text
stringlengths
1
1.21M
meta
dict
จุดประสงค์ที่แท้จริงของ"ตลาดหลักทรัพย์" melbourne: 1.อยากทราบถึงจุดประสงค์ที่แท้จริงครับ 2.แล้วหลักทรัพจะได้เงินจากการที่เราซื้อหุ้นได้ยังไง 3.แล้วถ้าหุ้นไม่ปันผล แล้วหุ้นตอบแทนเราเช่นไร เมื่อ: 2010-08-12T09:25:57+00:00 damiano: ตลาดหลักทรัพย์ มีไว้เพื่อเป็นตลาดแลกเปลี่ยนหลักทรัพย์กันตามชื่อนะแหละ เท่าที่ผมเข้าใจ มีไว้เพื่อเป็นตลาดรองในการซื้อขาย บริษัท ที่เอาหุ้นเข้าตลาด ก็จะมีการขายหุ้น IPO แก่ผู้ที่สนใจ เงินจากการขาย IPO นี่แหละ ที่จะเข้าไปในบริษัทครับ นึกภาพดูว่า ถ้าไม่มีตลาดรอง คนที่ซื้อหุ้น IPO ไป คงจะหาที่ขายยากมาก ทำให้ไม่มีใครสนใจหุ้น IPO บริษัท ก็จะไม่ประสบความสำเร็จในการระดมทุนครับ เมื่อ: 2010-08-12T10:07:26+00:00 damiano: ส่วน เรื่องถ้าไม่มีปันผล หุ้นก็คงจะตอบแทนเรา ด้วย capital gain ครับ พูดง่ายๆก็คือ ซื้อถูก ขายแพง ครับ เมื่อ: 2010-08-12T10:10:26+00:00 damiano: อ่อ มาแถมให้อีกเรื่องครับ บางครั้ง บริษัทที่เข้ามาในตลาด ก็ไม่จำเป็นต้องเพิ่มทุนอะไรหรอก การที่เป็นบริษัทในตลาด เหมือนจะเป็นการเพิ่มความน่าเชื่อถือกลายๆ เพราะในตลาดจะมีกฏที่จะต้องเปิดเผยงบการเงิน และ ฐานะ ของบริษัท อย่างถูกต้อง เมื่อบรฺิษัทที่เป็นคู่ค้าด้วย จะได้มั่นใจว่า ไม่ใช่บริษัทลอยๆ จะเจ้งหรือเปล่า ขายของไปแล้วจะได้เงินมั้ย ไม่รู้ว่าเข้าใจที่ผมจะสื่อมั้ย เมื่อ: 2010-08-12T10:14:57+00:00 melbourne: ถ้าผมเข้าไปซื้อหุ้นตอนนี้ หุ้นที่ผมไปซื้อจะได้เลินจากผมไปรือเปล่าครับ เมื่อ: 2010-08-12T10:25:44+00:00 damiano: melbourne เขียน:ถ้าผมเข้าไปซื้อหุ้นตอนนี้ หุ้นที่ผมไปซื้อจะได้เลินจากผมไปรือเปล่าครับ ไม่ได้ครับ เงินที่เราจ่ายไปตอนนี้ จะไปเข้าคนที่เราขายหุ้นให้ครับ แต่ผมก็ได้สิทธิ์ความเป็นเจ้าของมาเหมือนกันครับ เมื่อ: 2010-08-12T11:40:43+00:00 Warantact: ตลาดหลักทรัพย์ เหมือนตลาดสด แต่สินค้าไม่ใช่ หมูหมากาไก่ สินค้าคือ บริษัทที่ทำธุรกิจ หรือสินค้าคือเงินสดในอนาคตจากธุรกิจนั้น ถ้าคิดภายใต้กรอบนี้ ตลาด จะชื่อว่า ตลาดหลักทรัพย์ ท่านจะได้หลักทรัพย์มาครอง ถ้าคิดว่าเป็นที่ทำกำไรรายวันซื้อขายหุ้นที่มีราคาขึ้นๆลงๆ ท่านก็คิดถูก แต่ชื่อมันจะเปลี่ยนเป็น ตลาดหลอกทรัพย์ 5555 เมื่อ: 2010-08-12T13:05:27+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
ปริมาณขายรถยนต์ที่เวียดนามสูงขึ้นจนน่าสนใจ hot: แปลกจัง เมื่อ: 2005-02-23T05:31:06+00:00 น้องด๋อย: เดี๋ยวพรุ่งนี้ไปถามคนเวียดนามให้นะครับ วันนี้วันหยุด เมื่อ: 2005-02-23T06:21:38+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
ถกหลักการ พื้นฐาน เทคนิค จิตวิทยา การลงทุน oneway: ผมตั้งกระทู้นี้ขึ้นมาก็เพื่อที่จะได้ให้ทุกคนได้แสดง วิธีการส่วนตัวของแต่ละคนนะครับ ว่ามีวิธีการ หาบริษัท ที่ดีๆ หุ้นที่ดีๆกันอย่างไร     และเทคนิคของแต่ละคนเป็นอย่างไป ไม่ว่าจะด้านพื้นฐาน เทคนิค และ จิตวิทยาการลงทุนของแต่ละท่านครับ  รวมไปถึงสมาธิของแต่ละคน ก่อนที่จะกด Enter เพื่อซื้อหุ้นนั้นมานอนกอดครับ มาแชร์กันนะครับ เมื่อ: 2010-08-28T17:35:35+00:00 เด็กเลี้ยงไม้: แรกๆผมหาหุ้นจาก ร้อยคนร้อยหุ้นนี่หละครับ ลองอ่านๆหน้าใหม่ๆว่ามีอะไรน่าสนใจ แล้วก็มีใช้วิธี top-down บ้างครับ ส่วนตัวอาจจะโชคดีเพราะอ่านในร้อยหุ้นขอมูลก็แทบจะครบและมี update เรื่อยๆ ดู oppday ส่วนที่ติดตาม บางตัวซื้อไปแล้ว คิดว่าเราคิดผิดไม่สบายใจ ก็ขายทิ้งครับ ขาดทุนไม่เป็นไร เอาสบายใจมาก่อน ถ้ามันขึ้นไปก็ถือว่ามันไม่ใช่ของๆเรา ส่วนการฝึกสมาธินั้นคงต้องใช้เวลามากกว่านี้สำหรับเด็กอ่อนหัดอย่าผม เมื่อ: 2010-08-28T17:48:02+00:00 oneway: ปัจจุบัน หุ้นเป็นขาขึ้นอยู่นะครับ โอกาสแบบนี้นานนานมาที ต้องบอกก่อนนะครับ ส่วนตัวผมเป็น Vi ก็ถือ หุ้น sta hmpro มาต้องแต่ปี 08 ละ  และก็นำเงินอีกส่วนหนึ่งที่ได้จากปันผลของ Sta Hmpro มาเล่นแบบเก็งกำไรสุดๆ  จิตวิทยาช่วงนี้ ผมเรียกตัวเองว่า ไอ้หนุ่มหมัดเมา หุ้นยิ่งขึ้น ยิ่งต้องซื้อ ไม่สนใจ พื้นฐานครับตอนนี้ ลุยแหลกครับ ซื้อโดยไม่ต้องใช้ เทคนิค ไม่ต้องพึงพื้นฐาน แต่เวลาขาย ๆตามเทคนิคนะครับ  ผมว่าช่วงนี้ตัวเองก็เหมือนนักพนันมากกว่า เหตุที่ผม ซื้อแบบไม่สนอะไร ก็คือ หุ้นขึ้น เกือบ 300ตัว ลง 80 ตัว เท่าเดิม 80 ตัว เพราะฉะนั้น ผมมีโอกาสถูกมากกว่าผิดครับ  ตอนนี้ผมก็ลุย กับหุ้น เน่าๆที่ยังคงมีการเก็งกำไร กันอย่างเมามัน ไม่ว่าจะเป็น   True Tmb Ssi Jas เป็นต้นครับ  ต้องบอกก่อนนะครับว่าโดยหลัก VI หากมีคนเข้ามาซื้อเยอะๆ ผมจะถือว่ามันหมดรอบแล้ว เราควร อำลา   แต่ตอนนี้เราต้องตามครับ โอกาสมันอยู่ข้างหน้า อย่างไรก็ตามหากรู้ว่าเราผิด เราก็ต้องยอมมอบตัวครับ อย่าหนีความจริงนะครับ อีกครั้งนะครับเราต้องรู้จุดที่เราจะต้องตัดใจ อย่าถือนะครับหากมันมาถึงจุดนั้น  แต่สำหรับผม ผมตั้งขาดทุนไว้ 15% ครับ เพราะตลาดขาขึ้น ไม่นานหรอกครับ ผลที่ขาดทุน 15% จะพลิกเป็นกำไร 15% ย้ำนะครับเป็นความเชื่อส่วนบุคคลให้ไว้เป็นกรณีศึกษา เมื่อ: 2010-08-28T17:49:14+00:00 เด็กเลี้ยงไม้: หุ้นขึ้น เกือบ 300ตัว ลง 80 ตัว เท่าเดิม 80 ตัว เพราะฉะนั้น ผมมีโอกาสถูกมากกว่าผิดครับ วิธีของคนเราก็ต่างๆกันไปครับ ผมหุ้นที่ไม่รู้จักไม่ได้ศึกษาผมก็ไม่ซื้อครับ>>>มันเป็นกฏที่ตั้งไว้ อีกอย่างอาจจะเป้นเพราะผมไม่มีดวงทางด้านเล่นพนันก็ได้ครับ เมื่อ: 2010-08-28T18:02:59+00:00 oneway: หุ้นที่ไม่รู้จักไม่ได้ศึกษาผมก็ไม่ซื้อครับ>>>มันเป็นกฏที่ตั้งไว้ ดูไว้นะครับ หลักการของ Vi ตัวจริง ผมชื่นชมครับ เมื่อ: 2010-08-28T18:14:25+00:00 เด็กเลี้ยงไม้: ฟังแล้วดูเท่ห์จังครับ vi ตัวจริง ขอบคุณครับ แม้จะยังไม่ถึงขั้นก็ตาม จริงๆแล้ว กฏนี้ตั้งขึ้นมาเพื่อให้ผม รอด หรือลดความเสียงในสิ่งที่ผมไม่รู้เท่านั้นเองครับ ตอนก่อนผมเคยเข้าไปเล่น หุ้นปั่นด้วยครับแฮะๆๆ ใช้เงินไม่มาก แต่ตื่นเต้นมากๆๆๆๆเลยครับได้มาแล้วก็สียไป กฏนี้จึงถูกตั้งขึ้นหลังจากเข้ามาศึกษาแนว value ครับ เมื่อ: 2010-08-28T18:27:26+00:00 Jazzman: [quote="oneway"]ปัจจุบัน หุ้นเป็นขาขึ้นอยู่นะครับ โอกาสแบบนี้นานนานมาที ต้องบอกก่อนนะครับ ส่วนตัวผมเป็น Vi ก็ถือ หุ้น sta hmpro มาต้องแต่ปี 08 ละ เมื่อ: 2010-08-29T00:05:06+00:00 sakura525: ตอนนี้เริ่มศึกษาหุ้นที่เราสนใจ ดูแนวโน้มเศรษฐกิจ อนาคตมันจะมีอะไรเข้ามาใหม่ๆไหม รวมถึงแทนการลงทุนระยะยาว ผลประกอบการ ผู้บริหาร เป็นต้น ส่วนใหญ่ผมดูแต่ปัจจึยพื้นฐานนะครับ  ปัจจัยทางเทคนิคว่าจะหาความรู้เพิ่มเติมอีกที ผมกะจะแบ่งทุนเป็นสองกอง โดยกองแรกจะเน้นหุ้นปันผล ที่ธุรกิจไม่เกี่ยวข้องกัน และกองที่สองหุ้นเก็งกำไรระยะกลางครับ ตอนนี้ก็เล็งตัวที่สนใจแล้ว เดี่ยวเปิดบัญขีเสร็จจะลองศึกษาการเทรดหุ้น การใช้โปรแกรมต่อครับ เมื่อ: 2010-08-29T06:31:05+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
ธุรกิจอะไรน่าจะได้ประโยชน์จากโรงไฟฟ้า triathlon: คุยกับเพื่อน ได้ข้อมูลว่าความต้องการใช้ไฟในเขตกรุงเทพเพิ่มสูงมากขึ้น อย่างแถวพระรามเก้า ลาดพร้าว รัชดา ที่ขึ้นคอนโดและห้างกันกระหน่ำ พอสร้างเสร็จ ต้องติดแอร์ทุกห้องแน่ๆ ไฟฟ้าไม่พอใช้ ต้องมีการตั้งสถานีย่อย เลยถามตัวเองว่างั้นหุ้นตัวไหน ที่น่าจะได้ประโยชน์จากโอกาศทางธุรกิจตรงนี้ ไม่ณุ้คิดไกล นานไปหรือเปล่า เมื่อ: 2007-02-13T06:33:09+00:00 ลูกอิสาน: ถ้าตรงๆก็ต้อง ratch egcomp scg glow banpu ถ้าบางส่วนก็ต้อง rojana top suc ck itd ptt pttep ถ้าอ้อมๆสร้างโรงไฟฟ้าก็ stech uec mcs stpi หรือพวกตามน้ำก็ akr trt demco ple trc ไม่คิดไกลหรอกครับ การใช้ไฟ้ฟ้าเพิ่มขึ้นทุกปีติดต่อกันหลาย 10 ปี เว้นแต่ 1-2 ปีตอนวิกฤติ คิดง่ายๆว่าถ้ามีคนใช้แอร์เพิ่ม ก็ต้องผลิตไฟเพิ่มครับ เมื่อ: 2007-02-13T07:24:06+00:00 beammy: ลูกอิสาน เขียน:ถ้าตรงๆก็ต้อง ratch egcomp scg glow banpu ถ้าบางส่วนก็ต้อง rojana top suc ck itd ptt pttep ถ้าอ้อมๆสร้างโรงไฟฟ้าก็ stech uec mcs stpi หรือพวกตามน้ำก็ akr trt demco ple trc ไม่คิดไกลหรอกครับ การใช้ไฟ้ฟ้าเพิ่มขึ้นทุกปีติดต่อกันหลาย 10 ปี เว้นแต่ 1-2 ปีตอนวิกฤติ คิดง่ายๆว่าถ้ามีคนใช้แอร์เพิ่ม ก็ต้องผลิตไฟเพิ่มครับ      ... เมื่อ: 2007-02-13T07:29:04+00:00 สุมาอี้: วันนี้เกิดอะไรกับ EGCOMP RATCH GLOW  :?: เมื่อ: 2007-02-13T07:51:39+00:00 triathlon: [quote="สุมาอี้"]วันนี้เกิดอะไรกับ EGCOMP RATCH GLOW เมื่อ: 2007-02-13T07:54:57+00:00 Little Boy: [quote="สุมาอี้"]วันนี้เกิดอะไรกับ EGCOMP RATCH GLOW เมื่อ: 2007-02-13T10:02:03+00:00 scholl: สุมาอี้ เขียน:วันนี้เกิดอะไรกับ EGCOMP RATCH GLOW  :?: BANPU สายพานส่งถ่านหินพัง มะทราบสาเหตุ แจ้งเหตุสุดวิสัยให้ลูกค้าแล้ว ใช้เวลาซ่อมอย่างต่ำ 1 สัปดาห์ เข้าใจว่า GLOW RATCH GLOW น่าจะรับถ่านหินจาก BANPU ก็คาดว่ากำลังการผลิตไฟฟ้าน่าจะสะดุด ซึ่ง โรงไฟฟ้าถ่ายหินมันจะมีข้อเสียอยู่นิดนึงคือกว่าจะจุดเครื่องติดจะต้องใช้ เวลานานเป็นวันถึงเกือบอาทิตย์ก็มีครับ ใช้น้ำมันเข้าไปจุดก่อนเยอะครับ ประมาณแสนลิตรถ้าเกิดการสะดุดของ Supply ถ่านหินจะเกิดผลกระทบค่อนข้างเยอะครับ ยกเว้นว่าจะมีการสำรองเอาไว้ เมื่อ: 2007-02-13T12:46:50+00:00 ตาหมูอ้วน.: RATCH ใช้ก๊าซธรรมชาติในการผลิตไฟฟ้าครับ ไม่ได้ใช้ถ่านหิน เมื่อ: 2007-02-13T13:16:23+00:00 opal: ขอเพิ่มให้นะครับ ratch egcomp glow พวกนี้จะมีสัญญาซื้อ-ขายไฟฟ้าตายตัวกับ กฟผครับ การเติบโตจะเกิดขึ้นได้ก็จากการลงทุนสร้างโรงไฟฟ้าเพิ่มครับ อย่างการประมูลสร้างโรงไฟฟ้าเพิ่ม โรงไฟฟ้าพวกนี้ใช้เชื้อเพลิงแก็สธรรมชาติครับและใช้นำมันเตาแทนได้(แต่ต้นทุนจะสูงมาก) ที่ราคาขึ้นมาสูงในช่วงนี้ผมคิดว่ามาจากratchและegcompมีการลงทุนในการสร้างโรงไฟฟ้าเขื่อนน้ำเทิน2(ที่ สปปลาว)ครับ เมื่อ: 2007-02-13T15:10:21+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
สัมมนา Biz Model และ Fin Analysis แบบฉบับthaivi Mon money: เนื่องจากคำเรียกร้องมาอย่างหนาหูให้เปิดอีกสักครั้ง และเนื่องจากปลายปีหาห้องสัมมนายากเพราะเป็นฤดูถลุงงบประมาณเก่าของเหล่าข้าราชการ ดังนั้นจะขอเปิดอีกครั้งในราววันที่ 6 ตุลาคม หรือ 13 ตุลาคมที่จะถึงนี้ ส่วน วิเคราะห์งบรอบสองจะเปิด ราวๆ 20 หรือ 27 ตุลาคมนี้ เนื่องจาก biz model มีผู้จองไว้เมื่อคราวที่แล้วบ้าง ดังนั้นผู้สนใจกรุณาส่ง Email ไปที่ [email protected] เพื่อแจ้งความประสงค์ด่วนครับ มิฉนั้นหาสถานที่ไม่ได้ ปีนี้มีสิทธิ์อดกัน เมื่อ: 2007-09-19T14:27:07+00:00 amithapuz: อยากทราบรายละเอียดเพิ่มเติมน่ะครับ มีค่าใช้จ่ายยังไง จัดที่ไหน พอดีเพิ่งเข้ามาสนใจการลงทุนยังไม่ค่อยมีความรู้เรื่องนี้เท่าไหร่ครับ รบกวนด้วยครับ เมื่อ: 2007-09-19T14:48:16+00:00 คนเรือ VI: ถ้าไม่รังเกียจ ผมอาจจะจัดหาสถานที่เล็กๆพอสำหรับ 30 คนได้ครับ เดี๋ยวหาอุปกรณ์เอา พวกไมค์ เครื่องเสียงเช่าเอา กระดานไวท์บอร์ดมีอยู่แล้ว ค่าเช่าห้องผมสปอนเซอร์เอง เมื่อ: 2007-09-19T14:54:13+00:00 Qคุง: ท่านอาจารย์มนครับอยากทราบรายละเอียดและค่าเสียหายครับ แต่ขอจอง 2 ที่ครับ อยากให้เป็นเสาร์ที่ 13 ต.ค. ครับ เพราะ 6 ต.ค.มีนัดพาสุดที่รักคนที่ 2 ไปหาหมอ เมื่อ: 2007-09-19T14:58:10+00:00 pekk: จองด้วยครับ วันที่ 6 หรือ 13 ก็ได้ครับ ว่างทั้งสองวัน เมื่อ: 2007-09-19T16:55:14+00:00 miracle: อย่างนี้พลาดไม่ได้น่าครับ เอ๋จะได้ไปไหมเนี่ย อยู่ในช่วยส่งงาน แต่ Fin analysis อยู่นอกเหนือช่วงนั้นน่าจะได้ไป เมื่อ: 2007-09-20T00:58:07+00:00 artvr4: 6 ไม่ว่างครับไม่สามารถไปได้แน่นอนเลย หากว่าเป็นวันที่13 ได้จะสะดวกกว่าครับ รอดูว่าจัดวันไหนก่อนละกันครับ แต่อยากไปด้วยเพราะว่าเรียนกับพี่มนมา 2 ครั้งแล้ว จะได้ครบเซทไปเลย เมื่อ: 2007-09-20T01:12:26+00:00 กุหลาบงามหลังฝน: ถ้าวันเสาร์ 13 ขอตามไปด้วยหนึ่งที่นะคับ เมื่อ: 2007-09-20T05:42:12+00:00 deweykung: มีเงื่อนไขหรือคุณสมบัติในการเข้าร่วมมั้ยครับ? อยากเปิดหู เปิดตา และเปิดกะลาบ้างอ่าครับ ถ้าไม่มี ขอลงชื่อจองด้วยคนนะครับ เมื่อ: 2007-09-20T07:04:19+00:00 Jangster: อยากจองชื่อไว้สำหรับ Fianncial Statement Analysis ครับ.... ตอนนี้ยังว่างอยู่ทั้งสองวัน แต่หากติดอะไรจะบอกไว้ล่วงหน้าอย่างไม่รอช้าครับ เมื่อ: 2007-09-20T07:08:47+00:00 Mon money: ติดต่อไปที่ [email protected] ครับ เขาจะส่งรายละเอียดให้ ส่วนค่าเสียหาย 1800 บาทต่อ เรื่องครับ เมื่อ: 2007-09-20T11:46:36+00:00 tenkafubu: เปิดอบรมเป็นวันอาทิตย์ที่ 7  ได้ไหมครับ.. เพราะว่าจะมีอีกหลายคนไปร่วมอบรมได้.. ส่วนผม วันเสาร์ที่ 6  มีอบรมของบริษัทครับ ลองพิจารณาข้อเสนอนี้ดูน่ะครับ.. ขอบพระคุณล่วงหน้าครับ.. เมื่อ: 2007-09-20T12:24:55+00:00 Image&Word: ผมจอง หนึ่งที่ครับ สำหรับ Fin analysis ขอข้อมูลด้วยนะครับ เมื่อ: 2007-09-20T16:01:01+00:00 poppo: มาเชียร์วันเสาร์ที่ 13 ด้วยครับ วันที่ 6 สงสัยจะอยู่เวร แต่ทั้งนี้ แล้วแต่ความสะดวกของ พี่มน คุณพรรณ และทีมงานแล้วกันครับ เมื่อ: 2007-09-20T16:43:01+00:00 MindTrick: [quote="tenkafubu"]เปิดอบรมเป็นวันอาทิตย์ที่ 7 เมื่อ: 2007-09-20T20:57:08+00:00 Mon money: มีโอกาสเป็นวันอาทิตย์ค่อนข้างสูงครับ เพราะหาสถานที่ยากอยู่ เมื่อ: 2007-09-21T01:30:27+00:00 Quattro: สนับสนุนวันอาทิตย์ด้วยคนครับ ขอบคุณพี่มน และทีมงานที่จัดงานนะครับ เมื่อ: 2007-09-21T06:27:54+00:00 แม่แฝด3: ขอวันที่ 13 หรือวันอาทิตย์ก็ได้ค่ะ  ขอรายละเอียดการโอนเงินด้วยค่ะ เมื่อ: 2007-09-21T06:42:37+00:00 MindTrick: คุณจินตนา ยังไม่มีเวลาตอบเมลหรอครับ รออยู่นะครับ  :D เมื่อ: 2007-09-21T17:57:17+00:00 Jinny Wan: [quote="MindTrick"]คุณจินตนา ยังไม่มีเวลาตอบเมลหรอครับ รออยู่นะครับ เมื่อ: 2007-09-22T03:49:59+00:00 MindTrick: Jinny Wan เขียน: มาแล้วค่ะ ขอโทษที่ให้รอนานค่ะ แหมดีใจจังมีคนรอเราด้วย พรรณน่าจะส่งอีเมล์กลับไปให้แล้วนะคะคุณ MindTrick ตอบช้าไปนิดค่ะ พอดีงานที่บริษัทกองเท่าภูเขาเลย ส่วนเรื่องกำหนดการทั้งสองคอร์ส วิเคราะห์งบ และ วิเคราะธ์ธุรกิจ รอบสอง น่าจะได้กำหนดการที่แน่นอนภายในต้นสัปดาห์หน้าค่ะ ตอนนี้โรงแรมค่อนข้างเต็มมากค่ะ พรรณกำลังให้ Sale เคลียร์ห้องให้อยู่ค่ะ จะพยายามสรุปให้เร็วสุดค่ะ เพราะน่าจะเป็น 2 รอบสุดท้ายสำหรับปีนี้ (ถ้าไม่รวมจัดก๊วนตีกอลฟ์ให้พี่มน :lol: เห็นฟิตมากท่าทางจะร้อนวิชา)  หลังจากจบสองคอร์สนี้ก็คงพักยาวไปถึงปีหน้า เมื่อชาว VI ต้องการค่ะ ลองมองสถานที่จัดตามมหาลัยก็ีดีนะครับ เอาที่รถไฟฟ้าผ่านๆก็ จุฬา ,มศว. แถมอุปกรณ์+โปรเจคเตอร์พร้อมด้วย วันอาทิตย์จะดีมาก  :D เมื่อ: 2007-09-22T17:56:21+00:00 MO101: จอง 1 ที่ครับ เมื่อ: 2007-09-23T17:29:14+00:00 jung_oh: ถ้าได้วันกับสถานที่แล้ว รบกวนแจ้งด้วยนะครับ ถ้าสะดวก จะจองทันทีเลยครับ ไม่อยากจองก่อน กลัวจองไปแล้วเกิดไม่สะดวก  :D เมื่อ: 2007-09-24T03:17:21+00:00 Jinny Wan: กำหนดการออกมาแล้วค่ะ สำหรับ Biz Model Analysis Course (วิเคราะห์ธุรกิจเพื่อการลงทุน) เมื่อ: 2007-09-24T08:58:45+00:00 Jinny Wan: กำหนดการออกมาแล้วค่ะ สำหรับ Financial เมื่อ: 2007-09-24T09:06:37+00:00 pekk: จอง Biz model สองที่ครับ เดี๋ยวโอนเงินเสร็จแล้วจะบอกอีกทีครับ เมื่อ: 2007-09-24T15:28:58+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
หุ้นแบงค์เป็นหุ้นเหมาะกับการลงทุนไหมคับ hot: ถ้าผมเลือกscb เป็นไงบ้างคับ หุ้นแบงค์นี้ ขอความเห็นด้วยคับ เมื่อ: 2004-06-24T15:02:12+00:00 chatchai: คุณเข้าใจงบการเงินของธนาคารมากน้อยแค่ไหน รวมทั้งกฎเกณฑ์ต่างๆของแบงค์ชาติที่ออกมาบังคับธนาคารพาณิชย์ทั้ปัจจุบันและในอนาคตอันใกล้ ถ้าเราไม่รู้เรื่องราวแบบนี้ ก็ถือว่าเป็นการเสี่ยงครับ อาจจะกำไรหรือขาดทุนก็ได้ เมื่อ: 2004-06-25T02:47:32+00:00 นะ: ผมไม่รู้เป็นไงถึงชอบแต่ "ล่ำชำ" นอกจากรถเช่า แล้วก็เพิ่งมีธนาคารล่ำซำเข้ามา ไว้เก็งกำไรดอกเบี้ยขาขึ้น เมื่อ: 2004-06-25T04:55:34+00:00 นะ: แล้วธุรกิจประกันภัย พวก TIP PHA แบบนี้เหมาะสำหรับ VI หรือปล่าวคะ....ขอผู้รู้ช่วยตอบเป็นวิทยาทานด้วย เพราะมีการให้ปันผลเหมือนกัน... เมื่อ: 2004-06-25T13:27:30+00:00 Minesweeper: มีหุ้น SCB ครับ แต่สารภาพตามตรงว่า ไม่มีความสามารถที่จะวิเคราะห์ เพื่อหามูลค่าที่ลงทุนได้เหมือนกันครับ เลยซื้อแบบ ทิ้งขว้างพอสมควรครับ กะให้เป็นไปตามการเติมโตของเศรษฐกิจ เรื่องกฎเกณฑ์การตั้งสำรองใหม่ของแบงค์ชาติ ที่จะไม่อนุญาติให้นำหลักประกันมาหัก NPL ก่อนคิดเปอร์เชนต์ตั้งสำรองได้แล้ว คงมีผลพอควรสำหรับบางแบงค์ครับ จริงๆ แล้ว เรื่องนี้ ผมว่า มันก็เป็นเพียงตัวเลขนะ จะมีผลต่อตัวเลขกำไรถ้าต้องตั้งสำรองมากขึ้น ... ที่ผมเห็นตามบทวิเคราะห์ ส่วนใหญ่เขาก็จะไม่ใช้เลขกำไรมาตั้งราคาเหมาะสมกันมากนักนะครับ จะให้ตาม BV มากกว่า เมื่อ: 2004-06-25T15:30:33+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
เปิดชื่อหุ้นเสี่ยงในมือมอร์แกน-โกลด์แมนแซคส์ vichit: เปิดชื่อหุ้นเสี่ยงในมือมอร์แกน-โกลด์แมน เปิดโผรายชื่อหุ้นไทย     ในมือโกลด์แมนแซคส์กว่า    36    บจ.    และมอร์แกน สแตนเลย์อีก   50   บจ.   มูลค่ารวม   24,414.34   ล้านบาท  ที่มีสืทธิถูกเทขายสาเหตุเพราะ   2   วาณิชธนกิจ   ต้องลดสัดส่วนการลงทุน   เนื่องจากแปรสภาพเป็นแบงก์แล้ว    หุ้นไทยกลายเป็นเป้าหมายแรกของการลดพอร์ต   กระจายอยู่ทุกกลุ่มอุตสาหกรรม บลูชิพมีแทบทุกตัว ขณะที่โบรกเกอร์แนะรายย่อยรอช้อนของถูก จากการรวบรวมข้อมูล พบว่า ในช่วงปี 2551 GOLDMAN SACHS INTERNATIONALได้มีรายชื่อเป็น ผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัทจดทะเบียน(บจ.)ของไทยอยู่จำนวน 36 บริษัท โดยถือเอาวันปิดสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นล่าสุดของแต่ละบริษัทมาคำนวณ   ส่วนมูลค่าหุ้น   คิดจากราคาปิด ณวันที่ 24 กันยายน 2551 มีดังนี้ 1.หุ้นBBL มูลค่า 2,477.30 ล้านบาท 2.หุ้น  ADVANCมูลค่า  1,376.62  ล้านบาท 3.หุ้นBANPU มูลค่า 703.72 ล้านบาท 4. หุ้น INOX มูลค่า689.64 ล้านบาท 5.หุ้นTTA มูลค่า 662.25 ล้านบาท 6.หุ้น AOT มูลค่า 631.43 ล้านบาท 7.IRPC มูลค่า 19.65 ล้านบาท 8.หุ้นMAJOR มูลค่า 365.19ล้านบาท 9. หุ้น PDI มูลค่า 352.20 ล้านบาท 10.หุ้น TRUE มูลค่า 286.60 ล้านบาท 11. หุ้นHMPROมูลค่า 282.88 ล้านบาท 12.หุ้น MINT มูลค่า 226.61 ล้านบาท 13.หุ้นE มูลค่า 217.10 ล้านบาท 14.หุ้น GSTEEL มูลค่า 216.73ล้านบาท 15.หุ้น LPN มูลค่า 190.07 ล้านบาท 16.หุ้น BHมูลค่า 151.26 ล้านบาท 17.หุ้นGOLDมูลค่า150.86ล้านบาท 18.หุ้นITDมูลค่า137.38ล้านบาท 19. หุ้นTSTH มูลค่า 102.31 ล้านบาท 20.หุ้นVNG มูลค่า 99.43 ล้านบาท 21.หุ้น TISCO มูลค่า 97.86 ล้านบาท 22.หุ้น AI มูลค่า 81.61ล้านบาท 23.หุ้น MCS มูลค่า 67.49 ล้านบาท 24.หุ้น  MINOR มูลค่า 56.51 ล้านบาท 25.หุ้น SAT มูลค่า 53.07 ล้านบาท 26.หุ้น ASP มูลค่า  33.93  ล้านบาท 27.หุ้นDCCมูลค่า 32.23 ล้านบาท 28.หุ้นTSC มูลค่า 28.88 ล้านบาท 29.หุ้น STEC มูลค่า 26.78 ล้านบาท 30.หุ้น MACO มูลค่า 24.71ล้านบาท 31.หุ้น TKS มูลค่า 21.28 ล้านบาท 32.หุ้น BSEC มูลค่า 20.17 ล้านบาท 33.หุ้นACL มูลค่า 17.94 ล้านบาท 34.หุ้นGYT มูลค่า 17.32 ล้านบาท 35.หุ้น SNC มูลค่า 17.04 ล้านบาท และ 36.หุ้น WG มูลค่า 6.30 ล้านบาท คิดเป็นมูลค่ารวมทั้งหมด 10,489.21 ล้านบาท ส่วน MORGAN STANLEY & CO. INTERNATIONAL PLC ก็มีรายชื่อในบัญชีผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทจดทะเบียน(บจ.)จำนวน 50 บริษัท โดยถือเอาวันปิดสมุดทะเบียนประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2551 ส่วนมูลค่าหุ้น คิดราคาปิด ณ วันที่ 24 ก.ย.เช่นกัน มีดังนี้ 1.หุ้น CPF มูลค่า 194.20 ล้านบาท 2.หุ้น TVO มูลค่า 83.5 ล้านบาท 3.หุ้น TR มูลค่า 0.47 ล้านบาท 4.MODERN มูลค่า 234.38 ล้านบาท 5.หุ้น SIAM มูลค่า 217.60 ล้านบาท 6.หุ้น DSGT มูลค่า 33.08ล้านบาท 7.หุ้นACL มูลค่า 63.06 ล้านบาท 8.หุ้นBBL มูลค่า3,958.02 ล้านบาท 9.หุ้น BT มูลค่า 1.32 ล้านบาท 10.หุ้น KBANK มูลค่า 359.88 ล้านบาท 11. หุ้นKK มูลค่า 372.63 ล้านบาท 12.หุ้นKTB มูลค่า 86.41 ล้านบาท 13.หุ้น SCB มูลค่า 105.35 ล้านบาท 14.หุ้น SCIB มูลค่า 446.17 ล้านบาท 15.หุ้นTCAPมูลค่า  407.58  ล้านบาท  16.หุ้น TISCO มูลค่า 455.43 ล้านบาท 17.หุ้น AEONTS มูลค่า 203.11ล้านบาท 18.หุ้น KEST มูลค่า243.85 ล้านบาท 19.หุ้น KTC มูลค่า 102.91ล้านบาท 20.หุ้น PHATRA มูลค่า 101.84 ล้านบาท 21.หุ้น SICCO มูลค่า13.95 ล้านบาท 22.หุ้น SMK มูลค่า 0.25 ล้านบาท 23.หุ้น SAT มูลค่า 165.28 ล้านบาท 24.หุ้น THIP มูลค่า 2.15ล้านบาท 25.หุ้น AI มูลค่า 266.84 ล้านบาท  26.หุ้น  BANPU มูลค่า 1,246.56 ล้านบาท 27. หุ้นBCP มูลค่า 127.97 ล้านบาท 28.หุ้น EASTW มูลค่า 158.84 ล้านบาท 29.หุ้น EGCOมูลค่า 21.74 ล้านบาท 30.หุ้นESSO มูลค่า352.67 ล้านบาท 31.หุ้น GLOWมูลค่า 1.81ล้านบาท 32.หุ้นPTTมูลค่า 447.41 ล้านบาท 33.PTTEP มูลค่า 159.45 ล้านบาท 34.หุ้น TOP มูลค่า 565.9 ล้านบาท 35.หุ้น THL มูลค่า 1.97 ล้านบาท 36.หุ้น CPALL มูลค่า 500.47 ล้านบาท 37.หุ้น IT มูลค่า 159.05 ล้านบาท 38.หุ้น SINGER มูลค่า 0.38 ล้านบาท 39.หุ้น BEC มูลค่า 775.63 ล้านบาท 40.หุ้น  MAJOR มูลค่า 189.78 ล้านบาท 41.หุ้น THAI มูลค่า 21.89 ล้านบาท 42. TTA มูลค่า 453 ล้านบาท 43.หุ้น CCET มูลค่า 115.88 ล้านบาท 44. หุ้น DELTA มูลค่า 315.11  45.หุ้น HANA มูลค่า 1 ล้านบาท 46.หุ้น DTAC มูลค่า 60.06 ล้านบาท 47.หุ้น JASมูลค่า 1.14 ล้านบาท 48.หุ้น STANLY มูลค่า 53.07 ล้านบาท 49. หุ้น BH มูลค่า 16.75 ล้านบาท และ 50.