ มีอายุ 1 ปี
|
วัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ของบริษัท ซิโนแวค ไบโอเทคและบริษัท แอสตร้าเซนเนก้า เดินทางมาถึงประเทศไทยวันนี้ (24 ก.พ.) แม้ว่ากระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ยังต้องเร่งสร้างความเชื่อมั่นในความปลอดภัยของวัคซีน หลังจากหน่วยงานวิจัยของ สธ. สำรวจพบว่าบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขเพียง 55% ยินดีรับวัคซีนโควิด-19
|
international-50289922
|
https://www.bbc.com/thai/international-50289922
|
นักวิทยาศาสตร์สร้าง "บิ๊กแบง" ขนาดย่อมในห้องทดลองได้โดยบังเอิญ
|
แบบจำลองการระเบิดขยายตัวครั้งใหญ่หรือ "บิ๊กแบง" (Big Bang) เหตุดังกล่าวเกิดขึ้น เมื่อทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเซนทรัลฟลอริดา (UCF) นำโดยผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. คารีม อาเหม็ด กำลังทดลองหาวิธีสร้างแรงขับดันด้วยไอพ่นความเร็วเหนือเสียง (Hypersonic jet propulsion) ในท่อขนาดเล็กที่ควบคุมการกระแทกปั่นป่วนของอากาศได้ แต่ในขณะที่ปรับเปลี่ยนค่าความปั่นป่วนของกระแสอากาศซึ่งเป็นเงื่อนไขของการทดลองอยู่นั้นเอง พวกเขาพบว่าเปลวเพลิงจากเครื่องยนต์ที่เดิมลุกไหม้อย่างคงที่แบบเปลวเทียน กลับเกิดความแปรปรวนและเร่งปฏิกิริยาภายในตัวเองขึ้นได้อย่างฉับพลัน จนนำไปสู่การระเบิดรุนแรงในที่สุด ดร. อาเหม็ดกล่าวในรายงานวิจัยซึ่งตีพิมพ์ในวารสาร Science ว่า "การระเบิดในลักษณะนี้มีหลักการพื้นฐานไม่ต่างไปจากซูเปอร์โนวา หรือการระเบิดของดาวฤกษ์ที่สิ้นอายุขัย โดยเราสามารถใช้ความปั่นป่วนเร่งให้ปฏิกิริยาต่าง ๆ เกิดขึ้น จนกลายเป็นการระเบิดที่รุนแรงในระดับมัค 5 หรือมีความเร็วเหนือเสียงถึง 5 เท่า ได้" ดร. คารีม อาเหม็ด กำลังทดลองหาวิธีสร้างแรงขับดันด้วยไอพ่นความเร็วเหนือเสียง "เมื่อเราศึกษาลึกลงไปอีกก็พบว่า การระเบิดแบบซูเปอร์โนวาที่เราสร้างขึ้นโดยบังเอิญนั้น มีความเชื่อมโยงเกี่ยวข้องกับการระเบิดขยายตัวครั้งใหญ่ของเอกภพหรือบิ๊กแบงด้วย โดยกลไกที่นำไปสู่การระเบิดทั้งสองแบบนั้นคล้ายคลึงกัน" การค้นพบโดยบังเอิญในครั้งนี้ นอกจากจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาเทคโนโลยีการบินและการเดินทางในอวกาศ โดยอาจจะใช้หลักการระเบิดแบบพิเศษสร้างเครื่องยนต์ขับเคลื่อนที่ทรงพลังได้แล้ว ยังช่วยเสริมสร้างความเข้าใจในเรื่องความเป็นมาของเอกภพและเหตุการณ์บิ๊กแบง รวมทั้งช่วงเวลาที่อาจดำรงอยู่ก่อนการเกิดบิ๊กแบงได้อีกด้วย
|
การระเบิดขยายตัวครั้งใหญ่หรือ "บิ๊กแบง" (Big Bang) ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เชื่อกันว่าเป็นจุดกำเนิดของจักรวาลนั้น แม้ในทางทฤษฎีน่าจะเกิดขึ้นได้เพียงครั้งเดียว แต่ล่าสุดทีมนักวิจัยด้านวิศวกรรมเครื่องกลและอากาศยานของสหรัฐฯ กลับค้นพบกลไกที่ทำให้เกิดการระเบิดขยายตัวแบบเดียวกันได้ในระดับย่อม ๆ โดยบังเอิญ ระหว่างที่ทำการทดลองในห้องปฏิบัติการ
|
thailand-49027185
|
https://www.bbc.com/thai/thailand-49027185
|
ทวงคืนผืนป่า : เสียงจากชาวบ้านซับหวาย น้ำตาคนจนหลังถูกทวงคืนผืนป่า
|
เมื่อวันที่ 3 ก.ค. 2562 ศาลอุทธรณ์สั่งจำคุกชาวบ้านไทรทองชุดสุดท้ายอีก 4 คน เพิ่มปรับค่าเสียหาย 2 ราย หญิงตั้งแต่วัย 30 กว่า ๆ ไปจนถึง 74 ปี 8 คน ที่อยู่ในนั้นคือชาวบ้านบ้านซับหวาย ต.ห้วยแย้ อ.หนองบัวระเหว จ.ชัยภูมิ ที่ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาระหว่างเดือน พ.ค.ถึงต้นเดือน ก.ค. ให้จำคุกในความผิดฐานรุกที่ดินเขตป่าและเขตอุทยานแห่งชาติไทรทอง ครอบครัวม่วงกลาง คือ ส่วนหนึ่งของชาวบ้าน 14 คน ที่ถูกฟ้องร้องดำเนินคดีโดยอุทยานแห่งชาติไทรทองมาตั้งแต่ปี 2559 ภายหลัง คสช. บังคับใช้นโยบายทวงคืนผืนป่า โดยมีคดีรวมกันทั้งสิ้น 19 คดี คดีความเดินหน้ามาสู่ชั้นศาลอุทธรณ์ "ชาวบ้านไทรทอง" จำเลยในคดีบุกรุกอุทยานฯ ไทรทองถูกตัดสินจำคุกตั้งแต่คนละ 5 เดือน ถึง 4 ปี พร้อมให้ชดใช้ค่าเสียหายจำนวนหลายแสนบาท จนถึงสูงสุด 1.5 ล้านบาท ในจำนวนนี้ 13 คน ไม่รอลงอาญา 14 ชีวิตในเรือนจำ น้ำตาคนจนหลังถูก "ทวงคืนผืนป่า" อุทยานฯ ไทรทอง ชาวบ้านบอกว่าพวกเขาทำการเกษตรปลูกไร่มันสำปะหลังในที่ดินผืนนี้สืบต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่นตั้งแต่ก่อนประกาศเป็นเขตอุทยานฯ แต่ทางเจ้าหน้าที่อุทยานฯ ชี้ว่า ชาวบ้านกลุ่มนี้ ไม่มีชื่ออยู่ในทะเบียนที่จัดทำขึ้นระหว่างการสำรวจพิสูจน์สิทธิที่ทำกินตามมติคณะรัฐมนตรี 30 มิ.ย. 2541 ขณะนี้พวกเธอและญาติ ๆ ยังรอความหวังในชั้นของศาลฎีกา พร้อม ๆ ไปกับการยื่นคำร้องขอประกันตัว ซึ่งล่าสุดเมื่อวันที่ 19 ก.ค. ศาลได้มีคำสั่งให้ประกันตัวชาวบ้าน 4 คน แล้วโดยต้องวางเงินประกันระหว่าง 180,000-500,000 บาท ชาวบ้านบ้านซับหวายหรือ "ชาวบ้านไทรทอง" 14 คน ถูกพิพากษาจำคุกทั้งหมด แต่รอลงอาญา 1 คน "จะเอาที่ฉันไปหมดเลยเหรอ" "กินไม่อร่อยคิดถึงบ้าน" ทองปั่น ม่วงกลาง หญิงวัย 58 ปี เล่าถึงความเป็นอยู่ในเรือนจำผ่านโทรศัพท์ที่ต่อพ่วงจากด้านหลังกระจกในห้องเยี่ยมญาติ เธอบ่นว่า "อยู่ในนี้" ปวดเนื้อปวดตัว เพราะนอนลำบาก เสียงของคนมากมายในเรือนจำเป็นสภาพที่ "ไม่เหมือนตอนอยู่บ้านเรา" แต่อย่างน้อยวันนี้ทองปั่นก็มีกำลังใจดีขึ้นมาบ้าง ใบหน้าเธอยังมีรอยยิ้มจาง ๆ หลังจากที่ได้คุยกับหลานชายวัยไม่กี่ขวบ ที่ลูกสาวคนเล็กพามาเยี่ยมผู้เป็นยาย ทองปั่นถูกศาลอุทธรณ์ตัดสินยืนตามศาลชั้นต้นให้จำคุก 8 เดือน ชดใช้ค่าเสียหาย 1 แสนบาท ฐานบุกรุกพื้นที่อุทยานจำนวน 7 ไร่ ถัดจากทองปั่นไปทางขวาสองที่นั่ง คือ นิตยา ม่วงกลาง ลูกสาวคนที่สามของเธอ นิตยาถูกดำเนินคดี 2 คดี รวมโทษจำคุก 12 เดือน และต้องขังเป็นคนแรก ตั้งแต่วันที่ 15 พ.ค. ถัดไปทางซ้ายอีกสองที่นั่ง คือ สุภาพร สีสุข ลูกสาวคนที่สอง และ นริศรา ม่วงกลาง ลูกสาวอีกคน ลูกสาว 3 คน ของทองปั่น ถูกฟ้องร้องเนื่องจากทำกินในไร่มันสำปะหลังที่ได้รับสืบทอดมาจากพ่อและแม่ คือทองปั่นและจอม ม่วงกลาง ในหนังสือยื่นศาลขั้นฎีกาคดีของนิตยา ม่วงกลาง ได้แนบหลักฐานหนังสือสรุปยอดหนี้สินจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์จำนวนกว่า 2 แสนบาท "จะเอาที่ฉันไปหมดเลยเหรอ" ทองปั่นเล่าเหตุการณ์วันหนึ่งในปี 2558 เมื่อเจ้าหน้าที่ "ชุดดำ" กว่า 25 นาย มาที่ไร่มันสำปะหลังบริเวณเนินเขาใกล้หมู่บ้าน บอกให้ทองปั่นเซ็นยินยอมคืนที่ดิน รวมทั้งที่ดินของลูก ๆ ที่มีชื่อในเอกสารของเจ้าหน้าที่ "เขาบอกว่าถ้าไม่เซ็น ลูกจะเก็บมันบ่ได้ และบอกว่าจะมีหมายศาลมา แบบนี้เขาเรียกข่มขู่ไหม" ทองปั่นบอกกับบีบีซีไทย หลังจากนั้นเป็นต้นมา จากที่เคยเป็นเกษตรกรธรรมดา ๆ ในหมู่บ้านซับหวาย สมาชิกครอบครัวม่วงกลางก็ถูกสถานการณ์บังคับให้กลายเป็นนักต่อสู้เพื่อสิทธิในที่ดินทำกิน แม่บ่ให้ไปย่าม เจ็ดโมงกว่า ๆ ของเช้าวันศุกร์ ญาติ ๆ ของผู้ต้องขังที่นัดกันไปเรือนจำชัยภูมินั่งรถออกจากหมู่บ้านไปด้วยกันแล้ว แต่นายจอม ม่วงกลาง ชายวัย 65 ปี สามีของนางทองปั่น ยังนั่งอยู่ที่ตั่งใต้ถุนบ้านกับหลานชายวัยรุ่น 2 คน ที่กำลังเตรียมตัวไปโรงเรียนอย่างงัวเงีย "บ่ต้องมาย่าม (เยี่ยม) ดอก ให้แต่ลูกมาก็พอแล้ว" จอมกล่าว "แม่เฒ่าก็บ่อยากให้ไปเห็น เห็นแล้วก็ทำใจบ่ได้ เว่ากันก็บ่ได้ บ่รู้เรื่อง" เมื่อภรรยาและลูกสาว 3 คน ทยอยเข้าเรือนจำ จอมและสุรินทร ลูกสาวคนโต จึงทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลหลานชายที่เรียนอยู่ชั้น ม. 4 สองคน ซึ่งเป็นลูกของนิตยาและนริศรา ชายชราที่ดูนิ่งเงียบแต่ยิ้มให้เราบ้างเป็นบางครั้งระหว่างสนทนาบอกว่า เขาและทองปั่นขึ้นไปทำไร่มันตั้งแต่สมัยหลังหมดสัมปทานป่าไม้ ในช่วงแรกเขารับจ้างทำไร่ เวลาต่อมา มีผู้แบ่งที่ทำกินให้ ครอบครัวม่วงกลางจึงปักหลักทำกินแต่นั้นมา ตั้งแต่ทองปั่นต้องเข้าไปอยู่เรือนจำหลังศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 25 มิ.ย. เขาได้ไปเยี่ยมภรรยาที่เรือนจำแค่เพียงครั้งเดียว "ทำใจไว้แล้วแหละ เพราะว่าถึงจังใด๋ ไปถึงก็บ่รอดจักคนดอก มันก็บ่รอดจักคนแหละ ไปแล้วก็ไปช่วยกันบ่ได้ จะเฮ็ดจังใด๋" สมาชิกครอบครัวม่วงกลางล้อมวงกินข้าวอย่างเหงา ๆ ในวันนี้ที่ทองปั่นและลูกสาวอีก 3 คน ไม่ได้อยู่พร้อมหน้า ใกล้กันกับบ้านของจอม เป็นบ้านของนิตยา บ้านชั้นเดียวที่ก่อจากอิฐบล็อกที่ยังไม่ได้ทาสีแม้จะสร้างมาราว 10 ปีแล้ว "เมียบอกว่ายังไม่ต้องทาหรอก เอาเงินไปซื้อรถไถก่อน" วุฒิศักดิ์ (ขอสงวนนามสกุล) สามีของนิตยาที่อยู่กินกันมา 18 ปี บอกกับบีบีซีไทย ในบ้านที่ยังดูเหมือนสร้างไม่เสร็จดี เมื่อนิตยาไม่อยู่ ฟลุ้ค ลูกชายของเธอที่กำลังเรียนอยู่ชั้น ม. 4 ต้องย้ายไปอยู่บ้านตา เพราะไม่มีแม่ดูแล "ถ้าเราไม่ต่อสู้เอา เราจะทำกินที่ไหน มันเป็นที่ดินที่พ่อแม่ทำกินมาก่อน เราก็ได้รับมรดกมาจากพ่อแม่ ต่อมาเป็นที่ของเรา ก็ต้องสู้เพื่อที่ของเรา" วุฒิศักดิ์กล่าวถึงการต่อสู้ของภรรยา แม้ว่าคำสั่ง คสช. ที่ 66/2557 ที่บอกว่า การดำเนินการเอาที่ดินคืนต้องไม่กระทบผู้ยากไร้ ผู้มีรายได้น้อย และผู้ไร้ที่ดินทำกิน ซึ่งได้อาศัยอยู่ในพื้นที่เดิม แต่เจ้าหน้าที่อ้างว่านิตยาไม่ใช่ผู้ยากไร้ โดยหนึ่งในหลักฐานที่เจ้าหน้าที่นำมายืนยันก็คือภาพถ่ายรถหกล้อขนมันสำปะหลังและรถกระบะที่จอดอยู่ที่บ้าน ซึ่งหัวหน้าอุทยานฯ ไทรทอง เคยนำภาพถ่ายมาชี้แจงกับบีบีซีไทยพร้อมกับอธิบายว่า รถสองคันนี้แสดงให้เห็นว่านิตยาไม่เข้าข่ายเป็น "ผู้ยากไร้" ทว่าวุฒิศักดิ์ยืนยันกับเราว่า นี่เป็นเครื่องมือทำมาหากินและยังผ่อนค่างวดอยู่ เงินที่นำมาส่งผ่อนแต่ละเดือน มาจากเงินที่ได้จากการขายมันสำปะหลังปีละราว 60,000 บาท ในเอกสารยื่นขอฎีกาของนิตยาที่บีบีซีไทยได้เห็น มีหลักฐานแสดงหนี้สินของเธอที่ต้องผ่อนชำระกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์แนบอยู่ด้วย เฮ็ดกินตั้งแต่สาวจนเฒ่า "เฮาก็เฮ็ดกินตั้งแต่สาวจนเฒ่าน้อ จะสิเว่าจังใด๋" นวลจันทร์ โพธิ์งาม แม่ของสุวลี โพธิ์งาม หนึ่งในชาวบ้านซับหวายที่ถูกดำเนินคดีและขณะนี้อยู่ในเรือนจำ ย้อนความหลังให้เราฟัง นวลจันทร์ อายุ 56 ปี รื้อฟื้นความจำให้ฟังว่า แม่ของเธอบุกเบิกทำนาที่หมู่บ้านแห่งนี้ และเธอก็ทำนาต่อจากแม่ตั้งแต่ราว พ.ศ. 2521-2522 นวลจันทร์ยืนยันว่าครอบครัวของเธอทำกินในที่ดินผืนนี้มาตั้งแต่ก่อนจะประกาศเป็นเขตอุทยานแห่งชาติ "เฮ็ดตั้งแต่สมัยตอนนั้น ตอนทองปั่นยังอุ้มท้องสุรินทรอยู่ ก็มาเฮ็ดนะ" นวลจันทร์กล่าว พลางชี้ไปทางบ้านของทองปั่น เพื่อนบ้านที่อยู่ติดกัน "เฮาก็บ่รู้หรอก มันบ่มีอิหยัง หลักฐานก็บ่มี ไปเฮ็ดได้ก็ไปเฮ็ดเลย พ่อแม่เฮาก็มาฟัน มาถาง เฮาก็ไปเฮ็ด มันก็บ่ได้มี (เจ้าหน้าที่) ป่าไม้อิหยังขึ้นไปกวนเฮาแบบนี้นา มื้อนี้ก็เป็นแล้วว่ามายึดเฮาจังซี้แล้ว" บ้านของสุวลี โพธิ์งาม ที่อยู่กับพ่อและแม่ของเธอ และลูกสาววัย 7 ขวบ จากไร่มัน สู่กระบวนการยุติธรรม จากชีวิตที่อยู่แต่ในหมู่บ้าน ถนนลูกรัง ไร่มันที่แห้งแล้งของดินแดนอีสาน กว่า 3 ปีที่ผ่านมา ชาวบ้านซับหวาย เดินทางไปทั้งศาลากลางจังหวัด ศูนย์ดำรงธรรม สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ จ.นครราชสีมา ไปจนถึงทำเนียบรัฐบาล ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ที่นิตยาและชาวบ้านซับหวายเดินทางไปเรียกร้องสิทธิในที่ดินทำกินร่วมกับชาวบ้าน ที่ได้รับผลกระทบจากการถูกยึดที่ทำกินอันเป็นผลจากการทวงคืนผืนป่า และเรียกร้องให้ทางการยุติการดำเนินคดีพวกเขา เอกสารมากมาย ทั้งคำพิพากษาของศาล ตั้งแต่ศาลชั้นต้น ภาพถ่ายทางอากาศรังวัดที่ดินของชาวบ้าน บันทึกข้อมูลการไปชี้แจงความเดือดร้อน สุรินทร ค้นออกมาให้เราได้อ่าน เมื่อน้องสาวต้องสูญเสียอิสรภาพ หน้าที่ในการดูแลเดินเรื่องเกี่ยวกับคดีของน้อง ๆ และแม่ ก็ตกอยู่กับสุรินทร พี่สาวคนโตของครอบครัวม่วงกลาง นอกจากนี้เธอยังช่วยเดินเรื่อง ให้ชาวบ้านซับหวายที่ต้องคดีทั้งหมดด้วย "เราไม่คิดว่ามันจะเร็วและใหญ่โต เพราะว่าเรื่องที่ทำกินน่าจะผ่อนผันได้" สุรินทรให้ความเห็น "น้องมีหนี้สิน ต่อสู้เพื่อพื้นที่ของตัวเอง เราไม่ได้เป็นนายทุน เราไม่มี (ที่ดิน) เป็น 100 ไร่ เรามีแค่ 9-10 ไร่ ก็เลยรู้สึกว่าสงสารน้องมาก จะช่วยยังไง น้องถึงจะได้ทำมาหากินตามปกติ" "ถ้าเซ็นแล้วพวกเจ้าก็สิสบาย" "เขามาก็มีชุดดำนั้นแหน่ ฉันไปไร่ สองคนผัวเมีย เขาบอกว่าให้เซ็นให้เขา เขาบอกว่า เซ็นเถอะ ถ้าเซ็นแล้วพวกเจ้าก็สิสบาย" สมสวย ม่วงกลาง ภรรยาของนายพุธ สุขบงกช ซึ่งถูกตัดสินจำคุก 6 เดือน 20 วัน และถูกให้ชดใช้ค่าเสียหายเป็นจำนวนเงิน 370,000 บาท ฐานบุกรุกพื้นที่อุทยานฯ กว่า 14 ไร่ เล่าให้เราฟังหน้าบ้านของเธอ สมสวย (ซ้าย) ภรรยาของนายพุธบอกว่านอกจากทำไร่มันแล้ว แต่ละเดือนสามีของเธอยังรับจ้างขับรถบรรทุกมันสำปะหลัง 2-3 ครั้ง ได้ค่าจ้างเที่ยวละ 400-500 บาท สมสวยเล่าว่า เริ่มทำไร่มันที่บ้านซับหวายสืบต่อจากพ่อที่เสียชีวิตเมื่อ 8 ปีที่แล้ว ซึ่งเป็นพี่น้องกับนายจอม และเข้ามาทำกินในเวลาไล่เลี่ยกัน ก่อนหน้านี้ เธอและสามีหาเลี้ยงชีพด้วยการรับจ้างตัดอ้อย ที่ จ.กาญจนบุรี นานกว่า 20 ปี ในช่วงที่พุธต้องติดคุกอีก 6 เดือนข้างหน้า เธอวางแผนจะทำงานรับจ้างเพื่อหาเงินมาใช้จ่ายในบ้าน เลี้ยงดูแม่และหลาน โดยมีลูกสาวคนสุดท้องรับจ้างทำไร่มันช่วยหารายได้อีกทางหนึ่ง "คิดไปรับจ้างฉีดยา (กำจัดศัตรูพืช) อยู่ รับจ้างกินไปวัน ๆ แล้ววันบ่มีรับจ้างจะเอาที่ไหน" เธอกล่าว "ตอนนี้บ่มีเงินพอร้อยนึง เว่าอย่างบ่อาย" สมสวยบอกกับเราด้วยเสียงสะอื้น นโยบายแก้ไขผลกระทบทวงคืนที่ดิน ไม่ช่วยชาวบ้าน เมื่อย้อนความเป็นมาของชุมชนบ้านซับหวาย เครือข่ายปฏิรูปที่ดินภาคอีสาน (คปอ.) และโครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (ไอลอว์) ระบุว่าหมู่บ้านแห่งนี้เป็น 1 ใน 5 ชุมชน ใน ต.ห้วยแย้ และ ต.วังตะเฆ่ อ.หนองบัวระเหว จ.ชัยภูมิ ที่เกิดขึ้นพร้อมกับการสัมปทานตัดไม้ในช่วงปี 2510 ซึ่งชาวบ้านได้เข้ามาบุกเบิกทำกินภายหลังยกเลิกสัมปทานและก่อตั้งเป็นชุมชน ส่วนการประกาศเขตอุทยานแห่งชาติไทรทองนั้นเกิดขึ้นในปี 2535 ในเวลาต่อมาได้มีการสำรวจการถือครองที่ดินและการทำประโยชน์ที่ดิน ตามมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 30 มิ.ย. 2541 โดยเจ้าหน้าที่ได้เข้าสำรวจในปี 2546, 2549 และ 2553 ด้วยการถ่ายรูปแปลงที่ดิน แต่ด้วยเงื่อนไขทางสภาพอากาศ เวลาและงบประมาณ ทำให้ที่ดินของชาวบ้านหลายคนตกสำรวจ ทนายความฝ่ายชาวบ้านซับหวายกล่าวว่า จากหลักฐานบางส่วนที่อุทยานฯ นำมานำสืบก็พบร่องรอยการทำประโยชน์ในอดีต สมนึก ตุ้มสุภาพ ทนายความฝ่ายชาวบ้านบ้านซับหวายในคดีนี้ กล่าวว่าชาวบ้านที่ถูกดำเนินคดีเป็นกลุ่มคนที่ไม่มีชื่อในทะเบียนการถือครองที่ดินและส่วนใหญ่เป็นทายาทที่สืบทอดที่ดินจากพ่อแม่ปู่ย่าตายาย โดยไม่มีชื่อในเอกสารสำรวจเมื่อครั้งที่เจ้าหน้าที่กลับมาสำรวจรังวัดเพื่อให้ยืนยันการเป็นเจ้าของในปี 2557 การขอคืนพื้นที่เริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 2556 แต่การเริ่มดำเนินคดีกับชาวบ้านเริ่มต้นเมื่อปี 2559 หลังจากเจ้าหน้าที่นำเอกสารเซ็นยินยอมคืนที่มาให้ชาวบ้านเซ็นในปี 2558 แต่ชาวบ้านยังทำกินในพื้นที่ต่อ "เจ้าหน้าที่มากันหลายคน ทำให้กระบวนการในการรับรู้ถูกจำกัด บางคนต้องจำยอมเซ็นชื่อในเอกสารยินยอมคืนพื้นที่" สมนึกอ้างถึงคำเบิกความของเจ้าหน้าที่อุทยานฯ ซึ่งระบุว่า ก่อนหน้านี้เจ้าหน้าที่ไม่ได้ฟ้องร้องดำเนินคดีเอาที่คืนเพราะไม่ได้มีการสั่งมาให้ดำเนินการกับชาวบ้าน จนกระทั่งมีคำสั่ง คสช.ที่ 64/2557 ถึงได้ดำเนินการ ส่วนประเด็นว่าด้วยการไม่ดำเนินกับผู้ยากไร้ที่ถูกระบุไว้ในคำสั่ง คสช. ที่ 66/2557 สมนึกกล่าวว่า ศาลพิจารณาว่าชาวบ้านไม่ได้รับประโยชน์จากคำสั่งนี้ ชาวบ้านเป็น "ผู้บุกรุกใหม่" เพราะไม่มีชื่ออยู่ในเอกสารสำรวจตามมติ ครม. 30 มิ.ย. 2541 "เป็นคนที่อยู่มาก่อน ทำกินมาอย่างต่อเนื่องก็เข้าเกณฑ์คุ้มครองแล้ว แต่ศาลบอกว่าชาวบ้านไม่มีชื่อที่ถูกสำรวจไว้ตามมติ ครม." ส่วนกระบวนการแก้ไขในภาคของนโยบายที่มีการสำรวจสิทธิในที่ดินนั้น สมนึกกล่าวว่า ไม่ได้ถูกนำมาใช้ให้เป็นคุณกับชาวบ้านเลย เช่น การชะลอการฟ้องร้อง อุทยานฯ ชี้แจง สมโภชน์ มณีรัตน์ โฆษกกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ชี้แจงกับบีบีซีไทย กรณีการดำเนินคดีชาวบ้านบ้านซับหวายว่า มีการพิสูจน์แล้วว่าชาวบ้านกลุ่มนี้ไม่ได้เป็นผู้ยากไร้ เช่น บางคนมีที่ทำกินที่อื่นด้วย ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ถูกอ้างอิงในชั้นศาล ขณะที่การตรวจสอบฐานะผู้ยากไร้ก็มีคณะกรรมการพิจารณา ก่อนศาลอุทธรณ์อ่านคำพิพากษาเมื่อวันที่ 15 พ.ค. ในคดีของนิตยา ม่วงกลาง ชาวบ้านได้จัดให้มีการผูกข้อมือเพื่อส่งกำลังใจแก่ผู้ต้องคดี กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ระบุเมื่อ ส.ค. 2561 ว่า ตั้งแต่ปี 2557-2561 มีการดำเนินคดีบุกรุกพื้นที่ป่า 25,645 คดี ได้พื้นที่คืนมากว่า 7 แสนไร่ แต่กลุ่มจับตาปัญหาที่ดิน หรือ Land Watch ตั้งข้อสังเกตว่า การดำเนินงานของ กอ. รมน. ไม่ได้แจกแจงข้อมูลว่า ผู้ต้องหาที่จับกุมได้เป็นนายทุน นักการเมือง เจ้าของโรงงานแปรรูปไม้ เจ้าหน้าที่รัฐ จำนวนเท่าใด และเป็นประชาชนทั่วไปจำนวนเท่าใด โฆษกกรมอุทยานฯ ยืนยันว่า การทวงคืนผืนป่า ไม่ได้ดำเนินการกับคนยากจน ส่วนคดีที่บุกรุกป่าตอนนี้ ยังคงดำเนินการกับกลุ่มที่ไม่ได้เป็นผู้ยากไร้ที่เข้ามาอยู่หลังปี 2557 "คดีที่เราตามรื้อถอนรีสอร์ตใหญ่ ๆ หมดทั่วประเทศ ก็เห็นชัดเจนว่าเป็นการทวงกับนายทุน" นายสมโภชน์กล่าว ชาวบ้านซับหวายกลุ่มสุดท้ายเดินเข้าเรือนจำ เมื่อวันที่ 3 ก.ค. หลังจากนั้นเพียงไม่กี่วัน คำสั่ง คสช. ที่ 64/2557 และ 66/2557 เรื่องการทวงคืนผืนป่าก็ถูก พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. ใช้มาตรา 44 ออกคำสั่งยกเลิก ส่วนองค์กรภาคประชาสังคม ก็ยัง ออกมาส่งเสียงให้รัฐบาลคืนความเป็นธรรมให้คนจน "ถ้าฉันไม่ทำกินตรงนี้ ก็ไม่มีที่อื่นแล้ว" ทองปั่น บอกกับเราเป็นประโยคสุดท้ายในการสนทนาที่ห้องเยี่ยมญาติของเรือนจำ
|
บ่ายโมงตรงวันศุกร์ ห้องเยี่ยมญาติของเรือนจำจังหวัดชัยภูมิ เปิดให้เข้าเยี่ยมรอบแรกของช่วงบ่าย ผู้มาเยี่ยมราว 50 คน รีบก้าวไปในห้องที่มีผู้ต้องขังกว่า 10 คนนั่งรออยู่
|
international-40318540
|
https://www.bbc.com/thai/international-40318540
|
นิสัยประจำตัวช่วยสร้างอัจฉริยะได้จริงหรือ ?
|
ไอน์สไตน์แนะนำให้ออกไปเดินเล่นบ่อย ๆ เพื่อให้สมองแจ่มใส ในปัจจุบันมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่บ่งชี้ยืนยันเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ว่า ความฉลาดเฉลียวไม่ได้มาจากการถ่ายทอดพันธุกรรมที่ดีเท่านั้น แต่สภาพแวดล้อมรวมทั้งอุปนิสัยและพฤติกรรมในชีวิตประจำวันนั้นมีผลกำหนดระดับสติปัญญาของคนเรามากถึง 40% ซึ่งในกรณีของไอน์สไตน์นั้น พฤติกรรมแปลก ๆ ในการกิน การนอน การใช้เวลาว่าง รวมทั้งการแต่งกายน่าจะมีผลต่อการใช้สมองอย่างมีประสิทธิภาพของเขาอยู่พอสมควร นอนวันละสิบชั่วโมงและงีบหลับกลางวันโดยถือช้อนไว้ในมือ เป็นที่รู้กันทั่วไปว่าการนอนหลับพักผ่อนนั้นดีต่อสมอง แต่ไอน์สไตน์นั้นนอนมากกว่าคนทั่วไปถึงคืนละ 10 ชั่วโมง ซึ่งมากกว่าคนอเมริกันโดยเฉลี่ยถึงหนึ่งเท่าครึ่ง แต่ก็นับว่าพฤติกรรมนี้สอดคล้องกับประวัติการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ครั้งสำคัญที่หลายครั้งความรู้ใหม่ได้มาจากความฝัน โดยว่ากันว่าทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์นั้นได้รับแรงบันดาลใจมาจากการที่เขาฝันเห็นวัวถูกช็อตไฟฟ้า ขณะที่คนเรานอนหลับ ช่วงเวลาที่เกิดความฝันขึ้นนั้นเป็นระยะหนึ่งของวงจรการนอนหลับที่มีการกลอกลูกตาไปมาอย่างรวดเร็วหรือ REM ซึ่งเชื่อกันว่ามีบทบาทสำคัญต่อการเรียนรู้และความจำ แต่อย่างไรก็ตาม 60% ของเวลาที่คนเรานอนหลับจะอยู่นอกช่วงเวลาที่เกิดความฝัน ซึ่งกำลังมีการศึกษาทดลองเพื่อยืนยันว่า พฤติกรรมของสมองที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานอกความฝันนี้ส่งผลต่อสติปัญญาด้วยเช่นกัน ซึ่งหมายความว่ายิ่งเรานอนมาก ก็จะยิ่งมีการพัฒนาสติปัญญามาก ศาสตราจารย์ สจวร์ต โฟเกล นักประสาทวิทยาจากมหาวิทยาลัยออตตาวาของแคนาดาบอกว่า ช่วงเวลาดังกล่าวสมองส่วนทาลามัสที่ตั้งอยู่ใจกลางศีรษะจะยิงกระแสประสาทเป็นพลังงานไฟฟ้าวนรอบขึ้นไปสู่ผิวของสมองและกลับคืนมาเป็นรอบ ๆ โดยในแต่ละคืนจะมีพฤติกรรมของสมองแบบนี้เกิดขึ้นหลายพันครั้ง ซึ่งเชื่อว่าทำให้เกิด "ปัญญาแบบไหลลื่น" (fluid intelligence) ซึ่งเป็นความสามารถในการแก้ปัญหาแบบใหม่ ๆ ในสถานการณ์ที่ไม่เคยพบมาก่อนได้ เช่นเดียวกับการคิดแก้ปัญหาทางฟิสิกส์ที่ซับซ้อนของไอน์สไตน์ ซึ่งคนทั่วไปไม่สามารถจินตนาการไปถึงได้ พฤติกรรมของสมองที่ทำให้เกิดความเฉลียวฉลาดในลักษณะนี้ พบได้ในการนอนหลับเต็มอิ่มตอนกลางคืนของผู้หญิง และในการงีบหลับตอนกลางวันของผู้ชาย ส่วนตัวไอน์สไตน์เองนั้นนอกจากจะนอนนานหลายชั่วโมงตอนกลางคืนแล้ว ยังงีบหลับอีกเล็กน้อยตอนกลางวันด้วย แต่เขาจะไม่ปล่อยให้ตัวเองเผลอหลับไปนาน โดยจะเพียงเอนตัวลงกับเก้าอี้ทำงาน ถือช้อนในมือและวางแผ่นโลหะไว้ข้างใต้ เมื่อเขาเริ่มเคลิ้มหลับ ช้อนจะหลุดจากมือตกใส่แผ่นโลหะเสียงดังจนต้องตื่นขึ้นทันที เดินเล่นออกกำลังกาย แม้การเดินเล่นยืดเส้นยืดสายจะไม่ใช่เรื่องแปลก แต่การเดินออกกำลังกายและเปลี่ยนบรรยากาศนั้นเชื่อว่ามีส่วนช่วยให้สมองส่วนหน้าทำงานได้ดีขึ้น ในกรณีของไอน์สไตน์นั้น สมัยที่เขาทำงานอยู่ที่มหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน เขาจะเดินไปกลับจากที่ทำงานเป็นระยะทางราว 2.5 กิโลเมตรเป็นประจำ ซึ่งเหมือนกับที่ชาร์ลส์ ดาร์วิน ผู้ค้นพบทฤษฎีวิวัฒนาการเองก็ชอบเดินออกกำลังเป็นเวลา 45 นาทีทุกวัน การเดินเล่นช่วยเสริมสร้างความจำ ความคิดสร้างสรรค์ และความสามารถในการคิดแก้ไขปัญหาที่เราไม่อาจทำได้ด้วยการนั่งทำงานติดเก้าอี้อยู่ในสำนักงานตลอดเวลา นักวิทยาศาสตร์บอกว่าการเดินเล่นทำให้สมองส่วนหน้าหรือเซรีบรัมมีความปั่นป่วนน้อยลง และหันมาจดจ่อกับการก้าวเท้าไปข้างหน้าเพียงอย่างเดียว ซึ่งทำให้ความสามารถในการพิจารณาวินิจฉัยสิ่งต่าง ๆ และการใช้ภาษาดีขึ้น แม้จะยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่แน่ชัดมาสนับสนุนความเชื่อในเรื่องนี้ แต่การลองนำไปปฏิบัติดูบ้างก็ไม่เสียหายอะไร กินสปาเก็ตตี้ ไอน์สไตน์เคยกล่าวติดตลกว่า สิ่งที่เขาชอบมากที่สุดเกี่ยวกับประเทศอิตาลีก็คือสปาเก็ตตี้ แต่คนส่วนใหญ่ทราบว่าการกินอาหารประเภทแป้งมากเกินไปนั้นไม่ดีต่อร่างกาย สมองนั้นชื่นชอบน้ำตาลกลูโคสที่ได้จากการย่อยอาหารพวกคาร์โบไฮเดรตอย่างมาก เพราะเป็นแหล่งพลังงานสำคัญ โดยสมองนั้นต้องใช้พลังงานถึง 20% จากแหล่งพลังงานทั้งหมดในร่างกาย ทั้งเซลล์ประสาทยังไม่สามารถสะสมพลังงานเอาไว้เองได้ ทำให้การป้อนพลังงานจากคาร์โบไฮเดรตอย่างต่อเนื่องสำคัญต่อการทำงานของสมองอย่างมาก การอดแป้งจึงทำให้เกิดอาการมึนงงปวดศีรษะ ความจำย่ำแย่และมีปฏิกิริยาตอบสนองช้า อย่างไรก็ตาม การรับประทานอาหารจำพวกแป้งอย่างสปาเก็ตตี้มากเกินไปก็ไม่เป็นผลดีต่อสมองเช่นกัน โดยผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าการรับประทานคาร์โบไฮเดรตราว 25 กรัมต่อครั้งนั้นมีผลดี แต่ถ้ารับประทานมากกว่านั้นสองเท่าก็อาจส่งผลกระทบต่อความสามารถในการคิดวิเคราะห์ได้ สูบไปป์เป็นประจำ เป็นที่รู้กันว่าไอน์สไตน์นั้นติดการสูบไปป์อย่างมาก จนภาพถ่ายที่เขาคาบกล้องยาสูบหลายภาพกลายเป็นสัญลักษณ์ประจำตัวไปแล้ว ควันจากกล้องยาสูบติดตามเขาไปทุกหนทุกแห่ง และบางครั้งเขาจะเก็บก้นบุหรี่ที่พื้นขึ้นมายัดใส่กล้องยาสูบของตัวเองด้วยซ้ำไป ไอน์สไตน์บอกว่าการสูบไปป์ทำให้เกิดบรรยากาศที่สงบและช่วยให้พิจารณาสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างเป็นภววิสัยตามข้อเท็จจริงในทุกเรื่อง โดยไม่มีอารมณ์ความรู้สึกหรืออคติเข้ามาทำให้ไขว้เขว นิสัยชื่นชอบการสูบไปป์ของไอน์สไตน์ ตรงข้ามกับความรู้ใหม่ที่พิสูจน์แล้วว่าการสูบบุหรี่และยาสูบอื่น ๆ ทำให้เซลล์สมองไม่ก่อตัวจนเปลือกสมองหรือ เซรีบรัล คอร์เท็กซ์ บางตัวลง ทั้งยังทำให้สมองขาดอ็อกซิเจนอีกด้วย การวิจัยครั้งหนึ่งที่ทำในสหราชอาณาจักรพบว่า ผู้สูบบุหรี่ส่วนใหญ่มีแนวโน้มที่จะมีไอคิวต่ำกว่าผู้ที่ไม่สูบ แต่อย่างไรก็ตาม มีงานวิจัยอีกชิ้นที่ทำในสหรัฐฯกลับพบว่าเด็กฉลาดมักโตขึ้นไปเป็นผู้ใหญ่ที่สูบบุหรี่จัดกว่าคนทั่วไป ซึ่งก็ไม่แน่ชัดว่าเป็นเพราะสาเหตุใดและมีความเกี่ยวข้องกับกรณีของไอน์สไตน์นี้หรือไม่ ไม่สวมถุงเท้า ไอน์สไตน์เคยเขียนจดหมายไปถึงภรรยาของเขาว่า "เมื่อผมยังเด็ก ผมสังเกตเห็นว่านิ้วหัวแม่เท้าจะทำให้ถุงเท้าเกิดเป็นรูขึ้นเสียทุกครั้งไป ผมเลยเลิกใส่ถุงเท้า" ต่อมาเมื่อใดที่เขาหารองเท้าแตะของตนเองไม่เจอ ก็จะไปคว้าเอารองเท้ารัดส้นของภรรยามาสวมแทน ซึ่งการแต่งตัวแบบฮิปสเตอร์เช่นนี้ไม่มีบันทึกปรากฏว่าส่งผลดีต่อการสร้างสรรค์ผลงานทางวิทยาศาสตร์ของเขาหรือไม่ ไอน์สไตน์นั้นขึ้นชื่อในเรื่องของการเป็นคนไม่ชอบสวมถุงเท้า ซ้ำร้ายยังมีผลการวิจัยหนึ่งชี้ว่า การเปลี่ยนมาสวมใส่เสื้อผ้าแบบสบาย ๆ แทนที่เครื่องแบบที่ดูเป็นทางการนั้น ทำให้ผู้ที่แต่งกายแบบลำลอง ไม่สามารถทำแบบทดสอบวิเคราะห์สิ่งที่เป็นนามธรรมได้ดีนัก เมื่อไม่อาจหาข้อสรุปที่ชัดเจนได้ว่า พฤติกรรมต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันของไอน์สไตน์มีส่วนสร้างให้เขาเป็นอัจฉริยะตลอดกาลของโลกได้จริงหรือไม่ การรับฟังคำแนะนำโดยตรงจากเขาในเรื่องนี้อาจเป็นสิ่งที่ดีกว่า โดยไอน์สไตน์เคยกล่าวกับนิตยสารไลฟ์ไว้ในปี 1955 ว่า "สิ่งที่สำคัญที่สุดคืออย่าหยุดตั้งคำถาม ความอยากรู้อยากเห็นนั้นมีเหตุผลในการดำรงอยู่ของตัวมันเอง"
|
ขึ้นชื่อว่าอัจฉริยะแล้ว แต่ละคนอาจจะมีนิสัยส่วนตัวที่ดูเพี้ยน ๆ ต่างจากคนทั่วไปอยู่บ้างไม่มากก็น้อย เช่นอัจฉริยะนักประดิษฐ์ นิโคลา เทสลา ชอบออกกำลังกดนิ้วหัวแม่เท้ากับพื้นก่อนนอน 100 ครั้งเพื่อกระตุ้นเซลล์สมอง หรือเซอร์ไอแซค นิวตัน ผู้ค้นพบกฎแรงโน้มถ่วงสากล ก็ชอบคุยอวดว่าการที่เขารักษาพรหมจรรย์อยู่เป็นโสดทำให้มีสติปัญญาปราดเปรื่อง ทำให้ชวนสงสัยกันว่า อัจฉริยะตลอดกาลอย่างอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์นั้นมีนิสัยแปลก ๆ อะไรบ้าง และพฤติกรรมเหล่านี้ช่วยทำให้เขาเป็นอัจฉริยะที่มีสมองยอดเยี่ยมไร้เทียมทานได้จริงหรือไม่ ?
|
54285355
|
https://www.bbc.com/thai/54285355
|
พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้คุณหญิงพจมาน-พล.อ.สุรยุทธ์ และคณะบุคคลทูลเกล้าฯถวายเงิน-สิ่งของ-ปริญญาบัตร
|
คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ รองประธานกรรมการมูลนิธิไทยคม และคณะผู้บริหาร เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท น้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายรถรักษาอัมพาตเคลื่อนที่ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองเฉียบพลัน วันที่ 24 ก.ย. เวลา 15.12 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จออก ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ ศ.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล นำคุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ รองประธานกรรมการมูลนิธิไทยคม และคณะผู้บริหาร เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท น้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายรถรักษาอัมพาตเคลื่อนที่ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองเฉียบพลัน ที่ได้จากการร่วมออกแบบและจัดสร้างโดยคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และบริษัทอาร์เอ็มเอ ออโตโมทีฟ จำกัด จำนวน 1 คัน ภายในรถติดตั้งเครื่องเอ็กซ์เรย์คอมพิวเตอร์สมองทำให้การวินิจฉัยและการรักษาถูกต้อง แม่นยำ และรวดเร็ว ในโอกาสนี้ พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ รศ.นพ.วิศิษฏ์ วามวาณิชย์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลศิริราช เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท รับพระราชทานรถรักษาอัมพาตเคลื่อนที่ฯ แก่คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล เพื่อใช้ในการบริการประชาชนต่อไป จากการดำเนินการโดยรถคันแรกในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา รักษาผู้ป่วยได้จำนวน 339 ราย สามารถลดระยะเวลาในการให้ยาสลายลิ่มเลือดเหลือ 20 นาที และร้อยละ 60 หายจากความพิการอันเนื่องจากภาวะอัมพฤกษ์อัมพาต โครงการดังกล่าวนี้จึงขยายผลจัดสร้างรถคันที่สองโดยพัฒนาให้มีประสิทธิภาพดีกว่ารถคันแรก เพื่อใช้ประโยชน์ในการดูแลรักษาพยาบาลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองเฉียบพลัน ก่อนหน้านี้ เมื่อเวลา 13.20 น. พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ประธานมูลนิธิรัฐบุรุษ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ พร้อมด้วยคณะกรรมการมูลนิธิ และคณะกรรมการจัดการแข่งขันวิ่งการกุศล "เขาใหญ่มาราธอน 2562" เข้าเฝ้าทูลเกล้าฯ ถวายเงินโดยเสด็จพระราชกุศลตามพระราชอัธยาศัย พ.ต.อ.บุญส่ง จันทรีศรี ผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล นำคณะผู้บริหารและเจ้าหน้าที่สำนักงาน เฝ้าฯ ทูลเกล้าฯ ถวายเงิน โดยเสด็จพระราชกุศลตามพระราชอัธยาศัย แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เวลา 13.34 น. ศาสตราจารย์กำพล ปัญญาโกเมศ อธิการบดีสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ พร้อมด้วยกรรมการสภาสถาบัน และผู้บริหาร เฝ้าฯ ทูลเกล้าฯ ถวายปริญญาดุษฎีบันฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาการบริหาร และการพัฒนา กับสาขาวิชาการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และองค์การ ต่อมา เมื่อเวลา 17:09 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินไปทรวงวางพวงมาลาถวายราชสักการะ พระราชานุสาวรีย์สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชนก ณ โรงพยาบาลศิริราช พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินไปทรวงวางพวงมาลาถวายราชสักการะ พระราชานุสาวรีย์สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชนก ณ โรงพยาบาลศิริราช
|
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จออก ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้คณะบุคคลต่าง ๆ เข้าเฝ้าทูลเกล้าฯถวายเงิน สิ่งของ และปริญญาบัตร ก่อนเสด็จพระราชดำเนินไปทรวงวางพวงมาลาถวายราชสักการะ พระราชานุสาวรีย์สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชนก ณ โรงพยาบาลศิริราช
|
thailand-56585626
|
https://www.bbc.com/thai/thailand-56585626
|
รัฐประหารเมียนมา: 2 เดือนหลังทำลายประชาธิปไตย กับจุดยืนประเทศไทย
|
ชาวเมียนมาในไทยชุมนุมต่อต้านรัฐประหารหน้าสำนักงานสหประชาติในไทย ถ.ราชดำเนิน เมื่อ 7 มี.ค. บีบีซีไทยประมวลเหตุการณ์ในรอบ 2 เดือนนับจากรัฐประหารภายในเมียนมา ทว่าหลายเหตุการณ์ที่ตามมาหลังจากนั้นมีชื่อไทยเข้าไปเกี่ยวข้อง 24 ก.พ. "เขาขอมาพบ" หรือ "เชิญเขามา" รัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์ ถูกวิจารณ์ว่าให้การ "รับรองเผด็จการทหารเมียนมา" หลังผู้นำรัฐบาลไทยเปิดห้องรับรองภายในสนามบินทหาร พูดคุยกับนายวันนะ หม่อง ลวิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวง (รมว.) การต่างประเทศของเมียนมา การพบปะกันในครั้งนั้นเกิดขึ้นเมื่อ 24 ก.พ. ที่ท่าอากาศยานทหาร กองบิน 6 (บน. 6) โดยถือเป็นการเยือนต่างประเทศครั้งแรกของ รมว.ต่างประเทศ ผู้ได้รับการแต่งตั้งจากผู้นำรัฐประหาร พล.อ. ประยุทธ์ ชี้แจงว่า เป็นเรื่องที่ทางเมียนมาร์ขอเยี่ยมคารวะมา หลังจากที่เขาพบกับ รมว.ต่างประเทศของอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นเรื่องความสัมพันธ์ทางการต่างประเทศ "เมื่อเขาขอมาก็ต้องพบเขา แต่ไม่ได้หมายถึงว่าไปรับรองอะไรทั้งสิ้น ที่ผมคุยกับเขาก็เพื่อจะทราบพัฒนาการทางด้านการเมืองและสถานการณ์ในประเทศเมียนมา พร้อมแสดงความห่วงใยในนามของประเทศที่มีชายแดนติดกัน ประชาชนไปมาหาสู่กัน... " พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามผู้สื่อข่าว ผู้นำรัฐบาลไทยย้ำอีกครั้งว่า "บางเรื่องก็เป็นเรื่องที่ไม่เป็นทางการ เข้าใจไหม ถามทุกเรื่อง เป็นเรื่องของกระทรวงการต่างประเทศดำเนินการอยู่แล้ว เราเป็นมิตรประเทศก็ต้องรับฟังซึ่งกันและกัน... เราก็เป็นกำลังใจ เป็นประเทศหนึ่งในอาเซียนที่ต้องทำให้เกิดความร่วมมือ แล้วก็ส่งกำลังใจให้ทุกอย่างเป็นไปด้วยความเรียบร้อย แค่นั้นก็พอแล้วข่าว" ในดินแดนประเทศไทยนี้เองที่ รมว.ต่างประเทศเมียนมา มีโอกาสพบปะกับนางเร็ตโน มาร์ซูดี รมว.ต่างประเทศของอินโดนีเซีย โดยมีนายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.ต่างประเทศของไทย ร่วมด้วย รมว. ต่างประเทศ อินโดนีเซีย-ไทย-เมียนมา หารือกันใน กทม. เมื่อ 24 ก.พ. 2564 นายธานี แสงรัตน์ อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ อธิบายถึงการพบกัน 3 ฝ่ายว่า รมว.ต่างประเทศของ 2 ชาติมาเยือนไทยในวันเดียวกัน "ทางไทยจึงได้ประสานให้ทั้งสองได้พบกัน เป็นการพูดคุยในฐานะมิตรประเทศสมาชิกอาเซียน โดยที่ฝ่ายเมียนมามาเยือน ซึ่งเมียนมาเป็นเพื่อนบ้านและหนึ่งในสมาชิกครอบครัวอาเซียน และนายกรัฐมนตรีไทยก็มีความห่วงใยในสถานการณ์ จึงได้ให้ รมว.ต่างประเทศเมียนมาเยี่ยมคารวะ" อย่างไรก็ตามสำนักข่าวทางการของรัฐบาลเมียนมา MNA รายงานว่านายวันนะ หม่อง ลวิน เดินทางด้วยเที่ยวบินพิเศษจากกรุงเนปิดอว์ตั้งแต่ 07.00 น. เพื่อมาพบ พล.อ. ประยุทธ์ในกรุงเทพฯ "ตามคำเชิญของนายกรัฐมนตรี" และเดินทางกลับถึงเมืองของเมียนมาในเวลา 17.00 น. ของวันเดียวกัน ส่วนสถานีโทรทัศน์ของทางการเมียนมาก็เผยแพร่ภาพการพบกันระหว่างผู้นำไทยกับรัฐมนตรีต่างประเทศที่มาจากการรัฐประหาร แต่ไม่มีข่าวนี้ทางโทรทัศน์ไทย ทั้งที่การหารือมีขึ้นในกรุงเทพฯ อาเซียน "ไม่แทรกแซงกิจการในประเทศเพื่อนบ้าน" หลังจากนั้นหนึ่งสัปดาห์ สมาชิกสมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ได้จัดประชุม รมว.ต่างประเทศ นัดพิเศษผ่านระบบวิดิโอคอนฟีเรนซ์ เมื่อ 2 มี.ค. เพื่อหารือเกี่ยวกับวิกฤตการเมืองในเมียนมา โดยมีตัวแทน 10 ชาติอาเซียนเข้าร่วมครบถ้วย รวมถึงเมียนมาด้วย การประชุมนัดนี้เกิดขึ้นหลังกองกำลังฝ่ายความมั่นคงเมียนมาเข้าสลายการชุมนุมของฝ่ายผู้ประท้วงต่อต้านรัฐประหารเมื่อ 28 ก.พ. และทำให้ประชาชนเสียชีวิต 18 รายภายในวันเดียว บรูไนในฐานะประธานอาเซียน เสนอให้ รมว.รัฐมนตรีต่างประเทศทั้งหมดออกคำแถลงการณ์ร่วมกัน แต่สุดท้ายไม่สามารถตกลงกันได้ จึงลงเอยที่การออกแถลงการณ์ในนามประธานอาเซียนแทน "เราเป็นห่วงถึงสถานการณ์ภายในเมียนมา อยากเรียกร้องให้ทุกฝ่ายยับยั้งการใช้ความรุนแรง ต่างฝ่ายต่างผ่อนปรน และร่วมมือกันแก้ปัญหาอย่างสันติ ผ่านการเจรจาอย่างมีหลักการ" แถลงการณ์ของประธานอาเซียนระบุ เจ้าหน้าที่ทหารใช้แก๊สน้ำตาสายการชุมนุมของผู้ประท้วงต่อต้านกองทัพในนครย่างกุ้ง เมื่อ 28 ก.พ. ในระหว่างว่าประชุมมีสมาชิกอย่างน้อย 4 ประเทศ ได้แก่ ฟิลิปปินส์, สิงคโปร์, มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ได้ออกมาแสดงความไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหารภายในเมียนมา และให้ความเห็นกดดันรัฐบาลทหารเมียนมาให้ปล่อยตัวนางออง ซาน ซูจี อดีตที่ปรึกษาแห่งรัฐ นายทีโอโดโร ล็อกซิน จูเนียร์ รมว.ต่างประเทศของฟิลิปปินส์ กล่าวว่า หลักการของอาเซียนที่ว่า "ไม่แทรกแซงกิจการภายในของสมาชิก" ไม่สามารถใช้เป็น "ข้ออ้าง" หรือ "เงื่อนไข" ในการกระทำผิดกฎหมาย ผู้ชุมนุมในกรุงเนปิดอว์เรียกร้องให้ปล่อยตัวนางออง ซาน ซูจี ขณะที่ไทยไม่ได้แสดงจุดยืนใด ๆ ชัดเจน โดยนายดอนให้ความเห็นกับผู้สื่อข่าวว่า การออกมาแสดงท่าทีกดดันก็อาจจะใช้ได้ผลแค่ระดับหนึ่ง แต่ไม่ช่วยทำให้เดินไปถึงปลายทางเพื่อแก้ปัญหานี้ได้ เพราะปลายทางของเรื่องนี้คือการที่เมียนมากลับมาสู่ความสงบ ประชาชนได้รับประโยชน์จากความสงบตรงนั้น และจะนำไปสู่ความสงบและเสถียรภาพในภูมิภาคอาเซียน ต่อมาวันที่ 11 มี.ค. ไทยได้ออกแถลงการณ์ย้ำท่าทีตามประธานอาเซียน เรียกร้องให้มีการคลี่คลายสถานการณ์ การปล่อยตัวผู้ที่ถูกควบคุมตัว รวมทั้งของกระตุ้นให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องหาทางออกร่วมกันโดยสันติวิธี ล่าสุดวานนี้ (30 มี.ค.) นายดอนเปิดเผยว่า ได้ประสานไปยังบรูไนในฐานะประธานอาเซียนเรื่องการจัดประชุมอาเซียน โดยประเด็นหลักคือหาทางทำให้เกิดสันติสุขในเมียนมา สู่ประชาชนเมียนมา และให้อาเซียนกลับมาเป็นภูมิภาคที่สงบ 20 มี.ค. ข้าวสารปริศนา แค่ "ฝากซื้อของ" ต่อมาได้เกิด "ดรามาข้าวสารปริศนา" กว่า 700 กระสอบ พร้อมเสบียงอื่น ๆ ถูกนำมากองไว้ริมแม่น้ำสาละวิน ที่จุดผ่อนปรน ท่าเรือบ้านแม่สามแลบ ต.แม่สามแลบ อ.สบเมย จ.แม่ฮ่องสอน ชายแดนไทย-เมียนมา เมื่อ 20 มี.ค. ก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ไปต่าง ๆ นานา ท่ามกลางภาวะตึงเครียดของสถานการณ์การเมืองในเมียนมา โดยเฉพาะเมื่อกองกำลังสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง (เคเอ็นยู - KNU) ออกแถลงการณ์ประกาศไม่รับผิดชอบใด ๆ หากเสบียงอาหารทั้งหมดผ่านไปยังพื้นที่ของเคเอ็นยู ชาวบ้านที่หมู่บ้านสามแลบจึงร้องขอให้ทางการไทยรีบเข้าตรวจสอบ เพราะเกรงเป็นเสบียงที่จะส่งให้ทหารเมียนมา และจะก่อให้เกิดความขัดแย้งกับเคเอ็นยู ทหารกะเหรี่ยงเคเอ็นยู แพร่ภาพที่อ้างว่าการปิดล้อมพื้นที่ในเขตอิทธิพลของเคเอ็นยูในเมียนมาทำให้กองทัพเมียนมาต้องหันมาลำเลียงสินค้าผ่านทางไทยแทน ในระหว่างนายธนดล สถาวรเวทย์ ปลัดอำเภอสบเมย ลงพื้นที่ตรวจสอบที่บ้านแม่สามแลบเมื่อ 23 มี.ค. ไทยรัฐรายงานว่า มีผู้ประสานงานทางทหารเมียนมาที่ชื่อว่านายมิเต็ง ร่วมให้ข้อมูลกับประชาชนและสื่อมวลชนว่า พันโท เอ เม็น สั่น ผบ.พัน 341 จ.ผาปูน ของกองทัพเมียนมา แจ้งว่ากองข้าวและเสบียงชุดนี้เป็นของทหารเมียนมาที่ต้องการส่งไปยังฐานทหารแม่หระท่า ซึ่งอยู่ตรงข้ามบ้านแม่สามแลบ และส่งต่อไปอีกยัง 4 ฐานของทหารเมียนมาในรัฐกะเหรี่ยง เป็นการส่งเสบียงประจำปีในรอบ 6 เดือน โดยได้ส่งมาจากเมืองเมียวดี และเสียภาษีอย่างถูกต้อง ซึ่งนำเข้ามาทาง อ.แม่สอด จ.ตาก เพื่อขนมาออกทางจุดผ่อนปรนบ้านแม่สามแลบ อ.สบเมย แต่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของเคเอ็นยู บอกกับผู้สื่อข่าวพิเศษของบีบีซีไทยว่า การส่งเช่นนี้ เป็นการเปลี่ยนเส้นทาง เนื่องจากทหารเมียนมาไม่สามารถใช้พื้นที่จากจังหวัดผาปูน ในรัฐกะเหรี่ยง ลำเลียงไปยังพื้นที่ของทหารเมียนมาที่ประจำการอยู่ได้ หลังฝ่ายเคเอ็นยูได้ปิดเส้นทางไว้ทั้งหมด เพื่อป้องกันการเข้ามาจับกุมราษฎรกะเหรี่ยงที่มีกิจกรรมชุมนุมการต่อต้านการรัฐประหารอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามทั้งนายพลระดับสูงของไทยต่างออกมาปฏิเสธว่าข่าวสารปริศนาไม่ใช่การส่งเสบียงสนับสนันให้กองทัพเมียนมา แต่เป็นการค้าขายปกติ พล.ท. อภิเชษฐ์ ซื่อสัตย์ แม่ทัพภาคที่ 3 กล่าวว่า เป็นการประสานฝากซื้อข้าวสาร ของใช้ต่าง ๆ จากฝั่งไทย โดยประสานผ่านคณะกรรมการชายแดนระดับท้องถิ่น (TBC :Township Border Committee) และทำมา เช่นเดียวกับ พล.อ. ประยุทธ์ที่บอกว่า "เป็นการค้าขายปกติชายแดน คนอยู่ก็ต้องกินต้องอยู่ มันคนละส่วนกันไม่ใช่หรือ ทำไมจะต้องทำให้เกิดปัญหาเล่า เรื่องไม่เป็นเรื่อง ไปพันเรื่องการบริหารราชการแผ่นดินของเขา มันคนละเรื่องกันหมด" 27 มี.ค. ร่วมงานวันกองทัพเมียนมาใน "วันนองเลือด" ในวันที่กองทัพเมียนจัดพิธีสวนสนามแสดงแสนยานุภาพ เนื่องในวันกองทัพ 27 มี.ค. ไทยเป็น 1 ใน 8 ชาติที่ส่งผู้แทนเข้าร่วมงานทั้งช่วงเช้า และงานกาลาดินเนอร์ในช่วงค่ำ นิเคอิ เอเชีย รายงานว่า 7 ประเทศได้ส่งเจ้าหน้าที่ทหารเป็นตัวแทนเข้าร่วมงานวันกองทัพเมียนมา ได้แก่ จีน, อินเดีย, ปากีสถาน, บังกลาเทศ, เวียดนาม, ลาว และไทย และอีก 1 ประเทศคือรัสเซียส่งรัฐมนตรีช่วยว่ากากระทรวงกลาโหมเข้าร่วมงาน พลเอก อาวุโส มิน อ่อง หล่าย ในพิธีสวนสนามเนื่องในวันกองทัพเมียนมา เมื่อ 27 มี.ค. สวนทางกับท่าทีของ 12 ชาติมหาอำนาจที่ร่วมกันออกแถลงการณ์ประณามกองทัพเมียนมา "กองทัพที่มีความเป็นมืออาชีพ ย่อมต้องปฏิบัติตามมาตรฐานสากล และมีความรับรับผิดชอบในการปกป้อง ไม่ใช่ทำร้ายประชาชนที่พวกเขาปกป้องดูแลเสียเอง" แถลงการณ์รัฐมนตรีกลาโหม 12 ประเทศ เมื่อ 28 มี.ค. ระบุตอนหนึ่ง สำหรับ 12 ประเทศที่ร่วมลงชื่อ ประกอบด้วย ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, ออสเตรเลีย, นิวซีแลนด์, สหรัฐอเมริกา, สหราชอาณาจักร, แคนาดา, เดนมาร์ก, เยอรมนี, กรีซ, อิตาลี และเนเธอร์แลนด์ ในวันครบรอบ 76 ปีกองทัพเมียนมา มีประชาชนผู้ประท้วงต่อต้านรัฐประหารถูกกองกำลังฝ่ายความมั่นคงสังหารไปอย่างน้อย 114 ราย ตามการเปิดเผยของสมาคมช่วยเหลือนักโทษการเมือง (Assistance Association for Political Prisoners - AAPP) โดยถือเป็นจำนวนสูงสุดนับจากรัฐประหารเมื่อ 1 ก.พ. จนถูกขนานนามว่าเป็น "วันนองเลือด" นักวิชาการและนักกิจกรรมการเมืองในไทยตั้งคำถามต่อท่าทีของรัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่าเป็นส่วนหนึ่งของการให้ "ใบอนุญาตฆ่า" หรือไม่ ชาวเมียนมาร่ำไห้ หลังสูญเสียสมาชิกครอบครัวใน "วันนองเลือด" เมื่อ 27 มี.ค. ขณะที่ พล.อ. ประยุทธ์ตอบคำถามสื่อมวลชนอย่างอ้อมแอ้ม ถึงการส่งตัวแทนไปร่วมงานวันสถาปนากองทัพเมียนมา "มันเป็นช่องทางทางการทหารที่เราจำเป็นต้องติดตาม เราต้องหากลไกต่าง ๆ ที่จะสามารถติดตามในเรื่องพัฒนาการทางการเมืองในเมียนมาและความรุนแรงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น" นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหมกล่าวเมื่อ 29 มี.ค. และยังอธิบายด้วยว่าต้องเตรียมแก้ปัญหาผลกระทบในฐานะประเทศที่มีดินแดนติดกัน เพราะเมื่อมีการสู้รบก็ต้องมีการอพยพ เมื่อถูกถามต่อไปว่าหลายกรณีถูกเชื่อมโยงว่าไทยสนับสนุนทหารเมียนมา พล.อ. ประยุทธ์ตอบว่า รัฐบาลทราบดีและติดตามอยู่ทุกวัน กระทรวงการต่างประเทศได้รายงานมาโดยตลอด ฝ่ายความมั่นคงก็รายงานขึ้นมา "ไทยสนับสนุนทหารเมียนมาตรงไหน ผมไม่เข้าใจ คงไม่มีใครที่จะไปสนับสนุนให้มีการใช้ความรุนแรงกับประชาชน"พล.อ. ประยุทธ์กล่าว 29 มี.ค. รับ "ผู้ลี้ภัย" ไว้ชั่วคราว นอกจากสังหารผู้ประท้วงต่อต้านกองทัพเมียนมาในหลายเมือง ในวันที่ 28 มี.ค. กองทัพเมียนมายังส่งเครื่องบินรบยิงถล่มพื้นที่กองบัญชาการกองพลน้อยที่ 5 เคเอ็นยู โดยจุดที่ถูกถล่มชื่อเดโปโน (DePoNo) จ. ผาปูน ซึ่งศูนย์ราชการของฝ่ายเคเอ็นยู และมีบ้านเรือนประชาชนอาศัยอยู่ด้วย ทำให้ประชาชนกะเหรี่ยงเสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บอย่างน้อง 7 คน เจ้าหน้าที่เคเอ็นยูระบุว่า เป็นครั้งแรกในรอบกว่า 20 ปี ที่กองทัพเมียนมาส่งเครื่องบินโจมตีที่มั่นของเคเอ็นยู ผลจากการปฏิบัติการดังกล่าว ทำให้ชาวบ้านจากเมียนมาอพยพหนีภัยมายังฝั่งไทยใน อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน เมื่อช่วงบ่ายของ 29 มี.ค. โดยเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง จ.แม่ฮ่องสอน กล่าวกับบีบีซีไทยว่า ผู้อพยพประมาณ 2,000 กว่าคน ยังอยู่ในแนวตะเข็บชายแดน ต.แม่คง อยู่ระหว่าง อ.แม่สะเรียง กับ อ.สบเมย สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานอ้างข้อมูลนักเคลื่อนไหวด้านกิจการเมียนมา 2 กลุ่มว่า ทางการไทยได้ผลักดันชาวบ้านกว่า 2,000 คนที่หลบหนีการสู้รบระหว่างกองทัพเมียนมากับกองกำลังกะเหรี่ยงเข้ามาฝั่งไทยใน จ.แม่ฮ่องสอน กลับรัฐกะเหรี่ยงแล้ว และชี้ว่าเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายและไร้มนุษยธรรม ด้านโฆษกกระทรวงการต่างประเทศของไทยปฏิเสธว่าไม่เป็นความจริง ล่าสุดวานนี้ (30 มี.ค.) รัฐบาลไทยยืนยันจะดูแลตามหลักมนุษยธรรมชั่วคราว และต้องกลับประเทศเมื่อสถานการณ์ดีขึ้น พล.อ. ประยุทธ์กล่าวว่า ไม่อยากให้มีการอพยพเข้ามาในพื้นที่ของเรา ขณะเดียวกันเราก็ต้องดูแลในเรื่องของสิทธิมนุษยชนต่าง ๆ เหล่านี้ด้วย อันนี้ขอให้ระมัดระวังนิดนึง นายดอนชี้แจงว่า หากเดือดร้อนจะดูแลตามหลักมนุษยธรรม แต่หากเลยจุดนั้นแล้วก็ต้องกลับไป เพราะประเทศไทยไม่สามารถรับคนได้มากมาย มันเป็นเช่นนั้น เพราะทุกประเทศหรือประเทศใดที่มีปัญหาเรื่องผู้หนีภัยเข้ามาก็ต้องได้รับการดูแลในช่วงระยะหนึ่ง และต้องกลับบ้านเมื่อสถานการณ์ดีขึ้น
|
ตลอด 2 เดือนนับจากพลเอก อาวุโส มิน อ่อง หล่าย นำทีมก่อรัฐประหารเมื่อ 1 ก.พ. การเผชิญหน้าระหว่างประชาชนกับกองกำลังฝ่ายความมั่นคงยังเกิดขึ้นต่อเนื่อง โดยมีประชาชนไม่ต่ำกว่า 400 คนต้องเสียชีวิตระหว่างออกมาชุมนุมต่อต้านการยึดอำนาจครั้งล่าสุด
|
international-40311775
|
https://www.bbc.com/thai/international-40311775
|
ดาวเทียมจีนส่งข้อมูลด้วยควอนตัมได้ไกล 1,200 กม.