หุ้น SE-ED 58.4 ล้านบาท คิดเป็นมูลค่ารวมทั้งหมด 13,925.13 ล้านบาท แหล่งข่าวจากผู้จัดการกองทุนต่างประเทศ กล่าวว่า จากตัวเลขการถือหุ้นทางตรงของ  โกลด์แมน แซคส์ และมอร์แกน สแตนเลย์ พบว่ามีการถือหลักทรัพย์ในตลาดหุ้นไทยมากถึง 2.44 หมื่นล้านบาท ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่มากพอสมควร ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาภายหลังจากที่เกิดปัญหาซับไพร์มก็มีการทยอยเทขายหุ้นออกไปแล้ว การที่ราคาหุ้นเหล่านี้จะปรับตัวลดลงอีก คงจะมีไม่มาก ทั้งนี้จากการที่บริษัททั้งสองแปรสภาพจากวาณิชธนกิจเป็นธนาคารพาณิชย์ ทำให้นโยบายการลงทุนเปลี่ยนไป ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่ โกลด์แมน แซคส์ และมอร์แกน สแตนเลย์จะขายหุ้นไทยทิ้งออกไปจนหมด เนื่องจากนโยบายของการเป็นธนาคาร ทำให้ต้องขายสินทรัพย์ออกไปเพื่อไม่ให้เกิดการลงทุนที่มากกว่า 12 เท่าของเงินกองทุน ตามกฎเกณฑ์ของธนาคารสหรัฐฯ อย่างไรก็ตามการลงทุนของโกลด์แมน แซคส์ และมอร์แกน สแตนเลย์ ถ้าหากต้องขายหุ้นออกมา มีการประเมินว่ายังมีกำไร เนื่องจากต้นทุนที่ทยอยสะสมหุ้นนั้น มีต้นทุนที่ต่ำมากเมื่อเทียบกับราคาปัจจุบัน ถึงแม้ราคาหุ้นจะปรับตัวลดลงมาแรงก็ตามที "กรณีการเปลี่ยนนโยบายการลงทุนของ โกลด์แมน แซคส์ และมอร์แกน สแตนเลย์ จะเป็นตัวบีบให้ต้องขายสินทรัพย์ออกมา ซึ่งหุ้นไทยจะเป็นหนึ่งในเป้าหมายที่จะถูกลดการลงทุนก่อน แต่ถ้าหากมองในด้านดี นักลงทุนไทยจะได้เก็บของถูก การเข้าไปซื้อหุ้นตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา ซึ่งคงต้องรออีกสักระยะหนึ่งก่อน"แหล่งข่าวกล่าว วันที่ 26 ก.ย. 2551 แสดงข่าวมาแล้ว 1วัน 11ช.ม. 32นาที   BBL Price %Change High Low P/E BV 106.00 0.95 % 106.00 103.00 10.17 1.21 ADVANC Price %Change High Low P/E BV 82.50 0.00 % 83.00 81.00 12.16 3.18 BANPU Price %Change High Low P/E BV 332.00 -0.60 % 332.00 330.00 11.17 2.40 INOX Price %Change High Low P/E BV 1.06 0.95 % 1.06 1.06 103.82 0.65 TTA Price %Change High Low P/E BV 27.00 -3.57 % 27.50 26.75 2.21 0.76 AOT Price %Change High Low P/E BV 33.25 0.00 % 33.25 32.50 7.12 0.63 IRPC Price %Change High Low P/E BV 4.12 0.00 % 4.12 4.06 6.91 0.84 MAJOR Price %Change High Low P/E BV 10.00 0.00 % 10.30 9.95 11.71 1.57 PDI Price %Change High Low P/E BV 18.10 0.00 % 18.40 18.00 8.75 0.96 TRUE Price %Change High Low P/E BV 2.74 1.48 % 2.76 2.70 6.25 1.52 HMPRO Price %Change High Low P/E BV 4.40 0.46 % 4.40 4.38 10.79 1.94 MINT Price %Change High Low P/E BV 11.30 0.89 % 11.40 11.20 20.11 3.49 GSTEEL Price %Change High Low P/E BV 1.26 0.80 % 1.26 1.24 2.75 0.47 LPN Price %Change High Low P/E BV 4.02 0.50 % 4.04 4.00 5.68 1.44 BH Price %Change High Low P/E BV 33.00 0.76 % 33.00 32.00 14.86 5.26 GOLD Price %Change High Low P/E BV 4.54 -2.16 % 4.64 4.50 N.A. 0.42 ITD Price %Change High Low P/E BV 4.06 -3.33 % 4.16 4.06 N.A. 1.17 TSTH Price %Change High Low P/E BV 1.61 -1.23 % 1.63 1.60 3.08 0.72 VNG Price %Change High Low P/E BV 2.90 2.11 % 2.90 2.84 6.94 0.69 TISCO Price %Change High Low P/E BV 15.90 -0.62 % 16.00 15.90 6.48 1.02 AI Price %Change High Low P/E BV 5.75 -1.71 % 5.80 5.70 7.75 1.66 MCS Price %Change High Low P/E BV 3.00 0.00 % 3.00 2.98 3.86 1.08 MINOR Price %Change High Low P/E BV 11.90 0.85 % 11.90 11.90 14.73 2.66 SAT Price %Change High Low P/E BV 11.90 0.00 % 11.90 11.70 5.24 1.45 ASP Price %Change High Low P/E BV 2.00 0.00 % 2.02 2.00 8.64 1.10 DCC Price %Change High Low P/E BV 15.70 0.00 % 15.90 15.60 9.89 2.70 TSC Price %Change High Low P/E BV 6.60 0.00 % 0.00 0.00 7.18 1.22 STEC Price %Change High Low P/E BV 3.14 -0.63 % 3.14 3.10 N.A. 0.97 MACO Price %Change High Low P/E BV 2.90 3.57 % 2.90 2.90 8.43 0.83 TKS Price %Change High Low P/E BV 0.28 -3.45 % 0.29 0.27 4.50 0.77 BSEC Price %Change High Low P/E BV 1.75 0.00 % 1.76 1.75 8.39 0.67 ACL Price %Change High Low P/E BV 3.30 -0.60 % 3.30 3.28 14.90 0.43 GYT Price %Change High Low P/E BV 300.00 0.00 % 0.00 0.00 56.49 0.79 SNC Price %Change High Low P/E BV 5.90 0.00 % 5.95 5.85 9.93 0.95 WG Price %Change High Low P/E BV 50.00 1.52 % 50.00 50.00 5.74 0.98 CPF Price %Change High Low P/E BV 4.08 0.00 % 4.10 4.06 10.42 0.67 TVO Price %Change High Low P/E BV 18.10 -0.55 % 18.40 18.00 5.54 2.78 TR Price %Change High Low P/E BV 46.00 -1.08 % 48.00 46.00 3.05 0.62 MODERN Price %Change High Low P/E BV 37.75 0.67 % 37.75 37.25 8.11 1.26 SIAM Price %Change High Low P/E BV 2.72 -0.73 % 2.78 2.72 4.73 0.70 DSGT Price %Change High Low P/E BV 3.10 1.97 % 3.14 3.04 4.25 0.90 BT Price %Change High Low P/E BV 1.63 10.14 % 1.68 1.47 N.A. 2.25 KBANK Price %Change High Low P/E BV 64.50 -2.27 % 65.00 63.50 9.80 1.46 KK Price %Change High Low P/E BV 17.40 -1.69 % 17.80 17.30 4.21 0.49 KTB Price %Change High Low P/E BV 6.40 -3.76 % 6.50 6.40 9.47 0.73 เมื่อ: 2008-09-27T14:30:48+00:00 vichit: [quote="vichit"]เปิดชื่อหุ้นเสี่ยงในมือมอร์แกน-โกลด์แมน เปิดโผรายชื่อหุ้นไทย เมื่อ: 2008-09-27T14:32:28+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
ก.อุตสาหกรรมไฟเขียวตั้ง 12 โรงงาน มูลค่าลงทุนกว่า 5.8 พัน ลบ kongkiti: ก.อุตสาหกรรมไฟเขียวตั้ง 12 โรงงาน มูลค่าลงทุนกว่า 5.8 พัน ลบ. updated: 04 ธ.ค. 2556 เวลา 15:30:07 น. ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ นายวิฑูรย์ สิมะโชคดี ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะประธานคณะกรรมการกลั่นกรองพิจารณาอนุญาตโรงงานบางประเภทที่มีผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อม เปิดเผยหลังการประชุมเมื่อวันที่ 3 ธ.ค.56 โดยมีเรื่องเสนอเข้ามา จำนวน 13 ราย ซึ่งคณะกรรมการกลั่นกรองฯ ได้พิจารณาอนุญาตทั้งสิ้น 12 ราย ทั้งนี้ กรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.)ขอถอนเรื่องให้หน่วยงานเดิมที่มีอำนาจในการอนุญาตไปดำเนินการต่อ กรณีโรงงานขาดต่ออายุการต่ออนุญาต โดยไม่ต้องนำเข้าที่ประชุมคณะกรรมการกลั่นกรองฯ จำนวน 1 ราย จึงทำให้ปัจจุบันไม่มีเรื่องค้างที่คณะกรรมการกลั่นกรองฯ แต่อย่างใด "โรงงานที่คณะกรรมการกลั่นกรองฯ พิจารณาอนุญาตในครั้งนี้ 12 แห่ง มีการส่งเอกสารหลักฐานการขออนุญาตจัดตั้งอย่างถูกต้องครบถ้วนตามที่ได้กำหนดไว้ รวมทั้งมีการทำประชาพิจารณ์สอบถามความคิดเห็นจากประชาชนโดยรอบโรงงาน จึงไม่มีปัญหาการต่อต้านจากชุมชนในพื้นที่ที่มีการขออนุญาต" นายวิฑูรย์กล่าว สำหรับโรงงานที่ได้รับการอนุญาตในการประชุมคณะกรรมการกลั่นกรองฯ มี 12 ราย ดังนี้ 1.บริษัท กระเบื้องกระดาษไทย จำกัด ตั้งอยู่เลขที่ 93 หมู่ที่ 11 ตำบลบางโขมด อำเภอบ้านหมอ จังหวัดสระบุรี ประกอบกิจการผลิตกระเบื้องซีเมนต์เสริมใย กำลังการผลิตสมาร์ทบอร์ด สมาร์ทวูด 55,000/ตัน/ปี เงินลงทุน 404 ล้านบาท จ้างแรงงาน 48 คน 2.บริษัท อุทัยธานี ไบโอ เอเนอยี่ จำกัด ตั้งอยู่เลขที่ 99/1 หมู่ที่ 10 ถนนสว่างอารมณ์-ลานสัก ตำบลไผ่เขียว อำเภอสว่างอารมณ์ จังหวัดอุทัยธานี ประกอบกิจการผลิตพลังงานไฟฟ้าและไอน้ำจากชีวมวล กำลังการผลิต 116 เมกะวัตต์ เงินลงทุน 870 ล้านบาท จ้างแรงงาน 63 คน 3.บริษัท เมโทร ไฟเบอร์ จำกัด ตั้งอยู่ที่ตำบลบางเดชะ อำเภอเมืองปราจีนบุรี จังหวัดปราจีนบุรี ประกอบกิจการผลิตแผ่นใยไม้อัดแข็ง กำลังการผลิตแผ่น hard board 60,000 ตัน/ปี เงินลงทุน 280 ล้านบาท จ้างแรงงาน 120 คน 4.บริษัท โออิชิ เทรดดิ้ง จำกัด ตั้งอยู่เลขที่ 60/68 หมู่ที่ 19 ตำบลคลองหนึ่ง อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี ประกอบกิจการผลิตเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ กำลังการผลิตน้ำชาผสมบรรจุเสร็จพร้อมดื่ม 34,200 ตัน/ปี เงินลงทุน 816 ล้านบาท จ้างแรงงาน 236 คน 5.บริษัท อายิโนะโมะโต๊ะ เบทาโกร โฟรเซ่นฟู้ดส์ (ประเทศไทย) จำกัด ตั้งอยู่เลขที่ 218 หมู่ที่ 1 ตำบล ช่องสาริกา อำเภอพัฒนานิคม จังหวัดลพบุรี ประกอบกิจการผลิตอาหารสำเร็จรูปจากเนื้อสัตว์แช่เย็น หรือแช่แข็ง กำลังการผลิตไก่ชุบแป้งทอด 18,023 ตัน/ปี, ไก่ย่าง 5,918 ตัน/ปี, ไก่นึ่ง 2,959 ตัน/ปี เงินลงทุน 105 ล้านบาท จ้างแรงงาน 1,952 คน 6.บมจ.ไทยออพติคอล กรุ๊ป (TOG) ตั้งอยู่เลขที่ 15/5 ตำบลละหาร ถนนบางบัวทอง-สุพรรณบุรี อำเภอบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี ประกอบกิจการผลิตเลนส์แว่นตาพลาสติก และบรรจุเลนส์แว่นตา เงินลงทุน 269 ล้านบาท จ้างแรงงาน 744 คน 7.บริษัท ซีเกท เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด ตั้งอยู่เลขที่ 90 หมู่ที่ 15 ถนนมิตรภาพ กม.225 ตำบลสูงเนิน อำเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมา ประกอบกิจการผลิตและประกอบชิ้นส่วนอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ เงินลงทุน 986 ล้านบาท จ้างแรงงาน 11,988 คน 8.บริษัท สแกน อินเตอร์ จำกัด ตั้งอยู่เลขที่ 88/8 หมู่ที่ 3 ถ. วงแหวนตะวันตกหมายเลข 9 ตำบลบางกระบือ อำเภอสามโคก จังหวัดปทุมธานี ประกอบกิจการแบ่งบรรจุก๊าซธรรมชาติ กำลังการผลิต 91,250 ตัน/ปี เงินลงทุน 265 ล้านบาท จ้างแรงงาน 19 คน 9.บริษัท เกาะเต่า วินด์ จำกัด ตั้งอยู่หมู่ที่ 3 ตำบลเกาะเต่า อำเภอเกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี ประกอบกิจการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากพลังงานลม กำลังการผลิต 4.8 เมกะวัตต์ เงินลงทุน 320 ล้านบาท จ้างแรงงาน 7 คน 10.บริษัท สยามโซลาร์ เอ็นเนอร์ยี่ 1 จำกัด ตั้งอยู่หมู่ที่ 12 ตำบลรางสาลี่ อำเภอท่าม่วง จังหวัดกาญจนบุรี ประกอบกิจการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์ กำลังการผลิต 10.50 เมกะวัตต์ เงินลงทุน 520 ล้านบาท จ้างแรงงาน 6 คน 11.บริษัท สยามโซลาร์ เอ็นเนอร์ยี่ 1 จำกัด ตั้งอยู่หมู่ที่ 5 ตำบลหนองไผ่ อำเภอด่านมะขามเตี้ย จังหวัดกาญจนบุรี ประกอบกิจการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์ กำลังการผลิต 10.50 เมกะวัตต์ เงินลงทุน 527 ล้านบาท จ้างแรงงาน 6 คน 12.บริษัท สยามโซลาร์ เอ็นเนอร์ยี่ 1 จำกัด ตั้งอยู่หมู่ที่ 13 ตำบลหนองโอ่ง อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี ประกอบกิจการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์ กำลังการผลิต 10.50 เมกะวัตต์ เงินลงทุน 524 ล้านบาท จ้างแรงงาน 6 คน ทั้งนี้ มี 1 โรงงานที่ กรอ.ขอถอนเรื่องให้หน่วยงานเดิมที่มีอำนาจในการอนุญาตไปดำเนินการต่อ คือ บริษัท เบลตัน อินดัสเตรียล (ประเทศไทย) จำกัด ตำบลคลองหนึ่ง อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี เมื่อ: 2013-12-07T04:43:14+00:00 kongkiti: บีโอไอปลื้มมหกรรมสินค้าอุตสาหกรรมภาคตะวันออกเงินสะพัดกว่า 55 ล้านบาท updated: 04 ธ.ค. 2556 เวลา 14:30:11 น. ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ บีโอไอปลื้ม มหกรรมสินค้าอุตสาหกรรมภาคตะวันออก สำเร็จเกินคาด ยอดเงินสะพัดในงานกว่า 55 ล้านบาท คึกคักสวนกระแสการเมือง น.ส.อัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ที่ปรึกษาด้านการลงทุน สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) กล่าวว่า งานมหกรรมสินค้าอุตสาหกรมภาคตะวันออก หรือ Industrial Fair 2013 ซึ่งจัดขึ้นตั้งแต่วันที่ 29 พ.ย.- วันที่ 1 ธ.ค.2556 ณ ศูนย์กีฬาแห่งชาติภาคตะวันออก ซอยชัยพฤกษ์ 2 พัทยา จ.ชลบุรี ได้รับการตอบรับเกินคาดจากประชาชนและนักลงทุนภาคตะวันออก การจัดงานตลอด 3 วันที่ผ่านมา ถือว่าเกินเป้าหมายที่วางไว้ โดยมียอดผู้เข้าร่วมชมงานกว่า 40,000 คน มากกว่าเป้าหมายที่วางไว้ 15,000 คน ถึง 2 เท่าตัว และมียอดเงินสะพัดจากการจัดงานกว่า 55 ล้านบาท มากกว่าเป้าหมายที่วางไว้ที่ 20 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นมูลค่าจากการขายชิ้นส่วนของผู้ผลิตชิ้นส่วนไทย 41 ล้านบาท และยอดการใช้จ่ายภายในงาน 14 ล้านบาท “ด้วยความน่าสนใจของงานที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของทุกกลุ่มในทุกอุตสาหกรรม ทั้งผู้ผลิตรายเล็ก รายใหญ่ และผู้บริโภค ทำให้ได้รับการตอบรับที่ดีเกินคาดจากประชาชนและนักธุรกิจภาคตะวันออก” น.ส.อัจฉรินทร์ กล่าว กิจกรรมที่น่าสนใจในงานนี้ ประกอบด้วย นิทรรศการ Green Industry for Happy Life กิจกรรมคลินิกตอบคำถามจากหน่วยงานในกระทรวงอุตสาหกรรม กิจกรรมตลาดกลางซื้อขายชิ้นส่วน กิจกรรมขายสินค้าราคาถูกจากกระทรวงอุตสาหกรรม กว่า 264 บูธ สินค้าโอท็อประดับ 5 ดาว กิจกรรมนาทีทอง สินค้าราคา 1 บาท กิจกรรมคนดังนั่งคุย และกิจกรรมความบันเทิงและคอนเสิร์ต สำหรับการสัมมนา “รุกหรือรับ โอกาสสำหรับธุรกิจไทยในอาเซียน” ซึ่งจัดโดยกองส่งเสริมการลงทุนไทยในต่างประเทศ บีโอไอได้เชิญอาจารย์จากมหาวิทยาลัย และผู้แทนจากธนาคารพาณิชย์มาร่วมวิเคราะห์โอกาสทางธุรกิจ และการลงทุนในประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งรวมมีผู้ร่วมรับฟังสัมมนากว่า 100 คน งานมหกรรมสินค้าอุตสาหกรรมภาคตะวันออกครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของงานมหกรรมสินค้าอุตสาหกรรมภูมิภาค โดยกระทรวงอุตสาหกรรมกำหนดจัดขึ้นให้ครอบคลุม 4 ภูมิภาคทั่วประเทศ ซึ่งจะจัดในครั้งต่อไปเป็นครั้งที่ 3 คือ มหกรรมสินค้าอุตสาหกรรมภาคใต้ ที่ จ.สงขลา วันที่ 7-10 ธันวาคม 2556 ณ ศูนย์ประชุมนานาชาติฉลองศิริราชสมบัติ 60 ปี มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ จ.สงขลา และครั้งที่ 4 มหกรรมสินค้าอุตสาหกรรมภาคตะวันออกเฉียงเหนือ วันที่ 13-15 ธันวาคม ณ ห้างเซ็นทรัลพลาซ่าโคราช จ.นครราชสีมา เมื่อ: 2013-12-07T04:43:43+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
*มือใหม่อ่อนหัด ขอถามดังนี้คะ * วานรเงินล้าน: สวัสดีคะพี่ๆ ทุกท่าน มือใหม่ อยากออม อยากลงทุนสุดๆ ขอคำปรึกษาพี่ๆ ทุกท่านดังนี้คะ 1. ถ้ามีเงินอยู่ในสลากออมสิน 130,000 บาท (ยังไม่ถูกรางวัลเลย) - - น่าโยกย้าย มาลงทุนในกองทุนรวมมั้ยคะ 2. ถ้ามีเงินเหลือเดือนละ 4,000 บาท ควรเอาไปลงทุนในหุ้นดี หรือซื้อกองทุนรวมดีคะ ไม่อยากฝากประจำ ดอกเบี้ยน้อย เงินเฟ้อกัดกร่อน (เรื่องภาษีประจำปี ไม่ต้องจ่ายอยู่แล้วคะ) 3. ถ้ามีเงินอยู่ 30,000 บาท จะลงทุนในหุ้น โบรกเกอร์จะชายตามองมั้ยคะ ^ ^! ปล. สถานะเจ้าของกระทู้ ไม่มีหนี้ ต้องจ่าย และรับความเสี่ยงได้คะ ขอบพระคุณทุกท่านที่จะมาตอบ ขอให้ร่ำรวย สมหวัง คะ เมื่อ: 2009-10-27T09:23:32+00:00 babypex: 1 แล้วแต่ 2 เลือกลงหุ้นพื้นฐานดี 3 เทรดเองทาง internet วงเงินเท่าไรก็ได้ครับ เมื่อ: 2009-10-27T09:35:24+00:00 DIYB: 1. ถ้ามีเงินอยู่ในสลากออมสิน 130,000 บาท (ยังไม่ถูกรางวัลเลย) - - น่าโยกย้าย มาลงทุนในกองทุนรวมมั้ยคะ ถ้าจะไม่รอวัดดวง  แนะนำกองทุน LTF ครับ   2. ถ้ามีเงินเหลือเดือนละ 4,000 บาท ควรเอาไปลงทุนในหุ้นดี หรือซื้อกองทุนรวมดีคะ ไม่อยากฝากประจำ ดอกเบี้ยน้อย เงินเฟ้อกัดกร่อน (เรื่องภาษีประจำปี ไม่ต้องจ่ายอยู่แล้วคะ) การเก็บออม ควรสำรองเงินสดส่วนหนึ่งไว้ด้วยครับเป็นส่วนฉุกเฉิน   เข้าบัญชีประจำ 3 เดือนก็ได้  พอเป็นก้อนแล้ว  ค่อยแบ่งส่วนที่จะเก็บยาวมาลงทุนต่อ เช่น กองทุน, หุ้น, ประกันชีวิต, ... 3. ถ้ามีเงินอยู่ 30,000 บาท จะลงทุนในหุ้น โบรกเกอร์จะชายตามองมั้ยคะ สอบถามข้อมูลจากโบรกก่อนครับ  ว่าต้องมี statement ไปแสดงสักเท่าไร  (อาจต้องใช้ข้อ 1 มาช่วยก่อน) ถ้าเปิดได้แล้วให้ซื้อขายทาง net  ครับ  (สอบถามด้วยว่าคิดค่าคอมขั้นต่ำหรือเปล่า  มีหลายบริษัทคิดค่าคอมขั้นต่ำ) เมื่อ: 2009-10-27T15:01:57+00:00 Tibular: หาความรู้ให้มากไว้ก่อนครับ ลงทุนในตัวเองก่อน ลองหาความแตกต่างระหว่างการลงทุนประเภทต่างๆ ความเสี่ยงและผมตอบแทนเรารับได้ในระยะสั้นและยาว เราเข้าใจเรื่องของตลาดเงิน ตลาดทุน มากแค่ไหน น่าจะซื้อเป็นพวกกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นที่ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล หุ้นกู้บริษัทเอกชนที่มั่นคงก่อนครับ ผลตอบแทนน่าจะได้ 2-3% ต่อปี ต่อจากนั้นอาจจะลองซื้อกองทุนรวมต่างๆ โดยต้องศึกษาอย่างรอบคอบ ว่ากองทุนมีนโยบายการลงทุนอย่างไร  ถ้าจะให้ดีมองถึงหุ้นที่กองทุนได้ ซื้อลงทุนไว้ด้วย ส่วนใหญ่กองทุนจะลงทุนให้หุ้นใหญ่ๆมั่นคง ไม่แตกต่าง กันมากนัก ผลตอบแทนที่ได้จึงไม่ค่อยแตกต่างกันมาก ยกเว้นบางกองทุน ที่มีกลยุทธิ์ที่แตกต่างออกไป แต่โดยส่วนใหญ่แล้วกองทุนที่ออกโดย ธนาคารต่างๆ มักมีแนวทางลงทุนคล้ายกันมาก ผลตอบแทนจึงไม่แตกต่าง กันมากนัก ถ้ามีความรู้มากพอแล้ว อยากลองลงทุนซื้อขายหุ้นเอง ก็เป็นสิ่งที่ทำได้ ถึงตอนนี้คงต้องถามตัวเองแล้วละว่า อยากเป็นนักลงทุนแบบไหน ซึ่ง ขึ้นอยู่กับ ความรู้ ลักษณะนิสัย ความอดทน ความมีวินัย ความเข้มแข็ง ของจิตใจ ตลาดหุ้นเป็นที่รวมของการเก็งกำไร ลงทุน ผู้เล่นมากมาย แต่ละ คนก็ต้องการผลตอบแทนที่คาดหวัง แตกต่างกันไป ความผันผวนเป็น เรื่องปกติ ผลตอบแทนที่ได้คงเป็นปันผล และส่วนต่างราคา สรุปแล้วก็คือต้องรู้ มีสติในสิ่งที่เรากำลังทำ ไม่รู้คือเสี่ยงครับ และก็อย่าพะวง เรื่องเงินเฟ้อมากเกินไป ถ้ายังมีรายได้มากกว่ารายจ่าย เพราะรายได้ คนทำงานประจำก็มักจะปรับพร้อมเงินเฟ้ออยู่แล้ว แต่ก็ต้องเตรียมพร้อมไว้ อย่าประมาทครับ เมื่อ: 2009-10-28T09:41:35+00:00 วานรเงินล้าน: ขอบพระคุณสำหรับทุกความเห็นคะ เมื่อ: 2009-10-29T10:59:17+00:00 Warantact: ผมว่าไม่ควรลงทุนนะครับ เพราะเหตุผลดังนี้ 1. ควรมีพื้นฐานความรู้ทางการลงทุนบ้างก่อนตัดสินใจ ผมเคยลงสลากออมสิน ก่อนจะปิดถอนทั้งหมดออกมาทำธุรกิจ ผลตอบแทนจากรางวัลคิดเฉลี่ยแล้วจะต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ย แต่มันก็มีโอกาสแจ๊คพอต ยังไงก็ตามถือว่าความเสี่ยงต่ำ แต่สภาพคล่องก็ต่ำมาก ถ้าไม่ถูกรางวัลก็จะโดนเงินเฟ้อกร่อนหมด แต่สำหรับคงที่ไม่มีความรู้ทางการลงทุนเลย ยังดูมีความน่าสนใจกว่าดอกเบี้ยธนาคาร (เปรียบเหมือนหุ้นpe100 ที่แทบไม่มีความเสี่ยง แต่pe100มันก็นะ..) 2. กองทุนรวมนั้นมีหลายแบบ ชวนงงไปหมด ถ้ารู้ว่าจะลงกองไหนหรือคิดจะลงก็คิดให้ดี การเลือกกองทุนรวมมีวิธีคร่าวๆอยู่ในหนังสือของ ปีเตอร์ลินซ์ ขายที่ซีเอ็ด และหนังสือของเกรแฮม สั่งได้ที่ซีเอ็ด 3. ที่บอกว่ารับความเสี่ยงได้แปลว่าอะไร แปลว่าถ้าก้อนนี้หายหมดก็รู้สึกชิวๆไม่เดือดร้อนหรือเปล่า ผมว่าถ้าความรู้ยังไม่ชัดเจนถึงระดับที่คิดว่าอยากลงทุนเองแล้ว ผมคิดว่านำเงินมาออมในระบบประกันชีวิตจะดีกว่า สรุป ไปหาหนังสือมาอ่านก่อน ไปหาความรู้มาก่อน ไม่ต้องรีบ เงินถ้าไม่รู้จำทำอะไรปล่อยไว้ในฝากประจำก็ไม่เดือดร้อน คุณสามารถ หาความรู้ไปเต็มๆเลยหนึ่งปี พอตบะเริ่มแก่กล้า ก็ค่อยคิดก็ได้ครับ เมื่อ: 2009-10-31T04:07:00+00:00 กาละมัง: แต่ถ้ายังลังเลไม่มั่นใจพอว่าลงทุนแล้วได้กำไรแน่ ๆ    ขอให้อยู่เฉย ๆ  เพราะไม่มีคำว่าสายสำหรับการลงทุน ดีกว่ารีบเข้าแล้วขาดทุน  ตลาดยังรอคุณอยู่เสมอ ให้ศึกษาการลงทุนต่อไป จนวันใดได้ตีแตกการลงทุน   คือรู้สึกว่าใช่เลย  ลงทุนแล้วได้กำไรแน่ ๆ  ไม่มีทางขาดทุน  เมื่อนั้นแหละได้เวลาลงทุนแล้ว   กระโดดใส่เลย เมื่อ: 2009-11-01T03:17:37+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
ชอบใจ บริการโอนเงินปันผลเข้าบัญชีจังเลยค่ะ Amorna: หุ้นที่ซื้อไว้ศึกษา ตัวละร้อยสองร้อยหุ้น ได้ปันผลไม่ถึง 10 บาทไม่ต้องถูกหักค่าธรรมเนียมอีก 10 บาท ก็โอนเข้าบัญชีเหมือนกัน นิดๆ หน่อยๆ ก็ถือเป็นก้นถุงไว้ลงทุนต่อ จริงรึเปล่าคะ :lol: เมื่อ: 2005-04-24T00:31:56+00:00 iscssn: เริ่มโอนแล้วเหรอครับ ของผมสมัครไปตั้งนานแล้วยังไม่เริ่มโอนเลยครับ เมื่อ: 2005-04-25T01:15:11+00:00 Amorna: ก็น่าจะขึ้นอยู่กับการประกาศจ่ายปันผลของหุ้นที่มีอยู่นะคะ ตัวไหนที่จ่ายแล้ว ก็จะได้รับโอนเลย แล้วเราจะได้รับหนังสือรับรองฯ อีกไม่กี่วันต่อจากนั้นค่ะ ไม่แน่ใจว่า บริษัทจดทะเบียน เข้าร่วมบริการนี่เกือบหมดรึยังนะคะ เมื่อ: 2005-04-25T02:07:20+00:00 arrow: ชอบเหมือนกันคะ สะดวกดี เมื่อ: 2005-04-25T02:12:47+00:00 สามัญชน: :lol: :lol: :lol: :lol: สนใจครับ ทำยังไงครับ :lol: :lol: :lol: :lol: เมื่อ: 2005-04-25T13:39:16+00:00 arrow: แจ้งที่โบรกเลยคะ ว่าต้องการให้โอนเงินปันผลเข้าบัญชี เขาจะส่ง แบบฟอร์ม มาให้คะ เมื่อ: 2005-04-26T01:31:39+00:00 สามัญชน: :lol: :lol: :lol: :lol: ครับ :lol: :lol: :lol: :lol: เมื่อ: 2005-04-26T07:52:05+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
MIT pakapong_u: MIT : ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เอ็มเอฟซีอินดัสเตรียล สินทรัพย์ลงทุน ลงทุนซื้อหุ้นสามัญ 100% ในบริษัท เอพียูเค จำกัด ซึงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ประเภทคลังสินค้าที่ใช้ประโยชน์เป็นศูนย์ข้อมูล (Data Centre) ตั้งอยู่ที่ Data Center C Building, Anchorage Point, Anchor and Hope Lane, Greenwich, SE7 7SQ ประเทศอังกฤษ ประเภทของทรัสต์ กองทรัสต์ไม่กำหนดอายุ และไม่รับไถ่ถอนหน่วยทรัสต์ ตลาดรอง ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) กลุ่มอุตสาหกรรม / หมวดธุรกิจ อสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง / กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ สถานะ Filing จำนวนหน่วยทรัสต์ 104,000,000 หน่วย ระยะเวลาเสนอขาย n/a ราคาเสนอขายหน่วยทรัสต์ 10.00 บาท วันที่เริ่มซื้อขาย n/a ผู้จัดการกองทรัสต์ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) ทรัสตี บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน วรรณ จำกัด ผู้บริหารอสังหาริมทรัพย์ Palmer Capital Asia (Hong Kong) Limited ที่ปรึกษาทางการเงิน บริษัทที่ปรึกษา เอเซีย พลัส จำกัด ข้อมูลหนังสือชี้ชวน www.mfcfund.com เมื่อ: 2015-09-17T16:38:10+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
warrant คืออะไรหรอคับ nanosec: ข้อดีและข้อเสียของมันคืออะไรหรอคับ ช่วยอธิบายทีคับ ไม่ค่อยมีความรู้ด้านนี้คับ ขอบคุณ เมื่อ: 2006-03-09T09:34:59+00:00 Basic: nanosec เขียน:ข้อดีและข้อเสียของมันคืออะไรหรอคับ ช่วยอธิบายทีคับ ไม่ค่อยมีความรู้ด้านนี้คับ ขอบคุณ เอาง่ายๆให้คิดเหมือนกับว่าเป็นคูปองอย่างหนึ่ง ซี่งมีสิทธิพิเศษในการซื้อสินค้าในราคาที่กำหนด ภายในระยะเวลาหนึ่ง ข้อดี ตอนนี้ยังคิดไม่ออก แต่ข้อเสียคือทำให้จำนวนหุ้นเพิ่มขึ้นเมื่อมีการใช้สิทธิ์ กำไรต่อหุ้นก็ลดลง เมื่อ: 2006-03-09T10:21:49+00:00 Belffet: Warrant คือสิทธิอย่างหนึ่ง ซึ่งถ้าเรามีไว้แล้ว เราจะมีสิทธิซื้อหุ้นสามัญที่เป็นหุ้นแม่ของ Warrant นั้น ตามกำหนดระยะเวลาที่ระบุไว้ โดยจ่ายเงินตามราคาใช้สิทธิที่ระบุไว้เช่นกัน เช่น Warrant หุ้น A หรือ A-W ราคา 1 บาท ณ วันที่ 1 ม.ค. กำหนดใช้สิทธิ 1 ก.พ. และ 1 มี.ค. โดย 1 warrant ใช้สิทธิซื้อได้ 1 หุ้น ที่ราคาใช้สิทธิหุ้นละ 4 บาท ในขณะที่หุ้นแม่ราคา 6 บาท คุณnanosec ซื้อ A-W ไป 100 หน่วย กะว่าจะใช้สิทธิซื้อหุ้นสามัญ A ในวันที่ 1 ก.พ. ต้นทุนของคุณจะมีทั้งสิ้น 5 บาท/หุ้น (ราคา W รวมราคาใช้สิทธิ) ถ้าราคาตลาดของหุ้นสามัญ A วันที่ 1 ก.พ. ยังเป็น 6 บาท คุณ nanosec ก็แปลงสภาพ Warrant เป็นหุ้น แล้วไปขายในตลาด ได้กำไรเหนาะ หุ้นละบาท แต่ถ้าในวันที่ 1 ก.พ. ราคาตลาดของหุ้นสามัญ A เหลือแค่ 4 บาท คุณ nanosec ยังมีทางเลือก 2 ทาง 1 ใช้สิทธิไป และขาดทุนทางบัญชีทันที 1 บาท/หุ้น 2 รอลุ้นวันที่ 1 มี.ค. อันเป็นวันใช้สิทธิอีกวันหนึ่ง ว่าราคาตลาดจะยืนเหนือ 5 บาทได้หรือไม่ ถ้าเลือกข้อ2 แล้วผลออกมาว่าราคาไม่สามารถปีนขึ้นมาได้ คุณก็ยังเลือกได้อีก 2 ทาง 1 ใช้สิทธิไป และขาดทุน 2 ปล่อย Warrant ของคุณให้กลายเป็นเศษผงไปซะเท่านั้น (อธิบายซะยาว จะงงกว่าเดิมมั๊ยเนี่ย) เมื่อ: 2006-03-09T10:23:27+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
ถามความคิดเห็น scib-c1 ใครถืออยู่บ้างครับ โป้ง: ถามแบบไม่ต้องเครียดนะครับ น่าสนใจหรือเปล่า scib-c1 ช่วงนี้ มองแล้วโอกาสทำกำไรมีมาก ไม่รู้ความโลภครอบงำหรือเปล่าเนี่ย :lol: เมื่อ: 2004-09-21T12:45:06+00:00 โป้ง: อย่าเลยครับ พูดในฐานะ Marketing เลยนะครับ น่ากลัวครับ เมื่อ: 2004-09-22T04:58:06+00:00 โป้ง: ครับ เมื่อ: 2004-09-22T06:03:38+00:00 stockms: เสี่ยงแก้เซ็งไป 2 รอบครับ กำไรพอแค่ค่าน้ำมันรถ บวกค่ายาพาราแก้ปวดหัวเนื่องจากเครียด เมื่อ: 2004-09-22T06:10:53+00:00 โป้ง: เมื่อวาน เห็นร่วงมา -0.4 บาท อิอิๆ ข้อเตือนใจ High risk high return แย่หน่อยก็ High risk low return เมื่อ: 2004-09-24T01:00:45+00:00 stockms: หุ้นแบบนี้ถ้าไม่ใช่เซียนจริงที่นิ่งพอมันมักจะเป็นอย่างหลังแหละครับ เวลาขึ้นมักจะขายหมู เวลาลงมักจะอมจนติดดอย เมื่อ: 2004-09-24T01:23:22+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
Strategic asset allocation & Tactical asset allocation ในช่วงตลาดผันผวนทำอย่างไร amornkowa: สัมมนา 3พอร์ตเด็ด พิชิตเป้าหมาย สไตล์กรุงศรี โดย คุณ วิน พรหมแพทย์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานลูกค้าHigh Network ธนาคารกรุงศรีอยุทธยา จำกัด มหาชน คุณเกียรติศักดิ์ ปรีชาอนุสรณ์ ผู้อำนวยการฝ่ายการลงทุนทางเลือก บลจ กรุงศรี คุณวิน กล่าวถึง Pain Point ของคนทำงาน ว่าไม่มีเวลาในการจัดพอร์ต เลือกสินทรัพย์ด้วยตัวเอง ดังนั้นทางกลุ่มกรุงศรี มีผู้เชี่ยวชาญในแต่ละด้าน มาทำงานด้วยกัน เรียกว่า One Krungsri Investment view มาทำงานและประชุมเดือนละครั้ง เอาviewมาแชร์กัน ทำเป็นรายงานส่งให้ลูกค้ารายสัปดาห์จนถึงรายไตรมาส และมารายงานกันตอนเช้า ทีมเรียกง่ายๆว่า Avenger ประกอบไปด้วย ธนาคารกรุงศรี : Krungsri Research เป็นหัวหน้าทีม กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ เชี่ยวชาญเรื่องเกี่ยวกับค่าเงิน คอยให้มุมมองค่าเงิน เวลาต่างชาติเข้าออก Krungsri Investment Intelligence office(IIO) เชี่ยวชาญตลาดทั่วโลก โดยเฉพาะตราสารหนี้ต่างประเทศ + KSAM(บลจ กรุงศรี โดย คุณศิระ คล่องวิชา ประธานเจ้าหน้าที่กลุ่มการลงทุน) เป็นผู้พิจารณาในการลงทุน +KSS(บล กรุงศรี คุณอิสระ อรดีดลเชษฐ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มงานวิเคราะห์หลักทรัพย์) ซึ่งจะเชี่ยวชาญ ในตลาดตราสารทุน โดยร่วมมือกับBlackRock ซึ่งเป็นสถาบันลงทุนที่ใหญ่สุดในต่างประเทศมาให้คำแนะนำด้วย โครงสร้างการลงทุนที่ผสานจุดแข็งของกลุ่มกรุงศรี โดย ที่ปรึกษาการลงทุน ของ กรุงศรีกรุ๊ป จะให้คำแนะนำและมุมมองการจัดพอร์ตการลงทุน ให้กับผู้จัดการกองทุน บลจ กรุงศรี ซึ่งจะเป็นผู้บริหารกองทุน KF The one ประกอบไปด้วย KF1MILD ความเสี่ยงต่ำ KF1MEAN ความเสี่ยงปานกลาง KF1MAX ความเสี่ยงสูง โดยการกระจายการลงทุนในกองทุน/สินทรัพย์ต่างๆ คำแนะนำจากOne Krungsri Investment Team(Avenger Team) เป็นเรื่องสัดส่วนในการลงทุนโดย การจัดพอร์ต Strategic Asset Allocation(SAA) ซึ่งมีระยะเวลาลงทุน5-7ปี นั้นหลังจากออกแบบพอร์ต มาแล้วตามก็จะมีการทบทวนกันปีละครั้ง เป็นการจัดพอร์ตตามความเสี่ยงที่ยอมรับได้ของลูกค้า โดยพอร์ตที่เสี่ยงน้อย(Conservative) ก็จะมีสินทรัพย์เสี่ยงน้อย เช่น Equity,Alternative แต่มีตราสารหนี้ในสัดส่วนที่เยอะเช่นMoney market 20%,Fixed Income 50% ส่วนพอร์ตที่เสี่ยงมาก(Aggressive) จะมีสินทรัพย์เสี่ยงเยอะ เช่น หุ้น 73% ,สินทรัพย์ทางเลือก 7% แต่มีสินทรัพย์เสี่ยงน้อย ตราสารหนี้รวมแค่ 20% Tactical Asset Allocation(TAA) เป็นการปรับกลยุทธ์ระยะสั้นถึงกลาง เป็นการปรับสัดส่วนที่เราตั้งไว้ตามStrategic Asset Allocationให้ต่างจากเดิมเล็กน้อย (ตามหลักการแล้ว วัตถุประสงค์ในการทำTAA คือ 1.ปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน 2.ลดความเสี่ยงที่จะเกิดความเสียหายใหญ่ 3.เพิ่มผลตอบแทนให้ดีขึ้นกว่าการอยู่เฉยๆ 4.ให้ใจ ที่โลภและกลัว ได้ผ่อนคลายบ้าง) Avenger Team จะมีการreview ทุกเดือน จะพิจารณาว่าชอบตลาดไหน และจะแนะนำให้ปรับสัดส่วนในแต่ละสินทรัพย์เช่น Money Market,Fix Income,Equity,Alternative ตัวอย่างในสไลด์ เช่น หลังจากประชุมร่วมกัน ก็มีคำแนะนำออกมาว่า พอร์ต Moderate ความเสี่ยงปานกลาง Money Market ลดน้ำหนักจาก 10% เหลือ 8% Fixed Income : Local น้ำหนัก 30%เท่าเดิม แต่ Global Fixed Income เพิ่มน้ำหนักจาก 10% เป็น 11% Equity : Local ให้เพิ่มน้ำหนัก จาก 25% เป็น 26% แต่คงน้ำหนักหุ้นโลกที่ 20% ส่วนสินทรัพย์ทางเลือกให้น้ำหนัก 5%เท่าเดิม จะเห็นได้ว่า สัดส่วนที่กำหนดตั้งแต่แรก ของSAA มีการปรับสัดส่วนในแต่ละสินทรัพย์ ให้ต่างไปจากเดิม แต่ไม่มากนัก เพื่อตอบรับกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป พอผ่านไปอีกเดือน ก็มาประเมินใหม่ เรามีกองทุนที่คัดสรรมาจาก10บลจ ประมาณ 300 กองทุน โดยมี2stepในการคัดเลือก Step1 Screening -Morning star Rating 3+up กองทุนที่คัดออกมาจะมีสามดาวขึ้นไป -Morning star sustainability rating 3+up ดูเพิ่มเติมในเรื่องความยั่งยืนและรักษ์โลก Step2 - Fund Performance ดูคุณภาพในอดีต 1ปี,3ปี,5ปี - Fee ค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บ - Risk/Reward ดูเรื่องผลตอบแทนเทียบกับความเสี่ยง - Sharpe Ratio, Max DD,Tracking error etc กองทุนในกลุ่มพิจารณาลงทุน เหลือ 50+กองทุน อยู่ใน Investment Universe คณะกรรมการคัดเลือกกองทุนในกลุ่มพิจารณาลงทุนในแต่ละเดือน (SAA) โดยดูจาก ปัจจัยเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ เช่นผลตอบแทน ความผันผวน กลยุทธ์การลงทุน ทีมการลงทุน คณะกรรมการคัดเลือกกองทุนที่ผ่านเกณฑ์ เพื่อเลือก จนเหลือกองทุนให้พิจารณาประมาณ 10-15ลงทุน ที่ให้ผลตอบแทนสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของกองทุนให้มากที่สุด (จากหัวข้อนี้ แอบกังวลว่าจะมีสับเปลี่ยนกองทุนบ่อยก็อาจเสียค่าธรรมเนียมการขายเยอะ ได้สอบถามคุณวิน หลังจบงาน พบว่า กองที่เลือกมา ส่วนใหญ่จะoffer frontend feeต่ำกว่าปกติ และถ้ากองมีขนาดใหญ่พอ อาจไปลงทุนโดยตรงในต่างประเทศซึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่ายตรงนี้ลง) กรอบและกลยุทธ์การลงทุน -สินทรัพย์ ตราสารตลาดเงิน , ตราสารหนี้ ,หุ้น และ สินทรัพย์ทางเลือก -การลงทุนในต่างประเทศ สัดส่วนไม่เกิน 79%ของกองทุน -ภูมิภาคที่ลงทุน ทั่วโลกขึ้นกับมุมมองและดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน -ปรับพอร์ตรายเดือน การลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์และกลยุทธ์การลงทุน 1.เพื่อรักษาสภาพคล่องในกองทุน โดยไปลงในกองทุนตลาดเงิน 2.เพิ่มเสถียรภาพ โอกาสสร้างผลตอบแทนส่วนเพิ่ม ลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ไทยและต่างประเทศ 3.เพื่อการสร้างผลตอบแทนและศักยภาพการเติบโต ด้วยการลงทุนในกองหุ้นในและต่างประเทศ 4.เพื่อกระจายความเสี่ยง เพิ่มทางเลือกการลงทุน ในกองสินทรัพย์ทางเลือกเช่น Reits,Gold Macroeconomic Outlook: Global Economy ทางกรุงศรีคาดเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มโตช้ากว่าที่คาดไว้ และความเสี่ยงที่จะเกิดRecession สูงขึ้น ในUS,EU มีการปรับตัวเลขGDPลดลงในปีนี้ ส่วนเศรษฐกิจไทยปีนี้ มีการปรับPrivate consumption expenditureสูงขึ้น และตัวเลขนักท่องเที่ยวปรับเพิ่มเป็น 25-28ล้านคน จากการเปิดประเทศของจีน ตัวเลขการส่งออกลดลง 0.5% จากเศรษฐกิจถดถอยในUS,EU ส่วนเรื่องเงินเฟ้อ มีแนวโน้มปรับตัวลดลง และ ความเสี่ยงเรื่อง เศรษฐกิจถดถอยในUSสูงขึ้น กรุงศรีมองว่าน่าจะเป็น Soft Landing BlackRock มองการลงทุนตราสารหนี้โลกวันนี้ อัตราผลตอบแทนตั้งต้นสูงกว่าปี2022 ประมาณ2เท่า แนะนำให้เพิ่มน้ำหนักตราสารหนี้โลก โดยมีจุดน่าสนใจคือ 10Y US treasury Yield 3.5%-4% เพราะ ซื้อราคาถูก และ มีโอกาสที่ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ Investment Outlook : Global Equity หุ้นโลกย้อนไป25ปี มีจังหวะหมี กระทิงหลายรอบ ส่วนตลาดหุ้น S&P500 ปีที่แล้ว ดัชนีต้นปี 4100จุดลงเหลือ 3,800จุด PE ปรับลดจาก 21เท่าเหลือ 17เท่า ปีนี้มองว่า ครึ่งปีแรก ตลาดSide way กังวลเศรษฐกิจถดถอย ยิ่งเศรษฐกิจแย่ กำไรบริษัทจดทะเบียน จะแย่ตามไป เชื่อว่ามีจังหวะทำกำไรได้บ้าง Buy on Dip และขายออกทำกำไรเมื่อราคาวิ่งกลับมา พอFEDขึ้นดอกเบี้ยในQ2สุดทาง ตลาดหุ้นจะเป็นขาขึ้น ส่วนครึ่งปีหลัง เพิ่มน้ำหนักของหุ้น แต่อาจไม่แน่ มาเร็วกว่าที่คาด ดังนั้นทีมงานจะคุยไปเรื่อยๆ และ สื่อไปทางKSAMว่าควรทำอย่างไร แนะนำจุดที่น่าเข้า S&P500 น่าจะอยู่ที่3,600-3,700 จุด Investment Outlook: Gold ทอง ปรับตัวขึ้นเร็วจาก 1700 ไปที่ 1900 ดังนั้น ใครถืออยู่ ถือต่อ แต่ถ้าจะเข้า ให้ชะลอไว้ก่อน รอแถว 1730-1800 $ Investment Outlook : Thai Equity ส่วนตลาดหุ้นไทย มีreopening , ท่องเที่ยวมา ฝรั่งซื้อเฉพาะเดือนมค เท่ากับปี2565ทั้งปี เปิด 1,700 จุด ขึ้นมาแรงไปหน่อย ให้ถือไปก่อน หาจังหวะเพิ่มตอนดัชนีย่อ มองจังหวะเพิ่มน้ำหนักที่ 1,580-1,640 จุด Investment Outlook: FX ปีที่แล้วเงินบาทสวิงมากๆ จาก 33 ไป 38บาท ซึ่งแข็งค่าเกือบสุดในภูมิภาค แต่พอเข้าQ4 เงินบาทแข็งเร็วมาก เป็น 34 บาทเกือบTop One Krungsri Investment View: Tactical Allocation for 1H2023 1.Money Market : Slightly OW 2.Local Fixed Income : Neutral 3.Global Fixed Income: Slightly OW 4.Local Equity : Slightly OW 5.Global Equity : Neutral 6.Alternative : Neutral กองทุนที่IPO มีสามกอง แบ่งตามความเสี่ยง 1.KF1MILD สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำ (Return 2-4%,Risk 3-4%) Port ตราสารหนี้ 60-85%, หุ้น 15-35%, สินทรัพย์ทางเลือก 0-10% 2.KF1MEAN สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ปานกลาง(Return 4-6%,Risk 5-7%) Port ตราสารหนี้ 35-65%, หุ้น 30-60%, สินทรัพย์ทางเลือก 0-10% 3.KF1MAX สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง(Return 7-9%,Risk 9-12%) Port ตราสารหนี้ 15-40%, หุ้น 50-80%, สินทรัพย์ทางเลือก 0-10% ค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บจากกองทุน แต่ละแบบตั้งแต่ 0.535%-1.3375% ส่วนFront end Fee ช่วงIPO 0.25% เอง ถ้าใครสนใจ ก็เข้าตอนipoได้ครับ ถ้าลงทุนหลังจากนั้นจะเสีย 0.5% เมื่อ: 2023-02-09T00:03:14+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
อย่างถามพี่ๆเกี่ยวกับ ROA และ ROTC ครับ....? amornkowa: อยากรู้ว่า roa กับ rotc นั้นต่างกันหรือไม่อย่างไร และมีวิธีคำนวณค่าออกมาอย่างไรครับ เมื่อ: 2004-03-31T08:50:19+00:00 CK: พิมพ์ "ROA ROTC" (โดยไม่ต้องมีเครื่องหมายคำพูด) ในช่อง Search มุมขวาบนครับ แล้วกด [Search] หรือกด Enter ก็ได้ ในกระทู้ตะแกรงร่อนฯ มีการพูดถึงค่อนข้างละเอียดอยู่แล้ว เมื่อ: 2004-03-31T09:08:28+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
ข่าวดีจากwebของตลาดหลักทรัพย์ เสรี โอ: พึ่งค้นพบว่าตลาดฯได้ปรับปรุงweb ของตลาดในส่วนที่เป็น ข่าวของแต่ละหลักทรัพย์เป็นเก็บย้อนหลัง 2 ปี จากเดิมที่เก็บเพียง 6 เดือน และในส่วนงบการเงิน/ผลประกอบการ ในหัวข้อกราฟของผลประกอบการที่สำคัญ มีให้เลือกทุกตัวที่แสดงไว้เป็นตาราง เป็นรูปแบบกราฟที่สีสวยดูง่าย เมื่อ: 2010-12-21T05:07:35+00:00 nut776: อยากให้มีงบการเงินให้ดูย้อนหลังสัก สิบ ปี เมื่อ: 2010-12-21T14:51:43+00:00 [v]: ดีมากเลยครับ เมื่อ: 2010-12-22T02:28:14+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
ฝรั่งขายหุ้นไทยไปจองหุ้นจีนตัวนี้หรือเปล่า matee: ยักษ์ก่อสร้างอสังหาฯเตรียมระดมทุนใหญ่สุดในรอบปี  หนังสือพิมพ์สากล / เหอซวิ่นเน็ต ซีเอสอาร์ซีอนุมัติให้บริษัทรับเหมาก่อสร้างและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ใหญ่สุดของจีนและใหญ่สุดในประเทศกำลังพัฒนาทำไอพีโอในตลาดกระดานเอ โดยเตรียมออกหุ้นทั้งสิ้น 12,000 ล้านหุ้น ระดมทุน 42,600 ล้านหยวน             คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์จีน (ซีเอสอาร์ซี) ได้ประกาศเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า บริษัทไชน่า สเตท คอนสตรักชั่น ได้ผ่านการพิจารณาให้สามารถทำการระดมทุนทำไอพีโอในตลาดหุ้นกระดานเอของจีนได้ โดยการระดมทุนในครั้งนี้ ทางไชน่า สเตท คอนสตรักชั่นต้องการจะออกหุ้นจำนวนไม่เกิน 12,000 ล้านหุ้น และระดมเงินทุนราว 42,600 ล้านหยวน และจะกลายมาเป็นการทำไอพีโอครั้งในที่สุดในรอบปีของตลาดหุ้นกระดานเอ และเป็นการทำไอพีโอที่ใหญ่ที่สุดถัดจากบริษัทเสินหัว เอ็นเนอร์จี กับไชน่า เรลเวย์ คอนสตรักชั่น คอร์ป             ไชน่า สเตท คอนสตรักชั่นได้ระบุการระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ครั้งนี้ เพื่อนำเงินไปใช้เพิ่มสภาพคล่องให้กับโครงการต่างๆของบริษัท ไม่ว่าจะเป็นโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ การก่อสร้างที่พักอาศัยทั่วไป การจัดซื้อเครื่องจักรในการก่อสร้าง การลงทุนในสาธารณูปโภคพื้นฐานเป็นต้น             จากการที่ไชน่า สเตท คอนสตรักชั่นเป็นวิสาหกิจด้านการก่อสร้าง และอสังหาริมทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศจน อีกทั้งเป็นบริษัทก่อสร้างข้ามชาติที่ใหญ่ที่สุดในประเทศกำลังพัฒนา จะทำให้หลังจากที่บริษัทได้จดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์แล้ว จะกลายเป็นวิสาหกิจที่เป็นผู้นำในด้านอสังหาริมทรัพย์ของตลาดในทันที             ด้านคนวงในจากตลาดหลักทรัพย์มองว่า การที่ไชน่า เสตท คอนสตรักชั่นสามารถผ่านการพิจารณาไปได้อย่างราบรื่น แสดงให้เห็นว่าทางคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์จีนมีความมุ่งมั่นที่จะเพิ่มหุ้นบลูชิปเพื่อปรับสภาพโครงสร้างตลาดให้ดีขึ้น เพราะในระยะยาวแล้ว การจดทะเบียนของบริษัทขนาดใหญ่จะช่วยเพิ่มคุณภาพการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ให้ดีขึ้น             ทั้งนี้ ไชน่า สเตท คอนสตรักชั่นเพิ่งถูกก่อตั้งชึ้นเมื่อเดือนธ.ค. ปีที่ผ่านมา โดยมีบริษัทไชน่า คอนสตรักชั่น เอ็นจิเนียริ่ง คอร์ปเป็นผู้ผลักดัน แล้วจับมือกับไช่น่า เนชันแนล ปิโตรเลียม คอร์ป (ซีเอ็นพีซี) กับบริษัทเหล็กยักษ์ใหญ่อย่างเป่า สตีล กรุ๊ปและซิโนเชม คอร์ปอเรชั่น             ไช่น่า สเตท คอนสตรักชั่นนั้นมีรายได้หลักมาจากธุรกิจการก่อสร้างและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ จนกลายเป็นวิสาหกิจรวมด้านรับเหมาก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในจีน แม้ว่าบริษัทจะตั้งมาไม่ถึง 3 ปี แต่ก็สามารถได้รับอนุญาตให้จดทะเบียนลงทุนในตลาดหลักทรัพย์กระดานเอของจีนได้ http://www.manager.co.th/China/ViewNews ... 0000066951  แค่สงสัย ทำไมฝรั่งขายจังหรือว่าเอาตังไปจองหุ้นตัวนี้ครับ เมื่อ: 2008-06-09T13:26:09+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
ดูข้อมูลประวัติข้อหุ้นที่เคยแตกพาร์ได้ตรงไหน cynthia: พอดีเห็นหุ้นบางตัว มีช่วงราคาสูงสุดและต่ำสุดแตกต่างกันมาก ในรอบ10ปีที่ผ่านมา จึงคิดว่าอาจเกิดจากการแตกพาร์ ทีนี้ประเด็นคำถามก็คือ มีใครพอทราบมั้ยคับว่าเราจะรู้ได้อย่างไรว่า หุ้นตัวนั้นๆมีเคยแตกพาร์หรือไม่ จำนวนเท่าใด และปีไหน หากใครทราบ ได้โปรดตอบที จะเป็นประคุณอย่างสูงคับ เมื่อ: 2011-10-22T11:40:43+00:00 Ii'8N: ผมใช้วิธีไปดูย้อนหลังตั้งแต่เปิดตลาด แล้ว FILTER ดูเลยว่าวันไหนเปอร์เซ็นต์มันเปลี่ยนไปเยอะมากๆ ผิดปกติ (ยกเว้น หลุดจากการแขวนแล้วเกิน ceiling ไปเยอะ แต่ก็ดูออกง่าย เพราะกรณีนี้ ก่อนหน้าเป็นระยะนานๆ จะไม่มี volume ซื้อขาย) ตัวอย่าง เมื่อ: 2011-10-25T07:52:30+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
hi all Ii'8N: finally I am in tahiti now what going on in the stock market I cannot read thai font na Please reply in english thank you เมื่อ: 2003-11-18T17:23:18+00:00 Ii'8N: I am Jeng na krap เมื่อ: 2003-11-18T17:25:24+00:00 Banchap: Hello, P'Jeng How r u? เมื่อ: 2003-11-18T22:11:53+00:00 คัดท้าย: Hi.. P'Jeng How is Tahiti? Beautiful? I don't want to tell you about SET coz .. This is your vacation. It should be vacation and you should leave serious story behind. : ) Good New !! today Kimeng give target of DTC at 52.00 I post all detail in the below topic. http://www.thaivalueinvestor.com/webboa ... 5977#15977 เมื่อ: 2003-11-19T03:01:11+00:00 คัดท้าย: I believe you asked because you really know what is going on here.. I'm sorry to report that, now SET is in FIRE! SET index, as of 16.10, is minus 27.11 points. Don't know yet where it is heading to... probably and hopefully it will not go further than 580. After 6 p.m. BKK time, you can go to www.set.or.th then select market data, then stock quote, and summary all stock quotes.. they will summarize all the close price there. Hope this is helpful. Don't forget.. you're on vacation. Relax and Enjoy your days. Oh, by the way, khun "DatchaneeThai" at taladhoon.com said, it is because you are away : ) เมื่อ: 2003-11-19T09:13:42+00:00 CK: It is a shame that you are away during the stock market's greatest moment, as defined by Warren Buffett. Series of bad news--unrelated to the businesses I might add--has taken its toll and finally resulted in panic sell...and there is no better time to buy. This is the very moment you have been waiting, and, yet, you are away to the beautiful Tahiti on your yet-another free vacation. Have a good time there. Worry not about missing this great opportunity. Does Noi take vacation with you this time? I guess not... CK เมื่อ: 2003-11-19T09:58:42+00:00 sirivajj: Hi Khun Jeng, Wish you were here to see the panic of Thai investers. Eventhough it have minor impact to my portfolio but still I wish it will last very soon. May be by the time you come back from vacation, it will take off again. So have a nice time and hopefully you'll be able to get some stocks at the lower price as you're looking for when you come back. Cheersss.!!!!!! เมื่อ: 2003-11-19T10:31:05+00:00 ayethebing: Hello, P' Jeng. Wow, Tahiti seems to be a nice place for me. Very jealouse. You probably knew about SET index already. Very interesting time. Bear is awake, I think. Hope you enjoys your vacation. Cheers. เมื่อ: 2003-11-19T10:48:25+00:00 ayethebing: Hi all Banchap The rudder The accquentance CK Sirivajj and ayethebing now I type for three time it difficult coz the computer in french ok tahiti is very beautiful bye เมื่อ: 2003-11-20T20:31:26+00:00 ayethebing: >>>> CK If you have any bad new Please tell me I be back in two days and noi say hello to you too bye time out jeng + noi เมื่อ: 2003-11-23T21:23:31+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
พูดถึงภัยแล้งเลยสงสัยว่าบริษัทไหนจะได้รับผลกระทบบ้าง sombuak: ช่วงนี้มีแต่ข่าวภัยแล้ง เลยสงสัยว่าบริษัทไหนจะได้รับผลกระทบกันบ้างครับ ทั้งด้านบวกและด้านลบน่ะครับ เท่าที่เห็นก็น่าจะเป็น PRG เพราะราคาข้าวน่าจะสูงขึ้น ถ้า PRG โดนก็น่าจะส่งผลมาที่ MBK ด้วยเพราะเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ มีอะไรอีกหว่า... เมื่อ: 2005-03-24T01:19:18+00:00 genie: ธุรกิจที่แปรรูปต่อเนื่องเช่น อาหารสัตว์ โรงสี ผงชูรสและเครื่องปรุงรส เป็นต้น ในส่วนอุสาหกรรมขนส่งสินค้าเกษตรก็อาจส่งผลเช่นกัน แต่โดยมากมักเป็นขนส่งขนาดเล็กที่ได้รับผลกระทบ ในภาคอุตสาหกรรมโดยทั่วไปอาจไม่ได้รับผลกระทบมากนัก เนื่องจากใช้น้ำประปาเป็นหลัก แต่EAST WATERอาจได้รับผลกระทบบ้างเนื่องจากลดปริมาณการจ่ายน้ำลง 10% นั่นหมายความว่าจะทำให้ยอดขายในช่วงแล้งลดลง10%เช่นกัน เมื่อ: 2005-03-24T16:36:19+00:00 Stock Broker: สินเชื่อส่วนบุคคลครับ เบี้ยวหนี้กันแน่ๆ ยอดขายใหม่ก็ตก เมื่อ: 2005-03-24T16:44:22+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