|
ดาวเทียมม่อจื๊อขึ้นสู่วงโคจรในอวกาศจากศูนย์ยิงปล่อยดาวเทียมทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีน ดาวเทียมม่อจื๊อถูกปล่อยขึ้นสู่วงโคจรเมื่อเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว เพื่อทดลองเรื่องการรับส่งข้อมูลด้วยควอนตัมผ่านดาวเทียม ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นวิธีการสื่อสารข้อมูลที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูงในอนาคต โดยใช้หลักการพัวพันเชิงควอนตัม (Quantum entanglement) ที่ระบุว่าคู่ของอนุภาคซึ่งมีความพัวพันกันจะมีปฏิกิริยาตอบสนองตามกันในทันทีที่เกิดความเปลี่ยนแปลงกับอนุภาคใดอนุภาคหนึ่ง ไม่ว่าทั้งสองจะอยู่ในตำแหน่งที่ห่างกันไปเท่าใดก็ตาม มีการตีพิมพ์รายละเอียดผลการทดลองล่าสุดในวารสาร Science โดยระบุว่า ดาวเทียมม่อจื๊อสามารถสร้างคู่อนุภาคโฟตอนหรืออนุภาคของแสงที่มีความพัวพันกันขึ้นมา และยิงส่งไปยังสถานีรับสัญญาณสองแห่งบนพื้นโลกที่ตั้งอยู่ห่างกัน 1,200 กิโลเมตรในประเทศจีนได้ โดยคู่อนุภาคโฟตอนนี้จะเป็นสื่อรับส่งข้อมูลระหว่างระยะทางดังกล่าวต่อไป โดยความพัวพันเชิงควอนตัมของอนุภาคทั้งสองจะไม่เปิดโอกาสให้มัลแวร์หรือนักเจาะล้วงข้อมูลเข้ามาแทรกแซงกระบวนการเข้ารหัสและถอดรหัสข้อมูลในระหว่างนั้นได้ ดาวเทียมยิงคู่อนุภาคโฟตอนไปยังสถานีรับสัญญาณที่ห่างกัน 1,200 กิโลเมตรบนพื้นโลก ก่อนหน้านี้มีความพยายามพัฒนาการรับส่งข้อมูลด้วยควอนตัมมาแล้วบนพื้นโลก แต่ต้องประสบปัญหาการส่งสัญญาณซึ่งมักไปได้ไม่เกิน 100 กิโลเมตร ทำให้การสร้างคู่อนุภาคโฟตอนด้วยดาวเทียมเป็นทางออกหนึ่งที่จะทำให้วิธีรับส่งข้อมูลด้วยควอนตัมทำได้ในระยะทางที่ไกลขึ้น ในขั้นต่อไปนักวิทยาศาสตร์จีนจะร่วมมือกับมหาวิทยาลัยเวียนนาในออสเตรีย เพื่อทดลองการรับส่งข้อมูลด้วยควอนตัมที่มีระยะทางไกลข้ามทวีป ซึ่งหากประสบความสำเร็จก็จะเป็นการปูทางสู่การวางเครือข่ายอินเทอร์เน็ตควอนตัมที่ปราศจากการเจาะล้วงข้อมูลได้ทั่วโลก
|
นักวิทยาศาสตร์ในโครงการทดลองควอนตัมระดับอวกาศ (QUESS) ของจีน ประสบความสำเร็จในการสร้างช่องทางรับส่งข้อมูลผ่านอนุภาคควอนตัมด้วยดาวเทียมม่อจื๊อ (Micius) ซึ่งล่าสุดสามารถสื่อสารข้อมูลด้วยวิธีนี้ได้เป็นระยะทางไกลถึง 1,200 กิโลเมตร โดยเข้ารหัสและถอดรหัสข้อมูลได้อย่างถูกต้องปลอดภัยไร้การรบกวนจากแฮกเกอร์
|
international-43017064
|
https://www.bbc.com/thai/international-43017064
|
"แบล็กแพนเทอร์" หนังซูเปอร์ฮีโรสวมบทนำโดยดาราผิวสีเรื่องแรกของมาร์เวล
|
แชดวิก บอสแมน คือดาราผิวสีที่สวมบทเป็น ราชาเสือดำ หรือ แบล็กแพนเทอร์ ผลงานการกำกับของ ไรอัน คูเกลอร์ นอกจากนี้ยังมีลูปิตา ยองโก ร่วมแสดงอีกด้วย "แบล็กแพนเทอร์" ปรากฏตัวครั้งแรกในภาพยนตร์เรื่อง "กัปตันอเมริกา: ศึกฮีโร่ระห่ำโลก" (Captain America: Civil War) เมื่อปี 2016 เป็นราชาของประเทศวากันดา ซึ่งเป็นประเทศที่สมมุติขึ้น และเป็นราชอาณาจักรที่ซ่อนตัวอยู่ในแอฟริกา มีเทคโนโลยีที่น่าเหลือเชื่อ เนื่องจากมีแหล่งสำรองจำนวนมหาศาลของโลหะมีค่าที่ใช้ประโยชน์ได้มากที่สุดในโลก ขณะที่ในอังกฤษและในหลายแห่งทั่วโลกได้มีผู้ร่วมกันระดมเงินเพื่อช่วยให้คนมีโอกาสเข้าชมภาพยนตร์เรื่องนี้เพิ่มมากขึ้น โดยโรงเรียนบางแห่งในสหรัฐฯ จะจัดกิจกรรมพาเด็กนักเรียนไปชมภาพยนตร์เรื่องนี้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย บรรดาผู้ชื่นชอบภาพยนตร์หวังว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้จะช่วยทำให้สัดส่วนจำนวนนักแสดงและผู้สร้างภาพยนตร์ผิวสีมีความสมดุลมากขึ้น
|
"แบล็กแพนเทอร์" (Black Panther) ภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโรเรื่องแรกของมาร์เวล ที่นำนักแสดงผิวสีมารับบทซูเปอร์ฮีโร ได้สร้างกระแสในสื่อสังคมออนไลน์อย่างมาก จนบรรดาแฟนภาพยนตร์ได้ติดแฮชแท็ก #WhatBlackPantherMeansToMe เพื่อแสดงความเห็นว่า เหตุใดพวกเขาจึงคิดว่าการฉายภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นความสำเร็จ
|
thailand-47534221
|
https://www.bbc.com/thai/thailand-47534221
|
เลือกตั้ง 2562: คนรุ่นใหม่มาเลเซียทำอย่างไรจึงโค่นอำนาจเก่า
|
คุยกับ ไซเอ็ด ซาดิก รมว.ที่มีอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์มาเลเซียว่า พลังคนรุ่นใหม่เปลี่ยนประเทศได้อย่างไร เหตุการณ์ "เยาวชนคนคลื่นยักษ์" หรือ Youth Tsunami ที่โค่นอำนาจเก่าในมาเลเซีย เมื่อการเลือกตั้งในเดือน พ.ค. ปีที่ผ่านมา ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งประวัติศาสตร์การเมืองกว่า 60 ปี ของประเทศ เมื่อพรรคแนวร่วมฝ่ายค้านกำชัยชนะ และปิดฉากการครองอำนาจของพรรคอัมโนได้สำเร็จ ประสบการณ์ของมาเลเซียสามารถนำมาใช้กับการเมืองไทยได้หรือไม่ ฟังความเห็นของอดีตยุวชนนักกิจกรรมผู้นำการเคลื่อนไหวทางการเมืองในหมู่คนหนุ่มสาว จนก้าวขึ้นมาเป็นรัฐมนตรีที่อายุน้อยที่สุดในมาเลเซีย ว่า 24 มี.ค. 2562 พลังคนรุ่นใหม่ของไทย จะมีโอกาสเปลี่ยนประเทศได้หรือไม่ คนหนุ่มสาว คือ รากฐานความสำเร็จของประชาธิปไตย "เยาวชนไม่ได้เป็นแค่ผู้นำแห่งอนาคต แต่พวกเขายังเป็นผู้นำของปัจจุบัน ดังนั้นการวัดความสำเร็จของประเทศ ไม่ต้องมองไปไกล แค่มองมาที่ศักยภาพของคนรุ่นใหม่ของวันนี้" ไซเอ็ด ซาดิก ไซเอ็ด อับดุล ราห์มาน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเยาวชนและกีฬามาเลเซียบอกกับบีบีซีไทย ที่ห้องทำงานของเขาในเมืองปุตราจายา ภายในห้องทำงานขนาดใหญ่ตกแต่งอย่างหรูหราสมเกียรติตำแหน่งร้ฐมนตรีวัย 26 ปี 4 เดือน ผู้เข้ารับตำแหน่งเมื่อเดือน ก.ค. ปีที่แล้ว ดูแตกต่างจากห้องทำงานของรัฐมนตรีทั่วไป สิ่งประดับรายล้อมโต๊ะทำงานของรัฐมนตรี ประกอบด้วยโมเดลหุ่นยนต์ เครื่องบิน ภาพวาดในแบบซุเปอร์ฮีโร่ รวมทั้งภาพวาดของเขากับแม่ผู้เป็นแรงบันดาลใจและลมใต้ปีกในมาจนถึงวันนี้ ในการให้สัมภาษณ์พิเศษกับบีบีซีไทย ไซเอ็ด ซาดิก รัฐมนตรีที่มีอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์มาเลเซียบอกว่าสังคมที่ "ใส่ใจลงทุนกับคนรุ่นใหม่อย่างเพียงพอ และ ชักชวนพวกเขาให้เข้ามาสร้างชาติด้วยกัน" หนทางความสำเร็จของชาติย่อมอยู่ไม่ไกล "หากคุณละเลยพวกเขา สบประมาทพวกเขา คุณกำลังทำร้ายตัวเองทางอ้อม เพราะคุณกำลังเข่นฆ่าอนาคตของชาติ" ผมเชื่อมั่นว่าการลงทุนกับคนรุ่นใหม่ คือการลงทุนกับอนาคต นิยามของความสำเร็จของประเทศใด ๆ รวมถึงประเทศไทย ก็มาจากการมองเห็นศักยภาพของคนหนุ่มคนสาวในวันนี้" ไซเอ็ด ซาดิก กล่าว ไซเอ็ด ซาดิกกล่าวย้ำว่าคนรุ่นใหม่คือ "ฐานรากสำคัญ" ที่จะทำให้ประชาธิปไตยประสบความสำเร็จ แม้พวกเขาอาจติดอยู่กับอุดมคติ ไม่อดทนต่อการรอคอย แต่ก็เพราะพวกเขาต้องการที่จะเห็นความก้าวหน้า ต้องการเห็นอนาคตที่มั่นคง "ผมเชื่อมั่นว่าการลงทุนกับคนรุ่นใหม่ คือการลงทุนกับอนาคต นิยามของความสำเร็จของประเทศใด ๆ รวมถึงประเทศไทย ล้วนมาจากการมองเห็นศักยภาพของคนหนุ่มคนสาวในวันนี้" หน้าตา หรือ นโยบาย ที่คนรุ่นใหม่เลือกกัน ไซเอ็ด ซาดิก เป็นที่รู้จักกันดีทั้งในมาเลเซียและต่างประเทศ อาจจะเพราะรูปร่างหน้าตาที่โดดเด่น วาทศิลป์ที่การันตีด้วยรางวัลโต้วาทีระดับเอเชียหลายสมัย และสติปัญญาเฉียบแหลม เขาเคยได้ทุนเรียนต่อปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด แต่ตัดสินใจทิ้งทุนดังกล่าว เพื่อสานต่ออีกความฝันที่ต้องการเป็นนักการเมือง ไซเอ็ด ซาดิก รัฐมนตรีที่มีอายุน้อยที่สุดของมาเลเซียและเป็นหัวหน้าปีกยุวชนของพรรคพรรคสหประชาชนมาเลย์ เมื่อถามว่า รูปลักษณ์หน้าตามีผลต่อการตัดสินใจของผู้เลือกหรือไม่ นักการเมืองรายนี้ตอบมาอย่างสั้น ๆ ว่า "นโยบาย คือ กุญแจสำคัญ หาใช่รูปลักษณ์ภายนอกที่ไม่จีรัง" และเสริมว่าตลอดระยะเวลาในการหาเสียง เขาเองใช้เวลาทุกวันพุธในการอธิบายนโยบายด้านต่าง ๆ เช่น ที่พักอาศัยราคาถูก เงินกู้ยืมทางการศึกษา และนโยบายที่สำคัญ ๆ กับ ดร.มหาเธร์ โมฮัมหมัด ซึ่งในขณะนั้นเป็นประธานพรรคแนวร่วมฝ่ายค้าน นอกจากนี้เขายังอธิบายเพิ่มเติมว่า หากสามารถพิสูจน์ได้ว่าเจตนาและความมุ่งมั่นที่จะรับใช้ประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ในมาเลเซีย เพื่อต่อสู้กับการทุจริต การเล่นพรรคเล่นพวก และการใช้อำนาจโดยมิชอบ ด้วยเจตนาบริสุทธิ์ หากจะมองย้อนมาที่ไทยซึ่งกำลังจะมีการเลือกตั้งเขากล่าวเพิ่มเติมว่า "สิ่งเหล่านี้ก็มีความหมายเช่นกันในสังคมไทย" รัฐยิ่งมากเล่ห์ ยิ่งจุดชนวนเร่งสู่การเปลี่ยนแปลง ก่อนที่จะได้มาซึ่งชัยชนะในแบบ "พลิกฟ้า หงายแผ่นดิน" ตามคำนิยามของศาสตราจารย์พิเศษ ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ที่ให้สัมภาษณ์บีบีซีไทยเกี่ยวกับ "มาเลเซียน สึนามิ" เมื่อวันที่ 10 พ.ค. ที่ผ่านมานั้น การต่อสู้ของทั้งนักการเมืองคนรุ่นใหม่และผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่ใช่เรื่องง่าย ในขณะนั้นสำนักข่าวต่างประเทศหลายสำนักต่างรายงานถึงกลวิธีต่าง ๆ ของกลุ่มพรรคแนวร่วมรัฐบาลขณะนั้น บาริซาน เนชั่นแนล (Barisan Nasional) ที่ถูกนำมาใช้เพื่อเป็นประโยชน์ต่อกลุ่มของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นการแบ่งเขตเลือกตั้งแบบเอาเปรียบ การประกาศกฎการเลือกตั้งเพิ่มเติม หรือการเพิกถอนสิทธิผู้ลงสมัครเลือกตั้ง ซึ่งส่งผลทำให้ผู้มีสิทธิไม่พอใจการกระทำของรัฐบาล การที่ ดร.มหาเธร์ตัดสินใจจัดตั้งพรรคการเมืองใหม่ขึ้นในปี 2013 ถือเป็นความหวังของคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อแต่งตั้ง ไซเอ็ด ซาดิก ในวัย 24 ปี เป็นผู้นำปีกเยาวชนพรรคสหประชาชนมาเลย์ เลขาธิการพรรคฯ กล่าว "ยิ่งใกล้วันเลือกตั้ง ยิ่งมีกรณีการละเมิดสิทธิมนุษยชน มีกฎระเบียบเข้มงวดมากขึ้น มีการใช้กลวิธีเอาเปรียบมากขึ้น และในช่วงสัปดาห์สุดท้ายแนวร่วมพรรคฝ่ายค้าน 'ปากาตัน ฮาราปัน' (Pakatan Harapan - PH) หรือ 'แนวร่วมแห่งความหวัง' นำโดย มหาเธร์ โมฮัมหมัด ถูกแบนเป็นการชั่วคราว ซึ่งทำให้ไม่สามารถใช้โลโก้พรรคในการหาเสียงได้" ไซเอ็ด ซาดิกเล่าให้ฟัง ชาวมาเลเซียต่อคิวยาวเพื่อร่วมออกเสียงเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ 14 เมื่อวันที่ 9 พ.ค. ปีที่แล้ว นอกจากนี้เขายังอธิบายเพิ่มเติมว่า การประกาศวันเลือกตั้งในวันพุธ กลางสัปดาห์ ก็ยังสร้างความยากลำบากให้กับกลุ่มมีสิทธิเลือกตั้งรุ่นใหม่อีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้นผู้มีสิทธิลงคะแนนต่างแดนก็ประสบปัญหาไม่น้อยเช่นกันเพราะบางส่วนไม่สามารถไปลงคะแนนที่สถานทูตเพราะการส่งใบลงคะแนนล่าช้า ในขณะที่พวกเขาจะต้องจัดส่งบัตรลงคะแนนมายังคณะกรรมการการเลือกตั้งภายในวันเลือกตั้งทั่วไปเท่านั้น เมื่อปี 2018 ในการเลือกตั้งมาเลเซีย กลุ่มผู้มีสิทธิเลือกตั้งในวัยหนุ่มสาวถือเป็นปัจจัยสำคัญในเชิงจำนวน "มีความพยายามมากมายจากรัฐบาลในอดีต อย่างไรก็ตามความพยายามเหล่านั้นแทนที่จะเป็นผลดีต่อรัฐบาล แต่กลับส่งผลในทางตรงกันข้าม เพราะผู้มีสิทธิเลือกตั้งในมาเลเซียฉลาดพอที่จะรู้ว่า กลวิธีต่าง ๆ เหล่านั้นมีขึ้นเพื่อรักษาผลประโยชน์ของกลุ่มคนบางส่วน ไม่ได้รับใช้ประโยชน์ของชาวมาเลเซียทั้งหมด" เขากล่าวและว่า พวกเขาก็ไม่พอใจ จึงทำให้ผลการเลือกตั้งกลายเป็นการสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับประเทศ "ผมมีโอกาสได้เดินทางมาเยือนไทยหลายครั้ง คนที่นั่นน่าทึ่งและยอดเยี่ยม และคนรุ่นใหม่ก็ฉลาด ในบริบทเช่นนี้ของไทย หากว่ามีการใช้ยุทธวิธีในลักษณะเดียวกัน ผมคิดว่าผลลัพธ์ที่ออกมาก็ไม่ต่างกัน" คนหนุ่มสาวสิ้นหวังกับการเมืองระบบเก่าหรือไม่ ประเด็นหนึ่งที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลง คือ ความศรัทธาต่อระบบการเมืองแบบเดิมเสื่อมสลายลง อาเหม็ด เรดซวน โมฮัมเหม็ด ซาฟี เลขาธิการปีกเยาวชนของพรรคสหประชาชนมาเลย์เล่าให้บีบีซีไทยฟังว่า เขาเคยเป็นสมาชิกพรรคอัมโนมาแล้วตั้งแต่ปี 2012 หลังจากจบการศึกษาจากสหราชอาณาจักร เพราะมีความสนใจการเมืองเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เรดซวนเคยเป็นสมาชิกพรรคอัมโนมาแล้วตั้งแต่ปี 2012 แต่ต้องล้มเลิกความตั้งใจลงเพราะถูกกีดกันจากกลุ่มคนที่มีเส้นสาย ทว่า การเข้าสู่สถานภาพสมาชิกของพรรคเก่าแก่อายุกว่า 61 ปี ทำให้เขาในฐานะคนรุ่นใหม่กลับประสบปัญหาหลายอย่าง "คนรุ่นใหม่อย่างผม ไม่ค่อยได้รับพื้นที่ หรือ โอกาสที่จะเข้าไปมีส่วนร่วมมากนั้น ไม่ว่าจะเป็นการเสนอความคิดเห็นหรือการมีส่วนร่วมอื่น ๆ ผมไม่มีปัญหาหากว่าพวกเขาต้องการให้เรารายงานหรือปฏิบัติตามขั้นตอนต่าง ๆ ภายในพรรค แต่ปัญหาที่เจอเสมอ คือ การถูกปิดกั้น จากกลุ่มที่มีเส้นสายของพวกเขาเอง" เรดซวนกล่าว นายนาจิบ ราซัค อดีตนายกรัฐมนตรีของมาเลเซีย พัวพันกับข้อกล่าวหาเกี่ยวกับการคอร์รัปชันมาอย่างต่อเนื่อง ได้ถูกกล่าวหาว่ายักยอกเงินจำนวนราว 700 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 2.3 หมื่นล้านบาท) จากกองทุนเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ หรือ 1MDB "ผมเป็นสมาชิกแล้ว แต่ไม่เคยได้รับจดหมายเชิญร่วมกิจกรรม หรือการประชุมอย่างไรเลย จึงทำให้ผมเสียความรู้สึกและตัดสินใจกลับไปทำงานประจำแทน" อย่างไรก็ตาม ด้วยความชื่นชอบการเมืองและยังติดตามความเคลื่อนไหวการเมืองอยู่ตลอด และเขาพบว่า ดร.มหาเธร์ตัดสินใจจัดตั้งพรรคการเมืองใหม่ขึ้นในปี 2013 เพื่อเป็นความหวังของคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อแต่งตั้ง ไซเอ็ด ซาดิก ในวัย 24 ปี เป็นผู้นำปีกเยาวชนพรรคสหประชาชนมาเลย์ ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดี "ผมเห็นสัญญาณแห่งความเชื่อมั่น ต่อเสียงและความคิดจากคนรุ่นใหม่เพื่อนำไปสานต่อ พร้อมทั้งการเปิดโอกาสให้พวกเขาได้เข้ามามีส่วนช่วย คีย์เวิร์ด ของที่นี่คือ ความหวัง" เขาอธิบาย อะไรคือปัจจัยสู่การเปลี่ยนแปลง เมื่อย้อนหลังกลับไปพิจารณาช่วงก่อนการเลือกตั้งมาเลเซียเมื่อปีที่แล้ว สตีเวน กาน บรรณาธิการใหญ่และผู้ร่วมก่อตั้งเว็บไซต์มาเลเซียกินี บอกกับบีบีซีไทยว่า ในปี 2018 ถือเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมโดยมีองค์ประกอบสำคัญ 3 ประการที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ คือ บรรณาธิการเว็บไซต์ มาเลเซียกินี บอกว่า ที่ผ่านมาคนรุ่นใหม่ในมาเลเซียบางส่วนยังไม่มีความกระตือรือร้นในเรื่องการเมือง อาจจะเนื่องจากเพิ่มจบการศึกษาระดับมัธยมศึกษา และที่ผ่านมาสถาบันการศึกษายังมีระเบียบข้อบังคับหลายอย่างที่ทำให้นักศึกษาไม่สามารถแสดงออกทางความคิดเห็น หรือได้รับฟังเสียงที่แตกต่างได้ ส่งที่สะท้อนให้เห็นถึงสถานการณ์เชิงบวกภายหลังการมีรัฐบาลชุดใหม่ ก็คือ เขาเริ่มเห็นสัญญาณบวกหลายเรื่องที่กำลังเกิดขึ้น เช่น การเปิดกว้างรับฟังความคิดเห็นจากกลุ่มต่าง ๆ รวมทั้งการเริ่มกระบวนการปฏิรูปสถาบันต่าง ๆ อย่างจริงจัง เช่น การปฏิรูประบบศาลยุติธรรม กองกำลังตำรวจ ระบบการเลือกตั้ง ปฏิรูปสื่อมวลชน เป็นต้น มาฟังความคิดเห็นของชาวมาเลเซีย สื่อมวลชนรายนี้ยังระบุว่า สิ่งที่เห็นได้ชัดคือ ความเปลี่ยนแปลงในสถาบันการศึกษา เช่น โรงเรียน หรือ มหาวิทยาลัย และเขาก็พยายามให้เด็กมีส่วนร่วมในการเมือง ในขณะเดียวกัน รัฐบาลชุดปัจจุบันยังมีความพยายามการลดอายุผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงจาก 21 ปีเป็น 18 ปี ซึ่งนั้นความว่า พวกเขาต้องเปลี่ยนแปลงหลักสูตรให้เด็กวัยรุ่นเข้าใจเรื่องการเมืองการปกครองมากขึ้น ยังคงเป็นข้อถกเถียงกันในสังคมมาเลเซียเกี่ยวกับเรื่องการลดอายุผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งลงจาก 21 ปี เป็น 18 ปีว่าเหมาะสมหรือไม่ การเห็นว่า ที่ผ่านมาคนรุ่นใหม่ในมาเลเซียบางส่วนยังไม่มีความกระตือรือร้นในเรื่องการเมือง อาจจะเนื่องจากเพิ่มจบการศึกษาระดับมัธยมศึกษา และที่ผ่านมาสถาบันการศึกษายังมีระเบียบข้อบังคับหลายอย่างที่ทำให้นักศึกษาไม่สามารถแสดงออกทางความคิดเห็น หรือได้รับฟังเสียงที่แตกต่างได้ มองบทเรียนจากมาเลเซีย ก่อนคนไทยเลือกตั้ง ปรางค์ทิพย์ ดาวเรือง นักวิจัยจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และผู้เชี่ยวชาญการเมืองมาเลเซีย บอกกับบีบีซีไทยว่า หากพิจารณาตามบริบทมาเลเซียตามโครงสร้างทางการเมือง ตั้งแต่ก่อตั้งประเทศ พรรคการเมืองทุกพรรค ล้วนมีปีกยุวชน รวมทั้งพรรคใหม่ที่ ดร. มหาเธร์ เป็นผู้ก่อตั้ง นอกจากนี้ นับตั้งแต่ปี 1998 เกิดขบวนการปฏิรูปการเมือง (Reformasi movement) ที่นำโดยคนหนุ่มสาวจากภาคประชาสังคม "จากวันนั้นเป็นต้นมา การสั่งสมเรื่องการรณรงค์ปฏิรูปทางการเมืองได้ส่งผล หมายถึงหนุ่มสาวในมหาวิทยาลัย ชนชั้นกลาง ที่มีจำนวนมาก กลุ่มนี้ก็มีใจกว้าง ความใฝ่ฝันถึงสังคมแบบใหม่ที่ไม่มีปัญหาแบบเก่า เช่น แบบการแบ่งแยกทางเชื้อชาติ ปัญหาที่อิทธิพลทางศาสนาปะปนกัน" ปรางค์ทิพย์อธิบาย กลุ่มเสื้อเหลืองเบอร์เซ่ ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่มีการเรียกร้องการปฏิรูปการเมืองมาอย่างต่อเนื่องจนเห็นผลในการเลือกตั้งเมื่อปีที่แล้ว นักวิชาการรายนี้ซึ่งอยู่ระหว่างการศึกษาการเลือกตั้งในอินโดนีเซียกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า การเลือกตั้งทุกระดับในอินโดนีเซียในวันที่ 17 เม.ย. นี้ ก็มีพรรคการเมืองใหม่ที่ประกาศว่าจะไม่รับผู้สมัครอายุสูงกว่า 45 ปี แต่จะเน้นอายุต่ำกว่านั้น นี่เริ่มจะเป็นกระแสของคนหนุ่มสาว นอกจากจะเข้ามาร่วมออกเสียงแล้ว ยังเข้ามาอยู่ในการเมืองด้วยการเข้ามาลงสมัครรับเลือกตั้งด้วย "ทั้งสองประเทศนี้คนรุ่นใหม่เป็นที่ยอมรับแล้ว ไม่ใช่คนรุ่นเก่าเพียงอย่างเดียว" เมื่อถามว่าจะเป็นบทเรียนต่อประเทศไทยอย่างไรนั้น นักวิชาการรายนี้ระบุว่า หากพิจารณาโครงสร้างพรรคการเมืองของไทยนั้นไม่ได้มีปีกยุวชน เหมือนกับใน 2 ประเทศ เพราะฉะนั้นคนรุ่นใหม่ก็เลยถูกมองว่าเป็นผู้ออกเสียงอย่างเดียว เพราะว่ายังไม่มีโครงสร้างรองรับคนรุ่นใหม่อย่างไม่เป็นระบบมากนัก "คงต้องยอมรับแล้วว่า เสียงของคนรุ่นใหม่จำเป็นจะต้องรับฟัง" ถึงเวลาปฏิรูปการเมืองทั้งระบบและแสดงพลังคนรุ่นใหม่? อย่างไรก็ตาม ปรางทิพย์กล่าวว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดในเรื่องการเรียนรู้จากทั้งมาเลเซียและอินโดนีเซียคือ แนวความคิดเรื่องการปฏิรูปการเมืองอย่างเป็นระบบ เพื่อการพัฒนาของประชาธิปไตยอย่างยั่งยืน เช่น ในอินโดนีเซียมีการปฏิรูปการเมืองด้วยการกระจายอำนาจ นั่นหมายถึงการให้มีการเลือกตั้งทุกระดับ มีแผนปฏิรูปกองทัพ 20 ปี มีอุดมการณ์รองรับเพื่อเลิกการมีบทบาททางการเมืองของทหาร หันไปให้ความสำคัญกับการเป็นทหารมืออาชีพ "ประชาธิปไตยที่แท้จริงมาจากการปฏิรูปการเมือง ไม่ได้มาจากว่าใครเป็นผู้ชนะการเลือกตั้ง และจะเป็นประโยชน์มากถ้าพรรคการเมืองต่าง ๆ ถ้าจะมองการปฏิรูปการเมืองเป็นวาระสำคัญ และคนรุ่นใหม่ควรที่จะมีการคุยกันเรื่องนี้ว่าประเทศเราควรที่จะปฏิรูปไปในทิศทางไหน" ด้าน อูลยา อาคามาห์ บิน ฮุซามุดิน หัวหน้าฝ่ายสารนิเทศของปีกยุวชนพรรคสหประชาชนมาเลย์ เสนอแนะเพิ่มเติมต่อสถานการณ์ในไทยว่า นี่คือเวลาที่จะร่วมพลังกันเพื่อแสดงพลังของคนรุ่นใหม่ ในฐานะที่เป็นเจ้าของประเทศแม้ว่าจะเป็นเพียงภายในเวลา 30- 40 ปีเท่านั้น แต่นี้คือเวลาที่เราจะต้องเข้าใจว่ามีความรับผิดชอบและมีบทบาทหน้าที่อันยิ่งใหญ่ เพื่อที่จะทำให้ประเทศไทย มาเลเซีย หรือที่ใด ๆ กลับคือสู่สิ่งที่ควรจะเป็น "หากคุณรู้สึกแย่กับการบริหารประเทศโดยผู้นำที่ฉัอราษฏร์บังหลวงหรือคอร์รัปชัน คุณต้องไม่ปล่อยให้พวกเขากลับมาบริหารประเทศอีก นี่คือเวลาของพวกเราที่จะร่วมใจ จับมือ เสียสละทุกอย่างเพื่อประโยชน์ในอนาคตของประเทศ" อูลยา อาคามาห์ กล่าว "หากคุณรู้สึกแย่กับการบริหารประเทศโดยผู้นำที่ฉัอราษฏร์บังหลวงหรือคอร์รัปชัน คุณต้องไม่ปล่อยให้พวกเขากลับมาบริหารประเทศอีก นี่คือเวลาของพวกเราที่จะร่วมใจ จับมือ เสียสละทุกอย่างเพื่อประโยชน์ในอนาคตของประเทศ" อูลยา อาคามาห์ กล่าว ปัจจุบันอูลยา อาคามาห์ ดำรงตำแหน่งเลขานุการส่วนตัวของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งกำลังขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาเพื่อเปิดเสรีภาพทางวิชาการและการแสดงออกทางการเมืองของนักศึกษา โดยล่าสุดเพิ่งมีการแก้ไขบทบัญญัติใน พ.ร.บ. มหาวิทยาลัยและวิทยาลัยเพื่อให้นักศึกษามีเสรีภาพในการแสดงออกทางการเมืองมากขึ้น กรุณาอัพเกรดบราวเซอร์ของคุณ คำศัพท์น่ารู้ก่อนเข้าคูหา การเลือกตั้งปี 2562 เป็นการเลือกตั้งครั้งแรกในรอบ 8 ปีนับจากปี 2554 โดยถือเป็นการเลือกตั้งครั้งแรกที่จัดขึ้นภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 ด้วยระบบเลือกตั้งแบบใหม่ ทำให้เกิดคำศัพท์ใหม่ ๆ ขึ้นมาหลายคำ บีบีซีไทยรวบรวมคำศัพท์การเมืองน่ารู้มาไว้ ณ ที่นี้ เพื่อเป็นคู่มือของผู้อ่านก่อนเข้าคูหาเลือกตั้ง คุณผู้อ่านสามารถติดตามความเคลื่อนไหว สัมภาษณ์พิเศษ บทวิเคราะห์ พร้อมทั้งทำความรู้จักกับ การเลือกตั้ง 2562 โดยทีมงานบีบีซีไทยได้ที่เว็บไซต์ www.bbc.com/thai/election2019 พร้อมทั้งสื่อสังคมออนไลน์บีบีซีไทยผ่านทาง เฟซบุ๊ก, อินสตาแกรม และ ยูทิวบ์ รวมทั้ง #ThaiElection2019 หรือ #เลือกตั้ง2562
|
อีกไม่กี่วัน การเลือกตั้งทั่วไปครั้งแรกในรอบ 8 ปีก็จะเริ่มขึ้นในประเทศไทย ท่ามกลางความคาดหวังว่ากลุ่มผู้มีสิทธิเลือกตั้งหน้าใหม่อายุ 18-26 ปี จำนวนกว่า 7.3 ล้านคนจะออกมาใช้สิทธิอย่างล้นหลามเพื่อกำหนดชะตากรรมของพวกเขาและอนาคตของประเทศได้หรือไม่
|
52512407
|
https://www.bbc.com/thai/52512407
|
ไฟใต้ : นักวิชาการชี้ บีอาร์เอ็น-รัฐไทย ทำสงครามจิตวิทยาในเดือนรอมฎอน ท่ามกลางวิกฤตโควิด-19
|
ร่างของ 2 จาก 3 บุคคลที่ถูกเจ้าหน้าที่วิสามัญเมื่อ 30 เม.ย. ถูกนำมาฝังไว้ในสถานที่แห่งนี้ ขบวนการแนวร่วมปฏิวัติแห่งชาติ หรือบีอาร์เอ็น (Barisan Revolusi Nasional - BRN) ออกแถลงการณ์ประณามปฏิบัติการของกองทัพไทยในช่วงวิกฤตโควิด-19 เมื่อ 1 พ.ค. โดยระบุตอนหนึ่งว่า ปฏิบัติการเมื่อ 30 เม.ย. ที่เกิดขึ้นที่บ้านปะกาลือสง อ.หนองจิก จ.ปัตตานี ได้นำไปสู่การสูญเสียชีวิตของ 3 นักรบบีอาร์เอ็น โดยที่ปฏิบัติการนี้เริ่มต้นโดยกองกำลังทหารไทย ทั้งที่มีวิธีการอื่น ๆ เพื่อควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยเหล่านี้ตามหมายจับ "บีอาร์เอ็นขอประณามรัฐไทยที่ไม่ตระหนักถึงความยากลำบากที่ประชาชนชาวปาตานีกำลังเผชิญอยู่ในระหว่างการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 นี่แสดงให้เห็นว่ารัฐไทยไม่ใส่ใจต่อความต้องการด้านมนุษยธรรมของประชาชนในพื้นที่" แถลงการณ์บีอาร์เอ็นระบุ บีอาร์เอ็นยังปฏิเสธข้อกล่าวหาที่ว่าบ้านจุดเกิดเหตุถูกใช้สำหรับการวางแผนโจมตีเจ้าหน้าที่รัฐ โดยอ้างว่าเป็นข้อกล่าวหาที่ไม่มีมูลความจริง และยังเรียกร้องให้รัฐไทยให้ความสำคัญกับการป้องกันโควิด-19 มากกว่าการสู้รบ บีอาร์เอ็นให้กองกำลังพร้อมรับมือสถานการณ์ ก่อนหน้านี้ บีอาร์เอ็นได้ออกแถลงการณ์ยุติกิจกรรมความเคลื่อนไหวทั้งหมดของกลุ่มลงชั่วคราว เพื่อเปิดทางให้ทุกภาคส่วนเข้าถึงความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมในช่วงที่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยคำประกาศนี้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 3 เม.ย. และจะคงอยู่ตราบที่บีอาร์เอ็นไม่ถูกโจมตีโดยเจ้าหน้าที่รัฐไทย อย่างไรก็ตาม "ศัตรูที่คุกคามความสงบสุขของประชาชนชาวปาตานี" ไม่เคารพคำประกาศดังกล่าว และเปิดปฏิบัติการต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น การตรวจค้นบ้าน, การควบคุมตัวโดยพลการ, การบังคับเก็บตัวอย่างรหัสพันธุกรรม (ดีเอ็นเอ) รวมถึงการยั่วยุสมาชิกบีอาร์เอ็น แต่นักรบบีอาร์เอ็นทั้งหลายปฏิเสธที่จะเปิดปฏิบัติการทางการทหารรอบใหม่เพื่อเคารพต่อคำประกาศของขบวนการ พล.อ.วัลลภ รักเสนาะ หัวหน้าคณะไทย (ซ้าย) จับมือกับ ตัน สรี อับดุล ราฮิม บิน โมฮัมหมัด นูร์ (กลาง) ผู้อำนวยความสะดวกจากมาเลเซีย และ นายอนัส อับดุลเราะห์มาน เป็นหัวหน้าคณะบีอาร์เอ็น (ขวา) ในช่วงท้ายของแถลงการณ์บีอาร์เอ็นยังระบุด้วยว่า "พวกเราหวังว่ากองกำลังบีอาร์เอ็นจะเตรียมพร้อมเพื่อรับมือสถานการณ์ และเฝ้าระวังการยั่วยุและปฏิบัติการรุนแรงโดยกองกำลังของฝ่ายไทย ในขณะที่พวกเราสนับสนุนประชาชนปาตานีที่กำลังรับมือกับโรคระบาดโควิด-19" ก่อนแถลงการณ์ฉบับภาษาอังกฤษจะถูกเผยแพร่ออกมา บีอาร์เอ็นได้ออกคลิปภาษามลายูภายใต้ชื่อ "แถลงการณ์เรื่องภารกิจด้านมนุษยธรรมต้องมาก่อน" แถลงการณ์ฉบับต่าง ๆ ของขบวนการบีอาร์เอ็นเกิดขึ้นหลังจากกองกำลังร่วม 3 ฝ่ายนำโดย พ.อ.หาญพล เพชรม่วง ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกรมทหารพรานที่ 43 เข้าปิดล้อมตรวจค้นบ้านต้องสงสัยไม่มีเลขที่ ตั้งอยู่ในพื้นที่ ม.6 บ้านปะกาลือสง ต.ตุยง อ.หนองจิก จ.ปัตตานี หลังสืบทราบว่ามีแกนนำกลุ่มก่อความไม่สงบระดับปฏิบัติการเข้ามาเคลื่อนไหวและอาศัยบ้านดังกล่าวเป็นที่หลบซ่อนตัว ก่อนเกิดการยิงปะทะกัน จนเป็นเหตุให้ผู้ต้องสงสัยเสียชีวิต 3 ราย และเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสอบสวน จ.ปัตตานี ได้รับบาดเจ็บ 1 นาย อาการปลอดภัยแล้ว กอ.รมน.ภาค 4 สน. แจงต้อง "บังคับใช้กฎหมายกับอาชญากร" ฝ่ายรัฐไทย โดย พ.อ.เกียรติศักดิ์ ณีวงษ์ โฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรภาค 4 ส่วนหน้า (กอ.รมน.ภาค 4 สน.) ชี้แจงปฏิบัติการที่เกิดขึ้นในเวลาประมาณ 17.00 น. ของวันที่ 30 เม.ย. โดยระบุว่า "ปฏิบัติการในครั้งนี้ เป็นการบังคับใช้กฎหมายกับอาชญากรที่กระทำผิดกฎหมาย สร้างความเดือดร้อนและความสูญเสียในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งรัฐไม่สามารถละเว้นการปฏิบัติได้" กอ.รมน.ภาค 4 สน. แถลงชี้แจงเหตุปิดล้อม-ตรวจค้น ซึ่งนำไปสู่การวิสามัญคนร้าย 3 ศพ โฆษก กอ.รมน.ภาค 4 สน. กล่าวว่า ผลจากการแจ้งข่าวของประชาชนที่พบความเคลื่อนไหวกลุ่มบุคคลต้องสงสัย ทำให้เจ้าหน้าที่ได้สนธิกำลังเข้าพิสูจน์ทราบ "แต่ถูกกลุ่มคนร้ายเปิดฉากยิงใส่ จึงได้เกิดการปะทะ และเกิดการสูญเสียดังกล่าว" เหตุปะทะที่เกิดขึ้นทำให้ผู้ต้องสงสัยถูกวิสามัญเสียชีวิต 3 ราย จากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่พบว่าพวกเขามีประวัติหมายจับรวม 10 หมาย ซึ่งล้วนเป็นคดีที่มีความรุนแรง อุกฉกรรจ์ สร้างความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนผู้บริสุทธิ์เป็นจำนวนมาก รวมทั้งทำลายระบบเศรษฐกิจพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ในภาพรวม ที่มา : ศูนย์ประชาสัมพันธ์ กอ.รมน.ภาค 4 สน., พล.ต.ต.จีรวัฒน์ พยุงธรรม ผบก.ภ.จว.ปัตตานี นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ยังตรวจยึดอาวุธปืนได้ 3 กระบอก ประกอบด้วย ปืนลูกซอง, ปืนเล็กยาว เอ เค 102 และปืนพกขนาด .38 โดยศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 10 จะนำไปตรวจสอบประวัติและความเชื่อมโยงทางคดีที่เกี่ยวข้องต่อไป กอ.รมน.ภาค 4 สน. ยังระบุด้วยว่า ในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้มีอัตราการแพร่ระบาดค่อนข้างสูง เจ้าหน้าที่รัฐต้องสร้างความรับรู้และความเข้าใจแก่ประชาชนในการป้องกันและกำจัดเชื้อโรค แต่ยังมีผู้ไม่หวังดีและผู้ก่อเหตุรุนแรงพยายามสร้างสถานการณ์ลอบทำร้ายเจ้าหน้าที่อย่างต่อเนื่องด้วยการวางระเบิดหรือด้วยการปฏิบัติการอื่นๆ เพื่อไม่ให้เจ้าหน้าที่เข้าไปปฏิบัติงานได้อย่างสะดวก จึงฝากประชาชนให้แจ้งเบาะแสต่อเจ้าหน้าที่หากพบเห็นบุคคลต้องสงสัยเข้ามาเคลื่อนไหวในพื้นที่ เอ็นจีโอด้านสิทธิฯ เผยชายวัย 81 ถูกคุมตัวสอบในค่ายอิงคยุทธฯ ด้านเครือข่ายผู้ได้รับผลกระทบจากกฎหมายพิเศษ (JASAD) เปิดเผยผ่านแฟนเพจว่า เมื่อเวลาประมาณ 01.00 น. ของวันที่ 1 พ.ค. เจ้าหน้าที่ได้ควบคุมตัวชายวัย 81 ปี ซึ่งเป็นชาวบ้าน ม.3 ต.ลิปะสะโง อ.หนองจิก จ.ปัตตานี โดยเจ้าหน้าที่อ้างว่าชายคนนี้เป็นเจ้าของบ้านที่เกิดเหตุ จึงถูกพาตัวไปควบคุมตัวต่อที่ค่ายอิงคยุทธบริหาร ซึ่งทางเครือข่ายฯ JASAD คาดหวังว่าเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องจะปฏิบัติต่อผู้ถูกควบคุมตัวทุกคน โดยคำนึงถึงหลักสิทธิมนุษยชน หลักมนุษยธรรม และเคารพวิถีชีวิตของคนในพื้นที่ในช่วงเดือนรอมฎอน ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับชายวัย 81 ปีซึ่งเครือข่าย JASAD ระบุว่าได้รับทราบมาจากการสอบถามชาวบ้านในพื้นที่ พบว่า ชายรายนี้พักอาศัยอยู่บ้านคนเดียว เคยแต่งงาน แต่ไม่มีลูก และได้หย่าร้างกับภรรยาในเวลาต่อมา ส่วนพี่น้องบางคนเสียชีวิตไปแล้ว บางคนก็อาศัยอยู่พื้นที่อื่นและมีอายุในช่วงวัยชรา ไม่มีอาชีพเป็นหลักแหล่งเนื่องจากชรา แต่บางวันก็จะเข้าไปในสวนบ้าง ฝ่ายความมั่นคงคุมเข้มพื้นที่ จ.ปัตตานี หลังปิดล้อม-ตรวจค้นบ้านต้องสงสัย ในอ.หนองจิก จ.ปัตตานี สำหรับ JASAD เป็นองค์กรพัฒนาเอกชน (เอ็นจีโอ) ด้านสิทธิมนุษยชน และเป็น 1 ใน 4 องค์กรที่ร่วมออกแถลงการณ์เรียกร้องให้ฝ่ายกองกำลังติดอาวุธทุกฝ่าย ทั้งของบีอาร์เอ็นและรัฐไทยหยุดยิง และหยุดการใช้ความรุนแรงทางอาวุธทุกรูปแบบทันที เพื่อขจัดอุปสรรคในการช่วยชีวิตประชาชนในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 "ใครจะมีความเป็นสุภาพบุรุษมากกว่ากัน" ขณะที่ ผศ.ดร.สุทธิศักดิ์ ดือแระ รองคณบดีฝ่ายยุทธศาสตร์และการพัฒนาองค์กร วิทยาลัยอิสลามศึกษา ม.สงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี กล่าวกับบีบีซีไทยว่า ในเดือนรอมฎอนของทุกปี มักมีข้อตกลงเรื่องการยุติยิงหรือก่อเหตุรุนแรง แต่ปีนี้พิเศษเนื่องจากมีโรคระบาด ทำให้บีอาร์เอ็นชิงประกาศวางอาวุธฝ่ายเดียวไปก่อนหน้านี้ เมื่อเกิดเหตุปะทะที่บ้านปะกาลือสง ฝ่ายรัฐจึงต้องรีบออกมาบอกว่าไม่ใช่ปฏิบัติการทางทหาร แต่เป็นเรื่องของตำรวจที่ติดตามคดีอย่างต่อเนื่องตามหมายจับ "มันกลายเป็นว่าใครจะมีความเป็นสุภาพบุรุษมากกว่ากัน ถ้ามองในเชิงสงครามจิตวิทยา บีอาร์เอ็นช่วงชิงพื้นที่ได้ดีกว่า และเสียงสะท้อนในพื้นที่หลังเกิดเหตุการณ์ เจ้าหน้าที่รัฐก็ค่อนข้างจะติดลบ" ผศ.ดร.สุทธิศักดิ์กล่าว นักวิชาการในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ยังอ้างถึง "ข้อมูลเชิงลึก" จากคนที่เชื่อว่าคลุกวงใน เล่าว่า ฝ่ายการเมืองของขบวนการบีอาร์เอ็นก็แบ่งคนไปลงพื้นที่ไปคอยดูแลประชาชนที่ประสบปัญหาปากท้องในช่วงโควิด เมื่อเกิดเหตุไม่ดีกับการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่รัฐ จึงสามารถตีกินได้ง่าย ๆ อย่างไรก็ตามตัวชี้วัดความสำเร็จของ "สงครามจิตวิทยา" และ "ปฏิบัติการชิงมวลชน" ระหว่างฝ่ายบีอาร์เอ็นกับรัฐไทยตามทัศนะของนักวิชาการรายนี้ อยู่ที่การดูแลและอำนวยความสะดวกให้แก่กลุ่มคนที่เดินทางกลับมาจากประเทศมาเลเซีย หรือที่ถูกเรียก "กลุ่มต้มยำกุ้ง" ที่คาดว่าจะทะลักเข้ามาผ่านช่องทางธรรมชาติหลายหมื่นคน ซึ่ง ผศ.ดร.สุทธิศักดิ์ชี้ว่าเป็น "กลุ่มอ่อนไหวที่ถูกปลุกปั่นได้ง่าย" เพราะการเดินทางไปอยู่ต่างแดนก็ไปจากความรู้สึกว่ารัฐไทยไม่ดูแลเขา การกลับมาไทยครั้งนี้ก็เพื่อมาฉลองวันละศีลอดกับญาติพี่น้องที่ฝั่งไทย แต่กลับต้องพบข้อจำกัดในการเข้าเมืองมากมาย ซึ่งมีทั้งจากตัวเขาเองที่อาจเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย และจากการออกประกาศ/คำสั่งต่าง ๆ ของรัฐบาลกลางโดยขาดการคิดถึงภาพการปฏิบัติจริงในพื้นที่ที่แตกต่างออกไป และเมื่อเปรียบเทียบกับรัฐบาลชาติอื่นที่จัดเครื่องไปรับคนของตัวเองกลับมา ก็ทำให้เกิดความคับข้องใจได้ เป็นสิ่งที่ฝ่ายผู้เห็นต่างหยิบไปปลุกปั่นได้ง่าย ๆ ว่า "เห็นไหม เป็นลูกเมียน้อย" อะไรอย่างนี้ ผศ.ดร.สุทธิศักดิ์ยังแสดงท่าทีสนใจต่อเนื้อหาในแถลงการณ์ฉบับล่าสุดของบีอาร์เอ็นที่ออกมายอมรับว่าผู้เสียชีวิตทั้ง 3 รายเป็น "นักรบบีอาร์เอ็น" เพราะเป็นสิ่งที่แทบไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนกับการออกมากล่าวอ้างความรับผิดชอบ หรือแสดงความเชื่อมโยงกับตัวองค์กร ซึ่งถ้าย้อนดูข้อเสนอของฝ่ายผู้เห็นต่างบนโต๊ะเจรจาพูดคุยสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา จะพบว่าหนึ่งในนั้นคือการขอเอกสิทธิ์คุ้มกันฝ่ายขบวนการคือไม่ให้จับกุม คุมขัง หรือดำเนินคดีแกนนำพูดคุยในระหว่างร่วมโต๊ะเจรจากับรัฐไทย "กับบีอาร์เอ็นที่มาร่วมคณะพูดคุยชุดปี 2563 แทบไม่มีใครปฏิเสธเลยว่าไม่ใช่ตัวจริง ไม่ว่าในฝ่ายขบวนการเอง หรือเอ็นจีโอในพื้นที่ก็ไม่ปฏิเสธ พอเขาไปเคลม (กล่าวอ้าง) อย่างนี้ มันทำให้เห็นว่าเป็นเรื่องเดียวกันหรือเปล่า" เขาตั้งข้อสังเกตทิ้งท้าย
|
นักวิชาการในวิทยาลัยอิสลามศึกษา ม.สงขลานครินทร์ เห็นว่าบีอาร์เอ็นและรัฐไทยกำลังทำสงครามจิตวิทยาเพื่อช่วงชิงมวลชน ในช่วงที่ต้องเผชิญกับความยากลำบากจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) และยังอยู่ในห้วงถือศีลอด (รอมฎอน) ของชาวมุสลิม ซึ่งเพียงสัปดาห์แรกได้เกิดเหตุวิสามัญ 3 ผู้ต้องหาตามหมายจับของทางการในบ้านพักแห่งหนึ่งใน จ.ปัตตานี โดยบีอาร์เอ็นได้ออกมายอมรับว่าผู้เสียชีวิตทั้งหมดเป็น "นักรบบีอาร์เอ็น" และออกแถลงการณ์ประณามรัฐไทย
|
international-38133378
|
https://www.bbc.com/thai/international-38133378
|
ค้นพบสัตว์สายพันธุ์ใหม่หลายชนิดในโครเอเชีย
|
นักวิทยาศาสตร์ได้สำรวจสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ตามถ้ำ หลุมลึก รวมถึงแหล่งน้ำใต้ดิน พวกเขาได้พบกับสิ่งมีชีวิตที่ไม่เคยพบที่ไหนมาก่อนถึง 30 ชนิด เช่น แมลง สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ ทาก แมงมุม นักวิทยาศาสตร์คาดว่าจะค้นพบสัตว์สายพันธุ์ใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นอีกในอนาคต ทั้งนี้ โลกใต้ดินของอุทยานแห่งชาติชีเบนิค-คนีน มีความหลากหลายทางชีวภาพ ทั้งยังเชื่อมต่อกับแหล่งน้ำใต้ดิน ซึ่งรวมถึงแหล่งน้ำสำหรับการอุปโภคบริโภค การสำรวจที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลโครเอเชียครั้งนี้จึงมีการศึกษาถึงผลกระทบจากกิจกรรมของมนุษย์ที่อาจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมด้วย
|
นักวิทยาศาสตร์ของสถาบันสาธารณะเนเชอร์ ในมณฑลชีเบนิค-คนีน ของโครเอเชีย ค้นพบสัตว์สายพันธุ์ใหม่ 30 ชนิด หลังจากใช้เวลานานกว่า 2 ปีในการสำรวจสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติชีเบนิค-คนีน
|
international-53307060
|
https://www.bbc.com/thai/international-53307060
|
โควิด-19 : ไม่มีล็อกดาวน์ แถมมีประชากรวัยชรามาก แต่ทำไมญี่ปุ่นจึงมียอดตายต่ำ
|
แม้ญี่ปุ่นจะไม่ได้มีอัตราการเสียชีวิตจากโรคโควิด-19 อยู่ในระดับต่ำที่สุดในภูมิภาค เมื่อเทียบกับเกาหลีใต้ ไต้หวัน ฮ่องกง และเวียดนาม แต่ในช่วงต้นปี 2020 กลับพบว่าญี่ปุ่นมีอัตราการเสียชีวิตในระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ยตามปกติของปีก่อน ๆ แม้ว่าในเดือน เม.ย. พื้นที่กรุงโตเกียวจะมียอด "การเสียชีวิตเกินคาดการณ์" ราว 1,000 คน ซึ่งอาจเป็นผลมาจากโรคโควิด-19 แต่หากมองภาพรวมทั้งปี ก็มีความเป็นไปได้ที่จำนวนผู้เสียชีวิตโดยรวมตลอดปีนี้อาจต่ำกว่าในปี 2019 นี่เป็นเรื่องที่น่าสนใจ เพราะญี่ปุ่นมีปัจจัยหลายประการที่เอื้อให้ตนเองมีความเปราะบางเป็นพิเศษต่อการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 นอกจากนี้ยังไม่เคยใช้มาตรการที่เข้มงวดเพื่อจัดการกับการระบาดครั้งนี้แบบที่ประเทศเพื่อนบ้านใช้กัน เกิดอะไรขึ้นในญี่ปุ่น ในช่วงที่เชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ระบาดรุนแรงในเมืองอู่ฮั่นเมื่อเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา ญี่ปุ่นยังคงเปิดพรมแดนให้คนเข้าออกประเทศได้ตามปกติ เมื่อไวรัสเริ่มแพร่ระบาดออกไป ก็ทำให้ทราบอย่างรวดเร็วว่าเชื้อไวรัสมรณะนี้มีอันตรายต่อกลุ่มผู้สูงอายุเป็นพิเศษ อีกทั้งยังสามารถแพร่ระบาดได้เป็นวงกว้างเมื่อผู้คนอยู่รวมกันแออัดและมีการสัมผัสใกล้ชิดกันเป็นเวลานาน ในแง่ของจำนวนประชากรนั้น ญี่ปุ่นมีสัดส่วนคนวัยชราเมื่อเทียบกับประชากรทั้งประเทศมากที่สุดในโลก นอกจากนี้ คนญี่ปุ่นยังมักอาศัยอยู่กันอย่างแออัดตามเมืองใหญ่ ๆ โดยในเขตอภิมหานครโตเกียว (Greater Tokyo) ซึ่งหมายถึงพื้นที่ของกรุงโตเกียวและปริมณฑลนั้น มีประชากรอาศัยอยู่รวมกันถึง 37 ล้านคน และคนส่วนใหญ่มักเดินทางไปไหนมาไหนด้วยรถไฟที่มีผู้ใช้บริการอย่างแออัดยัดเยียด นอกจากนี้ญี่ปุ่นยังไม่ยอมปฏิบัติตามคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก (WHO) ที่แนะให้ "ตรวจ ตรวจ ตรวจ" หาเชื้อให้แก่ประชาชนให้ได้มากที่สุด จนถึงบัดนี้อัตราการตรวจหาเชื้อในทางเดินหายใจ (PCR) ของญี่ปุ่นยังอยู่เพียง 348,000 ครั้ง หรือเพียง 0.27% ของประชากรทั้งประเทศ ญี่ปุ่นมีอัตราการตรวจคัดกรองโรคค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับเกาหลีใต้ ขณะเดียวกันรัฐบาลญี่ปุ่นยังไม่ได้ใช้มาตรการล็อกดาวน์ที่เข้มงวดเหมือนในหลายประเทศแถบยุโรป แม้เมื่อต้นเดือน เม.ย. รัฐบาลได้ประกาศประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน แต่ก็เป็นเพียงการขอความร่วมมือให้ประชาชนเก็บตัวอยู่บ้านโดยความสมัครใจ และขอให้ธุรกิจที่ไม่จำเป็นต่าง ๆ ปิดทำการโดยที่ไม่มีบทลงโทษตามกฎหมายแก่ผู้ฝ่าฝืน 5 เดือนหลังจากมีรายงานพบผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่รายแรกในประเทศ แต่ญี่ปุ่นกลับมียอดผู้ได้รับการยืนยันว่าติดเชื้อไม่ถึง 20,000 คน และมีผู้เสียชีวิตจากไวรัสชนิดนี้ไม่ถึง 1,000 คน รัฐบาลได้ยกเลิกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน และผู้คนก็กลับไปใช้ชีวิตตามปกติอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ยังมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ที่บ่งชี้ว่า ญี่ปุ่นสามารถควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้อย่างอยู่หมัด อย่างน้อยก็ในตอนนี้ ซอฟต์แบงก์ (Softbank) ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่น ได้จัดให้มีการตรวจคัดกรองการติดเชื้อโรคโควิด-19 ด้วยวิธีตรวจวิเคราะห์ภูมิคุ้มกัน (antibody) ให้แก่ลูกจ้าง 40,000 คน และพบว่ามีเพียง 0.24% ที่เคยติดเชื้อ ส่วนการสุ่มตรวจประชาชน 8,000 คนในกรุงโตเกียว และในพื้นที่อีก 2 จังหวัด ก็พบผู้ติดเชื้อในระดับต่ำลงไปอีก โดยในกรุงโตเกียวพบผู้ติดเชื้อเพียง 0.1% ของผู้ได้รับการสุ่มตรวจ ในการประกาศยกเลิกสถานการณ์ฉุกเฉิน เมื่อเดือน มิ.ย. นายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะ กล่าวอย่างภาคภูมิใจถึง Japan Model หรือ "รูปแบบการจัดการแบบญี่ปุ่น" พร้อมแนะนำให้ประเทศอื่น ๆ เรียนรู้จากญี่ปุ่น ญี่ปุ่นมีคุณสมบัติพิเศษอะไร นายทาโร อาโซ รองนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ระบุว่า นี่เป็นเพราะ "คุณสมบัติที่เหนือชั้นกว่า" ของคนญี่ปุ่น โดยเขาเล่าว่า ได้รับคำถามจากผู้นำชาติอื่น ๆ ที่ขอให้ช่วยอธิบายถึงความสำเร็จนี้ของญี่ปุ่น "ผมบอกคนเหล่านั้นว่า 'ระหว่างประเทศของคุณกับประเทศของเรา มีระดับชั้นของคนที่แตกต่างกัน' และนั่นทำให้พวกเขาพูดไม่ออกและนิ่งเงียบไป" คำว่า "ระดับชั้นของคน" เป็นแนวคิดมาจากยุคจักรวรรดิญี่ปุ่น ที่สื่อถึงความเหนือกว่าทางเชื้อชาติและวัฒนธรรม นี่จึงทำให้นายอาโซถูกประณามอย่างหนักจากการใช้ถ้อยคำดังกล่าว แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าสงสัยว่าชาวญี่ปุ่นหลายคนอาจมีคุณสมบัติบางอย่างที่แตกต่างไปจากคนชาติอื่น แม้แต่นักวิทยาศาสตร์บางคนยังคิดว่าญี่ปุ่นอาจมีปัจจัยที่เรียกว่า Factor X ที่ช่วยปกป้องประชากรของตนจากโรคโควิด-19 คนญี่ปุ่นมีภูมิคุ้มกันพิเศษหรือไม่ ศาสตราจารย์ ทัตสึฮิโกะ โคดามะ จากมหาวิทยาลัยโตเกียว ผู้ศึกษาว่าคนไข้ญี่ปุ่นมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่อย่างไร เชื่อว่าญี่ปุ่นอาจเคยเผชิญกับเชื้อไวรัสโคโรนามาก่อน ซึ่งไม่ใช่เชื้อที่ทำให้เกิดโรคโควิด-19 แต่เป็นสายพันธุ์ที่มีความคล้ายคลึงกันซึ่งได้สร้างภูมิคุ้มกันไว้ให้แก่คนญี่ปุ่น ศาสตราจารย์ โคดามะ อธิบายว่า เมื่อเชื้อไวรัสเข้าสู่ร่างกายมนุษย์ ระบบภูมิคุ้มกันจะผลิตแอนติบอดีขึ้นมาโจมตีเชื้อโรคที่รุกรานเข้ามา แอนติบอดีมีอยู่ 2 ชนิด คือ IGM และ IGG การตอบสนองของมันสามารถบ่งชี้ได้ว่าบุคคลนั้นเคยติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หรือเชื้อที่คล้ายกันมาก่อนหรือไม่ "ในการติดเชื้อไวรัสครั้งแรก มักเกิดการตอบสนองของแอนติบอดีชนิด IGM ก่อน แล้วจากนั้นจะมีการตอบสนองของแอนติบอดีชนิด IGG ตามมาภายหลัง แต่ในกรณีที่เคยได้รับเชื้อมาก่อนแล้ว เม็ดเลือดขาวชนิดลิมโฟไซต์ (Lymphocyte) สามารถจดจำการติดเชื้อได้ และทำให้มีเฉพาะการตอบสนองของแอนติบอดีชนิด IGG เพิ่มขึ้นมาอย่างรวดเร็ว แล้วเกิดอะไรขึ้นกับคนไข้ของเขา "เมื่อเราได้ดูผลการตรวจก็ต้องประหลาดใจมาก ...เพราะคนไข้ทุกคนมีการตอบสนองของแอนติบอดีชนิด IGG อย่างรวดเร็ว และการตอบสนองของแอนติบอดีชนิด IGM เกิดขึ้นมาในภายหลังและน้อย มันดูเหมือนว่าพวกเขาเคยได้รับเชื้อไวรัสที่คล้ายคลึงกันมากมาแล้วก่อนหน้านี้" ศาสตราจารย์ โคดามะ คิดว่า มีความเป็นไปได้ที่อาจจะเคยมีเชื้อไวรัสคล้ายชนิดที่ก่อโรคระบบทางเดินหายใจเฉียบพลันร้ายแรง หรือ โรคซาร์ส (Severe Acute Respiratory Syndrome - SARS) แพร่กระจายอยู่ในภูมิภาคนี้มาก่อน ซึ่งอาจทำให้เกิดอัตราการเสียชีวิตในระดับต่ำ ไม่เพียงแค่ในญี่ปุ่น แต่รวมถึงจีน เกาหลีใต้ ไต้หวัน ฮ่องกง และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ข้อสันนิษฐานนี้ถูกตั้งข้อสงสัยจากคนบางส่วน คนญี่ปุ่นเริ่มสวมหน้ากากปิดปากปิดจมูกกันมานานกว่า 100 ปี นับตั้งแต่เกิดการระบาดของไข้หวัดใหญ่สเปนในปี 1919 และพวกเขาก็ไม่เคยละทิ้งพฤติกรรมนี้ หากคุณไอหรือเป็นหวัด คนที่นี่ต่างคาดหวังว่าคุณจะใส่หน้ากากอนามัยเพื่อปกป้องคนที่อยู่รอบตัวคุณ ศาสตรจารย์ เคอิจิ ฟูกุดะ ผู้เชี่ยวชาญด้านไข้หวัดใหญ่ และผู้อำนวยการวิทยาลัยสาธารณสุขของมหาวิทยาลัยฮ่องกง กล่าวว่า "ผมคิดว่าหน้ากากทำหน้าที่เป็นตัวกั้น และยังเป็นเครื่องเตือนใจให้ทุกคนมีสติและตระหนักว่าเรายังต้องมีความระมัดระวังเมื่ออยู่ใกล้กัน" นอกจากนี้ ระบบติดตามและค้นหาของญี่ปุ่นก็มีใช้มาตั้งแต่ช่วงทศวรรษที่ 1950 ตอนที่ประเทศต่อสู้กับวัณโรค รัฐบาลได้ก่อตั้งเครือข่ายของศูนย์สาธารณสุขทั่วประเทศเพื่อบ่งชี้ผู้ติดเชื้อรายใหม่ และรายงานต่อกระทรวงสาธารณสุข หากสงสัยว่ามีการแพร่ระบาดขึ้นในชุมชน จะมีการส่งทีมผู้เชี่ยวชาญออกค้นหาการติดเชื้อ โดยใช้วิธีตามหาตัวผู้ที่สัมผัสติดต่อกับผู้แพร่เชื้อและการกักโรคที่เข้มงวด ญี่ปุ่นค้นพบ "3 สถานแพร่เชื้อ" ได้แต่เนิ่น ๆ ดร.คาซูอากิ จินได นักวิจัยด้านการแพทย์จากมหาวิทยาลัยเกียวโต และสมาชิกคณะทำงานเพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดเป็นกลุ่มก้อน ระบุว่า พบข้อมูลที่แสดงให้เห็นว่า 1 ใน 3 ของการติดเชื้อเกิดขึ้นในสถานที่คล้าย ๆ กัน "ข้อมูลของเราแสดงให้เห็นว่าผู้ติดเชื้อจำนวนมากได้ไปสถานที่แสดงดนตรีซึ่งมีการส่งเสียงกรีดร้องและร้องเพลง...เราจึงทราบว่านี่คือสถานที่ที่ต้องหลีกเลี่ยง" คณะทำงานพบว่า "การหายใจหนักหน่วงในระยะใกล้" ซึ่งรวมถึงการ "ร้องเพลงที่ร้านคาราโอเกะ งานเลี้ยงสังสรรค์ การส่งเสียงเชียร์ที่คลับ การสนทนาที่บาร์ และการออกกำลังกายที่โรงยิม" ล้วนเป็นกิจกรรมที่มีความเสี่ยงสูง นอกจากนี้ คณะทำงานยังพบว่า การแพร่ระบาดของโรคมาจากผู้เป็นพาหะนำโรคกลุ่มเล็ก ๆ โดยการศึกษาเบื้องต้นพบว่า ราว 80% ของผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (Sars-CoV-2) ไม่แพร่เชื้อไปสู่คนอื่น ในขณะที่อีก 20% สามารถแพร่เชื้อได้ในระดับสูง การร้องเพลงคาราโอเกะ ถือเป็นกิจกรรมที่มีความเสี่ยงสูงในการแพร่เชื้อโรคโควิด-19 การค้นพบเหล่านี้ทำให้รัฐบาลญี่ปุ่นออกโครงการรณรงค์ทั่วประเทศเพื่อเตือนให้ประชาชนหลีกเลี่ยง "3 สถานแพร่เชื้อ" คือ ดร.จินได กล่าวว่า "ผมคิดว่านี่อาจให้ผลดีกว่าการแค่สั่งให้ประชาชนอยู่ที่บ้าน" แม้จะมีการละเว้น "สถานที่ทำงาน" จากรายการเหล่านี้ แต่พวกเขาก็หวังว่า โครงการรณรงค์นี้จะช่วยชะลอการระบาดได้มากพอที่จะทำให้ไม่ต้องใช้มาตรการล็อกดาวน์ และการติดเชื้อที่น้อยลงก็หมายถึงการเสียชีวิตที่น้อยลงไปด้วย การรณรงค์นี้ใช้ได้ผลอยู่ระยะหนึ่ง แต่ช่วงกลางเดือน มี.ค. อัตราการติดเชื้อในกรุงโตเกียงได้พุ่งสูงขึ้น และดูเหมือนจะมีแนวโน้มการระบาดที่รุนแรงขึ้นเหมือนในเมืองมิลาน กรุงลอนดอน และนครนิวยอร์ก จังหวะเวลา ศาสตราจารย์เคนจิ ชิบูยะ ผู้อำนวยการด้านสาธารณสุขของสถาบันคิงส์ คอลเลจ มหาวิทยาลัยลอนดอน และอดีตที่ปรึกษาอาวุโสของรัฐบาลอังกฤษ กล่าวว่า "สำหรับผม มันคือบทเรียนเกี่ยวกับจังหวะเวลา" นายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะ ของญี่ปุ่น ออกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินแบบไม่เป็นการบังคับเมื่อวันที่ 7 เม.ย. โดยขอความร่วมมือจากประชาชนให้อยู่บ้าน "หากสามารถทำได้" "หากใช้มาตรการนี้ล่าช้า เราอาจต้องเผชิญกับสถานการณ์เดียวกันกับนิวยอร์ก หรือลอนดอน และนี่ทำให้อัตราการตายในญี่ปุ่นอยู่ในระดับต่ำ" รัฐบาลประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินแบบไม่เป็นการบังคับ โดยขอความร่วมมือจากประชาชนให้อยู่บ้าน "หากสามารถทำได้" ศาสตราจารย์ ชิบูยะ ระบุว่า "ผลการศึกษาล่าสุดจากมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย บ่งชี้ว่า หากนิวยอร์กประกาศใช้มาตรการล็อกดาวน์เร็วขึ้น 2 สัปดาห์ ก็จะช่วยป้องกันไม่ให้มีผู้เสียชีวิตได้หลายหมื่นคน" งานวิจัยล่าสุดอีกชิ้นจากศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐฯ พบว่าคนที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ โรคอ้วน และโรคเบาหวาน มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 6 เท่าที่จะต้องเข้าโรงพยาบาลหากติดเชื้อโรคโควิด -19 และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 12 เท่าที่จะเสียชีวิตด้วยโรคนี้ ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีอัตราผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจ และโรคเบาหวานต่ำที่สุดในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว อย่างไรก็ตาม บรรดานักวิทยาศาสตร์กลับยืนยันว่าสัญญาณเหล่านี้ไม่สามารถอธิบายทุกอย่างได้เสียทีเดียว ศาสตรจารย์ ฟูกุดะ กล่าวว่า "ความแตกต่างทางกายภาพเหล่านี้อาจส่งผลบางอย่าง แต่ผมคิดว่าปัจจัยอื่น ๆ มีความสำคัญกว่า เราได้เรียนรู้จากโควิดว่ามันไม่มีคำอธิบายง่าย ๆ สำหรับปรากฏการณ์ที่เราได้เห็นอยู่นี้ มันมีอีกหลายปัจจัยที่นำไปสู่ผลลัพธ์สุดท้าย" รัฐบาลร้องขอ ประชาชนรับฟัง กลับไปที่คำคุยโวเรื่อง Japan Model ของนายกรัฐมนตรีอาเบะ ว่ามีบทเรียนอะไรที่เราสามารถเรียนรู้จากเรื่องนี้ได้บ้าง การที่ญี่ปุ่นสามารถควบคุมอัตราการติดเชื้อและการตายให้อยู่ในระดับต่ำโดยไม่ต้องปิดเมืองหรือออกคำสั่งให้ประชาชนเก็บตัวอยู่ในบ้าน คือหนทางแห่งความสำเร็จใช่หรือไม่ คำตอบคือทั้งใช่ และไม่ใช่ แม้ญี่ปุ่นจะไม่มี Factor X หรือปัจจัยพิเศษที่ต่างไปจากประเทศอื่น ๆ และต้องพึ่งพาการควบคุมโรคแบบเดียวกัน นั่นคือการยับยั้งวงจรการแพร่เชื้อ แต่รัฐบาลญี่ปุ่นสามารถพึ่งพาประชาชนในการปฏิบัติตามคำร้องขอของทางการได้ แม้จะไม่มีการออกคำสั่งให้ประชาชนเก็บตัวอยู่ในบ้าน แต่ประชาชนส่วนใหญ่ให้ความร่วมมือกับทางการ วิถีชีวิตในญี่ปุ่นกลับเข้าสู่ภาวะปกติอย่างรวดเร็ว ศาสตราจารย์ ชิบูยะ กล่าวว่า "มันเป็นเรื่องโชคดีแต่ก็น่าประหลาดใจ…การล็อกดาวน์ที่ไม่เข้มงวดของญี่ปุ่นดูเหมือนจะให้ผลลัพธ์แบบเดียวกับการใช้มาตรการล็อกดาวน์ของจริง คนญี่ปุ่นปฏิบัติตามแม้จะไม่มีมาตรการที่เข้มงวด" ญี่ปุ่นขอให้ผู้คนดูแลตัวเอง อยู่ห่างจากแหล่งที่มีผู้คนแออัด สวมหน้ากากอนามัย และล้างมือบ่อย ๆ ซึ่งโดยรวมแล้ว นี่คือสิ่งที่คนส่วนใหญ่ทำกัน
|
ญี่ปุ่นไม่ได้ใช้มาตรการล็อกดาวน์เพื่อสกัดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 อีกทั้งยังเป็นประเทศที่มีประชากรสูงอายุเป็นจำนวนมาก แต่เหตุใดจึงมีอัตราการเสียชีวิตจากโรคระบาดครั้งนี้ไม่มากอย่างในหลายประเทศ
|
international-39899006
|
https://www.bbc.com/thai/international-39899006
|
ปัญหามลพิษทางอากาศในลุมพินี สังเวชนียสถาน
|
ควันและฝุ่นละอองจากโรงงานอุตสาหกรรมที่ตั้งอยู่โดยรอบลุมพินี เริ่มส่งผลกระทบต่อสุขภาพของชาวบ้านในพื้นที่ใกล้เคียง ส่วนบรรดาพระสงฆ์และผู้แสวงบุญต่างต้องสวมหน้ากากป้องกันมลพิษขณะเข้าสักการะหรือนั่งสมาธิบริเวณสังเวชนียสถานแห่งนี้ การตรวจวัดปริมาณของฝุ่นละอองขนาดเล็กละเอียด (PM2.5) ที่ลุมพินี เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมาพบว่ามีอยู่ 173.035 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ซึ่งสูงกว่าระดับปลอดภัยที่องค์การอนามัยโลกกำหนดไว้ถึงเกือบ 10 เท่า นอกจากนี้ผลการวิเคราะห์ฝุ่นละอองที่ตกค้างบนเสาพระเจ้าอโศกยังพบว่า มีสารที่ใช้ในอุตสาหกรรมจำนวนมากปกคลุมอยู่ทั้งยิปซัม แคลไซต์ โดโลไมต์ และแม็กนีไซต์ ซึ่งเป็นส่วนประกอบของการผลิตปูนซีเมนต์ โรงงานผลิตปูนซีเมนต์ใกล้ลุมพินีคือที่มาของฝุ่นละอองในอากาศและมลพิษระดับสูง งานวิจัยอีกชิ้นหนึ่งขององค์การยูเนสโกยังพบว่า มลพิษในอากาศจากแหล่งอุตสาหกรรมที่ปล่อยคาร์บอนรอบลุมพินี เริ่มส่งผลกระทบต่อมรดกโลกแห่งนี้อย่างหนัก ทั้งต่อความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่ซึ่งฝุ่นละอองจับตัวตามต้นไม้ใบหญ้าเป็นปื้นขาวหนา ทั้งส่งผลกระทบต่อสุขภาพของคนในท้องถิ่น และอาจสร้างความเสียหายให้กับตัวโบราณสถานในลุมพินีด้วย รัฐบาลเนปาลซึ่งมีแผนจะพัฒนาลุมพินีให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวระดับโลก ให้คำมั่นว่าจะใช้โดรนออกสำรวจหาแหล่งที่มาของมลพิษ และจะจัดการแก้ไขปรับปรุงคุณภาพอากาศให้ดีขึ้น
|
สถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้าที่ตำบลลุมพินีในเนปาลกำลังถูกคุกคามจากปัญหามลพิษทางอากาศ โดยผลการสำรวจคุณภาพอากาศที่จัดทำโดยองค์การอนามัยโลกและสถาบันอุตุนิยมวิทยาเขตร้อนของอินเดียพบว่า ลุมพินีมีระดับมลพิษทางอากาศสูงสุดในเนปาล และสูงกว่าค่ามาตรฐานถึง 10 เท่า
|
international-41060399
|
https://www.bbc.com/thai/international-41060399
|
ทำฟาร์มแรดตัดนอขายช่วยไม่ให้แรดสูญพันธุ์?