101 way to avoid Mistake in the stock market crazyrisk: ผมยืมหนังสือเล่มหนึ่งมาอ่านครับ  ชื่อเรื่องก็ตามหัวข้อกระทู้นี่แหละครับ ของคุณ wong yee คาดว่าเป็น เรื่องดีๆ ที่เหมาะกับมือใหม่ไว้อ่านติดหัว ขำๆ ได้บ้าง แต่ไม่แน่ใจ ว่าเหมาะ กับ ขุนพลในเวบนี้ทั้งหลายหรือป่าว กลัวว่าจะเป็นเอามะพร้าวห้าวมาขายสวนซะมากกว่า ยังไง จะเอาเป็นว่า ผมจะทยอยแปลทีละ ข้อ สองข้อ ข้อไหน ผมแปลแล้ว ติดขัดอย่างไร เห็นว่า ผิด หรือว่า อยากเพิ่มเติมอะไร ก็ช่วยชี้แนะด้วยแล้วกันนะครับ เมื่อ: 2008-02-16T17:03:20+00:00 crazyrisk: หนังสือเล่มนี้แบ่งโครงเรื่องออกเป็นส่วนๆ ได้แก่ 1. Do & Don'ts 2. Factor affect the stock market 3. Fundamental analysis 4. Technical analysis 5. Tactics & Strategies ถ้าสนใจให้แปลต่อเรื่อย ๆก็ ตอบกระทู้หน่อยละกันนะคับ จะได้รู้ว่า มะพร้าวห้าว จะขายหรือว่า เก็บไปกินเองดี เมื่อ: 2008-02-16T17:05:48+00:00 crazyrisk: Do & Don'ts 1. How knowlegdeable is a remisier? ข้อแรก ก็พื้นๆ ครับ แกแค่บอกว่า อย่าเชื่อ มาร์เกตติ้ง แกบอกว่า ที่ singapore secuities act บอกว่า เราสามารถฟ้อง โบรกเกอร์ที่แนะนำผิดๆให้เราเสียเงินด้วย.. โอ จิงเหรอเนี่ย 2. It is often remarked that the stock market is a casino และก็บลา บลา บลา ข้อสอง ก็พื้นๆ  คือ ตลาดหุ้น ไม่ใช่คาสิโน การขึ้นลงของหุ้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายๆอย่าง ได้แค่ interest rate economy, world crisis,politic,trade embargo,company performance 3. ถ้าผมเกษียณแล้ว อยากลงทุนในหุ้น  เลือกยังไงดี ตอบ - ซื้อหุ้นที่ให้ high dividend (ถ้าให้ดี ก็ควรมากกว่า ดอกเบี้ยเงินฝากกับแบงค์) 4. การเป็น contrarian  คือคนฉลาด? จริงๆแล้ว ชาวสวน คือคนที่ทำอะไรตรงข้ามกับ mass การจะเป็นชาวสวนที่ดี ต้องสามารถ วิเคราะห์ สถานการณ์เบื้องหน้าได้อย่างละเอียด 5. ถ้าหากมีการ take over เกิดขึ้น จะมีผลต่อราคาหุ้นยังไง ส่วนใหญ่แล้วจะขึ้น... มากกว่า ราคา take over สมมติ ราคา take over offer share price - 3.00 S                 current share price - 3.50 $ action ที่เกิดขึ้นโดย takeove company คือ 1. satisfied to hold whatever share it could accumulate 2. failure to obtain 50.01% of target company share,it may sell all the share to a athird party at a profit ใครแปล สองข้อหลังได้ ช่วยแปลหน่อยครับ ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ (เดี๋ยวค่อยแปลข้ออื่นๆตามมานะคับ) เมื่อ: 2008-02-16T17:28:10+00:00 dino: 8) แหะ แหะ ขอบคุณหมอเค มากๆครับ เสียดาย ภาษาปะกิดผมไม่ค่อยจะแข็งแรง ไม่งั้นจะได้ช่วยแปล เมื่อ: 2008-02-16T19:35:17+00:00 paul_n: [quote="crazyrisk"]D สมมติ ราคา take over offer share price - 3.00 S เมื่อ: 2008-02-17T01:59:50+00:00 AUIBOONG: น่าสนใจดีครับ เลยเข้ามาอ่าน และ จะติดตามต่อไป ขอบคุณหลายๆ ครับ เมื่อ: 2008-02-17T03:09:49+00:00 Mr. Boo: พ่อหมอเค สู้สู้........ เมื่อ: 2008-02-17T03:53:23+00:00 naris: ขี่หลังเสือแล้ว ห้ามลงจนกว่าจะเสร็จภาระกิจนะครับหมอ เมื่อ: 2008-02-17T04:02:01+00:00 plamuek76: มารออ่านครับ  :cheers: เมื่อ: 2008-02-17T05:48:45+00:00 minzie: มาช่วยลุ้นหมอเคคะ ลูกค้ารอกันตรึมแล้วนะคะมาต่อโดยด่วน เมื่อ: 2008-02-17T06:38:47+00:00 กระโจมไฟ: crazyrisk เขียน: ถ้าสนใจให้แปลต่อเรื่อย ๆก็ ตอบกระทู้หน่อยละกันนะคับ มารออ่านด้วยคนครับ เมื่อ: 2008-02-17T08:36:45+00:00 BOONPARUEY: ...      :cheers:  :cheers:  :cheers:       ... เมื่อ: 2008-02-17T13:16:36+00:00 MindTrick: crazyrisk เขียน: 5. ถ้าหากมีการ take over เกิดขึ้น จะมีผลต่อราคาหุ้นยังไง ส่วนใหญ่แล้วจะขึ้น... มากกว่า ราคา take over สมมติ ราคา take over offer share price - 3.00 S                 current share price - 3.50 $ action ที่เกิดขึ้นโดย takeove company คือ 1. satisfied to hold whatever share it could accumulate 2. failure to obtain 50.01% of target company share,it may sell all the share to a athird party at a profit ใครแปล สองข้อหลังได้ ช่วยแปลหน่อยครับ ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ (เดี๋ยวค่อยแปลข้ออื่นๆตามมานะคับ) ลองแปลครับ 1.ได้หุ้นตามต้องการ(มากกว่า 50.01%) ไม่ว่าาจะได้มาจากไหนก็ตาม 2.ได้ไม่ครบ 50.01% ของ บ. ที่ต้องการเทค ก็เลยขายต่อไปให้ มือที่สามในราคาที่มีกำไร(ผมเดาว่าเจ้ามีที่สาม มีหุ้นมากพอที่ซื้อไปแล้ว จะเทคได้ เลยโดนโก่งราคาซะ) เมื่อ: 2008-02-17T14:17:32+00:00 crazyrisk: แหะๆ ขอบคุณคับ จริงๆ ไม่ได้เน้นให้ มีเสียงเชียร์เยอะขนาดนี้หรอกครับ คือจริงๆ ผม อยากเอามาแชร์กันในส่วนที่ผมอ่านเข้าใจ และส่วนที่ติด  ถ้ามีคนมาช่วยกันแปล ก็ดีครับ วันนี้ผมอ่าน ใกล้จบแล้วครับ แต่เรื่องหลังๆ มันเป็นเทคนิคอลล้วนๆ ซึ่งค่อนข้าง เบสิคมากๆ และเนื้อเรื่องบางอัน ที่คิดว่า แปลกๆ ไม่น่าประโยชน์จะข้ามไปนะครับ เมื่อ: 2008-02-17T15:02:03+00:00 crazyrisk: 6.Is it advisable to purchase new issue  as it it often remarked ' New issue are good buys as they are cheap? อันนี้ พวกเราคงรู้คำตอบกันอยู่แล้วว่าไม่จริง ตัวอย่าง เขาบอกว่า ก่อนตัดสินใจ ซื้อ หันมาดูกันสักนิด ว่า มี - High net assets per share - Low PE - Strong future earnings หุ้นออกใหม่บ้านเรา ไม่เห็นมีพวกนี้เลย บางตัววิ่งกันกระฉูด ผมขอเติมครับว่า   - ปั่นง่าย  เข้าไปด้วยดีไหม ( Low market cap) 7 warrant ข้อนี้ ก็ง่ายๆ บอกว่า ราคา วอร์ ที่น่าซื้อ คือ รวมกับ x-price แล้ว น้อยกว่าราคาแม่ปัจจุบัน 8. กรณีไหน ที่เราน่าซื้อ warrant - guideline to buying warrant   - becoming Bullish market   - ราคาถูก   - Life span > 1 year 9.ข่าวกับราคา มีความสัมพันธ์ กันยังไง Bad rumour --> supply --> share price fall good rumour --> demand -->  - - - - rise Expectation of future hugh profit --> price surges ผมแปลคำว่า surge ไม่ออกคับ ลอง ค้นใน wikpedia บอกว่า ชื่อ น้ำอัดลมตัวนึง 10. ถ้าอยากเก็งกำไร และ รวยไว  เล่นมาร์จิ้น ดีไหม เขาให้ถามตัวเองแบบนี้ Are U a trader ?        ถ้าคำตอบ คือ YES  ไปต่อ เก่งเรื่องกราฟ?                               YES  ไปต่อ เตรียมเรื่อง cut loss                        YES                                     ถ้าใช่ เขาบอกว่า ให้ลุยเลย เมื่อ: 2008-02-17T15:16:11+00:00 MindTrick: surge  แปลง่ายๆว่า ขึ้นอย่างแรง :lol: เมื่อ: 2008-02-17T16:58:15+00:00 RONNAPUM: หนังสือเล่มนี้มันมีคนแปลออกมาแล้วนี้ครับ พอดีเมื่อวันอาทิตย์ไปเดินอ่านมาที่ B2S ( หรือว่าคนล่ะเรื่องกัน) เมื่อ: 2008-02-18T01:50:05+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
ข้อเสียของการไปประชุมผู้ถือหุ้นครับ Dech: ส่วนใหญ่พูดแต่ข้อดี และแนะนำให้ไปกัน จะได้มีข้อมูลได้พูดคุยซักถามผู้บริหารได้ ทำให้ได้ข้อมูลเพิ่ม แต่ผมว่าการไปประชุมก็มีข้อสียเหมือนกันนะครับ เท่าที่ผมไปมา ส่วนใหญ่มีแต่เรื่องดีๆ ผมว่าทำให้ ผมรู้สึกดีๆกับบริษัท มากเกินไปเหมือนกันนะครับ นับเป็นข้อเสียได้เหมือนกัน เพราะมองในแง่บวกเกินไป เหมือนถูกมนต์สะกด ต้องการจะซื้อๆเพิ่มอย่างเดียวเลย ปัจจัยอื่นแทบจะลืมไปเลยครับ ไม่ค่อยมีเหตุผลเท่าไหร่ อาจเป็นเพราะผู้บริหารบริษัทเราเก่งๆกันทั้งนั้น หรือแค่หว่านล้อมเก่ง พี่ๆเพื่อนๆ มีข้อแนะนำอื่นๆ บ้างหรือเปล่าครับ เมื่อ: 2005-05-04T16:25:15+00:00 สามัญชน: :lol: :lol: :lol: :lol: จริงครับ :lol: :lol: :lol: :lol: เมื่อ: 2005-05-04T16:40:50+00:00 Invisible hand: ผมเคยอ่านเจอว่ามีนักลงทุนระดับแนวหน้าบางคนไม่ยอมทำ company visit เลยครับเพราะกลัวเรื่อง bias ทั้งทาง negative และ positive ครับ ผู้บริหารบางคนไปฟังแล้วเคลิ้ม ฟังวิสัยทัศน์แล้วน้ำตาแทบไหล แต่ไม่สามารถเปลี่ยน " วิสัยทัศน์มาเป็นกำไร " ได้ซักที แต่บางคน ไปฟังแล้วดูไม่ดี หรือไปประชุมแล้วดูปฏิบัติต่อผู้ถือหุ้นไม่ดี หรือได้ยินเรื่องราวไม่ดีเกี่ยวกับผู้บริหารมา พอขายทิ้งเสร็จหุ้นวิ่งฉิวเลยครับ แต่โดยรวมๆ ผมยอมรับว่าเจ้าของบริษัทที่อยู่ในตลาด ถ้าไม่ใช่เซ้งกิจการต่อจากพ่อแม่มา ส่วนใหญ่จะต้องเป็นคนเก่งครับ ที่สามารถสร้างธุรกิจมาได้ขนาดนี้และเข้าตลาดหลักทรัพย์ได้ บางคนเก่งแล้วดีด้วย แต่บางคนเก่งแล้วไม่ดี หรือบางคนเก่งในการบริหารองค์กรเล็กๆ แต่พอองค์กรใหญ่ขึ้นก็มีปัญหา ( มักเกิดจากปัญหาด้านการบริหารคนหรือผู้บริหารขาด skill ที่สำคัญอะไรบางอย่าง ) บางทีคุณ copywriter อาจจะถือแต่หุ้นดีๆ ก็ได้นะครับ หากอยากเห็นอะไรแย่ๆ อาจจะลองซื้อซัก 100 หุ้นในหุ้นบางตัว เช่น ........ ( ไม่อยากเอ่ยชื่อดีกว่า ) แล้วเข้าประชุมดูสิครับ เมื่อ: 2005-05-04T16:41:27+00:00 Stock Broker: Invisible hand เขียน:ผมเคยอ่านเจอว่ามีนักลงทุนระดับแนวหน้าบางคนไม่ยอมทำ company visit เลยครับเพราะกลัวเรื่อง bias ทั้งทาง negative และ positive ครับ ดีแล้วครับ ไม่งั้นจะเป็นเหมือนกับนักวิแคะหลายโบรก ที่ไป company visit แล้วลืมตัวว่ามีหน้าที่วิเคราะห์หุ้น ดันทำตัวเป็น PR ของบริษัทจดทะเบียนแทน (ยิ่งกว่านั้น บางคนประชุมไป แอบออกมาโทร.สั่งซื้อหุ้น Front running อีกต่างหาก ) เมื่อ: 2005-05-04T17:16:04+00:00 woody: ผมเคยอ่านหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ Good to Great นะครับ เป็นหนังสือที่บอกว่าบริษัทที่จัดเข้าข่ายคำว่า Great ไม่ใช่แค่ Good นั้น องค์ประกอบหนึ่งที่สำคัญคือ ผู้นำ แต่ที่น่าแปลกนั่นคือ เค้าบอกว่าบริษัทที่ Great ผู้นำจะไม่ค่อยมี Charismatic หรืออีกนัยหนึ่งคือเป็นคนเรียบๆ ดังนั้นบางทีผมก็ยังไม่สามารถตัดสินใจได้อยู่ว่าเวลาฟังผู้บริหารที่ค่อนข้างจะ Active มากๆ ควรจะเคลิ้มตามดีไหม (ซึ่งปกติผมจะชอบผู้บริหารที่ดู Active มากกว่านะครับ) ปล. เกณฑ์ที่เค้าใช้ในการแยก Good กับ Great คือ ราคาหลักทรัพย์ หรือ หุ้นที่ Trade กันในตลาดย้อนหลังไปหลายๆ ปีว่าหุ้นสามารถเพิ่มค่าขึ้นได้เรื่อยๆ คล้ายๆ กับกราฟ Exponential (ฐานมากกว่าหนึ่ง) ได้หรือไม่ ยกตัวอย่างเช่น หุ้น ยิลเลต์ เมื่อ: 2005-05-04T18:58:23+00:00 chatchai: ถ้าเตรียมคำถามดีๆ ผู้บริหารก็ถูกต้อนจนมุมได้ครับ และผู้บริหารจะได้รู้ว่ามีผู้ถือหุ้นรายย่อยจับตาดูอยู่นะ ไม่เหมือนสมัยก่อนที่จะทำอะไรก็ได้ไม่มีใครสนใจ ชอบคิดว่าเป็นบริษัทส่วนตัวของพรรคพวกตัวเองเท่านั้น เมื่อ: 2005-05-05T00:29:37+00:00 Roland: บางบริษัทพูดแต่ด้านดีของตัวเองจริง ๆ ครับ กลายเป็นหน้าที่ของนักลงทุนต้องซักหาข้เสียของบริษัท อยู่ที่ว่าจะหาเจอหรือไม่ ผมยังชอบไปประชุมนะครับ อย่างน้อยก็ในเวลาหุ้นตก จะได้ถือต่อใจเย็น ๆ เมื่อ: 2005-05-05T00:46:03+00:00 ลุงขวด: แน่ละ เขาพยายามสร้างให้เราฝันตาม แต่ความฝัน กับความจริง มันคนละเรื่อง ความจริงเป็นตัวกำหนดราคาหุ้นว่าจะไปทางไหน ถ้าสร้างฝันให้เป็นจริงได้ คือ ความสามารถของฝ่ายบริหาร ในคราวประชุมที่ผ่านมา บริษัทฯ หนึ่ง จะสร้างฝันให้กิจการด้านหนึ่งโตขึ้น จาก 17% เป็น 45% ภายใน 3 ปี.......ผมแย้งในที่ประชุมว่า จากอดีต ปีหนึ่งโตแค่ 4% ถ้า 3 ปี ก็จะโต 12% จะได้ 12+17 เท่ากับ 29% มันห่าง ไกล กับ 45% มาก.........เราแย้งได้เลย......แสดงถึงว่า ผู้ถือหุ้นมีความสนใจ เขาจะได้พยายามสร้างฝันให้ถึง 45%.........การพูดในการประชุมทำให้ฝ่ายบริหาร ต้องคิด และ กระตุ้นให้เขาทำงาน มากขึ้น ดีกว่า ปล่อยให้ผ่าน ๆ โดยไม่มีใคร กระตุ้นเลย...........ผมชอบนะครับ ที่ มีหลายคน พูดว่า ฝ่ายบริหารคือ ผู้เล่นเกม ไม่ว่า เกม หรือ กีฬาใด ๆ.......ผู้ลงทุนโดยเฉพาะรายย่อย เป็นผู้ดู เขาเล่นเกม.........คอยตักเตือนและคัดค้านถ้าเขาเดินผิดทาง ถ้าเดินผิดมาก ๆ สร้าง ฝัน ไม่ให้เป็นจริง เรารายย่อย ก็ ต้องเลิก ลา ไปหา....ดู ทีม ผู้เล่น อื่น ๆ ต่อไป เมื่อ: 2005-05-05T04:02:41+00:00 สามัญชน: :lol: :lol: :lol: :lol: ผมว่ามันเหมือน symptom and sign ในทางการแพทย์หนะครับ symptom คือข้อมูลที่คนไข้บอกหมอ ซึ่งแม้ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องจริง ( เพราะคนไข้ได้ประโยชน์ ถ้าบอกความจริง ) แต่ก็มีหลายอย่างที่ไม่ใช่เรื่องจริง ซึ่งอาจจะเกิดจากคนไข้เข้าใจผิด หรือจงใจปกปิดไว้ด้วยผลประโยชน์ซ่อนเร้นบางอย่าง ผมเจอคนไข้แบบนี้บ่อยๆ ถ้าผมใช้เฉพาะ symptom โอกาสในการรักษาผิดก็มีอยู่สูง ส่วน sign เป็นสิ่งที่หมอตรวจพบเองจากตัวคนไข้ ไม่ว่าจะเป็นการตรวจเช็คร่างกาย ค้นหาสัญญาณโรคบางอย่าง ยังไม่พอครับ หมอยังต้องมี investigation ( สืบสวนด้วยเครื่องมือและอุปกรณ์ เช่น ตรวจเลือด เอกซ์เรย์ ) ต่อเพื่อยืนยัน symptom and sign ถึงจะได้การวินิจฉัยที่แม่นยำมากขึ้น การได้ไปประชุมผู้ถือหุ้นก็มีโอกาสที่ทำให้เราถูกชักจูงหรือโน้มน้าวได้บ้างถ้าเราไม่เข้าใจธุรกิจดีพอ แต่ถ้าเรารู้ทัน เราก็สามารถที่จะหาข้อมูลจากผู้บริหารในส่วนที่ป็น sign และยังสามารถ investigated ต่อได้ด้วย ถ้าไม่ไปประชุมก็เหมือนเรารักษาคนไข้โดยไม่ได้ตรวจร่างกาย ตรวจเลือด หรือเอกซ์เรย์ แล้วก็รักษาไปตามที่ฟังๆมา อันตรายจริงๆครับ :lol: :lol: :lol: :lol: เมื่อ: 2005-05-05T04:11:27+00:00 harry: ผมว่าอยู่ที่เราจะวิเคราะห์ ข้อมูลที่ได้มา ด้วยครับ เพราะเป็นธรรมดาที่เจ้าของต้องพูดแต่ข้อดี เราต้องแคะหาข้อไม่ดีให้เจอเองน่ะ แต่การไป visit กับ ประชุมผู้ถือหุ้น นี่ผมว่าดีกว่าไม่ไปแน่นอน อย่างน้อยก็เห็นหน้าเห็นตา พวกผู้ถือหุ้น ผู้บริหาร ว่าเป็นอย่างไรกันบ้าง ที่สำคัญก็ไปเจอพวกเรากันเองงัยครับ เมื่อ: 2005-05-05T05:58:48+00:00 yoyo: ไปแล้วต้องถามเยอะๆครับ ปกติผมชอบถามให้ผู้บริหารบอกจุดเสียของบริษัทตรงๆเลย ผู้บริหารที่เจอมาก็แบ่งเป็น 2 ประเภทครับ แบบแรก - เป็นพวกปิดบังจุดผิดพลาด แบบหลัง - เป็นพวกยอมรับความจริง มีดีก็บอกมีไม่ดีก็บอก ผมขอลงทุนกับกลุ่มหลังครับ ที่ผ่านมาเวลาเจอผุ้บริหารแบบแรก ผมขายหุ้นทิ้งเลยครับ ... อาจจะคิดมากไป แต่ผมไม่ชอบเสี่ยงครับ เมื่อ: 2005-05-05T06:34:42+00:00 Dech: ไปบางที่ไม่มีใครถามเลย มีเราถามอยู่คนเดียว ดูโดเด่ ยังไงไม่รู้ครับ จะถามในที่ประชุมเยอะๆ เลยไม่กล้าเลยครับ แถมอายๆอีกต่างหาก ผมไม่ชอบบรรยากาศแบบทางการเสีย หรือมากไปด้วยพิธีเสียด้วย เลยไปถามต่อนอกรอบดีกว่า มีบางที่ มีเกณฑ์พนักงานมานั่งฟังยังไม่พอใจครับ แถมทำตัวเป็นหน้าม้า แบบมีคิวมาเรียบร้อย คอยจ้องจะอนุมัติอย่างเดียว พอประธานหรือเลขา บอกขอมติปับ ลูกน้องที่ดี ลุกขึ้นอนุมัติปุป เป็นไปตามคิว เรียบร้อยโรงเรียนผู้บริหาร..... ผมมีคำถามมาแย้งแทบไม่ทัน :lovl: แปลกไปอีกแบบ เมื่อ: 2005-05-05T12:43:38+00:00 chatchai: มีบริษัทไหนบ้างครับที่เวลาประชุมผู้ถือหุ้นแล้วไม่มีพนักงานมาเป็นหน้าม้าครับ จริงๆแล้วกรณีหน้าม้านี่ ทางกลต. หรือทางตลาดหลักทรัพย์น่าจะสนใจบ้างนะครับ เมื่อ: 2005-05-05T13:50:33+00:00 CK: อืมมม์ ในฐานะผู้บริหาร จะขอรับฟังความคิดเห็นเพื่อนำไปปรับปรุงครับ :lol: :lovl: เมื่อ: 2005-05-05T14:20:19+00:00 ปรัชญา: chatchai เขียน:มีบริษัทไหนบ้างครับที่เวลาประชุมผู้ถือหุ้นแล้วไม่มีพนักงานมาเป็นหน้าม้าครับ จริงๆแล้วกรณีหน้าม้านี่ ทางกลต. หรือทางตลาดหลักทรัพย์น่าจะสนใจบ้างนะครับ อย่างคุณฉัตรชัย ว่าก็มีเหตุผลครับ ผมเคยถาม ผู้ที่เข้าร่วมประชุมเป็นพนักงานบริษัท ผมว่ามาประชุมผู้ถือหุ้น มีหุ้นถืออยู่หรือเปล่า หรือเปล่า บางคนก็บอกว่าถือ บางคนบอกได้รับมอบอำนาจมา ก็ได้แต่พยักหน้า แต่ก็มองป้านที่เขาใส่คอมา เฮ้อ เมื่อ: 2005-05-05T14:37:07+00:00 Dech: อันนี้ก็พอดูได้ เตรียมตัวไว้ ตอนนี้อยู่ในช่วงเทศกาลพอดี สำหรับผู้ที่จะไปเข้าประชุมผู้ถือหุ้น ครับ เมื่อ: 2006-02-16T16:02:17+00:00 Dech: ขุดขึ้นมาอ่านใหม่ครับ เตรียมตัวไปประชุมปีนี้ ปีนี้ ซื้อ 100 หุ้น ไว้หลายตัว ถ้าไม่ติดงานอะไรที่ทำงาน จะลาไปประชุมสักสองสามวัน แล้วถ้าได้ไปที่ไหนจะมาเล่าให้ฟังนะครับ เมื่อ: 2006-03-27T13:42:37+00:00 ด๊กดิงด่าง: มือใหม่อย่างผมแค่อ่าน 56-1 ก็เคลิ้มไปทุกบริษัทแล้วครับ เมื่อ: 2006-03-27T22:54:13+00:00 miracle: กระจกมันมีอยู่สองบานให้เอาส่องคือ รายงานประจำปี กับ 56-1 บ้างครั้งต้องเอาสองบานมาส่องพร้อมกันจึงจะได้ข้อมูล หรือบ้างครั้ง ทั้งสองบานก็ ส่องไปคนละทิศละทาง หรือส่องเข้าหากันเองเลยก็ได้ ต้องพิจารณาให้ดี เพราะ 56-1 นั้น เขามองธุรกิจของเขาเป็นไง รายงานประจำปี คือ เขาให้อะไรแก่ผู้ถือหุ้นบ้าง บ้างที่มันคือเส้นขนานหรือเป็นเส้นตรงเส้นเดียวกันก็ได้ เมื่อ: 2006-03-28T04:37:48+00:00 ด๊กดิงด่าง: ขอบคุณครับ  กำลังใช้พยายามอยู่ครับ เมื่อ: 2006-03-28T12:58:12+00:00 ปรัชญา: CopyWriter เขียน:ขุดขึ้นมาอ่านใหม่ครับ เตรียมตัวไปประชุมปีนี้ ปีนี้ ซื้อ 100 หุ้น ไว้หลายตัว ถ้าไม่ติดงานอะไรที่ทำงาน จะลาไปประชุมสักสองสามวัน แล้วถ้าได้ไปที่ไหนจะมาเล่าให้ฟังนะครับ ไป  MSC  หรือเปล่าครับ เมื่อ: 2006-03-28T15:26:48+00:00 MindTrick: หลงเข้ามาครับ  :lol: เมื่อ: 2008-04-22T17:50:02+00:00 คลายเครียด: เคยไปประชุมบริษัทหนึ่ง หน้าม้าถึงกับลากรองเท้าเตะ ใส่เสื้อปล่อยชายออกนอกกางเกงกับนุ่งกางเกงขาสั้น มาเข้าร่วมประชุม เข้าใจว่าทั่นที่อยู่บนเวที   เกณฑ์มาให้รับมือกับพวกช่างซักที่นั่งอยู่ข้างล่าง ซึ่งก็ได้ผลพอสมควร  ทำเอาผมต้องสงบปากสงบคำ ไม่กล้าถามอะไรมาก   กลัวพนักงานทำความสะอาดของบริษํท ค้อนตาคว่ำ บ่นพึมพำให้ได้ยินประมาณว่า "กระจอก  มีหุ้นอยู่แค่นิดเดียว  ทำเป็นเรื่องมากซักโน้นซักนี้"           อ้อ   ตอนนี้เลิกไปกวนใจทั่น มาสามปีแล้ว เพราะจ่ายปันผลให้ มากเป็นอันดับหนึ่งของหุ้นในพอร์ต :lol:  :lol:  :lol:  :lol:  :lol:  :lol:  :lol:  :lol:  :lol: เมื่อ: 2008-04-23T02:00:48+00:00 anakinnet: มีแค่ 100 หุ้นก็พูดได้ครับ แนะนำให้ขอไมค์โครโพนตัวนึงเอาไว้ที่เราเลย เมื่อ: 2008-04-23T02:58:54+00:00 teetotal: จะมีไหม ที่ บริษัท ใช้วิธีการทางโหร ดูฤกษ์ดูยาม มาแล้ว ว่า ฤกษ์ที่นัดประชุม เป็น ฤกษ์มหาเสน่ห์ ว่า ถ้าประชุม ในวัน เวลาที่นัด คนฟัง จะเคลิบเคลิ้ม หลงไหล เพราะ ถูกอิทธิพลของดาวจร ที่ สถิตย์อยู่ในราศีที่ให้คุณแก่ เจ้าของบริษัท  :lol: เมื่อ: 2008-04-23T08:33:50+00:00 SEHJU: [quote="คลายเครียด"]เคยไปประชุมบริษัทหนึ่ง หน้าม้าถึงกับลากรองเท้าเตะ ใส่เสื้อปล่อยชายออกนอกกางเกงกับนุ่งกางเกงขาสั้น มาเข้าร่วมประชุม เข้าใจว่าทั่นที่อยู่บนเวที เมื่อ: 2008-04-23T09:24:59+00:00 trillionaire: ...สิบปากว่า ไม่เท่าตาเห็น ... ...ในเมื่ออ่านทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับหุ้นตัวนั้นมาพอสมควรแล้ว... ...ก็ลองไปดูให้เห็นกะตาเอง อย่างน้อยก็ไปดูโหงวเฮ้ง ดูกึ๋นของผู้บริหาร... ...ว่าเก่งสมกับที่เราไว้วางใจลงทุนในระยะยาวๆหรือไม่... ...ศุกร์นี้จะไปประชุมครั้งแรกครับ ลางานแล้ว ... ...ไม่รู้ว่า บรรยากาศจะแตกต่างจากopp.dayแค่ไหน...  :roll: เมื่อ: 2008-04-23T11:25:04+00:00 Dech: ตั้งแต่เริ่มอยู่ในตลาดมาปีนี้เป็นปีแรกที่ไม่ได้ไปประชุมที่ไหนเลยครับ เพราะหาเวลาลงไม่ได้ครับ ปีอื่นๆไปหลายๆที่ครับ อย่างนี้ก็ดีเหมือนกันครับจะได้ไม่ถูกกล่อม ฮาฮา เมื่อ: 2008-04-23T14:28:54+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
เพื่อนๆแยกหุ้นที่ขึ้นตามปกติกับผิดปกติออกมั้ยครับ? Stock Broker: เช่น PTT ASL IEC PTTEP BH MINT HMPRO AMATA TICON ROBINS TF METCO ผมก็เห็นมันขึ้นมาแรงๆ ทุกตัว แล้วแยกแยะด้วยอะไรครับว่า ตัวไหนขึ้นตามปกติ ตัวไหนขึ้นผิดปกติ? เมื่อ: 2005-11-18T16:33:59+00:00 jiras: มีอย่างน้อย 2 ตัวที่ผมไม่คิดว่ามันขึ้นมาจากผลการดำเนินงานปกติ เมื่อ: 2005-11-18T16:50:19+00:00 Dech: แยกยังไงครับ ดูไม่ออก เมื่อ: 2005-11-18T16:51:48+00:00 zolomon: asl and iec แม่นบ่ ตัวอื่นเช่น ptt tf hompro นี่ผมว่าสมเหตุสมผล สมกับผลประกอบการอยู่นะ (ตัวอื่นไม่ได้ศึกษา) เมื่อ: 2005-11-18T16:56:36+00:00 jiras: ASL,IEC 2 ตัวนี้ขึ้นมาไม่ปกติอย่างมาก ส่วนที่เหลือขึ้นตามผลประกอบการหรือความคาดหวังในการเติบโตในอนาคต ซึ่งหลายตัวผมคิดว่าขึ้นมามากเกินไป เมื่อ: 2005-11-19T05:38:38+00:00 Stock Broker: ที่ผมตั้งกระทู้นี้ เพราะเห็นว่า ถ้าหากเราพิจารณาตรงกันได้ว่า สามารถแบ่งแยกได้ว่า หุ้นใดขึ้นตามปกติ หุ้นใดขึ้นผิดปกติ หรือแม้กระทั่งหุ้นใดเป็นหุ้นที่ไม่ควรอนุญาตให้ลงทุนผ่านตลาดรอง ทำไม ตลท. ไม่ขึ้นเครื่องหมายเพื่อเตือนนักลงทุนล่ะครับ เช่น มีสัญลักษณ์ขึ้นตามหลังชื่อย่อของหุ้น เวลา guote ในจอทีวี ในเว็บไซต์ ในนสพ. (คล้ายๆ กับเครื่องหมาย XD) อย่างน้อยนักลงทุน นักเก็งกำไร ที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ หรือโดนเพื่อนๆ ชักชวน โดนมาร์ฯ ชักชวน จะได้รู้ตัวบ้างว่า เล่นกับอะไรอยู่ เมื่อ: 2005-11-20T08:30:01+00:00 miracle: ในความคิด ห้างอีกตัวหนึ่ง แต่ห้างนั้นต้องบอกว่า ระยะยาวหน่อย เพราะปีหน้า งบจะออกมาไม่สวย ตอนนี้งบออกมาสวยก็จริง ส่วนที่เห็นๆๆคือIEC ตอนนี้ดูตัวอื่นที่คล้ายกัน ว่าตัวอื่นเขาทรงหรือทรุดตัวนี้วิ่งร้อยเมตร เมื่อ: 2005-11-20T08:36:54+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
แก้มือ คำนี้เกิดขึ้นทุกครั้งที่เราพลาดครั้งแรก hot: แต่การแก้มือจะเป็นการถล่ำลึกลงไปสู่การขาดทุนหรือกำไรคับ เมื่อ: 2005-07-18T03:04:41+00:00 CK: ถ้ามี "รอ ไตร่ตรอง ปรับปรุง" คั่นระหว่าง "พลาด" กับ "แก้มือ" ก็ไม่เป็นไรครับ เมื่อ: 2005-07-18T03:17:45+00:00 สามัญชน: แก้มือ คำนี้เกิดขึ้นทุกครั้งที่เราพลาดครั้งแรก ครั้ง 2, 3 ,4 ,5 ,6 , 7 ..... ก็เกิดดดดด 555 เมื่อ: 2005-07-18T03:38:22+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