|
ฟาร์มขยายพันธุ์แรดเอกชนที่ใหญ่ที่สุดในโลกในแอฟริกาใต้ มีแรดทั้งหมด 1,536 ตัว มีนอแรดตัดเก็บไว้ 6 ตัน เพื่อนำไปขายทางออนไลน์ เจ้าของชนะการต่อสู้ในชั้นศาล เพื่อให้ได้สถานะถูกกฎหมายในการขายนอแรดมาแล้วหลายครั้ง จอห์น ฮิวม์ เจ้าของฟาร์มแรด กล่าวว่า "ผมเชื่อว่า นี่คือหนทาง ในการช่วยแรดจากการสูญพันธุ์ ขยายพันธุ์พวกมัน ปกป้องพวกมัน หนึ่งในหนทางที่จะช่วยคุ้มครองแรด ไม่ใช่การทำให้คนหาซื้อนอแรดไม่ได้อย่างสิ้นเชิง" นักอนุรักษ์บางส่วนเห็นว่า กลยุทธ์นี้อาจเป็นอันตราย ดร. เคลลี มาร์เนวิก กองทุนสัตว์ป่าใกล้สูญพันธุ์ กล่าวว่า ยังไม่มีหลักฐานแสดงว่า การขายนอแรดช่วยลดการล่าแรดลงได้ หนึ่งในความกังวลคือ นอแรดถูกกฎหมายอาจถูกใช้ฟอกนอแรดผิดกฎหมายได้ แต่ผู้ขยายพันธุ์แรดแย้งว่า การห้ามค้านอแรดไม่ได้ผล พวกเขาแนะนำให้ใช้นโยบายทางเลือก รวมถึงการมีตลาดถูกกฎหมาย
|
ฟาร์มแรดในแอฟริกาใต้จะช่วยปกป้องแรดจากการสูญพันธุ์ได้ไหม?
|
international-38846083
|
https://www.bbc.com/thai/international-38846083
|
ดูแตร์เตเผยเป็นนัยอาจให้ทหารปราบกบฏมาปราบนักค้ายา
|
ประธานาธิบดีดูแตร์เต เผชิญแรงกดดันจากปัญหาขาดแคลนกำลังเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติภารกิจปราบปรามยาเสพติด สำนักข่าวเอพีรายงานว่า ประธานาธิบดีดูแตร์เต มีคำสั่งดังกล่าวเมื่อวันที่ 2 ก.พ. เพราะเขาหมดความไว้วางใจใน NBI ซึ่งเป็นหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม หลังมีรายงานว่า บรรดาพ่อค้ายาเสพติดยังสามารถใช้โทรศัพท์มือถือติดต่อกับบุคคลภายนอกได้แม้จะถูก NBI ควบคุมตัวอยู่ก็ตาม เจ้าหน้าที่ NBI ขณะเข้าบุกยึดยาเสพติด ความเคลื่อนไหวครั้งนี้มีขึ้นหลังจากผู้นำฟิลิปปินส์เพิ่งมีคำสั่งห้ามตำรวจเข้าร่วมปฏิบัติการบุกทลาย และเข้าจับกุมผู้กระทำผิดคดีเกี่ยวกับยาเสพติดจากกรณีทุจริตอื้อฉาว หลังจากตำรวจกลุ่มหนึ่งอ้างใช้ปฏิบัติการปราบปรามยาเสพติดบังหน้า แล้วก่อเหตุลักพาตัวเรียกค่าไถ่และสังหารนักธุรกิจชาวเกาหลีใต้คนหนึ่ง การสั่งห้ามหน่วยงานทั้งสองเข้าร่วมทำสงครามยาเสพติดครั้งนี้ ทำให้ปัจจุบันนายดูแตร์เต ต้องเผชิญแรงกดดันจากปัญหาขาดแคลนกำลังเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติภารกิจปราบปรามยาเสพติด จนทำให้เขากล่าวเป็นนัยว่าอาจต้องพึ่งพากำลังจากทหารที่ปัจจุบันมีภารกิจหลักในการปราบปรามกลุ่มกบฏมุสลิมทางภาคใต้ของฟิลิปปินส์ ด้านกลุ่มเพื่อสิทธิมนุษยชนต่างแสดงความวิตกกังวลว่า การระดมกำลังทหารหน่วยปราบปรามกลุ่มกบฏมาทำสงครามยาเสพติดอาจยิ่งทำให้ปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนในฟิลิปปินส์รุนแรงขึ้นอีก จากที่ปัจจุบันมีผู้ต้องสงสัยในคดียาเสพติดถูกวิสามัญฆาตกรรมและฆ่าตัดตอนไปแล้วหลายพันคน นับแต่ประธานาธิบดีดูแตร์เตเริ่มทำสงครามนี้เมื่อช่วงกลางปีก่อน
|
ประธานาธิบดีโรดริโก ดูแตร์เต ของฟิลิปปินส์ มีคำสั่งห้ามสำนักงานสอบสวนแห่งชาติ (NBI) ซึ่งเป็นหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายสำคัญของประเทศ เทียบได้กับสำนักงานสอบสวนกลางสหรัฐฯ (เอฟบีไอ) เข้าร่วมปฏิบัติการทำสงครามปราบปรามยาเสพติด หลังพบการทุจริตในองค์กร พร้อมชี้ว่าอาจดึงกำลังทหารมาช่วยแทน ส่งผลให้หลายฝ่ายกังวลว่าปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนในฟิลิปปินส์อาจรุนแรงขึ้น
|
international-38624890
|
https://www.bbc.com/thai/international-38624890
|
เกาหลีใต้นำเข้าไข่ไก่จากสหรัฐฯ แก้ปัญหาไข่ขาดตลาดจากไข้หวัดนก
|
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า กระทรวงเกษตรเกาหลีใต้ เผยแพร่ภาพของเจ้าหน้าที่ลำเลียงไข่ 100 ตันที่นำเข้าจากสหรัฐฯ ออกจากเครื่องบินขนสินค้าของสายการบินโคเรียนแอร์ ส่วนโฆษกของสายการบินเอเชียน่าแอร์ไลน์ สายการบินสำคัญอีกแห่งของเกาหลีใต้ ก็เปิดเผยว่า วันนี้สายการบินมีกำหนดจะขนส่งไข่ไก่นำเข้าอีก 100 ตันด้วยเช่นกัน การนำเข้าไข่ไก่จากสหรัฐฯ ในวันนี้นับเป็นการนำเข้าไข่สดจากสหรัฐฯ เป็นครั้งแรกของเกาหลีใต้ ในรอบ 18 ปี กระทรวงเกษตรเกาหลีใต้ออกแถลงการณ์เมื่อวันศุกร์ (13 ม.ค.) ว่า ช่วงก่อนหน้าวันตรุษจีน เกาหลีใต้จะนำเข้าไข่สดทั้งสิ้น 1,500 ตัน หรือราว 25 ล้านฟองจากสหรัฐฯ และสเปน สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ในช่วงเทศกาลตรุษจีน ชาวเกาหลีใต้นิยมทำอาหารที่ต้องใช้ไข่เป็นส่วนผสม อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่ไข้หวัดนกแพร่ระบาดในเกาหลีใต้เมื่อเดือนพ.ย.ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้มีการฆ่าสัตว์ปีกในฟาร์มไปแล้วกว่า 31 ล้านตัว ส่วนใหญ่เป็นไก่พันธุ์ไข่ จึงทำให้ราคาไข่ไก่พุ่งสูงขึ้นถึง 75% เมื่อเทียบกับราคาในท้องตลาดช่วงก่อนที่ไข้หวัดนกจะแพร่ระบาด
|
ไข่ไก่นำเข้าจากสหรัฐฯ มาถึงสนามบินอินชอนในกรุงโซลแล้ววันนี้ (14 ม.ค.) เพื่อช่วยคลี่คลายปัญหาขาดแคลนไข่ไก่ในเกาหลีใต้ที่กำลังเผชิญการแพร่ระบาดของไข้หวัดนกครั้งรุนแรงที่สุด ส่งผลให้ต้องฆ่าไก่เป็นจำนวนมาก
|
international-50207396
|
https://www.bbc.com/thai/international-50207396
|
ราชวงศ์อังกฤษ : สัมพันธ์ร้าวฉานที่ยากจะเยียวยาของเจ้าชายวิลเลียม-แฮร์รี
|
ใน Harry & Meghan: An African Journey สารคดีที่ออกอากาศทางช่องไอทีวี ซึ่งติดตามการปฏิบัติพระกรณียกิจเยือนแอฟริกาใต้ของทั้งคู่เมื่อเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา ดัชเชสแห่งซัสเซกซ์ ทรงเผยว่าพระสหายเคยเตือนพระองค์ไม่ให้แต่งงานกับเจ้าชายแฮร์รี เพื่อไม่ต้องเผชิญแรงกดดันจากสื่อ อีกทั้งทรงเผยว่า การปรับตัวเข้ากับชีวิตในราชสำนักเป็น "เรื่องยาก" เพราะพระองค์ไม่ได้เตรียมรับมือกับการถูกขุดคุ้ยอย่างหนักจากบรรดาสื่อแท็บลอยด์ ในขณะที่เจ้าชายแฮร์รี ทรงประกาศจะปกป้องครอบครัวของพระองค์ไม่ให้ถูกสื่อระรานจนเกิดโศกนาฏกรรมซ้ำรอยพระมารดาขึ้นมาอีก นอกจากนี้ ยังตรัสถึงเรื่องสุขภาพจิต และวิธีที่พระองค์ใช้รับมือกับความกดดันในชีวิตว่าเป็นสิ่งที่ต้อง "จัดการอย่างต่อเนื่อง" ขณะเดียวกัน ทรงยอมรับว่าพระองค์กับเจ้าชายวิลเลียม ดยุคแห่งเคมบริดจ์ พระเชษฐา ไม่ได้สนิทสนมกันเหมือนเดิมแล้ว ตอกย้ำกระแสข่าวเรื่องความแตกแยกระหว่างสองพี่น้องที่มีออกมาอย่างต่อเนื่องก่อนหน้านี้ นี่อาจเป็นช่วงเวลาแห่งการปลดปล่อยของทั้งคู่ และเป็นโอกาสที่จะป่าวประกาศให้โลกรู้ถึงความทุกข์ใจที่ทรงมี ไม่ว่าจะเป็นแรงกดดันที่ดัชเชสแห่งซัสเซกซ์ต้องเผชิญและการที่พระองค์รู้สึกว่าไม่ได้รับความช่วยเหลือจากราชสำนักเพียงพอ หรือแม้แต่ความโกรธแค้นที่เจ้าชายแฮร์รีทรงรู้สึกว่าสื่อมุ่งทำข่าวโจมตีพระชายาของพระองค์ และปัญหาสุขภาพจิตที่พระองค์ต้องเผชิญ นี่อาจเป็นความพยายามเรียกร้องความเห็นอกเห็นใจจากสังคม และความพยายามหลีกเลี่ยงการรุกล้ำของหนังสือพิมพ์ที่เจ้าชายแฮร์รีทรงชิงชัง ก่อนหน้านี้ เจ้าชายแฮร์รีระบุว่า สื่อแท็บลอยด์ทำข่าวโจมตีพระชายาของพระองค์อย่างไม่หยุดหย่อนตลอดช่วง 1 ปี ที่ผ่านมา ตั้งแต่ช่วงที่ทรงครรภ์ และช่วงที่เลี้ยงดูพระโอรส แต่สิ่งที่น่าฉงนก็คือการที่ทั้งคู่คิดว่าจะบรรลุผลในระยะกลาง นี่ดูเหมือนจะเป็นชัยชนะในแง่ชั้นเชิงมากกว่าในทางกลยุทธ์ แสงแฟลชและกล้องที่จับจ้องทั้งคู่จะไม่หายไปหลังจากเจ้าชายแฮร์รีบอกว่ามันทำให้หวนนึกถึงช่วงชีวิตที่เลวร้ายของพระมารดา นักหนังสือพิมพ์ที่เคยเขียนข่าวโจมตีทั้งสองพระองค์จะไม่ทำงานต่างไปจากเดิมเพียงเพราะดัชเชสแห่งซัสเซกซ์ตรัสว่าบรรดาหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ของอังกฤษเขียนข่าวที่ไม่เป็นธรรมเกี่ยวกับพระองค์ และการตรวจสอบเรื่องราวของทั้งคู่ ซึ่งเปิดเผยพฤติกรรม "พูดอย่างหนึ่งแต่ทำอีกอย่างหนึ่ง" จะไม่หายไป ที่จริงมันจะยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เพราะการให้สัมภาษณ์ในลักษณะนี้คือดาบสองคม ด้านหนึ่งมันช่วยเปิดทางให้ดยุคและดัชเชสแห่งซัสเซกซ์ทรงสื่อสารกับสังคมได้โดยตรงและชัดเจน แต่อีกด้านก็เป็นการเปิดโอกาสให้ทั้งคู่ตกเป็นเป้าการวิจารณ์ได้เช่นกัน และทำให้เกิดคำถามตามมาว่า: เจ้าชายแฮร์รีและเมแกนจะทรงเรียกร้องขอความเป็นส่วนตัวและการงดรายงานข่าวในประเด็นต่าง ๆ ที่จะส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตของเจ้าชายและสวัสดิภาพของพระชายาได้อย่างไร ในเมื่อทั้งสองพระองค์ไปออกรายการโทรทัศน์ระดับชาติและพูดคุยเรื่องต่าง ๆ เหล่านี้กับผู้สัมภาษณ์ที่เป็นมิตร? นี่จึงเป็นสาเหตุว่าทำไมที่ปรึกษาในราชสำนักผู้มากประสบการณ์จะแนะนำให้สมาชิกราชวงศ์ใช้ความระวังอย่างมากในการให้สัมภาษณ์ในลักษณะนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างสองพี่น้องเริ่มร้าวฉานตั้งแต่เจ้าชายวิลเลียมทรงรับหน้าที่เพื่อนเจ้าบ่าวในพิธีเสกสมรสของพระอนุชาเมื่อปี 2018 บีบีซีได้รับข้อมูลจากแหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือว่าเจ้าชายวิลเลียม "ทรงกริ้ว" เจ้าชายแฮร์รีเป็นอย่างมาก โดยแหล่งข่าวใกล้ชิดเจ้าชายวิลเลียมอีกรายบอกว่าพระองค์ไม่ทราบเรื่องที่พระอนุชาทรงเปิดเผยในสารคดีดังกล่าวมาก่อน อย่างไรก็ตาม กรณีที่เกิดขึ้นแสดงให้เห็นว่า พี่น้องทั้งสองทรงมีทัศนคติต่อสื่อที่แตกต่างกัน เจ้าชายวิลเลียมทรงตระหนักดีว่าสื่อทั้งหลายมีส่วนสำคัญมากในการช่วยเผยแพร่สารที่พระองค์ต้องการสื่อสารกับสังคม ในขณะที่พระอนุชายังไม่สามารถก้าวข้ามความชิงชังที่ทรงมีต่อผู้คนและสถาบันที่พระองค์ทรงกล่าวโทษว่าเป็นผู้ทำให้พระองค์ต้องสูญเสียพระมารดาไปก่อนวันอันควร พระองค์ทรงแสดงความเคียดแค้นต่อสื่อ โดยเฉพาะบรรดาหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ ความเศร้าโศกต่อการสูญเสียพระมารดาตั้งแต่ยังเยาว์วัยทำให้เจ้าชายแฮร์รีทรงมีทัศนคติเชิงลบต่อสื่อ ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าชายวิลเลียมและเจ้าชายแฮร์รีได้เปลี่ยนแปลงไปจนไม่อาจแก้ไขได้ และเมื่อพิจารณาจากเรื่องที่ทั้งสองพระองค์ได้แยกราชสำนัก และองค์กรการกุศลที่ทรงเป็นองค์อุปถัมภ์ แนวโน้มของความสัมพันธ์ระหว่างทั้งคู่ก็น่าจะเลวร้ายลงไปอีก นี่คือสิ่งที่จะเกิดขึ้นเมื่อทั้งสองพระองค์มีเจ้าหน้าที่ในสังกัดและเป้าหมายที่แตกต่างกัน ซึ่งจะนำไปสู่เรื่องกระทบกระทั่งกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สงครามทำนองนี้ไม่เคยส่งผลดีต่อใคร ทว่าการตอบโต้แต่ละครั้งจะยิ่งทำให้ต่างฝ่ายตกต่ำลง ยิ่งไปกว่านั้นจะพลอยฉุดให้สถาบันกษัตริย์ตกต่ำไปด้วย สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้เสียงแห่งความทุกข์ระทมใจที่เคยเกิดขึ้นในวันวานระหว่างเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์และไดอานาดังก้องกังวานขึ้นมาอีกครั้ง
|
บทสัมภาษณ์ของเจ้าชายแฮร์รี ดยุคแห่งซัสเซกซ์ และเมแกน ดัชเชสแห่งซัสเซกซ์ พระชายา ที่ทรงเผยถึงความยากลำบากที่ต้องเผชิญแรงกดดันจากสื่อหัวสี ได้รับการพูดถึงอย่างกว้างขวางในสังคม เพราะเป็นบทสัมภาษณ์ของสมาชิกราชวงศ์อังกฤษที่เปิดเผยเรื่องราวส่วนพระองค์อย่างตรงไปตรงมาที่สุดครั้งหนึ่ง นับตั้งแต่ ไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์ ประทานสัมภาษณ์ทางรายการพาโนรามาของบีบีซีเมื่อปี 1995 ซึ่งยังเป็นเรื่องที่ถูกกล่าวขานมาจนถึงปัจจุบัน
|
international-42958673
|
https://www.bbc.com/thai/international-42958673
|
ครบรอบ 100 ปีผู้หญิงอังกฤษมีสิทธิ์เลือกตั้งครั้งแรก
|
การเรียกร้องขอสิทธิเลือกตั้งของผู้หญิงเริ่มมาตั้งแต่ปี 1817 เมื่อมีนักคิดนักปรัชญาอย่าง เจเรมี เบนทัมม์ วิลเลี่ยม ทอมป์สัน และ แอนนา วิลเลอร์ ออกมาเรียกร้องสนับสนุน จัดชุมนุมแจกจ่ายใบปลิวเรียกร้องความเท่าเทียม แต่ไม่ค่อยจะได้ผลมากนัก จนกระทั้งจอห์น สจ๊วต มิลล์ นักปรัชญาแห่งยุค ตีพิมพ์บทความ The Subjection of Women ในปี 1861 ขบวนการเรียกร้องความเท่าเทียมทางการเมืองของสตรีอังกฤษส่งประกายสดใส หลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง การปฏิรูปการเมืองเพื่อความเท่าเทียมทั้งหญิงชาย มีความชัดเจนมากขึ้น เมื่อบทบาทของผู้หญิงระหว่างสงครามเป็นที่ยอมรับว่ามีส่วนทำให้อังกฤษชนะสงคราม จึงมีการออกกฎหมายตัวแทนประชาชน ค.ศ. 1918 ปลดล็อคข้อจำกัดหลายอย่างในการให้สิทธิการออกเสียงเลือกตั้งในหมู่ผู้ชาย ทั้งยังถือเป็นครั้งแรกที่ให้ผู้หญิงมีสิทธิเลือกตั้ง และลงสมัครรับเลือกตั้งได้ แต่ต้องเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติตามที่กำหนดไว้ อาทิ เป็นหญิงที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไป เป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ หรือมีการศึกษาระดับปริญญา เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ส.ส. วิลละบี ดิกคินสัน ต้องการเปลี่ยนข้อกำหนดนี้ และเป็นหนึ่งในกลุ่มผู้รณรงค์ให้ผู้หญิงทุกคนมีสิทธิ์เลือกตั้งอย่างเท่าเทียมกัน ส่งผลให้ในปี 1928 ผู้หญิงอังกฤษอายุ 21 ปีขึ้นไปทุกคนได้รับสิทธิ์เลือกตั้งอย่างเท่าเทียม และกลายเป็นกำลังสำคัญที่ช่วยผลักดันประเทศชาติไปสู่ความก้าวหน้าจนถึงปัจจุบัน
|
6 กุมภาพันธ์ 2018 ถือเป็นวาระครบรอบ 100 ปีที่ผู้หญิงอังกฤษมีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้งเป็นครั้งแรก
|
thailand-46939132
|
https://www.bbc.com/thai/thailand-46939132
|
ค้างคาวที่ถูกรบกวนขณะจำศีลช่วงฤดูหนาว ถูกช่วยเหลือด้วยการนำมาแช่ตู้เย็น
|
การแช่ค้างคาวไว้ในตู้เย็น เป็นการช่วยเหลือค้างคาวช่วงหน้าหนาวในประเทศเบลารุส ผู้เชี่ยวชาญด้านค้างคาว บอกว่า "ค้างคาวกำลังลดจำนวนลง เราต้องช่วยกันอนุรักษ์พวกมัน" ค้างคาวถูกคุกคามจากกิจกรรมของมนุษย์ ถ้าคุณทำให้ค้างคาวตื่นขึ้นมาในช่วงที่กำลังจำศีลอยู่ พวกมันอาจตายได้ "มันอาจดูเป็นเรื่องตลก แต่ตู้เย็นนี้ เป็นที่ที่เหมาะที่สุดสำหรับการจำศีลของค้างคาว" ผู้เชี่ยวชาญด้านค้างคาวกล่าว ผู้เชี่ยวชาญนำค้างคาวที่พบตามเมืองต่าง ๆ มาชั่งน้ำหนัก และให้อาหารพวกมันจากนั้นก็นำไปห้อยไว้ในตู้เย็น จนกว่าจะถึงฤดูใบไม้ผลิ
|
นักสัตววิทยาในเบลารุสนำค้างคาวที่ถูกรบกวนในฤดูจำศีลช่วงหน้าหนาวมาแช่ตู้เย็น เพื่อให้พวกมันมีชีวิตรอดรอเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ
|
features-52240707
|
https://www.bbc.com/thai/features-52240707
|
เพราะเราคู่กัน : วัฒนธรรมวายคืออะไร ทำไม #คั่นกู จึงเพิ่มความสนใจต่อ ซีรีส์ "คู่จิ้นชาย-ชาย"
|
"คู่จิ้นชาย-ชาย" หรือ "ชายจิ้นชาย" คือ การจับคู่ผู้ชายมารักกับผู้ชายอีกคนโดยกลุ่มผู้หญิงเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมานานแล้วตั้งแต่ทศวรรษ 1970 "#คั่นกู" กลายเป็น แฮชแท็กที่ขึ้นอันดับหนึ่งของไทยในทุกคืนวันศุกร์จนบางตอนช่วงเวลากลายเป็น แฮชแท็กอันดับหนึ่งของโลก เช่น ตอนที่ 5 ที่ออกอากาศเมื่อวันที่ 20 มีนาคมที่ผ่านมา คำตอบที่ได้คือ มาจากซีรีส์วาย หรือ ในแบบ "คู่จิ้นชาย-ชาย" เรื่อง "เพราะเราคู่กัน" ละครรักโรแมนติกระหว่างนักศึกษาชายที่มีผู้ติดตามทั้งในประเทศและต่างประเทศ บีบีซีไทยพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมบันเทิงและนักวิชาการที่ศึกษาวัฒนธรรมวาย เพื่ออธิบายถึงปรากฏการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นและได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง ที่ไม่จำกัดเฉพาะกลุ่มเหมือนอย่างที่เคยเป็นมา "เพราะเราคู่กัน" ใครคู่ใคร สำหรับซีรีส์วายเรื่องนี้ เป็นเรื่องราววุ่นวายของ "ไทน์" ซึ่งรับบทโดย "เมธวิน โอภาสเอี่ยมขจร" ที่ฝันว่าจะได้เจอรักแท้ในแบบผู้ชายในรั้วมหาวิทยาลัย แต่กลับต้องมาเจอ "กรีน" หนุ่มจอมตื้อ แม้ว่าจะถูกปฏิเสธแค่ไหนก็ไม่ยอมตัดใจ จนไทน์ต้องไปขอร้อง "สารวัตร" รับบทโดย "วชิรวิชญ์ ชีวอารี" ให้มาช่วยเป็นคู่รักแบบปลอม ๆ แต่ด้วยความใกล้ชิดกัน และอุปสรรคที่เข้ามาทดสอบ ทำให้ความรักระหว่างเขาทั้งสองเกิดขึ้น หนึ่งในปัจจัยความสำเร็จคือ การเลือกพระเอกและนายเอกในเรื่อง ผ่านเด็กหนุ่มหน้าตาดีและเคมีตรงกัน อย่าง "วชิรวิชญ์ ชีวอารี" รับบทเป็น "สารวัตร" และ "เมธวิน โอภาสเอี่ยมขจร" รับบทเป็น "ไทน์" 5 ปัจจัยดันกระแสความนิยมของซีรีส์วาย "เพราะเราคู่กัน" วัฒนธรรมวาย "ชายจิ้นชาย" มีมาอย่างไร "คู่จิ้นชาย-ชาย" หรือ "ชายจิ้นชาย" คือ การจับคู่ผู้ชายมารักกับผู้ชายอีกคนโดยกลุ่มผู้หญิงเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมานานแล้วตั้งแต่ทศวรรษ 1970 โดยปรากฏในการ์ตูนผู้หญิงในญี่ปุ่น และนี่กลายเป็นจุดเริ่มต้นของวัฒนธรรมวายจนถึงปัจจุบัน รศ.ดร.นัทธนัย ประสานนาม อาจารย์ประจำภาควิชาวรรณคดี คณะมนุษยศาสตร์ ม.เกษตรศาสตร์ ผู้ศึกษาเรื่องนี้อย่างจริงจังผ่านนวนิยายวาย เล่าให้บีบีซีไทยว่า คำว่า "วาย" มาจากคำภาษาญี่ปุ่นว่า "Yaoi" หรือยาโออิ การเกิดขึ้นของยาโออิ มีคำศัพท์ที่เกี่ยวข้องหลายคำ ในบริบทของวัฒนธรรมประชานิยมในญี่ปุ่น เช่น โชเน็นไอ (shōnen-ai) จูเน่ (JUNE) และบอยส์เลิฟ (Boy's Love ) ที่มา : วารสารวิชาการหอสมุดแห่งชาติ ฉบับเดือน ก.ค. - ธ.ค. 2562 เรื่อง "นวนิยายยาโออิของไทย : การศึกษาเชิงวิเคราะห์" โดย นัทธนัย ประสานนาม ผู้เขียนบทความนี้อธิบายว่า ปัจจุบันโชเน็นไอกับจูเน่ ถูกแทนที่ด้วยคำว่า "บอยส์เลิฟ" และ "ยาโออิ" ไปแล้ว แม้ว่าลักษณะของทั้งสองคำนี้จะเป็นข้อถกเถียงว่ามีความหมายบางอย่างแตกต่างกัน แต่ระยะหลังนักวิชาการจำนวนมากก็เลือกให้คำสองคำนี้มีความหมายเดียวกัน ส่วนในบริบทของไทยหลังจากรับเอาวัฒนธรรมดังกล่าวเข้ามาก็มักใช้คำว่า ยาโออิ หรือ วาย มากกว่าอีกคำ เช่นเดียวกันกับในเกาหลีใต้ งานเขียนแบบยาโออิเป็นอย่างไร รศ.ดร.นัทธนัย เล่าว่า ยาโออิ เดิมทีเป็นงานที่เขียนขึ้นเพื่อล้อเลียนงานต้นฉบับโดยจับให้ตัวละครชายที่มีชื่อเสียง มาเขียนเรื่องใหม่โดยเพิ่มให้ตัวละครชายมีความสัมพันธ์แบบชายรักชาย โดยจะเรียกตัวละครเอกจะถูกเรียกว่า "คู่วาย" โดยฝ่ายชายที่เป็นฝ่ายรุกจะเรียกว่า "พระเอก" หรือ "เซเมะ" จะถูกออกแบบให้ดูเหมือนเป็นผู้ชายมากกว่า เช่น ขนาดตัวใหญ่กว่า สูงกว่า มีกล้ามเนื้อมากกว่า ส่วนตัวละครคู่ที่เป็นฝ่ายรับจะเรียกว่า "นายเอก" หรือ "อุเคะ" จะยังคงมีภาพลักษณ์เป็นชายแต่จะมีลักษณะภายนอกบอบบางกว่า รศ.ดร.นัทธนัย นักวิชาการผู้ศึกษาด้านวัฒนธรรมยาโออิมาตั้งแต่ปี 2551 สิ่งเหล่านี้มีขึ้นเพื่อสนองตอบด้านจินตนาการให้ "กลุ่มสาววาย" ทั้งที่เป็นผู้เขียนหรือผู้ผลิตผลงานแนววายและกลุ่มผู้เสพเนื้อหาด้วย ดังนั้นอาจจะกล่าวได้ว่าในยุคแรกการดำรงอยู่ของวัฒนธรรมนี้ก็เพื่อสาววายและโดยสาววายโดยเฉพาะ วัฒนธรรมวายได้แพร่ขยายมายังไทยเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 20 ปี ผ่านนิยายแปลและหนังสือการ์ตูนอยู่ในกลุ่มจำกัดเฉพาะผู้หญิง แม้ว่ามีช่วงเวลาหนึ่งต้องเผชิญกับการเข้ามาควบคุมโดยกฎหมายเนื่องจากมีเนื้อหาบางส่วนบางฉากที่เกี่ยวกับความปรารถนาทางเพศ (erotic) จึงทำให้นวนิยายของกลุ่มนี้ถูกตีวงแคบให้อยู่ภายในสมาชิกกลุ่มเว็บบอร์ดเท่านั้น รศ.ดร.นัทธนัย บอกว่า จุดเปลี่ยนสำคัญของการกลับมาของวัฒนธรรมวายในไทย คือการออกอากาศซีรีส์เรื่อง "เลิฟ ซิค เดอะ ซีรีส์ รักวุ่น วัยรุ่นแสบ (Love Sick: The Series) ในปี 2557 ทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 9 MCOT HD ซึ่งเป็นการหยิบเอานิยายจากเว็บไซต์เด็กดี ดอท คอม มาทำเป็นซีรีส์ โดยเรื่องราวชีวิต ความสัมพันธ์และความรักระหว่างวัยรุ่นของนักเรียนมัธยม โดยมีตัวละครเอกเป็นชายกับชาย หลังจากนั้นก็เริ่มมีคนหยิบนิยายวายมาทำซีรีส์ทางโทรทัศน์เพิ่มมากขึ้น ทำไม "ชายได้ชายสาววายนิพพาน" "แกรมม่า (ไวยกรณ์) หลักของวัฒนธรรมวาย คือ การสร้างเรื่องขึ้นมาใหม่เพื่อตอบสนองความสุขทางจิตนาการ หรือ "การจิ้น" เมื่อตัวละครหรือบุคคลที่เป็นที่นิยมมีความสัมพันธ์กันและรักกัน" รศ.ดร.นัทธนัยกล่าว ลักษณะพิเศษของกลุ่มสาววาย คือ การมองแบบยาโออิ (yaoi gaze) ที่จะสามารถใช้จินตนาการในการมองความสัมพันธ์ระหว่างผู้ชายกับผู้ชายมีความเป็นไปได้มากกว่าสิ่งที่คนปกติเห็น การออกอากาศแบบคู่ขนานทั้งในสื่อโทรทัศน์และสื่อออนไลน์ ที่เชื่อมต่อด้วย แฮชแท็กที่เกี่ยวข้องทำให้เกิดความสนใจร่วมของคนดู "ถ้าไม่มีการมองแบบยาโออิ (yaoi gaze) เวลาเราเห็นผู้ชายตบหัวกันก็จะเข้าใจว่าพวกเขาเป็นแค่เพื่อนกัน แต่หากว่าถ้าเป็นสาววาย กลับเห็นว่าพวกเขาสัมผัสศีรษะกันอย่างอ่อนโยน" เขาอธิบาย ตามขนบของวาย สุนทรียภาพหรืออรรถรสหลัก ๆ ในแบบนวนิยายโรมานซ์ ที่มักพบเจออุปสรรคระหว่างทางบ้าง แต่ท้ายสุดก็จบด้วยความสุขสมหวัง จนบางครั้งเรื่องราวก็อาจจะชวนพาฝันและไม่อิงความเป็นจริงหรือความสมจริง อย่างไรก็ตาม หลายคนมักมีคำถามเกี่ยวกับตัวละครเอกว่าใครคือ พระเอก และนายเอก นักวิชาการผู้นี้ บอกว่า ในการเสพผลงานวาย คนในกลุ่มนี้จะมี "ดวงตาที่ฝึกมาแล้ว" ที่จะสามารถแยกแยะได้ทันทีว่า ตัวละครตัวใดที่เป็น "พระเอก" และ "นายเอก" โดยผ่านบุคลิกลักษณะของตัวละคร จากกลุ่มจำกัด สู่วงกว้าง แรกเริ่มเดิมทีวัฒนธรรมวายอาจจะดูจำกัดเพียงแค่กลุ่มผู้หญิงเท่านั้น เพราะยุคแรก ๆ ในไทยนักเขียนนิยายวายก็เป็นกลุ่มผู้หญิง คนอ่านก็เป็นผู้หญิง แต่ปัจจุบัน วัฒนธรรมนี้ได้ขยายวงกว้างมากขึ้น ส่วนหนึ่งมาจากการที่ฐานกลุ่มคนเสพผลงานวายเติบโตมากขึ้น ในขณะเดียวกันยังมีกลุ่มผู้อ่านผู้ชมรายใหม่เข้ามาเติมเต็มอย่างต่อเนื่อง นพณัช ชัยวิมล (ซ้าย) ผู้ควบคุมการผลิตซีรีส์วาย "เพราะเราคู่กัน" ภาพนี้ถ่ายขณะทำงานผลิตซีรีส์วายอีกเรื่อง "วัฒนธรรมวายไม่ได้อยู่ในซีรีส์หรือนิยายเพียงอย่างเดียว แต่ในความเป็นจริงก็มีด้วย ตัวอย่าง เพจ CuteBoy และ Sexy Boy ของมหาวิทยาลัยและโรงเรียนมัธยม ก็มีการใส่บรรยากาศและกลิ่นอายของวายเข้าไป กลายเป็นสิ่งที่หล่อเลี้ยงกระแสวายให้ไหลเวียนอย่างต่อเนื่อง" รศ.ดร.นัทธนัย นพณัช ชัยวิมล ผู้ควบคุมการผลิตซีรีส์วาย "เพราะเราคู่กัน" แห่งค่ายจีเอ็มเอ็มทีวี บอกกับบีบีซีไทยว่า กลุ่มคนดูซีรีส์วายเติบโตอย่างเห็นได้ชัด จากกลุ่มที่เคยอ่านการ์ตูน ขยายไปคนดูหน้าใหม่ในชั้นประถมปลายมาถึงมัธยมต้นเพิ่มขึ้น "สิ่งที่ทำให้คนเริ่มมาสนใจซีรีส์วาย หรือกระแสวาย เพราะกระแสในโลกออนไลน์ เช่นการสร้างแฮชแท็ก ในระหว่างที่มีการออกอากาศ เกิดการกระตุ้นความสนใจของคนไม่ใช่แค่เพียงกลุ่มผู้ติดตาม แต่ยังขยายไปยังกลุ่มใหม่ ๆ อีกด้วย" นพณัชกล่าว หนึ่งในตัวอย่างที่ชัดเจน คือ กระแสความนิยมของซีรีส์เรื่อง "เพราะเราคู่กัน" ที่กำลังออกอากาศอยู่ในขณะนี้ทั้งทางโทรทัศน์และออนไลน์ อย่าง ไลน์ทีวีและยูทิวบ์ โดยมีคำบรรยายภาษาอังกฤษสำหรับผู้ชมชาวต่างประเทศอีกด้วย โดยในทุกวันศุกร์ในระหว่างซีรีส์ดังกล่าวออกอากาศได้มีเกิด แฮชแท็กเกี่ยวกับซีรีส์เรื่องนี้ เช่น #คั่นกู ขึ้นติดอันดับหนึ่งในทวิตเตอร์ทั้งในไทยและของโลกในบางสัปดาห์ ไทยคือผู้นำวัฒนธรรมวายในภูมิภาค ? รศ.ดร.นัทธนัย เล่าให้ฟังว่า มีปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้อุตสาหกรรมบันเทิงไทยสามารถผลักดันให้วัฒนธรรมวายของไทยมีบทบาทสำคัญในภูมิภาคหรือแม้แต่ในโลก เนื่องจากไทยไม่มีข้อจำกัดทางด้านกฎหมายในเรื่องการผลิตเนื้อหาเกี่ยวกับคนรักเพศเดียวกัน เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศคู่แข่งอย่าง จีน เกาหลีใต้ หรือแม้แต่ประเทศต้นกำเนิดวัฒนธรรมวายอย่าง ญี่ปุ่น "ปัจจัยหลักที่ทำให้วายกลายเป็นที่รู้จักและเป็นที่นิยมเป็นวงกว้างคือ การผสานสื่อ (media convergence) เพราะผู้ผลิตซีรีส์วาย เป็นบริษัทสื่อครบวงจร เช่น การนำนักแสดงไปปรากฏตัวในเทศกาลหนังสือ เพื่อแนะนำนิยายวายที่นำมาทำเป็นซีรีส์ การนำเอาคู่วายออกรายการทีวี แต่งเพลง ทำมิวสิควิดีโอ หรือว่าจัดกิจกรรมพบปะบรรดาแฟนคลับทั้งในประเทศและต่างประเทศ" เขาอธิบาย นพณัช เล่าให้ฟังอีกว่า ความสำเร็จของซีรีส์วายที่ จีเอ็มเอ็มทีวีเคยผลิตและได้รับความนิยมอย่าง "SOTUS The Series พี่ว้ากตัวร้ายกับนายปีหนึ่ง" ก็คือการเปิดตลาดใหม่ ด้วยการการจัด "แฟนมีต" ในเกือบทุกประเทศประเทศในเอเชีย ไม่ว่าจะเป็น จีน ฟิลิปปินส์ เมียนมา สิงคโปร์ เกาหลีใต้ และไต้หวัน อย่างก็ตาม เขาหวังว่า ภายหลังการระบาดของโรคโควิด-19 สิ้นสุดลงอาจจะมีโอกาสจัดแฟนมีตติ้งสำหรับซีรีส์เรื่อง "เพราะเราคู่กัน" ในต่างประเทศเช่นกัน งานสร้างสรรค์ LGBTQ กับ วาย ต่างกันอย่างไร ในแวดวงวิชาการยังมีข้อถกเถียงกันว่า งานเขียนหรืองานสร้างสรรค์วายว่าจะจัดเข้ากลุ่ม วรรณกรรมเกย์ได้หรือไม่ รศ.ดร.นัทธนัย เคยอธิบายในประเด็นนี้ใน วารสารวิชาการหอสมุดแห่งชาติ ฉบับที่ 2 ประจำเดือน กรกฎาคม - ธันวาคม 2562 ว่า ไม่อาจจัดเข้ากลุ่มวรรณกรรมเกย์ได้อย่างสนิทจากคำจำกัดความที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นยาโออิ โดยบทความนี้ได้ยกคำจำกัดความของวรรณกรรมเกย์ที่ให้โดยราชบัณฑิตยสภาว่า "วรรณกรรมเกย์หรือวรรณกรรมชายรักชาย คือ วรรณกรรมที่เน้นความสัมพันธ์ทางเพศหรือความรักใคร่ระหว่างผู้ชายด้วยกัน วรรณกรรมชายรักชายส่วนใหญ่ถูกอำพรางด้วยภาษที่เป็นรหัส และการสื่อสารในรูปแบบแอบแฝงระหว่างพวกเกย์ ซึ่งเป็นผลมาจากการที่สังคมและกฎหมายในโลกตะวันตกถือว่ารักร่วมเพศเป็นสิ่งต้องห้าม" โปรดิวเซอร์ซีรีส์วายแห่งค่ายจีเอ็มเอ็มทีวี บอกกับบีบีซีไทยว่า กลุ่มคนดูซีรีส์วายเติบโตอย่างเห็นได้ชัด จากกลุ่มที่เคยอ่านการ์ตูน ขยายไปคนดูหน้าใหม่ในชั้นประถมปลายมาถึงมัธยมต้นเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ นักวิชาการรายนี้ยังอธิบายเพิ่มเติมถึงบริบทที่แตกต่างอีกอย่างคือ วรรณกรรมหรืองานสร้างสรรค์ยาโออิจะไม่เน้นนำเสนอรูปแบบการใช้ชีวิตในลักษณะที่เป็นเกย์อย่างละเอียด เช่น การไม่นำเสนอหรือวิพากษ์การหาคู่นอน หรือการรณรงค์เพื่อความหลากหลายทางเพศ เรื่องสุขอนามัยทางเพศ ที่พบอยู่บ่อยครั้งในผลงานหรืองานสร้างสรรค์ของเกย์ อย่างไรก็ตาม เขาก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า การมีผลงานวายออกมามากขึ้นก็ทำให้คนทั่วไปได้เห็นภาพของความรักของเพศเดียวกันมากขึ้น แม้ว่าจะไม่ได้มีประเด็นที่เป็นกระบอกเสียงด้านสิทธิของคนรักเพศเดียวกันก็ตาม ส.ส. กอล์ฟ ก้าวไกล ธัญญ์วาริน สุขะพิสิษฐ์ ส.ส. สมาชิกพรรคก้าวไกล หนึ่งในผู้ที่ขับเคลื่อนและรณรงค์สิทธิของกลุ่มเพศทางเลือก หรือ LGBTQ และมีประสบการณ์ในแวดวงภาพยนตร์และอุตสาหกรรมบันเทิง บอกกับบีบีซีไทยว่า สังคมของวายแตกต่างจากสังคมหรือความเข้าใจเรื่อง LGBTQ ในแง่การพูดถึงสิทธิผู้มีความหลากหลายทางเพศ คือ บุคคลคนนั้นรักชอบในเพศเดียวกัน หรือมีความลื่นไหลทางเพศ "ตามขนบของวาย ผู้ชายที่พบชอบผู้ชายด้วยกันในซีรีส์วาย คือ ผู้ชายที่ปกติชอบผู้หญิง แต่ชอบผู้ชายคนนี้คนเดียว และขนบของการเล่านิยายวายหรือซีรีส์วาย ก็จะเล่าในรูปแบบนิยายโรมานซ์แบบผู้ชายผู้หญิง คือ การเปลี่ยนนางเอง เป็นนายเอก โดยไม่ได้มุ่งเน้นที่จะเล่าเรื่องสิทธิของผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ" เธออธิบาย ส.ส. ข้ามเพศคนแรกของรัฐสภาไทยผู้นี้ กล่าวอีกว่า แต่นั่นไม่ได้แปลว่า นิยายวาย หรือซีรีส์วายทั้งหมดเป็นรูปแบบเดียวกัน เพราะที่ผ่านมาเธออ่านนิยายวายและซีรีส์วายหลายเรื่องก็พูดถึงการแต่งงานของเพศเดียวกัน การยอมรับของครอบครัวของพ่อแม่ บางเรื่องยังพูดถึงสภาพสังคมที่ครอบครัวยอมรับไม่ได้ และกล่าวถึงการเรียนรู้ที่จะยอมรับของความรักของเพศเดียวกัน "ถึงแม้ว่าสาววายหรือคนที่นิยมดูจะปฏิเสธว่าเป็นคนละเรื่องกับ LGBT ได้ยากที่จะแยกขาดจากกัน เพราะว่า ในสังคมที่เราต้องต่อสู้เพื่อความรัก ก็ต้องพูดถึงการยอมรับทางสังคม ตรงนี้มองว่าเป็นคุณประโยชน์ของเกิดการพัฒนาการรับรู้ของความเป็นมนุษย์ที่มีความหลากหลายในสังคม" เธอกล่าว นักแสดงซีรีส์วาย คิดอย่างไรต่อประเด็น LGBT ด้านเมธวิน ผู้รับบทเป็น ไทน์ หนึ่งในตัวละครนำในซีรีส์วายเรื่องนี้บอกกับบีบีซีไทยถึงความเห็นต่อกลุ่ม LGBT จากประสบการณ์ร่วมแสดงซีรีส์วายในครั้งแรกครั้งนี้ ว่า เป็นบทบาทที่มีความท้าทายว่าจะเป็นไปตามจินตนาการของคนชมที่ได้อ่านนิยายเรื่องนี้หรือไม่ "พอได้ลงไปเป็นตัวละครจริง ๆ แล้วเราเชื่ออย่างนั้น มันก็มีมุมให้เข้าใจ LGBT นะครับ เข้าใจว่า เออคนที่มันเปลี่ยนจากการชอบผู้หญิงมาชอบผู้ชายมันก็คงมีความรู้สึกแบบนี้นี่เอง ผมว่าเรื่องนี้คงบอกว่า ความรักมันมีหลายรูปแบบ และมันไม่เกี่ยวกับเพศอะไรด้วยครับ" เขากล่าว ขณะที่ วชิรวิชญ์ ผู้รับบทเป็นสารวัตร บอกว่า เขาไม่ได้สนใจว่าเป็นซีรีส์วายหรือไม่วาย สิ่งที่่เขาสนใจคือคาแรคเตอร์ของเรื่องมากกว่า และไม่ได้กังวลเรื่องรสนิยมทางเพศของตัวละคร แต่กังวลว่า ต้องเล่นบทนี้ให้ดีที่สุดเพราะเป็นความคาดหวังของคนดูมากกว่า "สิ่งที่ผมได้เรียนรู้จากเรื่องนี้คือ ความรักมันทำให้คนเรายอมทำอะไรได้ทุกอย่างจริง ๆ ทุ่มเทเพื่อใครสักคน แบบที่สารวัตรมีให้ไทน์ หรือการเรียนรู้ที่จะยอมรับความรู้สึกตัวเองของไทน์ด้วย แล้วได้เรียนรู้เรื่องความรักของกลุ่ม LGBT ที่สังคมควรต้องเปิดกว้างยอมรับให้มากขึ้นด้วย ไม่ว่าเพศไหนก็ควรจะมีเรื่องรักที่น่ารัก ๆ แบบคู่กันครับ" เขาอธิบายถึงสิ่งที่ได้เรียนรู้จากการทำงานครั้งนี้
|
ท่ามกลางข่าวร้ายเรื่องโควิด-19 การหลบออกจากความเป็นจริงไปสู่โลกบันเทิงเป็นหนทางหนึ่งที่หลายคนเลือก โดยมี "ซีรีส์วาย" กลายเป็นหัวข้อที่พูดถึงทุกค่ำคืนวันศุกร์ของกลุ่มคนหนุ่มสาว
|
international-38703015
|
https://www.bbc.com/thai/international-38703015
|
ทรัมป์ทำอะไรไปแล้วบ้าง หลังเข้าสาบานตนเป็นผู้นำสหรัฐฯคนใหม่ ?
|
ประธานาธิบดีสหรัฐฯและสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งคนใหม่ ร่วมเดินในขบวนพาเหรดจากสถานที่ประกอบพิธีสาบานตนไปยังทำเนียบประธานาธิบดี นายทรัมป์ยังลงนามในคำสั่งแรกในฐานะผู้นำฝ่ายบริหาร สั่งการให้องค์กรต่าง ๆ ของรัฐบาลกลาง ลดและผ่อนปรนภาระในการกำกับควบคุมการดำเนินการตามกฎหมายประกันสุขภาพของอดีตประธานาธิบดีโอบามา หรือที่เรียกกันว่าโอบามาแคร์ ในระหว่างที่รัฐสภากำลังพิจารณาหาทางยุบเลิกกฎหมายดังกล่าว และเปลี่ยนมาใช้กฎหมายฉบับใหม่ นอกจากนี้ นายทรัมป์ยังลงนามใช้ข้อยกเว้นทางกฎหมาย เพื่อเปิดทางให้พลเอก เจมส์ แมตทิส ฉายา "หมาบ้า" อดีตผู้บัญชาการนาวิกโยธินสหรัฐฯซึ่งเกษียณอายุแล้ว เข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีกลาโหมคนใหม่ได้ โดยก่อนหน้านี้วุฒิสภาได้ลงคะแนนเสียงเห็นชอบอย่างท่วมท้นให้พลเอกจอห์น เคลลี่ เข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิในรัฐบาลของทรัมป์แล้วเช่นกัน กลุ่มผู้ประท้วงก่อเหตุวุ่นวายขึ้นระหว่างพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งของนายโดนัลด์ ทรัมป์ อย่างไรก็ตาม นายทรัมป์ระบุว่าจะเริ่มงานในตำแหน่งประธานาธิบดีอย่างเป็นทางการในวันจันทร์ที่จะถึงนี้ โดยขณะนี้เว็บไซต์ของทำเนียบประธานาธิบดีสหรัฐฯได้มีการเปลี่ยนแปลงโดยลบนโยบายในการทำงานของนายโอบามาออก และบรรจุประเด็นสำคัญในการทำงานของนายทรัมป์ลงไปแทน 6 เรื่อง คือนโยบายด้านพลังงาน การต่างประเทศ การจ้างงาน การเติบโตทางเศรษฐกิจ การทหาร การบังคับใช้กฎหมาย และข้อตกลงทางการค้า ซึ่งมีผู้วิจารณ์ว่ายังขาดนโยบายในเรื่องสิทธิพลเมือง การประกันสุขภาพ และการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศโลก ก่อนหน้านี้ในระหว่างการทำพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งของนายทรัมป์ ได้มีกลุ่มผู้ประท้วงต่อต้านนายทรัมป์ก่อเหตุวุ่นวายขึ้นหลายแห่งทั้งในกรุงวอชิงตันและที่เมืองอื่น ๆ ทั่วสหรัฐ โดยมีการทุบทำลายร้านค้าและจุดไฟเผารถยนต์ อย่างไรก็ตาม นายทรัมป์ได้กล่าวในสุนทรพจน์เข้ารับตำแหน่งว่า จะทำให้ประเทศเป็นหนึ่งเดียว และการเข่นฆ่านองเลือดของอเมริกาจะต้องยุติลงที่นี่ เดี๋ยวนี้ ซึ่งเป็นการกล่าวเช่นนี้ครั้งแรกในประวัติศาสตร์การสาบานตนเข้ารับตำแหน่งของประธานาธิบดีสหรัฐฯ
|
หลังจากที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 45 สาบานตนเข้ารับตำแหน่งผู้นำอย่างเป็นทางการแล้วเมื่อคืนนี้ (20 ม.ค.) มีการเริ่มงานในฐานะประธานาธิบดีคนใหม่ในทันที โดยเขาลงนามในรายชื่อคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ที่เสนอส่งไปยังวุฒิสภา และลงนามในคำประกาศให้มี "วันแห่งความรักชาติ" ซึ่งกำหนดให้เป็นวันหยุดของทั้งประเทศโดยจะมีขึ้นเพียงครั้งเดียว แต่ยังไม่ชัดเจนว่าวันดังกล่าวจะมีขึ้นเมื่อใด
|
international-40541245
|
https://www.bbc.com/thai/international-40541245
|
"เซิร์น" ค้นพบอนุภาคใหม่มีควาร์กหนัก 2 ตัว
|
อนุภาคดังกล่าวมีชื่อว่า "ซาย-ซีซี-พลัสพลัส" ( Ξcc++ ) จัดว่าเป็นอนุภาคบารีออนซึ่งเป็นจำพวกที่มีควาร์ก 3 ตัว แต่อนุภาคใหม่นี้มีความแตกต่างออกไป โดยควาร์ก 2 ตัวในจำนวนนี้จัดเป็นควาร์กหนัก (Heavy quark) ทั้งคู่ ซึ่งไม่เหมือนกับอนุภาคอื่น ๆ ที่มักมีควาร์กหนักอยู่เพียงตัวเดียว คุณสมบัติพิเศษดังกล่าว ทำให้อนุภาคนี้มีประจุบวกถึงสองตัวซึ่งมากกว่าอนุภาคโปรตอน ทั้งยังมีมวลมากกว่าโปรตอนถึง 4 เท่า นอกจากนี้ การเคลื่อนที่ของควาร์กหนัก 2 ตัวในอนุภาคใหม่ยังมีลักษณะพิเศษ โดยต่างโคจรรอบกันและกันในทิศทางคงที่คล้ายระบบดาวคู่ในอวกาศอีกด้วย ก่อนหน้านี้ ทฤษฎีทางฟิสิกส์อนุภาคได้ทำนายถึงการมีอยู่ของอนุภาคที่มีควาร์กหนักเป็นคู่มาก่อนแล้ว แต่ครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกที่มีการค้นพบอนุภาคดังกล่าวจริง โดยการที่มันมีทั้งควาร์กหนักและประจุบวกอยู่เป็นคู่ในนิวเคลียส ทำให้นักวิทยาศาสตร์ต้องหันมาทำความเข้าใจเรื่องแรงนิวเคลียร์แบบเข้ม (Strong nuclear force) ซึ่งทำหน้าที่ยึดเหนี่ยวอนุภาคในนิวเคลียสเอาไว้ด้วยกันเสียใหม่ ส่วนหนึ่งของเครื่องชนอนุภาค Large Hadron Collider (LHC) ดร. แพทริก สแปรดลิน จากมหาวิทยาลัยกลาสโกว์ของสหราชอาณาจักร ผู้นำคณะวิจัยของ LHCb บอกว่าการค้นพบในครั้งนี้เปิดทางไปสู่การค้นคว้าหาความรู้แขนงใหม่ และจะมีการตีพิมพ์เผยแพร่รายละเอียดของเรื่องนี้ในวารสารวิชาการ Physical Review Letters ต่อไป ทั้งนี้ สสารทั่วไปรอบตัวเรา ประกอบด้วยอะตอมซึ่งมีโปรตอนและนิวตรอนเป็นส่วนประกอบของศูนย์กลางอะตอมหรือนิวเคลียส โดยส่วนประกอบย่อยของโปรตอนและนิวตรอนนั้นได้แก่ควาร์ก 3 ตัว ซึ่งมีทั้งควาร์กแบบหนักและแบบเบา ควาร์กที่มีอยู่ด้วยกัน 6 ประเภท จะประกอบกันขึ้นเป็นอนุภาคชนิดต่าง ๆ แต่ส่วนใหญ่แล้วอนุภาคทั่วไปจะมีควาร์กหนักอยู่เพียงตัวเดียวเท่านั้น
|
องค์การเพื่อการวิจัยนิวเคลียร์แห่งยุโรปหรือ เซิร์น (CERN) เปิดเผยว่าหน่วยปฏิบัติการย่อย LHCb ของเครื่องชนอนุภาคแอลเอชซี (LHC) ได้ค้นพบอนุภาคชนิดใหม่ซึ่งมีควาร์กแบบหนักอยู่ด้วยกันถึง 2 ตัว ทำให้เป็นอนุภาคที่มีมวลมากกว่าโปรตอนถึง 4 เท่า ซึ่งเป็นคุณสมบัติพิเศษที่จะช่วยให้นักฟิสิกส์ได้เรียนรู้ทำความเข้าใจเรื่องแรงนิวเคลียร์แบบเข้มมากยิ่งขึ้น
|
thailand-53419767
|
https://www.bbc.com/thai/thailand-53419767
|
โควิด-19 : ตำรวจรวบ 2 ผู้ประท้วง ขณะนายกฯเยือนระยอง หลังเหตุชาวอียิปต์แพร่เชื้อ
|
ก่อนหน้านั้น ผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ Nutchanon Payakaphan ถ่ายทอดสดผ่านเฟซบุ๊กขณะตนและนายภาณุพงศ์ กำลังชูป้ายเขียนว่า "การ์ดอย่าตกพ่อ**" และ "อยู่ต่อก็ฉิบหายออกไปไอ้สั*" ขณะยืนอยู่ริมถนนใหญ่ในจังหวัดระยอง ในคลิปถ่ายทอดนี้ นายภาณุพงศ์ระบุขณะถือป้ายว่า "นี่คือสิทธิของผมครับ… นี่คือเสียงของประชาชนครับ" ขณะถูกห้อมล้อมไปด้วยเจ้าหน้าที่อย่างน้อย 5 ราย นายภาณุพงศ์ตั้งคำถามว่านายกรัฐมนตรีจะรับผิดชอบอย่างไรกับการที่ชาวระยองต้องประสบปัญหาอยู่ตอนนี้ ส่งผลกระทบต่อการไปโรงเรียนของนักเรียน ผู้ประกอบการ และประชาชนโดยทั่วไปที่ต้องหวาดระแวง "อยากให้ท่านนายกลาออกครับ ง่าย ๆ สั้น ๆ" นายภาณุพงศ์ กล่าว เมื่อวันที่ 8 ก.ค.มีบุคคลในคณะทหารสัญชาติอียิปต์วัย 43 ปี ซึ่งเป็นลูกเรือเครื่องบินทหารที่มาลงจอดที่ท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภา ติดเชื้อโควิด-19 จากการตรวจเชื้อยืนยันครั้งที่ 2 และพบว่ามีการออกนอกพื้นที่ไปยังห้างสรรพสินค้า "เราจะต้องขออภัยในสิ่งที่เกิดขึ้นทุก ๆ เรื่อง และจะรับมาเป็นข้อปฏิบัติและทำให้ดีที่สุด ในชุดข้อต่อเล็ก ๆ ในจุดที่หละหลวมทุก ๆ จุด" นพ.ทวีศิลป์ กล่าว ในเวลาต่อมา พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้บอกว่าการไม่กักตัวว่าเป็นเรืองที่ไม่น่าเกิดขึ้นและเป็นความไม่เคารพกติกา ไม่มีวินัย ไม่รับผิดชอบต่อส่วนรวม "ผมในฐานะเป็นผู้อำนวยการ ศบค. ขอรับผิดชอบในส่วนตรงนี้ด้วย" พล.อ. ประยุทธ์ กล่าว เมื่อถ่ายทอดสดไปได้ราว 8 นาที มีกลุ่มเจ้าหน้าที่ตำรวจพยายามเข้าไปเจรจาและดันตัวผู้ประท้วงทั้งสองขึ้นรถ คลิปจากเฟซบุ๊กช่องไทยพีบีเอสแสดงให้เห็นว่าเจ้าหน้าที่เริ่มใช้แรงมากขึ้นเรื่อย ๆ ในการพยายามดันผู้ประท้วงขึ้นรถ ขณะผู้ประท้วงถามซ้ำ ๆ ว่าจะนำตัวพวกเขาไปด้วยข้อหาอะไรแต่ไม่ได้รับคำตอบ "อย่า อย่าทำร้ายคนบริสุทธิ์ ...ไม่ ผมไม่ผิดแล้วผมจะไปทำไม" นายภาณุพงศ์ กล่าว ในที่สุด เจ้าหน้าที่ก็ผลักผู้ประท้วงเข้ารถได้สำเร็จ ขณะที่คนที่ยืนอยู่รายล้อมถามว่าจับพวกเขาเรื่องอะไร แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบ โดยไทยพีบีเอสระบุว่า เจ้าหน้าที่อ้างว่าจะพาไป สภ.เมืองระยอง ล่าสุด บีบีซีไทยติดต่อไปยัง พ.ต.อ.ฐาปนะ คลอสุวรรณา ผกก.สภ.เมืองระยอง แต่ได้รับคำตอบว่ายังไม่ทราบว่าจะตั้งข้อหาอะไร และพรุ่งนี้คณะกรรมการสอบสวนจะสรุปอีกที ในเวลาต่อมา ผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ Nutchanon Payakaphan ระบุผ่านเฟซบุ๊กว่าอยู่ที่สนามยิงปืน หน่วยปฏิบัติการพิเศษ ภ.จว.ระยอง ซึ่งตำรวจพามาปล่อยไว้ ก่อนที่จะมีการพยายามควบคุมตัวอีกครั้งแต่ผู้ประท้วงทั้งสองไม่ยอม เพราะตำรวจไม่มีการแจ้งข้อหา ในเวลาต่อมา ผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ Nutchanon Payakaphan ระบุว่ากำลังเดินทางไป สภ.เมืองระยอง เพื่อแจ้งข้อกล่าวหากับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่จับเขาและเพื่อน "โดยใช้ความรุนแรงและไม่แจ้งข้อกล่าวหา" นายกฯ ตำหนิสื่อกระพือข่าวให้คนตระหนก ในช่วงเช้าก่อนที่จะเดินทางไป จ. ระยอง พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวตำหนิสื่อมวลชนเรื่องการเสนอข่าวกรณีทหารอียิปต์ติดเชื้อโควิด-19 ว่า ให้ลดการ "โหมกระพือ" เมื่อนักข่าวถามถึงการเยียวยาความเสียหายที่ชาวระยองต้องกลับมาหวั่นวิตกอีกครั้ง พล.อ.ประยุทธ์ บอกว่า "ผมต้องไปเยียวยาใครล่ะ พ่อค้าต่าง ๆในตลาดสดที่คนไม่ไปเดินอย่างนั้นใช่ไหม หรือประชาชนที่ขายของไม่ได้ใช่ไหม ก็เพราะเขาตื่นตระหนกใช่ไหม แล้ววันนี้เจอคนติดเชื้อหรือยัง พวกคุณก็ต้องบอกให้เขารู้เรื่องว่ายังไม่เจอคนติดเชื้อ ให้ช่วยกันออกมาซื้อของให้ใช้ชีวิตตามปกติ ใครสงสัยก็ไปหาหมอ ทำงานอย่างนี้ถึงจะแก้ปัญหาได้" ส.ส.ก้าวไกลตั้งกระทู้สดเรียกร้องเยียวยาผลกระทบเศรษฐกิจระยอง นายขวัญเลิศ พานิชมาท ส.ส.ชลบุรี พรรคก้าวไกล ตั้งกระทู้สดถามถึงกรณีครอบครัวคณะทูตซูดานและทหารอียิปต์ โดยถามรัฐบาลว่าจะมั่นใจได้อย่างไรว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก เขาบอกว่า หลังจากระยองไม่มีผู้ติดเชื้อถึง 101 วันติดต่อกัน แต่ตอนนี้ประชาชนไม่กล้าเดินห้างสรรพสินค้า ยกเลิกโรงแรมในระยองร้อยละ 90 และเด็กนักเรียน ผู้ประกอบการ และประชาชนโดยทั่วไปต้องเดือดร้อน ส.ส.ชลบุรี พรรคก้าวไกล ถามอีกว่า นอกจากคำขอโทษแล้ว รัฐบาลจะเยียวยาความเสียหายทางเศรษฐกิจอย่างไร นายสาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรีให้มาชี้แจงระบุว่า สิ่งแรกที่ต้องทำคือทำให้ประชาชนมีความเชื่อมั่น กลับมาใช้ชีวิตปกติ ให้เศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัวเร็วที่สุด ใช้ทรัพยากรทั้งหมดของกรมควบคุมโรค ลงพื้นที่ตรวจเชิงรุก นายสาธิต ย้ำว่า ทูตและนักบินไม่ได้มีอภิสิทธิ์พิเศษ แต่เป็นกลุ่มที่ได้รับข้อยกเว้นตามมาตรการ ศบค. โดยนายกรัฐมนตรีและกลุ่มงานที่เกี่ยวข้องกำลังตรวจสอบข้อเท็จจริง ถอดบทเรียน แก้ไขสิ่งที่บกพร่องที่เกิดขึ้น อธิบดีกรมควบคุมโรคสั่งสอบสวน ย้ายหัวหน้าด่านควบคุมโรคอู่ตะเภา ประชาชนที่เคยมาใช้บริการและพนักงานร้านค้าในห้างแพสชั่นวัน ช็อปปิ้ง เดสทิเนชั่น หรือห้างแหลมทอง ซึ่งเป็นกลุ่มเสี่ยงจากกรณีลูกเรือคณะทหารอียิปต์ เข้ารับการตรวจโรคโควิด-19 จากรถเก็บตัวอย่างชีวนิรภัยพระราชทาน ซึ่งกรมควบคุมโรคนำมาจอดให้บริการประชาชนฟรี นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า จากการสืบสวนโรคขณะนี้มีการดำเนินการเร่งด่วน 3 เรื่อง ดังนี้ 1. สอบสวนโรคอย่างครบถ้วน นพ.สุวรรณชัย ชี้ว่าสิ่งแรกที่ต้องทำตอนนี้คือ "การตีกรอบพื้นที่สัมผัส" เพื่อให้สามารถหาผู้สัมผัสเสี่ยงสูง และลดความตื่นตระหนก โดยจากกลุ่ม 31 คน มีผู้ป่วยยืนยันเพียง 1 ราย ซึ่งเข้ามาอยู่ในประเทศไทยวันที่ 8 ก.ค. ก่อนเดินทางออกไปในวันที่ 11 ก.ค. ในระหว่างนั้นมีการออกไปทำภารกิจทางการทหาร 2 ครั้ง นพ.สุวรรณชัย กล่าวว่า ผู้ป่วยคนดังกล่าวฝ่าฝืนกฎครั้งเดียวในวันที่ 10 ก.ค. โดยออกจากโรงแรมที่พักไปยังห้างแหลมทอง ในช่วงเวลาระหว่าง 11.00-15.00 น. ซึ่งผู้ป่วยมีการออกไปกับกลุ่ม 6 คนซึ่งมีการสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา จากการสอบสวนไม่ได้มีการแวะรับประทานอาหาร หรือซื้อสินค้าแต่อย่างใด อธิบดีกรมควบคุมโรค ยืนยันว่า การปิดสถานที่ที่มีการชุมนุมของคนหมู่มากนับเป็นเรื่องที่ดี แต่อาจไม่จำเป็นในทุกกรณีเนื่องจากผู้ที่ติดเชื้อมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนจำนวนน้อย อย่างไรก็ตาม แม้ผู้ที่อยู่ในสถานที่ตามช่วงเวลาดังกล่าวจะไม่ได้เป็นกลุ่มเสี่ยงสูงแต่ก็สามารถขอคำปรึกษาหรือเข้ารับตรวจเชื้อได้ที่สถานพยาบาลใกล้บ้าน รวมถึงใช้บริการรถตรวจโรคติดเชื้อชีวนิรภัยได้ เมื่อวานนี้ มีการเก็บตัวอย่างไปทั้งสิ้น 1,333 ตัวอย่าง ผลตรวจออกมาแล้ว 416 คน ยังไม่พบการติดเชื้อ แต่บุคคลดังกล่าวจะได้รับการแจ้งผลเป็นรายคน และต้องปฏิบัติตามขั้นตอนสาธารณสุขจนครบ 14 วัน หากมีอาการระหว่างนั้นสามารถเข้ารับการตรวจเพิ่มเติมได้ ประชาชนกลุ่มเสี่ยงเข้ารับการเก็บตัวอย่างเชื้อเพื่อตรวจโรคโควิด-19 ที่ห้างแพสชั่นวัน ช็อปปิ้ง เดสทิเนชั่น หรือห้างแหลมทอง 2. ควบคุมป้องกันโรคอย่างรวดเร็ว และเหมาะสม นพ. สุวรรณชัย กล่าวว่า ขณะนี้มีการค้นหาผู้ป่วยเสี่ยงสูงเพื่อตรวจและแยกกักกันทั้งหมดแล้ว และมีการสั่งปิดสถานตามข้อมูลการสอบสวนเพื่อทำความสะอาด คือ โรงแรม DVaree และห้างแหลมทอง ไม่น้อยกว่า 3 วัน โดยสาธารณสุขจังหวัดจะเข้าไปประเมินความปลอดภัยก่อนเปิดทำการ สำหรับการปิดโรงเรียนนั้น นพ.สุวรรณชัยย้ำว่าเป็นสิ่งที่ดี แต่จาการสืบสวนโรคพบว่าความเสี่ยงอยูในวงจำกัด การพิจารณาเปิดโรงเรียนอีกครั้งจึงน่าจะไม่เกิน 7 วัน 3. ยกระดับการบูรณาการทุกจุด เมื่อตรวจสอบพบประเด็นที่เป็นปัญหา 2 ประการ คือ การฝ่าฝืนของกลุ่มทหาร และโรงแรมไม่มีระบบเฝ้าระวังผู้กักกันไม่ให้ออกนอกพื้นที่อย่างดีพอ เบื้องต้นจึงมีตั้งคณะกรรมการสืบข้อเท็จจริง โดยกำหนดให้เลขาคณะกรรมโรคติดต่อ จ.ระยอง จัดการให้ทุกโรงแรม หรือสถานที่กักกัน ดำเนินการ 3 เรื่อง คือ 1. ด้านบริหารจัดการต้องมีผู้ประเมินสถานการณ์และมีอำนาจตัดสินใจ กรณีมีผู้เข้าไปกักกัน 2. ด้านความปลอดภัย จะต้องมีระบบควบคุมให้ผู้กักตัวต้องทำตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด 3. ด้านสาธารณสุขจะเน้นการป้องกันควบคุมโรคอย่างเข้มงวด "ในอำนาจหน้าที่ของผมได้พิจารณาให้มีการย้ายหัวหน้าด่านติดต่อควบคุมโรคระหว่างประเทศ และผู้ปฏิบัติงานทั้งหมดที่สนามบินอู่ตะเภาให้ออกไปก่อน พร้อมกับให้บุคลากรจากสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 6 ที่มีที่ตั้งที่ชลบุรีนั้นจัดบุคลากรเข้าไปปฏิบัติหน้าที่แทนเรียบร้อยแล้ว" นพ.สุวรรณชัย กล่าว สำหรับกรณีผู้ที่เข้าพักในโรงแรมดังกล่าว และมีการเดินทางกลับภูมิลำเนาใน จ.พิษณุโลกแล้วนั้น นพ.โสภณ เอี่ยมศริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป ชี้แจงว่า มีการรายงานตัวกับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขจังหวัดแล้ว 5 คน ผลการตรวจรอบแรกผลเป็นลบ ขณะนี้มีการแยกตัวเพื่อเฝ้าระวังจนครบ 14 วัน อีกทั้งคนที่ลงทะเบียนในระบบไทยชนะ จะมีการส่งข้อความไปยังเลขหมาย 394 หมายเลขเพื่อให้เข้ารับการตรวจ ความคืบหน้าเด็กซูดาน นพ.เอนก มุ่งอ้อมกลาง ผู้อำนวยการสถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง กล่าวว่า ได้มีการจัดบริการตรวจเชื้อให้กับผู้พักอาศัยในคอนโดมิเนียมดังกล่าวทั้งหมด เบื้องต้นคอนโดมีมาตรการลดความเสี่ยงดีมาก และผู้ป่วยมีช่วงเวลาในการสัมผัสต่ำ ซึ่งจะมีการติดตามต่อจนครบ 14 วัน โดยขณะนี้ได้เก็บตัวอย่างผู้เกี่ยวข้องกรณีดังกล่าวส่งตรวจไปแล้ว 266 ราย ผลจะออกในเย็นวันนี้(15 ก.ค.) ด้าน นพ.สุวรรณชัย กล่าวว่า กรณีเที่ยวบินนี้ที่เดินทางมาจากซูดาน มีผู้โดยสารทั้งหมด 245 คน ซึ่งตามหลักการทุกคนต้องกักกันในสถานที่ของรัฐ แต่ในการคัดกรองพบบุคคลมีอาการเข้าข่าย 47 คน ซึ่งมีการเก็บตัวอย่างตรวจที่สนามบิน โดยมีครอบครัวทูตรวมอยู่ด้วย อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ครอบครัวทูตนั้นมีแม่กับเด็กเล็ก ซึ่งมีการเก็บตัวอย่างที่สนามบิน และอำนวยความสะดวกให้ไปกักที่สถานทูตเนื่องจากเป็นเด็กเล็ก เมื่อผลออกมาติดเชื้อ 1 คนจากทั้งหมด 5 คน โดยลูกสาวคนโตได้เข้ารับการรักษาตามที่เป็นข่าว และจากการสืบสวนสมาชิกในครอบครัวที่ไม่ติดเชื้อไม่ได้มีการเดินทางออกนอกสถานที่ ยังคงดำเนินการตามมาตรการทุกประการ ไทม์ไลน์เด็กหญิงซูดาน แรกเริ่ม กรมควบคุมโรคได้รับแจ้งจากสถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมืองว่าพบผู้ป่วยยืนยัน เป็นหญิงชาวซูดานอายุ 9 ปี เป็นบุตรสาวของอุปทูตซูดานประจำประเทศไทย จึงได้สอบสวนโรคเพิ่มเติม ณ บ้านพักสถานทูตซูดานและวัน เอ็กซ์ คอนโดมิเนียม(ONE X Condominium) นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศบค. กล่าวระหว่างการแถลงวานนี้ (14ก.ค.) ว่า ในขณะที่อยู่ซูดานนั้น ครอบครัวดังกล่าวอยู่ในบ้านพักชั้นเดียว ขนาด 3 ห้องนอน ซึ่งมีผู้อาศัยร่วมกัน คือ ปู่ ย่า มารดา และน้องสาวอีก 3 คน ซึ่งมารดาเป็นคนเดียวที่จะออกนอกบ้านเพื่อซื้ออาหาร ซึ่งไม่มีใครมาเยี่ยมเยือนที่บ้าน โดยผู้ป่วยรายดังกล่าวไม่ได้ออกนอกบ้านมาตั้งแต่วันที่ 12 มี.ค. 7 ก.ค. : มารดานำผู้ป่วยและครอบครัวรวม 5 คน ไปตรวจหาเชื้อก่อนเดินทางที่ รพ.แห่งหนึ่งในซูดาน โดยปฏิเสธการสัมผัสคนไข้อื่นที่อยู่ใน รพ. และตรวจไม่พบเชื้อ 9 ก.ค. : เดินทางมาไทยด้วยสายการบินอียิปต์แอร์ เที่ยวบิน MZ3277 ซึ่งมีคนไทยอยู่ในเที่ยวบินดังกล่าว 245 คน โดยครอบครัวดังกล่าวนั่งที่เดิมตลอดการเดินทาง 10 ก.ค. : เวลาราว 5.40 น. เดินทางถึงสนามบินสุวรรณภูมิ ผ่านการตรวจคัดกรอง ก่อนที่จะเก็บตัวอย่างเพื่อตรวจเชื้อ ก่อนที่ผู้เป็นบิดา พร้อมคนขับรถ และเจ้าหน้าที่ทางการทูต ซึ่งใส่หน้ากากอนามัย จะมารับครอบครัวกลับไป รองอธิบดีกรมควบคุมโรค ลงพื้นที่ที่คอนโด วัน เอ็กซ์ สุขุมวิท 26 สถานที่ซึ่งมีเด็กหญิงชาวซูดาน อายุ 9 ขวบ ครอบครัวคณะทูตติดเชื้อโควิด-19 10 ก.ค. : เมื่อถึงคอนโดมิเนียม ผู้ป่วยยังคงใส่หน้ากาก ขณะที่น้องสาวคนเล็กและมารดาไม่ได้ใส่ขึ้นลิฟต์คอนโดมิเนียม ไม่ได้พบปะกับใครก่อนที่เจ้าหน้าที่จะโทรแจ้งว่าติดเชื้อ ก่อนที่รถของสถานทูตจะนำตัวไปเข้ารับการรักษาที่ รพ.พญาไท นวมินทร์ ระหว่างการรักษา ผู้ป่วยมีอาการปอดอักเสบและขอย้ายไปสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี 10-11 ก.ค. : อุปทูตและครอบครัวพักในคอนโดมิเนียม โดยไม่ได้ใช้บริการพื้นที่ส่วนกลาง 12 ก.ค. : เวลา 4.00 น. ผู้สัมผัสในครอบครัวทั้งหมดย้ายไปพักที่บ้านพักสถานทูตซูดาน ซอยสวนพลู โฆษก ศบค. กล่าวเพิ่มเติมว่า ได้จำแนกผู้สัมผัสเป็น 2 กลุ่ม คือ เสี่ยงสูง 7 คน ประกอบด้วย คนในครอบครัว คนขับรถ เจ้าหน้าที่สถานทูต และคนขับรถตู้ และเสี่ยงต่ำ ซึ่งเป็นผู้ที่ใช้ลิฟต์ต่อจากครอบครัวดังกล่าว 15 คน ทหารกลับจากฮาวาย อีกกรณีหนึ่งที่ถูกพูดถึงตามรายงานของ นสพ. สยามรัฐเมื่อวานนี้(14 ก.ค.) ว่ากำลังพลกองทัพบก 151 นาย ที่จะเสร็จสิ้นการฝึก "Lightning Forge Exercise 2020 (LF 2020)" รัฐฮาวายของสหรัฐฯ และกำลังจะเดินทางกลับถึงไทยในวันที่ 22 ก.ค. จึงสร้างความกังวลว่าจะเกิดกรณีเช่นเดียวกับที่ จ.ระยอง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก ร่วมประชุมหารือถึงมาตรการรองรับการเดินทางกลับของกำลังพลทั้งหมด โดยเบื้องต้นจะให้ตรวจสุขภาพก่อนที่จะเดินทางขึ้นเครื่อง และทันทีที่ถึงจะเข้ารับการตรวจหาเชื้อทันที ก่อนที่จะเข้าพักในโรงแรมที่กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นสถานที่กักกันของรัฐในความดูแลของกองทัพบก อีกข้อสงสัยหนึ่งมาจากเอกสารเผยแพร่ของ จ.นครราชสีมา ว่าจะนำทหารทั้ง 151 นาย กลับมาพักในตัวจังหวัดนั้น พล.ท.ธัญญา เกียรติสาร แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าวว่า ทหารทั้งหมดเป็นกำลังพลของกองทัพภาคที่ 2 ที่ไปเข้ารับการฝึก แต่อย่างไรก็ตามทั้งหมดจะเข้ากักกักกันในกรุงเทพฯ ทันที ตามที่ ศบค.กำหนด เอกสารที่พูดถึงดังกล่าวเป็นเพียงขั้นตอนการหารือเพื่อหามาตรการร่วมกับทางจังหวัดก่อนหน้านี้เท่านั้น วันนี้พบผู้ป่วยใหม่ 5 ราย สำหรับสถานการณ์ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในไทยในรอบ 24 ชั่วโมงวันนี้(15 ก.ค.) พบผู้ติดเชื้อเพิ่ม 5 ราย ซึ่งทั้งหมดอยู่ในสถานที่กักกันของรัฐ ทำให้ภาพรวมไทยมีผู้ป่วยยืนยันสะสม 3,232 ราย ผู้เสียชีวิตคงที่ 58 ราย ยังรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 82 ราย และรักษาหายแล้ว 3,092 ราย พญ.พรรณประภา ยงค์ตระกูล ผู้ช่วยโฆษก ศบค. กล่าวว่า ผู้ป่วยรายใหม่ที่พบนั้นเป็นผู้ที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ ส่งผลให้ผู้ติดเชื้อจากมาตรการกักกันสะสมไปแล้ว 295 ราย โดยผู้ป่วยรายใหม่นั้น 5 ราย จำแนกได้ดังนี้ -สหรัฐฯ 1 ราย เป็นหญิงไทย อายุ 48 ปี เดินทางเข้าพักในสถานกักกัน ต่อมามีอาการไม่ได้กลิ่น เจ็บคอ มีเสมหะ และตรวจพบยืนยันว่าติดเชื้อ -สิงคโปร์ 2 ราย เป็นชายไทยอายุ 43 และ 49 ปี ทั้งสองรายเข้าเกณฑ์สอบสวนโรค (PUI) จึงตรวจคัดกรองที่สนามบืนสุวรรณภูมิ ก่อนผลยืนยันติดเชื้อ -สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 2 ราย เป็นชายไทยอายุ 27 ปีและหญิงไทยอายุ 35 ปี ทั้งสองรายไม่มีอาการแต่อย่างใด
|
สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอสรายงานว่า นายภาณุพงศ์ จาดนอก แกนนำเยาวชนตะวันออกเพื่อประชาธิปไตย พร้อมกับเพื่อนอีกหนึ่งคนถูกเจ้าหน้าที่รวบตัวพาขึ้นรถไปโดยอ้างว่าจะพาไป สภ.เมืองระยอง
|
international-41940525
|
https://www.bbc.com/thai/international-41940525
|
ที่ไหนในโลกที่มีผู้หญิงในวงการวิทยาศาสตร์มากกว่าผู้ชาย?
|
ส่วนหนึ่งของรายงานขององค์การเพื่อการศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ ยูเนสโก เกี่ยวกับผู้หญิงในวงการวิทยาศาสตร์ทั่วโลก ระบุว่าหลายประเทศมีสัดส่วนนักวิจัยผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย โดยประเทศที่โดดเด่นอย่างมากในเอเชียคือ เมียนมา ซึ่งมีสัดส่วนนักวิจัยเป็นผู้หญิง 85.5% ถือว่าสูงสุดในเอเชีย ขณะที่สัดส่วนทั่วโลกมีไม่ถึง 30% แต่ยูเนสโกเองยอมรับว่าจริง ๆ แล้วตัวเลขอาจจะไม่สูงถึงขนาดนั้น เพราะข้อมูลที่ใช้เป็นพื้นฐานในการจัดทำรายงานนั้นได้มาจากข้อมูลที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของเมียนมา รวบรวมขึ้นเมื่อปี 2002 และมหาวิทยาลัยของเมียนมาหลายแห่งอาจนับรวมอาจารย์ผู้สอนทุกคน ไม่ใช่เฉพาะผู้ที่ทำงานวิจัย ยังคงมากกว่าครึ่ง แม้ว่าตัวเลขจริงอาจไม่สูงถึง 85.5% แต่ก็ดูเหมือนว่านักวิจัยส่วนใหญ่ในเมียนมาเป็นผู้หญิง จากการตรวจสอบจำนวนเจ้าหน้าที่ด้านวิทยาศาสตร์ประจำมหาวิทยาลัยย่างกุ้งในปี 2013 พบว่าในจำนวนผู้ดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์และรองศาสตราจารย์ 45 คน ในจำนวนนี้ 31 คน เป็นผู้หญิง ดร. ทาซิน ฮาน เป็นหัวหน้างานวิจัยอาหารที่กรมวิจัยและนวัตกรรมของรัฐบาลเมียนมา ดร. ทาซิน ฮาน หัวหน้างานวิจัยอาหารที่กรมวิจัยและนวัตกรรมของรัฐบาลเมียนมา เล่าถึงผลงานของเธอเกี่ยวกับการใช้เปลือกกุ้งเหลือทิ้งเพื่อนำมาทำเป็นปุ๋ยว่า ถือเป็น "งานวิจัยที่ให้ผลคุ้มค่ามากที่สุด" "ผลงานนี้มีประโยชน์ต่อเกษตรกรของเรามาก" เธอกล่าว ดร. ฮาน กล่าวว่าศาสตราจารย์ผู้เชี่ยวชาญในสายงานเดียวกับเธอ ทุก ๆ 9 ใน 10 คน เป็นผู้หญิง แต่พวกเธอก็ไม่ต่างจากนักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ในเมียนมาที่เป็นพนักงานของรัฐ นั่นหมายความว่า งานที่ทำไม่ได้ให้ผลตอบแทนที่สูงนัก "สภาพเศรษฐกิจของเมียนมาทำให้ผู้ชายต้องทำงานหาเงินเพื่อเลี้ยงดูครอบครัว" ดร. ฮาน กล่าว "เงินเดือนของฉัน ซึ่งเป็นระดับบริหาร อยู่ที่ประมาณ 300 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อเดือน (ประมาณ 10,500 บาท)" เธอบอกว่าเงินเดือนจำนวนนี้ไม่เพียงพอจุนเจือครอบครัว ดังนั้นผู้ชายจึงไม่เลือกที่จะทำอาชีพนี้ นักวิทยาศาสตร์ของทางการเมียนมา ยังคงเผชิญความท้าทายอีกหลายอย่าง รวมถึงการขาดแคลนทรัพยากร และความเสี่ยงที่จะถูกโอนย้ายไปประจำที่มหาวิทยาลัยซึ่งไม่มีแผนกวิจัย ดร. ฮาน เองก็เคยถูกย้ายไปประจำที่มหาวิทยาลัยในเมืองที่อยู่ห่างไกล โดยไม่มีแผนกวิจัยเป็นเวลา 6 ปี และเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เธอเพิ่งถูกย้ายมาประจำในหน่วยงานที่เธอสามารถทำงานวิจัยได้อีกครั้ง "ฉันกลับมามีชีวิตที่มีความสุขอีกครั้ง" เธอพูด เจ้าหญิงนักเคมี ลองมาดูอีก 2 ประเทศซึ่งมีนักวิจัยส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง นั่นก็คือไทย โดยมีสัดส่วน 53.3% และตูนิเซีย ซึ่งอยู่ที่ 53.9% ยูเนสโกระบุว่า ตัวเลขของทั้งสองประเทศดูน่าจะใกล้เคียงความเป็นจริง รศ.ดร.พัชณิตา ธรรมยงค์กิจ แห่งภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเคมีอินทรีย์ มีดีกรีรางวัลระดับโลก แต่เธอก็เคยถูกเข้าใจผิดว่าเป็นเลขานุการของนักวิทยาศาสตร์ชายที่เข้าร่วมประชุมงานหนึ่งเมื่อปี 2551 ผู้จัดงานเข้าใจว่าศาสตราจารย์ที่เข้าร่วมประชุมนั้นเป็นผู้ชาย รศ.ดร.พัชณิตา ธรรมยงค์กิจ กล่าวว่า เธอภูมิใจที่จะเรียกตัวเองว่า นักสนับสนุนสิทธิสตรี รศ.ดร.พัชณิตา ซึ่งมีความภาคภูมิใจที่จะเรียกตัวเองว่าเป็นนักสนับสนุนสิทธิสตรี เล่าว่า ราชวงศ์ไทยทรง "นำทาง" สนับสนุนให้ผู้หญิงเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ทรงศึกษาด้านเคมี และทรงจบการศึกษาในปี 2522 ทั้งยังทรงสนับสนุนวงการวิทยาศาสตร์ในไทยอย่างต่อเนื่อง พระองค์ทรงเป็นนักวิทยาศาสตร์เอเชียพระองค์แรกที่ทรงได้รับการทูลเชิญให้เข้าร่วมเป็นสมาชิกกิตติมศักดิ์ของสมาคมเคมีอังกฤษ รศ.ดร.พัชณิตา กล่าวว่า "คนจากหลายประเทศถึงกับออกปากว่า 'โอ้ คุณมีเจ้าหญิงเป็นนักเคมีเหรอ'" งานวิจัยด้านวิชาการอาจน่าดึงดูดใจสำหรับผู้หญิงด้วยหลายเหตุผล ประเทศไทยกำหนดให้ผู้หญิงลาคลอดได้ 3 เดือน และอาชีพในวงการวิชาการ "ก็ไม่เลวร้ายสำหรับการเป็นแม่" นักวิทยาศาสตร์หญิงแห่งจุฬาฯ กล่าวว่า "โรงเรียนในสังกัดมหาวิทยาลัยเปิดรับเด็กเข้าเรียนตั้งแต่ระดับอนุบาลจนถึงมัธยมศึกษาปีที่ 6 เมื่อเจ้าหน้าที่ในคณะตั้งครรภ์ ก็สามารถเอาชื่อลูกไปลงทะเบียนได้ทันที" เส้นทางที่เต็มไปด้วยอุปสรรคของนักวิทยาศาสตร์ตูนิเซีย ในตูนิเซียนั้นผู้หญิงในแวดวงวิทยาศาสตร์ต้องเผชิญกับปัญหาหลายอย่าง ศ.อูม คาลทูม เบน ฮัสซีน นักชีววิทยาทางทะเล ซึ่งศึกษาเกี่ยวกับความหลากหลายทางชีวภาพของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน บอกว่าแนวคิดหัวเก่าในสังคมตูนิเซียทำให้เธอเกือบไม่ได้ทำงานด้านวิทยาศาสตร์ "ตอนอายุ 12 ปี ครอบครัวของฉันอยากให้ฉันลาออกจากโรงเรียนเพื่อไปแต่งงาน" เธอเล่าถึง "เส้นทางที่เต็มไปด้วยอุปสรรค" กว่าจะได้เป็นนักวิทยาศาสตร์ ศ.เบน ฮัสซีน บอกว่า เธอเป็นเด็กผู้หญิงคนแรกในเมืองบ้านเกิดทางใต้ของตูนิเซีย ที่ได้เรียนต่อในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย เธอได้แรงบันดาลใจในการเลือกเรียนวิทย์จากจากครูสอนวิทยาศาสตร์ของเธอเอง ที่ผ่านมาตูนิเซียจะเป็นประเทศที่มีพัฒนาการด้านความความเท่าเทียมทางเพศมากกว่าชาติอื่นในตะวันออกกลาง แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมาตูนิเซียจะเป็นประเทศที่มีพัฒนาการด้านความความเท่าเทียมทางเพศมากกว่าชาติอื่นในตะวันออกกลาง แต่ ศ.เบน ฮัสซีน บอกกับบีบีซี นิวส์ ว่า ตำแหน่งระดับอาวุโส อย่างผู้อำนวยการห้องปฏิบัติการ หรือ ศาสตราจารย์ ยังคงมีแต่ผู้ชาย ในความคิดของเธอ "ผู้ชายยังคงเป็นใหญ่ในวงการวิชาการของตูนิเซีย โครงการชีเมรา (Shemera project) ของสหภาพยุโรป ระบุว่า ตูนิเซียมีสัดส่วนผู้หญิงจบปริญญาเอกด้านวิทยาศาสตร์ชีวภาพเมื่อเทียบกับผู้ชายอยู่ที่สัดส่วน 76% แต่ในด้านวิศวกรรมอยู่ที่ 41% แต่คนตูนิเซียไม่ว่าหญิงหรือชายต่างต้องเผชิญปัญหาว่างงาน โดยข้อมูลของสถาบันสถิติแห่งชาติตูนิเซีย ระบุว่า 19% ของผู้ชายที่จบการศึกษาระดับปริญญาตรีตกงาน ส่วนผู้หญิงมีอัตราว่างงานอยู่ที่ 41% ทีมงานของโครงการชีเมราระบุว่า แม้ผู้ที่จบการศึกษาระดับปริญญาเอกยังหางานทำได้ยาก และสถานการณ์ยิ่งแย่ขึ้นไปอีกหากเป็นผู้หญิง"
|
เมียนมาเป็นแบบอย่างของความเท่าเทียมทางเพศในวงการวิทยาศาสตร์หรือไม่?
|
features-39718887
|
https://www.bbc.com/thai/features-39718887
|
เส้นทางร้านอาหารไทย กับ สอง "พิณ" ในถิ่นอังกฤษ : "สายพิณ มัวร์"
|
เรื่องและวิดีโอโดย สุชีรา มาไกวร์ ผู้สื่อข่าววิดีโอ เส้นทางชีวิตของสายพิณผ่านจุดเปลี่ยนมามากมาย จากวันที่ตัดสินใจจากบ้านไปทำงานเป็นพี่เลี้ยงเด็กที่ฮ่องกง จนมาถึงวันนี้ที่เธอเป็นเจ้าของธุรกิจร้านอาหารเครือโรซ่าไทยในกรุงลอนดอน มีพนักงานในความดูแลราว 200 คน สายพิณเกิดมาในครอบครัวชาวไร่ที่ อ. เขาค้อ จ. เพชรบูรณ์ ชีวิตวัยเด็กของเธอคลุกคลีอยู่กับการทำไร่ไถนา เธอทำธุรกิจครั้งแรกตอนอายุ 14 ปี ด้วยการเปิดร้านก๋วยเตี๋ยวที่หมู่บ้าน ขายชาวไร่และเพื่อนนักเรียน โดยตอนเช้าก่อนไปเรียนเธอตั้งร้านไว้ให้พ่อแม่ช่วยขาย เลิกเรียนจึงกลับมาลวกก๋วยเตี๋ยวขายเอง "ตอนอายุ 14 เปิดร้านขายก๋วยเตี๋ยวอยู่หน้าบ้าน เพราะชอบกินก๋วยเตี๋ยวมากเลยเปิดขายคนในหมู่บ้านซะเลย" สายพิณเล่าถึงร้านอาหารร้านแรกในวัยเด็ก ร้านขายก๋วยเตี๋ยวร้านแรกของสายพิณเกิดจากความชอบกินก๋วยเตี๋ยวของเธอเอง ตอนเรียนอยู่ชั้นมัธยมปลายเธอได้ยินประกาศวิทยุกรมแรงงานเพชรบูรณ์ รับสมัครพี่เลี้ยงเด็กที่ฮ่องกง เธอจึงลองสมัครไป 7 เดือนต่อมาเธอได้รับโทรเลขแจ้งว่าเธอได้งานดังกล่าว การได้ไปทำงานที่ฮ่องกงเป็นการเปลี่ยนชีวิตครั้งใหญ่ของสายพิณ จากเด็กสาวชาวไร่มาสู่เมืองใหญ่ ที่นั่นเธอได้เห็นเครื่องดูดฝุ่น หม้อหุงข้าว และเครื่องใช้ไฟฟ้าต่าง ๆ เป็นครั้งแรกในชีวิต แต่การเป็นพี่เลี้ยงเด็กยังไม่ตอบโจทย์ชีวิตของเธอ สายพิณใช้เวลาว่างระหว่างวันทำงานที่ร้านอาหารไทยและร้านขายของชำ ด้วยใจรักในการทำงานเกี่ยวกับอาหาร เธอตัดสินใจลาออกจากงานพี่เลี้ยงเด็ก นำเงินเก็บที่สะสมไว้มาทำธุรกิจของตัวเองหลายอย่าง ทั้งเปิดร้านขายของชำ ทำอาหารไทยส่งตามอาคารสำนักงาน จนกระทั่งเปิดร้านอาหารไทยเป็นของตัวเองได้ในที่สุด สายพิณเกิดมาในครอบครัวชาวไร่และใช้ชีวิตในวัยเด็กคลุกคลีกับการทำไร่ไถนา ปี 2549 สายพิณตัดสินใจย้ายจากฮ่องกงมาอยู่ลอนดอนพร้อมสามี ในระยะแรกเธอมีโอกาสได้ไปขายอาหารไทยในโรงอาหารที่อาคารสำนักงานแห่งหนึ่งทุกวันพฤหัสบดี และเปิดแผงขายอาหารไทยที่ตลาดนัดวันอาทิตย์ ในระหว่างนั้นเธอเริ่มศึกษาหาข้อมูลในการทำร้านอาหารจนเปิดร้านอาหารไทย "โรซ่า" สาขาแรกที่ย่านบริคเลนในกรุงลอนดอนเมื่อปี 2551 ทั้ง ๆ ที่ช่วงนั้นอังกฤษกำลังประสบปัญหาเศรษฐกิจจากวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ซึ่งส่งผลให้อัตราว่างงานพุ่งขึ้นสูง และผู้คนรัดเข็มขัดกันมากขึ้น สายพิณเปิดร้านโรซ่าไทยสาขาแรกที่ย่านบริคเลนเมื่อปี 2551 ท่ามกลางกระแสวิกฤติเศรษฐกิจ ปัจจุบันโรซ่าไทยมีร้านอาหารในเครือ 11 ร้าน และร้านสำหรับสั่งกลับบ้านอีก 2 ร้าน มีพนักงานทั้งหมดเกือบ 200 คน และในอนาคตมีแผนตั้ง "ครัวกลาง" เพื่อผลิตและจัดส่งส่วนประกอบหลัก เช่น น้ำแกง น้ำซอสต่างๆ ไปยังร้านในเครือ โดยจะนำเข้าวัตถุดิบประเภทเครื่องแกงและสินค้าโอท็อปจากชุมชนจังหวัดในไทยเข้ามา เครือโรซ่าไทยได้รับเลือกเป็น 1 ใน 100 ธุรกิจที่เติบโตเร็วที่สุดในอังกฤษในปี 2559 "งานที่หินที่สุดในชีวิตคือการเป็นชาวไร่ ชีวิตชาวไร่เป็นชีวิตที่ลำบากจริง ๆ ร่างกายเหนื่อยล้า ใช้กำลังแรงงานของตัวเองตลอดเวลา เรียกได้ว่าเป็นชีวิตกรรมกร" สายพิณบอกว่า ทุกวันนี้เธอคิดว่าเธอประสบความสำเร็จแล้ว เพราะเธอเริ่มจากศูนย์ ออกจากบ้านออกจากภูเขา เข้ามาอยู่ในเมือง สร้างธุรกิจเป็นของตัวเอง ที่ผ่านมาไม่เคยท้อ เพราะธุรกิจนี้เป็นสิ่งที่ทำด้วยใจ ต้องทำให้ถึงที่สุด และยังมีพนักงานอีก 200 คน บวกกับครอบครัวที่พวกเขาต้องหาเลี้ยงรออยู่เบื้องหลัง สายพิณกล่าวทิ้งท้ายถึงผู้ที่อยากทำธุรกิจในต่างประเทศว่า "ไม่ว่าจะทำอาชีพอะไรก็แล้วแต่ ขอให้ทำในสิ่งที่รักและใช้ประสบการณ์มาช่วยดำเนินธุรกิจ"
|
ธุรกิจร้านอาหารไทยในอังกฤษเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ผ่านจากช่วงสูงสุดที่มีถึง 4,000 ร้าน สู่การปรับตัวท่ามกลางอุปสรรคลงมาเหลือครึ่งหนึ่งในปัจจุบัน บีบีซีไทยชวน "พิณ" 2 คัน มาเล่าประสบการณ์ในการสร้างธุรกิจร้านอาหารไทย "พิณ" หนึ่ง คือนักบริหารอาชีพที่สร้างเครือข่ายร้านอาหารไทยให้แก่บริษัทใหญ่ในไทยมาแล้วหลายราย พร้อมกับเป้าหมายใหม่ในการสร้างชื่อเสียงและมาตรฐานอาหารไทยให้เป็นที่รู้จักทั่วสหราชอาณาจักร ส่วนอีก "พิณ" หนึ่ง คือ เจ้าของเครือร้านอาหารไทยในอังกฤษที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วและเป็นที่กล่าวขานถึงอย่างมากในสื่ออังกฤษ
|
thailand-42288821
|
https://www.bbc.com/thai/thailand-42288821
|
85 ปี รัฐธรรมนูญไทย : ระบบ "ดี" แต่คน "เลว" ?
|
ศาสตราจารย์ ทอม กินสเบิร์ก จากวิทยาลัยกฎหมาย แห่งมหาวิทยาลัยชิคาโก ให้สัมภาษณ์กับบีบีซีไทยว่า ลักษณะเด่นอย่างหนึ่งของรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 คือ ความสำคัญของจริยธรรมของนักการเมือง พูดถึงความจำเป็นที่จะต้องให้ "คนดี" บริหารประเทศ และกำจัด "คนไม่ดี" ที่อยู่ในอำนาจก่อนหน้านี้ ซึ่งเขาเห็นว่า เป็นความพยายามที่จะกำจัด "ระบบ" ของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ด้าน ดร.ฐิติพล ภักดีวานิช คณบดี คณะรัฐศาสตร์มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี บอกกับบีบีซีไทยว่า สิ่งที่เขาไม่เห็นด้วยมากกับ รธน. 2560 คือการที่ คสช. สามารถแต่งตั้งวุฒิสมาชิกได้ และนี่ก็สะท้อนให้เห็นว่ามีความเป็นไปได้สูงที่คนที่ถูกแต่งตั้งเหล่านี้จะ "คอยเป็นปากเป็นเสียงให้ทหารหลังการเลือกตั้ง"
|
85 ปี หลังพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม ฉบับแรก การเมืองไทยผ่านวงจร "ยึดอำนาจ-ฉีกทิ้ง-เขียนใหม่" จนถึงรัฐธรรมนูญฉบับล่าสุด ฉบับที่ 20 ความเปลี่ยนแปลงผันผวนนี้เกิดจากระบบที่ "ดี" แต่นักการเมือง "เลว" หรือเพียงเพราะความไม่เชื่อมั่นในกระบวนการของระบอบประชาธิปไตย?