หุ้นตัวนี้น่าสนนะครับคิดว่าไงบ้างครับ ปรัชญา ทิพย์มาบุตร: สำหรับ sf siam future development กลุ่มของ major ถืออยู่ 30% รายได้หลักมาจากการให้เช่าพื้นที่ และลุกค้าก็ได้แก่ major tops marketplace ซึ่งโดย nature แล้่วเป็นรายที่ไม่ค่อยผันผวนครับเพราะจะทำเป็นสัญญาการเช่าแถมมีส่วนหนึ่งต้องจ่ายล่วงหน้าก่อนด้วยครับ ปีที่ผ่านมามีการจ่ายปันผลไป 10 สตางค์ ราคาหุ้นในกระดานตอนนี้ยังไม่ถึง 10 บาทเลยครับ แถมถ้ามองว่ามีปน้าไม่ีมี growth มีการจ่ายปันผลเท่าเดิมคือ .10 สตางค์ ok ไหมครับเหมือนเป็นหุ้น defendsive stock รายได้แน่นอนครับ project ตัวเลขออกมาก็คงไม่กระโดดหวือหวาให้ surprise ทำให้ราคาหุ้นโดดไปแรง ๆ แต่ปี้นี้ จะเป็นหุ้น ที่มี growth ครับ จากการขยายโครงการใหม่ ๆ ซึ่งมีรายได้เข้าทันทีหลังจากเิริ่ม operate ได้เนื่องจากมีการเก็บค่าเช่าล่วงหน้าอย่างที่บอกครับ แต่ผมก็ยังไม่มั่นใจว่าจะทำให้งบดีขึ้นผิดหูผิดตารึเปล่า? แต่ก็แปลกใจที่ปีนี้มีการลงทุนเพิ่มอีก 600 กว่าล้าน เงินลงทุนส่วนหนึ่งมาจากการเพิ่มทุนครับ แล้วก็อีกส่วนมาจากการกู้ รู้สึกจะครึ่ง ๆ ในขณะที่บริษัทมีการลงทุนต่อแต่กลับจ่ายปันผลแยะจังครับ งง ๆ ส่วนหนึ่งอาจจะมาจากการที่ผู้ถือหุ้นส่วนใหญ่อยากให้จ่ายรึเปล่าครับ? แต่ไปดูงบแล้วแปลก ๆ ครับผู้รู้ช่วยดูทีงบมันไม่ค่อยละเอียดครับเรื่องรายได้กับค่าใช้จ่่ายอ่ะมันกลม ๆ ไม่ค่อยชัดครับ? อยากให้ลองช่วยติหน่อยครับว่ามีจุดอ่อนตรงไหนน่าสนใจยังไงครับ เมื่อ: 2004-04-09T13:45:26+00:00 thanwa: ผมไม่ได้ศึกษาตัวนี้ แล้วก็ไม่ได้ดูงบครับ เห็นไม่มีใครตอบ ก็เลยขอตอบที่ระดับ 35,000 ฟุตครับ Trend ของ Community Mall นั้นดีมากครับ มีอนาคต แต่ผมคิดว่า ราคาอาจจะสูงเกินไปหรือว่า PE ก็ค่อนข้างสูงครับ นอกจากนี้ยังมี warrant อีกด้วย ไม่ทราบว่าคุณปรัชญาพิจารณาสิ่งเหล่านี้หรือยังครับ เมื่อ: 2004-04-10T14:52:24+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
มีข้อมูลห้นตัวนี้ใหมครับ UFM นะ: มีข้อมูลห้นตัวนี้ใหมครับ UFM เมื่อ: 2004-03-08T08:50:47+00:00 นะ: UFM : UNITED FLOUR MILL PUBLIC COMPANY LIMITED (Mil.Baht) As of 2003 31/12/2003 2002 31/12/2002 2001 31/12/2001 2000 31/12/2000 1999 31/12/1999 Assets 2,801.42 2,568.78 2,373.26 2,415.38 2,753.39 Liabilities 1,880.82 1,990.15 1,980.36 2,100.27 2,368.35 Equity 920.60 578.64 392.89 315.11 385.03 Paid-up Capital 400.00 400.00 400.00 400.00 400.00 Revenue 2,718.10 2,279.57 2,113.94 2,298.13 2,445.31 Net Profit 244.38 179.16 74.43 -43.88 59.46 EPS(Baht) 6.11 4.48 1.86 -1.10 1.49 ROA(%)* 18.07 17.34 9.81 8.12 11.03 ROE(%)* 32.60 36.88 21.03 -12.53 17.35 Net Profit Margin(%) 8.99 7.86 3.52 -1.91 2.43 As of 04/03/2004 31/12/2003 27/12/2002 28/12/2001 29/12/2000 P/E 4.42 7.03 11.05 8.53 N.A. P/BV 1.17 2.05 1.94 1.31 1.97 Dvd. Yield(%) 1.85 N.A. N.A. N.A. N.A. Last Price(Baht) 27.00 38.00 23.00 12.50 17.25 Market Cap. 1,080.00 1,520.00 920.00 500.00 690.00 เมื่อ: 2004-03-08T08:52:06+00:00 นะ: ตัวนี้ผมเคยมีเมื่อปีที่แล้ว ปัญหาคือไม่สามารถซื้อได้ถึงจำนวนที่ต้องการ เพิ่งจะเก็บไปได้นิดเดียวก็มีคนมาช่วยซื้อ แถมให้ราคามากกว่าเราตั้งเยอะ ก็เลยตัดใจขายไป ผมว่าตัวนี้เป็นหุ้นที่น่าสนใจมากถ้ามีสภาพคล่องมากกว่านี้อีกนิดนิง บริษัทมีหนี้ผิดชำระและดอกเบี้ยค้างชำระเยอะมาก ในขณะที่ก็มีเงินสด เยอะมากเช่นกัน ซึ่งน่าจะเป็นผลดีเมื่อสามารถปรับโครงสร้างหนี้ได้ (ต้องยอมรับว่าบริษัทแน่มากที่จ่ายปันผลได้ทั้ง ๆ ที่มีหนี้ผิดชำระ) มีข้อสังเกตุอย่างนึง กำไรไตรมาสสี่ที่สูงมากไม่รู้ว่ามาจากไตรมาสสี่จริง ๆ หรือมาจากการปรับปรุงสามไตรมาสแรกด้วย คิดว่าคุณคงมีอยู่แล้วนะครับ ถึงมาโพส เพราะถ้ายังไม่มีแล้วมาโพสในนี้ อาจทำให้มีคนมาแย่งซื้อนะครับ เมื่อ: 2004-03-08T10:50:58+00:00 chatchai: เจ้าของเป็นกล่มศรีกรงวัฒนาครับ เป็นเจ้าของ BSI TCCC และ METRO ที่จดทะเบียนในตลาดครับ เมื่อ: 2004-03-08T12:51:18+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
กำลังจะมีงานหนังสือแล้วนะครับ boybbcom: สวัสดีครับ ขณะนี้ใกล้จะมีงานหนังสือแล้วครับ 25มีค-6เมย. ครับ พวกเพื่อนๆพี่ๆมีหนังสืออะไรแนะนำไหมครับ ตอนนี้ผมสนใจเกี่ยวกับการลงทุนหุ้น บริหารธุรกิจ น่ะครับ หรือถ้ามีแนวอื่นแนะนำมาก็ยินดีครับ ครั้งนี้กะไปซื้อ สงครามการตลาด ครับไม่ทราบว่าใครเคยอ่านไหมครับ ขอบคุณมากครับ เมื่อ: 2005-03-21T14:44:09+00:00 Mon money: แนะนำหนังสือที่ผมเขียนครับ แวะไปที่เนชั่นครับ ถ้าวันศุกร์ผมจะไปซุ่มๆอยู่แถวๆนั้นด้วยเพื่อเช็คRatingคร๊าบ เมื่อ: 2005-03-21T17:58:57+00:00 Zionism: ผมไปวันเสาร์มั้งครับเฮียมน ยังอยู่ไหม ถ้าอยู่จะได้ขอส่วนลดอีก ฮา... เมื่อ: 2005-03-21T18:52:13+00:00 harry: วันศุกร์นี่หมายถึงวันแรกเลยป่าวเฮียมน ผมแวะไปเซอร์เวย์ก่อน ซื้อจริงรอบนึงก่อน จะได้แวะไปทักทาย เมื่อ: 2005-03-22T02:45:53+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
เกี่ยวกับการประชุมผู้ถือหุ้นสามัญ ArtTheOracle: ผมอยากทราบว่าในกรณีที่เราไม่ได้ถือหุ้นตัวนั้นอยู่ เราสามารถเข้าร่วมประชุมได้ไหมครับพี่ ๆ คือสนใจบางบริษัท แต่ไม่มีหุ้นอะครับ แหะ ๆ เมื่อ: 2010-04-17T04:06:14+00:00 yy: ตามปกติ ไม่ได้ครับ แต่ถ้าไม่ปกติ สามารถไปได้ ถ้ามีคนที่มีหุ้นอยู่มอบฉันทะให้เข้าร่วมประชุมแทน เมื่อ: 2010-04-17T12:23:31+00:00 ArtTheOracle: อ่า ขอบคุณครับ เมื่อ: 2010-04-17T12:32:54+00:00 Samkok: ขอสอบถามเพิ่มเติมครับ คือว่าถ้าเราได้สิทธิ์ประชุมที่หุ้นแล้วจากจดหามยที่ส่งมาทางบ้าน ถ้าเราขายหุ้นนั้นเกลี้ยงportยังคงเข้าประชุมผู้ถือหุ้นได้หรือไม่ครับ รบกวนด้วยนะครับ เมื่อ: 2010-04-19T16:16:46+00:00 Anti-Aircraft: ได้ครับ เค้านับจำนวนหุ้นก่อน xd ครับ เมื่อ: 2010-04-26T02:33:58+00:00 เด็กเลี้ยงไม้: Samkok เขียน:ขอสอบถามเพิ่มเติมครับ คือว่าถ้าเราได้สิทธิ์ประชุมที่หุ้นแล้วจากจดหามยที่ส่งมาทางบ้าน ถ้าเราขายหุ้นนั้นเกลี้ยงportยังคงเข้าประชุมผู้ถือหุ้นได้หรือไม่ครับ รบกวนด้วยนะครับ ผมคิดว่าได้ครับ คือต้องถือจนกว่ามันจะขึ้น xm จากนั้นจะขายหมดก็ไม่น่าเป็นอะไร เหมือน xd หละครับ เมื่อ: 2010-04-26T05:06:38+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
แนะนำอ่าน"รวยด้วยหุ้น" เด็กเลี้ยงไม้: เป็นการรวบรวมบทความที่อจ.นิเวศน์เขียน ลงในกรุงเทพธุรกิจและในtviแห่งนี้ เป็นเล่มที่3 ต่อจาก"เซียนหุ้นพันธ์แท้"และ"เซียนหุ้นมือทอง" หลายๆบทความมี"กลยุทธ"ส่วนตัวของอจ.เอง หาอ่านที่ไหนไม่ได้ครับ ถ้าเพื่อนๆเอามาอ่านทวนดูจะพบว่า ประวัติศาสตร์หลายๆเรื่องที่อจ.เขียนไว้ หวนกลับมาให้เราได้พิสูจน์กันซ้ำๆๆๆๆ ผมว่าอจ.น่าจะเอาบทความที่เขียนไว้ตั้งเยอะเหล่านี้ มาเรียบเรียงรวบรวมใหม่ ออกเป็น"ตีแตก2"ซะที เพราะมีเนื้อหาใหม่ที่แตกต่างจาก"ตีแตก"ที่เขียนขึ้นมาครั้งแรก เมื่อ: 2004-05-27T15:20:13+00:00 tk: ไม่ทราบเป็นเนื้อหาเดียวกับที่ลงไว้ที่นี่หรือไม่ครับ พอดีผมเซฟไว้ทุกหน้าอยู่แล้ว ถ้าเหมือนกันจะได้ไม่ต้องซื้อครับ ขอบคุณครับ เมื่อ: 2004-05-28T03:31:06+00:00 yoyo: เหมือนกันครับ บทความที่ลงในหนังสือทั้งหมดเอามาจากกรุงเทพธุรกิจ แต่ยังไงผมก็ยังชอบอ่านเอาจากหนังสือมากกว่าอยู่ดีมันสบายตาและพกพาสะดวก เมื่อ: 2004-05-28T04:07:07+00:00 yoyo: เห็นชื่อแล้วนึกถึง หนังสือของ อาจารย์ วีระ ธีรภัทร ชื่อเหมือนกัน รวยด้วยหุ้น มี4เล่มจบ... แต่อันนั้นเป็นเรื่องสมัยหลายๆ ปีมาแล้วครับ หนังสืออาจารย์นิเวศน์ นี่สังเกตว่า เพื่อนหลายๆ คนชอบ ผมก็คนหนึ่งครับ เมื่อ: 2004-05-28T08:42:35+00:00 tenkafubu: แล้ววางแผงแล้วยังครับ ...ไม่ได้ไปร้านหนังสือมา 2 อาทิตย์แล้ว ถ้ายังไง หากวางแผงแล้ว บอกด้วยน่ะครับพี่ประจวบ เมื่อ: 2004-06-02T18:57:11+00:00 chatchai: ผมเห็นที่ร้านซีเอ็ดครับ เมื่อ: 2004-06-03T03:28:21+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
ถ้าเราอ่าน cycle ออก..... คนเรือ VI: กระผมขอชวนพี่ๆมาอ่านcycle ของอุตสาหกรรมกันครับ หลายๆอุตสาหกรรมค่อนข้างผูกติดกับcycle, demand supper (จาก overdemand เป็น over supply) และเป็น global demand/supply ด้วย ผมว่าจากตีcycleออกน่าจะช่วยได้มากในการเลือกอุตสาหกรรม นอกเหนือไปจากที่ พี่ๆเพื่อนๆ วิเคราะห์เชิงลึกราย บมจ ครับ ที่ผมลองดูcycleแล้ว ที่เห็นชัดๆ มี Containerised Shipping Industry ครับ Cycle ประมาณ 4 ปี Cycle นี้น่าจะ peak สุด ปี 2005 เนื่องมาจาก demand/supply (เรือลำนึงให้เวลาต่อ 3 ปี จาก orderครับ) อีกอันหนึ่งคือ Electronics, Micro Technology, Chip, ครับ Cycle 5 ปี จะpeak ปี 2005 เช่นกันครับ ถ้าไม่มี fundamental change. ......ช่วยๆกันครับ.... cycle นึง 5 ปี from peak to peak, drought to drought. ขาขึ้นกินเวลานานกว่าขาลง โดยเฉลี่ย ถือจาก drought to peak +วิเคราะห์เชิงลึก (Micro + Macro) น่าจะให้ผลตอบแทนดีนะครับ ลองมาดูๆกันหลายๆ industry ดีมั้ยครับ...... เมื่อ: 2004-03-28T17:41:53+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
กระทิงมา?? Samadha: หลายท่านกำลังงงงวย รวมถึงผมด้วย ว่ามันเกืดอะไรขึ้น ไม่ใช่เฉพาะ ประเทศไทย แต่เกิดขึ้นทั่วโลก คิดว่า กระทิงมาแล้ว หรือ just technical rebound ขอความเห็นหน่อยครับ ส่วนตัว คิดว่า กระทิงมาแล้วครับ ซื้อหมดหน้าตัก กลัวตกรถครับ เมื่อ: 2020-06-05T15:44:46+00:00 nopthank09: ผมเชื่อว่ากลับขึ้นไปเพราะความคาดหวังครับ เพราะเรื่อง covid ที่ปิดเมืองกันไป เปิดได้เร็วกว่าที่ทุกคนคาดว่าจะลากไปถึงไตรมาส 3 และเงินในระบบมันเยอะมากจริงๆครับ และตอนนี้มองข้ามไตรมาส 2 ไป จุดที่น่าสนใจคือถ้าไตรมาสสามสถานการณ์ดูดีและสถานการณ์ต่อไปดีเช่นกัน อาจจะเห็น super bull market ได้เลยครับ เป็นความเชื่อส่วนบุคคลนะครับ เมื่อ: 2020-06-06T04:26:03+00:00 yoko: หุ้นขึ้นเพราะกองทุนไทย เทศ รุมซื้อและจะยั่งยืนหากเศรษฐกิจไทยดี เมื่อ: 2020-06-07T01:59:20+00:00 XO: คงจะคล้ายๆกับว่า ทุกคนรู้อยู่แล้วว่า วันนึงมันก็ต้องจบ แล้วกลับไป 1600 เหมือนเดิม แต่ถ้านักลงทุนมองตามสภาพ น่าจะค่อยๆกลับขึ้นไป กว่าจะ 1600 น่าจะอีก ปีสองปี แต่ก็เหมือนเป็นเกมที่ทุกคนรุ้อยู่แล้ว แล้วมีคนกลุ่มนึงไม่อยากรอนานขนาดนั้น (เน้นว่าภาพเดียวกัน แต่ไม่อยากรอ) ก็เลยซื้อกลับซะเลย ประมาณนั้นครับ แล้วพอคนบางส่วนที่รออยู่เหมือนกัน เห็นหุ้นขึ้นกลับมาได้อย่างมีนัยยะ ก็รีบซื้อตามครับ แต่ถ้ามองปัจจุบัน ตอนนี้ก็ 1400 กว่าแล้ว ก็ถือว่าขึ้นมามากแล้ว ไม่รุ้เหมือนกันนะครับว่าถ้ามองระยะเวลาแค่ภายในปีนี้ จะยังไปต่อได้รึเปล่า เมื่อ: 2020-06-07T03:34:31+00:00 miracle: กระทิง แน่นอนครับ กระทิงตัวนี้คล้ายปี 2009 มากกว่าครับ เพราะได้อานิสงค์ จาก การอัดเงินไม่อัดของ ภาพการเงินของ US และ ภาพการคบังที่อัดเงินออกมาเรื่อยไปเป็นชุดๆ ส่วนประเทศต่างๆ ก็ใช้ทั้งภาคการเงินและภาคการคลังพยุงเศรษฐกิจ แต่สิ่งที่ไม่เหมือน ในครั้งวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์คือ 1 ครั้นนั้น US เป็นคนเดียวที่อัดเงินเข้าระบบ ผ่านนโบายทางการเงิน และมี budget และกรอบเวลา รอบนี้ใช้ทั้งการเงินและการคลัง โดยภาคการเงิน ไม่มี budget ในการใช้ และระยะเวลาจำกัดที่ ท่านประธานาธิบดีคนใหม่รับตำแหน่งได้ซักพักหนึ่ง ค่อยว่ากัน 2 ครั้นที่แล้วทองคำ วิ่งทำ new high แต่รอบนี้ ยังไม่ทำ new high รอเวลาหรือเปล่า ยังไม่แน่ใจ 3 ครั้นที่แล้ว US ต่อด้วยกรีซ และไอร์แลนด์ ลามเข้ายูโรโซน แต่รอบนี้ ทั่วโลกเกิดพร้อมกันหมด 4 รอบที่แล้ว เกิดตอนเปลี่ยนใกล้ ประธานาธิบดี หมดวาระสองสมัย แต่รอบนี้ ยังไม่ได้ตัวแทนพรรคก็เกิดเรื่องแล้วมีแนวโน้มว่าได้คนใหม่เหมือนกัน ณ ตอนนี้ (รีพับรีกัน ทำร่วง เดโมแครต ซ่อม) ของไทยเอง แตกต่างจากรอบที่แล้ว รอบที่แล้วเราไม่กระทบ แต่รอบนี้กระทบหนัก ไม่ต้องพูดอะไรมา โดนหนักมาก รอบที่แล้ว ดอกเบี้ยลดลง ทำ new low รอบนี้หนักกว่า all time new low interest rate ของ BOT รอบที่แล้ว มี tvi meeting คนไป ไม่ถึง 10 คน แต่รอบนี้ จัดไม่ได้ จบตามนี้ครับ เมื่อ: 2020-06-07T15:19:23+00:00 Lastpun: บางช่วงเวลาก็ไม่แปลกที่ตลาดหุ้นจะมี Excess ทั้งด้าน positive / negative แต่สิ่งหนึ่งที่ Covid19 ทำ อาจจะเร็วเกินไปที่จะสรุปผลกระทบ จริงอยู่หลายประเทศควบคุมได้ดี แต่ผลเสียทางเศรษฐกิจที่พังไปแล้วยากเกินที่จะคาดเดา ปี 2019 อาจจะเป็น Pre-covid ซึ่ง กว่า earning จะไปกลับจุดเดิมยังยาก ตลาดหมีในอดีต จะมี Bear rally เสมอ จริงอยู่เงินล้นโลกแต่ครั้งนี้จะ This time is different? เมื่อ: 2020-06-09T03:48:15+00:00 sukit2020: เรื่องวุ่นๆ เมื่อเพื่อนนักเศรษฐศาสตร์ 5 คน นั่งพูดเรื่องเศรษฐกิจหลังยุค Covid กัน.. เพื่อนนักเศรษฐศาสตร์ 5 คน นัดเจอกันที่ร้านอาหารหลังมาตรการปลดล็อคดาวน์ของรัฐบาล คนแรกเริ่มก่อน เขาพูดกับเพื่อนทั้ง 4 ด้วยความมั่นใจ "ผมคิดว่า Covid รอบนี้ เผลอๆ หนักกว่าต้มยำกุ้ง เพราะเศรษฐกิจ real sector พังเป็นแแถบ คนตกงานพุ่งมหาศาล SME ล้มระนาว หนี้เสียแบงค์พุ่งกระฉูด การท่องเที่ยวเครื่องจักรสุดท้ายตัวเดียวที่เหลือของประเทศไทยตายสนิท ตลาดหุ้นจะพังทลาย เพราะปัจจัยพื้นฐานเลวร้ายมาก.. ผมมองไม่เห็นทางเลยว่าตลาดไทยจะวิ่งขึ้นได้ยังไง" 🖐🖐🖐🖐🖐🖐🖐🖐🖐 "เดี๋ยวๆๆๆ.." คนที่ 2 พูดแทรก "ช้าก่อนเพื่อน.. คุณเทียบ Covid กับต้มยำกุ้งไม่ได้หรอก เพราะในยุคต้มยำกุ้ง โลกเรายังไม่รู้จัก QE ผมคิดว่า Covid รอบนี้หุ้นจะขึ้นทั่วโลกเหมือนตอนหลัง Subprime นั่นแหละ เพราะเงินมหาศาลต้องการที่อยู่" "ด้วยปริมาณเงินที่ธนาคารกลางทั่วโลกอัดฉีดเข้ามาแบบไม่ยั้ง มันจะไหลเข้าตลาดหุ้น แล้วทำให้หุ้นวิ่งขึ้นอย่างหนัก ในขณะที่ภาวะเงินฝืดจะยังคงรุนแรงทั่วโลก เศรษฐกิจตกต่ำ แต่ตลาดหุ้นจะวิ่งสวนทางเหมือนที่เคยเกิดขึ้นในทศวรรษแห่ง QE หลังปี 2008 ที่ผ่านมา" "คุณเห็นตลาดช่วง 4-5 วันนี้มั้ย สังเกตมั้ยว่า fund flow ต่างชาติเริ่มไหลเข้าอย่างต่อเนื่องแล้วนะ" 🖐🖐🖐🖐🖐🖐🖐🖐🖐 "แต่ชั้นว่านะ.. " คนที่ 3 แย้ง "คุณเอา Covid ไปเทียบกับ Subprime ไม่ได้หรอกค่ะ.." "เพราะในยุค Subprime เศรษฐกิจ real sector ไม่ล่มสลายถึงระดับ the great depression กลุ่มที่ล้มกลุ่มแรก คือกลุ่มแบงค์ แต่ธุรกิจยักษ์ใหญ่ส่วนใหญ่เอาตัวรอดได้ ผลประกอบการยังโอเคและค่อยๆ ดีขึ้นหลัง QE ทำให้ตลาดหุ้นวิ่งขึ้น โดยที่ valuation ไม่ได้แพงมากจนเกินไป PE ประคองตัวอยู่ในโซนที่นักลงทุนยังรับได้" "แต่ดู Covid รอบนี้สิคะ บริษัทยักษ์ใหญ่ล้มทั้งยืน ทยอยล้มละลาย ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนดูไม่จืดเลย เรียกได้ว่าเลวร้ายเป็นประวัติการณ์ คิดว่าตลาดหุ้นจะขึ้นทั้งๆ ที่ผลประกอบการแบบนี้จริงเหรอคะ ถ้ามันขึ้นไปเรื่อยๆ แล้วผลประกอบการเลวร้ายลงทุกไตรมาส คิดว่า PE หุ้นจะวิ่งไปเท่าไหร่คะ ถ้าตลาด PE 60 คนจะยังอยากไล่ซื้อหุ้นอยู่หรือเปล่า..? ชั้นเห็นด้วยที่เงินจะฝืด เงินจะไหลไปสินทรัพย์เสี่ยงจริง แต่คงไม่ใช่หุ้น" "อย่าลืมนะคะว่า สินทรัพย์ในโลกมีมากมายให้เลือกลงทุน hedge fund ชอร์ตตลาดหุ้นก็กำไรได้ แถมคนเก่งๆ ทำกำไรได้จากอนุพันธ์ได้เยอะกว่าซื้อหุ้นด้วย ดังนั้นการที่เงินย้ายไปสินทรัพย์เสี่ยง ไม่ได้หมายถึงหุ้นต้องขึ้นอย่างเดียวค่ะ ถ้าราคาหุ้น มันไม่สะท้อนปัจจัยพื้นฐาน ท้ายสุดก็ฟองสบู่แตกอยู่ดี นอกจากนี้เงินอาจจะไหลไปสินทรัพย์อื่น เช่น Crypto, Hedge Fund, Infrastructure, Commodities หรือ Private Equity ก็ได้ค่ะ" "ชั้นคิดว่า Covid รอบนี้ไม่เหมือนต้มยำกุ้ง ไม่เหมือน subprime แต่ถ้าดูระดับ real sector มันเลวร้ายในระดับ the great depression ช่วงทศวรรษที่ 20 ค่ะ" 🖐🖐🖐🖐🖐🖐🖐🖐🖐 คนที่ 4 นั่งฟังมานานได้โอกาสพูดขึ้นมาบ้าง "พวกคุณทุกคน มองว่าเงินที่รัฐอัดฉีด จะไหลไปที่สินทรัพย์เสี่ยง ไม่ว่าจะตอน Subprime ที่โลกเริ่ม QE รวมถึง Unlimited QE ครั้งนี้เหรอ..?" "ผมมองต่างนะ..." "ความแตกต่างของ QE รอบ Covid กับ QE ตอน Subprime คือ เส้นทางของเงินที่อัดฉีด ชัดเจนว่า QE รอบนี้พุ่งตรงไปที่ real sector ด้วยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ที่อัดฉีดเงินเข้ามือรายย่อย และภาคธุรกิจโดยตรง แตกต่างจาก QE รอบที่แล้วที่เงินไปอยู่กับกลุ่มนายแบงค์ ที่แห่เอาไปเก็งกำไร" "ผมกลับคิดว่า ถ้าการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบนี้ทำได้ถูกต้อง ประชาชนจะอยู่รอดได้ ธุรกิจเล็กอาจจะพังบ้างถ้าทดพิษบาดแผลไม่ไหว แต่ถ้าทนจนผ่านช่วง Covid ไปได้ วัคซีนมาเมื่อไหร่ โลกเราคงไม่พังถึงระดับ the great depression หรอก วัคซีนมาโลกก็จะเริ่มฟื้น GDP จะกลับมาค่อยๆ ดีเหมือนเดิม Velocity of Money หลังจากนี้จะค่อยๆ เพิ่มขึ้น เงินจะเริ่มเฟ้อขึ้นจากการอัดฉีดระดับ real sector ส่วนตลาดหุ้นก็คงมีทิศทางตามผลประกอบการบริษัทน่ะแหละครับ" 🖐🖐🖐🖐🖐🖐🖐🖐🖐 คนที่ 5 ทนไม่ไหวแทรกขึ้นมาบ้าง "คุณคิดว่าวัคซีนมา แล้วโลกจะกลับมาเหมือนเดิมเหรอคะ..?" "ชั้นว่าไม่ใช่หรอก.. มนุษย์เราปรับเปลี่ยนพฤติกรรมไปมากแล้ว ที่ชอบเรียกกันว่า new normal ไง" "พวกคุณคิดว่า ร้านอาหารจะขายดีเหมือนก่อน Covid มั้ย ในเมื่อคนชินกับการ delivery แล้ว, คุณคิดว่า โรงแรมจะยังขายดีเหมือนก่อน Covid มั้ย ถ้ารูปแบบการให้บริการเปลี่ยนไป แบบที่บางคนบอกว่า จะยกเลิกไลน์บุฟเฟ่ ฯลฯ, คุณคิดว่า ออฟฟิศจะยังค่าเช่าสูงเหมือนเดิมมั้ย หลังจากที่คนเห็นว่า work from home ก็ทำงานได้" "อะไรๆ จะเปลี่ยนไปเยอะมากหลังวัคซีน Covid คุณมั่นใจไม่ได้หรอก ค่ะ ว่าโลกเราจะฟื้นกลับมาเป็นแบบเดิม GDP จะวิ่งขึ้นเหมือนเดิม ยังไงก็ต้องมี sector ที่ decline ลงในระดับที่จะไม่ฟื้นกลับมาเหมือนเดิมอีกแล้ว ด้วย new normal" นั่งกินข้าวกันไป ถกกันไปถกกันมาแบบนี้ ท้ายสุดท้าย 5 คนก็แยกย้ายกลับบ้าน โดยไม่มีใครโน้วน้าวใครให้คิดแบบตัวเองได้เลยซักคน แล้วคุณล่ะ เชื่อนักเศรษฐศาสตร์คนไหน ใน 5 คนนี้..? Niran Pravithanaติดตาม 6 มิถุนายน เวลา 10:46 น. เมื่อ: 2020-06-09T05:13:46+00:00 sukit2020: ลูกผีลูกคน ? ตลาดที่ขึ้นเอาๆ เพราะได้น้ำทิพย์ชโลมใจจากธนาคารกลาง ! วันก่อนผมนัดพบ 'นิ้วโป้ง-อธิป กีรติพิชญ์' สหายนักลงทุนที่รู้จักชอบพอกันมาสิบกว่าปี เพื่ออัพเดตมุมมองและความรู้ด้านการลงทุนเหมือนเช่นทุกครั้ง โดยได้ถกกันถึงสภาวะตลาดหุ้นเวลานี้ รวมทั้งเรื่องอื่นๆ ประเด็นหนึ่งที่ผมกับนิ้วโป้งต่างเห็นตรงกันว่าน่าจับตามองมากๆ คือการที่หุ้นสหรัฐฯ รวมทั้งหุ้นไทย 'ขึ้น สวนทางเศรษฐกิจ' หลังธนาคารกลางสหรัฐฯ เข้ามา 'อุ้ม' สถาบันการเงินทั้งหลาย รวมทั้งแพ็คเกจเยียวยามูลค่ามหาศาลจากรัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ นี่คือ 'จุดทดสอบใหม่' ของตลาดหลักทรัพย์ ที่เรียกได้ว่าแทบไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน กับการที่เศรษฐกิจได้รับผลกระทบรุนแรงขนาดนี้ ผู้คนล้มตายเป็นเบือจากโรคระบาด อัตราการว่างงานสูงขึ้นเรื่อยๆ แต่ดัชนีตลาดสหรัฐฯ กลับพุ่งขึ้นแบบไม่รู้ร้อนรู้หนาว ยังไม่นับการประท้วงที่กำลังลุกลามไปทั่วประเทศ หลังจาก จอร์จ ฟลอยด์ ชายผิวดำถูกตำรวจผิวขาวใช้ความรุนแรงขณะเข้าจับกุมจนเสียชีวิต ซึ่งไม่รู้ว่าจะลงเอยอย่างไร จุดที่ควรเขียนเป็นเครื่องหมายคำถามไว้ตัวโตๆ เวลานี้ก็คือ จะเกิดอะไรขึ้นหากวันหนึ่งเฟด 'กระสุนหมด' คือซื้อจนไม่สามารถซื้อต่อไปได้อีกแล้ว แต่เศรษฐกิจยังไม่ฟื้นคืนกลับมา ขณะที่ดอกเบี้ยก็ลดต่ำลงจนเหลือศูนย์ และไม่เหลือเครื่องมือกระตุ้นเศรษฐกิจอื่นๆ ให้หยิบใช้ พูดอีกอย่างก็คือ ความช่วยเหลือ 'ไล่ไม่ทัน' กับความสูญเสียและผลกระทบที่เกิดขึ้น ฉากทัศน์แรกซึ่งน่าจะเป็นไปได้ คงเป็นเช่นเดียวกับที่กูรูระดับโลกหลายคนออกมาเตือนไว้ก่อนหน้านี้ คือการสรุปจบแบบ 'ศพไม่สวย' โดยตลาดที่ขึ้นเอาๆ เพราะได้น้ำทิพย์ชโลมใจจากธนาคารกลาง ถึงคราวต้องยอมรับความเป็นจริงอันโหดร้าย และพังครืนลงมาอีกครั้ง ตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลกจะกลายเป็น 'ตลาดหมี' ซ้ำสอง เช่นเดียวกับดัชนีหุ้นไทยที่อาจถูกลากตามลงไปจนเหลือแค่เลขสามหลัก ฉากทัศน์ที่สองซึ่งผมมองว่าเป็นไปได้ คือการที่ตลาดเข้าสู่ภาวะ 'ตกท้องช้าง' กล่าวคือ หุ้นที่เคยวิ่งเอาๆ อาจ 'หยุดวิ่ง' และเข้าสู่ภาวะซึมๆ หรือ 'ออกข้าง' ดังที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า sideways โดยหากเป็นเช่นสองฉากทัศน์แรก ก็จะเป็นอีกครั้งที่คนทั่วโลกพูดตรงกันว่า 'วอร์เรน บัฟเฟตต์ ถูกเสมอ' ทว่าสิ่งที่คนส่วนใหญ่อยากให้เกิดขึ้น คือการที่เฟดทยอยซื้อต่อไปได้เรื่อยๆ และสร้างความเชื่อมั่นถึงระดับที่ตลาดเข้ามา 'รับไม้ต่อ' แบบเต็มตัว ซึ่งจะทำให้ตลาดที่พุ่งขึ้นเวลานี้ ลอยละลิ่วติดลมบนโดยไม่ร่วงหล่นลงมา และนั่นจะเป็นการพิสูจน์ว่าบรรดานักลงทุนชั้นเซียนทั้งหลาย 'คิดผิด' เหมือนๆ กัน แต่จะเป็นเช่นนั้นจริงหรือไม่ มีเพียงเวลาเท่านั้นที่จะบอกได้ ในภาวะ 'ลูกผีลูกคน' เช่นทุกวันนี้ ชัชวนันท์ สันธิเดช 9 มิถุนายน 2563 เมื่อ: 2020-06-10T03:46:16+00:00 miracle: ของไทย ระบบมีปัญหาตรงที่ ตราสารหนี้ ที่อุ้มนั้น ต้องได้ BBB- เป็นอย่างน้อย ต่ำกว่านั้น ไม่เข้ามาตราการ จุดนี้เป็นเหมือนหลุมดำเลย ตอนนี่รู้ตัวแล้วหลุมดำอันนี้น่ากลัวแค่ไหน แต่ต้องรอ กระทรวงการคลัง + ตลท+ก.ล.ต.+ธปท+บริษัทจัดอันดับ +ธนาคารพาณิชย์ และ ตลาดตราสารหนี้ (tahibma) มารวมหัวชนกันออกมาตรการ เพราะหนี้คือหัวใจการหมุนเงิน ถ้าหากหนี้หมุนไม่ได้ เท่ากับกระแสเงินสด ของบริษัทเดี้ยงถึงกับ เข้าฟื้นฟูกิจการแล้วไม่ออก ส่วนอีกคนที่ไม่ได้รัยการข่วยเหลือคือ ประชาชนที่ส่วประกันสังคม อันนี้ลูกเมียน้อง ตั้งแต่เกิดเรื่องแล้ว รัฐอัดเงินลงมา ก็ไม่ได้ ไปยื่นประกันว่างงานขอช่วยเหลือ มีสารพัดปัญหาจน สุดท้ายหวยไปออกที่ระบบคอมพิวเตอร์ของสำนักงานประกันสังคมว่าช้า (US) เค้าเปิดให้การแก้ไขโปรแกรมเป็นpublic เพื่อระดมคนแก้ไขเลยทีเดียว แต่ของไทยยังติดที่การฟ้องร้องของ ปปช มานานมากแล้ว ไม่ฟันซักที ส่วนคนที่ทำงาน ก็นั่งมองว่า ทุกคนได้เงิน แต่ตอนเองเสียเงินส่งประกันสังคม แล้วไม่ได้เงินอะไร มีนก็ออกแปลกไป ขนาดพระยังได้รับค่าชดเชยย้อนหลัง 60 บาท ต่อวันต่อรูป จากสำนักงานพระพุทธศาสนา เอาซิเนี่ยเมืองไทย ฝนตกไม่ทั่วฟ้า ส่วนเรื่องต่อไปคือ จะฟื้นอีกท่าไหน เพราะตอนนี้แยกตลาดการเงิน (ตลาดการลงทุน และตลาดการเงิน) ออกจากเศรษฐกิจจริง วิ่งนำหน้า ไปไกล เงินก็ต้องมีที่ไปดังน้ำ เมื่อมองไปมองมาก หาที่ลงไม่ได้ ก็มีไม่กี่ตลาดคือตลาดหุ้น ก็จะได้เห็น pe20-30 เท่าเป็นเรื่องปกติอีกคำรบหนึ่ง หรือพวก super growth ก็ 100-1,000 เท่า หรือหุ้นเน่าลอยฟ้า แตกกระจายดังพลุ ส่วนตลาดโภคภัณฑ์ ก็รอวิ่งอยู่ ตอนนี้มือที่ขยับเคลื่อนมิใช่มือที่มำเรื่องการเผชิญหน้ากับวิกฤติหรือแก้ไขวิกฤติ แต่เป็นมือที่บริหาร ตอนผ่านวิกฤติไปแล้วรอเงยหัวขึ้น ถ้าเปลี่ยนจากรุกเป็นรุก และรับเป็นรุกนั้นยาก เปลี่ยนทีมงานก็ดีน่าครับ จะได้ทำอะไรได้เร็ว เพราะหลักการบริการวิกฤติต้องเร็วต่อการปรับตัว จบแค่นี้ ตอนนี้ mode recovery ซึ่งใช้เวลา 2-4 ไตรมาส แต่ใช่หรือว่าเป็นmode ทำลายล้างนั้น เวลาคือคำตอบ เมื่อ: 2020-06-10T04:53:41+00:00 miracle: ลืมไป รอบนี้ เศรษฐกิจของ US ขยายตัว 128 เดือน นานที่สุดในประวัติศาสตร์ของUS ประมาณ 10 ปีหลังจากเกิดการหดตัวอย่างรุนแรงของ วิกฤติ sub prime ต่อด้วย วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ รอบนี้ อาจจะเป็น V shape นำโดยภาคการเงิน เป็นหัวหอก ตามด้วยภาคการผลิต ที่เปลี่ยนรูปแบบการผลิตไปจากเดิม และการขนส่งที่แตกต่างจากเดิม คือ change จากสิ่งเดิมที่ทำกัน จาก global supply chain สู่ local supply chain หรือ regional supply chain กลับมาอีกครั้ง คือผลิตใกล้ๆ เหมือน 2530-2534 ก่อนเกิดวิกฤติแม็กซิโก้ต่อด้วยสงครามอ่าวเปอร์เซียรอบแรกที่อิรักบุกยึดคุเวตนั้นเอง ตอนนี้จังตาค่าเงินดอลล่าร์ กับยูโร ว่าใครจะออกกว่าใคร เพราะขยันปั้มเงินกันมากในคู่นี้ ส่วนตัวเล่นที่สำคัญคือซาอุดิอาระเบีย อันนี้ต้องจับตาว่า โดนโจมตรีค่าเงินจากการเอาเงินไปลงทุนโดยใช้เงินวำรองในประเทศหรือไม่ ต้องรอดูต่อไป เมื่อ: 2020-06-10T05:00:40+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