|
international-41263284
|
https://www.bbc.com/thai/international-41263284
|
จีนจัดงานศพให้ ปาซือ แพนด้าเลี้ยงอายุมากที่สุดในโลก
|
ปาซือ "นางฟ้าแห่งมิตรภาพ" ตายขณะอายุได้ 37 ปี เจ้าหน้าที่ของศูนย์ดูแลแพนด้าเมืองฝูโจว ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของจีนที่จัดงานศพให้ ระบุว่า ปาซือ เป็นแพนด้าเลี้ยงเพศเมียที่อายุมากที่สุดในโลก โดยวัย 37 ปีของปาซือ นั้นเมื่อเทียบกับมนุษย์แล้วถือว่าเป็นผู้ที่มีอายุยืนยาวกว่าร้อยปี แพนด้ายักษ์ เป็นสัตว์ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นสัญลักษณ์ของจีน และได้รับการปกป้องเพราะเคยใกล้สูญพันธุ์มาก่อน แต่โครงการอนุรักษ์ที่จีนทุ่มเทความพยายามมานานนับทศวรรษ ทำให้แพนด้าไม่ได้อยู่ในรายชื่อสัตว์ใกล้สูญพันธุ์อีกต่อไปชื่อของ ปาซือ ตั้งตามชื่อหุบเขาที่มันถูกพบ และได้รับการช่วยเหลือเข้าไปอยู่ในศูนย์ดูแลตั้งแต่อายุประมาณ 4 หรือ 5 ปี แพนด้าดาราตัวนี้ เป็นแรงบันดาลใจในการออกแบบตัวการ์ตูนสัญลักษณ์กีฬาเอเชียนเกมส์ปี 1990 และ "เธอเป็นนางฟ้าแห่งมิตรภาพ ทั้งในและต่างประเทศ" ปาซีอกำลังฉลองวันเกิดอายุ 37 ที่ศูนย์ดูแลฯจัดให้เมื่อไม่นานมานี้
|
ในวันนี้ (14 ก.ย.) สถานีโทรทัศน์ทางการของจีน ได้ถ่ายทอดสดภาพพิธีไว้อาลัยให้กับปาซือ จากศูนย์ดูแลแพนด้า โดยเจ้าหน้าที่ศูนย์วิจัยและแลกเปลี่ยนแพนด้ายักษ์เมืองฝูโจว มณฑลฝูเจี้ยน กล่าวว่า "เราขอประกาศในวันนี้ ด้วยความอาลัยว่า ปาซือ แพนด้ายักษ์ที่เป็นดาราของเรา ตายเมื่อเวลา 8:50 น. ขณะอายุได้ 37 ปี"
|
thailand-53944094
|
https://www.bbc.com/thai/thailand-53944094
|
เปิดบทสนทนาของนักศึกษากลุ่ม “ไทยภักดี” กับ “ประชาชนปลดแอก” ว่าด้วยท่อน้ำเลี้ยง-เพดาน-สิ่งศักดิ์สิทธิ์
|
ผู้ร่วมก่อตั้งคณะประชาชนปลดแอก กับ ผู้ร่วมก่อตั้งกลุ่มไทยภักดี เยาวชนไทย 2 คนที่เกิดและเติบโตในประเทศเดียวกัน มีพื้นฐานทางครอบครัวใกล้เคียงกัน เป็นนักศึกษาเหมือนกัน กลับมี "3 นิ้ว" ไม่เท่ากัน 3 นิ้วของ ภัสราวลี ธนกิจวิบูลย์ผล หรือมายด์ สมาชิกกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า "คณะประชาชนปลดแอก" สื่อถึงเสรีภาพ ความเสมอภาค และภราดรภาพ เธอยอมรับว่า แม้จุดเริ่มต้นอาจดูตลกที่มาจากตัวละครเอกของภาพยนตร์ The Hunger Games แต่การชู 3 นิ้วได้ถูกใช้เรื่อย ๆ จนกลายเป็นสัญลักษณ์ของการยืนหยัดต่อสู้ และบอกกับตัวเองและผู้อื่นว่า "เราคือคนเหมือนกัน ไม่ควรมีใครมากดทับเรา" ผู้เข้าร่วมชุมนุมใหญ่ครั้งแรกที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เมื่อ 18 ก.ค. พร้อมใจกันชู 3 นิ้ว เพื่อต่อต้านอำนาจรัฐที่คุกคามประชาชน ขณะที่ 3 นิ้วของ เกียรติวงศ์ สงบ หรือลี ผู้ร่วมก่อตั้งกลุ่มที่ใช้ชื่อว่า "ไทยภักดี" สื่อถึงชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ เขาอธิบายว่า นิ้วโป้งหมายถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ที่คอยประคับประคองเกื้อหนุนอีก 2 สถาบัน พลางแสดงท่าทางการหยิบจับสิ่งของซึ่งทำได้ไม่ถนัดนักหากปราศจากนิ้วหัวแม่มือ ผู้ชุมนุมร่วมกับกลุ่มอาชีวะช่วยชาติชู 3 นิ้ว ซึ่งหมายถึง ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ มี "ท่อน้ำเลี้ยง" ไหม แม้ต่างความคิด-ต่างความมุ่งหมายทางการเมือง แต่ทั้งคู่นั่งสนทนาอารยะกันได้เกินกว่าชั่วโมง โดยไม่ใช้ความรุนแรงตัดสินปัญหา และเมื่อต้องชี้ขาดลำดับก่อนหลัง พวกเขาก็ตกลงกันได้ด้วยวิธีแบบบ้าน ๆ ที่เด็กไทยรู้จักดี นั่นคือ "เป่า ยิ้ง ฉุบ" แต่ถึงกระนั้นคำถามข้อแรกที่ต่างฝ่ายต่างให้ความสนใจกลับตรงกันที่เรื่อง "ท่อน้ำเลี้ยง" อันหมายถึงผู้สนับสนุนหลักทางการเงินในการทำกิจกรรมทางการเมือง ภัสราวลี : เราโดนโจมตีเรื่องท่อน้ำเลี้ยงเยอะมาก อยากรู้ว่าฝั่งที่ชอบบอกว่าเรามีท่อน้ำเลี้ยง เขามองอะไร เกียรติวงศ์ : ที่ผ่านมามันมีความเคลื่อนไหวเชื่อมโยงกันอย่างที่เราเห็นได้ชัด เช่น สถานทูตอเมริกาดำเนินการสนับสนุนมหาวิทยาลัยนั้นมหาวิทยาลัยนี้ในการขับเคลื่อนเรื่องประชาธิปไตย... ในการเคลื่อนไหวของเยาวชนปลดแอกหรือประชาชนปลดแอกต้องมีองค์กรสนับสนุนงบเบื้องหลัง เพราะว่าม็อบธรรมศาสตร์ที่ผ่านมา (10 ส.ค.) ในเรื่องของแสง สี เวทีต่าง ๆ มันอลังการมาก หลายแสนหรืออาจจะแตะล้านเลย เขาก็เลยมองว่าถ้าเป็นความสามารถของนักศึกษาโดยตรงมันไม่น่าจะถึงขั้นนั้น คณะประชาชนปลดแอกประกาศว่าการชุมนุมเมื่อ 16 ส.ค. จัดขึ้นในธีม "Arts and politics festival" หรือเทศกาลศิลปะกับการเมือง ภัสราวลี : อยากจะบอกตรงนี้เลยว่าถ้าฉันมีท่อน้ำเลี้ยงนะคะคุณ ป่านนี้ดิฉันคงได้เสื้อผ้าใหม่ รองเท้าใหม่ ดิฉันคงได้ยกเครื่องตัวเองไปหมดแล้วนะคะ ท่อน้ำเลี้ยงที่สำคัญมากตอนนี้ของเรามันคือประชาชนทั้งนั้นเลย คือประชาชนล้วน ๆ เลย เราหาทุนด้วยการเปิดกล่อง ขายเสื้อ ขายกระเป๋า นี่คือการหาเงินเข้าของเรา อย่างของประชาชนปลดแอกครั้งล่าสุด (16 ส.ค.) เราเปิดกล่องค่ะ เปิดเลขบัญชีโต้ง ๆ เลยว่าเราต้องการท่อน้ำเลี้ยงค่ะ เพราะเราไม่มีตังค์แล้ว ในการขับเคลื่อนทุก ๆ อย่างต้องใช้เงินมาก ถ้าเราไม่จัดให้มันใหญ่ ให้ส่งสารให้คนรับรู้ทั่วกันก็ไม่บรรลุผลที่เราจะสื่อไง เกียรติวงศ์ : เป็นไปได้หรือไม่ว่างบไปลงที่แกนนำ แล้วพวกที่มาก็กลายเป็นเครื่องมือ ภัสราวลี : โอ้ย ไม่มีค่ะ เราต้องการท่อน้ำเลี้ยงมาก ๆ เลยค่ะ ช่วยบริจาคโอนเข้าบัญชีค่ะ.. จริง ๆ เราก็อยากถามเหมือนกันว่ากลุ่มของลีมีท่อน้ำเลี้ยงไหม เกียรติวงศ์ : ถ้าเราสังเกตในช่วงม็อบ กปปส. (ปี 2556-2557) เราจะเห็นว่ามีประชาชนมาบริจาคเยอะ อย่าลืมว่าคนพวกนี้ก็คือฐานประชาชนกลุ่มเดิมที่ว่ารักสถาบันฯ ประชาชนที่เขาพอมีหรือมีอยู่แล้วเขาก็บริจาค แต่ต้องบอกก่อนว่าไทยภักดียังไม่ได้ขับเคลื่อนกิจกรรมแบบเยาวชนปลดแอกหรือประชาชนปลดแอก เราแค่ตั้งกลุ่มมาเพื่อจะประสานงาน รับเรื่องชาวบ้าน เปิดเพจ ไม่ได้ทำกิจกรรมเป็นม็อบต่างจังหวัด แทบไม่ได้ใช้เงินเลย... แต่ผมก็มั่นใจว่าหากวันหนึ่งเคลื่อนตัวเป็นม็อบประชาชน ประชาชนที่เขามีใจรักสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เขาก็คงช่วยทุกแรง สุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. นำมวลชนที่อยู่ระหว่างชุมนุม "ปิดกรุงเทพฯ" สวมเสื้อสีเหลืองเพื่อแสดงความจงรักภักดี เนื่องในวันฉัตรมงคล 5 พ.ค. 2557 รัฐประหาร 57 จุดเริ่มต้นและจุดตัดทางการเมืองของ 2 นศ. ภัสราวลี และ เกียรติวงศ์ เกิดและเติบโตในสังคมชนชั้นกลางที่พ่อแม่หาเลี้ยงชีพด้วยการประกอบอาชีพค้าขาย ในขณะที่ฝ่ายหญิงชี้ให้เห็นช่องว่างระหว่างชนชั้นบนกับชนชั้นล่างท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจถดถอยหลังรัฐประหาร 2557 ฝ่ายชายยังบรรยายถึงการแลกปลากับเพื่อนบ้านที่ จ.ตราด ระบายความสุขที่ได้จากสังคมเกื้อกูลและแบ่งปัน พร้อมยืนยันว่า "ความเป็นไทยเดิม" คืออนาคตประเทศที่อยากเห็น ประสบการณ์ทางการเมืองของเกียรติวงศ์ ซึ่งปัจจุบันเป็นนักศึกษาคณะนิติศาสตร์ ม.รามคำแหง เกิดขึ้น 1 ปีก่อนการรัฐประหารโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ในฐานะ "ผู้ชุมนุมนิรนาม" กับกลุ่ม กปปส. ส่วนความสนใจทางการเมืองของนักศึกษาคณะวิศวกรรมศาสตร์ ม.มหานคร อย่างของภัสราวลี เกิดขึ้น 1 ปีหลังรัฐประหาร ภาพการจับกุมนักศึกษาและนักกิจกรรมการเมืองหน้าหอศิลปวัฒนธรรมกรุงเทพฯ เมื่อปี 2558 ทำให้คำถามผุดขึ้นในหัวของเด็กสาวว่าในฐานะคนไทยมีสิทธิเสรีภาพแค่ไหน และประชาชนอย่างเธอมีอำนาจอะไรบ้างในประเทศนี้ กลุ่มไทยภักดีนับเป็นองค์กรที่ 4 ของฝ่ายแนวคิดอนุรักษนิยมที่เคลื่อนไหวปกป้องสถาบันฯ นับจากการเกิดชุมนุมบนท้องถนนของฝ่ายประชาชนปลดแอก เมื่อต้องรับบทนักเคลื่อนไหวทางการเมืองเสียเอง ความรู้สึกถูกกดทับ-คับข้องใจที่สั่งสมมาครึ่งทศวรรษจึงแปรเป็นแรงผลักให้ภัสราวลีกับเพื่อนเป็น "ฝ่ายเปิดเกม" แฟลชม็อบในนามของกลุ่ม "มหานครเพื่อประชาธิปไตย" ก่อนเข้าร่วมคณะประชาชนปลดแอกในเวลาต่อมา โดยมีเกียรติวงศ์กับพวกตามมาเป็น "ฝ่ายปฏิกิริยา" "มี 'ผู้ใหญ่' หนุนอยู่ข้างหลังไหม" ภัสราวลีโยนคำถามตรง ๆ คำตอบจากเกียรติวงศ์คือ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม คือผู้ใหญ่ที่อยู่ทั้งข้างหน้าและข้างหลังในฐานะผู้ก่อตั้งกลุ่มไทยภักดี ใครควร "หยุดคุกคามประชาชน" กลุ่มไทยภักดีเปิดตัวองค์กรเมื่อ 19 ส.ค. ประกาศ "3 ข้อเรียกร้อง" ที่มีเนื้อหาหักล้าง "3 ข้อเรียกร้อง 2 หลักการ 1 ความฝัน" ของกลุ่มประชาชนปลดแอก ในขณะที่แกนนำประท้วงต่อต้านรัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา เรียกร้องให้รัฐ "หยุดคุกคามประชาชน" ได้เกิดปรากฏการณ์ "ทัวร์ลง-ขุดประวัติ-ปั่นกระแส" ในสื่อสังคมออนไลน์ เช่น การติดแฮชแท็ก "ตามหาลูกประยุทธ์" ในทวิตเตอร์ ทำให้เกียรติวงศ์ตั้งคำถามกลับไปว่าคณะประชาชนปลดแอกมีวิธีอย่างไรไม่ให้ผู้สนับสนุนไปคุกคามประชาชนด้วยกัน ภัสราวลียอมรับว่า คนในสังคมบางส่วนอาจทำไม่ถูกต้อง แต่ไม่อาจจำกัดการคิดและการเลือกแสดงออกในฐานะปัจเจกบุคคลได้ ทว่าการออกมาเคลื่อนไหวของคณะประชาชนปลดแอกไม่ได้ต้องการพูดกับประชาชนด้วยกัน แต่มุ่งสื่อสารกับรัฐซึ่งมีหน้าที่ปกป้องผลประโยชน์ประชาชน และถ้าติดตามคำปราศรัยของแกนนำในเวทีต่าง ๆ จะพบว่ามีการย้ำหลักการไม่ละเมิดสิทธิเสรีภาพของคนอื่นอยู่เกือบตลอด แกนนำ 31 คน ที่มีรายงานว่าถูกดำเนินคดีจากการจัดการชุมนุมเมื่อวันที่ 18 ก.ค. ขึ้นมาแสดงตัวบนเวที เบื้องหลังเป็นป้าย 3 ข้อเรียกร้อง 2 หลักการ และ 1 ความฝัน "เราโดนเยอะมากค่ะ ไอ้พวกเด็กพวกนี้ 'ชังชาติ' ไอ้คำว่าชังชาติ เรารู้สึกว่าเจ็บปวด มาบอกได้ไงวะว่าเราชังชาติ ทั้ง ๆ ที่เราออกมา เรารักชาติมากเลยนะ และเราต้องการให้ชาติมันดีกว่านี้ แล้วเรารักชาติตรงไหน ซึ่งคำพวกนี้มันคือคำที่ถูกผลิตซ้ำ และมันบั่นทอนพวกเรามาก ๆ" นักกิจกรรมการเมืองหญิงเผยความในใจ วาทกรรม "ล้มเจ้า" VS "โหนเจ้า" แม้เป็นคนร่วมวัย แต่จินตนาการต่อ "ระบอบประชาธิปไตย" ของพวกเขาไม่ตรงกัน คณะประชาชนปลดแอกชู "1 ความฝัน" ในการมี "ระบอบประชาธิปไตยที่พระมหากมีษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ" โดยให้เหตุผลว่าต้องการให้ประเด็นนี้เป็นเรื่องที่พูดคุยกันได้อย่างเปิดอก จริงใจ และพูดกันด้วยความเคารพ ซึ่งจะช่วยสร้างความชอบธรรมให้สถาบันฯ มากขึ้น "การที่คนตั้งคำถามแบบพยายามเสียดสี หรือตั้งคำถามแบบอ้อม ๆ แบบที่เราเห็นป้ายที่ออกมาตามม็อบ เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่าสถาบันฯ เองก็เป็นสมการหนึ่งในปัญหาทางการเมือง... หนูมองว่าเราควรต้องหยิบยกปัญหาที่มันซุกอยู่ใต้พรมออกมาพูดถึงอย่างสาธารณะได้แล้วเพื่อเคลียร์ให้กระจ่าง เพื่อลดข้อครหาที่ตัวประชาชนจะมีต่อตัวสถาบันฯ" ภัสราวลีกล่าว การจัดกิจกรรม "แฮร์รี่ พอตเตอร์ เสกคาถาไล่คนที่คุณก็รู้ว่าใคร" เมื่อ 3 ส.ค. ทำให้ อานนท์ นำภา ผู้ปราศรัยเกี่ยวกับการปฏิรูปสถาบันฯ ถูกตั้งข้อหายุยงปลุกปั่นฯ และอีกหลายกระทง ในสายตาของผู้ร่วมจุดประกายแห่งความฝัน เห็นรัฐและคนบางกลุ่มพยายามใช้สถาบันฯ เป็นข้ออ้างโจมตีผู้เห็นต่างทางการเมือง ซึ่งเธอชี้ว่าเป็นการทำลายสถาบันฯ มากกว่า "มันจะมีวาทกรรมว่าเราต้องการ 'ล้มล้าง' ซึ่งมันเป็นการกล่าวหาที่เรารับไม่ได้มาก ๆ เลย มันเป็นข้อกล่าวหาที่พวกคุณเข้าใจเราผิด พวกคุณไม่พยายามเข้าใจเราด้วยซ้ำ" ภัสราวลีตัดพ้อ ขณะที่กลุ่มไทยภักดียืนยันการดำรงคงอยู่ของ "ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข" หากไม่มีการพาดพิง จาบจ้วง พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องตั้งกลุ่มปกป้อง พร้อมระบุว่าตัวเองก็ตกเป็นเหยื่อของวาทกรรม "โหนเจ้า" เช่นกัน "ผมว่าเป็นคำนิยามที่คนพยายามจะสร้างวาทกรรมเพื่อลดคุณค่าของกลุ่มเรามากขึ้น เพราะจริง ๆ แล้วเราไม่ได้โหน เราไม่ได้ทำเพื่อประโยชน์ส่วนตัวอยู่แล้ว" เกียรติวงศ์ระบุ เปรียบสถาบันฯ เป็น "สิ่งศักดิ์สิทธิ์" เขาย้ำจุดยืนว่า เหตุที่ต้องออกมาพิทักษ์สถาบันฯ เพราะรับไม่ได้กับการก้าวล่วงด้วยข้อมูลอันเป็นเท็จ และลืมรากเหง้าของสังคมไทยที่ผูกพัน เคารพนับถือ เทิดทูน หรืออาจถึงขั้นบูชาสถาบันฯ ประหนึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ "ทำไมถึงถือว่าสถาบันฯ เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพราะสิ่งที่ท่านทำให้เกิดประโยชน์ไงฮะ ไม่ต่างจากเทวดา เหมือนเราขอพรเทวดาไปว่าขอให้น้ำไหล ขอให้หน้านี้ข้าวออกเต็มที่ ในหลวง ร. 9 ทำให้เห็นเป็นที่ประจักษ์แล้วว่าพระราชกรณียกิจของพระองค์ แต่ละโครงการ เป็นที่ประจักษ์ว่าชาวบ้านเหมือนขอพรเทวดาแล้วได้ผลจริง ๆ เขาถึงเคารพนับถือบูชา ผมจึงออกมาปกป้องสถาบันฯ ตรงนี้ เพราะว่ามันมีการลามปามขึ้นเรื่อย ๆ จากรัชกาลปัจจุบัน ย้อนไป ร. 9 ร. 7 ร. 5 จนบางท่านลามปามไปถึง ร. 1" นักศึกษากลุ่มไทยภักดีกล่าว เกียรติวงศ์ยังออกโรงปกป้องรัฐบาลด้วยว่า ไม่ได้กดขี่-ปิดกั้นการแสดงความเห็นในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับสถาบันฯ ตรงกันข้ามเป็นฝ่ายสนับสนุนด้วยซ้ำ ประชาชนที่มาร่วมชุมนุมแสดงพลังปกป้องสถาบันกลุ่ม ศอปส. ต่างสวมใส่เสื้อสีเหลืองมา พร้อมอัญเชิญพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มาด้วย "นายกฯ ลุงตู่เป็นคนพูดเองว่าในหลวง ร. 10 ของเราทรงมีพระเมตตาไม่ให้ดำเนินคดีในมาตรา 112 กับผู้ที่มาแสดงความคิดเห็น ซึ่งทำให้ผู้แสดงความคิดเห็นมีมากขึ้น ผมว่านายกฯ เป็นตัวจุดทำให้มีการพูดถึงสถาบันกันมากขึ้น" เขาบอก ข้อกฎหมายคือขีดจำกัดของ "เพดาน" ปฏิเสธไม่ได้ว่าการสมาทานอุดมการณ์ที่แตกต่าง ทำให้ระดับ "เพดาน" ในการพูดถึงสถาบันฯ ในที่สาธารณะของคนหนุ่มสาวคู่นี้ลดหลั่นกันไป เพดานของนักศึกษาด้านกฎหมายฝ่ายกษัตริย์นิยมจำกัดไว้ที่ข้อกฎหมาย ตราบใดที่ไม่แตะสิ่งผิดกฎหมาย ก็ไม่มีใครจับกุมใครได้ภายใต้ระบบนิติรัฐ ขณะที่นักศึกษาหญิงฝ่ายก้าวหน้าแนะให้แยกแยะระหว่างการมีกฎหมายกับการบังคับใช้ สิ่งที่เธอกับเพื่อนกำลังทำคือการปรับปรุงเครื่องมือเพื่อให้ทุกคนพูดคุยกันได้ด้วยหลักความจริงและเหตุผล และเชื่อว่า "ความฝัน" ที่นำเสนอไว้ยังอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมาย ข้อดี-ข้อด้อยของ พล.อ. ประยุทธ์ ในมุมมองสลับขั้ว ท้ายที่สุดเมื่อบีบีซีไทยขอให้ทั้งคู่ทดลองสลับข้างความคิดแล้วเพ่งพินิจไปที่ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ทั้งคู่หันไปสบตากัน ก่อนระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างพร้อมเพรียง ข้อด้อยของประมุขฝ่ายบริหารที่เกียรติวงศ์เห็นคือ "ความไม่สมดุล" ในการตัดสินใจ เพราะบางเรื่องไม่เด็ดขาด แต่บางเรื่องก็เด็ดขาดเกินไป "หลาย ๆ คนที่ออกมาม็อบ สำหรับตัวผมมองว่าเขาพาดพิงเกิน แต่ยังไม่ถูกดำเนินการอะไร ก็เลยยังคิดยังแซวในกลุ่มกันเองว่าตกลงนายกฯ เชียร์ข้างใคร ผมไม่ได้มองว่าผมอยู่ข้างนายกฯ หรืออะไรนะ อุดมการณ์ผมคือชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ซึ่งนายกฯ ก็ต้องฟังประชาชนตรงนี้ด้วย" ส่วนข้อดีของผู้นำหน้าเดิมจากยุคยึดอำนาจถึงสืบทอดอำนาจตามความเห็นของภัสราวลีคือ ประสบความสำเร็จในการศึกษาของตัวเอง และมีลักษณะนิสัยเหมาะสมอย่างมากกับการรับราชการทหาร "ถูกต้องแล้วค่ะ เขาควรเป็นทหารตามที่เขาเรียนมา นี่คือข้อดีของเขา" เธอจบการบรรยายคุณความดีของ พล.อ. ประยุทธ์ไว้แค่นั้น พร้อมเสียงหัวเราะร่วน
|
คำประกาศ "1 ความฝัน" ในการมีระบอบประชาธิปไตยที่พระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญอย่างแท้จริง ของนักเรียน นักศึกษา และประชาชนที่เรียกตัวเองว่า "คณะประชาชนปลดแอก" ได้ทำให้เกิดการรวมตัวของคนไทยอีกกลุ่มเพื่อทำภารกิจ "ดับความฝัน" ของฝ่ายแรก เพราะเห็นว่ามีความพยายามท้าทาย ก้าวล่วง และจาบจ้วงสถาบันฯ และทำให้ต่างฝ่ายต่างตกอยู่ในวังวนของวาทกรรม "ล้มเจ้า" และ "โหนเจ้า"
|
features-47690836
|
https://www.bbc.com/thai/features-47690836
|
เลือกตั้ง 2562 : รวมเรื่องพลิกล็อกของ 5 ผู้สมัครในบัญชีนายกฯ
|
วันแรกหลังวันประวัติศาสตร์ 2 พรรคการเมืองใหญ่ประกาศชิงการนำในการจัดตั้งรัฐบาลแข่งกัน ทว่าผลการนับคะแนนอย่างไม่เป็นทางการร้อยละ 94 ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เผยแพร่ผ่านสื่อ สะท้อนให้เห็นว่าการเลือกตั้ง 24 มี.ค. 2562 ได้เปิด "ประวัติศาสตร์หน้าใหม่" และเกิด "ปรากฏการณ์ใหม่ทางการเมือง" หลากหลาย บีบีซีไทยรวมเรื่องพลิกล็อกของบรรดาผู้ท้าชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในบัญชีของพรรคการเมืองหลักรวม 6 พรรค เกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาและพรรคต้นสังกัดของพวกเขาในการเลือกตั้งครั้งนี้ สถานะที่เป็นเพียง "อดีต" ของ อภิสิทธิ์ ตำแหน่งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กลายเป็นเพียง "อดีต" ไปแล้วสำหรับนักการเมืองวัย 55 ปี ผู้มีดีกรีเป็นนายกฯ คนที่ 27 นาม อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เขาเอ่ยคำ "ขอโทษ" ผู้สนับสนุน ปชป. ที่ไม่สามารถผลักดันแนวคิดให้ประสบความสำเร็จในการเลือกตั้งครั้งนี้ได้ และ "ขออภัย" เพื่อนร่วมอุดมการณ์ทั้งอดีต ส.ส. และคนรุ่นใหม่ ก่อนประกาศลาออกจากตำแหน่ง เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในเวลา 4 ชั่วโมงเศษหลังปิดหีบเลือกตั้ง ซึ่งในเวลาที่ อภิสิทธิ์ เปิดแถลงข่าว ยอดว่าที่ ส.ส. ของพรรคตามการรายงานของสื่อสำนักต่าง ๆ มีเพียง 35 ที่นั่งเท่านั้น เขาจึงต้องแสดงความรับผิดชอบตามที่เคยลั่นวาจาเอาไว้ว่าหาก ปชป. ตกที่นั่ง "พรรคต่ำร้อย" จะลาออกจากตำแหน่ง นั่นทำให้ อภิสิทธิ์ ต้องหยุดสถิติการเป็นหัวหน้าพรรคคนที่ 7 เอาไว้ที่ 14 ปี แม้การ "ไม่ชนะ" จะไม่ใช่เรื่องเหนือคาดสำหรับพรรค 7 ทศวรรษ ทว่าการ "แพ้ยับ" ก็ทำให้นักเลือกตั้งในสังกัดถึงกับไปไม่เป็น นี่คือเรื่อง "พลิกล็อก" ของพวกเขา สุดารัตน์ อาจไป(ไม่)ถึงฝั่งฝันบนเก้าอี้ "นายกฯ หญิง" ไม่มีการเลือกตั้งครั้งไหนที่ชีวิตทางการเมืองของคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ วัย 57 ปี มีโอกาสเฉียดเข้าใกล้เก้าอี้ "นายกฯ หญิง" ได้เท่ากับการเลือกตั้งหนนี้ ทว่าตลอดเส้นทางสู่การเลือกตั้ง คุณหญิงสุดารัตน์ต้องพบกับ "เหตุไม่คาดฝัน" อยู่เนือง ๆ โดยเฉพาะกรณีพรรคพันธมิตร คือ ไทยรักษาชาติ (ทษช.) เสนอพระนามทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี เป็นนายกฯ ในบัญชีของพรรค ชนิดที่ทำอะไรไม่ได้นอกจาก "ทำใจ" และ "ร่ำไห้" ก่อนกัดฟัน-พยุงตัว-ลุกขึ้นมาตั้งหลักใหม่หลัง กกต. ไม่ประกาศรับรองรายชื่อดังกล่าว อย่างไรก็ดีเธอต้องพบกับ "อุปสรรคใหญ่" ที่สกัดไม่ให้ถึงฝั่งฝนเมื่อศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบ ทษช. ในเวลา 17 วันก่อนถึงวันเลือกตั้ง ทำให้ยุทธศาสตร์ ที่คู่แข่งกล่าวหาว่าเป็นเรื่อง "แตกแบงก์พันเป็นแบงก์ร้อย" ต้อง "ผิดแผน" เมื่อไร้พันธมิตรช่วยเก็บกวาดแต้ม ส.ส. บัญชีรายชื่อ แม้ พท. ชนะการเลือกตั้ง แต่ก็ยากที่จะจัดตั้งรัฐบาลได้ ในการปราศรัยปิด คุณหญิงสุดารัตน์บอกประชาชนว่า 22 มี.ค. 2535 คือวันที่ "หน่อยเกิดทางการเมือง และเป็นครั้งที่เราหยุดการสืบทอดอำนาจ รสช. (คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติผู้ก่อรัฐประหารปี 2534) สำเร็จ วันนี้พี่น้องมาร่วมกันสร้างประวัติศาสตร์ได้ไหมในวันที่ 24 มี.ค. หยุดการสืบทอดอำนาจของ คสช." เธอเป็นเพื่อนร่วมรุ่นของ อภิสิทธิ์ เพราะเข้าไปทำหน้าที่ครั้งแรกพร้อมกันในปี 2535 ภาพเมื่อครั้งคุณหญิงสุดารัตน์ เป็น ส.ส. กทม. สมัยแรก ถูกฉายบนเวทีปราศรัยปิด พท. ที่อาคารกีฬาเวสน์ เมื่อ 22 มี.ค. แต่ถึงกระนั้นคำร้องขอของ "หญิงหน่อย" ดูจะไม่เป็นผล เมื่อผลนับคะแนนอย่างไม่เป็นทางการปรากฏว่า พปชร. ตามมาหายใจรดต้นคอ พท. และทำให้ สุดารัตน์ อาจไปไม่ถึงฝั่งฝันบนเก้าอี้ "นายกฯ หญิง" แม้พรรคต้นสังกัดของเธอเปิดแถลงชิงการนำจัดตั้งรัฐบาลแล้วก็ตาม ผลลัพธ์ที่เห็น คือ อนุทิน "เนื้อหอม" หลัง ภูมิใจไทย "พองขึ้น" อนุทิน ชาญวีรกุล กับ ฉายา "เสี่ยหนู" หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) เป็นเจ้าของคำประกาศเป็น "หนูไม่กลัวน้ำร้อน" ในการเปิดตัวผู้สมัคร ส.ส. ทั้งประเทศของพรรค แม้ทำหน้าที่ผู้นำพรรคสีน้ำเงินมาเกือบครบ 7 ปี จากอายุพรรคเกือบ 11 ปี แต่นี่คือการเลือกตั้งอย่างเต็มรูปแบบภายใต้การบัญชาการของ อนุทิน เป็นครั้งแรก ไม่นับการเลือกตั้งปี 2557 ที่กลายเป็นโมฆะ เป็นที่รับรู้-เล่าขานในหมู่นักเลือกตั้งว่า ภท. ได้ทยอยเก็บนักเลือกตั้งอาชีพเข้าไปไว้ในสังกัด โดยเน้นอดีตนักการเมืองระดับชาติและท้องถิ่นที่จะทำคะแนนให้พรรคได้อย่างน้อย 20,000 คะแนน เพราะใช้ยุทธศาสตร์ "บุกไปแพ้ แต่โกยแต้มมานับเป็น ส.ส. บัญชีรายชื่อ" เป็นพรรคแรก ๆ นอกจากนี้หัวหน้า ภท. วัย 53 ปี ยังเล่นการเมืองแบบไม่สร้างศัตรู-ดึงศัตรูมาเป็นพวก ชนิดที่เจ้าตัวก็เคยโฆษณาไว้ว่า "หัวหน้าพรรคและเลขาธิการพรรค (ศักดิ์สยาม ชิดชอบ) "ดูแลสมาชิกเป็นเลิศ" จึงไม่แปลกหากจะมี "อดีต ส.ส. เกรดเอ" พาเหรดเข้าพรรคจำนวนมาก ว่ากันว่าในช่วงโค้งสุดท้าย ภท. ได้กำหนด "พื้นที่เป้าหมาย" ที่จะสู้ หากเขตไหนมีลุ้นสู้ได้ก็จะส่งแรงอัดกำลังเต็มที่ หากเขตไหน โพลภายในชี้ว่าเข็นไม่ขึ้น พวกเขาก็ปล่อยมือ ไม่ไปเสียเวลา ยอดว่าที่ ส.ส. ที่ได้มาอาจเป็นเรื่อง "พลิกล็อก" ในสายตาคนนอก แต่มันเป็นสิ่งที่อนุทินกับพวกรู้แต่แรกว่าพรรคของเขาจะเดินมาถึงจุดที่ "พองขึ้น" ประเด็นน่าสนใจจากชัยชนะครั้งนี้ คือ การเมืองแห่งอนาคต กำหนดปัจจุบันของ ธนาธร "ความหวัง" และ "ความเปลี่ยนแปลง" ในอนาคตที่ผู้คน 5.8 ล้านเสียงที่ใฝ่ฝันจะเห็น ได้กำหนดปัจจุบันของ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) วัย 40 ปี และทำให้พรรคการเมืองน้องใหม่ทะยานขึ้นสู่การเป็นพรรค "ทะลุครึ่งร้อย" ในการเลือกตั้งครั้งแรกของพวกเขา ปฏิเสธไม่ได้ว่าอดีตนักธุรกิจผู้ผันตัวมาเป็นนักการเมืองรายนี้ เป็นผู้จุดกระแส "คนรุ่นใหม่" ในการเมืองไทย และประกาศปักธงทางความคิด-พาสังคมไทย "ออกจากวงจรรัฐประหาร" ความเคลื่อนไหวของ ธนาธร ทำให้การเลือกตั้งภายหลังรัฐประหารปี 2557 มุ่งสู่การแข่งขันในเชิงอุดมการณ์เหนือนโยบาย และเกิดภาพแจ่มชัดขึ้นในช่วงท้าย ๆ ที่ผู้คนคล้ายแตกออกเป็น 2 ฝ่าย ระหว่างฝ่ายแสวงหา "อนาคตใหม่" กับฝ่ายรักษา "ความรุ่งเรืองในอดีต" นอกจากนี้ อนค. ยังนำแนวทาง "การเมืองใหม่" ที่พวกเขาบอกว่า "ไม่ใช้หัวคะแนน-ไม่อยู่ในระบบอุปถัมภ์" มาใช้ โดยที่ผู้สมัคร ส.ส. ของพรรคเป็นคนธรรมดา ซึ่งยากจะเชื่อได้ว่าจะนำมาสู่ความสำเร็จทางการเมือง แต่พวกเขาทำให้เกิดเหตุ "พลิกล็อก" ขึ้นมากมายในการเลือกตั้งหนนี้ ชู ประยุทธ์ เป็นนายกฯ ต่อเหตุมี 7.9 ล้านเสียงเป็นหลังพิง หากการเมืองแห่ง "ความหวัง" ชี้ชะตาพรรคสีส้ม การสร้างวาทกรรมแห่ง "ความกลัว" ผ่านคำขวัญหาเสียงสุดท้าย "เลือกความสงบ จบที่ลุงตู่" ก็ทำให้พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ซึ่งมีอายุเพียง "ครึ่งขวบ" เดินทางมาถึงจุดนี้ จุดได้ว่าที่ ส.ส. ราว 100 เสียง สื่อต่างประเทศหลายสำนักพาดหัว-วิเคราะห์ในทำนองว่า ดูเหมือน พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี แคนดิเดตนายกฯ ของ พปชร. จะได้ต่ออายุการเป็นนายกฯ อีกสมัย สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า อิทธิพลของสถาบันกษัตริย์ส่งผลสำคัญต่อการเลือกตั้งในครั้งนี้ด้วย หลังจากที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ โปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญพระบรมราโชวาทในหลวง ร. 9 เตือนใจประชาชนให้ "ส่งเสริมคนดีปกครองบ้านเมือง" ในช่วงเวลาใกล้ลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง แม้จะยังไม่ชัดเจนว่าพระบรมราโชวาทดังกล่าว ส่งผลต่อการตัดสินใจที่แท้จริงของประชาชนมากน้อยเพียงใดก็ตาม ในวันเลือกตั้ง บรรดาผู้นำทางความคิด อาทิ วิษณุ เครืองาม รองนายกฯ และ อิทธิพร บุญประคอง ประธาน กกต. ต่างออกมาเชิญชวนประชาชนเจริญรอยตามพระบรมราโชวาท "ช่วยกันทำให้คนดีได้ปกครองบ้านเมือง" แม้มีกระแส-ปัจจัยเกื้อหนุน แต่ก็ไม่มีใครคาดคิดว่า พปชร. จะเติบโตแบบก้าวกระโดดขนาดนี้ ประเด็นสำคัญของการเลือกตั้ง ครั้งนี้ คือ คุณผู้อ่านสามารถติดตามความเคลื่อนไหว สัมภาษณ์พิเศษ บทวิเคราะห์ พร้อมทั้งทำความรู้จักกับ การเลือกตั้ง 2562 โดยทีมงานบีบีซีไทยได้ที่เว็บไซต์ www.bbc.com/thai/election2019 พร้อมทั้งสื่อสังคมออนไลน์บีบีซีไทยผ่านทาง เฟซบุ๊ก, อินสตาแกรม และ ยูทิวบ์ รวมทั้ง #ThaiElection2019 หรือ #เลือกตั้ง2562
|
แม้ขณะนี้ยังไม่มีบทสรุปว่าพรรคไหนจะเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ ระหว่าง 2 พรรคการเมืองใหญ่ คือ พรรคเพื่อไทย (พท.) และพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ซึ่งสามารถหิ้วว่าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) เข้าสภาฯ ได้กว่าร้อยชีวิต ล่าสุดบ่ายวันที่ 25 มี.ค. พท. ชิงเปิดแถลงข่าวขอรวบรวมเรียงเสียงจัดตั้งรัฐบาล โดยอ้างว่ามีเสียงของ "พรรคฝ่ายประชาธิปไตย" เกิน 300 เสียง
|
thailand-41854880
|
https://www.bbc.com/thai/thailand-41854880
|
ร่าง ก.ม.พันธุ์พืชฉบับใหม่ เอาเปรียบเกษตรกร หรือส่งเสริมการวิจัย?
|
ในขณะที่พนักงานขายของบริษัท อีสท์ เวสท์ ซีด จำกัด กำลังเดินอยู่ในบริเวณแปลงเกษตรใน อ. หนองเสือ จ. ปทุมธานี ในปี 2558 เขาพบมะระซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงกับมะระพันธุ์ที่บริษัทได้พัฒนาขึ้นมาเองและจดทะเบียนคุ้มครองพันธุ์พืชใหม่ไว้แล้ว พนักงานก็ได้ซื้อเมล็ดพันธุ์เดียวกับของเกษตรกรจากร้านค้าท้องถิ่น กลับมาให้นักปรับปรุงพันธุ์ของบริษัทตรวจสอบ ก็ได้รับการยืนยันว่ามะระดังกล่าวตรงกับพันธุ์เขียวหยก 16 ของบริษัท ซึ่งใช้เวลาในการพัฒนารวมทั้งสิ้น 8 ปี เกษตรกรชาวอินเดียกำลังคัดแยกมะระเพื่อนำไปจำหน่าย "นักปรับปรุงพันธุ์เขารู้เลยว่าเป็นของเขาแน่ๆ แต่เกษตรกรบอกว่าซื้อมาจากอีกยี่ห้อหนึ่ง เราไปเก็บเมล็ดไปปลูกเปรียบเทียบ และตรวจดีเอ็นเอเทียบพันธุ์เรา ปรากฎว่าตรง 100%" นายวิชัย เหล่าเจริญพรกุล ผู้จัดการทั่วไป บริษัท อีสท์ เวสท์ ซีด จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายเมล็ดพันธุ์ผักตราศรแดง กล่าวกับบีบีซีไทย อีสท์ เวสท์ ซีด ได้แจ้งบริษัทที่ขายเมล็ดพันธุ์นี้ว่าละเมิดสิทธิของตนเอง และขอเรียกค่าชดเชย 3 ล้านบาท ในเดือน ก.ย. 2558 กรรมการผู้จัดการบริษัท เอส เค ไท อะกริคัลเจอร์ จำกัด ได้เขียนจดหมายขอโทษและระบุว่า บริษัทได้รับซื้อเมล็ดพันธุ์จากบุคคลอื่นก่อนนำมาบรรจุเพื่อจำหน่าย จากนั้นก็ได้ยุติการจำหน่ายและเรียกเก็บเมล็ดพันธุ์ทั้งหมดออกจากท้องตลาดทันที กรณีของ อีสท์ เวสท์ ซีดเห็นได้ชัดว่าเป็นการละเมิดสิทธิในพันธุ์พืช บริษัทคู่กรณีจึงยอมความและไม่จำเป็นต้องฟ้องร้อง แต่สมาคมการค้าเมล็ดพันธุ์ไทยให้ข้อมูลกับบีบีซีไทยว่า ในอุตสาหกรรมเมล็ดพันธุ์พืชของไทย มีกรณีของการละเมิดสิทธิจำนวนมากที่การฟ้องร้องไม่สามารถทำได้ และแม้ในบางกรณีอาจมีการรับฟ้อง ผลที่เกิดขึ้นมักจะเป็นการยกฟ้อง เนื่องจากบริษัทที่เลียนแบบ จะนำพันธุ์ไปปรับปรุงนิดหน่อย ทำให้ไม่เหมือนของเดิม 100% ซึ่งกฎหมายไทยไม่ให้การคุ้มครอง แต่นายวิชัยก็หวังว่าบริษัทจะได้รับความคุ้มครองมากกว่าเดิมในร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองพันธุ์พืชฉบับใหม่ ที่รัฐบาลกำลังอยู่ในระหว่างรับฟังความคิดเห็นออนไลน์ เพราะเนื้อหาในร่าง พ.ร.บ. จะให้ความคุ้มครองแก่นักปรับปรุงพันธุ์ในกรณีที่นำพันธุ์เดิมมาต่อยอด แต่ยังคงลักษณะสำคัญส่วนใหญ่ของพันธุ์ตั้งต้นเอาไว้ นอกจากนี้ร่างกฎหมายฉบับใหม่ยังให้สิทธิแก่นักปรับปรุงพันธุ์เพิ่มเติมในด้านต่างๆ เช่น ขยายระยะเวลาการคุ้มครองพันธุ์พืชจาก 15-20 ปี เป็น 20-25 ปี และขยายสิทธิในการคุ้มครองจากส่วนขยายพันธุ์ไปสู่ผลผลิตและผลิตภัณฑ์ แต่ในอีกด้านหนึ่ง ภาคประชาสังคมได้ออกมาคัดค้านร่างกฎหมายนี้ โดยมองว่าร่าง พ.ร.บ. ดังกล่าวเป็นการละเมิดสิทธิเกษตรกร โดยเป็นการขยายการผูกขาดของบริษัทเมล็ดพันธุ์ รวมถึงเป็นการเปิดทางให้นำทรัพยากรชีวภาพไปใช้โดยไม่มีการแบ่งปันผลประโยชน์ มุมมองชุมชน:เมล็ดพันธุ์มีไว้แบ่งปัน ไม่ควรมีใครเป็นเจ้าของ เป็นเวลา 15 ปีที่เครือข่ายโรงเรียนชาวนา จ.นครสวรรค์มีการพัฒนาปรับปรุงสายพันธุ์ข้าว จนทุกวันนี้พัฒนาสำเร็จแล้ว 20 สายพันธุ์ หนึ่งในนั้นคือพันธุ์ "ช่อราตรี" ซึ่งเริ่มพัฒนาตั้งแต่ปี 2547 จนกระทั่งสำเร็จในปี 2552 นายนพดล มั่นศักดิ์ เกษตรกรปลูกข้าว อ. พยุหคีรี จ. นครสวรรค์ ผู้ประสานงานเครือข่ายโรงเรียนชาวนา กล่าวว่า ข้าวพันธุ์ดังกล่าวเกิดจากความคิดที่ว่า ต้องการข้าวที่ได้คุณลักษณะเหมือนข้าวหอมมะลิที่ปลูกได้ทุกฤดูกาล โดยเครือข่ายได้นำข้าวจาก จ.เชียงใหม่มาปรับปรุงจนมีลักษณะเด่น คือ นุ่ม หอมปานกลาง และได้ผลผลิตไร่ละถึง 1 ตัน ซึ่งนายนพดลประเมินว่าน่าจะมีการใช้ข้าวพันธุ์นี้ในที่นากว่า 20,000 ไร่ต่อปี ปัจจุบันเครือข่ายฯ ซึ่งมีสมาชิกอยู่ประมาณ 4,500 คน ได้มีการเปิดตัวสายพันธุ์ข้าวไปแล้ว 4 สายพันธุ์ และอยู่ในระหว่างการปรับปรุงพัฒนาอยู่ 165 ตัวอย่าง โดยใช้องค์ความรู้ของชาวบ้าน และไม่มีการจดทะเบียนคุ้มครองพันธุ์พืช "พวกเราไม่เห็นด้วยกับการจดทะเบียน เพราะข้าวเป็นของทุกคนอยู่แล้ว" นายนพดลกล่าว วิเคราะห์เนื้อในกฎหมาย:สิทธิชุมชนถูกทำลาย เมื่อวิถีดั้งเดิมของชุมชนเกษตรคือ การได้พันธุ์พืชเพื่อปลูกแล้วคัดจนกว่าจะได้พันธุ์ที่ดีมาเป็นลำดับ และแลกเปลี่ยนกันระหว่างชุมชน ซึ่งมีพื้นฐานจากแนวคิดช่วยเหลือเอื้อเฟื้อกันในสังคมเกษตรของไทยมาแต่โบราณ ผศ.ดร.สมชาย รัตนชื่อสกุล คณบดีคณะนิติศาสตร์ปรีดีพนมยงค์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ กล่าวว่า ร่าง พ.ร.บ. ฉบับใหม่เป็นการทำลายสิทธิชุมชน เนื่องจากการอนุรักษ์และพัฒนาพันธุ์ของชุมชนนั้นมีรากเหง้ามาจากวิถีชีวิตในแบบเดิมที่ไม่เคยเห็นพันธุ์พืชเป็นทรัพย์สินที่ใครคนใดคนหนึ่งจะหวงเอาไว้เป็นของตนเอง นอกจากนี้ ผศ.ดร.สมชาย ยังชี้ด้วยว่า มีความเสี่ยงที่พันธุ์พืชใหม่อาจผสมกับพันธุ์พืชพื้นเมืองทั่วไปโดยธรรมชาติ ซึ่งถ้าดูพันธุกรรมอาจจะมีลักษณะสำคัญของพันธุ์พืชใหม่อยู่ ทำให้เมื่อตรวจดูแล้วอาจเห็นพันธุกรรมสำคัญที่มาจากพันธุ์ที่ได้รับการคุ้มครอง หรือที่เรียกว่า essentially derived varieties (EDV) ดังนั้นชาวบ้านจะมีความผิดฐานละเมิดสิทธิพันธุ์พืชใหม่ได้ ตามร่างกฎหมายใหม่ "มันน่ากลัวที่เกษตรกรผิด กลายเป็นว่าเราลักลอบเอาพันธุ์เขามา" นายนพดลแสดงความกังวล ผศ.ดร.สมชาย รัตนชื่อสกุล คณบดีคณะนิติศาสตร์ปรีดีพนมยงค์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ นอกจากนี้ ร่างกฎหมายใหม่ยังเปิดช่องให้บริษัทเมล็ดพันธุ์ไม่ต้องแบ่งผลประโยชน์ในกรณีที่ใช้พันธุ์พืชพื้นเมืองทั่วไปเพื่อใช้ในการพัฒนาพันธุ์พืชใหม่ และมีการขยายการคุ้มครองแก่นักปรับปรุงพันธุ์ให้ครอบคลุมผลผลิตและผลิตภัณฑ์จากพืชปรับปรุงพันธุ์ด้วย ผศ.ดร.สมชายยกตัวอย่างเพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้นก็คือ หากมีการขโมยเมล็ดพันธุ์มะม่วงคุ้มครองไปปลูก จนกระทั่งออกผลแล้วนำแปรรูป เช่น มะม่วงกวน บริษัทก็จะสามารถเอาผิดที่ตัวผลิตภัณฑ์ได้ ขาดการมีส่วนร่วม เมื่อวันที่ 15 มี.ค. ปีที่แล้ว นายวิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ ผู้อำนวยการมูลนิธิชีววิถี หรือ ไบโอไทย ได้รับจดหมายจากกรมวิชาการเกษตร เพื่อให้ไปร่วมรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะการแก้ไขปรับปรุง พ.ร.บ. คุ้มครองพันธุ์พืช ในวันที่ 16 มี.ค. เขารู้สึกแปลกใจมากที่ได้รับจดหมายเชิญเพียงหนึ่งวันก่อนประชุม และเล่าให้บีบีซีไทยฟังว่าบางคนเพิ่งได้รับจดหมายเช้าวันนั้นเสียด้วยซ้ำ นายวิฑูรย์เป็นหนึ่งในผู้ที่ได้รับเชิญกว่า 20 รายที่ร่วมประชุมรับฟังความคิดเห็นในวันนั้น ที่ประกอบไปด้วยนักวิชาการ สมาคมเมล็ดพันธุ์ และบริษัทเอกชน ซึ่งปรากฏว่าไม่มีการแจกเอกสารใดๆ ในที่ประชุม โดยใช้วิธีฉาย powerpoint ว่าจะมีการแก้ในประเด็นอะไรบ้างพร้อมกับอธิบายรายละเอียด และขอให้ที่ประชุมเสนอความคิดเห็นให้เสร็จภายในครึ่งวัน "พวกเราเลยต่อรองกันว่าเวลามันสั้นมาก เราขออนุญาตทำความเห็นส่งไป ผมเองก็ต้องรีบพยายามถ่ายรูปตอนที่เขาฉายสไลด์ จากนั้นทำความเห็นไปถึงกรมฯ แล้วเรื่องนี้ก็หายไปเลย แล้วมาทราบอีกที 5 ต.ค. ว่าเขารับฟังความคิดเห็นผ่านเว็บไซต์แล้ว" นายวิฑูรย์กล่าว รัฐบาล:พ.ร.บ.ปัจจุบันไม่ดึงดูดการลงทุนเพื่อวิจัยพัฒนา เมื่อวันที่ 5 ต.ค. ที่ผ่านมา กรมวิชาการเกษตรได้เปิดรับฟังความคิดเห็นออนไลน์ผ่านทางเว็บไซต์ของกรมฯ โดยให้เหตุผลในการแก้ไข พ.ร.บ. คุ้มครองพันธุ์พืช พ.ศ. 2542 ว่า เป็นการพัฒนากฎหมายการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาด้านพืชให้มีความเหมาะสมกับสภาพการแข่งขันทางการค้าการลงทุน เนื่องจาก พ.ร.บ. ที่ใช้อยู่ไม่ดึงดูดการลงทุนด้านวิจัยพัฒนาพันธุ์พืชและธุรกิจเมล็ดพันธุ์ จึงสมควรปรับให้มีความสอดคล้องกับแนวทางของอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองพันธุ์พืชใหม่ (อนุสัญญา UPOV 1991) กรมวิชาการเกษตรให้เหตุผลในการแก้ไขกฎหมายว่า พ.ร.บ. ที่ใช้อยู่ไม่ดึงดูดการลงทุนด้านวิจัยพัฒนาพันธุ์พืชและธุรกิจเมล็ดพันธุ์ กรมฯ ยังได้มีการลงสรุปสาระสำคัญของร่าง พ.ร.บ. ใหม่ ซึ่งมีการแก้ไขเพิ่มเติม 49 มาตรา จากของเดิมที่มีอยู่ 69 มาตรา และไม่มีการนำข้อเสนอแนะของไบโอไทยที่เสนอเป็นลายลักษณ์อักษรไปยังอธิบดีกรมฯ หลังจากมีกระแสคัดค้านและโต้เถียงเรื่องนี้อย่างกว้างขวาง ต่อมากรมฯ จึงมีการขยายเวลารับความคิดเห็นออกไปจนถึงวันที่ 20 พ.ย. จากเดิมที่สิ้นสุดวันที่ 20 ต.ค. โดย พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ออกมาให้สัมภาษณ์สื่อเมื่อเดือนที่แล้วว่า จะไม่เดินหน้า พ.ร.บ. นี้ถ้ามีผลกระทบต่อเกษตรกรและยังไม่สามารถสร้างความเข้าใจได้ "สิ่งใดที่มันทันสมัยขึ้นแล้วมันเป็นผลดี ไม่กระทบ ก็เดินหน้าต่อไป แต่ถ้ามันกระทบ ผมสั่งการไปแล้วว่าถ้ายังเคลียร์ไม่ได้ ถ้ายังสร้างความรับรู้ไม่ได้ แล้วก็ยังไม่สามารถตอบสังคมได้ ก็ยังไม่ต้องทำ" เขากล่าว ด้านกรมวิชาการเกษตรยืนยันว่าร่าง พ.ร.บ. ใหม่ส่งผลดีต่อเกษตรกร โดยนายสุวิทย์ ชัยเกียรติยศ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร ให้สัมภาษณ์สื่อว่า กฎหมายดังกล่าวจะทำให้เกษตรกรมีทางเลือกมากขึ้นในการเลือกชนิดพืชและพันธุ์พืชใหม่ๆ ทำให้สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและคุณภาพของผลผลิตให้ได้ผลตอบแทนสูงขึ้น อีกทั้งเกษตรกรจะมีรายได้ที่มากขึ้นจากการรับจ้างผลิตเมล็ดพันธุ์ ทว่านายวิฑูรย์กล่าวว่า แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่เกษตรกรจะสามารถแสดงความคิดเห็นผ่านเว็บไซต์ได้ และการขยายเวลาออกไปแทบจะไม่มีผลอะไรเลย เนื่องจากมีการ "ตั้งธง" เอาไว้แล้ว "อย่าว่าแต่เกษตรกรส่วนใหญ่เลย เกษตรกรที่มีความรู้ก็ยาก มันสักแต่ว่าเป็นพิธีกรรมเพื่อให้เป็นไปตามข้อกำหนด" เขากล่าว ระบบป้องกันการขโมยพันธุ์ ตั้งแต่มี พ.ร.บ. คุ้มครองพันธุ์พืชออกมาเมื่อปี 2542 อีสท์ เวสท์ ซีด บริษัทสัญชาติเนเธอร์แลนด์ซึ่งทำธุรกิจผลิตเมล็ดพันธุ์พืชในประเทศเป็นเวลา 34 ปี ได้จดทะเบียนพันธุ์พืชทั้งหมด 24 ตัวที่เสร็จสิ้นกระบวนการและได้หนังสือสำคัญแล้ว และอยู่ในระหว่างกระบวนการอีก 23 ตัว ข้อมูลจากกรมวิชาการเกษตรระบุว่า ในปัจจุบัน มีพันธุ์พืชคุ้มครอง 455 ทะเบียน โดยเป็นพันธุ์พืชคุ้มครองของภาคเอกชนเอกชน 68% ภาคราชการ 15% เกษตรกร 11% และสถาบันการศึกษา 6% "การที่นักปรับปรุงพันธุ์จะได้พันธุ์ใหม่มาอาจะใช้ 5-10 ปีกว่าจะได้พันธุ์ใหม่ออกมา กว่าจะออกสู่ท้องตลาดต้องใช้เวลากว่าจะติดตลาดและมียอดขายที่สำคัญ อีกไม่กี่ปีความคุ้มครองก็หมดแล้ว เขาจะรู้สึกว่ามันแทบไม่คุ้มทุนเลย" นายวิชัยกล่าว พร้อมทั้งให้การสนับสนุนร่างกฎหมายฉบับใหม่ที่มีการขยายระยะเวลาการคุ้มครองพันธุ์พืชใหม่ จากเดิม 15 ปีสำหรับพืชทั่วไป และ 20 ปีสำหรับไม้ยืนต้นและไม้เถายืนต้น ออกไปเป็น 20-25 ปี นายวิชัยกล่าวว่า อีสท์ เวสท์ ซีด ลงทุนในด้านการวิจัยและพัฒนาสายพันธุ์เป็นสัดส่วน 10-15% ของรายได้บริษัท โดยบริษัทมีทีมงานนักปรับปรุงพันธุ์ไม่ต่ำกว่า 15 คนในประเทศและหลายสิบคนในภูมิภาคอาเซียน และครอบครองส่วนแบ่งทางการตลาดเป็นอันดับหนึ่งของพันธุ์ผักเมืองร้อนทั้งในไทยและภูมิภาคอาเซียน และในปี 2557 บริษัทได้ประกาศความร่วมมือทางธุรกิจกับกลุ่มมอนซานโต้ บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเมล็ดพันธุ์อันดับหนึ่งของโลก ข้อมูลจากสมาคมการค้าเมล็ดพันธุ์ไทย ระบุว่า ประเทศไทยผลิตและส่งออกเมล็ดพันธุ์เป็นอันดับ 1 ของอาเซียนและอันดับ 4 ของภูมิภาคเอเซียแปซิฟิก ซึ่งการผลิต การจำหน่ายในประเทศ และการส่งออกเมล็ดพันธุ์ของไทย มีมูลค่ารวมกันมากกว่า 10,000 ล้านบาทต่อปี นายวิชัย เหล่าเจริญพรกุล ผู้จัดการทั่วไป บริษัท อีสท์ เวสท์ ซีด จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายเมล็ดพันธุ์ผักตราศรแดง อีสท์ เวสท์ ซีด เป็นหนึ่งในบริษัทเมล็ดพันธุ์ที่ใช้ไทยเป็นฐานการผลิตในการส่งออก แต่สำหรับพันธุ์ที่ขายในไทย อีสท์ เวสท์ ซีด จะมีระบบป้องกันการขโมยสายพันธุ์โดยจะผลิตที่ต่างประเทศ เนื่องจากกฎหมายไทยไม่คุ้มครองนักปรับปรุงพันธุ์เท่าที่ควร นายวิชัยกล่าว โดยพันธุ์ที่ผลิตที่ไทยเป็นพันธุ์ที่ผลิตให้ประเทศอื่นและพันธุ์การค้าที่อยู่ในตลาดมานานแล้ว "พันธุ์ใหม่ถ้าปลูกที่นี่ ลงปั๊ป ก๊อปปี้ทันที และอาจออกสู่ตลาดเร็วกว่าเรา หรือไม่ก็ขโมยไปเลย" นายวิชัยกล่าว "พ.ร.บ. นี้จะลิดรอนสิทธิของพวกนักเลียนแบบหรือคนที่ฉวยโอกาสที่จะหาช่องว่างทางกฎหมายไปเอาเปรียบสิทธิของนักปรับปรุงพันธุ์" ด้านสมาคมการค้าเมล็ดพันธุ์ไทย ซึ่งประกอบไปด้วยสมาชิก 57 บริษัท ได้ออกแถลงการณ์สนับสนุนร่าง พ.ร.บ. ฉบับใหม่ โดยระบุว่า เรื่องการผูกขาดเมล็ดพันธุ์เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ในประเทศไทย เพราะพันธุ์พืชชนิดเดียวกันกับพันธุ์พืชใหม่ที่ได้รับการอนุมัติจาก พ.ร.บ. ฉบับนี้มีอีกมากมาย ซึ่งเกษตรกรสามารถเลือกใช้ได้โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาพันธุ์พืชใหม่ โดยเกษตรกรสามารถเลือกซื้อพันธุ์จากหน่วยราชการ สถาบันการศึกษา หรือบริษัทต่างๆ ได้ตามความพอใจ นอกจากนั้นบริษัทที่จดทะเบียนขายเมล็ดพันธุ์ในไทยมีมากกว่า 300 บริษัท ซึ่งเป็นบริษัทขนาดใหญ่ไม่ต่ำกว่า 10 บริษัท ทำให้ไทยมีการแข่งขันสูงที่สุดในอาเซียน ในแง่จำนวนบริษัทในตลาด "เกษตรกรมีสิทธิ์เลือกอยู่แล้ว ถ้าศรแดงแพงไป ไปเลือกซื้อของบริษัทอื่น กลไกตลาดจะแข่งของมันเอง เอกชนไม่มีทางจะขึ้นราคาพร้อมกันหมด" นายวิชัยกล่าว ขยายการผูกขาด? ผศ.ดร.สมชายกล่าวว่า กฎหมายฉบับใหม่จะส่งผลกระทบต่อเกษตรกรที่เก็บเมล็ดพันธุ์เพื่อใช้เองในฤดูกาลถัดไป ที่เรียกว่า farmer-saved seed ซึ่งกฎหมายปัจจุบัน มีข้อห้ามว่าพันธุ์พืชบางอย่างถ้าต้องการส่งเสริมให้มีการปรับปรุงพันธุ์ รัฐมนตรีสามารถสั่งห้ามเก็บเกินสามเท่า แต่กฎหมายใหม่ให้อำนาจรัฐมนตรีสามารถสั่งไม่ให้เก็บทั้งหมดหรือบางส่วน นั่นหมายความว่า หากเกษตรกรเก็บแม้แต่หนึ่งเมล็ด ก็มีความเสี่ยงที่จะติดคุก และหากเก็บไม่ได้ ก็ต้องกลับไปซื้อเมล็ดพันธุ์ใหม่ กลายเป็นรายได้ที่เพิ่มขึ้นสำหรับบริษัทเมล็ดพันธุ์ โดยข้อมูลจากสมาคมการค้าเมล็ดพันธุ์ไทยระบุว่า เมล็ดพันธุ์จากภาคเอกชนในตลาดมีสัดส่วนประมาณ 90% สัดส่วนการครอบครองตลาดเมล็ดพันธุ์ในไทย นายวิชัยกล่าวว่า คำในกฎหมายอาจจะแก้ไขได้เพื่อไม่ให้ถูกมองเป็นภาพลบ เพราะบริษัทเมล็ดพันธุ์ส่วนใหญ่ก็จะยอมรับวัฒนธรรมการเกษตรของไทย อย่างไรก็ตามเขากล่าวว่าหากเกษตรกรเก็บผลผลิตของเมล็ดที่ปรับปรุงพันธุ์เอาไว้เพื่อนำไปใช้เมล็ดพันธุ์ในครั้งหน้า ก็อาจจะไม่ได้ผลดีเท่าเดิม นอกจากนั้น ผศ.ดร.สมชาย ยังตั้งข้อสังเกตอีกว่า พ.ร.บ. ฉบับใหม่มีการแก้ไขที่มาของคณะกรรมการคุ้มครองพันธุ์พืช ซึ่งมีอำนาจหน้าที่ในการให้ความเห็นแก่รัฐมนตรี โดยให้กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิมาจากการแต่งตั้งแทนการสรรหา เพื่อความรวดเร็วและต่อเนื่องในการดำเนินงาน ซึ่ง ผศ.ดร.สมชาย กล่าวว่า มีความเสี่ยงที่ผู้ทรงคุณวุฒิจะเป็น "เกษตรกรตัวปลอม" ที่บริษัทเมล็ดพันธุ์ที่แต่งตั้งเข้ามา "เขาเขียนกฎหมายสามชั้นเลยนะ วรรคแรกสามารถใช้ [เมล็ดพันธุ์] ได้ตลอด ดีมาก ถูกลบด้วย 35 วรรค 2 ซ้อนด้วยมาตราเรื่ององค์ประกอบคณะกรรมการ เกษตรกรชาวบ้านที่ไหนอ่านกฎหมายแบบนี้จะเข้าใจว่าตัวเขาจะโดน คือ คุณถือว่าคุณฉลาด คุณเขียนกฎหมายให้มันซับซ้อน เกษตรกรอ่านไม่รู้เรื่องไม่เป็นไรหรอก คุณเห็นเกษตรกรเขาโง่หรือไง แล้วอย่างนี้ปล่อยออกไป เกษตรกรซวยตายเลย" ผศ.ดร.สมชาย กล่าว
|
กระทรวงเกษตรฯ กำลังเปิดรับฟังความคิดเห็น พ.ร.บ.คุ้มครองพันธุ์พืชฉบับใหม่ ในขณะที่บริษัทขายเมล็ดพันธุ์พืชสนับสนุนกฎหมายฉบับนี้ แต่เกษตรกรในชุมชนกลับบอกว่าพวกเขาถูกลิดรอนสิทธิที่มีมาแต่เดิมในการเก็บเมล็ดพันธุ์เพื่อปลูกต่อไปและบีบให้ต้องซื้อเมล็ดพันธุ์จากบริษัทเท่านั้น บีบีซีไทยพูดคุยกับคนในวงการในประเด็นใครได้ใครเสียจาก พ.ร.บ.ใหม่
|
international-44817746
|
https://www.bbc.com/thai/international-44817746
|
โครเอเชีย: ประเทศขนาดเล็ก กลายมาเป็น "ขุมกำลังทางฟุตบอล" ได้อย่างไร
|
เมืองดูบรอฟนิก เมืองเก่าริมฝั่งของโครเอเชีย ถูกใช้เป็นหนึ่งในสถานที่ถ่ายทำหลักของ เกม ออฟ โธรนส์ แต่อีกไม่กี่ปีต่อมา ทีมชาติโครเอเชียได้สร้างความประหลาดใจให้กับแฟนบอลทั่วโลก เมื่อพวกเขากลายเป็นทีมม้ามืดที่คว้าอันดับ 3 ในการแข่งขันฟุตบอลโลก 1998 ที่ประเทศฝรั่งเศส ไปครอง ในวันอาทิตย์ที่ 15 ก.ค. นี้ "ทีมตราหมากรุก" จะลงแข่งขันในฐานะประเทศที่มีประชากรน้อยที่สุดที่ได้เข้ามาถึงรอบชิงชนะเลิศฟุตบอลโลกในห้วงเวลากว่า 60 ปี มีปัจจัยหลายประการที่แสดงให้เห็นว่าความสำเร็จของประเทศยุโรปตะวันออก ที่มีประชากรราว 4.4 ล้านคนแห่งนี้ อาจไม่ใช่เรื่องบังเอิญ บางสิ่งที่คุณอาจยังไม่รู้เกี่ยวกับโครเอเชีย คนส่วนใหญ่โดยเฉพาะชาวยุโรป รู้จักโครเอเชียในฐานะจุดมุ่งหมายยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะชายฝั่งทะเลอะเดรียติกอันงดงาม และหมู่เกาะเล็กใหญ่กว่า 1,000 แห่ง ชาวโครเอเชียต้อนรับนักท่องเที่ยวกว่า 18 ล้านคนต่อปี และมีรายได้จากอุตสาหกรรมท่องเที่ยวคิดเป็นราว 1 ใน 5 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) แม้เป็นประเทศเล็ก ๆ ในยุโรป แต่โครเอเชียก็เป็นจุดหมายของนักท่องเที่ยว 1. ประเทศที่เราเพิ่งรู้จักในปี 1991 โครเอเชีย เคยเป็นส่วนหนึ่งของสหพันธ์สาธารณรัฐสังคมนิยมยูโกสลาเวีย ก่อนจะประกาศตัวเป็นเอกราชในปี 1991 และในช่วง 10 ปีต่อจากนั้นประเทศก็ถูกปกครองภายใต้รัฐบาลชาตินิยมของ ประธานาธิบดีฟรานโจ ทุชมัน ต่อมาในปี 2003 ภายใต้การบริหารของประธานาธิบดีเสตียปัน เมชิช โครเอเชียได้สมัครเข้าเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป และเกือบ 10 ปีให้หลัง ในวันที่ 1 ก.ค. 2013 โครเอเชียได้กลายเป็นประเทศอดีตสหพันธ์สาธารณรัฐยูโกสลาเวีย ประเทศที่ 2 ที่เข้าร่วมสหภาพยุโรป ถัดจากสโลเวเนีย สาธารณรัฐโครเอเชีย เมืองหลวง: ซาเกร็บ ประชากร 4.4 ล้านคน พื้นที่ 56,594 ตร.กม. ภาษา โครเอเชียน ศาสนาหลัก คริสต์ อายุไขเฉลี่ย ชาย 74 ปี หญิง 80 ปี สกุลเงิน คูนา (kuna) 2. หนึ่งในสามของพื้นที่ปกคลุมไปด้วยป่า โครเอเชียมีอุทยานแห่งชาติที่งดงาม คุณสามารถว่ายน้ำในน้ำตกที่น่ามหัศจรรย์และสำรวจป่าอุดมสมบูรณ์ที่ยังไม่ถูกทำลาย ซึ่งธนาคารโลกระบุว่าหนึ่งในสามของพื้นที่ประเทศถูกปกคลุมด้วยผืนป่า ประเทศแห่งนี้มีอุทยานแห่งชาติ 8 แห่ง ในจำนวนนี้รวมถึงทะเลสาบพลิทวิเซ่ Plitvice Lakes ในอุทยานแห่งชาติทะเลสาบพลิทวิเซ่ ซึ่งได้รับการประกาศจากยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกเมื่อปี 1979 ด้วย ทะเลสาบพลิทวิเซ่ เป็นหนึ่งในมรดกโลก 3. สุนัขดัลเมเชียนมาจากโครเอเชีย รากเหง้าของสุนัข "ดัลเมเชียน" เชื่อกันว่ามาจากโครเอเชีย ซึ่งก็มีแคว้นดัลเมเชีย โดยมีการค้นพบรูปภาพเหมือนดัลเมเชียนในโบสถ์ เราจะเห็นสุนัขซึ่งมีขนขาวและลายจุดสีดำทั่วตัวนี้ได้ในภาพเขียนต่าง ๆ และในบันทึกของโบสถ์หลายแห่งทั่วแคว้นดัลเมเชีย ข้อมูลจาก Fédération Cynologique Internationale (FCI) ซึ่งเป็นสหพันธ์ของผู้เลี้ยงและเพาะพันธุ์สุนัขอาชีพที่ใหญ่ที่สุดระบุว่าร่องรอยที่เก่าแก่ที่สุดของสุนัขดัลเมเชียนสามารถสืบย้อนไปได้ถึงคริสศตวรรษที่ 16 FCI อ้างข้อมูลของโธมัส เพนแนนท์ ผู้เชี่ยวชาญเรื่องพันธุ์สุนัขว่า พันธุ์นี้มีความเป็นตัวของตัวเองมาก และเขาเป็นคนที่เรียกมันว่าดัลเมเชียนเป็นคนแรกและอธิบายว่ามีต้นกำเนิดจากแคว้นดัลเมเชีย 4. คิงส์ แลนดิ้ง ใน เกม ออฟ โธรนส์ อยู่ในเมืองดูบรอฟนิก เมืองหลวงของอาณาจักรสมมติ คิงส์ แลนดิ้ง (Kings' Landing) ในซีรีส์ เกม ออฟ โธรนส์ ถูกถ่ายทำเกือบทั้งหมดในบรอฟนิก เมืองเก่าแก่ของโครเอเชียที่อยู่ริมชายฝั่งทะเลอะเดรียติก มีกำแพงโอบล้อมรอบเมือง และได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกด้วย ด้วยเพราะเป็นเมืองค้าขายในแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียนมานับพันปี ทำให้สถาปัตยกรรมเก่าแก่ยังเหลืออยู่ อาทิ พระราชวังสไตล์โกธิค-เรอเนสซองส์ โบสถ์สไตล์บาโรค สร้างเสน่ห์ให้กับเมืองแห่งนี้ จนถูกเลือกให้เป็นฉากสำคัญในซีรีส์ดัง ความสำเร็จในโลกกีฬา ปัจจุบันทีมชาติโครเอเชียอยู่ในอันดับที่ 20 ตามการจัดอันดับของฟีฟ่า และพวกเขาเคยขึ้นไปถึงอันดับ 3 เมื่อปี 1998 ในยุคที่ทีมประกอบไปด้วยดาวดังอย่าง ดาวอร์ ซูเคอร์ และ สโวนิเมียร์ โบบัน แต่โครเอเชีย ไม่ได้ทำผลงานได้ดีแค่ในกีฬาฟุตบอล หรือที่ชาวโครเอเชียเรียกว่า "โนโกเมต" (nogomet) เท่านั้น ทีมแฮนด์บอลของพวกเขา คว้าแชมป์โลกได้ในปี 2003 รวมถึงเป็นเจ้าของเหรียญทองโอลิมปิก 2 สมัย ขณะที่ทีมโปโลน้ำของพวกเขาก็เป็นแชมป์โลกด้วยเช่นกัน แฟนบาสเก็ตบอลอาจรู้จัก ดราเซน เพโตรวิช และ โทนี คูโคช สองนักบาสจากโครเอเชียในลีกเอ็นบีเอ ของสหรัฐฯ ขณะที่แฟนเทนนิสน่าจะเคยได้ชมผลงานของ โกรัน อิวานิเซวิช และ มาริน ซิลิช ประธานาธิบดีโคลินดา กราบาร์ คิตาโรวิช ของโครเอเชีย มอบเสื้อทีมชาติให้กับนางเทรีซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ระหว่างการประชุมสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (NATO) ณ กรุงบรัสเซลล์ ของเบลเยียม พวกเขาทำได้อย่างไร ? อิกอร์ สติแมช กุนซือทีมชาติโครเอเชียชุดปี 2012 เคยกล่าวว่า "ชาวโครแอตมีความสามารถอยู่แล้วโดยธรรมชาติ" ขณะที่ โรมีโอ โจแซค หัวหน้าฝ่ายเทคนิคของสมาคมฟุตบอลโครเอเชีย กล่าวในการสัมภาษณ์กับบีบีซีเมื่อปี 2013 ว่า "พระเจ้ามอบเด็กที่น่าทึ่งและมีความสามารถสูงให้กับเรา" แต่ความสามารถของเด็ก ๆ อาจไม่ใช่เหตุผลเดียว ที่ทำให้ทีมฟุตบอลตราหมากรุกประสบความสำเร็จเกินความคาดหมายซ้ำแล้วซ้ำเล่า นักเตะทีมชาติโครเอเชียหลายคนล้มตัวทับช่างภาพขณะร่วมแสดงความดีใจ หลังยิงประตูขึ้นนำอังกฤษในช่วงต่อเวลา ในการสัมภาษณ์กับบีบีซี โจแซคกล่าวว่า ยุทธศาสตร์ในการพัฒนานักฟุตบอลภายในประเทศของโครเอเชีย กำหนดให้โค้ชมุ่งฝึกสอนทักษะในแนวทางเดียวกัน สำหรับแต่ละช่วงอายุของเด็ก โดยมีสมาคมฟุตบอลฯ เป็นผู้สนับสนุนด้านเทคนิค ขณะที่สโมสรทั้งหมดในโครเอเชียก็เห็นพ้องต้องกันกับแผนนี้ นั่นหมายความว่า นักฟุตบอลของโครเอเชียทุกอายุ ตั้งแต่ชุดเด็ก ชุดเยาวชน ไปจนถึงชุดใหญ่ ต่างได้รับการปลูกฝังเกี่ยวกับฟุตบอลในทิศทางเดียวกัน "คุณต้องสร้างวิสัยทัศน์เดียวกันตั้งแต่อายุ 12 ปี เมื่อ 4 ปีก่อน เราคิดค้นหลักสูตรนี้ ซึ่งเป็นกลยุทธ์ทางเทคนิคสำหรับทีมชุดอายุต่ำกว่า 14 ปีขึ้นไป นักฟุตบอลทุกรุ่นจะต้องทำตามแผนนี้ มันเป็นเรื่องของความสามารถ การมีวิสัยทัศน์ และเกณฑ์การคัดเลือกที่ชัดเจน" เขากล่าว อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์หลายคนกล่าวว่า ระบบพัฒนานักฟุตบอลเยาวชนของโครเอเชีย ยังคงตามหลังหลายประเทศในยุโรป และยังต้องอาศัยผลผลิตจากศูนย์ฝึกสอนจากสโมสรยักษ์ใหญ่ในประเทศเป็นหลัก ทีมชาติชุดประวัติศาสตร์ ลูก้า โมดริช (กลาง) และมาริโอ มานด์ซูคิช (ขวา) การเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศ นับเป็นผลการแข่งขันที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ทีมชาติโครเอเชีย ซึ่งมีผู้เล่นคนสำคัญหลายคนเล่นให้กับสโมสรชั้นนำในยุโรป มาริโอ มานด์ซูคิช กองหน้าวัย 32 ปี ผู้ทำประตูให้โครเอเชียแซงชนะอังกฤษ 2-1 ในรอบรองชนะเลิศ มาจากสโมสรยูเวนตุส ในอิตาลี ขณะที่ กองกลางกัปตันทีมทีมอย่าง ลูก้า โมดริช ของสโมสรรีล มาดริด ในสเปน หลังจบเกมดังกล่าว โมดริชได้แสดงความเห็นว่า นักวิจารณ์ชาวอังกฤษนั้นประเมินทีมโครเอเชียต่ำเกินไป รวมทั้งระบุว่าผู้เล่นในทีมต่างนำคำสบประมาทว่าพวกเขาจะต้องเหนื่อยล้าจากเกมก่อนหน้านี้ มาใช้เป็นแรงผลักดัน "เราแสดงให้เห็นอีกครั้งว่าเราไม่เหนื่อย เราครอบครองเกมได้ทั้งทางกายภาพและจิตใจในทุก ๆ ด้าน" โมดริชกล่าว "มันเป็นความสำเร็จที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์กีฬาของโครเอเชีย และเราต้องภูมิใจ" นายอันเดร์ เพล็นโควิช นายกรัฐมนตรีของโครเอเชีย หลังจากโครเอเชียเอาชนะอังกฤษเมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา นายอันเดร เพล็นโควิช นายกรัฐมนตรีของโครเอเชีย สวมชุดทีมชาติโครเอเชียในการประชุมของรัฐบาล นายเพล็นโควิช กล่าวว่า ความสำเร็จครั้งนี้แสดงถึงความเข้มแข็งของประเทศที่อาจไม่มีประชากรจำนวนมาก "แต่มีหัวใจ ความกล้าหาญ ความกระตือรือร้นที่ยิ่งใหญ่" "คนหนุ่มเหล่านี้ได้ก้าวข้ามไปอีกขั้นจากทีมอันยอดเยี่ยมในยุคปี 1998" นายกรัฐมนตรีของโครเอเชีย กล่าว "ภายในเวลา 20 ปี เราได้กลายมาเป็นขุมกำลังทางฟุตบอลอย่างแท้จริง"
|
หลังประกาศอิสรภาพในปี 1991 โครเอเชียต้องเผชิญกับภาวะสงครามและความไม่สงบตลอด 4 ปีหลังจากนั้น
|
thailand-49379631
|
https://www.bbc.com/thai/thailand-49379631
|
มาเรียม : การจากไปของมาเรียมกับ 3 ภัยคุกคาม ในมุมมองของ ดร.ธรณ์
|
มาเรียมเป็นหนึ่งในสัตว์ทะเลหายากที่จากไปเพราะฝีมือของมนุษย์ผู้ก่อปัญหาขยะในทะเลทั้งทางตรงและทางอ้อมจากรายงานการทิ้งขยะพลาสติกลงในทะเลขององค์กรอนุรักษ์ท้องทะเล (Ocean Conservancy) เมื่อปี 2558 พบว่าชาติสมาชิกอาเซียน 3 ชาติ ได้แก่ ฟิลิปปินส์ เวียดนาม ไทย และจีน ทิ้งขยะลงท้องทะเลมากที่สุด กลุ่มกรีนพีซได้ระบุตามรายงานการอนุรักษ์มหาสมุทร ประจำปี 2560 ว่าประเทศไทย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม และจีน ทิ้งขยะพลาสติก มากกว่าครึ่งหนึ่งของขยะพลาสติกที่ถูกทิ้งลงมหาสมุทรในทุกปี ผศ.ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ รองคณบดีคณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และผู้เชี่ยวชาญด้านทะเลไทย เป็นหนึ่งในผู้ที่ทำการรณรงค์ด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลมาตลอด โดยเช้านี้หลังจากที่ผลชันสูตรของมาเรียมออกมาแล้ว ดร.ธรณ์ ได้ลงข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัวภายใต้หัวข้อ "เจ็ดข้อที่มาเรียมฝากไว้" เพื่อชี้ให้เห็นถึงปัญหาขยะในทะเลที่ทวีความรุนแรงขึ้นทุกวัน จะเห็นได้ว่าปัญหาขยะในทะเลไม่ใช่ปัญหาเล็ก ๆ เพราะมันสามารถคร่าชีวิตสัตว์ทะเล และมนุษย์ได้ ทุกวันนี้เราสามารถสังเกตได้ว่าข่าวสัตว์ทะเลเช่นเต่า ปลาโลมา หรือพะยูน ได้รับบาดเจ็บจากเศษอวนบาดหรือติดตามร่างกาย หรือเสียชีวิตจากการกินขยะที่เป็นพลาสติกเข้าไปมีถี่มากขึ้น บีบีซีไทยได้พูดคุยกับ ดร.ธรณ์ ถึงปัญหาที่เกิดขึ้นกับมาเรียม โดยเขาได้อธิบายถึงภัยคุกคาม 3 ประการที่พะยูนต้องเผชิญในทะเลไทย โดยเฉพาะบริเวณทะเล จ.ตรัง ที่เป็นถิ่นอาศัยของพะยูนแหล่งสุดท้ายในประเทศไทย 1. ภัยจากเครื่องมือประมง การทำประมงโดยเฉพาะประมงพื้นบ้านถือเป็นหนึ่งในภัยคุกคามหลักต่อชีวิตพะยูนในน่านน้ำไทย เพราะมีการใช้อวนลอยและอวนกระเบนเพื่อทำประมงกันอย่างแพร่หลาย โดยอวนเหล่านี้ทำให้พะยูนว่ายน้ำเข้าไปติดและไม่สามารถออกมาได้ การจัดระเบียบเส้นทางการวิ่งของเรือประมง เป็ฯมาตรการหนึ่งของการอนุรักษ์สัตว์น้ำ "พะยูนไม่เหมือนปลาโลมา พวกมันกินหญ้าทะเลเป็นอาหารและมันต้องว่ายน้ำลงไปตามแนวหญ้าทะเล เมื่อติดอวนและออกมาไม่ได้พวกมันจะจมน้ำตายเพราะพะยูนหายใจทางปอด ไม่ได้หายใจทางเหงือกเหมือนสัตว์น้ำทั่วไป" ดร.ธรณ์ อธิบาย 2. ภัยจากขยะทางทะเล ขยะพลาสติกเป็นสาเหตุการตายของมาเรียม และสัตว์ทะเลอีกหลายชนิดในทุกวัน จะเห็นได้ว่าการรณรงค์ลดใช้พลาสติกนั้นไม่ประสบผลสำเร็จ เพราะคนไทยยังมีพฤติกรรมในการใช้พลาสติกในชีวิตประจำวันเป็นจำนวนมหาศาล จากการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนครั้งที่ 34 ที่ไทยเป็นเจ้าภาพเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาได้มีการรับรองปฏิญญากรุงเทพฯ ว่าด้วยการต่อต้านขยะทะเลในภูมิภาคอาเซียน โดย พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่า ปฏิญญานี้ "แสดงเจตนารมณ์ของอาเซียนที่มุ่งมั่นที่จะแก้ไขปัญหาขยะทะเลอย่างจริงจังและยั่งยืน" และกำหนดกรอบเวลา เจ้าหน้าที่กำลังป้อนนมให้กับมาเรียมในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ "การรณรงค์อย่างเดียวมันไม่พอหรอก ผมไปดูตัวเลขจากที่กรมอุทยานฯ เก็บเอาไว้พบว่าเขาเก็บขยะในทะเลนับตั้งแต่เมื่อ 10 เดือนที่แล้วมาถึงวันนี้ได้แล้ว 95 ตัน เมื่อเทียบกับปีที่แล้วเขาเก็บได้ 82 ตัน เห็นได้ว่าปริมาณขยะไม่ได้ลดลงเลย แถมเพิ่มขึ้นอีกต่างหาก" ดร. ธรณ์ "ผมเองเพิ่งไปเดินที่ชายหาดหนึ่งใน จ.ตรัง โดยผมเดินไปเป็นระยะทาง 50 เมตร ผมเก็บหลอดพลาสติกได้ 1,800 หลอด นี่แสดงให้เห็นว่าแค่รณรงค์ไม่พอ เราต้องออกมาตรการที่แรงกว่านี้ และห้ามขายห้ามใช้ไปเลย" ดร.ธรณ์ ยังกล่าวอีกว่ากรอบเวลาของ ปฏิญญากรุงเทพฯ ว่าด้วยเรื่องการต่อต้านขยะในทะเลจะเริ่มขึ้นปี 2565 แต่ ดร. ธรณ์ อยากให้มีการขยับขึ้นมาให้เร็วขึ้นเพราะปัญหาเริ่มทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ โดยการตายของมาเรียมอาจจะช่วยกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้ 3. ภัยจากการท่องเที่ยว ปัญหานี้เป็นปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตหากการท่องเที่ยวทางทะเลใน จ.ตรัง เริ่มได้รับความนิยมขึ้นมากกว่านี้ ดร.ธรณ์ เห็นว่าปัญหาที่ก่อจากการที่มีปริมาณเรือนำเที่ยวมากเกินไปอาจไปรบกวนระบบนิเวศน์ของพะยูนและสัตว์น้ำอีกหลายชนิดในน่านน้ำของ จ.ตรัง เรือเร็วเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่เป็นอันตรายต่อพะยูน "ตั้งแต่ต้นปีมา มีสัตว์ทะเลหายากตายไปไม่ต่ำกว่า 200 ตัวแล้ว โดยสาเหตุที่พวกมันตายก็มาจากภัยคุกคามต่าง ๆ ที่ได้กล่าวเอาไว้ทั้งจากขยะ และการทำประมงพื้นบ้าน แต่ที่อันตรายที่สุดก็หนีไม่พ้นถุงพลาสติกเพราะเมื่อเข้าไปในร่างกายของสัตว์น้ำแล้ว จะไม่สามารถมองเห็นได้แม้ว่าจะทำการเอกซเรย์ก็ตาม"
|
"ไม่อยากเชื่อ น้องมาเรียม จากไปเพราะขยะพลาสติก" ข้อความสะเทือนใจที่กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งได้ลงเอาไว้บนเฟซบุ๊ก หลังจากที่ทีมสัตวแพทย์ได้ทำการผ่าชันสูตร "มาเรียม" และพบว่ามีเศษพลาสติกเล็กๆ หลายชิ้นขวางลำไส้ จนมีอาการอุดตันบางส่วนและอักเสบ ทำให้มีแก๊สสะสมอยู่เต็มทางเดินอาหาร มีการติดเชื้อในกระแสเลือด ปอดเป็นหนอง ตามมา จึงเป็นสาเหตุให้พะยูนขวัญใจชาวไทยตายลงอย่างสงบเมื่อกลางดึกที่ผ่านมา
|
features-48252482
|
https://www.bbc.com/thai/features-48252482
|
การศึกษา : ข้อแนะนำการทบทวนบทเรียนเตรียมสอบให้ได้ผลจากนักประสาทวิทยา
|
1.ติวหนังสือช่วงเวลาใกล้เคียงกับเวลาที่จะสอบจริง โดยจัดตารางทบทวนบทเรียนในช่วงเวลาเดียวกับวันที่จะมีสอบ เช่น จะสอบช่วง 9 โมงเช้า ก็ควรจัดเวลาอ่านหนังสือในช่วงนี้ เพราะจะช่วยให้เราคุ้นชินและทำข้อสอบได้ดีเมื่อถึงเวลาจริง 2.ไม่ตะลุยอ่านหนังสือรวดเดียว ผู้เชี่ยวชาญแนะว่าควรแบ่งอ่านบทเรียนวิชาต่าง ๆ ทีละน้อยไปทั้งวัน และพยายามทำความเข้าใจในคำตอบมากกว่าใช้การจดจำ 3.หาตัวกระตุ้นเชิงบวก เช่น ลองนวดใบหู หรือดมกลิ่มมะนาวในขณะที่ใช้ความคิด หรืออาจทำสิ่งที่ช่วยให้คุณรู้สึกดีหรือมั่นใจ แล้วในวันสอบจริงก็ใช้ตัวกระตุ้นเหล่านี้เพื่อให้เกิดความรู้สึกเชิงบวก 4. ไม่ควรติวหนังสือดึกเกินไป แต่ควรขีดเส้นตายการทบทวนบทเรียนไม่เกินเวลา 3 ทุ่ม และงดใช้โทรศัพท์หรือดูโทรทัศน์ก่อนเข้านอนเพื่อให้รู้สึกผ่อนคลายและพร้อมสำหรับวันสำคัญ
|
ทีมนักประสาทวิทยาในสหราชอาณาจักร มีข้อแนะนำเรื่องการอ่านหนังสือเตรียมตัวสอบสำหรับบรรดานักเรียนนักศึกษา เพื่อให้สามารถทำข้อสอบได้อย่างเต็มประสิทธิภาพและไม่ต้องหักโหมจนเกินไป ดังต่อไปนี้
|
international-41553236
|
https://www.bbc.com/thai/international-41553236
|
เมื่อคนไข้คิดว่ายาแพง ยิ่งรู้สึกมีผลข้างเคียงรุนแรงขึ้น
|
ทีมนักวิทยาศาสตร์จากศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัยฮัมบวร์ก-เอปเปนดอร์ฟ ได้ทดสอบเรื่องผลกระทบของยาหลอกในทางลบหรือโนซีโบ เอฟเฟกต์ (Nocebo effect) ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่ทัศนคติของคนไข้ที่เป็นลบต่อยาหรือการรักษา จะทำให้เกิดอาการแพ้ยา หรือเกิดผลข้างเคียงไม่พึงประสงค์ของยาที่ร้ายแรงกว่าความเป็นจริงได้ ทั้งที่ได้รับเพียงยาหลอกเท่านั้น ผลการทดลองดังกล่าวซึ่งตีพิมพ์ในวารสาร Science ระบุว่า ได้ทดลองทายาครีมซึ่งเป็นยาหลอกให้กับอาสาสมัครสองกลุ่ม โดยบอกว่าเป็นยาแก้อาการคัน และย้ำว่ายานี้อาจมีผลข้างเคียงทำให้ผิวหนังไวต่อความเจ็บปวดมากขึ้นได้ อย่างไรก็ตาม อาสาสมัครกลุ่มหนึ่งจะได้เห็นว่าบรรจุภัณฑ์ของยานี้ดูหรูหราราคาแพงคล้ายเครื่องสำอางยี่ห้อดัง แต่อีกกลุ่มหนึ่งจะเห็นเพียงว่ายานี้บรรจุในตลับพลาสติกธรรมดาเหมือนยาที่จ่ายตามโรงพยาบาลทั่วไป เมื่อนำอาสาสมัครไปทดลองให้ความร้อนที่ผิวหนังส่วนแขนและขา โดยเพิ่มระดับความร้อนขึ้นเรื่อย ๆ และขอให้อาสาสมัครระบุถึงระดับความรุนแรงของความรู้สึกไม่สบายตัวหรือความเจ็บปวดที่เกิดขึ้น ปรากฏว่ากลุ่มที่ได้เห็นยาบรรจุในตลับพลาสติกธรรมดา รู้สึกเจ็บมากกว่าระดับที่ควรจะเป็นเพียง 3% ในขณะที่กลุ่มซึ่งได้เห็นว่ายาเป็นเวชภัณฑ์ราคาแพง กลับบอกว่ารู้สึกเจ็บมากกว่าระดับที่ควรจะเป็นถึง 30% เพื่อยืนยันความน่าเชื่อถือของผลการทดลอง ทีมนักวิทยาศาสตร์ได้บันทึกภาพจากเครื่องสแกน MRI ซึ่งติดตามการทำงานของสมอง ก้านสมอง และไขสันหลังของอาสาสมัครขณะทำการทดลองเอาไว้ด้วย ซึ่งพบว่าสมองกลีบหน้าสุด (Prefrontal cortex) ซึ่งเป็นช่องทางประสาทรับรู้ความเจ็บปวด มีการทำงานตอบสนองต่างกันไปในระหว่างอาสาสมัครสองกลุ่มนี้ด้วย ดร. อเล็กซานดรา ทินเนอร์มันน์ ผู้นำทีมวิจัยระบุว่า ผลการทดลองนี้ชี้ว่าการที่คนไข้คิดว่ายามีราคาแพง ไม่ได้ทำให้เกิดผลดีในการรักษาเสมอไป แม้ในบางครั้งราคายาที่สูงจะทำให้คนไข้เชื่อมั่นว่ายามีคุณภาพและทำให้เกิดผลกระทบของยาหลอกในทางบวกได้ แต่ในบางครั้งการรับรู้ว่ายาแพงทำให้เกิดผลกระทบในทางลบได้เช่นกัน ซึ่งแพทย์และผู้ให้บริการสาธารณสุขควรคำนึงถึงเรื่องนี้ด้วยเมื่อพูดคุยทำความเข้าใจเรื่องการรักษากับคนไข้
|
หลายคนคงเคยได้ยินเรื่องผลกระทบของยาหลอก (Placebo effect) ซึ่งคนไข้ที่เชื่อมั่นศรัทธาในประสิทธิภาพของยาหรือวิธีการรักษาโรค มีอาการดีขึ้นหายวันหายคืน ทั้งที่รับประทานเพียงยาหลอกซึ่งอาจเป็นแค่แป้งที่ไม่มีตัวยาออกฤทธิ์ใด ๆ ผสมอยู่ทั้งสิ้น ล่าสุดทีมนักวิทยาศาสตร์จากเยอรมนีได้พิสูจน์เพิ่มเติมว่า สามารถเกิดผลกระทบจากยาหลอกในทางลบได้เช่นกัน หากคนไข้คิดว่ายานั้นมีราคาแพง โดยจะรู้สึกทรมานจากผลข้างเคียงของยารุนแรงขึ้นกว่าความเป็นจริงหลายเท่า
|
international-39194139
|
https://www.bbc.com/thai/international-39194139
|
อังกฤษเปิดติวเป็นซูเปอร์สตาร์บน YouTube
|
แต่ YouTube เองเปรียบเสมือนดาบสองคม มีทั้งวิดีโอที่มีคุณภาพ และวิดีโอที่พ่อแม่หลายคนไม่อยากให้เด็กดู โรงเรียนกวดวิชาหัวใสแห่งหนึ่งในเอ็กเซ็ตเตอร์ เปิดสอนวิชา vlogging อาทิตย์ละครั้งให้เด็ก ๆ หลักสูตรประกอบด้วยการถ่ายทำ การแสดง การตัดต่อ การวางแผนการผลิต และจัดการข้อมูล นิค เอลิสัน ผู้ก่อตั้งโรงเรียนบอกว่า วิชาในหลักสูตรที่สอนมีประโยชน์ แม้ว่ามีเด็กไม่ถึง 1% ที่ vlog แล้วกลายเป็นดาราดังบน YouTube แต่ทักษะเหล่านี้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในอนาคตได้
|
สำหรับพ่อแม่อังกฤษหลายคน YouTube ถือเป็นทรัพยากรทางการศึกษาแขนงหนึ่ง เด็กหลายคนเรียนรู้วิชานอกหลักสูตรจากวิดีโอ YouTube และเด็กบางคนก็กลายเป็นดาราดังทำเงินมากมายจาก video-blogging หรือ vlogging
|
international-46553029
|
https://www.bbc.com/thai/international-46553029
|
เบร็กซิท: คทาพิธีการในสภาผู้แทนราษฎรอังกฤษสำคัญอย่างไร
|
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้น หลังจาก ส.ส.ลอยด์ รัสเซลล์-มอยล์ จากพรรคเลเบอร์ หรือพรรคแรงงาน คว้าคทาที่ตั้งอยู่บนโต๊ะกลางห้องประชุมแล้วทำท่าจะถือออกไปด้านนอกท่ามกลางเสียงโห่ร้องของเพื่อน ส.ส. เพื่อประท้วงต่อกรณีที่นายกรัฐมนตรีเทรีซา เมย์ ตัดสินใจเลื่อนการให้ ส.ส.ลงมติข้อตกลงเบร็กซิทที่เธอทำกับอียูออกไป การประท้วงดังกล่าวทำให้ ส.ส.รายนี้ถูกประธานสภาลงโทษให้ออกจากที่ประชุมในวันนั้น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอาจทำให้คนประเทศอื่นไม่เข้าใจว่าเหตุใด ส.ส.ผู้นี้จึงเลือกการประท้วงด้วยวิธีการดังกล่าว ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า คทาพิธีการนี้มีความสำคัญมาก เพราะเป็นสัญลักษณ์แทนพระราชอำนาจของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่สองแห่งสหราชอาณาจักร หากไม่มีคทานี้ รัฐสภาอังกฤษจะไม่สามารถดำเนินการประชุมหรือผ่านกฎหมายได้ ธรรมเนียมนี้มีการปฏิบัติสืบต่อกันมายาวนาน โดยนอกจากอังกฤษแล้ว ธรรมเนียมการมีคทาในรัฐสภาทำกันในหลายประเทศ เช่น ฟิลิปปินส์ สหรัฐฯ แคนาดา ศรีลังกา และออสเตรเลีย
|
การประชุมสภาผู้แทนราษฎรอังกฤษเมื่อวันที่ 10 ธ.ค. เกิดความวุ่นวายขึ้น หลังจาก ส.ส.คนหนึ่งเข้าไปคว้าคทาพิธีการของรัฐสภามาถือไว้ในมือ ผู้สื่อข่าวบีบีซีชี้ว่าเหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงบรรยากาศตึงเครียดของการเมืองอังกฤษได้เป็นอย่างดี แต่เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?
|
international-51275277
|
https://www.bbc.com/thai/international-51275277
|
โคโรนา : จีนได้บทเรียนอะไรบ้างจากโรคซาร์สระบาดเมื่อ 17 ปีก่อน
|
โรคระบบทางเดินหายใจเฉียบพลันร้ายแรง หรือ โรคซาร์ส (Severe Acute Respiratory Syndrome - SARS) ได้แพร่ระบาดจนมีผู้ติดเชื้อกว่า 8,000 คน และทำให้มีผู้เสียชีวิตไปเกือบ 800 คน ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่ ซึ่งมีหมอรวมอยู่ด้วยนั้น มีอาการป่วยคล้ายเป็นไข้หวัดใหญ่ก่อนที่จะลุกลามไปมีอาการปอดบวมรุนแรงภายในเวลาเพียงไม่กี่วัน โรคซาร์ส ซึ่งเกิดจากเชื้อไวรัสในตระกูลโคโรนาไวรัส ได้แพร่ระบาดไปใน 26 ประเทศ องค์การอนามัยโลกวิพากษ์วิจารณ์จีนประเทศศูนย์กลางของการระบาดที่ปกปิดขนาดและความร้ายแรงของการระบาดที่เกิดขึ้น 17 ปีต่อมา การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้ จึงรื้อฟื้นความทรงจำเกี่ยวกับโรคซาร์สขึ้นมาอีกครั้ง อีกทั้งยังทำให้ทั่วโลกจับจ้องและตรวจสอบรัฐบาลจีนถึงการรับมือและจัดการกับโรคระบาดที่กำลังลุกลามขยายวงกว้างออกไปอย่างรวดเร็ว หลังจากมีการพบผู้ที่ได้รับการยืนยันว่าติดเชื้อรายแรก ๆ ที่เมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย์ เมื่อวันที่ 31 ธ.ค.ปี 2019 เมื่อสัปดาห์ที่แล้วทางการจีนได้ตัดสินใจใช้มาตรการเด็ดขาดต่าง ๆ เพื่อสกัดกั้นการแพร่ระบาดของโรค เช่น การสั่งกักกันโรคประชาชนนับล้านคนในหลายเมือง แต่การรับมือเหล่านี้เพียงพอแล้วหรือไม่ และจีนได้เรียนรู้อะไรบ้างจากการระบาดครั้งใหญ่ของโรคซาร์สเมื่อปี 2003 บทเรียนที่ 1 : ทำงานร่วมกับประเทศอื่น โรคซาร์ส ถือเป็นความท้าทายใหญ่หลวงสำหรับจีน ทั้งในฐานะวิกฤตการณ์ด้านสาธารณสุข และวิกฤตการณ์ทางการเมือง องค์การอนามัยโลกได้รับแจ้งเรื่องการพบผู้ป่วยที่มีอาการปอดบวมรุนแรงผิดปกติทางภาคใต้ของจีนเป็นครั้งแรกในเดือน ก.พ.ปี 2003 เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นของจีนระบุว่ามีผู้ล้มป่วยด้วยอาการนี้กว่า 300 ราย แม้จะมีการเปิดเผยข้อมูลอย่างตรงไปตรงมาในช่วงแรก แต่ดูเหมือนว่าเจ้าหน้าที่รัฐบาลท้องถิ่นคนอื่น ๆ กลับพยายามปกปิดและลดทอนเรื่องความอันตราย รวมทั้งระบุว่าสามารถควบคุมโรคปริศนานี้เอาไว้ได้แล้ว บรรดาผู้ศึกษาเรื่องการรับมือโรคซาร์สระบาดของทางการจีนระบุว่า หลังจากนั้นไม่นานข่าวคราวของโรคระบาดปริศนาดังกล่าวได้เงียบหายไปจากความสนใจของสังคม การศึกษาและตรวจสอบในเวลาต่อมาพบข้อมูลว่า การติดเชื้อรายแรก ๆ เกิดขึ้นในมณฑลกวางตุ้งเมื่อเดือน พ.ย.ปี 2002 ทว่ากว่าจะมีการเปิดเผยข้อมูลที่แท้จริงเรื่องขนาดและความรุนแรงของวิกฤตโรคซาร์สในจีนนั้น เวลาก็ได้ล่วงเลยมาแล้วหลายเดือน ทางการจีนถูกกล่าวหาว่าพยายามปกเรื่องขนาดและความรุนแรงของการแพร่ระบาดของโรคซาร์ส เมื่อปี 2003 ในเดือน เม.ย.นายแพทย์ เจี่ยง เยี่ยนหย่ง ได้แจ้งต่อสื่อมวลชนต่างประเทศว่ารัฐบาลจีนพยายามปกปิดถึงภัยคุกคามจากโรคซาร์สกันขนานใหญ่ จากนั้นทางการจีนได้ออกข้อแนะนำแก่โรงพยาบาลต่าง ๆ ขณะที่ผู้อำนวยการศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของจีนได้ออกแถลงการณ์ขออภัยต่อการระบาดที่เกิดขึ้น "หน่วยงานด้านการแพทย์ของเราและสื่อมวลชนประสบปัญหาด้านการประสานงานกัน" นายหลี่ หลี่หมิง กล่าวในการแถลงข่าว การต่อสู้กับโรคซาร์สเป็นเรื่องซับซ้อนเพราะขณะนั้นยังไม่มีใครทราบว่ามีการแพร่ระบาดได้อย่างไร ด้านองค์การอนามัยโลกได้ออกคำเตือนทั่วโลกครั้งแรกในวันที่ 12 มี.ค.ปี 2003 หลังจากคนไข้รายหนึ่งเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในกรุงฮานอย ของเวียดนาม และทำให้บุคลากรการแพทย์หลายคนต้องล้มป่วย ขณะที่สำนักงานสาธารณสุขฮ่องกงได้ยืนยันการแพร่ระบาดของโรคในระบบทางเดินหายใจในหมู่เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลของตน "นี่เป็นครั้งแรกที่เชื้อไวรัสโคโรนาได้รับความสนใจในฐานะเชื้อต้นตอที่ก่อให้เกิดโรคที่อาจแพร่ระบาดไปทั่วโลกเช่นนี้" ศาสตราจารย์ เดวิด เฮย์แมนน์ หัวหน้าหน่วยโรคติดเชื้อขององค์การอนามัยโลกในขณะนั้นให้สัมภาษณ์กับบีบีซี "ดังนั้นในช่วงแรกจึงไม่มีใครรู้ว่ามันคืออะไร และไม่มีใครมองเชื้อไวรัสโคโรนาแบบเดียวกับในปัจจุบัน" ศ.เฮย์แมนน์ ระบุว่า ดูเหมือนว่าทางการจีนจะใช้มาตรการเชิงรุกมากขึ้นในการระบาดครั้งล่าสุดนี้ ซึ่งรวมถึงการให้ข้อมูลต่อองค์การอนามัยโลกอย่างต่อเนื่อง และเมื่อเร็ว ๆ นี้ ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลกได้ชื่นชมการรับมือของจีน บทเรียนที่ 2 : อย่าปิดข่าว การไร้ความโปร่งใสเรื่องการระบาดของโรคซาร์ส สร้างความเสียหายต่อชื่อเสียงของจีนในเวทีโลก และยังทำให้การขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศชะลอตัวลง ผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุข ซึ่งรวมถึง ศ.เฮย์แมนน์ เน้นย้ำว่าความโปร่งใสคือปัจจัยสำคัญในการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสต่าง ๆ โดยเฉพาะเชื้อชนิดใหม่ ๆ ที่ยังไม่มีใครรู้จัก เมื่อมีการใช้มาตรการควบคุมและป้องกันการติดเชื้อที่เหมาะสม โรคซาร์สก็ถูกควบคุมได้ภายในเวลาไม่กี่เดือน ซึ่งความสำเร็จครั้งนี้มาจากการแบ่งปันข้อมูลสาธารณสุขระหว่างองค์การอนามัยโลกกับทางการท้องถิ่นของจีนเมื่อมีความวิตกกังวลเรื่องโรคซาร์สเกิดขึ้น ส่วนในฮ่องกง ซึ่งเคยเป็นหนึ่งในศูนย์กลางการระบาดของโรคซาร์ส ประชาชนต่างปรับเปลี่ยนพฤติกรรม การสวมหน้ากากอนามัยไปในที่สาธารณะกลายเป็นเรื่องธรรมดา และการทำความสะอาดพื้นผิวที่มีผู้สัมผัสมากและเป็นจุดเสี่ยงของการแพร่เชื้อโรคนั้นก็ได้รับการทำความสะอาดทุกชั่วโมง ขณะที่สื่อท้องถิ่นต่างรายงานยอดผู้ติดเชื้อที่เสียชีวิตลงอย่างต่อเนื่องทุกวัน เฮลิเออร์ เฉิง ผู้สื่อข่าวบีบีซีที่เติบโตมาในฮ่องกง ยังจำได้ดีถึงตอนที่เธอและเพื่อนร่วมชั้นเรียนต้องเข้ารับการตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายเป็นประจำทุกวัน ทางการได้สั่งปิดทำการสถานศึกษาเป็นเวลาหลายวัน แม้จะอยู่ในช่วงใกล้สอบก็ตาม ขณะที่ในโทรทัศน์ก็มีการเผยแพร่โฆษณาที่คอยเตือนใจให้ผู้คนล้างมือ และใช้น้ำยาฆ่าเชื้อเช็ดทำความสะอาดพื้นผิวต่าง ๆ อย่างสม่ำเสมอ ประสบการณ์ดังกล่าวสอดคล้องกับพนักงานบีบีซีอีกคนที่เคยทำงานอยู่ในมหาวิทยาลัยในจีนแผ่นดินใหญ่ในช่วงที่เกิดการระบาดของโรคซาร์ส เธอยังจำได้ว่าจะต้องพึ่งพาข่าวลือและข่าวจากสื่อต่างประเทศเป็นหลัก เพราะทางการจีนให้ข้อมูลแก่ประชาชนน้อยมาก นอกจากนี้เธอยังจำได้ถึงการเผยแพร่ข้อมูลเท็จมากมาย เช่น การเอาน้ำส้มสายชูใส่ถ้วยตั้งไฟในห้องเรียนจะช่วยฆ่าเชื้อที่ลอยอยู่ในอากาศได้ เป็นต้น "ฉันจำได้ว่ารู้สึกวิตกกังวล แต่กลับได้รับข้อมูลเพียงน้อยนิด" เธอเล่าว่าในขณะนั้นมีการแจ้งข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องชัดเจนน้อยมาก แม้ว่าจะมีการกักตัวนักศึกษาเพื่อกักกันโรค และมีการปิดการเข้าออกมหาวิทยาลัยของเธอก็ตาม ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ทางการจีนพยายามแสดงให้เห็นว่าพวกเขามีความโปร่งใสมากขึ้นในเหตุการณ์การแพร่ระบาดครั้งล่าสุดนี้ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ระบุว่า การต่อสู้กับเชื้อไวรัสอยู่ในขั้น "วิกฤตอย่างยิ่ง" อีกทั้งมีการประกาศเตือนประชาชนไม่ให้ปกปิดเรื่องการติดเชื้อ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลจีนได้เพิ่มความเข้มงวดการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารมากขึ้นนับตั้งแต่เกิดการระบาดของโรคซาร์ส นักวิทยาศาสตร์นานาชาติบางคนประเมินว่าตัวเลขแท้จริงของผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่อาจสูงกว่ายอดที่ทางการจีนยืนยัน นายสตีฟ ซาง ผู้อำนวยการ สถาบันจีนโซแอส (SOAS China Institute) แห่งมหาวิทยาลัยลอนดอน ให้สัมภาษณ์กับบีบีซีว่า เราเริ่มทราบข่าวลือเกี่ยวกับเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่ในเมืองอู่ฮั่นหลายสัปดาห์ก่อน ที่จะมีการยืนยันการพบผู้ติดเชื้อรายแรกเมื่อวันที่ 31 ธ.ค. ซึ่งเจ้าหน้าที่ทางการท้องถิ่นน่าจะรู้สึกกลัวที่จะเป็นผู้ออกมาแจ้งเตือนเรื่องนี้ด้วยตนเอง "ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ให้ความสำคัญต่อภาพลักษณ์ของจีนในระดับนานาชาติมากกว่าบรรดาผู้นำจีนในอดีต และเขาก็รวบอำนาจมาไว้ที่ตนเองมากกว่าผู้นำคนก่อนหน้าเขา...ด้วยเหตุนี้อะไรก็ตามที่อาจส่งผลเชิงลบต่อภาพลักษณ์ระดับนานาชาติของจีนจึงกลายเป็นประเด็นที่อ่อนไหว" นายซาง กล่าว นอกจากนี้ โซเชียลมีเดียในจีนยังถูกควบคุมอย่างเข้มงวด หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ รายงานว่า แฮชแท็ก #WuhanSARS ได้ถูกปิดกั้นในประเทศจีน อีกทั้งตำรวจยังได้สอบปากคำประชาชน 8 คนเกี่ยวกับการแพร่ "ข่าวลือ" เรื่องไวรัสสายพันธุ์ใหม่ทางออนไลน์ เมืองอู่ฮั่นมีสภาพราวกับเมืองร้าง หลังทางการสั่งปิดเมืองและให้ประชาชนอยู่ในบ้านเพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ บทเรียนที่ 3 : ยกระดับการรับมือทางการแพทย์ การระบาดของโรคซาร์ส ได้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระบบการแพทย์ของจีน โดยมีการเพิ่มงบประมาณด้านสาธารณสุขหลังจากนั้น ในอดีต เจ้าหน้าที่สาธารณสุขจะต้องรายงานการพบโรคระบาดด้วยการกรอกข้อมูลลงในบัตรแล้วส่งบัตรทางไปรษณีย์ หรือส่งแฟกซ์ไปยังสำนักงานกลาง แต่หลังจากเกิดโรคซาร์สระบาด รัฐบาลจีนได้พัฒนาระบบออนไลน์ที่เชื่อมโยงส่วนกลางกับคลินิกและโรงพยาบาลทั่วประเทศเพื่อช่วยให้สถานพยาบาลเหล่านี้สามารถรายงานการพบโรคระบาดได้แบบเรียลไทม์ "จีนได้พัฒนาระบบเฝ้าระวังโรคที่ยอดเยี่ยมตั้งแต่เกิดโรคซาร์ส ซึ่งรวมถึงหน่วยเฝ้าระวังและตรวจสอบฉุกเฉินแบบเรียลไทม์สำหรับโรคซาร์ส ซึ่งช่วยให้สามารถระบุการติดเชื้อรายใหม่ ๆ ได้อย่างรวดเร็ว" น.ส.ไรนา แม็คอินไทร์ หัวหน้าโครงการวิจัยด้านความมั่นคงทางชีวภาพแห่งสถาบันเคอร์บี ในนครซิดนีย์ของออสเตรเลีย กล่าว นายกาเบรียล เหลียง ประธานภาควิชาสาธารณสุขศาสตร์มหาวิทยาลัยฮ่องกง ระบุว่า กรอบเวลาของการ "รับรู้, ระบุลักษณะเด่น, เผยแพร่และรายงานข้อมูล" มีการปรับปรุงขึ้นมาก เมื่อเทียบกับช่วงการระบาดของโรคซาร์ส "สิ่งที่เคยใช้เวลานานหลายเดือนในช่วงโรคซาร์สระบาด ลดลงมาอยู่ที่ไม่กี่วันหรือสัปดาห์" อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อแนะนำเพื่อการยกเครื่องระบบสาธารณสุขบางอย่างที่ยังไม่ถูกดำเนินการหลังเกิดการระบาดของโรคซาร์ส ในปี 2006 นายแพทย์ จง หนานซาน ผู้ตรวจพบเชื้อโรคซาร์ส และเป็นผู้นำปฏิบัติการรับมือการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในเมืองอู่ฮั่น ระบุว่า เป็นเรื่องสำคัญมากที่จะต้องกวาดล้างตลาดค้าสัตว์ป่าในประเทศ ซึ่งไม่มีระบบจัดการและการทำความสะอาดที่ดี อีกทั้งยังเป็นแหล่งที่อาจก่อให้เกิดโรคติดเชื้อชนิดใหม่ ๆ ขึ้นได้ ผู้เชี่ยวชาญสันนิษฐานว่า ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่อาจมีต้นตอของการแพร่ระบาดมาจากตลาดค้าสัตว์ป่าในเมืองอู่ฮั่น อย่างไรก็ตาม มีรายงานจากเมืองอู่ฮั่นว่า การแพร่เชื้อระหว่างสัตว์ต่างชนิดอาจเป็นสาเหตุสำคัญของการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่นี้ โดยที่ตลาดค้าสัตว์ป่าที่เมืองอู่ฮั่น ซึ่งมีการสั่งปิดการค้าขาย 1 วันหลังพบผู้ได้รับการยืนยันว่าติดเชื้อรายแรก ๆ นั้น มีการขายสัตว์ป่าหลายชนิด เช่น หนู ลูกหมาป่าเป็น ๆ และตัวชะมด ซึ่งเป็นสัตว์ที่ถูกเชื่อมโยงว่าอาจเป็นต้นเหตุของโรคระบาดในอดีต ความนิยมรับประทานอาหารป่าและการรักษาด้วยการแพทย์แผนจีนโบราณนั้นมักเป็นอุปสรรคต่อการกวาดล้างการค้าสัตว์ป่า แต่การที่ตลาดถูกระบุว่าเป็นแหล่งของการเกิดโรคระบาดอีกครั้ง ก็ทำให้แม้แต่สื่อของทางการจีนพยายามรณรงค์ให้ยุติการค้าสัตว์ป่า โดยมีข้อความชักชวนให้ประชาชนต่อต้านการค้าสัตว์ป่าถูกแชร์อย่างแพร่หลายทางโซเชียลมีเดีย ปัจจุบันหลายฝ่ายยังคงกังขาว่า มาตรการสุดโต่งที่ทางการจีนใช้ ซึ่งเกินคำแนะนำขององค์การอนามัยโลกนั้น จะมีประสิทธิภาพเพียงพอหรือไม่ที่จะป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยการระบาดของโรคซาร์ส ดร.ดับเบิลยู เอียน ลิปคิน ผู้เชี่ยวชาญด้านระบาดวิทยาในสหรัฐฯ ที่เคยทำงานเรื่องโรคซาร์ส และเป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญโรคนี้ แสดงความกังขาว่าการห้ามประชาชนในเมืองที่เป็นศูนย์กลางของการระบาด เช่น เมืองอู่ฮั่น เดินทางออกจากเมือง จะเพียงพอหรือไม่ที่จะหยุดยั้งเชื้อไม่ให้แพร่ระบาดไปทั่วโลกเหมือนที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วเมื่อ 17 ปีก่อน
|
เมื่อเดือน มี.ค.ปี 2003 โรคปริศนาที่ไม่มีผู้ใดรู้จักมาก่อนได้แพร่ระบาดไปทั่วโลก
|
thailand-47707485
|
https://www.bbc.com/thai/thailand-47707485
|
ผลการเลือกตั้ง 2562 : เพื่อไทยนำตั้งรัฐบาลผสม 255 เสียง ด้าน คสช. เตือนอย่าชี้นำให้แตกแยก
|
ผลการเลือกตั้ง 2562 : เพื่อไทยนำตั้งรัฐบาลผสม 255 เสียง พรรคเพื่อไทย (พท.) ซึ่งครองที่นั่งสูงสุดในสภาฯ นำทีมพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) พรรคเสรีรวมไทย (สร.) พรรคประชาชาติ (ปช.) พรรคเพื่อชาติ (พ.พ.ช.) และพรรคพลังปวงชนไทย (พลท.) ลงนามในสัตยาบัน "หยุดยั้งการสืบทอดอำนาจของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)" พร้อมเปิดแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนเมื่อเวลา 10.45 น. เดินหน้าจัดตั้งรัฐบาลร่วมกัน คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ แคนดิเดตนายกฯ จาก พท. ยืนยันว่า จะทำตามสัญญาประชาคม และเจตนารมณ์ของประชาชนที่ได้เลือกพวกเขามา ขณะนี้แม้ตัวเลขยังไม่นิ่ง แต่ก็ไม่ต่ำกว่า 255 เสียงสำหรับพรรคที่ประกาศตัวชัดเจนแล้ว แต่ยังมีพรรคอื่น ๆ ที่พูดคุยกันอีก และเรียกร้องให้มาร่วมมือกัน "ถือว่าพรรคฝ่ายประชาธิปไตยได้รับเสียงข้างมาก ได้ฉันทานุมัติจากพี่น้องประชาชนแล้ว" และ "ต้องทำเจตนารมณ์ของประชาชนคือหยุดยั้งการสืบทอดอำนาจของ คสช. และเดินหน้าตั้งรัฐบาลของฝ่ายประชาธิปไตยให้ได้" คุณหญิงสุดารัตน์กล่าว 6 พรรคการเมืองที่เรียกตัวเองว่า "พรรคฝ่ายประชาธิปไตย" ลงสัตยาบันเพื่อหยุดยั้งการสืบทอดอำนาจของ คสช. และยืนยันว่ารวบรวมเสียงในสภาผู้แทนราษฎรได้เกินกว่า 255 เสียงแล้ว สำหรับคะแนนเสียง 255 ที่นั่งในสภาฯ ที่แกนนำ พท. อ้างถึง เป็นการคำนวณจากคะแนนดิบที่อยู่ในมือของพรรคการเมืองเหล่านี้ ซึ่งนายภูมิธรรม เวชยชัย เลขาธิการ พท. ระบุว่ามาจาก พท. 137 ที่นั่ง, อนค. 88 ที่นั่ง, สร. 12 ที่นั่ง, ปช. 7 ที่นั่ง, เศรษฐกิจใหม่ (ศม.) 6 ที่นั่ง, พ.พ.ช. 5 ที่นั่ง และ พลท. 1 (คาดว่าจะได้เพิ่มอีก 1 ที่นั่ง) ทว่าเมื่อลองรวมจำนวนเสียงที่นายภูมิธรรมระบุมานี้จะพบว่ามี 256 เสียง อย่างไรก็ตามนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ หัวหน้า ศม. ไม่ได้มาร่วมวงแถลงข่าวครั้งนี้ แต่แกนนำ พท. อ้างว่าได้ยืนยันและส่งสารมาว่า พร้อมสนับสนุนพรรคฝ่ายประชาธิปไตยในการจัดตั้งรัฐบาล หากเป็นเช่นนั้นจริงก็จะมี 7 พรรคการเมืองที่แสดงจุดยืนร่วมกัน บีบีซีไทยเข้าใจว่า พท. จำเป็นต้อง "ล็อกเสียง" ของ ศม. เอาไว้ก่อน เพราะหากตัด ศม. ออกไป พรรคการเมืองฝ่ายนี้ก็จะมีคะแนนไม่ถึงกึ่งหนึ่งของสภาล่าง หรือ 251 เสียง จาก 500 เสียง ธนาธรยกสุดารัตน์เหมาะเป็นนายกฯ ที่สุด นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้า อนค. ประกาศจุดยืนของพรรค 5 ข้อ ในจำนวนนี้คือการยืนยันว่านายกฯ ควรมาจากพรรคที่ได้ ส.ส. มาเป็นอันดับ 1 ในการเลือกตั้ง อนค. สนับสนุนแคนดิเดตนายกฯ อันดับที่ 1 ของ พท. คือคุณหญิงสุดารัตน์เป็นนายกฯ "เราเห็นว่านายกฯ ที่เหมาะสมกับประเทศไทยมากที่สุดในวันนี้คือคุณหญิงสุดารัตน์" นายธนาธรกล่าวและย้ำว่า คุณหญิงสุดารัตน์ "เป็นแคนดิเดตนายกฯ ที่สง่างามที่สุด" สำหรับคุณหญิงสุดารัตน์ เป็น 1 ใน 3 ผู้เสนอตัวเป็นนายกฯ คนที่ 30 ในบัญชีของ พท. ทว่าเธอไม่มีสถานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) เนื่องจาก พท. ไม่ได้ ส.ส. บัญชีรายชื่อแม้แต่คนเดียว เมื่อถูกถามว่า การสนับสนุนคุณหญิงสุดารัตน์เป็นนายกฯ ถือเป็นฉันทามติของทั้ง 6 พรรคบนเวทีหรือไม่ นายธนาธรออกตัวว่าเป็นความเห็นของ อนค. ขณะที่หัวหน้า พ.พ.ช. บอกว่าสนับสนุนแคนดิเดตคนใดก็ได้ที่มาจาก พท. ส่วนผู้แทนพรรคการเมืองอื่น ๆ ไม่มีโอกาสตอบคำถามนี้ เช่นเดียวกับคำถามที่ว่าพรรคที่เรียกตัวเองว่า "พรรคฝ่ายประชาธิปไตย" ไม่ติดใจแล้วใช่หรือไม่ที่นายกฯ ไม่ได้เป็น ส.ส. ซึ่งก็ไม่มีพรรคการเมืองไหนตอบคำถามข้อนี้ วันนอร์ดักคอตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย ตลาดหุ้นตกแน่ ด้านนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา หัวหน้า ปช. กล่าวว่า พรรคอยากเห็นการจัดตั้งรัฐบาลโดยมีคะแนนเสียง 251 เสียงขึ้นไป เพราะการบริหารประเทศหลังจากนี้ต้องใช้สภาฯ เป็นหลักในการออกกฎหมาย อนุมติงบประมาณ การตรวจสอบถ่วงดุล ส่วน ส.ว. ทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงเท่านั้น "ถ้าใครคิดจะเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย โดยอาศัยเสียงของ ส.ว. มาร่วมเพื่อเสียงมากในการจัดตั้งรัฐบาล ก็จะเป็นรัฐบาลที่ไม่มีเสถียรภาพ ผมคิดว่าเศรษฐกิจก็ย่ำแย่ หลังจากตั้งรัฐบาลเช่นนี้ไป หุ้นคงตกระนาว นักลงทุนที่ไหนจะกล้ามาเสี่ยงกับรัฐบาลที่อยู่บนเส้นด้ายว่าจะอยู่อย่างไร งบประมาณจะผ่านหรือไม่" หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย กับหัวหน้าพรรคประชาชาติ (ซ้ายไปขวา) หัวหน้า ปช. ยังเรียกร้องให้ทุกฝ่ายเห็นแก่ประโยชน์ของประเทศชาติมากกว่าพวกพ้อง "ความพยายามชนะการเลือกตั้ง ท่านทำทุกวิถีทางแล้ว แต่เมื่อท่านไม่ชนะ ถ้าท่านจะ 'โกงทางความคิด' ด้วยวิธีคิดอะไรก็ตาม นั่นจะเป็นปัญหาท่าน" นอกจากนี้ยังฝากถึงคณะกรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ซึ่งเป็นองค์กรอิสระให้เป็นตัวของตัวเอง และรีบประกาศผลการเลือกตั้งโดยไม่ต้องรอจนถึงวันที่ 9 พ.ค. ซึ่งเป็นวันสุดท้าย "กกต. ควรรักษาเกียรติประวัติของท่านมากกว่าเป็นเครื่องมือของใครทั้งสิ้น" และ "ถ้าท่านดึงเรื่องออกไป ประชาชนก็มีสิทธิระแวงสงสัยว่าจะช่วยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือไม่ ท่านอย่ารอให้ประชาชนเขาเดินขบวนไปหาท่านเลยครับ" นายวันมูหะมัดนอร์กล่าว เพื่อชาติชี้ประยุทธ์สืบทอดอำนาจ เพิ่มความแตกแยก ด้านนายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ หัวหน้า พ.พ.ช. กล่าวว่า หากใครคิดจะใช้เล่ห์กลอุบาย แย่งชิงตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย มันไม่ถูกต้องตามหลักสากล พร้อมตั้งคำถามว่า พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่เข้ามายึดอำนาจเพราะตั้งใจจะมาแก้ปัญหาความแตกแยก แต่วันนี้ประชาชนยังคิดอย่างนั้นหรือไม่ พล.อ. ประยุทธ์ กำลังแก้ความแตกแยก หรือมาเพิ่มความแตกแยกหากมีการสืบทอดอำนาจ รวม 15.45 ล้านเสียงหนุน "หญิงหน่อย" สู้คะแนนมหาชน "ลุงตู่" บีบีซีไทยตรวจสอบคะแนนเสียงเบื้องต้นจาก 16 พรรคที่มีโอกาสมีที่นั่งในสภา พบว่า 6 พรรคการเมืองที่ประกาศเป็นพันธมิตรกันแน่นอนแล้ววันนี้ มีคะแนนมหาชน (ป๊อบปูลาร์โหวต) รวมกัน 14.99 ล้านเสียง หากรวม ศม. เข้าไปด้วยจะเป็น 15.45 ล้านเสียง ขณะที่พรรคที่ประกาศตัวสนับสนุน พล.อ. ประยุทธ์ เป็นนายกฯ ต่ออย่างแน่ชัดคือ พปชร. และ รปช. (ไม่นับพรรคประชาชนปฏิรูปที่ไม่มีที่นั่งในสภาฯ) มีคะแนนมหาชนรวมกัน 8.32 ล้านเสียง ส่วนพรรคขนาดกลางและขนาดเล็กที่ยังไม่แสดงจุดยืนชัดเจน ประกอบด้วย พรรคภูมิใจไทย, พรรคประชาธิปัตย์ และพรรคชาติไทยพัฒนา มีคะแนนมหาชนรวมกัน 8.92 ล้านเสียง คะแนนป๊อปปูลาร์โหวตที่แต่ละพรรคได้รับได้ทำให้เกิดข้อถกเถียงสำคัญ เมื่อพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) อ้างถึงเสียงประชาชน 7.9 ล้านคนที่กากบาทให้ พปชร. ว่าเป็นเพราะต้องการให้ พล.อ. ประยุทธ์ เป็นนายกฯ ต่อไป จึงประกาศตั้งรัฐบาลแข่งและอยู่ในระหว่างการรวบรวมคะแนนเสียงจากพรรคต่าง ๆ ภูมิใจไทยอยู่เฉย ๆ รอ 9 พ.ค. บรรดาแกนนำพรรคการเมืองต่าง ๆ ที่ร่วมแถลงข่าวต่างแสดงความคาดหวังว่าพรรคการเมืองที่เหลือจะมาจับมือกับ "พรรคฝ่ายประชาธิปไตย" ซึ่งนายภูมิธรรมปฏิเสธด้วยว่า ไม่เคยเสนอตำแหน่งนายกฯ ให้นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) แต่อย่างใด โดยก่อนนั้น เวลา 10.30 น. นายศุภชัย ใจสมุทร รองเลขาธิการ ภท. ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวไทยพีบีเอส ณ ที่ทำการพรรค ว่า "ภูมิใจไทยอยู่เฉย ๆ รอ 9 พ.ค. นี่คือสิ่งที่หัวหน้าพรรคยืนยัน" และย้ำว่า "การเมืองยังไม่เริ่มนับหนึ่งเลย คะแนนยังนับไม่เสร็จ" สอดคล้องกับเฟซบุ๊กของพรรคที่ขึ้นข้อความว่า "พรรคภูมิใจไทยจะไม่แสดงความเห็นทางการเมืองเกี่ยวกับการจัดตั้งรัฐบาล จนกว่า กกต. จะประกาศผลอย่างเป็นทางการ" แกนนำหลายพรรคขำ วิษณุ เย้ยแค่จิตวิทยา คำถามสุดท้ายก่อนวงแถลงจับขั้วการเมืองจะสิ้นสุดลง ผู้สื่อข่าวได้ถามถึงกรณีนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ให้ความเห็นว่าการชิงประกาศจัดตั้งรัฐบาลของ 7 พรรคการเมืองไม่มีผลจริงจัง แต่มีผลเชิงจิตวิทยา ทำให้บรรดาแกนนำพรรคที่อยู่บนเวทีถึงกับหัวเราะออกมา ก่อนที่นายธนาธรจะคว้าไมโครโฟนขึ้นกล่าวว่า "มันไม่ใช่จิตวิทยา มันคือ 255 มีตัวเลขจับต้องได้ มีประชากรที่สนับสนุนพวกเราชัดเจน ไม่ได้ละเมอเพ้อพกขึ้นมาแน่นอน ส่วนจะไปถึงตรงนั้นหรือไม่ ก็ต้องถาม 'ฝ่ายที่เป็นปฏิปักษ์กับประชาชน' ว่าจะลบเจตจำนงของประชาชนด้วยเสียง ส.ว. 250 เสียงหรือไม่" ส่วนคุณหญิงสุดารัตน์กล่าวทิ้งท้ายว่า "255 เสียงมาจากประชาชน แต่ 250 คนของอาจารย์วิษณุมาจาก คสช." ก่อนปิดฉากการแถลงข่าวที่ใช้เวลานานกว่า 1 ชั่วโมง 30 นาที วงประวัติศาสตร์ สำหรับผู้แทนพรรคการเมืองที่เข้าร่วมฉากประวัติศาสตร์ในการแถลงข่าวเมื่อเวลา 10.00 น. วันนี้(27 มี.ค.) ที่โรงแรมแลงคาสเตอร์ มีทั้งสิ้น 15 คน ไม่นับรวมบุคคลที่ไม่ได้ขึ้นแถลงข่าว แต่มาเป็นสักขีพยาน มีรายชื่อดังนี้ 6 พรรคการเมืองที่เรียกตัวเองว่า "ฝ่ายประชาธิปไตย" ตั้งโต๊ะแถลงข่าว นายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ หัวหน้าพรรคเพื่อชาติ (ขวา) ทักทายแกนนำพรรคเพื่อไทย พปชร. เรียกร้องหยุดวาทกรรม "พรรคฝ่ายประชาธิปไตย" ไม่ถึง 4 ชั่วโมงหลังพรรคที่เรียกตัวเองวา "พรรคฝ่ายประชาธิปไตย" แถลงจับมือกันตั้งรัฐบาล 255 เสียง แกนนำพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ได้เปิดแถลงข่าวยืนยันว่ายังไม่หยุดเดินหน้ารวบรวมเสียงในการจัดตั้งรัฐบาล เพราะยังไม่มีกลุ่มไหนรวมสียงได้เด็ดขาด เนื่องจากตัวเลขต่าง ๆ ยังไม่นิ่ง "ถ้าเกิดใบแดงขึ้นมา ก็เปลี่ยนได้เหมือนกัน" นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการ พปชร. ชี้ว่า "เป็นการฉกฉวยในสถานการณ์ฉุกเฉินเพื่อให้เกิดความชอบธรรม เพราะคะแนนที่ชัดเจนยังไม่ออกมา" พร้อมเรียกร้องให้หยุดวาทกรรม "พรรคฝ่ายประชาธิปไตย" และ "วันนี้ไม่มีฝ่ายประชาธิปไตยและไม่มีฝ่ายเผด็จการ พปชร. ดำเนินการตามครรลองของประชาธิปไตย" อย่าชี้นำแตกแยก ด้าน พ.อ. วินธัย สุวารี โฆษก คสช. กล่าวว่า กรณีพรรคการเมืองกำลังพยายามแสวงหา จับกลุ่ม จับขั้วทางการเมือง หรือดำเนินกิจกรรมใด ๆ ก็ตาม ไม่ควรให้สังคมมองว่าเป็นการชี้นำให้เกิดความแตกแยก จนอาจไปมีผลกระทบต่อบรรยากาศของความสงบเรียบร้อย "ช่วงการหาเสียงที่ผ่านมาพบมีบางพรรคบางกลุ่ม ยังคงให้น้ำหนักวนเวียนอยู่แต่เรื่องของการให้ร้ายผ่านวาทกรรมเพื่อทำลายความน่าเชื่อถือ คสช. อยู่บ่อยครั้ง มากกว่ามุ่งเน้นไปในเรื่องของพี่น้องประชาชนจริง ๆ ซึ่งเชื่อว่าสังคมส่วนใหญ่อาจคุ้นชิน และคงไม่คล้อยตาม เพราะส่วนใหญ่สามารถสัมผัส คสช. ได้จากกระทำ มากกว่าคำกล่าวหรือคำพูดบิดเบือนของบางบุคคลที่อาจไม่หวังดี " พ.อ. วินธัย กล่าว ส่วนกรณีที่มีเสียงกล่าวหา คสช. ว่าเข้ามาแทรกแซงการเลือกตั้ง โฆษก คสช. ย้ำว่า กระบวนการต่าง ๆ เป็นไปตามกรอบกฎหมาย และเรื่องผลคะแนนและการประกาศผลก็เป็นหน้าที่ของ กกต. โดย คสช. ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องแต่อย่างใด
|
พรรคการเมืองที่เรียกตัวเองว่า "พรรคฝ่ายประชาธิปไตย" ประกาศเจตนารมณ์จัดตั้งรัฐบาลร่วมกัน โดยระบุว่ามีที่นั่งในสภาฯ รวมกันอย่างน้อย 255 เสียงแล้ว ด้าน คสช. เตือนว่าอย่าชี้นำให้แตกแยก
|
international-53077907
|
https://www.bbc.com/thai/international-53077907
|
โควิด-19 : ผลวิจัยบีบีซีชี้มียอดคนตายทั่วโลกอีกอย่างน้อย 1.3 แสนคน ระหว่างการระบาดของไวรัสนี้
|
การวิเคราะห์ข้อมูลการเสียชีวิตในขั้นต้นของประชากรจาก 27 ประเทศ บ่งชี้ว่า ในหลายพื้นที่มีจำนวนการเสียชีวิตโดยรวมในช่วงที่เชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ระบาดสูงขึ้นกว่าปกติ แม้จะมีการเก็บสถิติของผู้เสียชีวิตจากไวรัสมรณะนี้ก็ตาม จำนวนผู้เสียชีวิตสูงกว่าระดับปกติเหล่านี้เรียกว่า "การเสียชีวิตเกินคาดการณ์" ซึ่งบ่งชี้ว่าผลกระทบที่โรคระบาดครั้งนี้มีต่อมนุษย์มีมากกว่าตัวเลขอย่างเป็นทางการที่รัฐบาลประเทศต่าง ๆ รายงานออกมา ผู้เสียชีวิตบางคนอาจไม่ได้ถูกนับรวมว่าเป็นเหยื่อของโรคโควิด-19 ขณะที่คนอื่น ๆ อาจเสียชีวิตจากผลกระทบโดยอ้อมของโรคนี้ เช่น เสียชีวิตเพราะระบบสาธารณสุขมีทรัพยากรไม่เพียงพอที่จะรองรับผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพ และปัจจัยอื่น ๆ ลองสำรวจแผนภาพเคลื่อนไหวด้านล่างเกี่ยวกับการเสียชีวิตเกินคาดการณ์ แล้วเลื่อนลงไปอีกเพื่อดูว่าโรคระบาดครั้งนี้ส่งผลกระทบต่อประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก เช่น ไทย บราซิล อิตาลี รัสเซีย สหราชอาณาจักร และสหรัฐฯ อย่างไรบ้าง การเปรียบเทียบยอดผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 ของประเทศต่าง ๆ ถือเป็นเรื่องยาก เพราะความแม่นยำของข้อมูลนี้ขึ้นอยู่กับว่าประเทศนั้น ๆ มีการตรวจหาเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่มากเพียงใด และรัฐบาลได้นับรวมการเสียชีวิตนอกโรงพยาบาลเข้าไปด้วยหรือไม่ อ่านผลการวิเคราะห์การเสียชีวิตเกินคาดการณ์ในประเทศต่าง ๆ รวมทั้งชมวิดีโอบอกเล่าเรื่องราวของผู้ได้รับผลกระทบจากโรคระบาดที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะโดยทางตรงหรือทางอ้อมได้ที่ด้านล่าง ไวรัสโคโรนา การเสียชีวิตเกินคาดการณ์ ไทย (01 มี.ค. - 31 พ.ค.) จำนวนผู้เสียชีวิตใน ไทย สูงขึ้นกว่าปกติ 2% โดยมีผู้เสียชีวิตมากกว่าปกติทั้งสิ้น 2,400 ราย แม้จะเป็นประเทศที่ 2 นอกประเทศจีนที่ยืนยันการพบผู้ติดเชื้อโรคโควิด-19 แต่สถิติของทางการไทยกลับมียอดผู้เสียชีวิตจากโรคนี้ต่ำอย่างน่าประหลาดใจ การพบผู้ติดเชื้อที่พุ่งสูงขึ้นเมื่อช่วงปลายเดือน มี.ค. ทำให้ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินทั่วประเทศ อย่างไรก็ตาม ไทยกลับไม่เคยมียอดผู้เสียชีวิตเกินวันละ 4 คนเลย ขณะเดียวกัน ข้อมูลการเสียชีวิตจากทุกสาเหตุก็ออกมาในรูปแบบเดียวกัน คือ มีจำนวนการเสียชีวิตสูงกว่าปกติในเดือน มี.ค. ก่อนที่จะกลับเข้าสู่ระดับปกติในเดือน เม.ย. และ พ.ค. บราซิล* (01 มี.ค. - 31 พ.ค.) จำนวนผู้เสียชีวิตใน บราซิล* สูงขึ้นกว่าปกติ 38% โดยมีผู้เสียชีวิตมากกว่าปกติทั้งสิ้น 19,300 ราย การเสียชีวิตรายเดือน *ข้อมูลจากบราซิลประกอบไปด้วยข้อมูลจากเมืองเซาเปาโล, รีโอเดจาเนโร, มาเนาส์, เรซีฟี, เซาลูอีส, โฟร์ตาเลซา การเสียชีวิตที่คาดการณ์ของบราซิลเป็นการเสียชีวิตที่บันทึกได้ในช่วงเวลาเดียวกันในปี 2019 บราซิลมียอดผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 สูงสุดเป็นอันดับ 2 ของโลก และยอดการตายนี้ยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ชาอีร์ โบลโซนาโร ประธานาธิบดีฝ่ายขวาจัดถูกวิจารณ์จากทั้งในและต่างประเทศว่าไม่ยอมรับถึงความร้ายแรงของการระบาด และไม่สนใจต่อข้อแนะนำด้านสุขภาพและการเว้นระยะห่างทางสังคม นายกเทศมนตรีเมืองเซาเปาโล ระบุว่า ระบบสาธารณสุขของเมืองใหญ่ที่สุดของบราซิลแห่งนี้อาจล่มสลายลงในเดือนนี้ เนื่องจากความต้องการเตียงฉุกเฉินเพิ่มสูงขึ้นเพื่อใช้รองรับผู้ป่วยโควิด-19 เอกวาดอร์ (01 มี.ค. - 31 พ.ค.) จำนวนผู้เสียชีวิตใน เอกวาดอร์ สูงขึ้นกว่าปกติ 108% โดยมีผู้เสียชีวิตมากกว่าปกติทั้งสิ้น 19,500 ราย การเสียชีวิตรายเดือน เอกวาดอร์เป็นหนึ่งในประเทศแรก ๆ ของภูมิภาคลาตินอเมริกาที่รายงานการพบผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตจากโรคโควิด-19 เป็นจำนวนมาก เมื่อช่วงต้นเดือน เม.ย. เฉพาะในเดือน มี.ค. และ เม.ย. ที่ผ่านมา เอกวาดอร์มีผู้เสียชีวิตมากกว่าสองเท่า เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ๆ จำนวนการเสียชีวิตเกินคาดการณ์ของทั้ง 2 เดือนนี้สูงกว่าตัวเลขผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 ทั้งหมดที่ทางการเอกวาดอร์เปิดเผย ถึง 16 เท่า การเสียชีวิตเกินคาดการณ์เหล่านี้ส่วนใหญ่อยู่ในจังหวัดกัวยาส ซึ่งมีเมืองกวัยอากิล เป็นเมืองเอก คาดว่ามีผู้เสียชีวิตจำนวนมากที่ไม่ได้ถูกระบุว่าเสียชีวิตจากโควิด-19 เนื่องจากมีอัตราการตรวจหาเชื้อที่ค่อนข้างต่ำ จาการ์ตา, อินโดนีเซีย (01 มี.ค. - 31 พ.ค.) จำนวนผู้เสียชีวิตใน จาการ์ตา, อินโดนีเซีย สูงขึ้นกว่าปกติ 55% โดยมีผู้เสียชีวิตมากกว่าปกติทั้งสิ้น 4,700 ราย การเสียชีวิตรายเดือน แม้จะไม่มีข้อมูลของสาเหตุการเสียชีวิตในทุกพื้นที่ของอินโดนีเซีย แต่ข้อมูลการฝังศพในกรุงจาการ์ตา ถือเป็นมาตรวัดที่ดีของผลกระทบจากโรคระบาดครั้งนี้ที่มีต่ออัตราการตายที่นี่ ข้อมูลในเดือน มี.ค. เม.ย. และ พ.ค. มีการฝังศพที่สุสานในกรุงจาการ์ตาเพิ่มขึ้นกว่า 4,700 ราย เมื่อเทียบกับตัวเลขในช่วงเดียวกันของปีก่อน ๆ จำนวนพิธีฝังศพที่มากเกินคาดการณ์ในเมืองหลวงแห่งนี้สูงกว่าตัวเลขผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 ที่ทางการเปิดเผยถึง 9 เท่า แม้แต่ที่เกาะอัมบน ซึ่งสถิติของทางการระบุว่าไม่มีผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 แต่ชาวบ้านครอบครัวหนึ่งเผยกับบีบีซีว่าสถานการณ์ที่เกิดจากการระบาดของเชื้อไวรัสนี้ ทำให้ลูกชายวัย 3 ขวบของพวกเขาเสียชีวิต อิหร่าน (22 ธ.ค. - 19 มี.ค.) จำนวนผู้เสียชีวิตใน อิหร่าน สูงขึ้นกว่าปกติ 6% โดยมีผู้เสียชีวิตมากกว่าปกติทั้งสิ้น 6,400 ราย อิหร่านเปิดเผยสถิติผู้เสียชีวิตในทุก 3 เดือน โดยตัวเลขล่าสุดเป็นข้อมูลจากช่วง "ฤดูหนาว" นี่จึงไม่สามารถระบุได้แน่ชัดว่าการเสียชีวิตที่เกินคาดการณ์เป็นผลมาจากการระบาดของโควิด-19 เนื่องจากในฤดูหนาวมักมียอดการตายสูงจากไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล หรือสภาพอากาศที่รุนแรง การเสียชีวิตที่เกินคาดการณ์เหล่านี้อาจมีสาเหตุจากปัจจัยต่าง ๆ ในช่วง 3 เดือนนี้ก็ได้ เชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เริ่มระบาดในอิหร่าน ช่วงปลายเดือน ก.พ. และได้คร่าชีวิตเจ้าหน้าที่ระดับสูงในรัฐบาล รวมทั้งพลเมืองอิหร่านไปแล้วเป็นจำนวนมาก ในขณะที่โควิด-19 กำลังแพร่ระบาดไปทั่วอิหร่าน โอหมิด รู้ดีถึงอันตรายของโรคนี้ ชายวัย 66 ปีผู้นี้มีประวัติเป็นโรคเกี่ยวกับหัวใจและต่อมลูกหมาก เขาจึงทราบดีว่าตนเองมีความเสี่ยงสูง "พ่อระวังตัวมากและเข้ากระบวนการกักตัว" โมจีด ลูกชายของเขาจากเมืองอาร์ดาบิล ระบุ "แต่ท่านไม่ทราบว่าเชื้อไวรัสอาจคร่าชีวิตท่านในทางอ้อมได้" โอหมิดพยายามรักษาสุขภาพให้แข็งแรง เขารักการการปีนเขา ก่อนจะเกิดโรคระบาดเขาออกกำลังกายเป็นประจำทุกวัน ระหว่างการกักตัว เขาเริ่มมีเลือดไหลออกมาเล็กน้อย ซึ่งโอหมิดคิดว่ามาจากโรคริดสีดวงทวาร แต่เมื่ออาการเริ่มหนักขึ้น ครอบครัวจึงกล่อมให้เขาไปพบแพทย์ "มันเป็นช่วงเทศกาลวันอีด และสถานพยาบาลเอกชนส่วนใหญ่ได้ปิดให้บริการจากมาตรการล็อกดาวน์" โมจีด เล่า "โรงพยาบาลรัฐต่างเนืองแน่นไปด้วยผู้ป่วยโควิด-19 และมันเสี่ยงเกินไปที่จะไปใช้บริการ" ในที่สุด โอหมิดได้พบแพทย์ผู้ชำนาญทั่วไป ซึ่งบอกว่าจำเป็นต้องมีการตรวจเพิ่มเติม อดีตครูผู้นี้ต้องรอถึง 20 วันกว่าที่ศูนย์การแพทย์เอกชนจะเปิดให้บริการ ซึ่งที่นั่นหมอสันนิษฐานว่าเขาอาจเป็นแผลในกระเพาะอาหาร จึงแนะนำให้เขาเข้ารับการตรวจอัลตราซาวด์ที่โรงพยาบาลรัฐ แต่ครอบครัวของเขาเป็นกังวล เพราะได้ยินว่าที่นั่นมี "ความเสี่ยงสูง" จากโรคโควิด-19 ในเดือนถัดมา โอหมิด ยังคงอยู่ที่บ้านโดยไม่ได้รับการรักษาใด ๆ เขาเสียชีวิตจากอาการรุนแรงของโรคหลอดเลือดสมอง ครอบครัวของโอหมิดบอกว่ายังทำใจยอมรับกับการเสียชีวิตของเขาไม่ได้ เพราะเขาพยายามระวังตัวเป็นอย่างดี พ่อในความทรงจำของโมจีด เป็นคนตลกและเป็นมิตร "พ่อมีคำแนะนำให้ทุกคนว่าจงเพลิดเพลินไปกับชีวิตในปัจจุบัน เพราะคุณยังมีชีวิตอยู่ และคุณไม่มีทางรู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร" อิตาลี (24 ก.พ. - 26 เม.ย.) จำนวนผู้เสียชีวิตใน อิตาลี สูงขึ้นกว่าปกติ 40% โดยมีผู้เสียชีวิตมากกว่าปกติทั้งสิ้น 42,900 ราย การเสียชีวิตรายสัปดาห์ หมายเหตุ: ข้อมูลของอิตาลีได้จากการนับกลุ่มตัวอย่าง 94% ของประชากร อิตาลีเป็นประเทศแรกในยุโรปที่ใช้มาตรการล็อกดาวน์ทั่วประเทศเมื่อช่วงต้นเดือน มี.ค. เนื่องจากอัตราการติดเชื้อพุ่งสูงในภูมิภาคตอนเหนือของประเทศ การระบาดของอิตาลีรุนแรงมากทางภาคเหนือ ซึ่งพื้นที่ส่วนใหญ่มีการเสียชีวิตเกินคาดการณ์ จำนวนการเสียชีวิตในแคว้นลอมบาร์เดีย ซึ่งมีการระบาดรุนแรง เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าของตัวเลขการเสียชีวิตที่คาดการณ์ไว้สำหรับช่วง 8 สัปดาห์แรกของการระบาด ส่วนแคว้นทางภาคเหนืออื่น ๆ เช่น ปีเยมอนเต มีจำนวนผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น 50% จากช่วงปกติ ขณะที่แคว้นทางภาคกลางและภาคใต้มีตัวเลขการเสียชีวิตต่ำกว่าปกติ ในแคว้นลาซิโอ ซึ่งมีกรุงโรมเป็นเมืองเอก มีจำนวนการเสียชีวิตลดลงกว่า 5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของ 5 ปีที่ผ่านมา มอสโก และเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก, รัสเซีย (01 เม.ย. - 31 พ.ค.) จำนวนผู้เสียชีวิตใน มอสโก และเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก, รัสเซีย สูงขึ้นกว่าปกติ 30% โดยมีผู้เสียชีวิตมากกว่าปกติทั้งสิ้น 9,100 ราย การเสียชีวิตรายเดือน ยังไม่มีการเปิดเผยข้อมูลการเสียชีวิตทั่วประเทศรัสเซียในช่วงที่โรคโควิด-19 ระบาด แต่ข้อมูลจากเฉพาะ 2 เมืองใหญ่ที่สุดของประเทศก็เผยให้เห็นรูปแบบการเสียชีวิตที่เกินคาดการณ์ ในกรุงมอสโก มีรายงานยอดผู้เสียชีวิตทั้งหมดในเดือน เม.ย. สูงขึ้น 17% เมื่อเทียบกับอัตราเฉลี่ยในช่วง 5 ปี ในนครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ซึ่งเริ่มเกิดโรคโควิด-19 ระบาดช้ากว่า มีรายงานยอดผู้เสียชีวิตในเดือน เม.ย.ตามที่คาดการณ์ไว้ สวีเดน (09 มี.ค. - 17 พ.ค.) จำนวนผู้เสียชีวิตใน สวีเดน สูงขึ้นกว่าปกติ 24% โดยมีผู้เสียชีวิตมากกว่าปกติทั้งสิ้น 4,200 ราย การเสียชีวิตรายสัปดาห์ ช่วงที่โควิด-19 ระบาดสูงสุดในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 12 เม.ย. สวีเดนมียอดผู้เสียชีวิตรายสัปดาห์สูงสุดในรอบกว่า 2 ทศวรรษ ตัวเลขการเสียชีวิตของสวีเดนสวนทางกับประเทศเพื่อนบ้านอย่าง เดนมาร์ก และนอร์เวย์ ซึ่งมีจำนวนผู้เสียชีวิตในระดับใกล้เคียงกับปีก่อน ๆ มากกว่า ตลอดช่วงการระบาด สวีเดนไม่ได้ใช้มาตรการล็อกดาวน์ และให้สถานที่ส่วนใหญ่เปิดทำการตามปกติ แต่ใช้วิธีขอความร่วมมือประชาชนเว้นระยะห่างทางสังคมและปฏิบัติตามมาตรการควบคุมโรคต่าง ๆ ดร.อันเดิร์ช เทกแนล นักระบาดวิทยาของรัฐบาล และผู้นำทีมรับมือการระบาดของโรคโควิด-19 ออกมายอมรับเมื่อเร็ว ๆ นี้ว่า การตัดสินใจไม่ใช้มาตรการล็อกดาวน์เข้มงวดทำให้มีผู้เสียชีวิตในประเทศมากเกินไป อย่างไรก็ตาม เขายืนกรานว่า "เรายังคงคิดว่านี่คือกลยุทธ์ที่เหมาะสมสำหรับสวีเดน" พร้อมเปรียบการต่อสู้กับโรคนี้ว่า "การวิ่งมาราธอน ไม่ใช่การวิ่งเร็วระยะสั้น" สหราชอาณาจักร (07 มี.ค. - 05 มิ.ย.) จำนวนผู้เสียชีวิตใน สหราชอาณาจักร สูงขึ้นกว่าปกติ 43% โดยมีผู้เสียชีวิตมากกว่าปกติทั้งสิ้น 64,500 ราย การเสียชีวิตรายสัปดาห์ การระบาดสูงสุดของสหราชอาณาจักรอยู่ในช่วงสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 17 เม.ย. โดยมีการเสียชีวิตเกินคาดการณ์กว่า 12,800 คน ในจำนวนนี้ 9,495 คนเป็นการเสียชีวิตที่เกี่ยวเนื่องจากโรคโควิด-19 กรุงลอนดอน ซึ่งเป็นจุดที่มีการระบาดรุนแรงเป็นเวลานานของประเทศ มีการเสียชีวิตเกินกว่าที่คาดการณ์ไว้เกือบ 2 เท่า นับตั้งแต่โรคเริ่มระบาด ทุกภูมิภาคของสหราชอาณาจักรต่างก็มีการเสียชีวิตเกินคาดการณ์ โดยภูมิภาคเวสต์มิดแลนส์ และนอร์ทเวสต์ มีผู้เสียชีวิตมากกว่าปกติ 50% ในช่วงที่เกิดโรคระบาด แม้พื้นที่ทั่วประเทศได้ผ่านพ้นจุดสูงสุดของการระบาดมาแล้ว แต่ภาคตะวันออกของอังกฤษ ยังมีอัตราการเสียชีวิตสูงสุดในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 29 พ.ค. สหรัฐฯ (16 ก.พ. - 02 พ.ค.) จำนวนผู้เสียชีวิตใน สหรัฐฯ สูงขึ้นกว่าปกติ 16% โดยมีผู้เสียชีวิตมากกว่าปกติทั้งสิ้น 97,300 ราย การเสียชีวิตรายสัปดาห์ สหรัฐฯ รายงานว่ามียอดผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 มากที่สุดในโลก คือกว่า 100,000 คน แต่ความรุนแรงของการระบาดแตกต่างกันออกไปใน 50 รัฐ ยอดผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 ในนครนิวยอร์กมีมากที่สุด และสูงกว่าในหลายประเทศ แต่โรคระบาดนี้ได้ส่งผลกระทบต่อระบบสาธารณสุขและชีวิตของพลเมืองอเมริกันในทุกรัฐ ในขณะที่หลายรัฐ เช่น แคลิฟอร์เนีย ประกาศใช้มาตรการล็อกดาวน์อย่างรวดเร็วเพื่อควบคุมโรค แต่ในรัฐอื่น ๆ เช่น ไวโอมิง กลับเลี่ยงใช้มาตรการล็อกดาวน์ที่เข้มงวด ส่วนอีกหลายรัฐที่ออกคำสั่งให้ประชาชนเก็บตัวอยู่ในบ้าน ก็เริ่มยกเลิกคำสั่งดังกล่าวแล้ว รายงานเพิ่มเติมเกี่ยวกับไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ การเสียชีวิตเกินคาดการณ์วัดกันอย่างไร การวัดการเสียชีวิตเกินคาดการณ์ของบีบีซีนั้น ทำโดยใช้ข้อมูลการตายของประชากรจากทุกสาเหตุ รายงานประเภทนี้มักถูกบันทึกและตีพิมพ์โดยหน่วยงานฝ่ายทะเบียนราษฎร์ของรัฐ กระทรวงสาธารณสุข หรือสำนักงานสถิติแห่งชาติ ข้อมูลเหล่านี้มักใช้เวลานานในการประมวลและยืนยันความถูกต้อง ดังนั้นตัวเลขการเสียชีวิตทั้งหมดที่บันทึกในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาจึงเป็นข้อมูลขั้นต้น ซึ่งอาจมีการแก้ไขได้ในภายหลัง และมักปรับเพิ่มตัวเลขการเสียชีวิต ตัวเลขการเสียชีวิตเกินคาดการณ์คือตัวเลขการเสียชีวิตทั้งหมดที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต ตัวเลขเหล่านี้ของแต่ละประเทศจะถูกปัดเศษให้เป็นหลักร้อยที่มีค่าใกล้เคียงที่สุด เลือกประเทศอย่างไร เราเน้นไปยังสถานที่ที่มีข้อมูลการตายมาก และครอบคลุมห้วงเวลาอย่างน้อย 4 สัปดาห์นับจากเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เริ่มระบาดในพื้นที่ ในกรณีที่ไม่มีข้อมูลทั่วประเทศที่น่าเชื่อถือได้ เรามุ่งเน้นไปในระดับภูมิภาคเล็กกว่าที่มีข้อมูลสมบูรณ์ ยกตัวอย่าง เช่น ในกรุงจาการ์ตา ของอินโดนีเซีย ที่เราใช้ตัวเลขการฝังศพในเมืองทดแทนการนับตัวเลขการเสียชีวิต เป็นต้น การบ่งชี้จุดเริ่มต้นการแพร่ระบาดในแต่ละพื้นที่ทำอย่างไร การเริ่มต้นการแพร่ระบาดในท้องถิ่นทำโดยนับจากสัปดาห์ หรือเดือนที่พบผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 อย่างเป็นทางการรายที่ 5 และนับต่อไปจนถึงวันล่าสุดที่สามารถหาข้อมูลได้ โดยส่วนใหญ่เราคำนวณข้อมูลพื้นฐานของการเสียชีวิตตามที่คาดการณ์จากค่าเฉลี่ยของสถิติการเสียชีวิตในพื้นที่ในช่วง 5 ปี คือระหว่างปี 2015 - 2019 ใช้ข้อมูลจากแหล่งใดบ้าง การนับตัวเลขผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 มักอ้างอิงโดยตรงจากรายงานของรัฐบาลท้องถิ่น แต่เนื่องจากการเข้าถึงข้อมูลของทางการไม่อาจทำได้โดยง่ายเสมอไป เราจึงใช้ข้อมูลที่รวบรวมและเผยแพร่โดย ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งยุโรป ส่วนพื้นที่ระดับเมือง เช่น กรุงจาการ์ตา เราได้ใช้ข้อมูลการตายจากโควิด-19 เฉพาะในระดับท้องถิ่น สามารถวัดผลกระทบจากโควิด-19 ด้วยวิธีอื่นหรือไม่ การเปรียบเทียบตัวเลขการเสียชีวิตเกินคาดการณ์กับการเสียชีวิตตามคาดการณ์ในช่วงที่เกิดโรคระบาดในประเทศนั้น ๆ คือหนึ่งในหลายวิธีที่จะวัดผลกระทบที่เกิดขึ้นได้ นี่คือวิธีที่มีประโยชน์ในการประเมินยอดผู้เสียชีวิตทั้งหมดที่บันทึกได้ โดยแสดงออกมาในรูปตัวเลขคนเสียชีวิตในระดับสูงเกินคาด หรือในอัตราร้อยละที่สูงกว่าค่าเฉลี่ย อีกวิธีการวัด คือการวิเคราะห์จำนวนการเสียชีวิตเกินคาดการณ์ต่อประชากรหนึ่งล้านคน ข้อดีของวิธีนี้ช่วยให้สามารถเปรียบเทียบข้อมูลของประเทศที่มีจำนวนประชากรแตกต่างกันได้ง่ายขึ้น แต่ข้อเสียของวิธีนี้จะทำให้ประเทศที่มีประชากรวัยชรามากกว่าและสุขภาพแย่กว่าเสียเปรียบ เพราะไม่ได้ประเมินจากข้อเท็จจริงที่ว่าประเทศที่มีประชากรสูงวัยมีแนวโน้มที่จะมีผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 สูงกว่านั่นเอง แหล่งข้อมูล Statistik Austria; Belgium Mortality Monitoring; Sciensano; Belgian Institute for Health; Civil Registry of Brazil; Chile Civil Registration and Identification Service; Chile Ministry of Science, Technology, Knowledge and Innovation; Chile Ministry of Health; Statistics Denmark; Ecuador General Directorate of the Civil Registry; Ecuador National Institute of Statistics and Census (INEC); French National Institute of Statistics and Economic Study (Insee); Germany Federal Statistics Office; DKI Jakarta Provincial Park and Forest Service; Iran National Organisation for Civil Registration: Italian National Institute of Statistics (Istat); Japan Bureau of Statistics: Ministry of Internal Affairs and Communications; Statistics Netherlands (CBS); Statistics Norway; Peru Ministry of Health; Peru National Information System of Deaths (SINADEF): Portugal Directorate-General for Health; Moscow Office of Civil Registration; Moscow Government; St Petersburg Office of Civil Registration; Statistical Office of the Republic of Serbia; South African Medical Research Council (SAMRC); South Africa Department of Statistics (Stats SA); Statistics Korea (KOSTAT); Institute of Health Carlos III (ISCIII), Spain; Mortality Monitoring Spain; Statistics Sweden; Federal Statistical Office Switzerland; Thailand Department of Provincial Administration; Istanbul Metropolitan Municipality; Tubitak (Scientific and Technological Research Council of Turkey); Office of National Statistics (ONS); National Records of Scotland (NRS); Northern Ireland Statistics; Research Agency (NISRA); State Statistics Service of Ukraine; American Centers for Disease Control and Prevention (CDC); US National Center for Health Statistics (NCHS); European Centre for Disease Prevention and Control (ECDC) เครดิต Design by Prina Shah and Zoe Bartholomew. Development by Becky Rush and Scott Jarvis. Data analysis and writing by Becky Dale and Nassos Stylianou. World Service languages coordination by Ana Lucia Gonzalez. Global case study production by Louise Adamou and Paul Harris. Statistical oversight by Robert Cuffe. Illustrations by Jilla Dastmalchi. Project management by Sally Morales. Production by John Walton and Jacky Martens. Additional contributions from: Stéphane Helleringer, Associate Professor, Johns Hopkins University; Dr Bernardo Lanza Queiroz, Associate Professor of Demography, University Federal de Minas Gerais; Dr Hazhir Rahmandad, Associate Professor, MIT Sloan School of Management; Navid Ghaffarzadegan, Associate Professor, Virginia Tech University; Iran Ministry of Health, Mesut Erzurumluoglu, Research Associate, MRC Epidemiology Unit, University of Cambridge; Dr Yu Korekawa, Director for International Research and Cooperation, National Institute of Population and Social Security Research
|
ผลการวิจัยของบีบีซีพบว่า ทั่วโลกมีผู้คนอีกอย่างน้อย 130,000 คน เสียชีวิตในช่วงที่เชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่แพร่ระบาด นอกเหนือไปจากยอดผู้เสียชีวิต 440,000 รายที่ได้รับการบันทึกอย่างเป็นทางการว่ามีสาเหตุการตายจากโรคโควิด-19
|
international-42579104
|
https://www.bbc.com/thai/international-42579104
|
จีนย้ายคนออกจากพื้นที่ห่างไกล เดินหน้าขจัดความยากจน
|