ทำไมกองทุน ไม่รอขายที่ราคาสูงกว่านี้ครับ? Aloha: มีใครซื้อหน่วยลงทุน หรือพอเข้าใจแนวคิดของกองทุนบ้างว่ามีความจำเป็นอะไรถึงรีบขายณ ระดับนี้? ต้องการเงินสดไว้ปันผล ต้องการโชว์ตัวเลขกำไรปลายปี? โดนถอนหน่วยลงทุนไปเยอะ? ทำไมไม่ขายสูงกว่านี้ ขายแล้วถอยขยับสูงไปเรื่อยๆ? ปลายปีที่แล้วนึกว่าฝรั่งจะซื้อต้องกลับมาซื้อ หลังจากขายไปตั้งแต่ดัชนี600 ก็เจอฝรั่งทุบซะอีก 80,000 ล้าน ปลายปีนี้ นึกว่าฝรั่งจะเข้าไม่จริงไม่ต่อเนื่อง เลยเจออัดเข้าไป 30,000 ล้านแล้วยังไม่หยุด กองทุนจะพลาดท่าอีกไหมนี่ เมื่อ: 2004-12-04T00:11:02+00:00 hot: ใครยืมหุ้นมาผมละเสียวแทน เมื่อ: 2004-12-04T00:14:12+00:00 mey: ก็คราว new high ช่วงวันที่ 8 ตุลาดัชนีพุ่งขึ้น 17 จุดในวันเดียวไปอยู่ที่ 680 หน่อยๆ มันขายไม่ทันไง ตอนนี้ก็เลยรีบทำเป้า ให้ดูสวยงาม และเผื่อปันผลด้วยไง ( อิอิ) เมื่อ: 2004-12-04T00:22:58+00:00 ch_army: มองโลกในแง่ดีอาจทำไปตามกลยุทธ์ของเค้าก็ได้มั้งครับ เมื่อ: 2004-12-04T01:19:05+00:00 นักดูดาว: คุณ hot คิดว่าเป็นชอร์ตเซลเหรอครับ เมื่อ: 2004-12-04T03:08:43+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
ถ้าวันนี้กลับมาบวก หมายความว่าไงครับ nanchan: หม่อยอุ๋ยลาออก ทำให้นักลงทุนเชื่อมั่นขึ้น ต่างชาติขายหุ้นจีน อินเดีย อเมริกา เมื่อ: 2007-02-28T07:59:40+00:00 nanchan: ต่างชาติขายหุ้นจีน อินเดีย อเมริกา มาซื้อหุ้นไทย แทน 555 ฝันไปเปล่าครับผม หุ้นแนะนำ ครับ jts rcl tta suc inox เมื่อ: 2007-02-28T08:02:50+00:00 sunrise: อุ๊ย เอ๊ฟเฟค เมื่อ: 2007-02-28T08:15:25+00:00 ฐิติ: nanchan เขียน:ต่างชาติขายหุ้นจีน อินเดีย อเมริกา มาซื้อหุ้นไทย แทน 555 ฝันไปเปล่าครับผม หุ้นแนะนำ ครับ jts rcl tta suc inox พี่นัน ไอน็อคเนี่ยน่ากลัวจริงๆ จะตุ๊บวันไหนก็ไม่รู้ มีแต่ข่าวผองถ่ายเงินออก เมื่อ: 2007-02-28T08:24:27+00:00 path2544: ทำท่านจะกลับจริงๆๆ แล้วอ่ะ หากวันนี้ปิดไม่ลบเกิน 10 จุด ถือว่าใช่เลยครับ   อุ๊ย เอ๊ฟเฟค     เมื่อ: 2007-02-28T08:47:11+00:00 สามัญชน: กร๊าก  ๆ ๆๆ อุตส่าห์เลือกวันที่แดงชัวร์ๆแล้วนะนั่น....   เมื่อ: 2007-02-28T08:54:43+00:00 กล้วยทอด: [quote="สามัญชน"]กร๊าก เมื่อ: 2007-02-28T09:00:03+00:00 javidol: สามัญชน เขียน:กร๊าก  ๆ ๆๆ อุตส่าห์เลือกวันที่แดงชัวร์ๆแล้วนะนั่น....   จิงๆแล้วที่ท่านเลือกวันนี้ก็เพื่อเสียสละเพื่อชาติครับ :lol:  :lol:  :lol: เมื่อ: 2007-02-28T09:11:11+00:00 nanchan: นั่นนะซิ สงสัยคนจะชอบข่าวร้ายมากกว่า วันนี้ดอกเบี้ย R/P 1วัน ลด0.25%ครับ เมื่อ: 2007-02-28T09:27:43+00:00 nanchan: อุ๋ย ฝันเกือบเป็นจริง เมื่อ: 2007-02-28T09:40:11+00:00 Sumotin: หม่อม อุ๋ยลาออก ช่วย SET index จากลบ 16 เหลือ ลบ 6.82 เหอะๆ  :P นี่ถือเป็นข่าวดีหรือเปล่า เมื่อ: 2007-02-28T09:43:50+00:00 Zumo: ปิดกระโดดกันซะ pttep cpn gbx, etc เกิดไรขึ้นครับเนี่ย  :?: หม่อมอุ๋ยซื้อหรือป่าว  :?:  :?:  :D เมื่อ: 2007-02-28T09:48:04+00:00 007-s: อืม เหลือเชื่อจริงๆ มีแรงซื้อช่วงคอลล์ ปิดโดดเลย cpn พ่อโดดซะ เขียวอี๋เลย จาก เทรดอยู่ก่อนปิด 24 บาท กลายเป็นปิด 25.75 เมื่อ: 2007-02-28T09:48:21+00:00 Mr. Big: สงสัยคิดว่า มาตราการ 30 จะโดนยกเลิกหรือเปล่าครับ เมื่อ: 2007-02-28T10:10:47+00:00 Dech: pttep พรุ่งนี้ xd นะครับ เมื่อ: 2007-02-28T13:50:17+00:00 Jeng: โค้ด: เลือกทั้งหมดpttep พรุ่งนี้ xd นะครับ บอกวันนี้ ก็ซื้อไม่ทันดิ ทำไมไม่บอกเมื่อวาน อิอิ เมื่อ: 2007-02-28T13:55:12+00:00 Dech: Jeng เขียน:โค้ด: เลือกทั้งหมดpttep พรุ่งนี้ xd นะครับ บอกวันนี้ ก็ซื้อไม่ทันดิ ทำไมไม่บอกเมื่อวาน อิอิ พรุ่งนี้ก็ลงครับ ซื้อได้เลย -1.25 ตาม xd ครับ อิอิ เมื่อ: 2007-02-28T14:10:56+00:00 oatty: เท่าที่เคยดูมา ขึ้น XD ทีไร ทั้งพี่ปอ ลูกเทพ ไม่ค่อยลงเลย แถมขึ้นสวนไปอีกตั้งหลายตังค์ เมื่อ: 2007-02-28T14:40:20+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
Berkshire Extends Energy Bet in Deal for Arsenal’s Charter JobJakraphan: Berkshire Extends Energy Bet in Deal for Arsenal’s Charter By Zachary Tracer ธันวาคม 12, 2014 5:24 หลังเที่ยง EST Berkshire Hathaway Inc. (BRK/A) agreed to buy Charter Brokerage from Arsenal Capital Partners as Chairman Warren Buffett extends bets in energy as oil prices tumble. Charter provides logistics to the petroleum and chemical industries, according to a statement today from Omaha, Nebraska-based Berkshire that didn’t disclose terms. The deal is the second announced by Buffett’s company this month in the energy industry. Berkshire’s Lubrizol said Dec. 1 that it agreed to buy two units from Weatherford International Plc for at least $750 million after the seller was squeezed by lower oil prices. That purchase includes a business that sells additives used in fracking. “Charter Brokerage is a high quality business with consistently strong financial performance that fits well within Berkshire,” Buffett, 84, said in the statement. Arsenal invests in health-care and specialty industrial companies. The New York-based firm has about $1.7 billion of committed equity capital, according to the statement. Morgan Stanley was the banker for Charter, which got legal advice from Kirkland & Ellis LLP. Munger Tolles & Olson LLP provided legal advice to Berkshire. http://mobile.bloomberg.com/news/2014-1 ... arter.html เมื่อ: 2014-12-13T06:42:21+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
บอร์ด RPC ใจดีสั่งจ่ายเงินปันผลสำหระบรอบปี 47 ในอัตรา 0.40 บ pranoj: บอร์ด RPC ใจดีสั่งจ่ายเงินปันผลสำหระบรอบปี 47 ในอัตรา 0.40 บาท/หุ้น บริษัท ระยองเพียวริฟายเออร์ จำกัด (มหาชน)(RPC) แจ้งมติคณะกรรมการบริษัทฯ จากการ ประชุมในวันศุกร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ 2548 ตั้งแต่เวลา 12.00 น. ถึง 18.00 น. ได้มีมติกำหนดให้เรียกประชุม สามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2548 ในวันศุกร์ที่ 8 เมษายน 2548 และ กำหนดวันปิดสมุดลงทะเบียนพักการโอน หุ้นเพื่อสิทธิในการเข้าร่วมประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2548 ในวันอังคารที่ 15 มีนาคม 2548 เวลา 12.00 น. จนกว่าการประชุมสามัญประจำปีข้างต้นจะแล้วเสร็จ คณะกรรมการบริษัทฯ มีมติเสนอขออนุมัติต่อที่ประชุมสามัญประจำปี 2548 เพื่อจ่ายเงินปันผล สำหรับ ผลประกอบการทั้งปี 2547 ในอัตราหุ้นละ 0.65 บาท รวมเป็นเงินปันผลจำนวน 270,107,500 บาท (สองร้อยเจ็ดสิบล้านหนึ่งแสนเจ็ดพันห้าร้อยบาทถ้วน) โดยหักเงินปันผลระหว่างกาลที่จ่ายไปแล้วในอัตรา หุ้นละ 0.25 บาท คงเหลือ เงินปันผลจ่ายคราวนี้ในอัตราหุ้นละ 0.40 บาท หรือเป็นเงินจำนวน 166,220,000 บาท (หนึ่งร้อยหกสิบหกล้านสองแสนสองหมื่นบาทถ้วน) ให้แก่ผู้ถือหุ้นซึ่งมีรายชื่อในสมุดทะเบียน ณ วันที่ 19 เมษายน 2548 โดยกำหนดจ่ายปันผลในวันที่ 29 เมษายน 2548 เมื่อ: 2005-02-28T02:37:51+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
(ขอขึ้นอีกกระทู้วันนี้)ถาม VIคับว่า CEI เจอข่าววันนี้ home: ขายไหมคับ เพราะเป็นวันแรกที่ออกข่าวและพื้นฐานของบริษัทเปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยยะสำคัญ หรือคนที่ลงทุนยาวถ้ามีหุ้นตัวนี้อยู่ วันนี้มีความเห็นยังไงกันบ้างคับ เมื่อ: 2005-03-21T06:54:03+00:00 home: Symbol: CEI Headline: สรุปผลการดำเนินงานของบจ.และบริษัทย่อยไตรมาสที่2๖F45-3) Time: 18 มี.ค. 2005 09:33:00 สรุปผลการดำเนินงานของบจ.และบริษัทย่อยไตรมาสที่2(F45-3) บริษัท คอมพาสส์ อีสต์ อินดัสตรี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) สอบทาน สิ้นสุดวันที่ 31 มกราคม (หน่วย : พันบาท) ไตรมาสที่ 2 งวด 6 เดือน ปี 2548 2547 2548 2547 กำไร (ขาดทุน) สุทธิ 11,298 (36,780) (75,178) (29,578) กำไร (ขาดทุน) สุทธิต่อหุ้น (บาท) 0.06 (0.20) (0.40) (0.16) ประเภทรายงานของผู้สอบบัญชีในงบการเงิน ไม่สามารถให้ความเชื่อมั่นได้และมีข้อสังเกต หมายเหตุ : 1. โปรดดูรายละเอียดงบการเงิน รายงานของผู้สอบบัญชี และ หมายเหตุ ประกอบงบการเงินจากระบบบริการข้อมูลตลาดหลักทรัพย์ "ข้าพเจ้าขอรับรองว่าข้อมูลที่รายงานข้างต้นนี้ถูกต้องทุกประการ พร้อมกันนี้บริษัทได้จัดส่งงบ การเงินฉบับเต็มผ่านทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ของตลาดหลักทรัพย์และส่งต้นฉบับให้กับสำนักงาน ก.ล.ต.เรียบร้อยแล้ว" ลงลายมือชื่อ _______________________ (นายไบร์อัน แอล ฮาร์ดี้) ตำแหน่ง ผู้มีอำนาจรายงานสารสนเทศ เมื่อ: 2005-03-21T07:05:41+00:00 home: Symbol: CEI Headline: ชี้แจงผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2548 Time: 18 มี.ค. 2005 09:49:00 วันที่ 17 มีนาคม 2548 เรื่อง การชี้แจงผลการดำเนินงานประจำไตรมาสที่ 2/2548 เรียน กรรมการผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ตามที่บริษัทฯ ได้นำส่งงบการเงินสำหรับงวดหกเดือน สิ้นสุดวันที่ 31 มกราคม 2548 ปรากฏว่าผลการดำเนินงาน ของบริษัทมีขาดทุนสุทธิ 75.2 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่ารอบระยะเวลาบัญชีเดียวกันของปีก่อน 45.6 ล้านบาท บริษัทฯ ขอชี้แจงสาเหตุดังนี้ คือ 1. รายได้รวมของบริษัท เพิ่มขึ้น 210.8 ล้านบาท คิดเป็น 20.8 % เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของ ปีก่อน เนื่องจาก 1.1 ยอดขายสุทธิเพิ่มขึ้น 222.7 ล้านบาท คิดเป็น 23.2% เนื่องจากปริมาณการขายเพิ่มขึ้น 15.3 % และราคาขายโดยเฉลี่ย สูงขึ้น 7.7% เนื่องจากบริษัทเพิ่มสัดส่วนการขายสินค้าประเภท High End 1.2 รายได้อื่นรวมเพิ่มขึ้น 28.5 ล้านบาท จากการขายวัตถุดิบ และ กำไรจากการขายโรงงานแหลมฉบัง 2. ต้นทุนขายเพิ่มขึ้น 177.7 ล้านบาท คิดเป็น 18.4 % เนื่องจากปริมาณขายเพิ่มขึ้น และ ต้นทุนวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตราคาสูงขึ้น เช่น Cold Rolled Steel, Non - Cold Rolled steel และ Ply wood อย่างไรก็ตาม บริษัทฯได้ดำเนินการต่างๆ เพื่อควบคุมต้นทุนการผลิตให้ลดลง เช่น การจ้างแรงงานภายนอก 3. บริษัท ฯ ขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน 48.9 ล้านบาท เนื่องจากการการแข็งตัวของเงินบาทซึ่งส่งผลกระทบต่อตราสารอนุพันธ์ ทางการเงินเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ สำหรับสินทรัพย์และหนี้สินส่วนที่เป็นเงินตราต่าง ประเทศ 4. ค่าใช้จ่ายขายและบริหารอื่นรวมเพิ่มขึ้นประมาณ 29.4 ล้านบาท คิดเป็น 40.3 % เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการส่งออกเพิ่ม 8.0 ล้าน บาท หนี้สงสัยจะสูญเพิ่มขึ้น 12.3 ล้านบาท และ ค่าเผื่อการลดมูลค่าของสินค้าคงเหลือเพิ่มขึ้น 8.5 ล้านบาท ขอแสดงความนับถือ (นาย ไบรอัน แอล ฮาร์ดี้) กรรมการ เมื่อ: 2005-03-21T07:06:22+00:00 home: Symbol: CEI Headline: ชี้แจงสถานการณ์บริษัทฯ Time: 18 มี.ค. 2005 09:05:00 16 มีนาคม 2548 เรื่อง ชี้แจงสถานการณ์บริษัทฯ เรียน ผู้จัดการตลาดหลักหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย บริษัท คอมพาสส์ อีสต์ อินดัสตรี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ขอชี้แจงเหตุ การณ์สำคัญของบริษัทฯ ว่า ลูกค้ารายใหญ่รายหนึ่งของบริษัทฯ ซึ่งมียอดขายคิดเป็นอัตราร้อยละ 90 ของยอด ขายรวมทั้งหมด ได้ฟ้องร้องบริษัทฯ เรื่องไม่ปฏิบัติตามสัญญาซื้อขายพัดลมติดเพดาน โดยเรียกร้อง ค่าเสียหายเป็นจำนวนเงินประมาณ 2.3 ล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ (ส่วนที่บริษัทฯขอเพิ่มราคา 5 % เมื่อปี ก่อน) จำนวนเงินดังกล่าวไม่ส่งผลกระทบต่อฐานการเงินของบริษัทฯ แต่มีความเป็นไปได้ที่ บริษัทฯจะสูญเสียการทำธุรกิจกับลูกค้ารายนี้ ปัจจุบันอยู่ระหว่างการเจรจากับลูกค้ารายดังกล่าว คาดว่าจะสิ้นสุดประมาณเดือน กรกฎาคม 2548 จากสถานการณ์ดังกล่าว บริษัทฯได้จัดทำแผนงานทางธุรกิจในด้านการขยายตลาด ในประเทศสหรัฐอเมริกา การขยายตลาดในประเทศ การขยายฐานธุรกิจในภาคพื้นเอเซียตะวันออก เฉียงใต้ และประเทศอื่นๆ นอกเหนือจากสหรัฐอเมริกา รวมทั้งการรับจ้างผลิตชิ้นส่วนจากบริษัท ต่างๆ ในประเทศไทย จึงเรียนชี้แจงมาเพื่อโปรดทราบ และเผยแพร่ให้กับนักลงทุน โดยทั่วกัน ขอแสดงความนับถือ (นายไบร์อัน แอล ฮาร์ดี้) กรรมการ เมื่อ: 2005-03-21T07:06:50+00:00 buglife: ถ้ามีผมคงขายครับ ผมว่ายังลงได้อีก เหมือนเกือบต้องมาเริ่มนับหนึ่งบริษัทใหม่เลย เมื่อ: 2005-03-21T07:10:03+00:00 home: ถ้าคิดว่าลงได้อีกแบบนี้ก็ไม่ใช่ VI ซิคับ ถ้า VI ต้องคิดว่าอนาคตข้างหน้าจะกำไรน้อยลงอย่างชัดเจนไหม จิงไหมคับ เมื่อ: 2005-03-21T07:15:09+00:00 VeeVee: http://www.thaivalueinvestor.com/webboa ... php?t=9305 มีประเด็นขอป่วนหน่อย 1. กับกระทู้ข้างบน ความหมายใกล้เคียงกัน เอาไปไว้ด้วยกันเถอะ 2. เขียนบ่ง ซื้อ หรือ ขาย เสียววววว กลต 3. รายงานผลประกอบการ มีที่เก็บเฉพาะหรือป่าวนะ โทษทีที่แย้ง ถ้าไม่แน่ใจจะทำไงต่อ รอฟังคุณวัวแดง เมื่อ: 2005-03-21T07:15:29+00:00 harry: บางทีอาจมองอะไรออกบ้างแล้วก็ได้ ถึงมามองราคาว่าจะลงอีกป่าว เป็น vi ก็ดูราคารายวันได้ครับ คือดูว่ามันจะลงมาถึงที่ต้องการหรือยัง จะได้ไม่พลาด ลงมาปุ๊บ ก็ใส่ทันที เมื่อ: 2005-03-21T07:17:47+00:00 home: ที่ผมขึ้นอีกกระทู้ ผมอยากให้เป็นกรณีศึกษาสำหรับคนใหม่ที่จะอยากจะเป็น VI คับว่าเมื่อเจอเหตุการณ์ที่มีสาระสำคัญอย่างชัดเจนต่อการลงทุนแบบ VI จะทำอย่างไรกันบ้างคับ บางคนอาจจะตอบโดยที่ไม่ต้องมีหุ้นตัวนี้ก็ได้คับ เมื่อ: 2005-03-21T07:18:30+00:00 buglife: home เขียน:ถ้าคิดว่าลงได้อีกแบบนี้ก็ไม่ใช่ VI ซิครับ ถ้า VI ต้องคิดว่าอนาคตข้างหน้าจะกำไรน้อยลงอย่างชัดเจนไหม จิงไหมคับ ลูกค้ารายใหญ่มากหายไป โสหุ้ยคงเหมือนเดิม + เพิ่มขึ้น กำไรคงลง และราคาก็คงลงมาอีกนะครับ อีกอย่าง ผมว่า ผมไม่ใช่ Vi ครับ แต่เป็น mi แมงเม่าอินเวสสะเตอร์ ไม่ฮาครับ เมื่อ: 2005-03-21T07:21:40+00:00 home: buglife เขียน: รับทราบคับ เมื่อ: 2005-03-21T07:32:42+00:00 ต.หยวนเปียว: คุณบักกี้ MI ยังไม่กล้าเสี่ยงซี้ซั้วเลย อย่าว่าแต่ VI วันนี้new low ติดฟลอร์ แล้วก้นหุบเหวอยู่ไหน เมื่อ: 2005-03-21T07:35:05+00:00 home: VeeVee เขียน: มีประเด็นขอป่วนหน่อย 2. เขียนบ่ง ซื้อ หรือ ขาย เสียววววว กลต ถ้าคิดว่ามีความเสี่ยงคำว่าขายไหมคับอยู่ในกระทู้นี้ แล้วทำให้เวปนี้หรือผู้ดูแลลำบากใจก็ลบได้เลยคับ เมื่อ: 2005-03-21T08:00:49+00:00 CEO: ข่าวออกมาตั้งนาน ทำไมเพิ่งมาตื่อนกันเน้อ เมื่อ: 2005-03-21T08:40:58+00:00 hoho: ผมว่าปล่อยไปเถอะครับ ต้องมาหาลูกค้าใหม่เหมือนเริ่มนับจาก 0 เลย สต๊อกเก่าเหลืออีกเพียบ ดูแล้วไม่น่าฟื้นครับ หลายๆปีด้วย ตามความเห็นส่วนตัว เมื่อ: 2005-03-21T08:58:28+00:00 yoyo: ผมว่าพรุ่งนี้ floor อีกรอบแหง๋เลย จังหวะนี้ราคาไหนก็ไม่กล้ารับครับ เมื่อ: 2005-03-21T10:48:45+00:00 ประจวบ: จุดนี้เป็นจุดตายของceiครับ คือพึ่งพิงลูกค้ารายใหญ่เพียงรายเดียว ตามกลยุทธการแข่งขันของm.e.porter ระยะแรกๆที่เค้ารับสินค้ามากๆกำไรดี ก็เพิ่มกำลังการผลิตมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้fixed costสูง เมื่อลูกค้ารายใหญ่รู้ข้อมูล ก็เริ่มต่อรองเพื่อลดราคาซื้อลง ไม่ยอมก็ไม่ได้ เพราะfixed costค้ำคออยู่ ผลิตยิ่งมากยิ่งเจ๊งครับ ผมยังคิดว่ามีอีกหลายๆบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ที่อยู่ในสภาพนี้ เพื่อนๆควรเอามาเป็นอุทธาหรณ์ (ผมก็โดนกับเค้าด้วยหน่อยนึง) เมื่อ: 2005-03-21T15:07:31+00:00 มือเก่าหัดขับ: ผมไม่มีหุ้นตัวนี้ ทั้งที่เคยมองด้วยเหตุว่าจ่ายปันผลดีมาก แต่ที่ไม่ซื้อ ไม่ใช่เพราะรู้ข้อมูลว่ายอดขายมาจากลูกค้ารายใหญ่น้อยราย (กรณีนี้รายเดียว) หากแต่เป็นเพราะสินค้าของเขาเอง ผมไม่คิดว่าเป็นสินค้าคงกระพัน หรือลูกค้าต้องพึ่งพา ผมจึงตัดหุ้นตัวนี้ออกจาก list ของหุ้นที่จะซื้อเข้าพอร์ตครับ พูดมากไป จะไม่ดี ก็ขอให้ผู้ที่มี (และยังไม่มี) ได้ตัดสินใจกับหุ้นตัวนี้ได้ถูกต้องด้วย ถ้าตกมาเหลือ p/bv สัก 0.25 และมีเงินเหลือพอที่จะอยู่รอดได้จนมีลูกค้าใหม่ ผมอาจจะสนใจ ก็ได้นะ ไว้ขายตอน Turn Around เมื่อ: 2005-03-21T15:22:52+00:00 moo: ถ้าตกมาเหลือ p/bv สัก 0.25 และมีเงินเหลือพอที่จะอยู่รอดได้จนมีลูกค้าใหม่ ผมอาจจะสนใจ ก็ได้นะ ไว้ขายตอน Turn Around 1.63 น่าสนใจครับ เมื่อ: 2005-03-21T18:41:08+00:00 มือเก่าหัดขับ: โธ่.. คุณหมู อย่าคำนวณเป็นตัวเลขสิ เดี๋ยวผมก็โดนเพื่อนๆ ทุบเอาแบนแต๋... เมื่อ: 2005-03-22T02:51:15+00:00 moo: โธ่.. คุณหมู อย่าคำนวณเป็นตัวเลขสิ เดี๋ยวผมก็โดนเพื่อนๆ ทุบเอาแบนแต๋... คุณมือเก่าหัดขับเป็นอีกท่านหนึ่งที่ผมติดตามมานานครับ ขอบคุณแนวคิดและมุมมองดีๆครับ เมื่อ: 2005-03-22T06:50:10+00:00 Golden Stock: ผมไม่เคยถือหุ้นตัวนี้มาก่อน แต่ก็ติดตามบาง เพราะว่ามีคนสนใจมาก และจะได้นำมาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้บ้าง CEI เคย Discuss กันมาหลายรอบแล้ว ตั้งแต่ตอนยังไม่แตกพาร์ เห็นด้วยครับว่า CEI หาจุดที่ทำให้ได้เปรียบน้อยมากๆ ตาม 5 Forces model ไม่ว่าจะเป็นการเข้ามาใหม่ของผู้เล่นรายใหม่ทำได้ไม่ยาก อำนาจต่อรองของลูกค้ามีสูงจนน่ากลัว อำนาจต่อรองกับผู้ขายวัตถุดิบไม่สูง การแข่งขันในอุตสาหกรรมสูง สัดส่วนการขายเป็นต่างประเทศเกือบหมด ซึ่งมี Currency risk ไม่มีแผนการลงทุนใหม่ๆ เพื่อรองรับกับการแข่งขัน และเพิ่มรายได้ เมื่อ: 2005-03-22T12:59:03+00:00 โป้ง: ไปดูอีกตกใจ 7.50 แล้ว ไล่ราคาเป็นช่องๆเลย กระโดดลงไปเล่น ร่วมวง ด้วยดีหรือเปล่า :lol: :lol: :lol: เมื่อ: 2005-03-23T04:22:07+00:00 วัวแดง: หรือเรี่องที่ คิดว่าจะเสียลูกค้าสำคัญไปจริง เป็นแค่อาจจะ............ เมื่อ: 2005-03-23T05:02:46+00:00 Heroine: เข้าไปไล่แทบไม่ทัน ไล่เสร็จออกแทบไม่ทันอีกที โทษทีค่ะ ปกติจะทำต้วเป็น VI แต่วันนี้คันไม้คันมือลองเก็งกำไรดู เมื่อ: 2005-03-23T05:11:19+00:00 โป้ง: เหลือ 6.9 แล้ว 8) เมื่อ: 2005-03-23T05:30:55+00:00 chatchai: วัวแดง เขียน:หรือเรี่องที่ คิดว่าจะเสียลูกค้าสำคัญไปจริง เป็นแค่อาจจะ............ ความรู้สึกลักษณะนี้มักจะเกิดขึ้นเพราะราคาหุ้นชี้นำ ถ้าเป็นนักเก็งกำไรแล้วมีหุ้นบริษัทนี้ที่ต้นทุนแถวๆ 7.50 บาท คงกลุ้มใจน่าดู ถ้าขายตัดขาดทุน แล้วสุดท้ายลูกค้าไม่ยกเลิกสัญญา ราคาเด้งกลับไปที่ 9 บาท คงกลุ้มใจ แต่ถ้าถือลุ้นต่อ ราคากลับไหลลงไปที่ New Low พร้อมกับข่าวการยกเลิกสัญญา ก็คงจะกลุ้มเหมือนกัน อาชีพนักเก็งกำไรนี้ ถ้าเจอแบบนี้บ่อยๆ สุขภาพจิตจะเป็นอย่างไรเนี่ย เมื่อ: 2005-03-23T13:25:12+00:00 มือเก่าหัดขับ: ขอบคุณครับคุณหมู... ผมแค่เป็นนักลงทุนที่เป็นลูกจ้างด้วย ทำธุรกิจเองไปด้วย ดังนั้นจึงพอรู้ เรื่องธุรกิจเป็นหลักในการเลือกหุ้น ส่วนเรื่องเทคนิคของหุ้น ผมไม่ถนัดจริงๆ ครับ ที่ผมบอกว่า ขอให้ผู้ที่มี (และยังไม่มี) ได้ตัดสินใจกับหุ้นตัวนี้ได้ถูกต้องด้วย ก็เป็นเพราะราคาที่เห็นในสองวันนี้แหละครับ เมื่อมันตกมามากๆ จาก Panic มักจะมี Rebound ตามมาเสมอ แต่ไปไม่ไกลครับ ขอให้รีบตัดสินใจด้วย..... (ไม่ว่าจะซื้อเพิ่ม หรือขายออก ขอ ให้ทำได้ถูกต้องครับ) เมื่อ: 2005-03-23T15:05:27+00:00 วัวแดง: ผมตัดใจไม่ขายครับ (ทำใจไม่ได้) ถือไว้ดีกว่า มองดูแล้วข่าวนี้ยังไม่เกิดจริง เป็นแค่การคาดการณ์เท่านั้น เรื่องที่จะยกเลิกการซื้อขายกันเลย คงยากที่จะหาผู้ผลิตใหม่ทัน แล้วจริงๆๆก็คนกันเอง ไม่เห็นต้องโหดขนาดนั้น :lol: แล้ว Q หน้าเป็นช่วงขายดีซักด้วย แล้วจะหาบ.ใหม่ทันมั้ย น่าคิด.... อาจเป็นผลดีกับ cei ด้วยก็ได้ จะได้รู้จักหาลูกค้ารายใหม่บ้าง ไม่ใช้หวังไว้กับ บ.เดียวถึง 90 % มันไม่ดี เสียว..... ไม่แน่ใจนะครับ ว่ามีใครได้ประโยชน์จากการออกข่าวนี้หรือไม่ เห็นปริมาณการซื้อขายเพิ่มผิดสังเกต ทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่ค่อยเท่าไหร่ คงต้องดูรายงานการซื้อขายของรายใหญ่ซักหน่อย ใครขายก็ขาย ใครซื้อก็ซื้อ ส่วนผม นิ่งดีกว่า ยิ่งดิ้นยิ่งเจ็บ ตอนนี้ต้อง เฉยไว้ :lol: :lol: เมื่อ: 2005-03-23T15:21:26+00:00 วัวแดง: ส่วนใครที่เป็นห่วงผมยังไงก็ขอบคุณครับ แต่ต้นทุนของผมไม่ได้สูงมาก แค่เจ็บนิดๆ นะเจ็บนิดๆ ปีที่แล้ว max 18.9 min 7.55 และปันผล 2 บาท แล้วจะเป็นไรไปถ้าราคาจะอยู่ที่ 6 บาท ในเมื่อผมไม่ได้ซื้อตอน 18 บาท เมื่อ: 2005-03-23T15:27:58+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