บันไดเหล็กปีนขึ้นเขากลายเป็นสัญลักษณ์ของ ความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ และได้รับคำชมเชยจากประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ของจีน มันเป็นทางเดียวที่ขึ้นไปถึงยอดเขา และถูกนำมาใช้แทนที่บันไดที่ทำจากไม้ซึ่งมีอันตราย แม้ว่าการเดินทางขึ้นเขาสะดวกขึ้น แต่ชีวิตชาวบ้านก็ยังคงยากลำบาก ผู้คนยังต้องก่อไฟทำอาหาร ในบ้านที่ทำจากอิฐดิน การยุติความยากจนอย่างรุนแรงที่นี่ จะต้องทำงานอย่างหนัก เออตี ลาปี กล่าวว่า "เรายากจนมาก เราปลูกแค่ข้าวโพด และมันฝรั่ง ไม่มีอย่างอื่นเลย" แต่ทางการจีนมีทางออกที่เด็ดขาด ด้วยการสร้างหมู่บ้านแห่งใหม่ เพื่อให้ชาวบ้านย้ายมาอยู่ พร้อมกับมีโรงเรียนแห่งใหม่ด้วย โดยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา มีคนถูกย้าย ออกจากพื้นที่ห่างไกลแล้วราว 5 ล้านคน จีปา ทูฮา กล่าวว่า "เราเคยมีเล้าหมูที่หน้าบ้าน เราไม่คิดถึงชีวิตที่ขาดสุขอนามัย แบบนั้นแล้ว" ปัญหาที่รุนแรงอย่างการทุจริตยังคงมีอยู่ แต่โฆษณาชวนเชื่อต่อต้านความยากจนปรากฏอยู่ทุกที่ และสื่อก็พากันรายงานข่าวนี้อย่างมาก
|
การต่อสู้กับความยากจนในจีน ยังเป็นเรื่องที่ต้องฝ่าฟันต่อไป รัฐบาลจีนรับปากว่าจะกำจัดความยากจน ซึ่งครอบคลุมประชาชน 43 ล้านคน ภายใน 3 ปี หนึ่งในแนวทางที่จีนใช้คือ การย้ายชาวบ้านที่อยู่พื้นที่ห่างไกลให้เข้ามาอยู่บ้านหลังใหม่ที่ทางการสร้างให้
|
thailand-55505134
|
https://www.bbc.com/thai/thailand-55505134
|
พล.อ.อ. สถิตย์พงษ์ สุขวิมล ในวัย 72 ปี ศิษย์เก่าดีเด่นสวนกุหลาบ-ม.เชียงใหม่ และข้าราชบริพารผู้รับใช้เบื้องพระยุคลบาทอย่างใกล้ชิด
|
รัชกาลที่ 10 ทรงไว้วางพระราชหฤทัย พล.อ.อ. สถิตย์พงษ์ (ขวาสุด) ให้รับผิดชอบในตำแหน่งสำคัญ ๆ อย่างน้อย 6 ตำแหน่ง ทว่าชีวิตส่วนตัวของข้าราชบริพารรายนี้กลับไม่ปรากฏตามสื่อมากนัก ทราบเพียงว่าเขาเป็นพี่ชายของ พล.ต.ท. ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (ผบช.ก.) มีพื้นเพเป็นชาวเพชรบุรี โดย พล.อ.อ. สถิตย์พงษ์เป็นลูกชายคนที่ 2 ในบรรดาพี่น้อง 5 คนในครอบครัว ส่วน พล.ต.ท. ต่อศักดิ์เป็นลูกชายคนสุดท้อง "นิตยสารบรรดาเรา" ฉบับวันที่ 8 มี.ค. 2563 จัดทำโดยสมาคมศิษย์เก่าสวนกุหลาบวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ระบุว่า พล.อ.อ.สถิตย์พงษ์ คือหนึ่งในผู้ที่ได้รับการคัดเลือกให้เป็น "คนดีศรีสวนฯ ประจำปี 2563" ในฐานะศิษย์เก่าที่จบการศึกษาจากโรงเรียนสวนกุหลาบรุ่นที่ 82 รุ่นเดียวกับ พล.ต.อ. จุมพล มั่นหมาย อดีตรองเลขาธิการสำนักพระราชวัง ฝ่ายความมั่นคงและกิจกรรมพิเศษ และอดีตรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) 27 ก.พ.2560 สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 ทรงมีพระราชโองการ โปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้ถอด พล.ต.อ. จุมพล ออกจากยศตำรวจ หลังถูกดำเนินคดีบุกรุกอุทยานแห่งชาติทับลาน และไม่ถึง 2 สัปดาห์ต่อมา ศาลจังหวัดนครราชสีมาตัดสินลงโทษจำคุก 6 ปีแก่นายจุมพล ในความผิดฐานบุกรุกป่า สร้างบ้านในเขตอุทยานแห่งชาติทับลาน จ.นครราชสีมา ร่วมกับ พล.ต.ต. พงษ์เดช พรหมมิจิตร อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 ซึ่งเป็นจำเลยที่ 1 ขณะที่นายจุมพล เป็นจำเลยที่ 2 แต่คำรับสารภาพเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา จึงลดโทษให้กึ่งหนึ่ง เหลือจำคุก 3 ปี โดยไม่รอลงอาญา พร้อมสั่งให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากพื้นที่ที่บุกรุกป่า และชดใช้ค่าเสียหายให้กับทางราชการเป็นเงิน 892,000 บาท ศิษย์เก่าดีเด่น มช. หลายคนไม่ทราบว่า พล.อ.อ.สถิตย์พงษ์ จบการศึกษาในระดับปริญญาตรี หลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาการสื่อสารมวลชน จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) ในปี 2515 คณะกรรมการสมาคมนักศึกษาเก่ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ประชุมมีมติคัดเลือกนักศึกษาเก่าฯ จากคณะต่าง ๆ ที่มีผลงานสร้างชื่อเสียงให้กับมหาวิทยาลัย เชิดชูยกย่องให้ พล.อ.อ.สถิตย์พงษ์เป็น 1 ใน 19 นักศึกษาเก่าดีเด่นประจำปี 2560 โดยเขาได้รับในสาขา "บริหารราชการ" เข้ารับรางวัลโล่ประกาศเกียรติคุณฯ จากศาสตราจารย์เกียรติคุณ นพ.อาวุธ ศรีศุกรี รักษาการแทนอธิการบดี มช. ณ หอประชุม มช. เมื่อวันที่ 22 ม.ค. 2561 นอกจากนี้ พล.อ.อ.สถิตย์พงษ์ ศิษย์เก่าด้านสื่อสารมวลชน รหัสประจำตัว 121522 ยังได้รับการยกย่องจากคณะการสื่อสารมวลชน มอบรางวัลแก่ศิษย์เก่าดีเด่นประจำปี 2560 "ด้านความสำเร็จ ในอาชีพ/หน้าที่การงาน" ให้แก่เขาด้วย แต่เจ้าตัวไม่ได้มารับรางวัลทั้งของมหาวิทยาลัยและของคณะ ศิษย์การบินกำแพงแสน แม้ไม่ได้จบการศึกษาจากโรงเรียนนายเรืออากาศ พล.อ.อ.สถิตย์พงษ์ ได้เข้าอบรมหลักสูตรด้านการบินและกิจการของกองทัพอากาศอย่างต่อเนื่อง ข้อมูลจากธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) และ บริษัทปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ เอสซีจี ที่แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ระบุว่า พล.อ.อ.สถิตย์พงษ์ เป็นศิษย์การบินรุ่น น.54-16-3 โรงเรียนการบินกำแพงแสน และเข้าอบรมที่โรงเรียนนายทหารชั้นบังคับฝูง รุ่นที่ 43 ตามมาด้วยโรงเรียนเสนาธิการทหารอากาศ รุ่น 29 และวิทยาลัยการทัพอากาศ รุ่นที่ 27 ย้อนเส้นทางสู่การเป็นราชองครักษ์ ชื่อของ พล.อ.อ. สถิตย์พงษ์ ปรากฏต่อสาธารณะบนระบบของเว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาครั้งแรกเมื่อปี 2542 ในประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ในขณะนั้นเขาดำรงตำแหน่งพลอากาศตรี เป็นราชองครักษ์ประจำกรมราชองค์รักษ์ โดยประกาศดังกล่าวมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ ให้เป็นราชองครักษ์ประจำ กรมราชองครักษ์ พร้อมเลื่อนยศเป็น พล.อ.ท. ด้วย เพื่อให้รับราชการสนองพระเดชพระคุณนับตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2542 โดยมีผู้รับสนองพระราชโองการคือ นายชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ต่อมาไม่ถึงสองปี ในวันที่ 24 เม.ย. 2544 ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ พระราชทานยศทหารให้แก่นายทหารสัญญาบัตร สังกัดกระทรวงกลาโหมจำนวน 7 นาย หนึ่งในรายชื่อนั้นคือ พล.อ.ท. สถิตย์พงษ์ ให้เลื่อนยศมาเป็น พล.อ.อ. โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. 2544 โดยผู้ลงนามสนองพระบรมราชโองการคือ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ในประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีดังกล่าว ระบุเหตุผลการพระราชทานยศดังกล่าวคือ "รับราชการมาด้วยความเรียบร้อยเป็นผลดีแก่ทางราชการ" ภายในปีเดียวกันนั้น ในประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งเผยแพร่บนเว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาในวันที่ 20 ก.ย. 2544 พล.อ.อ.สถิตย์พงษ์ ปรากฏในตำแหน่ง "ผู้ช่วยสมุหราชองครักษ์" ได้รับการเลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็น "รองสมุหราชองครักษ์" ตามที่มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้นายทหารสัญญาบัตรรับราชการสนองพระเดชพระคุณจำนวน 7 นาย (แบ่งเป็นตำแหน่งรองสมุหราชองครักษ์ 6 นาย และเสนาธิการกรมราชองค์รักษ์อีก 1 นาย) ต่อมาในวันที่ 12 ม.ค. 2549 มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ พระราชทานราชานุมัติปรับปรุงการกำหนดตำแหน่งและโอนข้าราชการ สังกัดกรมราชองครักษ์ มาบรรจุเป็นข้าราชการพลเรือนในพระองค์สังกัดสำนักพระราชวัง เป็นกรณีพิเศษเฉพาะรายจำนวน 2 ราย ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ พล.อ.อ. สถิตย์พงษ์ ที่ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งประจำสำนักพระราชวังพิเศษ เทียบเท่าตำแหน่ง "รองเลขาธิการพระราชวัง" ราชการบริหารส่วนกลางและรับเงินเดือนอันดับ ท. 11 ซึ่งมีผลย้อนหลังนับตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2548 เป็นต้นไป ตามประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ที่เผยแพร่บนเว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาโดยมี พ.ต.ท. ทักษิณ นายกรัฐมนตรีขณะนั้นเป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ ราชเลขานุการในพระองค์รัชทายาท พล.อ.อ. สถิตย์พงษ์ เริ่มเป็นที่สนใจของสาธารณะและสื่อมวลชนมากขึ้น โดยเฉพาะในปี 2555 เมื่อมีประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี โดยสาระสำคัญคือ มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ พระราชาทานพระบรมราชานุมัติให้สำนักพระราชวังดำเนินการปรับปรุงการกำหนดตำแหน่งราชเลขานุการในพระองค์สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ฯ สยามมกุฎราชกุมาร ตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง ราชการบริหารส่วนกลางที่ พล.อ.อ. สถิตย์พงษ์ครองอยู่ เป็นตำแหน่งรองเลขาธิการพระราชวัง ตำแหน่งประเภทบริหาร ระดับสูงราชการบริหารส่วนกลาง ให้เลื่อนและแต่งตั้งให้ พล.อ.อ.สถิตย์พงษ์ ดำรงตำแหน่งดังกล่าวเป็นพิเศษเฉพาะราย พล.อ.อ. สถิตย์พงษ์ สุขวิมล โดยตำแหน่งที่ได้รับใหม่คือ "ราชเลขานุการในพระองค์สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ฯ สยามมกุฎราชกุมาร กำกับดูแล บังคับบัญชากองกิจการภายในพระองค์สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ฯ สยามมกุฎราชกุมาร กองงานพระวรชายาในพระองค์ และราชการในพระองค์ โดยมีผลย้อนหลังไปตั้งแต่วันที่ 22 ธ.ค. 2554 ในขณะเดียวกันระหว่างปี 2552 - 2559 พล.อ.อ. สถิตย์พงษ์ ยังได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหนึ่งในคณะกรรมการของบริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) อีกด้วย ขึ้นสู่รัชกาลใหม่กับบทบาทใหม่ นับตั้งแต่ รัชกาลที่ 10 ขึ้นทรงราชย์เมื่อวันที่ 13 ต.ค. 2559 บทบาทที่ได้รับของ พล.อ.อ. สถิตย์พงษ์ต่อราชสำนักไทยเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด เริ่มต้นในวันที่ 27 ม.ค. 2560 รัชกาลที่ 10 มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ แต่งตั้ง พล.อ.อ. สถิตย์พงษ์ เป็นผู้รักษาและจัดการผลประโยชน์ทรัพย์สินส่วนพระองค์ โดยอาศัยตามความในมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติจัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ พ.ศ. 2479 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติจัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2491 พล.อ.อ. สถิตย์พงษ์ สุขวิมล ราชเลขานุการในพระองค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และคณะ ตรวจเยี่ยมและติดตามความก้าวหน้าโครงการก่อสร้างสถานพักพิงสัตว์ในพระราชานุเคราะห์ (ข้อมูลจากเว็บไซต์กรมปศุสัตว์) ในวันที่ 6 มิ.ย. 2560 เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่ประกาศแต่งตั้งข้าราชการในพระองค์ทั้งหมด 10 ตำแหน่ง หนึ่งในนั้นคือ พล.อ.อ.สถิตย์พงษ์ ซึ่งได้รับตำแหน่งสำคัญที่สุดคือ ราชเลขานุการในพระองค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ระดับ 11 เทียบเท่าเลขาธิการพระราชวัง ตำแหน่งหมายเลข 1 และเป็นประธานข้าราชบริพารในพระองค์ โดยตำแหน่งก่อนหน้านั้นที่เขาได้รับคือ รองเลขาธิการพระราชวัง ฝ่ายบริหารนโยบายและปฏิบัติการ หนึ่งเดือนถัดมาเมื่อ พ.ร.บ.จัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ พ.ศ. 2560 ประกาศในราชกิจจานุเบกษาในวันที่ 16 ก.ค. 2560 เพื่อเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบในคณะกรรมการทรัพย์สินส่วนให้ประธานมาจากบุคคลที่พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งได้ จากเดิมที่ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นประธานโดยตำแหน่ง และการควบรวมทรัพย์สินส่วนพระองค์และทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์โดยไม่มีการแบ่งแยกแล้ว ในวันที่ 17 ก.ค. รัชกาลที่ 10 ทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งคณะกรรมการทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ชุดใหม่ ประกอบด้วยคณะกรรมการ 8 ราย มี พล.อ.อ.สถิตย์พงษ์ เป็นประธาน โดยหน้าที่ของคณะกรรมการชุดนี้คือควบคุมดูแลการดำเนินการของ "สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์" หน่วยงานซึ่งมีหน้าที่จัดการ ดูแลรักษา จัดหาผลประโยชน์ และดำเนินการอื่นใด อันเกี่ยวกับทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ ต่อมา ในเดือน ต.ค. ปีเดียวกัน พล.อ.อ. สถิตย์พงษ์ พร้อมด้วยนายทหารอีก 5 นาย ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า ฝ่ายหน้า โดยเขาได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า ชั้นปฐมจุลจอมเกล้า ดูแลกิจการในพระองค์แบบครบวงจร ย่างเข้าสู่ปี 2661 ซึ่งถือเป็นปีที่ 3 ของรัชกาลที่ 10 พลอากาศเอกรายนี้กลับได้รับบทบาทและหน้าที่สำคัญ ๆ มากยิ่งขึ้น โดยในวันที่ 11 มี.ค. 2561 เขาได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็น "เลขาธิการพระราชวัง" และ "ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ แทนนายจิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา.ซึ่งพ้นจากตำแหน่งดังกล่าว หลังได้รับพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งองคมนตรีก่อนหน้านี้ หลังจากพ.ร.บ. จัดระเบียบทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ พ.ศ. 2561 มีผลบังคับใช้ในวันที่ 4 พ.ย. 2561 "สำนักทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์" เปลี่ยนชื่อมาเป็น "สำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์" จากข้อมูลที่ปรากฏ รัชกาลที่ 10 ทรงไว้วางพระราชหฤทัย พล.อ.อ. สถิตย์พงษ์ ให้รับผิดชอบในตำแหน่งสำคัญ ๆ อย่างน้อย 6 ตำแหน่ง ประกอบด้วย 1.ประธานข้าราชบริพารในพระองค์ 2.เลขาธิการพระราชวัง 3.ราชเลขานุการในพระองค์ 4.ผู้รักษาและจัดการผลประโยชน์ทรัพย์สินส่วนพระองค์ 5.ประธานคณะกรรมการทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ 6.ผู้อำนวยการทรัยพ์สินส่วนพระมหากษัตริย์ นายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ ซึ่งลี้ภัยอยู่ในฝรั่งเศสหลังถูกออกหมายจับตามความผิดมาตรา 112 ของประมวลกฎหมายอาญา ได้ตั้งข้อสังเกตต่อการได้ดำรงตำแหน่งสำคัญ ๆ ดังกล่าวของ พล.อ.อ. สถิตย์พงษ์ ผ่านเฟซบุ๊ก Somsak Jeamteerasakul เมื่อวันที่ 12 มี.ค. 2561 ว่า "เป็นอะไรที่รัชกาลที่แล้ว ไม่เคยทำมาก่อน" นอกเหนือจากตำแหน่งสำคัญ ๆ ดังกล่าวแล้ว ในฐานะผู้รักษาและจัดการผลประโยชน์ทรัพย์สินส่วนพระองค์ พล.อ.อ. สถิตย์พงษ์ ยังได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งในองค์กรธุรกิจและองค์กรเพื่อสังคมอีกรวมกว่า 10 แห่ง โดยเริ่มดำรงตำแหน่งนับตั้งแต่ปี 2561 จนถึงปัจจุบัน ประกอบด้วย 1.ประธานกรรมการและกรรมการบรรษัทภิบาลและสรรหา บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) รัชกาลที่ 10 ทรงถือหุ้น 33.64% 2.กรรมการ และกรรมการกิจกรรมเพื่อสังคมของธนาคารไทยพาณิชย์ รัชกาลที่ 10 ทรงถือหุ้น 23.38% 3.ประธานกรรมการ บริษัท เทเวศประกันภัย จำกัด (มหาชน) รัชกาลที่ 10 ทรงถือหุ้น 96.68% 4.ประธานกรรมการ บริษัท ทุนลดาวัลย์ จำกัด ธุรกิจด้านการลงทุนในเครือของสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ 5.ประธานกรรมการ บริษัท บ้านบึงเวชกิจ จำกัด ดำเนินธุรกิจสถานพยาบาล 6.ประธานกรรมการ บริษัท ศรีพัฒน์ จำกัด ดำเนินกิจการให้เช่าและดำเนินการเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ บมจ. ปูนซิเมนต์ไทย เป็นกลุ่มบริษัทที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทย 7.ประธานกรรมการ บริษัท ศรีธรณี จำกัด ดำเนินกิจการเกี่ยวกับการเช่าและการดำเนินการเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์เพื่อเป็นที่พักอาศัย 8.ประธานกรรมการ บริษัทสยามสินธร จำกัด ดำเนินกิจการเกี่ยวกับการเช่าและการดำเนินการเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์เพื่อเป็นที่พักอาศัย 9.ประธานกรรมการ บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด ดำเนินการวิจัยและพัฒนาเชิงทดลองด้านวิศวกรรมและเทคโนโลยีอื่น ๆ 10.ประธานกรรมการ บริษัท เอเพ็กซ์เซล่า จำกัด จัดจำหน่ายและส่งสินค้าทางเภสัชภัณฑ์และทางการแพทย์ให้กับ บริษัท สยามไบโอไซแอนซ์ จำกัด 11.ประธานกรรมการ บริษัท ดอยคำผลิตภัณฑ์อาหาร จำกัด 12.รองประธานกรรมการ มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพ ในสมเด็จพระนางเจ้า พระบรมราชินีนาถ
|
พล.อ.อ. สถิตย์พงษ์ สุขวิมล มีอายุครบ 6 รอบ หรือ 72 ปี ในวันที่ 2 ม.ค. 2564 เขาเป็นหนึ่งในข้าราชบริพารอาวุโสที่รับใช้เบื้องพระยุคลบาทในหลวงรัชกาลที่ 10 มาตั้งแต่ครั้งดำรงพระอิสริยยศ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร จนทรงไว้วางพระราชหฤทัยให้ดำรงตำแหน่งสำคัญ ๆ เช่น เลขาธิการพระราชวัง ประธานคณะกรรมการทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ และยังเป็นผู้แทนพระองค์ในโอกาสต่าง ๆ
|
international-45501905
|
https://www.bbc.com/thai/international-45501905
|
เชื้อเห็ดรา มีคุณค่ามากกว่าเป็นอาหาร และยารักษาโรค
|
เชื้อเห็ดรามีขนาดและรูปร่างที่หลากหลาย พวกมันเป็นได้ทั้งอาหารและยา ทว่าบางครั้งก็สร้างหายนะใหญ่หลวงด้วยการก่อให้เกิดโรคในพืชและสัตว์ จากการประเมินสภาวะเชื้อเห็ดราในโลกครั้งใหญ่เป็นครั้งแรก พบว่า อาณาจักรเห็ดรามีความสำคัญต่อชีวิตบนโลกใบนี้ แต่มากกว่า 90% ของเชื้อเห็ดรา 3.8 ล้านชนิดในโลก ยังไม่เป็นที่รู้จักทางวิทยาศาสตร์ ศ. แคที วิลลิส ผู้อำนวยการด้านวิทยาศาสตร์ที่สวนพฤกษศาสตร์หลวงคิว (Kew Gardens) ซึ่งเป็นผู้นำในการทำรายงานนี้ กล่าวว่า "มันเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่าสนใจมาก แต่เรารู้จักมันน้อยมาก" "พวกมันเป็นสิ่งมีชีวิตที่แปลก และมีวัฏจักรชีวิตที่ประหลาดมาก กระนั้น เมื่อคุณเข้าใจบทบาทในระบบนิเวศของมัน คุณจะตระหนักว่า พวกมันช่วยค้ำจุนสิ่งมีชีวิตอื่นบนโลกนี้" จีนเป็นแหล่งที่อุดมไปด้วยเชื้อเห็ดรา ผู้คนจำนวนมากคุ้นเคยกับเห็ดที่กินได้ หรือเชื้อราที่อยู่เบื้องหลังการค้นพบเพนิซิลลิน แต่เชื้อเห็ดรามีบทบาทที่สำคัญอย่างกว้างขวาง ตั้งแต่ช่วยให้พืชดูดน้ำและสารอาหารจากดิน ไปจนถึงด้านการแพทย์ที่ช่วยลดคอเลสเตอรอลในเลือดได้ และช่วยในการปลูกถ่ายอวัยวะ เชื้อเห็ดรายังช่วยเพิ่มความหวังในการย่อยพลาสติกและสร้างเชื้อเพลิงชีวภาพชนิดใหม่ ๆ ด้วย แต่พวกมันก็มีข้อเสียเช่นกัน ได้แก่ การทำลายต้นไม้, พืชผล และพืชต่าง ๆ ทั่วโลก และยังกำจัดสัตว์จำนวนมากอย่างสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำให้หมดไปด้วย เป็นทั้ง "คนดี" และ "ตัวร้าย" ดร. เอสเตอร์ กายา ผู้นำโครงการวิจัยที่สวนพฤกษศาสตร์หลวงคิว ซึ่งสำรวจความหลากหลายและวิวัฒนาการ ของเชื้อเห็ดราในโลกนี้ กล่าวว่า เชื้อเห็ดรามีทั้งที่เป็น "คนดี" และ "ตัวร้าย" "เชื้อเห็ดราชนิดเดียวกัน อาจถูกมองได้ว่าเป็นทั้งอันตราย แต่ก็มีศักยภาพและช่วยให้แก้ปัญหาหลายอย่างได้เช่นกัน" รายงานนี้ยังได้ระบุถึงช่องว่างหลายอย่างเกี่ยวกับความรู้ของคนเราต่อกลุ่มสิ่งมีชีวิต ซึ่งอาจจะมีคำตอบเกี่ยวกับความมั่นคงทางอาหารอยู่ในนั้นก็ได้ อาณาจักรเห็ดรามีเชื้อโรคที่สร้างความเสียหายต่อพืชผลทางการเกษตรหลายชนิด แต่เชื้อเห็ดราก็ช่วยสร้างสารอาหารและมีบทบาทสำคัญในการกำหนดระดับคาร์บอนไดออกไซด์ "เรามองข้ามเชื้อเห็ดราซึ่งอาจจะทำให้เกิดความเสียหายขึ้นได้" ศ. วิลลิส กล่าว "นี่คืออาณาจักรที่เราต้องเริ่มศึกษาอย่างจริงจัง โดยเฉพาะเมื่อมีปัญหาภูมิอากาศโลก และปัญหาอื่น ๆ ที่เรากำลังเผชิญอยู่ตอนนี้" มีเห็ดที่กินได้หลายร้อยชนิด 10 ข้อน่ารู้เกี่ยวกับเชื้อเห็ดรา เชื้อเพนิซิลลินเพียงอย่างเดียวก็นำไปใช้ประโยชน์ได้หลายอย่าง ทั้งใช้ทำยาปฏิชีวนะ, ยาเม็ดคุมกำเนิด และการทำชีส รายงานสภาวะเชื้อเห็ดราโลก มีนักวิทยาศาสตร์มากกว่า 100 คนจาก 18 ประเทศเข้าร่วมศึกษา และค้นพบว่า: เชื้อเห็ดรา อย่าง รัสต์เพสต์ (rust pest) อาจสร้างความเสียหายในวงกว้างได้ ในการนับจำนวนครั้งล่าสุด มีเชื้อเห็ดราในสหราชอาณาจักรอย่างน้อย 15,000 ชนิด ในจำนวนนี้มีส่วนหนึ่งที่เข้าใกล้การสูญพันธุ์ นักวิทยาศาสตร์ภาคพลเมือง กำลังช่วยกันระบุเชื้อเห็ดราทั่วประเทศ เพิ่มเติมเข้าไปในฐานข้อมูลที่มีการบันทึกใหม่มากกว่า 1,000 ชนิด ดร. ไบรอัน ดักลาส จากโครงการลอสต์แอนด์ฟาวด์ฟังไจ (Lost and Found Fungi Project) ระบุว่า เชื้อเห็ดรา มีความสวยงามเช่นเดียวกับกล้วยไม้ และมีความสำคัญที่ต้องได้รับการปกป้องเช่นเดียวกัน "ผมคิดว่า เราจำเป็นต้องให้ความรู้ เชิญชวนผู้คนให้มาชื่นชอบเชื้อเห็ดรา" ดร. โอลิเวอร์ เอลลิงแฮม กล่าวเพิ่มเติมว่า "เชื้อเห็ดราเป็นอาณาจักรที่มีความเท่าเทียมกับอาณาจักรพืชและสัตว์ และอาจจะมีความหลกหลายมากกว่าด้วย"
|
พวกมันอยู่ทั่วไปทั้งในดิน ในตัวเราและในอากาศ แต่มักมีขนาดเล็กจนมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า
|
international-45692596
|
https://www.bbc.com/thai/international-45692596
|
ตามล่าแม่เสือที่ทำคนตาย 13 คนในอินเดีย
|
ผู้แกะรอยปูพรมหาตลอดแนวพัดฮาร์กอว์ดา ช้าง 2 ตัวก็ร่วมภารกิจนี้ด้วย นอกจากนี้ยังมีคนเตรียมปืนไว้รอยิง แต่ก็ไม่ปรากฏร่องรอยของเสือ แม่เสือตัวนี้ ร่อนเร่ไปทั่ว พร้อมกับลูกเสืออายุ 10 เดือน 2 ตัว ชาวบ้านกำลังทนไม่ไหว และอยากจะฆ่ามันทิ้งในทันที แม้ว่าการฆ่าเสืออาจได้รับโทษจำคุกถึง 7 ปีในอินเดีย แต่เจ้าหน้าที่อาจออกคำสั่งให้ฆ่าเสือที่ทำคนตายได้ เจ้าหน้าที่ทางการ บอกว่า จับเสือให้ได้ขณะมีชีวิตอยู่เป็นทางเลือกแรก
|
เสือตัวเมียตัวหนึ่งต้องสงสัยว่า ทำคนตายแล้ว 13 คน มีการระดมกำลังตามล่าเสือตัวนี้ ในตอนกลางของอินเดีย
|
thailand-55126328
|
https://www.bbc.com/thai/thailand-55126328
|
ศาลรัฐธรรมนูญ: สำรวจข้อกฎหมาย-ข้อวิเคราะห์ ก่อนศาลรัฐธรรมนูญชี้ชะตา พล.อ. ประยุทธ์ คดีพักบ้านหลวง
|
พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา เคย "หลุด" คดีเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐมาแล้วเมื่อปีก่อน แกนนำพรรคร่วมรัฐบาลไม่รู้สึกกังวลใจต่อคำตัดสินที่จะออกมา ขณะที่แกนนำฝ่ายประท้วงต่อต้านรัฐบาลและเรียกร้องให้มีการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ที่เรียกตัวเองว่ากลุ่ม "ราษฎร" ประกาศระดมมวลชนไปที่ศาลเพื่อ "เป็นประจักษ์พยานว่าความยุติธรรมจะยังมีให้เราอยู่หรือไม่" ท่ามกลางการจับตาดูว่าคดีนี้จะเป็นจุดพลิกผันทางการเมืองแบบที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วเมื่อ 12 ปีก่อนหรือไม่ ย้อนกลับไป 2 ธ.ค. 2551 ศาลรัฐธรรมนูญสอยนายกฯ คนที่ 26 นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ร่วงจากอำนาจ ด้วยคำวินิจฉัยให้ยุบพรรคพลังประชาชน พร้อมเพิกถอนสิทธิการเมืองคณะกรรมการบริหารพรรค (กก.บห.) จากกรณี กก.บห. ทุจริตเลือกตั้ง ซึ่งนำไปสู่การพลิกขั้วการเมืองหลังจากนั้น บีบีซีไทยประมวลข้อเท็จจริง ข้อกฎหมาย และข้อวิเคราะห์ของฝ่ายต่าง ๆ ต่อ "คดีพักบ้านหลวง" ก่อนนาทีชี้ชะตาผู้นำคนที่ 29 ของไทยจะมาถึง เส้นทางคดี การขุดคุ้ยเรื่องปัจจัย 4 ว่าด้วยที่อยู่อาศัยของ พล.อ. ประยุทธ์ ภายในกรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ ถ.วิภาวดีรังสิต เกิดขึ้นอย่างจริงจังในระหว่างฝ่ายค้านเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯ และรัฐมนตรีรวม 6 คน เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา แม้ผู้ถูกซักฟอกจะกำชัยชนะกลางสภาด้วยมติ "ไว้วางใจ" อย่างท้วมท้น แต่ฝ่ายค้านก็ยังไม่ลด-ละ-เลิก-เร่งเดินเกมการเมืองนอกสภาต่อทันควัน - 25-27 ก.พ. ในระหว่างเปิดศึกซักฟอกรัฐบาล นายประเสริฐ จันทรรวงทอง ส.ส. นครราชสีมา พรรคเพื่อไทย ได้เปิดประเด็นกล่าวหา พล.อ. ประยุทธ์ ว่าจงใจไม่ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 184 ว่าด้วยการขัดกันของผลประโยชน์ เนื่องจากยัง "พักในบ้านพักทหารโดยไม่จ่ายค่าเช่า ค่าน้ำ ค่าไฟ ทั้งที่เกษียณอายุราชการจากตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ไปตั้งแต่ 1 ต.ค. 2557" ถือเป็นการรับประโยชน์จากหน่วยงานของรัฐ และไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอันเป็นอุดมการณ์ในลักษณะที่ร้ายแรง อีกทั้งพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ก็ห้ามไม่ให้เจ้าหน้าที่ของรัฐรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดเกิน 3,000 บาท โดยมีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชาติ ร่วมอภิปรายสนับสนุนว่านายกฯ ไม่สามารถอยู่บ้านหลวงต่อโดยอ้างเหตุความปลอดภัยได้ บรรยากาศห้องประชุมสภาช่วงการอภิปรายไม่ไว้วางใจไม่ไว้วางใจนายกฯ และรัฐมนตรีรวม 6 คน เมื่อปลายเดือน ก.พ. 2563 - 9 มี.ค. นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย และผู้นำฝ่ายค้านในสภา พร้อม ส.ส.ฝ่ายค้านรวม 56 คน ได้เข้าชื่อกันยื่นคำร้องผ่านประธานสภา เพื่อขอให้ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 ว่า ความเป็นรัฐมนตรีของ พล.อ. ประยุทธ์ สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (5) และมาตรา 170 วรรคหนึ่ง (5) ประกอบมาตรา 186 วรรคหนึ่ง และมาตรา 184 วรรคหนึ่ง (3) หรือไม่ จากกรณีพักอาศัยในบ้านหลวง - 10 มี.ค. นายชวน หลีกภัย ประธานสภา เปิดเผยว่าได้ส่งเรื่องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยแล้ว - 11 มิ.ย. ศาลรัฐธรรมนูญทำหนังสือแจ้งคู่ความว่ามีคำสั่งรับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย และให้ผู้ถูกร้องยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาต่อศาล พล.อ. อภิรัตช์ คงสมพงษ์ ขณะยังดำรงตำแหน่งเป็น ผบ.ทบ. เคยทำหนังสือชี้แจงแก้ข้อกล่าวให้ พล.อ. ประยุทธ์ ไปยังศาลรัฐธรรมนูญ - ต่อมา กองทัพบก (ทบ.) ได้ส่งเอกสารคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวให้ พล.อ. ประยุทธ์ ไปยังศาลรัฐธรรมนูญอย่างน้อย 2 ครั้งตามการรายงานของเว็บไซด์ไทยพีบีเอส, ไทยโพสต์ และผู้จัดการ เอกสารดังกล่าวลงนามโดย "ผบ.ทบ. 2 ยุค" ทั้ง พล.อ. อภิรัชต์ คงสมพงษ์ และสำทับอีกครั้งโดย พล.อ. ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ - 4 พ.ย. ศาลรัฐธรรมนูญเผยแพร่เอกสารข่าวระบุว่า ศาลได้ประชุมปรึกษากันแล้วเห็นว่า "คดีมีข้อเท็จจริงเพียงพอที่จะพิจารณาวินิจฉัยได้ จึงยุติการไต่สวน" และกำหนดนัดแถลงด้วยวาจา ปรึกษาหารือ และลงมติ และอ่านคำวินิจฉัยให้คู่กรณีฟังในวันที่ 2 ธ.ค. เวลา 15.00 น. ข้อกล่าวหาของฝ่ายค้าน การอยู่บ้านหลวงของนายกฯ วัย 66 ปี ถูกฝ่ายค้านตีความว่าเป็นการ "รับประโยชน์อื่นใด" และชี้ชวนให้สังคมเห็นว่านี่คือเจตนาฝ่าฝืนกฎหมายและกฎระเบียบอย่างน้อย 3 ฉบับ หนึ่ง จงใจฝ่าฝืนบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญปี 2560 มาตรา 184 และมาตรา 186 ของรัฐธรรมนูญ ห้าม ส.ส. ส.ว. หรือ รมต. รับเงิน หรือ "ประโยชน์ใด ๆ" จากหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจเป็นพิเศษ นอกจากที่หน่วยงานเหล่านั้นปฏิบัติต่อบุคคลอื่น ๆ ในธุรกิจการงานปกติ มาตรา 184 และมาตรา 186 ของรัฐธรรมนูญ ห้าม ส.ส. ส.ว. หรือ รมต. รับเงิน หรือ "ประโยชน์ใด ๆ" จากหน่วยราชการ สอง ผิดกฎหมาย ป.ป.ช. ปี 2561 มาตรา 128 ของ พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ห้ามมิให้เจ้าหน้าที่รัฐและผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองรับทรัพย์สิน หรือ "ประโยชน์อื่นใด" ที่มีมูลค่าเกิน 3,000 บาท สาม ขัดมาตรฐานจริยธรรมผู้ดำรงตำแหน่งการเมืองปี 2561 ข้อ 9 ของมาตรฐานทางจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ รวมทั้งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน และหัวหน้าหน่วยงานธุรการของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ (ซึ่งใช้กับผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองด้วย) ระบุว่าผู้ดำรงตำแหน่งเหล่านี้ ต้องไม่ขอ ไม่เรียก ไม่รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สิน หรือ "ประโยชน์อื่นใด" ในประการที่อาจทำให้กระทบกระเทือนต่อการปฏิบัติหน้าที่ นายชูศักดิ์ ศิรินิล ประธานคณะทำงานด้านกฎหมาย พรรคเพื่อไทย มองแง่มุมกฎหมายแล้วฟันธงว่า "พล.อ. ประยุทธ์ หาทางออกยาก" ข้อต่อสู้-คำแก้ต่างของฝ่าย พล.อ. ประยุทธ์ ข้อกฎหมายที่ ทบ. งัดขึ้นมาช่วยชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาให้ พล.อ. ประยุทธ์ คือระเบียบภายในของ ทบ. อย่างน้อย 2 ฉบับ ฉบับแรก ระเบียบกองทัพบกว่าด้วยการเข้าพักอาศัยในบ้านพักรับรอง ปี 2548 ลงนามโดย พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ ผบ.ทบ. ขณะนั้น ฉบับที่สอง ระเบียบกองทัพบกว่าด้วยการเข้าพักอาศัยในอาคารบ้านพักของข้าราชการและลูกจ้างประจำในกองทัพบก ปี 2553 ลงนามโดย พล.อ. อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. ขณะนั้น กรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ได้รับการคุ้มกันด้วยกำแพงตู้คอนเทนเนอร์และรั้วลวดหนามหลังจากกลุ่ม "ราษฎร" ประกาศนัดชุมนุมที่นี่ในวันที่ 29 พ.ย. ก่อนจะย้ายที่ไปกรมทหารราบที่ 11 ผู้จัดการรายงานโดยอ้างถึงหนังสือที่ พล.อ. อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ส่งถึงศาลรัฐธรรมนูญเมื่อ 28 ก.ย. 2563 สาระสำคัญตอนหนึ่งระบุว่า ทบ. ตระหนักถึงความสำคัญในการดูแลอดีตผู้บังคับบัญชาที่ดำรงตำแหน่งสำคัญ เช่น องคมนตรี ครม. ส.ส. ส.ว. จึงจัดให้มีบ้านพักรับรองในพื้นที่ของ ทบ. เพื่อดูแลรักษาความปลอดภัยและอำนวยความสะดวกในการปฏิบัติหน้าที่ทั้งในยามปกติ และในสถานการณ์ฉุกเฉินต่าง ๆ ที่ต้องการความรวดเร็วในการแก้ไขปัญหา และเพื่อให้สามารถดำรงสถานะทางสังคมได้อย่างสมเกียรติและมีศักดิ์ศรี สำหรับผู้มีสิทธิเข้าพักอาศัย ต้องเป็นผู้บังคับบัญชาชั้นสูงของ ทบ. หรืออดีตผู้บังคับบัญชาชั้นสูงของ ทบ. ซึ่งยังคงทำคุณประโยชน์ให้กับประเทศชาติและ ทบ. และเคยดำรงตำแหน่ง ผบ.ทบ. มาแล้ว "พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เป็นบุคคลสำคัญระดับประเทศ และเป็นอดีตผู้บังคับบัญชาชั้นสูงของ ทบ. ซึ่งทำคุณประโยชน์ให้กับประเทศชาติและ ทบ. หากพักอยู่นอกเขตทหาร จะทำให้เกิดความยากลำบากในการรักษาความปลอดภัย จึงอนุมัติให้เข้าพักอาศัยในบ้านพักรับรองของ ทบ. รวมถึงให้การรักษาความปลอดภัย และการสนับสนุนอื่น ๆ ในฐานะบุคคลสำคัญของประเทศ" ผู้จัดการรายงานโดยอ้างถึงหนังสือชี้แจงของ พล.อ. อภิรัชต์ สอดรับกับข้อมูลจากประชาชาติธุรกิจที่อ้างความเห็นของ "กุนซือตึกไทยคู่ฟ้า" ที่ว่า พล.อ. ประยุทธ์ อยู่บนข้อยกเว้นตามระเบียบของ ทบ. "เป็นข้อยกเว้นตามกฎหมายให้อดีต ผบ.ทบ. อยู่บ้านพักในกองทัพได้ ถึงแม้ว่าจะเกษียณอายุราชการไปแล้ว" และที่ผ่านมา "พล.อ. ประยุทธ์ จ่ายค่าน้ำ-ค่าไฟเอง" นักการเมืองระดับกรรมการบริหาร (กก.บห.) พรรคร่วมรัฐบาล ทั้งพรรคพลังประชารัฐ และพรรคประชาธิปัตย์ วิเคราะห์กับบีบีซีไทยตรงกันว่า "ไม่มีอะไรตื่นเต้น" และ "ไม่รู้สึกกังวลใจ" เกี่ยวกับคำตัดสินคดีนี้ เพราะ "นายกฯ เข้าข้อยกเว้น" พล.อ. ประยุทธ์ และครอบครัวเข้าพักอาศัยในบ้านหลังนี้ตั้งแต่ดำรงตำแหน่ง ผบ.ทบ. เมื่อปี 2553 จนถึงปัจจุบัน สิ่งที่ฝ่าย พล.อ. ประยุทธ์ ต้องพิสูจน์ต่อศาลคือมีการเปลี่ยนแปลงใช้ประโยชน์บ้านหลังดังกล่าวจาก "บ้านพักสวัสดิการ" (ตามระเบียบปี 2553) เป็น "บ้านพักรับรอง" (ตามระเบียบปี 2548) เมื่อไรและอย่างไร เพื่อให้สอดรับกับเอกสารชี้แจงที่ พล.อ. อภิรัชต์ส่งถึงศาลรัฐธรรมนูญ เพราะถ้าบ้านหลังดังกล่าวยังอยู่ในฐานะ "บ้านพักสวัสดิการ" สิทธิพักอาศัยของ พล.อ. ประยุทธ์ และบริวารก็จะหมดลงตั้งแต่เกษียณอายุราชการ ผู้ชุมนุมกลุ่ม "ราษฎร" เขียนข้อความต่อต้าน พล.อ. ประยุทธ์ ระหว่างการชุมนุมที่แยกราชประสงค์และสำนักงานตำรวจแห่งชาติเมื่อวันที่ 18 พ.ย. บ้านของนายกฯ ประยุทธ์ ด้าน พล.อ. ประยุทธ์ เคยตอบคำถามของสื่อมวลชนเกี่ยวกับบ้านพักหลวงเพียง 3 ครั้ง "ผมไม่ตอบคำถามนี้ ผมทำงานรับใช้ชาติมาตลอดชีวิต ถึงกฎระเบียบจะว่าอย่างไรก็ตาม วันนี้ผมยังทำงานอยู่" พล.อ. ประยุทธ์ หลีกเลี่ยงจะพูดถึงเรื่องนี้เมื่อ 18 ก.พ. หลังถูกโยนคำถามใส่ว่าจะออกจากบ้านพักหลวงในค่ายทหารหรือไม่เพราะเกษียณแล้ว เขากล่าวเพียงว่า "ปัญหาของผมคือผมเป็นนายกฯ มันมีปัญหาเรื่อง รปภ. (การรักษาความปลอดภัย) จึงจำเป็นต้องมีสถานที่ที่เหมาะสมในเรื่องการ รปภ. ในฐานะเป็นผู้นำประเทศ และอื่น ๆ อีกหลายอย่าง ซึ่งผมก็เตรียมการไปอยู่บ้านผมอยู่แล้ว" ต่อมาวันที่ 16 พ.ย. เป็นอีกครั้งที่ พล.อ. ประยุทธ์บ่ายเบี่ยงจะพูดถึงคดีพักบ้านหลวง โดยระบุว่าเป็นเรื่องของศาลรัฐธรรมนูญ ไม่ต้องมาถาม เพราะไม่ได้เป็นผู้ตัดสิน "ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินอย่างไร ก็ว่าไปตามนั้น ยืนยันทุกอย่าง ผมปฏิบัติตามกฎหมาย กฎหมายว่าอย่างไรก็ว่าอย่างนั้น ไม่เคยฝ่าฝืนกฎหมาย ผิดก็คือผิด ถูกก็ถูก ก็แค่นั้นเอง ต้องยอมรับกลไกทางกฎหมาย" พล.อ. ประยุทธ์กล่าว ล่าสุดวันที่ 30 พ.ย. พล.อ. ประยุทธ์ ได้ขออย่าคาดการณ์ล่วงหน้าเกี่ยวกับ "คดีพักบ้านหลวง" ส่วนตัวเขาไม่ได้คิดอะไรมากนัก ไม่ว่าผลออกมาเป็นอย่างไรก็รับได้ เขายังพูดถึงบ้าน 2 หลัง หลังแรกคือบ้านพิษณุโลก ซึ่งเป็นบ้านประจำตำแหน่งของนายกฯ พล.อ. ประยุทธ์ บอกว่าตอนนี้การซ่อมแซมยังไม่เรียบร้อย เนื่องจากมีการชำรุดไปตามเวลา และมองว่าบ้านพักหลังดังกล่าวใหญ่โตเกินไป ส่วนบ้านอีกหลังคือ บ้านพักส่วนตัวซึ่งนายกฯ ยอมรับว่าเตรียมไว้แล้ว "หากเขาไม่ให้อยู่ก็ไป ผมก็มีบ้าน แต่พื้นที่จำกัด แม้จะคิดว่าจะไม่มีใครมาทำร้ายผม แต่ผู้นำของประเทศก็ต้องมีการคุ้มครอง จะให้ผมโดดเดี่ยวอยู่คนเดียวคงไม่ได้ ซึ่งในทุกประเทศก็มีการคุ้มครองผู้นำอยู่แล้ว" พล.อ. ประยุทธ์กล่าว ผลทางกฎหมาย หากศาลรัฐธรรมนูญตัดสินในทางเป็นคุณ: พล.อ. ประยุทธ์และองคาพยพ ก็จะอยู่ในอำนาจต่อไป ทว่าหากผลออกมาในทางลบ พล.อ. ประยุทธ์ต้องเผชิญวิบากกรรมทางกฎหมายอย่างหลากหลายตามแต่คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ดังนี้ หากศาลชี้ว่าฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ: พล.อ. ประยุทธ์ต้องพ้นตำแหน่งนายกฯ ทันที (ตามมาตรา 160, 170 ของรัฐธรรมนูญ) ส่งผลให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) ต้องหลุดจากเก้าอี้ยกคณะ (ตามมาตรา 167 ของรัฐธรรมนูญ) ทว่าพวกเขายังต้องอยู่ทำหน้าที่ "รัฐบาลรักษาการ" ต่อไปในระหว่างรอรัฐบาลชุดใหม่ ครม. ประยุทธ์ ถ่ายรูปหมู่ที่หน้าทำเนียบรัฐบาลเมื่อวันที่ 13 ส.ค. 2563 จากนั้นรัฐสภาต้องร่วมกันลงมติเลือกนายกฯ คนที่ 30 จากบัญชีผู้ท้าชิงเก้าอี้นายกฯ ของพรรคการเมืองต่าง ๆ ที่เหลืออยู่ นั่นหมายความว่า ส.ว. ยังมีส่วนโหวตเลือกนายกฯ ดังเดิมตามบทเฉพาะกาล เพราะรัฐธรรมนูญปี 2560 ยังไม่ถูกแก้ไข ทว่าอาจไม่สามารถโหวตเลือก พล.อ. ประยุทธ์ให้หวนคืนอำนาจได้อีก หากศาลรัฐธรรมนูญชี้ว่ากระทำการฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ซึ่งจะส่งผลให้เขาต้อง "เว้นวรรคการเมือง" 2 ปี (ตามมาตรา 186 (8) ของรัฐธรรมนูญ) สำหรับแคนดิเดตนายกฯ ที่ยังเหลืออยู่มี 5 คน ประกอบด้วย แคนดิเดตจากพรรคเพื่อไทย 3 คนคือ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์, นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ และนายชัยเกษม นิติสิริ แคนดิเดตจากพรรคประชาธิปัตย์ 1 เดียวคือ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตหัวหน้าพรรค และแคนดิเดตจากพรรคภูมิใจไทยคือ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข หัวหน้าพรรค หากศาลชี้ว่าฝ่าฝืน พ.ร.บ.ป.ป.ช.: พล.อ. ประยุทธ์ อาจต้องได้รับโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (ตามมาตรา 169 ของ พ.ร.บ.ป.ป.ช.) ซึ่งขณะนี้มีคดีคา ป.ป.ช. อยู่แล้ว หลังจากเมื่อเดือน ก.พ. นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญ เข้ายื่นเรื่องให้ตรวจสอบ พล.อ. ประยุทธ์ พร้อมบรรดานายพลและนายพันนับร้อยคนที่พักอาศัยในบ้านหลวง ว่าเข้าข่ายรับทรัพย์สินเกิน 3,000 บาทหรือไม่ หากศาลชี้ว่าฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมฯ: ฝ่ายค้านอาจเดินเกมต่อเพื่อนำเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หากศาลฎีกาฯ ชี้ว่าผิดจริง พล.อ. ประยุทธ์ ก็จะถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 10 ปี และห้ามลงสมัคร ส.ส. ตลอดชีวิต (ตามมาตรา 235 ของรัฐธรรมนูญ) แรงสะเทือนทางการเมือง การขับไล่ พล.อ. ประยุทธ์ ถือเป็น 1 ใน 3 ข้อเรียกร้องหลักของกลุ่ม "ราษฎร" ทำให้พวกเขาเกาะติดคดีพักบ้านหลวงอย่างใกล้ชิด นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิน แกนนำกลุ่มราษฎร ประกาศเมื่อ 29 พ.ย. นัดหมายแนวร่วมมากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ไปศาลรัฐธรรมนูญ ถ.แจ้งวัฒนะ ในวันที่ 2 ธ.ค เพื่อ "เป็นประจักษ์พยานว่าความยุติธรรมจะยังมีให้เราอยู่หรือไม่" "ขอให้พ่อแม่พี่น้องใช้เวลา 2-3 วันที่เหลือออมแรงไว้ให้มาก เราใช้กำลังใจ แรงกายอย่างมาก วันที่ 2 ธ.ค. ที่จะถึงนี้ขอให้ไปอย่างพร้อมเพรียง ผมก็จะไปด้วย" นายพริษฐ์กล่าว พริษฐ์ ชิวารักษ์ ประกาศบนรถปราศรัยระหว่างการชุมนุมที่กรมทหารราบที่ 11 วานนี้ (29 พ.ย.) เชิญชวนประชาชนไปชุมนุมที่ศาลรัฐธรรมนูญในวันที่ 2 ธ.ค. จึงไม่แปลกถ้าจะมีคำขู่จาก พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ว่า "จะมีทัวร์มาลงศาลและครอบครัวแน่นอน" หาก พล.อ. ประยุทธ์หลุดคดี และยังดักคอด้วยว่าคำตัดสินนี้จะกลายเป็นภาระของศาลรัฐธรรมนูญ เพราะมีผลผูกพันทุกองค์กรและจะกลายเป็นบรรทัดฐานคดีอื่นต่อไป ทว่าหาก พล.อ. ประยุทธ์ ร่วงหล่นจากอำนาจ คาดว่าขั้วตรงข้ามรัฐบาลจะขุด-ขยี้-ขยายผลไปยังนายพลนอกราชการรายอื่น ๆ ที่ยังพักอาศัยอยู่ในบ้านพักหลวง เฉพาะที่กรมทหารราบที่ 1 ปรากฏว่า "พี่น้อง 3 ป." ไปตั้งรกรากกันครบถ้วน นอกจาก พล.อ. ประยุทธ์ ยังมีบ้านพักของ พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ผู้เกษียณราชการมาแล้ว 15 ปี และ พล.อ. อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ผู้เกษียณราชการมาแล้ว 11 ปี "พี่น้อง 3 ป." ล้วนพำนักอยู่ภายในกรมทหารราบที่ 1 ประมุขฝ่ายบริหารกับศาลรัฐธรรมนูญ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ "ประมุขฝ่ายบริหาร" ต้องตกที่นั่ง "ผู้ถูกกล่าวหา" ในศาลรัฐธรรมนูญ จากปัญหาเรื่องคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามในการดำรงตำแหน่งนายกฯ ตามรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 และ 2560 ทว่ามีเพียง พล.อ. ประยุทธ์ ผู้เดียวที่รอดจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ผู้ชี้ชะตา ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่รับหน้าที่ "ชี้ชะตา" นายกฯ และการเมืองไทยมี 9 คน ดังนี้ 1. นายวรวิทย์ กังศศิเทียม ประธานศาลรัฐธรรมนูญ (เลือกจากที่ประชุมใหญ่ตุลาการศาลปกครองสูงสุด) ดำรงตำแหน่งตุลาการเมื่อ 9 ก.ย. 2557 2. นายทวีเกียรติ มีนะกนิษฐ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ (ผู้ทรงคุณวุฒิสาขานิติศาสตร์) ดำรงตำแหน่งเมื่อ 21 ต.ค. 2556 3. นายนครินทร์ เมฆไตรรัตน์ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ (ผู้ทรงคุณวุฒิสาขารัฐศาสตร์ โดยการสรรหาของ สนช.) ดำรงตำแหน่งเมื่อ 16 พ.ย. 2558 4. นายปัญญา อุดชาชน ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ (ผู้ทรงคุณวุฒิสาขารัฐศาสตร์ โดยการสรรหาของ สนช.) ดำรงตำแหน่งเมื่อ 26 พ.ย. 2558 5. นายอุดม สิทธิวิรัชธรรม ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ (เลือกจากที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา) ดำรงตำแหน่งเมื่อ 1 เม.ย. 2563 6. นายวิรุฬห์ แสงเทียน ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ (เลือกจากที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา) ดำรงตำแหน่งเมื่อ 1 เม.ย. 2563 7. นายจิรนิติ หะวานนท์ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ (เลือกจากที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา) ดำรงตำแหน่งเมื่อ 1 เม.ย. 2563 8. นายนภดล เทพพิทักษ์ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ (ผู้ทรงคุณวุฒิสายข้าราชการ) ดำรงตำแหน่งเมื่อ 1 เม.ย. 2563 9. นายบรรจงศักดิ์ วงศ์ปราชญ์ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ (เลือกจากที่ประชุมใหญ่ตุลาการศาลปกครองสูงสุด) ดำรงตำแหน่งเมื่อวันที่ 20 ส.ค. 2563
|
ศาลรัฐธรรมนูญนัดแถลงด้วยวาจา ปรึกษาหารือ และลงมติ ก่อนอ่านคำวินิจฉัยให้คู่ความฟังในเวลา 15.00 น. ของวันที่ 2 ธ.ค. ว่าความเป็นรัฐมนตรีของ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม สิ้นสุดลงหรือไม่ จากกรณียังพักอาศัยในบ้านพักของข้าราชการทหารทั้งที่เกษียณอายุมาแล้ว 6 ปี หรือที่รู้จักในชื่อ "คดีพักบ้านหลวง"
|
international-39828302
|
https://www.bbc.com/thai/international-39828302
|
โลกร้อนทำเชื้อร้ายในดินเยือกแข็งขั้วโลกฟื้นคืนชีพ
|
เมื่อเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว เด็กชายวัย 12 ปีผู้หนึ่งซึ่งอยู่ที่คาบสมุทรยามาล ภายในเขตวงกลมอาร์กติกที่หนาวยะเยือกและห่างไกลของไซบีเรีย ต้องตายลงเพราะติดเชื้อแอนแทร็กซ์ ทั้งมีคนในละแวกนั้นอย่างน้อย 20 คนถูกนำส่งโรงพยาบาลเพราะโรคเดียวกันอีกด้วย คาดกันว่าคลื่นความร้อนที่เข้าโจมตีเขตอาร์กติกในฤดูร้อนของปีนั้นทำให้ชั้นดินเยือกแข็งซึ่งปกติจะมีอุณหภูมิต่ำกว่าศูนย์องศาเซลเซียสอยู่ตลอดปีละลายตัว จนซากกวางเรนเดียร์ที่ตายด้วยโรคแอนแทร็กซ์เมื่อ 75 ปีก่อนซึ่งถูกฝังอยู่ใต้ดิน ออกมาสัมผัสกับอากาศภายนอกและแหล่งน้ำได้ ตามปกติแล้วชั้นดินเยือกแข็งส่วนบนที่มีความลึกราว 50 เซ็นติเมตร จะละลายตัวเป็นประจำอยู่แล้วในฤดูร้อน แต่การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศโลกทำให้อุณหภูมิในเขตวงกลมอาร์กติกเพิ่มสูงขึ้นเร็วกว่าส่วนอื่น ๆ ของโลกถึง 3 เท่า และทำให้ชั้นดินเยือกแข็งที่ลึกลงไปละลายตัวได้มากขึ้น ดร. ฌอง-มิเชล คลาเวรี นักชีววิทยาวิวัฒนาการ จากมหาวิทยาลัยเอกซ์-มาร์แซลล์ของฝรั่งเศสบอกว่า ชั้นดินเยือกแข็งคงตัวนั้นเป็นสถานที่เหมาะสมสำหรับการจำศีลเป็นเวลานานของเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย เนื่องจากเป็นที่มืดมิดแสงส่องไม่ถึง มีความเย็นยะเยือกและไม่มีอ็อกซิเจน ทำให้เชื้อร้ายที่อยู่ในซากศพของมนุษย์และสัตว์ซึ่งกลบฝังไว้ตื้น ๆ เมื่อในอดีต สามารถมีชีวิตอยู่ได้นานนับร้อยนับพันปี หรือในบางครั้งอาจเป็นหลายล้านปี โดยไม่นานมานี้ นักวิทยาศาสตร์พบเชื้อไข้หวัดสเปนที่มีการระบาดครั้งใหญ่ในปี 1918 ในหลุมฝังศพหมู่ในเขตทุนดราของอลาสกา และคาดว่ามีเชื้อกาฬโรค รวมทั้งเชื้อโรคที่แพร่ระบาดในศตวรรษที่ 18-19 อยู่ใต้ชั้นดินเยือกแข็งของไซบีเรียหลายชนิดด้วย ส่วนในช่วงทศวรรษ 1990 ศูนย์วิจัยไวรัสวิทยาและเทคโนโลยีชีวภาพของรัฐ ในเมืองโนโวซิบริสค์ของรัสเซีย ได้ตรวจสอบซากของมนุษย์ยุคหินจากทางตอนใต้ของไซบีเรีย และพบว่ามีร่องรอยของอาการป่วยจากกาฬโรค ทั้งยังพบชิ้นส่วนดีเอ็นเอของไวรัสกาฬโรคอยู่ แม้จะไม่พบตัวเชื้อไวรัสก็ตาม ซึ่งแสดงว่ามีความเสี่ยงที่ซากศพของมนุษย์โบราณเหล่านี้ รวมทั้งฟอสซิลของบรรพบุรุษมนุษย์เช่นนีแอนเดอร์ทัลและเดนิโซแวน จะนำพาให้เชื้อโรคร้ายในอดีตกลับมาแผลงฤทธิ์ในปัจจุบันได้หากชั้นดินเยือกแข็งละลายตัว เชื้อแอนแทร็กซ์ สามารถสร้างสปอร์หุ้มตัวได้ จึงทำให้มีชีวิตรอดได้นานหลายสิบปี การ "ฟื้นคืนชีพ" ของเชื้อเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องยาก โดยเมื่อปี 2005 นักวิทยาศาสตร์ของนาซาพบว่าเชื้อแบคทีเรีย Carnobacterium pleistocenium ซึ่งอยู่ในบ่อน้ำแข็งของอลาสกามานานกว่า 32,000 ปี หรือตั้งแต่ยุคที่ช้างแมมมอธยังมีชีวิตอยู่ สามารถกระดิกตัวและว่ายไปมาได้หลังก้อนน้ำแข็งที่ห่อหุ้มอยู่ละลาย และสองปีต่อมาสามารถทำให้แบคทีเรียที่มีอายุ 8 ล้านปี ซึ่งจำศีลอยู่ใต้ธารน้ำแข็งของทวีปแอนตาร์กติกา กลับมาเคลื่อนไหวมีชีวิตชีวาอีกครั้ง เชื้อเหล่านี้จำศีลอยู่ได้นานเพราะบางชนิดมีการสร้างสปอร์ห่อหุ้มตัว เช่นเชื้อแอนแทร็กซ์ หรือบ้างก็เป็นไวรัสสายพันธุ์ขนาดใหญ่จนสามารถมองเห็นได้ด้วยกล้องจุลทรรศน์ธรรมดา ซึ่งไวรัสกลุ่มนี้จะมีความแข็งแกร่งและสามารถรักษาดีเอ็นเอของตนไว้ได้ดีกว่าไวรัสทั่วไป นักวิทยาศาสตร์ยังเกรงว่า ชั้นดินเยือกแข็งในเขตขั้วโลกจะไม่ได้ละลายลงเพราะภาวะโลกร้อนเท่านั้น แต่การที่น้ำแข็งในทะเลแถบอาร์กติกละลาย ยังอาจจะทำให้ผู้คนจากโลกภายนอกเข้าถึงดินแดนชายฝั่งทางตอนเหนือของไซบีเรียได้มากขึ้น ซึ่งทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่ดังกล่าว อาจดึงดูดให้มีการเข้ามาขุดเจาะน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ ทำเหมืองทองและเหมืองแร่อื่น ๆ ซึ่งการขุดเจาะพลิกชั้นดินเยือกแข็งอย่างมโหฬารของอุตสาหกรรมเหล่านี้ จะยิ่งเพิ่มโอกาสให้เชื้อโรคร้ายจากใต้ดินปนเปื้อนออกสู่ดินชั้นบน แหล่งน้ำ และห่วงโซ่อาหารได้
|
การที่เชื้อโรคร้ายหลายชนิดในปัจจุบันสามารถต้านทานยาปฏิชีวนะได้ แม้เป็นปัญหาที่น่าหวั่นเกรงพอตัวอยู่แล้ว แต่ก็ยังไม่ใช่ภาวการณ์ทางสาธารณสุขที่น่าตื่นตระหนกที่สุด เท่ากับการที่ภาวะโลกร้อนจะทำให้น้ำแข็งและชั้นดินเยือกแข็งคงตัว (permafrost) ในเขตขั้วโลกละลาย ซึ่งอุณหภูมิที่สูงขึ้นอาจปลดปล่อยเชื้อแบคทีเรียและไวรัสที่หลับไหลในชั้นดินมานานนับพันนับหมื่นปีให้กลับฟื้นคืนชีพและแผลงฤทธิ์ก่อโรคระบาดในหมู่ประชากรมนุษย์อีกครั้งได้
|
features-43532824
|
https://www.bbc.com/thai/features-43532824
|
หุ่นยนต์ปลา: นวัตกรรมใหม่ช่วยทำความสะอาดท้องทะเล?