ปรึกษาท่าน CK เรื่องรวบรวมข้อมูลอัตราภาษีเพื่อขอเครดิตภาษี Stock Broker: เมื่อปีที่แล้วผมเสนอให้ช่วยกันหาวิธีโพสต์อัตราภาษีนิติบุคคลที่แต่ละบริษัทจดทะเบียนต้องเสียให้สรรพากร เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการเลือกซื้อหุ้นปันผลเพื่อประโยชน์ในการขอเครดิตภาษี (เช่น หุ้น A เสียอัตรา 50% หุ้น B เสีย 2 อัตรา คือ 30% และ 25% หุ้น C ได้สิทธิ์ BOI ไม่ต้องเสียภาษี) แต่สุดท้ายก็ยังไม่เป็นชิ้นเป็นอัน อยากให้ท่าน CK ช่วยหาหนทางหน่อยครับว่าพอจะมีทางได้มั้ย (ถ้าเห็นว่าเป็นประโยชน์นะครับ) ตัวอย่างที่ผมนึกออกเช่น จัดทำเป็นตารางได้มั้ยครับ โดยมีคอลัมน์ 4 คอลัมน์ ได้แก่ ชื่อหุ้น / อัตราภาษี / วันเดือนปีที่จ่ายปันผล / ชื่อผู้โพสต์ โดยเราก็ทำแถวข้อมูลเผื่อไว้เลยสำหรับหุ้นในตลาดทุกตัว เรียงตามตัวอักษร เพื่อสะดวกในการเรียกดู (หรือทำให้เลือก sort ได้ทั้งตามชื่อหุ้น และอัตราภาษี ก็ยิ่งดีครับ) ส่วนวิธี input หรือ edit ข้อมูล หรือขอแย้ง ในกรณีที่ข้อมูลคลาดเคลื่อนหรือไม่ update จะทำอย่างไร คงต้องรบกวนท่าน CK ช่วยคิดที เพราะผมไม่มีความรู้เกี่ยวกับการจัดการระบบบนเว็บครับ เมื่อ: 2004-12-23T14:58:03+00:00 kriser: เห็น ด้วยครับ และ อยากทราบว่า บ. ไหน มีการ ยกเว้นภาษี ถึงปี อะไร บ้าง ครับ เมื่อ: 2004-12-24T03:50:49+00:00 CK: เอางี้ก่อนนะครับ ผมเสนอให้จัดรวบรวมเป็นตารางไว้ใน Excel ก่อนในเบื้องต้น เสร็จแล้วผมจะ update เป็น html ให้ครับ ทีนี้ปัญหาในเบื้องต้นคือ บางบริษัทได้ส่งเสริมการลงทุนจาก BOI เป็นบาง project ทำให้เสียภาษีไม่เท่ากัน (จากรายรับคนละส่วน) ข้อมูลพวกนี้ส่วนใหญ่ จะประกาศออกมาเมื่อบริษัทจะจ่ายปันผลครับ เช่น 1 บาทจากส่วนที่ได้รับการ ส่งเสริมฯ และอีก 50 สตางค์เสียภาษี 30% ตรงส่วนนี้ผมยังคิดไม่ออกเหมือนกันครับว่าจะลงในตารางอย่างไร เมื่อ: 2004-12-24T04:16:28+00:00 Stock Broker: CK เขียน:เอางี้ก่อนนะครับ ผมเสนอให้จัดรวบรวมเป็นตารางไว้ใน Excel ก่อนในเบื้องต้น เสร็จแล้วผมจะ update เป็น html ให้ครับ อันนี้จะเริ่มยังไงก่อนดีครับ เอาเป็นตั้งกระทู้สักกระทู้ แล้วให้เพื่อนๆ ที่ได้เงินปันผลในงวดล่าสุดของหุ้นแต่ละตัวมาช่วยกันโพสต์เป็นไงครับ ใครมีข้อมูลตัวไหนบ้างก็ช่วยกันคนละไม้คนละมือ พอดีปีที่ผ่านมาผมแทบไม่มีข้อมูลนี้เลย (ไม่ได้ปันผลเลยแหละ) ขออาสารวบรวมข้อมูลจากเพื่อนๆ อีกที่ แล้วเอาใส่ Excel ให้แล้วกันครับ CK เขียน:ทีนี้ปัญหาในเบื้องต้นคือ บางบริษัทได้ส่งเสริมการลงทุนจาก BOI เป็นบาง project ทำให้เสียภาษีไม่เท่ากัน (จากรายรับคนละส่วน) ข้อมูลพวกนี้ส่วนใหญ่จะประกาศออกมาเมื่อบริษัทจะจ่ายปันผลครับ เช่น 1 บาทจากส่วนที่ได้รับการส่งเสริมฯ และอีก 50 สตางค์เสียภาษี 30% ตรงส่วนนี้ผมยังคิดไม่ออกเหมือนกันครับว่าจะลงในตารางอย่างไร ลองยังงี้ก่อนมั้ยครับ ลงแยกเป็น 2 คอลัมน์ใน Excel เช่น หุ้นตัวไหนจ่ายอัตราเดียว ก็ลงแค่คอลัมน์ B ถ้าจ่าย 2 อัตราก็ลงคอลัมน์ C ด้วย ใครมีความคิดที่ดีกว่าช่วยกันเสนอด้วยนะครับ เมื่อ: 2004-12-24T14:51:41+00:00 ลูกอิสาน: เป็นเรื่องที่ดีครับ ผมคิดว่าตั้งเป็นกระทู้ อยู่ในส่วนบทความ หรือเป็น sticky topic ก็ได้ครับ ยินดีให้ข้อมูลครับ เมื่อ: 2004-12-24T15:09:32+00:00 วัวแดง: เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งครับ สำหรับเหล่านักล่าปันผล จะได้เลือกถูกตัว เมื่อ: 2004-12-24T15:52:49+00:00 ch_army: เริ่มจากที่ว่าใครรู้ตัวไหนก็โพสอันนั้นดีไหมครับ เมื่อ: 2004-12-24T17:13:05+00:00 charun: เห็นด้วยครับ เพราะมีประโยชน์ ยินดีช่วยหาข้อมูลครับ เมื่อ: 2004-12-24T17:13:48+00:00 ch_army: SE-ED เนี่ย 25 % WG ก็ด้วย MINOR ด้วย ส่วน MBK 30 ครับ เมื่อ: 2004-12-24T17:23:29+00:00 charun: ขอเสนอแนะเพิ่มเติม ในร้อยคนร้อยหุ้น เรามีผู้ที่เป็นเจ้าของบ้านคอยดูแลหุ้นแต่ละตัวอยู่แล้ว ถ้าช่วยหาข้อมูลเพิ่มเติมเรื่องข้อมูลอัตราภาษีเพื่อขอเครดิตภาษีของหุ้นแต่ละตัว ผมว่าน่าจะได้ข้อมูลที่เกือบจะครบสำหรับหุ้นที่มีปันผลครับ เมื่อ: 2004-12-24T17:33:02+00:00 charun: ptt 25 bafs 30 ratch 30 (เฉพาะ 10%) เมื่อ: 2004-12-25T06:59:50+00:00 Stock Broker: งั้นขั้นแรกขอให้เพื่อนๆ ที่ยังเก็บต้นขั้วเงินปันผลอยู่ มาช่วยกันโพสต์หน่อยว่า 1. เป็นของหุ้นตัวใด 2. เสียภาษีอัตราเท่าไรบ้าง 3. วันเดือนปีที่ได้รับปันผลนั้นๆ (เพื่อจะได้รู้ว่าอัพเดตล่าสุดเมื่อไหร่) ** เพื่อนๆ บางคนอาจแย้งว่า หลายบริษัทมีการเปลี่ยนอัตราภาษีในแต่ละปี แต่ผมว่าอย่างน้อยรู้ว่างวดล่าสุดจ่ายเท่าไรก็ยังดีกว่าไม่รู้เลยนะครับ ** เมื่อ: 2004-12-25T15:40:02+00:00 Minesweeper: ผมว่าคงมีปัญหาอย่างที่คุณ CK ว่าน่ะครับ แต่จะลองทำดูก่อนก็ไม่เสียหายครับ ผมยังนึกไม่ออกเหมือนกันว่าถ้าจะรวบรวมจะแสดงออกมายังไง ของผมที่ยุ่งๆ ก็เช่น BECL งวด 03 เสีย 30% 60% เสีย 25% 40% (หมายความว่า เงินปันผลทั้งหมดที่ออกมา 100 ส่วนเป็นของกำไรส่วนที่เสีย 30% อยู่ 60 ส่วน ที่เหลือเป็นของกำไรส่วนที่เสีย 25%) งวด ครึ่งปี 04 เสีย 0% ทั้งหมด SCCC งวด ครึ่งปี 04 เสีย 30% 85% เสีย 25% 15% GMMM งวด ครึ่งปี 04 เสีย 25% 70% เสีย 0% 30% นอกนั้นก็คงไม่ยาก SCB FY03 0% LPN FY03 0% KK FY03 0% WG FY03 25% DRACO FY03 25% KCE FY03 0% NFS FY03 0% THAI 1H04 30% TPC 1H04 0% RCL 1H04 0% NFS 1H04 30% ----------------------- เมื่อ: 2004-12-25T16:11:02+00:00 Viewtiful Investor: ผมว่าอัตราภาษีมันไม่คงที่นะครับ หุ้นบางตัวแต่ละงวดก็จ่ายปันผลจากกำไรที่มีอัตราภาษีต่างๆกัน บางตัวหมด BOI หรือล้างขาดทุนสะสมหมด ก็ต้องกลับมาจ่ายภาษีใหม่ ผมว่าถ้ามี list จริง จะ maintain ยากมาก ผมว่าต้องขอให้ settrade หรือ โบรกใหญ่ๆเค้าทำ Database ให้ ยังไงก็เห็นด้วยถ้ามี ผมทำ Excel file บันทึกรายรับจากปันผล เอาไว้คิดภาษีที่จะขอคืน ได้อัตราภาษีดังนี้ครับ SCB 0.00 CPF 30.00 SSC 30.00 SSC 25.00 TVO 30.00 SINGER 25.00 WG 25.00 SHIN 30.00 WACOAL 30.00 SE-ED 25.00 APRINT 25.00 CPF 0.00 SINGER 25.00 SHIN 30.00 PSL 0.00 EGCOMP 30.00 EGCOMP 15.00 EGCOMP 0.00 TVO 30.00 TVO 25.00 BECL 0.00 CPF 30.00 SSI 0.00 จะเห็นได้ว่าบางบริษัท มีชื่อปรากฎมากกว่า 1 หน เพราะผมได้ปันผลมากกว่า 1 ครั้ง(SINGER) หรือ ปันผล 1 ครั้งมีการคิดภาษีมากกว่า 1 อัตรา (EGCOMP, SSC) หรือทั้ง 2 อย่าง (CPF, TVO) เมื่อ: 2004-12-25T17:36:31+00:00 Stock Broker: พอจะได้ข้อมูลมานำร่องแล้วครับ เอาไงต่อครับท่าน CK ให้ผมลองทำเป็นตาราง Excel ดูเลยมั้ยครับ ** ใช้วิธีแบบทั่นนายกดีมั้ยครับ เริ่มลงมือทำไป เจอปัญหา แล้วก็ค่อยๆ แก้ไป เพราะหากรอให้สมบูรณ์แล้วค่อยทำก็จะไม่ได้ทำซะที เพราะความสมบูรณ์ไม่มีในโลก ** เมื่อ: 2004-12-27T15:19:55+00:00 CK: ได้เลยครับ ส่ง file excel ให้ผมหลังจากเสร็จนะครับ ผมจะลองหาทางทำเป็น html และเอาขึ้นเว็บให้ อาจจะ update ให้ได้ประมาณสัปดาห์ละครั้ง เมื่อ: 2004-12-27T15:32:53+00:00 CK: ได้รับไฟล์แล้วครับ ตอนนี้ผม upload ไว้ที่ http://www.thaivalueinvestor.com/webboa ... dittax.xls สำหรับใช้ชั่วคราวไปก่อนนะครับ ถ้าจัดการเรื่อง HTML ได้แล้วจะแจ้งให้ทราบอีกที เมื่อ: 2005-01-05T01:33:55+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
Fund manager kriser: อยาก เป็น อะครับ มีใครทาบข้อมูลบ้างไหม ครับ ว่า ต้องทำ อะไร บ้าง สอบ อะไร ติดต่อ ใคร ที่ไหน บ้าง อะครับ เมื่อ: 2004-12-23T09:28:15+00:00 harry: www.saa-thai.org ครับ www.aimc.or.th ถ้าจำไม่ผิด เมื่อ: 2004-12-23T09:30:47+00:00 harry: เพิ่มเติม กลต. ออกกฎแล้ว จะเป็นผู้จัดการกองทุนได้ ต้องได้ cfa หรือ cisa ระดับ 1 ก่อน แต่กว่าคุณจะได้เป็น ก็ต้องสอบผ่าน และทำงานในบริษัทเหล่านั้นหลายปีครับ เมื่อ: 2004-12-23T09:32:02+00:00 ch_army: ก็ดีครับจะได้เชื่อใจได้มากขึ้นไปอีก บางทีหากผมพบว่าตัวเองลงทุนไม่เก่ง สู้กองทุนไม่ได้อาจไปซื้อกองทุนก็ได้ครับหากว่ามีแบบ ปีเตอร์ลินซ์ หรือ โรส หรือ ฟิชเชอร์ และเกรแฮม อยู่ครับ เมื่อ: 2004-12-23T10:48:39+00:00 วัวแดง: อยากบริหารกองทุนเหมือนกันครับ แต่ กลัวไม่มีคนซื้อ...................... เพราะผู้จัดการ................บ้า....................ซื้อหุ้นที่คนทิ้ง อย่างเช่นพัดลม ตอนนี้เล็งน้ำมันพืช กะ ผลิตรถ อีกแล้ว :lol: พ่วงหนังสือไปด้วย แบะ แบะๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ เมื่อ: 2004-12-23T14:29:04+00:00 house: เห็นค่าสมัครแล้วอยากเป็นลม ครับ ค่าสมัคร 24000 + หนังสือ อีก 20000 โอย เด็กจบใหม่จนๆอย่างผมจะทำไงดีเนี่ย เมื่อ: 2004-12-23T15:14:30+00:00 mrdew: กฏใหม่ กลต. ผู้จัดการกองทุน ต้องมี CISA leve 1 หรือ CFA level 1 ขึ้นไป CISA กับ CFA เนื้อหาในการสอบ กรรมการออกข้อสอบ ชุดเดียวกัน จ้างมาจากเมกา แต่ CISA จะเป็นภาษาไทย ส่วน CFA จะเป็นภาษาอังกฤษ เมื่อก่อน CISA จัดอบรมในไทยโดยสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ แต่ปี 2548 เป็นต้นไป TSI ได้รับมาจัดอบรมแล้ว ค่าอบรม CISA ทุกระดับ ระดับละ 20,000 บาท ค่าสอบ CISA ทุกระดับ ระดับละ 5,000 บาท สรุปถ้าคุณต้องการสอบ CISA level 1 เตรียมเงินไว้ไม่ต่ำกว่า 25,000 บาท กว่าจะสอบหมดทั้ง 3 ระดับ คุณจะต้องจ่ายเงินอย่างต่ำประมาณ 75,000 บาท แต่เห็นเค้าบอกว่า ส่วนใหญ่คนที่จะสอบ CISA level ที่สูงกว่า level 1 มักจะศึกษาด้วยต้นเอง เพราะฉะนั้นคุณอาจจะไม่ต้องอบรม Level 2 กับ 3 อาจจะศึกษาเอง ก็จะประหยัดเงินไปได้ ประมาณ 40,000 บาท เสียเฉพาะค่าสอบ level 2 กับ 3 level ละ 5,000 บาท ผู้จัดการกองทุน น่าจะต้องจบโทด้านการเงินหรือเศรษฐศาสตร์ คนที่เป็นนักวิเคราะห์มาก่อนอาจจะได้เป็น fund manager เร็วหน่อย เพราะมีประสบการณ์ด้านการวิเคราะห์หรือวิจัยมา แต่ก็ใช่ว่าจะได้เป็น fund manager ในทันที จะยังเป็นแค่ assistant fund manager ไปก่อน ถ้ามีแวว ถึงได้เป็น fund manager คนที่จะมาบริหารเงินจำนวนมาก เค้าก็ต้องคัดละเอียดหน่อยหล่ะ http://www.tsi-thailand.org/Professiona ... _CISA.html ผมก็ศึกษาโดยอ่านจาก Money & Wealth แล้วก็อ่านจากแผ่นผับของ TSI แล้วก็จากการสอบถามคนอื่น ๆ ใน สินธร ก็ได้ข้อมูลมาอย่างที่บอก สำหรับรายละเอียดนอกจากนี้ คุณคงต้องสอบถามที่ TSI เองแล้วล่ะครับ โชคดีครับ เมื่อ: 2004-12-23T16:46:24+00:00 Tongue: เมษา หน้า ABAC เปิด ป โท ครับ ผมจำชื่อย่อไม่ได้ แต่เป็น โครงการ co กับ u ที่ sanfran ครับ น่าสนใจมาก เพราะเรียนเพื่อสอบ cfa cisa เลยครับ อีกที่ก็ ลองถาม TSI ดูน่าจะได้เหมือนกัน ลอง เช็คๆ ดูนะครับ เมื่อ: 2004-12-24T02:32:49+00:00 harry: ของ abac ใช่ครับ เรียนด้านการเงินโดยตรง เหมือน ms finance ที่จุฬา และ ธรรมศาสตร์ แล้วก็จริงครับ ที่ระดับ 1 ยังพออ่านเองได้ ค่าสอบระดับนั้นไม่แพงครับ ถ้าคุณตั้งใจทำงานมีประสบการณืสักหน่อย แล้วศึกษาไปด้วย เก็บเงินไว้ก็ครบพอดีกับศึกษาเข้าใจ ถ้าได้แล้ว ทำงานได้เงินดีกว่าแน่นอนครับ เมื่อ: 2004-12-24T03:23:59+00:00 kriser: ขอบคุณมากครับ สำหรับข้อมูล ผมอยากจะทำกองทุนส่วนบุคคล นะครับ คงไม่เป็นขาย เป็นกองทุน อะครับ เมื่อ: 2004-12-24T03:55:50+00:00 CK: เริ่มมี private fund manager กันมากขึ้นเหมือนกันครับ เป็นการรับจากบริหาร พอร์ตให้กับผู้อื่น แต่ไม่ใช่ในลักษณะกองทุน เจ้าของเงินสามารถกำหนดกรอบ การลงทุนของตัวเองแบบคร่าวๆ ได้ด้วยครับ เช่น เน้นหุ้นปันผล ต้องมี cash อย่างน้อย 20% ตลอดเวลา หรือเน้นกลุ่ม communication เป็นพิเศษ ฯลฯ เข้าใจว่าต้องมี license เหมือนกันนะครับ อาจจะต้องสอบ CFA ด้วย เข้าใจ ว่าในระยะยาว กลต.จะกำหนดให้ fund manager ทุกประเภท (ทั้ง private และ mutual) ต้องได้ CFA level 3 ฉะนั้นพยายามสอบไว้ก็ไม่เสียหายครับ เมื่อ: 2004-12-24T04:36:59+00:00 kriser: แฮะๆๆๆ พอดี ไป อ่าน เจอ มา อีก ตัว อะครับ เป็น CFP อะครับ ตัวนี้ก้อ น่าสนใจ อะครับ ระหว่าง CFA กะ CFP อย่างไหน มันดีกว่า กัน ครับ อ่าน เกี่ยวกับ CFP แล้ว เหมือนกับว่า วางแผนให้เค้าเหมือนกัน ครับ แต่หลักสูตร ในไทย ยังไม่มี เลย ครับ ใครพอทราบ บ้าง ครับ ว่า ต่างกันอย่างไง เมื่อ: 2004-12-24T04:47:58+00:00 harry: ถึงมีใบอนุญาตแล้ว แต่ประสบการณ์กับชื่อเสียง มีก็ผลมากเช่นกัน ทำงานด้านนี้นานๆ แล้วก็สอบให้ได้ พออายุไประดับ 30-40 ก็จะได้เป็นเองแหละครับ เมื่อ: 2004-12-24T04:48:56+00:00 kriser: ขอบคุณครับ จะ พยายาม ครับ กะสอบเดือน มีนา นี้แหละครับ เมื่อ: 2004-12-24T08:26:48+00:00 harry: ขอให้ได้ครับ ผมกะว่าจะสอบช่วงเรียนโท ไม่ก็ในช่วงปีหน้านี้ แต่รอบแรกของปีหน้า คงไม่ทัน เมื่อ: 2004-12-24T09:02:39+00:00 mrdew: Tongue เขียน:เมษา หน้า ABAC เปิด ป โท ครับ ผมจำชื่อย่อไม่ได้ แต่เป็น โครงการ co กับ u ที่ sanfran ครับ น่าสนใจมาก เพราะเรียนเพื่อสอบ cfa cisa เลยครับ อีกที่ก็ ลองถาม TSI ดูน่าจะได้เหมือนกัน ลอง เช็คๆ ดูนะครับ สงสัยจะเป็นอันนี้แน่เลยครับ http://www.grad.au.edu/mscfa1.php Tuition fee is 475, 000 Baht per year (2 years) <<<< เห็นแล้วจะเป็นลม(แพงเอาการเหมือนกัน) ตกลงปีละ 475,000 บาท หรือ 2 ปี จ่าย 475,000 บาท ??? เมื่อ: 2004-12-24T12:17:45+00:00 mrdew: kriser เขียน:แฮะๆๆๆ พอดี ไป อ่าน เจอ มา อีก ตัว อะครับ เป็น CFP อะครับ ตัวนี้ก้อ น่าสนใจ อะครับ ระหว่าง CFA กะ CFP อย่างไหน มันดีกว่า กัน ครับ อ่าน เกี่ยวกับ CFP แล้ว เหมือนกับว่า วางแผนให้เค้าเหมือนกัน ครับ แต่หลักสูตร ในไทย ยังไม่มี เลย ครับ ใครพอทราบ บ้าง ครับ ว่า ต่างกันอย่างไง http://www.tsi-thailand.org/Professiona ... ledge.html ไม่ทราบว่าคุณเคยอ่านใน link นี้หรือยัง ลองอ่านในหัวข้อ รู้จัก CFP ดูครับ เมื่อ: 2004-12-24T12:23:46+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
stpi กับการไม่ปันผล burengnong: เพื่อนๆหลายๆคนที่มี stpi อยู่ในพอร์ตถ้าไม่มีการปันผลในปีนี้ แถมทั้งปีได้งานประมูลแค่ 1500 ล้านบาท แล้วจะทำกันยังไงครับ เมื่อ: 2007-02-25T17:43:15+00:00 burengnong: อย่บอกว่าทำใจนะ  ม่ายเอา เมื่อ: 2007-02-25T17:44:26+00:00 burengnong: แล้วถ้าประมูลงานได้ bagloc 4000 ล้านบาท จำเป็นต้องเก็บเงินไว้ลงทุนต่อถึง 700- 800 ล้านบาทหรือเปล่าครับ เมื่อ: 2007-02-25T18:29:11+00:00 trillionaire: ...นอนเถอะ ท่านบุเรงนอง ถามเอง replyเอง อิอิ... ...ถ้าไม่ปันผลเพราะได้งานใหญ่ ก้อน่าจะเป็นหุ้นถือระยะยาวที่ดีตัวหนึ่ง... ...เพราะbacklogจะโตกว่าปีก่อน1-3เท่า... ...ช่วงนี้ งดเชียร์นอกกระทู้ร้อยคนร้อยหุ้น เด๋ว"เจ้าไม่ปลื้ม"...55 เมื่อ: 2007-02-25T18:56:27+00:00 sunrise: คงจะผิดหวังกับทีมบริหารมากเพราะไม่มีเหตุผลให้ไม่ปันผล ต่อให้มีการลงทุนเพิ่มอย่างไร ก็ไม่ใช่ว่าจะให้เงินทั้งหมดได้หมดปัจจุบันบริษัทก็มีcurrent asset เยอะมากอยู่แล้ว ต่อให้ซื้อเครื่องจักรเปลี่ยนใหม่หมดทั้งไลน์การผลิตยังน่าจะเหลือให้ผู้ถือหุ้นรายจ้อยอย่างพวกเรา แต่ถ้าไม่ปันผลจริงๆ ตอนนี้ตอบไม่ได้ครับ คงต้องขอรับฟังคำชี้แจงของผู้บริหารก่อนว่าเหตุผลที่ไม่ปันผลคืออะไร เมื่อ: 2007-02-26T02:01:27+00:00 beammy:  ... เมื่อ: 2007-02-26T02:59:39+00:00 nanchan: ปันผลพร้อมเพิ่มทุนเลยเป็นไง เมื่อ: 2007-02-26T04:24:44+00:00 Mon money: คุณหมอแกคงเข้าเวรนะครับ คงเหงา ภรรยาและลูกสาวแข็งแรงดีหรือเปล่าครับ คุณหมอ เมื่อ: 2007-02-26T04:38:26+00:00 burengnong: โค้ด: เลือกทั้งหมดภรรยาและลูกสาวแข็งแรงดีหรือเปล่าครับ ซำบายดีครับเฮีย ช่วงนี้หวัดระบาดดูแลสุขภาพด้วยเน่อพี่  ว่างๆมาแอ่วเจียงฮายอีกนะแฟนผมเขามีเมนูอาหารเด็ดๆจะโชว์ออฟอีก เมื่อ: 2007-02-26T05:01:30+00:00 สุมาอี้: ช่วงที่ผ่านมาหลายตัวเพิ่มทุนแล้วปันผล พวกเราว่ากันใหญ่บอกว่าไร้เหตุผล สงสัยคราวนี้เขาคงมาอ่านเวบเรา ก็เลยเอาใจเราด้วยการไม่ปันผลซะเลย แต่เราก็ยังไม่พอใจกันอีก  :lovl: เมื่อ: 2007-02-26T06:23:58+00:00 Mon money: นี่ถ้าเอาใจมากขึ้นอีกหน่อยก็จะเพิ่มทุนอีกหน่อย จะเด็ดมากขึ้น แซวเอามันครับ อย่าคิดมาก คุณหมอ ไม่ต้องห่วงหนาวหน้าผมขึ้นไปแน่ครับ อย่าลืมลางาน ปิดคลีนิคไปตากลมหนาวกับผมก็แล้วกัน เมื่อ: 2007-02-26T07:29:42+00:00 key: ผมว่าตอนนี้ราคาก็ได้สะท้อนการที่บริษัทฯ อาจไม่ปันผลไปแล้วพอสมควร เพราะบางคนอาจจะคาดการณ์ได้แล้ว  ซึ่งจะสังเกตว่าราคาหุ้นไม่ไปไหนเลย อาจเป็นโอกาสของพวกเรารายย่อยที่จะเข้าเก็บได้นะครับ buy on bad news ครับ  :lol: เมื่อ: 2007-02-26T15:42:15+00:00 chansaiw: ท่าน burengnong คือท่านชายแดนป่าวครับ เมื่อ: 2007-02-26T16:25:44+00:00 burengnong: โค้ด: เลือกทั้งหมดท่าน burengnong คือท่านชายแดนป่าวครับ แม่นแล้วครับ แล้วท่าน chansaiw คือใครเอ่ย เมื่อ: 2007-02-27T03:23:21+00:00 beammy: งบออกแล้ววววว ฮิฮิ ล้อเล่น! เข้ามาป่วน  8) เมื่อ: 2007-02-27T03:46:31+00:00 น้ำปูนใส: ^ l l l ใจร้ายยยยยยยยย คนยิ่งกำลังลุ้นๆ อยู่  :evil:  :evil:  :evil:  :evil: เมื่อ: 2007-02-27T04:06:44+00:00 burengnong: beammy  wrote โค้ด: เลือกทั้งหมดงบออกแล้ววววว จ๊ากตกใจหมดเลย  ไม่อาวนะเกือบฉี่ราดแนะ!!!!!!! เมื่อ: 2007-02-27T05:40:53+00:00 key: วันนี้น่าจะทราบว่าจะเป็นอย่างไรนะครับ  ถ้าดูจากราคาวันนี้คิดว่าน่าจะไม่มีปันผลนะครับ  ราคาตรงนี้ได้สะท้อนแล้วเพราะฉะนั้นหากประกาศออกมาก็คงไม่แปลกอะไรแล้ว  แต่ถ้ามีปันผลก็คงเป็นโชคของพวกเรานะครับ  :lol: เมื่อ: 2007-02-28T04:23:03+00:00 shinnozuke: อาจจะตกเพราะบุเรงนองเอฟเฟคก็ได้ครับ    8) เมื่อ: 2007-02-28T05:05:50+00:00 น้ำปูนใส: บรรยากาศวันนี้กดดันชะมัดเลย งื่อๆ คนกำลังลุ้นผลประกอบการอยู่ หุ้นดันพากันตกอีก เป็นนักลงทุนนี่ต้องอดทนเจรงๆ เมื่อ: 2007-02-28T05:13:27+00:00 hot: ฮิ ความอดทนอยู่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่นนะ เมื่อ: 2007-02-28T05:17:24+00:00 beammy: เด๊วมี บีมมี่เอฟเฟ็กต์ แน่ครับ  8)  ... เมื่อ: 2007-02-28T05:20:22+00:00 น้ำปูนใส: กำลังพยายามอยู่ค่ะ พี่ๆ  :roll:  :roll:  :roll: เมื่อ: 2007-02-28T05:23:05+00:00 beammy: ใครเป็นเพื่อนผมที่เก็บที่ 4.00 บ้างครับ แฮ่ๆๆๆ มี 1,173,900 หุ้น แล้วคร้าบบบ ... เมื่อ: 2007-02-28T05:29:16+00:00 Digital_Akono_: [quote="beammy"]เด๊วมี บีมมี่เอฟเฟ็กต์ แน่ครับ เมื่อ: 2007-02-28T05:58:31+00:00 Jeng: โค้ด: เลือกทั้งหมดใครเป็นเพื่อนผมที่เก็บที่ 4.00 บ้างครับ แฮ่ๆๆๆ มี 1,173,900 หุ้น แล้วคร้าบบบ ... พยายามหน่อย beammy เกือบติดหุ้นใหญ่แล้ว โค้ด: เลือกทั้งหมด26 นางณิศนาถ อนันตชัย  1,700,000 0.68 27 นายก่อเกียรติ สัตยาบรรพ  1,610,000 0.64 28 นายพิพัฒน์ จารุนานันท์  1,400,000 0.56 29 นายนิพนธ์ จรัญวาศน์  1,297,400 0.52 เมื่อ: 2007-02-28T06:03:28+00:00 น้ำปูนใส: ได้แต่ยินยอมรับความเจ็บปวด และฉันจะอดทน แม้แทบขาดใจ ไม่อาจจะวิ่งหนีความจริงที่มันโหดร้าย จะพร้อมจะยอมเข้าใจความเปลี่ยนแปลง ...... ออกซะทีเซ่....... ขำๆนะคะ แหะๆ เมื่อ: 2007-02-28T07:37:45+00:00 hot: ว่าแต่เมื่อไรจะประกาศงบเสียทีนะ อยากรู้ว่าเงินสดในงบเป็นอย่างไร เมื่อ: 2007-02-28T08:38:22+00:00 beammy: โทรไปถามที่บริษัทแล้ว เค้าบอกมาวันนี้ (เค้า คือ คุณเปรมภา ครับ) ไหนวะ ไม่เห็นมีเลย น่าจะตอนปิดตลาดไปแล้ว มันถึงมา (หรือป่าวครับ) ... เมื่อ: 2007-02-28T08:40:55+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