|
หุ่นยนต์ปลาตัวนี้มีชื่อว่า "โซฟี" (SoFi) ซึ่งมีประสิทธิภาพในการดำน้ำได้ 50 ฟุต ภายในมีชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่ถูกห่อหุ้มไว้ด้วยยางซิลิโคน หุ่นยนต์ตัวนี้ใช้มอเตอร์ปั๊มน้ำเข้าหางเป็นแรงขับเคลื่อนไปข้างหน้า นอกจากนี้มันยังใช้ส่วนครีบในการบังคับทิศทาง และสามารถเคลื่อนไหวได้อัตโนมัติ หรือบังคับได้ด้วยแผงควบคุมซูเปอร์นินเทนโดแบบกันน้ำ ทีมนักวิทยาศาสตร์ทำการทดสอบโซฟี โดยปล่อยให้มันว่ายน้ำเคียงข้างปลาจริง ๆ แล้วถ่ายรูปและวิดีโอความละเอียดสูงด้วยเลนฟิชอาย ศ.แดเนียลา รัส ผู้อำนวยการ MIT CSAIL บอกว่า หลังจากได้ทดลองใช้งานโซฟีเป็นเวลาหลายชั่วโมงก็พบว่ามันไม่ได้เข้าไปรบกวนสัตว์น้ำ และไม่ทำให้ปลาตื่นกลัวแล้วว่ายน้ำหนีไป ทีมนักวิทยาศาตร์ตั้งเป้าที่จะปล่อยฝูงปลาโซฟีออกสู่มหาสมุทร เพื่อใช้ในการนำทางปลาอื่น รวมทั้งใช้ตรวจจับผู้บุกรุกเข้าไปในทะเลแถบที่ต้องการอนุรักษ์ หรือใช้ในการเก็บตัวอย่างน้ำ และศึกษาธรรมชาติของมหาสมุทรที่กำลังเผชิญปัญหามลพิษอย่างหนัก ซึ่งโซฟีอาจช่วยทำแผนที่มลพิษ อีกทั้งยังอาจช่วยทำความสะอาดท้องทะเลได้ด้วย
|
หุ่นยนต์นิ่ม (soft robot) ที่มีรูปร่างคล้ายปลาผลงานการพัฒนาของศูนย์วิทยาการคอมพิวเตอร์และปัญญาประดิษฐ์แห่งสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ (MIT CSAIL) ในสหรัฐฯ ได้ถูกนำไปปล่อยให้แหวกว่ายในทะเลเคียงข้างกับเหล่าสัตว์น้ำ ทีมนักวิทยาศาสตร์หวังว่าจะสามารถนำหุ่นยนต์ชนิดนี้ไปใช้แก้ปัญหามลพิษที่กำลังเป็นภัยคุกคามมหาสมุทรทั่วโลกได้
|
thailand-53359451
|
https://www.bbc.com/thai/thailand-53359451
|
สำรวจอำนาจ พล.อ.ประยุทธ์ ในวาระครบขวบปีรัฐบาลพลเรือน พปชร. ชงใช้ “เปรมโมเดล” ปรับ ครม. “ประยุทธ์ 2/2”
|
เจ้าหน้าที่ฉีดพ่นทำความสะอาดที่นั่งนายกฯ และ ครม. ภายในห้องประชุมรัฐสภา เพื่อป้องกันเชื้อโควิด-19 10 ก.ค. 2562 มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งคณะรัฐมนตรี (ครม.) "ประยุทธ์ 2/1" จำนวน 36 คน หนึ่งปีผ่านไป มีรัฐมนตรี (รมต.) 4 คนที่เคยเป็นแกนนำพรรคได้บอกลาต้นสังกัดและนับถอยหลังรอวันลุกจากเก้าอี้ รมต. โดย 1 คนต้องจบด้วยชีวิตทางการเมืองด้วยข้อครหา "ไม่ผ่านโปรฯ" ส่วนอีก 3 คนถูก "ยึดอำนาจ" ภายในพรรคที่ร่วมสร้างมากับมือ เก้าอี้ ครม. = "สมบัติของพรรค"? ความชุลมุนในการบริหารจัดการคนของ พล.อ.ประยุทธ์ เกิดขึ้นทันทีที่เขาไร้ "อำนาจพิเศษ" สะท้อนผ่านการจัดโผ ครม. ภายหลังการเลือกตั้ง 24 มี.ค. 2562 ซึ่งนายกฯ ไม่มี "อำนาจเต็ม" ในการเฟ้นผู้ร่วมวงฝ่ายบริหาร แต่เป็นสิทธิขาดของพรรคร่วมรัฐบาลในการจัดคนลงตำแหน่ง รัฐบาล "ประยุทธ์ 2" เกิดขึ้นได้ด้วยการดึงเอาพรรคการเมืองถึง 19 พรรคมาร่วมจัดตั้งรัฐบาลขั้นต้น 254 เสียง ทว่ามีเพียง 6 พรรคที่ได้รับการจัดสรรโควต้า รมต. ให้ ด้วยสัดส่วน 3-7 ส.ส. ต่อ 1 เก้าอี้ รมต. ขณะที่พรรคแกนนำรัฐบาลอย่างพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) มี รมต. 17 คน 18 ตำแหน่ง (รวมนายกฯ ควบ รมว.กลาโหม) ในจำนวนนี้มีอยู่ 6 คนที่หอบหิ้วกันมาตั้งแต่รัฐบาล "ประยุทธ์ 1" ไม่ได้สังกัด พปชร. แต่กินโควต้า พปชร. อยู่ ประกอบด้วย พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ (ขณะนั้นยังไม่เป็นสมาชิกพรรค), นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์, นายวิษณุ เครืองาม, พล.อ. อนุพงษ์ เผ่าจินดา นายดอน ปรมัตถ์วินัย และ พล.อ. ชัยชาญ ช้างมงคล จึงเหลือเก้าอี้เสนาบดีเพียง 11 ตัวสำหรับเกลี่ย-เฉลี่ยให้บรรดา "นักเลือกตั้งอาชีพ" ด้วยสัดส่วน 11 ส.ส. ต่อ 1 เก้าอี้ รมต. ซึ่งไม่เพียงพอต่อคนใน พปชร. 1 ใน 3 แกนนำกลุ่ม "สามมิตร" อย่างนายอนุชา นาคาศัย ส.ส.ชัยนาท ต้อง "อกหัก" กับโผ ครม. "ประยุทธ์ 2/1" จึงนัด ส.ส. ร่วมก๊วนกว่า 30 ชีวิตมาแสดงพลัง ทว่าไม่อาจกดดันผู้นำสูงสุดของรัฐบาลได้ "การบริหารบุคลากรเป็นเรื่องยากที่จะทำให้ทุกคนพึงพอใจ แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือทำอย่างไรประชาชนจะมีความเชื่อมั่นในรัฐบาล..." พล.อ.ประยุทธ์ร่อนสารนายกรัฐมนตรีเมื่อ 1 ก.ค. 2562 เพื่อหย่า "ศึกใน" พรรคที่นำเสนอชื่อของเขาเป็นนายกฯ ในบัญชี ตลอดเวลาที่ผ่านมา ได้เกิดภาพคนการเมืองขั้วรัฐบาลรวมกลุ่มกันต่อรอง-จองเก้าอี้รัฐมนตรีเป็นระยะ ๆ ทว่าความเคลื่อนไหวที่ครึกโครมที่สุด หนีไม่พ้น ปฏิบัติการ "ยึดพรรค ก่อนยึดเก้าอี้ รมต." เมื่อ กก.บห.พปชร. จำนวน 18 จากทั้งหมด 34 คนพร้อมใจกันลาออกจากตำแหน่งเมื่อ 1 มิ.ย. 2563 ส่งผลให้นายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง และหัวหน้า พปชร. จากกลุ่ม "สี่กุมาร" ต้องพ้นจากสถานะฝ่ายบริหารของพรรคโดยปริยาย โฉมหน้า กก.บห.ชุดใหม่ของ พปชร. ที่ได้จากการประชุมใหญ่เมื่อ 27 มิ.ย. 2563 สมาชิกกลุ่มสี่กุมาร - นายสุวิทย์ เมษินทรีย์, นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์, นายอุตตม สาวนายน และนายกอบศักดิ์ ภูตระกูล (จากซ้ายไปขวา) แถลงลาออกจากการเป็นสมาชิก พปชร. เมื่อ 9 มิ.ย. 2563 2 สัปดาห์หลัง พล.อ.ประวิตร ผงาดขึ้นเป็น "ศูนย์กลางอำนาจใหม่" ภายใน พปชร. นักการเมืองกลุ่มสี่กุมารก็ประกาศยุติบทบาททางการเมืองในฐานะสมาชิกพรรคเมื่อ 9 ก.ค. 2563 แต่ยังไม่ลาออกจาก ครม. เป็นผลให้เพื่อนร่วมพรรคออกมาทวงคืนเก้าอี้ รมต. ที่พวกเขายึดครองอยู่ทันควัน โดยให้เหตุผลว่าเป็น "สมบัติของพรรค" "ทั้ง 3 ท่าน วันนี้ยังนั่งเก้าอี้ รมต. ในโควต้าของ พปชร. เมื่อลาออกจากพรรคแล้วก็ควรคืนตำแหน่งนี้กลับมาให้เป็นสมบัติของพรรค ไม่ใช่ยังกั๊กตำแหน่งอยู่เช่นนี้ เพราะถือว่าพวกท่านไม่มีสิทธิแล้ว" นายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม. กลุ่มสามมิตร กล่าว โยนหินถามทางใช้ "เปรมโมเดล" ตัดโควต้า ครม. เศรษฐกิจให้นายกฯ ไม่ใช่เพียงกลุ่มสี่กุมารที่ยากจะมีที่ยืนต่อในรัฐบาล เพราะแม้แต่ รมต. ที่อยู่ในโควต้า "ลุงตู่ขอมา" ก็อยู่ในภาวะ "ถูกทบทวน" สถานภาพทางการเมือง ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ยอมรับว่าเป็นไปตาม "กลไกทางการเมือง" "สัดส่วน รมต. ก็ต้องฟังจากพรรคเป็นหลัก การจะนำคนนอกเข้ามาก็เป็นโควต้าของเขา ซึ่งผมก็ขอเขามา และเขาก็ให้ผมเข้ามาตรงนี้... เมื่อเอาเขาเข้ามาแล้ว จำเป็นจะต้องคืนเขาหรือเปล่า ต้องคืนเขาบ้างไหม จะมีคนนอกเข้ามาได้ตรงไหน ก็ต้องไปคุยกันอีก เพราะผ่านมา 1 ปีแล้วก็ต้องคุยกันใหม่" พล.อ.ประยุทธ์กล่าว ในการปรับ ครม. "ประยุทธ์ 2/2" ผู้นำรัฐบาลระบุว่าจะ "ปรับเท่าที่จำเป็น" และขู่ว่า "คนวิ่งมาก ๆ อาจจะไม่ได้เป็น" นายไพบูลย์ นิติตะวัน ระบุว่า พล.อ.ประยุทธ์ได้เปลี่ยนจาก "นายกฯ ที่มาจากการยึดอำนาจ" สู่ "นายกฯ ที่สมบูรณ์แบบ" เพราะได้เสียงข้างมากในสภาล่างและเสียงเอกฉันท์ในสภาสูง ด้วยคะแนนรวมกัน 500 เสียง ล่าสุด นายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้า พปชร. ผู้เป็นหัวหอกใน "ปฏิบัติการพลิกขั้วอำนาจภายใน พปชร." ได้ออกมาเผย "สูตรใหม่" ในการจัดโผ ครม. โดยใช้รัฐบาล พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ นายกฯ คนที่ 16 เป็นต้นแบบ "ในการปรับ ครม. นายกฯ ต้องแสดงความสามารถอีกครั้งในการตั้ง ครม. โดยใช้เรื่องโควิด-19 จัดให้มีโควต้ากลางลุยเรื่องเศรษฐกิจ ส่วนที่เหลือค่อยแบ่งให้พรรคร่วมรัฐบาลไปจัดสรรกัน ถ้านายกฯ จัดอย่างนี้ มันก็จะไปได้ ท่านก็จะสามารถตั้งคนได้เต็มที่ โดยไม่ถูกกดดันจากพรรคต้นสังกัดที่ไปเอาโควต้าของเขามา นี่คือโมเดลของป๋าเปรม" นายไพบูลย์กล่าวกับบีบีซีไทย ส.ส.รายนี้ตั้งคำถามด้วยว่า ในเมื่อโควิด-19 ทำให้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ แล้วทำไม พปชร. ต้องแบกอยู่พรรคเดียว เพราะ รมต. ที่นายกฯ เลือกอาจไม่ได้ตั้งจากคนของ พปชร. ด้วยซ้ำ นี่เป็นเรื่องของประเทศชาติแท้ ๆ จึงเชื่อว่าพรรคร่วมรัฐบาลจะเข้าใจ นายสมคิด และ พล.อ.ประวิตร เข้าร่วมรัฐบาล "ประยุทธ์ 2" ในโควต้ากลางของนายกฯ ก่อนที่ พล.อ.ประวิตรจะเข้าไปเป็นประธานที่ปรึกษาพรรค และหัวหน้าพรรค พปชร. ใน 1 ปีหลังจากนั้น ปัจจุบัน 2 พรรคขนาดกลางได้ร่วมคุมกระทรวงสำคัญทางเศรษฐกิจ โดยพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ดูแลกระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ส่วนพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ดูแลกระทรวงคมนาคม และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา อย่างไรก็ตามเสียงของ ภท. ได้เพิ่มจาก "พรรคครี่งร้อย" สู่การเป็น "พรรค 61 เสียง" แต่ถึงกระนั้นนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข ในฐานะหัวหน้า ภท. ระบุว่า "ยังไม่ได้รับสัญญาณใด ๆ จากนายกฯ" หลังถูกถามถึงความเป็นไปได้ในการเพิ่มโควต้า รมต. ในส่วนของพรรค "กำนันยังสนับสนุนผมอยู่ไหม" ส่วนอีกพรรคร่วมรัฐบาลที่มีส่วนเร่งเกมปรับ ครม. หนีไม่พ้น พรรครวมพลังประชาชาติไทย (รปช.) เมื่อ ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล รมว.แรงงาน ยื่นใบลาออกจากการเป็นหัวหน้าและสมาชิกพรรคเมื่อ 16 มิ.ย. 2563 หลังเกิดข้อขัดแย้งทางความคิดและการบริหารจัดการเพื่อช่วยเหลือผู้ใช้แรงงานในช่วงเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ก่อนมี "มือที่มองไม่เห็น" ชิงปล่อยข่าวผ่านสื่อว่า กก.บห.รปช. ประเมินผลการทำงานของ รมว.แรงงาน แล้ว "ไม่ผ่านโปรฯ" "ผมเพิ่งทำงานมา 1 ปี จะบอกว่าผมไม่ผ่านโปรได้อย่างไร" ม.ร.ว.จัตุมงคลตั้งข้อสังเกตกับสื่อมวลชน ว่ากันว่าก่อนนาทีตัดสินใจตัดขาด "พรรคพสกนิกร" จะมาถึง หม่อมเต่าได้จับเข่าคุยกับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ผู้ก่อตั้ง รปช. และผู้ชักชวนให้สมาชิกในราชสกุลผู้นี้เข้ามาทำงานการเมือง ก่อนรู้ตัวว่าถูกลอยแพแน่แล้ว ผลจากการทิ้งเก้าอี้หัวหน้าพรรคของ ม.ร.ว.จัตุมงคล ทำให้ รปช. รีบทำหนังสือถึงนายกฯ ส่งชื่อนายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ เข้าไปเป็น "รมต. ลอย" เพื่อ "ตีตราจองเก้าอี้" เอาไว้ก่อน ป้องกันไม่ให้เกิดความเปลี่ยนแปลงใด ๆ กับโควต้าพรรค แม้สัดส่วนเสียงในสภาของพรรคร่วมรัฐบาลจะเปลี่ยนแปลงไป แต่นายสุเทพ "ไม่คิดว่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลง" กับเก้าอี้ รมต. ของ "พรรค 5 เสียง" ม.ร.ว.จัตุมงคล กับนายสุเทพ ในคราวร่วม "เดินคารวะแผ่นดิน" เพื่อรับสมัครสมาชิกพรรค อย่างไรก็ตามยังมีพรรคร่วมรัฐบาลอื่น ๆ ต่อคิวรอสัมผัสเก้าอี้ รมต. อยู่ ไม่ว่าจะเป็น พรรคพลังท้องถิ่นไทยซึ่งทำตัวเป็น "พรรคเด็กดี" และมีที่นั่งในสภา 5 เสียงเช่นกัน นอกจากนี้ยังมี "พรรคจิ๋ว" หรือพรรคที่หิ้ว ส.ส. เข้าสภาได้ 1 คนจากการปัดเศษทศนิยมที่ไปเกาะกลุ่มกัน ก่อนกล่าวอ้างว่ามี 7 เสียงสนับสนุนให้นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ หัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ ขยับชั้นเป็น รมต. ขณะนี้บทหนักจึงตกอยู่กับ "พรรค 4 เสียง" อย่างพรรคชาติพัฒนา (ชพน.) ว่าจะสามารถรักษาเก้าอี้ รมต. เอาไว้ได้หรือไม่ จบปัญหา "รัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ" แต่ยังเกิดเหตุ "สภาล่ม" ปฏิเสธไม่ได้ว่าทุกคะแนนเสียงในสภามีความสำคัญต่ออนาคตของ "รัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ" เนื่องจาก พปชร. ซึ่งเป็น "พรรคอันดับ 2" ในสภาได้สร้าง "ธรรมเนียมใหม่ทางการเมือง" โดยอ้างคะแนนเสียงมหาชนสูงสุด 8.4 ล้านเสียง จัดรัฐบาลแข่งกับ "พรรคอันดับ 1" อย่างพรรคเพื่อไทย (พท.) จนสามารถตั้งรัฐบาล 254 เสียงได้สำเร็จ มีคะแนนเสียงทิ้งห่างจากฝ่ายค้านเพียง 8 เสียง ปรากฏการณ์ต่อเนื่องหลังการตั้งรัฐบาลคือ การเดินสาย "แจกกล้วย" ให้ "พรรคจิ๋ว" การเกิดขิ้นของ "ส.ส. งูเห่า/ส.ส.ฝากเลี้ยง" ในพรรคฝ่ายค้าน รวมถึงเกิดเหตุ "แตกภายใน" ของแต่ละพรรคการเมือง โดยเฉพาะ ปชป. ที่ ส.ส. บางส่วนเล่นบท "แนวร่วมมุมกลับของฝ่ายค้าน" จนถูกจับตาว่าอาจมีรายการ "เช็กบิลย้อนหลัง" ในการปรับ ครม. รอบนี้ อย่างไรก็ตามสถานการณ์ได้เปลี่ยนแปลงไป จากปัจจัย 3 ประการ ประธานขานองค์ประชุมได้ไม่ถึงกึ่งหนึ่งของสภา หรือ 244 จากสมาชิกที่มีอยู่ทั้งหมด 487 คน ทำให้เกิดเหตุ "สภาล่ม" เมื่อ 8 ก.ค. 2563 ระหว่างรับทราบรายงานความคืบหน้าการดำเนินการตามแผนการปฏิรูปประเทศ (เดือน ต.ค.-ธ.ค. 2562) นั่นทำให้สัดส่วนเสียงในสภาระหว่างรัฐบาล 20 พรรค กับฝ่ายค้าน 6 พรรค+มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ส.ส.ศม. ขยับเป็น 275 ต่อ 212 เสียง หรือห่างกัน 63 เสียง (ไม่รวมเลือกตั้งซ่อม ส.ส.ลำปาง ซึ่ง กกต. ยังไม่รับรองผล) จบปัญหา "รัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ" และทำให้ฝ่ายค้านไม่อาจล้มรัฐบาลกลางสภาได้ แต่ถึงกระนั้นได้เกิดเหตุ "สภาล่ม" ครั้งแรกของสมัยประชุมนี้เมื่อ 8 ก.ค. 2563 และถือเป็นเหตุ "สภาล่ม" ครั้งที่ 3 ในรอบ 8 เดือนของสภาล่างชุดที่ 25 หลังเคยเกิดเหตุองค์ประชุมไม่ครบมาแล้วเมื่อ 27-28 พ.ย.2562 ใช้ "อาวุธทางกฎหมาย" กดพลังนอกสภา ความมั่นคงทางการเมืองของรัฐบาลได้รับการการันตีโดย "คนการเมือง" และ "ขุนทหาร" ซึ่งเปิดหน้าเป็นผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการของ พล.อ.ประยุทธ์ ถึงขนาดฟันธงว่าจะอยู่ครบเทอม 4 ปี นักการเมืองสังกัดพรรครัฐบาลประเมินว่ารัฐบาลหลังเลือกตั้ง 2562 "นิ่งกว่า" รัฐบาลหลังเลือกตั้งปี 2550 เนื่องจากมี "อาวุธทางกฎหมาย" อย่างน้อย 3 ฉบับคอยกำกับพลังความเคลื่อนไหวนอกสภา และทำให้การชุมนุมประท้วงขนาดใหญ่ไม่อาจเกิดขึ้นได้ ประกอบด้วย รัฐธรรมนูญ 2560 กำหนดให้มีระยะเปลี่ยนผ่าน 5 ปี, พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การชุมนุมสาธารณะ และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยพรรคการเมือง ที่กำหนดโทษยุบพรรค หากมีการก่อความไม่สงบเรียบร้อยในบ้านเมือง การชุมนุมของนักศึกษาเกิดขึ้นในหลายมหาวิทยาลัยภายหลังศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคอนาคตใหม่ นอกจากนี้วิกฤตไวรัสมรณะยังปิดประตูความเคลื่อนไหวของ "แฟลชม็อบ" นักศึกษาที่เกิดขึ้นในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ซึ่งนายไพบูลย์ ในฐานะรองประธานกรรมาธิการ (กมธ.) ศึกษาแก้ไขรัฐธรรมนูญ สภา เห็นว่าข้อเรียกร้องให้รื้อรัฐธรรมนูญที่ผ่านประชามติทั้งฉบับ เป็นการ "ลุแก่อำนาจ" เพราะมาจากนักศึกษาไม่กี่คน และ "ไม่สามารถระคายเคืองรัฐบาลได้ พอเจอโควิดก็ยิ่งไปกันใหญ่" "พล.อ.ประยุทธ์มีบุคลิกที่เหมาะกับสถานการณ์ เข้มแข็ง ถ้าไม่เหมาะกับสถานการณ์คงเป็นมาไม่ได้ถึงขนาดนี้ แต่ไม่ใช่เป็นเพราะอยากนะ แต่จำเป็นต้องเป็นเพื่อประเทศชาติและสถาบัน" นายไพบูลย์กล่าว เช่นเดียวกับ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ที่ระบุว่า นายกฯ บริหารด้วยความโปร่งใส ให้ความเป็นธรรม ที่สำคัญคือมีความเด็ดขาด โดยเฉพาะช่วงโควิด พวกเราควรชื่นชม "อย่าลืมว่านายกฯ ปัจจุบันบริหารราชการบ้านเมือง และมาจากการเลือกตั้งที่มาโดยรัฐธรรมนูญ" ผบ.ทบ. กล่าว
|
รัฐบาลผสมภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เข้าบริหารประเทศครบขวบปีในเดือน ก.ค. นี้ แม้มีสารพัดปัญหาการเมืองรบกวนจิตใจชนิดที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในยุครัฐบาลหลังรัฐประหารปี 2557 แต่ผู้นำคนที่ 29 ก็ใช้ "คุณสมบัติพิเศษ" และ "ลีลาเฉพาะตัว" ประคับประคองตัวมาได้จนถึงปัจจุบัน
|
international-39538260
|
https://www.bbc.com/thai/international-39538260
|
เปิดปราสาทญี่ปุ่นให้นักท่องเที่ยวพักฟรี 1 คืน
|
คู่รักที่เข้าร่วมกิจกรรมนี้ ต้องเป็นคู่หญิง-ชาย อายุไม่ต่ำกว่า 20 ปี โดยผู้ชนะ ไม่เพียงจะได้เข้าพักฟรี 1 คืน เสมือนเป็นเจ้าของปราสาทเท่านั้น แต่ยังจะได้รับการอารักขา จากเจ้าหน้าที่เทศบาลเมืองซึ่งแต่งชุดนินจา และยังจะได้พบปะกับอาสาสมัคร 30 คน ที่แต่งชุดเกราะแบบนักรบญี่ปุ่นโบราณเต็มยศ นอกจากนี้ ก็จะได้รับประทานอาหารเมนูพิเศษ ที่ปรุงจากวัตถุดิบในท้องถิ่นอีกด้วย การประกาศชื่อผู้ชนะ จะมีขึ้นในวันที่ 26 เมษายนนี้ โดยการเปิดแคมเปญนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยว ของมูลนิธิปราสาทโบราณญี่ปุ่น เนื่องในวันปราสาท หรือ castle day ซึ่งตรงกับวันที่ 6 เมษายนของทุกปี ปราสาทฮิราโดะ ของจังหวัดนางาซากิ ได้รับการบูรณะครั้งล่าสุดในช่วงปี 1960 ขณะนี้ใช้เป็นพิพิธภัณฑ์จัดแสดงวัตถุที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ จากตระกูลมัทสึระ ซึ่งเป็นคนกลุ่มแรกที่สร้างป้อมปราการขึ้นเมื่อปี 1599 และปกครองเมืองนี้ต่อมาถึง 2 ศตวรรษครึ่ง
|
เว็บไซต์ไมนิจิ ของญี่ปุ่นรายงานว่า บริษัทให้บริการที่พักแบบเกสต์เฮ้าส์แห่งหนึ่ง จัดแคมเปญดึงดูดนักท่องเที่ยว ด้วยการเสนอประสบการณ์ให้คู่รัก ได้เข้าพักฟรีที่ปราสาทฮิราโดะ ในฐานะเจ้านายและนายหญิงผู้ครองปราสาท
|
thailand-38586586
|
https://www.bbc.com/thai/thailand-38586586
|
คนวงการหนังร้องรัฐจัดสัดส่วนโรงฉาย ช่วยหนังไทยฝ่าวิกฤติ
|
ปี 2559 หนังไทยมีส่วนแบ่งทางการตลาดตกต่ำสุด เหลือเพียง 13 เปอร์เซ็นต์ จากเดิมที่เคยสูงถึง 44 เปอร์เซ็นต์ ในปี 2550 ธัญญ์วาริน สุขะพิสิษฐ์ อดีตนายกสมาคมผู้กำกับภาพยนตร์ไทย ระบุว่า อุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยปีที่ผ่านมาถือว่าตกต่ำที่สุดในรอบ 10 ปี โดยทำรายได้เพียง 565 ล้านบาท หรือคิดเป็น 13 เปอร์เซ็นต์ จากรายได้ส่วนแบ่งระหว่างหนังไทยและต่างประเทศ ขณะที่หนังหลายเรื่องซึ่งได้รับคำวิจารณ์ว่าเป็นหนังคุณภาพกลับทำรายน้อยมาก เนื่องจากผู้ประกอบการโรงหนังจัดให้เข้าฉายเพียงหนึ่งสัปดาห์ อย่างภาพยนตร์เรื่อง "ปั๊มน้ำมัน" ที่ตนเองกำกับ ทำรายได้จากการเข้าฉายหนึ่งสัปดาห์ ไม่ถึง 10,000 บาท ต่อมาเมื่อมีกระแสปากต่อปาก คนดูก็ไม่สามารถรับชมได้เนื่องจากลาโรงไปแล้ว ธัญญ์วาริน กล่าวว่า คนในวงการหนังได้มีข้อเสนอให้รัฐบาลปฎิบัติตาม พ.ร.บ. ภาพยนตร์ฯ ฉบับปี 2551 มาตรา 9 วรรค 5 ที่ระบุให้คณะกรรมการภาพยนตร์แห่งชาติมีหน้าที่จัดสัดส่วนภาพยนตร์ไทยและต่างประเทศที่จะเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ ซึ่งใน 8 ปีที่ผ่านมา ยังไม่ถูกบังคับใช้หรือถูกนำมาพิจารณา ธัญญ์วาริน กล่าวอีกว่า สิ่งที่เสนอไม่ได้จะลิดรอนเสรีภาพในการเลือกดูหนังของคนดู เพียงแต่ว่าหนังไทยทุกเรื่องควรมีพื้นที่ฉายให้เหมาะสม ธัญญ์วาริน สุขะพิสิษฐ์ : ''สิ่งที่เสนอไม่ได้จะลิดรอนเสรีภาพในการเลือกดูหนังของคนดู เพียงแต่ว่าหนังไทยทุกเรื่องควรมีพื้นที่ฉายให้เหมาะสม'' ด้าน สุภาพ หริมเทพาธิป ผู้ก่อตั้งนิตยสารไบโอสโคป เผยกับบีบีซีไทยว่า วิธีการจัดโปรแกรมฉายหนังในประเทศไทยปัจจุบันมีความผูกขาด โดยผู้ประกอบการโรงภาพยนตร์เป็นผู้กำหนดเปอร์เซ็นต์ฉายหนังแต่ละเรื่อง โดยจะเห็นว่าหนังฟอร์มยักษ์จากต่างประเทศปัจจุบันมีสัดส่วนโรงฉายถึง 80% หมายความว่าโรงภาพยนตร์ที่มี 10 โรง 8 จอจะต้องถูกใช้ไปกับหนัง 1 เรื่อง ส่วนอีก 2 จอ ไว้สำหรับหนังที่อยู่ในโปรแกรมด้วยกันหรือที่ตกค้างจากโปรแกรมในสัปดาห์ก่อน ซึ่งตนมองว่าไม่เป็นธรรม ผู้ก่อตั้งนิตยสารไบโอสโคป ระบุด้วยว่า ณ วันนี้ มีคนตั้งคำถามว่า การจัด "โควต้า" โปรแกรมฉายหนังจะทำให้มีหนังไทยที่ "ไม่มีคุณภาพ" ออกมาฉายมากขึ้นหรือไม่ ซึ่งตนมองว่าถ้าอุตสาหกรรมหนังไทยมีทางรอด คนดูจะมีตัวเลือกหลากหลายและได้รับโอกาสชมหนังที่มีคุณภาพ และจะส่งคำเรียกร้องไปคนทำหนังผลิตผลงานที่มีคุณภาพออกมา และเชื่อว่าทุกวันนี้คนดูยังต้องการสิ่งใหม่ซึ่งความใหม่ไม่สามารถเกิดมาจากคนเก่าๆ แต่ถ้าวันนี้เราไม่ให้คนใหม่ๆ มีโอกาสแจ้งเกิด ไม่มีที่ยืน เราจะไปหาสิ่งที่ใหม่ๆ มาจากไหน ในวงเสวนาฯ ยังมีการเสนอให้สำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า เข้ามาดูแลปัญหาที่จากการผูกขาดในอุตสาหกรรมหนังไทย โดยผู้ประกอบการธุรกิจที่สามารถกำหนดภาพรวม ทั้งเรื่องตั๋วหนังที่มีราคาที่สูง หรือการคัดเลือกภาพยนตร์เข้ามาฉายตามอำเภอใจ จนหลายครั้งเกิดกรณีที่ผู้ชมในต่างจังหวัดเรียกร้องผ่านโซเชียลมีเดียให้โรงหนังใกล้บ้านนำภาพยนตร์ที่ต้องการรับชมเข้ามาฉาย ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าคนดูยังไม่มีสิทธิเลือกเพียงพอ นอกจากนี้ ยังเสนอให้แก้ไขปัญหาเรื่องต้นทุนคนทำหนัง ที่โรงหนังกำหนดให้จ่ายค่าเครื่องฉายหนัง ที่โรงต้องเปลี่ยนมาใช้ระบบดิจิทัล หรือค่า VPF ต่อเรื่องต่อโรงราว 800 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 24,000 บาท ซึ่งในเวลา 5 ปีที่ผ่านมา โรงหนังที่เปลี่ยนระบบจากฟิล์มเป็นระบบดิจิตัลได้กำไรจากการลงทุนไปแล้ว แต่ยังมีการเก็บค่าบริการดังกล่าวอยู่ ทำให้เป็นการเพิ่มต้นทุนให้คนทำหนังโดยไม่จำเป็น
|
เครือข่ายผู้ประกอบวิชาชีพภาพยนตร์ เรียกร้องรัฐบาล "เร่งพาหนังไทยออกจากวิกฤตการณ์" โดยเสนอให้รัฐบังคับให้โรงหนังจัดสัดส่วนการฉายหนังแต่ละเรื่องไม่เกิน 20 เปอร์เซ็นต์ ของจำนวนโรงทั้งหมด ในแต่ละซินีเพล็กซ์และเปิดพื้นที่ให้หนังไทยยืนโรงฉายอย่างน้อย 2 สัปดาห์ เพื่อแก้ไขวิกฤติรายได้ หลังปีที่แล้วหนังไทยมีส่วนแบ่งทางการตลาดตกต่ำสุด เหลือเพียง 13 เปอร์เซ็นต์ จากเดิมที่เคยสูงถึง 44 เปอร์เซ็นต์ ในปี 2550
|
thailand-48177907
|
https://www.bbc.com/thai/thailand-48177907
|
บรมราชาภิเษก : ประมวลเหตุการณ์ประวัติศาสตร์พระราชพิธีบรมราชาภิเษก 4-6 พ.ค. 2562
|
นับจากรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 ที่มีการจัดพระราชพิธีบรมราชาภิเษกขึ้นในเมื่อ 5 พ.ค. 2493 ประเทศไทยก็ได้ว่างเว้นจากพระราชพิธีนี้มานานถึง 69 ปี บีบีซีไทย สรุปเหตุการณ์สำคัญในหน้าประวัติศาสตร์ชาติไทยดังต่อไปนี้ 4 พ.ค. 2562 พระราชพิธีบรมราชาภิเษกเป็นการดำเนินการตามคตินิยมของศาสนาพราหมณ์ เพื่อ "ป่าวประกาศให้เทวดารู้ว่าบัดนี้จะมีพระมหากษัตริย์ หรือพระผู้เป็นเจ้าเกิดขึ้นอีกพระองค์หนึ่งแล้ว" สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร รัชกาลที่ 10 ทรงเป็น "พระมหากษัตริย์โดยสมบูรณ์" หลังเข้าพิธีสรงพระมุรธาภิเษก ทรงรับน้ำอภิเษก และทรงสวมพระมหาพิชัยมงกุฎ ทรงเฉลิมพระปรมาภิไธยว่า "พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว" ทรงรับพระมหาพิชัยมงกุฎ หนึ่งในเครื่องราชกกุธภัณฑ์ หลังเข้าพิธีสรงพระมุรธาภิเษก ทรงรับน้ำอภิเษก และทรงสวมพระมหาพิชัยมงกุฎ ในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้สถาปนาเฉลิมพระเกียรติยศ สมเด็จพระราชินีสุทิดาขึ้นเป็น สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี พระปฐมบรมราชโองการ ในหลวง รัชกาลที่ 10 พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10 พระราชทานพระปฐมบรมราชโองการแก่ปวงชนชาวไทยว่า "เราจะสืบสาน รักษา และต่อยอด และครองแผ่นดินโดยธรรมเพื่อประโยชน์สุขแห่งอาณาราษฎรตลอดไป" ในโอกาสนี้ทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาเฉลิมพระเกียรติยศ สมเด็จพระราชินีสุทิดา ขึ้นเป็น "สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี" ในการเสด็จออกมหาสมาคม พระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสตอบพระบรมวงศ์และประมุข 3 ฝ่าย มีใจความตอนหนึ่งว่า "ขอเชิญชวนทุกท่านทุกฝ่ายในมหาสมาคมนี้ และประชาชนชาวไทยทุกคนได้ตั้งความปรารถนาร่วมกันกับข้าพเจ้า ในอันที่จะร่วมกันปฏิบัติงานตามฐานะและหน้าที่ของตนโดยยึดเอาประโยชน์ คือความเจริญมั่นคงของประเทศชาติ และความผาสุกร่มเย็นของประชาชนเป็นเป้าหมายสูงสุด" จากนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จฯ ไปทรงนมัสการพระแก้วมรกตที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม แล้วมีพระราชดำรัสประกาศพระองค์เป็นพุทธศาสนูปถัมภก ในการเฉลิมพระราชมณเฑียร และเถลิงพระแท่นราชบรรจถรณ์ ซึ่งเปรียบเสมือนการขึ้นบ้านใหม่ ณ พระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน ข้าราชบริพารฝ่ายหน้าได้เชิญเครื่องราชูปโภคและสิ่งมงคล รวมถึงสัตว์อย่างวิฬาร์หรือแมว และไก่ขาว เข้าพิธีด้วย 5 พ.ค. 2562 พระราชพิธีเฉลิมพระปรมาภิไธย พระนามาภิไธย และสถาปนาพระฐานันดรศักดิ์พระบรมวงศ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระบรมราชโองการเฉลิมพระปรมาภิไธย พระนามาภิไธย และสถาปนาพระฐานันดรศักดิ์พระบรมวงศ์ รวม 10 พระองค์ ดังต่อไปนี้ สมเด็จพระสังฆราชถวายพระธรรมเทศนา "ทศพิธราชธรรม" ในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ช่วงเช้า วันที่ 5 พ.ค.ที่พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ได้ทรงแสดงพระธรรมเทศนา ถวายทศพิศราชธรรมจริยากถา หรือธรรมะ 10 ประการที่พระราชาพึงทรงยึดถือปฏิบัติ แก่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หนึ่งในธรรมะ 10 ประการที่สมเด็จพระสังฆราชฯ ทรงแสดง คือ คือ มัททวะ ความอ่อนโยน พระมหากษัตริย์พึงมีพระราชอัธยาศัยอ่อนโยน ละมุนละม่อม มีความอ่อนน้อม ไม่ถือพระองค์ด้วยความดื้อรั้น เมื่อมีผู้กราบบังคมทูลพระกรุณาด้วยเหตุผลของบัณฑิต ก็ควรทรงพึงสดับตรับฟังโดยถี่ถ้วน ในช่วงเย็น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินเลียบพระนครโดยขบวนพยุหยาตราทางสถลมารคตามโบราณราชประเพณี ระยะทาง 6.77 ก.ม.เพื่อให้ประชาชนเฝ้าชมพระบารมี เป็นเวลากว่า 6 ชั่วโมง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวประทับพระราชยานพุดตานทอง เสด็จออกจากพระที่นั่งอาภรณ์พิโมกข์ปราสาท จากนั้นขบวนพระราชอิสริยยศได้ออกจากพระบรมมหาราชวังทางประตูวิเศษไชยศรีเข้าสู่ถนนหน้าพระลานและถนนราชดำเนินเพื่อไปยังพระอารามหลวง 3 แห่ง คือ วัดบวรนิเวศวิหาร วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม และวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ตลอดเส้นทางมีพสกนิกรเฝ้ารับเสด็จเป็นจำนวนมาก 6 พ.ค. 2562 ในวันสุดท้ายของพระราชพิธีบรมราชาภิเษก 6 พ.ค.2562 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำรัสต่อประชาชนเป็นครั้งแรก ณ สีหบัญชร พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ปราสาท ทรงขอบใจคำอวยพรซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในนามของประชาชน และตรัสว่าการที่ประชาชนมารวมตัวกันอย่างพร้อมเพรียงนั้น "เป็นที่จับตาจับใจและทำให้ข้าพเจ้าอิ่มใจอย่างยิ่ง" เวลา 16.59 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดาฯ พระบรมราชินี เสด็จออกสีหบัญชร พระที่นั่งสุทไธสวรรย์ปราสาท ท่ามกลางการเปล่งเสียง "ทรงพระเจริญ" จากประชาชนชาวไทยที่พร้อมใจสวมใส่เสื้อสีเหลืองมารอเข้าเฝ้าฯ เพื่อชื่นชมพระบารมี พล.อ.ประยุทธ์ กราบบังคมทูลฯ ถวายพระพรชัยมงคลแทนราษฎรทุกหมู่เหล่า ความว่า "ในกาลปัจจุบันนี้ ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายต่างประจักษ์แก่ใจดียิ่งว่า ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาททรงบำเพ็ญปฏิบัติพระราชกรณียกิจโดยมีพระราชประสงค์เพื่อประสิทธิ์ความผาสุกศิริสวัสดิ์ ทั้งความไพบูลย์วัฒนสถาพรแก่บ้านเมือง ด้วยพระราชปณิธานอันแน่วแน่ที่จะพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของอาณาประชาราษฎร์ น้ำพระราชหฤทัยอันเปี่ยมล้นด้วยพระมหากรุณาแห่งใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทยังความปลาบปลื้มปีติสุขแก่ผองพสกนิกรทั้งปวง พระบรมเดชานุภาพและพระบารมียังให้เกิดความสมัครสมานสามัคคีร่วมแรงร่วมใจ เป็นพลังหนุนนำให้ภาครัฐ ภาคเอกชน และปวงประชาชนทุกหมู่เหล่ามีศรัทธาเชื่อมั่นที่จะร่วมกันบำรุงรักษาและพัฒนาบ้านเมืองให้เจริญก้าวหน้ารุ่งเรืองสืบไป "ปวงข้าพระพุทธเจ้า เหล่าข้าราชการพลเรือน ตำรวจ ทหาร ประชาชน จิตอาสาและพสกนิกรทุกหมู่เหล่า จะถวายความจงรักภักดีต่อใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทและพระมหาจักรีบรมราชวงศ์ไว้ด้วยชีวิต โดยจะร่วมกันปฏิบัติหน้าที่สนองพระราชปณิธานในการสืบสาน รักษาและต่อยอด ตามพระปฐมราชโองการอย่างเต็มกำลังความสามารถ และจะสร้างความสงบสุข ความมีเสถียรภาพ เพื่อความเจริญรุ่งเรืองของประเทศชาติและความผาสุกของประชาชนสืบไป" พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระราชดำรัสตอบนายกรัฐมนตรี และต่อประชาชนที่มาเฝ้าฯ ความว่า "ข้าพเจ้าและพระราชินีรู้สึกยินดีและปลื้มใจมากที่ได้เห็นประชาชนทั้งหลายมีไมตรีจิต พร้อมเพรียงกันมาร่วมแสดงความปรารถนาดีในวาระบรมราชาภิเษกของข้าพเจ้าครั้งนี้ ความพร้อมเพรียงของท่านทั้งหลายที่มาประชุมพร้อมกัน ณ ที่นี้ เพื่ออวยชัยให้พรแก่ข้าพเจ้าด้วยน้ำใจไมตรีและความปรารถนาดีอย่างจริงใจนั้น เป็นที่จับตาจับใจ และทำให้ข้าพเจ้าอิ่มใจอย่างยิ่ง ขอให้ความพร้อมเพรียงของท่านทั้งหลายในการแสดงไมตรีจิตแก่ข้าพเจ้าครั้งนี้ จงเป็นนิมิตหมายอันดีที่ทุกคนทุกฝ่ายจะพร้อมใจกับบำเพ็ญกรณียกิจ เพื่อความเจริญรุ่งเรืองของประเทศชาติเราต่อไป ขอขอบใจคำอวยพรซึ่งนายกรัฐมนตรีได้กล่าวในนามของทุกคน และขอกล่าวสนองพรให้ทุกท่านมีความสุขสวัสดี และความสำเร็จในสิ่งอันพึงปรารถนาโดยทั่วกัน" หลังจากนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้พระราชโอรสและพระราชธิดาเสด็จออกทักทายประชาชนร่วมกัน ณ สีหบัญชร ขณะที่ประชาชนพร้อมใจกันร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี จากนั้นเวลา 17.30 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดาฯ พระบรมราชินี เสด็จออกท้องพระโรงกลาง พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้นางฉั่ว ซิ่ว ซาน เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐสิงคโปร์ ประจำประเทศไทย คณบดีคณะทูต กราบบังคมทูลพระกรุณาถวายพระพรชัยมงคลในนามของคณะทูตานุทูต นางฉั่ว ซิ่ว ซาน กล่าวถวายพระพร สรุปความว่า "ข้าพระพุทธเจ้าถือเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้กราบบังคมทูลใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ว่า เป็นความปรารถนาดีและยินดีอย่างจริงใจของคณะทูตานุทูต ในวโรกาสที่ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาททรงได้รับการสถาปนาให้ดำรงตำแหน่งที่มีศักดิ์ศรีและความรับผิดชอบสูงสุดของประเทศ บรรดาบุคคลที่ข้าพระพุทธเจ้าได้เป็นตัวแทนกล่าวถวายพระพรในวันนี้ มีความปรารถนาอย่างแรงกล้าให้ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาททรงครองราชสมบัติอย่างยั่งยืนและผาสุก และปวงชนชาวไทยซึ่งได้แสดงออกอย่างชัดแจ้งถึงความจงรักภักดีต่อใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท จะได้มีความสงบสุข เจริญรุ่งเรือง และก้าวหน้าสืบไป" ข้าพระพุทธเจ้าขอให้คำมั่นอีกครั้งถึงการจะสืบสานความสัมพันธ์อันยั่งยืนและแข็งแกร่งระหว่างราชอาณาจักรไทยและประเทศต่าง ๆ ขอให้ราชอาณาจักรอันยิ่งใหญ่แห่งนี้จงมีแต่ความผาสุก รุ่งเรืองภายใต้รัชกาลอันเป็นมงคลของพระองค์ และขอน้อมถวายพระพรแสดงความยินดีและความปรารถนาดีแด่สมเด็จพระราชินี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสตอบความว่า "ข้าพเจ้าและพระราชินี มีความชื่นชมและประทับใจมากในคำอวยพรอันเปี่ยมไปด้วยความปรารถนาดีและไมตรีจิต ซึ่งท่านคณบดีทูต ได้กล่าวในนามคณะทูตานุทูตและกงสุลต่างประเทศ ในวาระบรมราชาภิเษกของข้าพเจ้าในครั้งนี้ ขอขอบใจในน้ำใจไมตรีของท่านทั้งหลายที่ได้แสดงความปรารถนาดีต่อเราทั้งสอง ประเทศ และประชาชนชาวไทย ทั้งยังแสดงความตั้งใจจริงที่จะเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศของเราให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ในประการนี้ ขอให้ท่านมั่นใจได้ว่า ท่านจะได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากรัฐบาลและประชาชนชาวไทย และข้าพเจ้าเองก็จะพยายามส่งเสริมสัมพันธไมตรีที่มีอยู่ให้ยิ่งเจริญงอกงาม และธำรงยั่งยืนสืบไป ขอสนองพรทุกท่านและครอบครัวประสบแต่ความสุขความเจริญ ทั้งขอให้ประเทศและประชากรซึ่งท่านเป็นผู้แทนอยู่ในราชอาณาจักรนี้มีความรุ่งเรืองไพบูลย์ตลอดไป" หลังเสด็จฯ กลับ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเลี้ยงรับรอง ณ พระที่นั่งบรมราชสถิตยมโหฬาร นับเป็นการเสร็จสิ้นพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ส่วนในช่วงค่ำ มีการแสดงโดรนเฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาสมหามงคลพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ณ ท้องสนามหลวง โดยสมาคมกีฬาเครื่องบินจำลองและวิทยุบังคับ สำหรับการแสดงประกอบโดรน 235 ลำ แบ่งเป็น 2 ชุดการแสดง ประกอบบทเพลง โดยโดรนทำการแปรเป็นภาพและข้อความต่าง ๆ อาทิ พระบรมสาทิสลักษณ์ ร.10, ราชวงศ์จักรี, พระปรมาภิไธยย่อ วปร., ทรงพระเจริญ, รูปช้าง, เลข 10 ไทย รวมถึงรูปดอกราชพฤกษ์ หลังจากนี้ในปลายเดือน ต.ค. 2562 จะมีการจัดพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเบื้องปลาย คือ พระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลถวายผ้าพระกฐินโดยขบวนพยุหยาตราทางชลมารค ไปยังวัดอรุณราชวราราม
|
พระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10 ระหว่างวันที่ 4-6 พ.ค. 2562 ถือเป็นพระราชพิธีครั้งที่ 12 นับตั้งแต่มีการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์มา 237 ปี
|
international-40768911
|
https://www.bbc.com/thai/international-40768911
|
จีนเตรียมเปิดใช้สะพานเชื่อมฮ่องกง-จูไห่-มาเก๊า ปลายปีนี้
|
จีนเริ่มก่อสร้างสะพานนี้ตั้งแต่ปี 2552 และใช้เวลาถึง 3 ปีในการปูพื้นถนนคิดเป็นพื้นที่ 700,000 ตารางเมตร ถนนซึ่งถูกปูด้วยแอสฟัลต์คอนกรีตได้รับการออกแบบมาให้ใช้งานได้นาน 15 ปี คิดเป็น 3 เท่าของอายุการใช้งานทางด่วนปกติ จู ติ้ง รองผู้อำนวยการหน่วยจัดการวิศวกรรมขององค์การบริหารสะพานฮ่องกง-จูไห่-มาเก๊า กล่าวว่า "คุณลักษณะที่สำคัญที่สุดของแอสฟัลต์ที่มีรูพรุนก็คือความสามารถในการปรับตัวต่อการเคลื่อนไหวของแผ่นเหล็กบนถนน ขณะเดียวกันมันก็มีอัตราการดูดซึมที่ต่ำ ทำให้ช่วยรักษาแผ่นเหล็กได้ดี" นอกจากแอสฟัลต์คอนกรีตแล้ว พื้นถนนยังถูกปูด้วยวัสดุกันน้ำหลายชั้น ช่วยทำให้ถนนได้รับการปกป้องในสภาวะอากาศที่ไม่เหมาะสม อย่างเช่น ความชื้นสูง ในตอนแรกทางการจีนมีกำหนดเปิดใช้สะพานดังกล่าวเมื่อปีที่แล้ว แต่เนื่องจากการก่อสร้างมีความล่าช้าจึงได้เลื่อนมาเปิดใช้ในปลายปีนี้แทน
|
จีนพร้อมเปิดใช้สะพานเหล็กข้ามทะเลที่มีความยาวที่สุดในโลกปลายปีนี้ หลังจากที่งานก่อสร้างในส่วนหลักได้เสร็จสิ้นลง สะพานที่มีความยาวกว่า 50 กิโลเมตรนี้จะเชื่อม 3 เมืองของจีนอันได้แก่ ฮ่องกง จูไห่ และมาเก๊าเข้าด้วยกัน
|
international-40842537
|
https://www.bbc.com/thai/international-40842537
|
กรุณาระวังแรด!
|
แรดอินเดียซึ่งเป็นแรดนอเดียวมีถิ่นที่อยู่อาศัยในรัฐอัสสัมทางตะวันออกของอินเดีย โดยประชากรแรดอินเดียที่นี่คิดเป็นสัดส่วน 70% ของแรดสายพันธุ์นี้ทั่วโลก โครงการอนุรักษ์พันธุ์แรดอินเดีย ได้ทำให้ประชากรแรดเพิ่มขึ้น นับแต่ช่วงทศวรรษที่ 1970 เป็นต้นมา อย่างไรก็ตามถิ่นที่อยู่อาศัยของมันยังคงถูกคุกคาม และได้ผลักดันให้แรดต้องเข้าใกล้แหล่งชุมชนมากขึ้น
|
แรดในรัฐอัสสัมของอินเดียออกมาวิ่งเพ่นพ่านกลางถนนใหญ่ ทำให้รถที่กำลังสัญจรไปมาถึงกับต้องหักหลบหรือหยุดรถอย่างกะทันหัน
|
Subsets and Splits
No community queries yet
The top public SQL queries from the community will appear here once available.