อ่านงบการเงินให้เป็น dome@perth: ผมติดตามบทความของท่านอาจารย์ ดร.ภาพร เอกอรรถพร ทาง หนังสือพิมพืกรุงเทพธุรกิจมาหลายสัปดาห์ และ คัดลอกไว้ ผมอยากเอาแบ่งปัน เผื่อเป็นประโยชน์ กับเพื่อนๆบ้าง --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- อ่านงบการเงินให้เป็น โดย : ดร.ภาพร เอกอรรถพร Source: bangkokbiznews.com 1. เนื้อหาสำคัญกว่ารูปแบบหมายถึงอะไร? “เนื้อหา สำคัญกว่ารูปแบบ Substance than Form” มีความหมายว่า รูปแบบตามกฎหมายไม่สำคัญกับการบันทึกบัญชีเท่ากับเนื้อหาทางเศรษฐกิจ นักบัญชีพร้อมจะมองข้ามรูปแบบตามกฎหมายไปหาข้อเท็จจริงทางธุรกิจทุกเมื่อ ตัวอย่างเช่น ในการออกงบการเงิน “หน่วยงานที่เสนอรายงาน” อาจประกอบด้วยบริษัทมากกว่าหนึ่งแห่ง หากโดยเนื้อหาแล้ว บริษัทเหล่านั้นคือบริษัทเดียวกัน แม้ว่าจะเป็นคนละนิติบุคคลกัน (ตามรูปแบบของกฎหมาย) ทั้งนี้ เนื่องจากกฎบัญชีกำหนดว่า “บริษัทใหญ่” ต้องนำงบการเงินของ “บริษัทย่อย” มารวมเพื่อจัดทำ “งบการเงินรวม” เมื่อบริษัทใหญ่สามารถ “ควบคุม” นโยบายการเงินและการดำเนินงานของบริษัทย่อยได้ 2.ทำไมนักบัญชีจึงต้องจู้จี้กับ “งวดบัญชี” หรือ “งวดการรายงานทางการเงิน” หรือ “ความถี่ของการรายงาน”? เพราะ งวดบัญชีคือเส้นแบ่งเวลาที่จะทำให้นักบัญชีสามารถสรุปผลการดำเนินงานของ บริษัทเพื่อออกงบการเงิน ลองมโนภาพถึงเส้นเวลาที่ไม่มีวันสิ้นสุด เรารู้ว่าบริษัทเริ่มต้นเมื่อไร แต่ไม่รู้ว่าบริษัทจะจบลงเมื่อไร ถ้านักบัญชีไม่กำหนด “งวดบัญชี” ไว้ นักบัญชีก็จะต้องรอให้บริษัทหมดอายุขัยก่อนที่จะสามารถรายงานผลให้นักลงทุน ทราบ บริษัทบางบริษัทมีอายุเป็นร้อยปี (แล้วนักลงทุนอายุไม่ถึงร้อยอย่างเราจะรอไหวหรือ?) นักบัญชีจึงจำเป็นต้องสร้างกลไกให้สามารถสรุปผลทางบัญชีเพื่อรายงานให้เจ้า ของบริษัททราบเป็นระยะๆ โดยนำเวลามาแบ่งออกเป็นช่วงๆ ช่วงละเท่าๆ กัน 3. “กำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จรวม” ประกอบด้วยรายการอะไร? “กำไร ขาดทุนเบ็ดเสร็จ” หมายถึง กำไรขาดทุนทุกประเภทที่เกิดขึ้นในระหว่างงวด ดังนั้น “กำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จรวม” จึงแยกออกเป็นกลุ่มใหญ่ๆ ได้ 2 กลุ่ม นั่นคือ กลุ่มที่หนึ่ง กำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จที่เกิดจากการดำเนินงานในระหว่างงวดของบริษัท กำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จประเภทนี้คำนวณได้จากการนำรายได้ (จากการดำเนินงานในระหว่างงวด) มาหักค่าใช้จ่าย (ในการดำเนินงานระหว่างงวด) เพื่อหา “กำไรขาดทุนสุทธิ” ซึ่งถือเป็นกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จ “หลัก” กลุ่มที่สอง กำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จที่เกิดจากการปรับมูลค่าของสินทรัพย์หรือหนี้สินตามวิธี การบัญชี ณ วันสิ้นงวด แต่กฎบัญชีไม่อนุญาตให้บริษัทนำกำไรขาดทุนเหล่านี้ไปแสดงรวมกับรายการใน กลุ่มที่หนึ่ง เช่น กำไรที่เกิดจากการเพิ่มมูลค่าของสินทรัพย์ หรือกำไรจากการแปลงค่างบการเงิน กำไรขาดทุนเหล่านี้รวมเรียกว่า “กำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่น” เมื่อ: 2011-08-17T16:55:41+00:00 dome@perth: 4. “งบการเงินสำหรับบุคคลภายนอก” แตกต่างจาก “งบการเงินเพื่อผู้บริหาร” อย่างไร? งบ การเงินที่ออกให้บุคคลภายนอก (Financial Statements) เน้นการให้ข้อมูลที่เชื่อถือได้และเป็นประโยชน์ต่อนักลงทุน เพื่อให้นักลงทุนสามารถนำงบการเงินนั้นไปใช้ในการตัดสินใจซื้อหุ้นหรือให้ บริษัทกู้ยืมเงิน ดังนั้น งบการเงินที่ออกให้บุคคลภายนอกจึงต้องอยู่ภายใต้ “มาตรฐานการรายงานทางการเงิน” (ซึ่งรวมถึง “แม่บทการบัญชี” และ “มาตรฐานการบัญชี”) ที่ออกโดยผู้เกี่ยวข้องกับวิชาชีพบัญชี นอกจากนั้น งบการเงินที่ออกให้บุคคลภายนอกยังต้องอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของหน่วยงานที่ มีหน้าที่พิทักษ์ผลประโยชน์ของนักลงทุน เช่น สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ตลาดหลักทรัพย์ และหน่วยงานกำกับดูแลอื่น เช่น กระทรวงพาณิชย์หรือธนาคารแห่งประเทศไทย ผลที่เกิดขึ้นทำให้บริษัทต้องออกงบการเงินให้แก่บุคคลภายนอกตามรูป แบบที่กำหนดโดยกฎบัญชีหรือข้อกำหนดของกฎหมาย ซึ่งอาจทำให้การรวมรายการ (การนำบัญชีย่อยๆ หลายบัญชีมารวมกัน) และชื่อบัญชีที่ปรากฏในงบแตกต่างไปจากรายการที่แสดงในงบการเงินเพื่อผู้ บริหาร นอกจากนั้น ข้อมูลที่ไม่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจลงทุน เช่น รายละเอียดปลีกย่อยและจำนวนเศษสตางค์ ก็ไม่จำเป็นต้องนำมาแสดงให้บุคคลภายนอกทราบ ส่วนงบการเงินเพื่อผู้บริหาร (Management Accounts) เป็นงบการเงินที่ใช้เป็นการภายในเพื่อวัตถุประสงค์ในการบริหารและควบคุม ดังนั้น รายการที่แสดงในงบการเงินเพื่อผู้บริหารจึงอาจมีรายละเอียดหรือมีการจำแนก หมวดหมู่ที่แตกต่างไปจากงบการเงินที่เราเห็นกันอยู่ทั่วไป นอกจากนั้น งบการเงินเพื่อผู้บริหารไม่จำเป็นต้องแสดงหมายเหตุประกอบงบการเงิน เพราะผู้บริหารทราบความเป็นไปภายในบริษัทอยู่แล้ว เนื่องจากบริษัทใช้งบการเงินเพื่อผู้บริหารเป็นฐานในการออกงบการเงิน ให้กับบุคคลภายนอก ดังนั้น งบการเงินเพื่อผู้บริหารกับงบการเงินที่ออกให้บุคคลภายนอกจึงเป็นสิ่งเดียว กัน จะแตกต่างกันก็แต่รูปแบบที่นำเสนอ เมื่อ: 2011-08-17T16:56:27+00:00 dome@perth: 5. ทำอย่างไรจึงจะมั่นใจว่างบการเงินที่บริษัทนำเสนอแสดงฐานะการเงินและผลการดำเนินงานที่เชื่อถือได้? งบ การเงินที่ออกให้บุคคลภายนอกต้องตรวจสอบและแสดงความเห็นโดยผู้สอบบัญชีรับ อนุญาต (คือผู้สอบบัญชีที่มีคุณสมบัติตามที่วิชาชีพกำหนด) ความเห็นของผู้สอบบัญชีจะแสดงอยู่หน้างบการเงิน (เป็นแผ่นแรกก่อนที่จะถึงงบการเงิน) เรียกว่า “รายงานของผู้สอบบัญชี” “การตรวจสอบ” งบการเงินจะเป็นไปตาม “มาตรฐานการสอบบัญชี” ซึ่งการตรวจสอบนั้นก็เพื่อให้แน่ใจว่างบการเงินที่บริษัทออก แสดงฐานะการเงินและผลการดำเนินงานอย่าง “ถูกต้องตามควร” และเป็นไปตาม “มาตรฐานการรายงานทางการเงิน” (ซึ่งแต่เดิมรู้จักกันในชื่อ “มาตรฐานการบัญชี” แต่ในปัจจุบันมาตรฐานการรายงานทางการเงินมีความหมายที่กว้างกว่า และครอบคลุมกฎบัญชีหลายชนิด เป็นต้นว่า แม่บทการบัญชี “มาตรฐานการบัญชี” “มาตรฐานการรายงานทางการเงิน” การตีความมาตรฐานการบัญชี และการตีความมาตรฐานการรายงานทางการเงิน) ตามปกติ รายงานของผู้สอบบัญชีจะมีสามวรรค ถ้ารายงานผู้สอบบัญชีมีมากกว่าหรือน้อยกว่าสามวรรค ผู้ใช้งบการเงินต้องพิจารณางบการเงินนั้นเป็นพิเศษ เพราะแสดงว่าผู้สอบบัญชีที่ตรวจสอบงบการเงินนั้น ได้พบอะไรบางอย่างที่ทำให้ต้องออกรายงานต่างไปจากปกติ 6. จริงหรือไม่ที่ผู้สอบบัญชีมีหน้าที่ตรวจสอบการฉ้อฉลในบริษัท? ผู้ สอบบัญชีมีหน้าที่ตรวจสอบว่างบการเงินที่บริษัทออกเป็นไปตามข้อกำหนดใน “มาตรฐานการรายงานทางการเงิน” หรือไม่ ผู้สอบบัญชีไม่มีหน้าที่โดยตรงในการตรวจสอบการฉ้อฉลในบริษัท แต่ระหว่างการตรวจสอบ หากผู้สอบบัญชีตรวจพบข้อสงสัย ผู้สอบบัญชีต้อง “ตรวจสอบเพิ่มเติมจนเป็นที่พอใจ” ก่อนที่จะสามารถให้ความเห็นต่องบการเงินได้ เพราะการฉ้อฉลอาจทำให้งบการเงินของบริษัทไม่แสดงฐานะการเงินและผลการดำเนิน งานที่ “ถูกต้องตามควร” ข้อกำหนดของการสอบบัญชีกล่าวไว้ว่า ผู้สอบบัญชีไม่มีความรับผิดชอบในการป้องกันการทุจริตหรือข้อผิดพลาด แต่การตรวจสอบประจำปีอาจยับยั้งการทุจริตและข้อผิดพาดได้ 7. อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (Debt-equity Ratio) คืออะไร? เมื่อ เราทราบว่าสินทรัพย์ทั้งสิ้นของบริษัทต้องนำมาแบ่งกันระหว่างเจ้าหนี้กับผู้ ถือหุ้น นักการเงินจึงสร้างอัตราส่วนขึ้นมาจำนวนหนึ่ง เพื่อใช้เป็นดัชนีชี้วัดถึงสัดส่วนของหนี้สินต่อทุน (เรียกสั้นๆ ว่า ดีอีเรโช) โดยนำเอา “หนี้สินทั้งสิ้นหารส่วนทุนทั้งสิ้น” ตัวอย่างเช่น 200,000/100,000 = 2:1 หมายความว่าบริษัทนั้นมีหนี้สินสองเท่าของส่วนทุน นักลงทุนดูดีอีเรโช เพื่อพิจารณาความเสี่ยงในการลงทุน ถ้าดีอีเรโชสูง ก็หมายความว่าบริษัทบริหารงานด้วยหนี้ หรือสินทรัพย์ในบริษัทเกิดขึ้นจากการกู้ยืมเป็นหลัก เมื่อบริษัทได้รายได้จากการดำเนินงาน บริษัทต้องนำรายได้ดังกล่าวมาจ่ายดอกเบี้ย ถ้าหนี้สูง ดอกเบี้ยอาจสูงจนทำให้ผู้ถือหุ้นไม่ได้รับผลตอบแทนต่อการลงทุนเต็มเม็ดเต็ม หน่วย ดีอีเรโชยังชี้ให้เห็นถึงความสามารถในการกู้ยืมเงินเพิ่มเติม ถ้าดีอีเรโชสูง โอกาสในการกู้ยืมเงินเมื่อจำเป็นอาจมีจำกัด และเป็นเหตุให้เกิดปัญหาสภาพคล่องได้ และหากบริษัทเกิดปัญหาสภาพคล่อง ทางเลือกที่เหลืออยู่จะกลายเป็นการออกหุ้นทุนเพิ่มเติม ซึ่งจะทำให้ผู้ถือหุ้นเสียประโยชน์ในการลงทุนได้ (สัดส่วนการถือหุ้นอาจลดลงถ้าไม่มีเงินเพียงพอมาซื้อหุ้นใหม่) สำหรับเจ้าหนี้ ดีอีเรโชที่ มีจำนวนสูงแสดงให้เห็นถึงความเสี่ยงในการให้บริษัทกู้ยืมเงินเพิ่มเติม เพราะหากบริษัทมีภาระต้องจ่ายดอกเบี้ยมากๆ บริษัทอาจไม่มีเงินเพียงพอที่จะนำไปบริหารงานและล้มละลายในที่สุด หากบริษัทล้มละลาย การเรียกร้องสินทรัพย์ก็เป็นไปได้ยาก เพราะต้องแบ่งกับเจ้าหนี้หลายฝ่าย เจ้าหนี้อาจไม่ได้หนี้คืนเต็มเม็ดเต็มหน่วย เมื่อ: 2011-08-17T16:56:53+00:00 dome@perth: 8. การเรียงลำดับรายการภายใต้ “สินทรัพย์” มีหลักเกณฑ์อย่างไร? ใน ประเทศไทย “สินทรัพย์”จะเรียงลำดับจากรายการที่สามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดได้เร็วที่สุด และแน่นอนที่สุด เช่น เงินสด เงินลงทุน ลูกหนี้ และสินค้าคงเหลือ ไปจนถึงรายการที่ไม่อาจเปลี่ยนเป็นเงินสดแต่จะเปลี่ยนเป็นบริการแทน เช่น ค่าใช้จ่ายล่วงหน้า รูปแบบการเรียงลำดับรายการในงบแสดงฐานะการเงินของแต่ละประเทศอาจแตก ต่างกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแนวคิดและข้อกำหนดของประเทศนั้นๆ ในภาคพื้นยุโรป สินทรัพย์จะเรียงลำดับจาก “ไม่หมุนเวียน” ไปสู่ “หมุนเวียน” ในประเทศไทย สินทรัพย์หมุนเวียนจะแสดงอยู่ก่อนสินทรัพย์ไม่หมุนเวียนตามรูปแบบ ของอเมริกัน อย่างไรก็ตาม ในระยะหลังมาตรฐานบัญชีของประเทศไทยได้รับอิทธิพลมาจากทางยุโรป ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจถ้ารูปแบบงบการเงินของประเทศไทยจะเปลี่ยนแปลงไปในอนาคต 9. “เงินลงทุนเพื่อค้า” ต่างจาก “เงินลงทุนเผื่อขาย” อย่างไร? “เงิน ลงทุนเพื่อค้า” มีไว้เพื่อการค้าจริงๆ (ชื่อก็บอกอยู่แล้ว) บริษัทบางบริษัทมีอาชีพในการค้าขายหลักทรัพย์ (หุ้นทุนหรือหุ้นกู้ที่มีสภาพคล่องจนสามารถซื้อง่ายขายได้ทันที) บริษัทจึงทำมาค้าขายหลักทรัพย์โดยการซื้อมาขายไปตลอดเวลาเพื่อตัดกำไรช่วง สั้น การทำมาค้าขายหลักทรัพย์ของบริษัทเหล่านี้มีรูปแบบชัดเจน บริษัทอาจทำการจัดกลุ่มสินทรัพย์ตามลักษณะความเสี่ยงและซื้อขายคละกันเพื่อ ลดความเสี่ยงในการขาดทุน หรือมีการบริหารจัดการโดยการซื้อขายหลักทรัพย์อย่างเป็นระบบ “เงินลงทุนเผื่อขาย” มีไว้ขายเพื่อเก็งกำไรเหมือนกัน (ปกติจะไม่อยู่ในลักษณะที่เป็นอาชีพ) บริษัททั่วไปมักนำเงินที่เหลือใช้ไปลงทุนระยะสั้นในหลักทรัพย์เผื่อว่า เมื่อมีความจำเป็นต้องใช้เงิน บริษัทจะได้นำหลักทรัพย์ออกขายได้ทันที โดยเฉพาะเวลาที่ราคาหุ้นกำลังขึ้น เพราะบริษัทอาจได้กำไรจากการลงทุนในขณะที่รอใช้เงินมากกว่าการนำเงินไปฝาก ธนาคารที่มักให้ผลตอบแทนที่น้อยกว่า 10. ค่าเผื่อคืออะไร? ค่า เผื่อคือ “บัญชีหัก” หรือบัญชีสินทรัพย์ซึ่งมียอดอยู่ทางด้านเครดิต (ตามปกติสินทรัพย์จะมียอดทางด้านเดบิต) ค่าเผื่อเป็นบัญชีที่มีไว้หักจากสินทรัพย์บัญชีอื่น เช่น ค่าเผื่อการด้อยค่าของเงินลงทุนจะเป็นบัญชีที่นำไปหักจากบัญชีเงินลงทุน เนื่องจากราคาของเงินลงทุนได้ลดลง แต่บริษัทไม่ต้องการที่จะสูญเสียข้อมูลเดิมเกี่ยวกับเงินลงทุน จึงนำบัญชีค่าเผื่อมาหักจากบัญชีเงินลงทุนเพื่อแสดงยอดสุทธิ แทนที่จะลดจำนวนเงินลงทุนลงตรงๆ การทำอย่างนี้ทำให้เราได้รับข้อมูลที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้น เมื่อ: 2011-08-17T16:57:17+00:00 dome@perth: 11. บัญชีปรับมูลค่าคืออะไร? บัญชี ที่จะนำมาปรับมูลค่าสินทรัพย์หรือหนี้สินให้เพิ่มขึ้นหรือลดลง เนื่องจากมูลค่าที่แสดงอยู่ภายใต้บัญชีสินทรัพย์หรือหนี้สินนั้นเปลี่ยนแปลง ไปจากเดิม แต่บริษัทต้องการแสดงยอดเดิมไว้เพื่อใช้อ้างอิงในภายหน้า จึงอาศัยบัญชีปรับมูลค่ามาบวกหรือลบบัญชีสินทรัพย์หรือหนี้สิน เพื่อให้ได้ยอดสุทธิตามมูลค่าที่ควรเป็นขณะที่ออกงบการเงิน 12. ค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญคืออะไร? เมื่อ มีการขายเชื่อก็ย่อมจะมีหนี้สูญ บริษัทต้องประมาณ “หนี้สงสัยจะสูญ” ที่น่าคาดว่าจะเกิดจากลูกหนี้ที่บันทึกไว้ (ดูจากประสบการณ์ในอดีต หรืออัตราหนี้สูญที่เกิดกับอุตสาหกรรมประเภทเดียวกัน) บริษัทต้องเครดิต“ค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ”เพื่อนำมาหักจากบัญชี “ลูกหนี้” ในงบแสดงฐานะการเงินตามเกณฑ์คงค้าง โดยไม่ต้องรอให้ลูกหนี้กลายเป็นบุคคลล้มละลายก่อน ข้อสังเกต นักบัญชีใช้คำว่า “หนี้สงสัยจะสูญ” เมื่อทำการประมาณ “หนี้สูญ” และบันทึกบัญชี “หนี้สงสัยจะสูญ” เป็นค่าใช้จ่ายในระหว่างงวด แต่นักบัญชีใช้คำว่า “หนี้สูญ” เมื่อบริษัทได้ติดตามหนี้จนถึงที่สุดแล้วไม่ได้รับชำระหนี้ 13. เกณฑ์คงค้างคืออะไร? นัก บัญชีใช้เกณฑ์คงค้าง (Accrual Basis) ในการบันทึกบัญชี ไม่ใช่เกณฑ์เงินสด (Cash Basis) เกณฑ์คงค้างทำให้นักบัญชีต้องบันทึกบัญชีเมื่อมีรายการทางธุรกิจ “เกิดขึ้น” แทนที่จะบันทึกเมื่อมีการรับหรือจ่ายเงินสด เช่น บริษัทใช้ไฟฟ้าไปแล้วแต่ยังไม่ได้จ่ายค่าไฟ บริษัทต้องบันทึกบัญชีค่าไฟในงวดที่ใช้ไฟโดยการ เดบิต ค่าไฟ (ถือเป็นบัญชีค่าใช้จ่าย) เครดิตค่าไฟฟ้าค้างจ่าย (ถือเป็นบัญชีหนี้สิน) สรุปว่า เกณฑ์คงค้างทำให้นักบัญชีต้องบันทึก “รายได้” และ “ค่าใช้จ่าย” ในขณะเดียวกับที่บันทึก “สินทรัพย์” และ “หนี้สิน” ในงวดที่ “เกิดขึ้น” ไม่ใช่งวดที่มีการชำระเงิน เพื่อให้สามารถวัดผลกำไรขาดทุนและฐานะการเงินที่แท้จริงของบริษัท คำว่า “เกิดขึ้น” ในทางบัญชี มีความหมายที่เฉพาะเจาะจง เช่น รายได้ “เกิดขึ้น” เมื่อกระบวนการก่อให้เกิดรายได้เสร็จสิ้นลง และค่าใช้จ่าย “เกิดขึ้น” เมื่อบริษัทได้รับประโยชน์จากค่าใช้จ่ายนั้น หรือค่าใช้จ่ายนั้นหมดประโยชน์ต่อบริษัทแล้ว เมื่อ: 2011-08-17T16:57:44+00:00 dome@perth: 14. รายการระหว่างบุคคลหรือกิจการที่เกี่ยวข้องกันบอกอะไรแก่นักลงทุน? รายการ ระหว่างบุคคลหรือกิจการที่เกี่ยวข้องกัน (เรียกสั้นๆ ว่า “รายการระหว่างกัน”) เช่น เงินให้กู้แก่กรรมการ เงินให้กู้แก่บริษัทในเครือ และลูกหนี้หรือเจ้าหนี้การค้ากับบริษัทในเครือ เป็นรายการที่นักลงทุนต้องพิจารณาเป็นพิเศษ เนื่องจากรายการเหล่านี้เกิดขึ้นกับบุคคลหรือกิจการที่เกี่ยวข้องกับบริษัท ทำให้บริษัทสามารถ “สร้าง” รายการดังกล่าวได้โดยไม่ต้องพึ่งบุคคลที่สาม เช่น ถ้าบริษัทเรียก “ค่าบริหารจัดการ (Management Fee)” จากบริษัทในเครือและบันทึกเป็นรายได้ รายได้ดังกล่าวอาจไม่สะท้อน “ความสามารถในการดำเนินงาน” ของบริษัทอย่างแท้จริง เนื่องจากบริษัทสามารถสั่งให้บริษัทในเครือจ่ายค่าบริหารจัดการเมื่อไรและ เป็นจำนวนเท่าไรก็ได้ ดังนั้น นักลงทุนจึงควรพิจารณารายการระหว่างกันเป็นพิเศษก่อนตัดสินใจลงทุน 15. ราคาทุนของเงินลงทุนคืออะไร? ราคา ทุนของเงินลงทุน หมายถึง จำนวนเงินที่บริษัทจ่ายเพื่อซื้อเงินลงทุน บวก รายจ่ายที่เกี่ยวข้องกับการให้ได้มาซึ่งเงินลงทุนนั้น เช่น ค่าจัดการรายการ ค่านายหน้า และค่าธรรมเนียมวิชาชีพ 16. การด้อยค่าคืออะไร? สินทรัพย์ ที่อยู่ในงบแสดงฐานะการเงิน เช่น เงินลงทุน หรือที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ อาจแสดงมูลค่าที่สูงกว่าราคาที่ซื้อขายกันในท้องตลาด เรียก “ราคาตลาด” (หรือราคาที่เทียบเท่ากับราคาตลาดในกรณีที่สินทรัพย์ไม่มีราคาตลาดชัดๆ ซึ่งการหาราคาที่เทียบเท่ากับราคาตลาดนี้ กฎบัญชีมีวิธีการปฏิบัติที่หยุมหยิมเยอะแยะและมีชื่อเรียกแตกต่างกันไปตาม สถานการณ์ ในเบื้องต้นนี้ เราคงจะไม่ลงลึกลงไปให้ปวดสมอง) ถ้า “ราคาตลาด” ของสินทรัพย์ต่ำกว่ามูลค่าที่แสดงในงบแสดงฐานะการเงิน แสดงว่าสินทรัพย์ที่อยู่ในงบแสดงฐานะการเงินนั้นเกิดการด้อยค่า บริษัทต้องปรับมูลค่าของสินทรัพย์ลงให้เท่ากับ “ราคาตลาด” โดยนำบัญชีสินทรัพย์มาหักจากค่าเผื่อการด้อยค่า ค่าเผื่อการด้อยค่าของสินทรัพย์สามารถปรับสูงขึ้นหรือต่ำลงได้ในงวดถัดไป หาก “ราคาตลาด” ของสินทรัพย์เปลี่ยนแปลงไปอีก 17. เงินลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลด้อยค่าได้หรือไม่? ตาม ปกติ เงินลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลอาจไม่ด้อยค่าด้วยเหตุผลสองประการ ประการแรก รัฐบาลจะไม่ล้มละลาย (แต่ถ้ารัฐบาลไม่มีเงินจ่ายหนี้เมื่อไร เงินลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลก็อาจด้อยค่าได้) ประการที่สอง บริษัทตั้งใจถือพันธบัตรไปจนครบกำหนดโดยไม่ขายออกไปก่อน เพราะถ้าบริษัทถือพันธบัตรไปจนหมดอายุ บริษัทก็จะได้ทั้งดอกเบี้ยและเงินต้นคืนตามสัญญา (ถ้ารัฐบาลไม่ล้มละลาย) เงินลงทุนนั้นก็จะไม่ด้อยค่า (เงินลงทุนในพันธบัตรที่บริษัทตั้งใจและมีความสามารถที่จะถือไปจนครบกำหนด เรียกว่า “เงินลงทุนในตราสารหนี้ที่จะถือจนครบกำหนด”) แต่เงินลงทุนในพันธบัตรอาจด้อยค่าได้ ถ้าบริษัทไม่คิดจะถือพันธบัตรไปจนหมดอายุ แต่ถือไว้เผื่อจำเป็นต้องขาย (เรียกว่า “เงินลงทุนเผื่อขาย”) บังเอิญว่าอัตราดอกเบี้ยในตลาดมีแต่เพิ่มสูงขึ้น จนไม่เห็นทางว่าจะลดต่ำลงมาสู่ระดับเดิม ถ้าเหตุการณ์เป็นเช่นนั้น ราคาพันธบัตรก็จะดิ่งลงจนทำให้พันธบัตรด้อยค่าได้ (เหตุที่ราคาของพันธบัตรลดลงก็เพราะ พันธบัตรจ่ายอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าคนอื่น เราเลยต้องลดราคาลงเพื่อให้ขายออก) อายุคงเหลือของพันธบัตรยิ่งยาวเท่าไร โอกาสด้อยค่าก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น เมื่อ: 2011-08-17T16:58:14+00:00 dome@perth: 18. สินค้าคงเหลือควรมีจำนวนมากหรือน้อยดี? จำนวน ของสินค้าคงเหลือในบริษัทหนึ่งๆ มักขึ้นอยู่กับลักษณะอุตสาหกรรมของบริษัทนั้น เช่น บริษัทที่ทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จะมีสินค้าคงเหลือจำนวนสูงตามลักษณะธุรกิจ แต่บริษัทที่ซื้อมาขายไปในยุคดอตคอม สินค้าคงเหลือจะมีจำนวนต่ำเนื่องจากการสื่อสารที่รวดเร็ว ทำให้การสั่งซื้อสินค้าและการจัดส่งสามารถทำได้โดยที่บริษัทไม่ต้องเก็บ สินค้าคงเหลือไว้มากนัก อย่างไรก็ตาม สินค้าที่คงเหลืออยู่ในบริษัทไม่ควรมีจำนวนแตกต่างมากจากจำนวนสินค้าคงเหลือ ถัวเฉลี่ยของบริษัทต่างๆ ที่อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกัน เมื่อ: 2011-08-17T17:00:30+00:00 Dekfaifah: พี่โดมขยันจริงๆ ขอบคุณครับ เมื่อ: 2011-08-17T18:06:32+00:00 NARATE: ขอบคุณครับพี่โดม เมื่อ: 2011-08-18T01:48:08+00:00 porzilla: เมื่อ: 2011-08-18T02:32:00+00:00 whiteknight_p: ขอบคุณพี่โดมมากครับ เมื่อ: 2011-08-18T02:45:19+00:00 saichon: Dekfaifah เขียน:พี่โดมขยันจริงๆ ขอบคุณครับ นอกจากขยันแล้วพี่โดมยังเป็นผู้มีน้ำใจงาม เผื่อแผ่สิ่งดีๆแก่ผู้อื่นเสมอมาด้วยครับ นับถือครับพี่ เมื่อ: 2011-08-18T03:16:42+00:00 เกล้า: saichon เขียน:Dekfaifah เขียน:พี่โดมขยันจริงๆ ขอบคุณครับ นอกจากขยันแล้วพี่โดมยังเป็นผู้มีน้ำใจงาม เผื่อแผ่สิ่งดีๆแก่ผู้อื่นเสมอมาด้วยครับ นับถือครับพี่ มาช่วยยืนยันตามพี่สายชล เมื่อ: 2011-08-18T03:50:53+00:00 opengn: ขอบคุณมากๆเลยครับ สำหรับคนที่อ่านในคอมแล้วปวดตา ข้อมูลพวกนี้มีในหนังสือของ ดร.ภาพร เหมือนกันนะครับ ชื่อว่า "อ่านงบการเงินให้เป็น" เมื่อ: 2011-08-18T04:13:49+00:00 noooon010: ขอบคุณนะครับผม เมื่อ: 2011-08-18T04:57:45+00:00 Jeng: ขอบคุณครับ เดี๋ยวว่างๆ จะมาอ่านครับ เมื่อ: 2011-08-18T05:00:28+00:00 Ii'8N: ผมก็แฟนอ.ภาพร (fan แบบแฟนพันธุ์แท้นะครับ) ตอนแรก ก็อ่านจากในกรุงเทพธุรกิจ online ที่เป็นคอลัมน์แบบนี้ในsection ถนนนักลงทุน (น่้าจะราว 2546) ต่อมารวมเล่มเริ่มจากเล่มแรกที่อ่านเป็นจริงเป็นจัีง ก็แกะเงื่อนงบการเงินนานมาแล้ว ตอนหลัง เลยไปรวมรวมมาว่ามีอะไรอีก ...ผมว่าเป็นการลงทุนในราคาไม่แพง ช่วยสนับสนุนให้นักเขียนไทย เขียนผลงานออกมาดีๆ แบบนี้เยอะๆ ได้มาเกือบครบแล้ว ยกเว้น บัญชีศรีธนญชัยยังอยู่ในรายชื่อสินค้าหมดอยู่ http://www.se-ed.com/eshop/(A(irJBxM6QzAEkAAAAZDIyMzc4ZDAtNjIwZC00ZGMyLTgyZmEtMTgyZTkwYzQxMWI0TNAt6s5wIhvcq_cy9M9td5CNACY1))/Products/Detail.aspx?No=9786160802234&ref=author อ่านงบการเงินให้เป็น ดร.ภาพร เอกอรรถพร, บมจ.ซีเอ็ดยูเคชั่น จัดพิมพ์, 145 บาท หนังสือบัญชีเล่มนี้อธิบายถึงหลักการพื้นฐานเกี่ยวกับงบการเงิน เนื้อหาค่อนข้างเบ็ดเสร็จ มีการอธิบายค�าศัพท์รายการบัญชีที่แสดงในงบการเงิน ตัวอย่างงบการเงิน การวิเคราะห์งบการเงิน และเกร็ดความรู้ต่าง ๆ จึงเหมาะส�าหรับ นักลงทุน นักวิเคราะห์ นักบัญชี อาจารย์ และนักศึกษาที่ต้องการหนังสืออ้างอิงที่เข้าใจง่ายเกี่ยวกับการอ่านและการวิเคราะห์งบการเงินขั้นพื้นฐาน ส่วนไฟล์แนบ เป็นบทความที่อ.ภาพรเอามาเผยแพร่อีกทาง ในวารสารวิชาชีพบัญชี แต่อ่านดูแล้วเนื้อหาเหมือนในหนังสือ (บางตอนของหนังสือ) เมื่อ: 2011-08-18T08:07:29+00:00 dome@perth: ู^^^ โอ้ขอบคุณมากครับ กลับเมืองไทยทุกรอบ ขนแต่หนังสือมาอ่าน เดี๋ยวรอบหน้าจะต้องอุดหนุนหนังสืออาจารย์ มาแจกเพื่อนๆหน่อยแล้วครับ เมื่อ: 2011-08-18T15:03:26+00:00 ziannoom: ขอบคุณจากใจจริงครับ เมื่อ: 2011-08-18T15:07:46+00:00 itim: ขอบคุณค่ะ เมื่อ: 2011-08-18T15:15:55+00:00 My House: ขอบคุณครับ เมื่อ: 2011-08-18T16:33:07+00:00 บัวบังใบ: ขอบคุณทุกคนเลยครับที่ให้ข้อมูล เมื่อ: 2011-08-19T01:49:28+00:00 dome@perth: อาทิตย์นี้มาต่อเรื่อง ค่าเสื่อมราคา และการคิดค่าเสื่อมราคา 19. ค่าเสื่อมราคาสะสมคืออะไร? คือ การสะสมของค่าเสื่อมราคาทีละงวด ๆ ตั้งแต่วันที่ได้สินทรัพย์มา (ตามกฎบัญชี ค่าเสื่อมราคาจะเริ่มคิดเมื่อสินทรัพย์พร้อมใช้งาน หากวันที่สินทรัพย์พร้อมใช้งานไม่ตรงกับวันที่บริษัทได้สินทรัพย์มา) จนถึงวันที่แสดงในงบแสดงฐานะการเงิน 20. ค่าเสื่อมราคาคืออะไร? คือ การปันส่วนมูลค่าของสินทรัพย์ไปเป็นค่าใช้จ่ายในแต่ละงวด เพราะเมื่อบริษัทนำสินทรัพย์ที่มีอยู่มาใช้ประโยชน์ สินทรัพย์นั้นจะเสื่อมสภาพ และกลายเป็นค่าใช้จ่ายที่ต้องบันทึกในงบกำไรขาด ทุน (หมายถึงค่าใช้จ่ายได้ “เกิดขึ้น”) ใช้ไปงวดหนึ่งก็ปันส่วนไปเป็นค่าใช้จ่ายจำนวนหนึ่ง จะยกเว้นแต่ที่ดินที่ไม่มีการเสื่อมค่า (แต่อาจเกิดการด้อยค่า) 21. วิธีการคิดค่าเสื่อมราคา คิดได้หลายวิธี ส่วนใหญ่จะใช้ “วิธีเส้นตรง Straight-line Basis” ซึ่งมีข้อสมมติว่า โดยเฉลี่ยสินทรัพย์จะเสื่อมสภาพเท่ากันทุกปี ในการคิดค่าเสื่อมราคา บริษัทต้องประมาณอายุการใช้งานของสินทรัพย์ ตามสภาพที่บริษัทจะนำสินทรัพย์มา ใช้ (ทำให้สินทรัพย์ชนิดเดียวกัน อาจมีอายุการใช้งานที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะเมื่ออยู่ต่างบริษัทกัน) และต้องประมาณมูลค่าเมื่อเลิกใช้ (เรียกว่า “มูลค่าซาก Salvage Value” หรือ “มูลค่าคงเหลือ Residual Value”) จากนั้นจึงนำมูลค่าเมื่อเริ่มแรกของสินทรัพย์ (เรียกว่า “ราคาทุนเดิม”) มาลบด้วยมูลค่าซาก แล้วหารด้วยอายุการใช้งาน บริษัทก็จะได้ค่าเสื่อมราคาที่ต้องตัดเป็นค่าใช้จ่ายทุกปี เมื่อ: 2011-08-21T04:28:45+00:00 Ii'8N: ผมซื้อได้จนครบแล้วครับ ที่ยังไม่มี ไปตั้ง wait list ไว้ใน website e-shop se-ed แล้วได้มาจาก se-ed เพิ่มอีกเล่ม เกือบสิบปีมาแล้ว...แต่คุณค่ายังไม่เปลี่ยน รู้บัญชีมีประโยชน์ ชื่อหนังสือ รู้บัญชีมีประโยชน์ โดย ดร.ภาพร เอกอรรถพร สำนักพิมพ์ สถาบันภาภัทร ราคา 185 ฿ จำนวน 209 หน้า จำหน่ายโดย บริษัท ซีเอ็ดยูเคชั่น จำกัด (มหาชน) ISBN 974-90129-7-6 หนังสือ "รู้บัญชีมีประโยชน์" เป็นหนังสือทีได้รวบรวมเรื่องที่น่าสนใจ และน่าศึกษาของมาตรฐานบัญชี ซึ่งมีการวิพากษ์วิจารณ์กันกว้างขวางอยู่ในปัจจุบัน โดยผู้เขียนได้หยิบยกเอาปัญหาทางบัญชี ที่นักบัญชีเองก็เห็นว่า เป็นเรื่องที่น่าเข้าใจยาก และกำลังถกเถียงกันอยู่ในขณะนี้มาเขียน ด้วยลักษณะการใช้ภาษาง่ายๆ เป็นประโยชน์แก่ผู้สนใจ นักวิเคราะห์ นุกลงทุน และนักธุรกิจทั่วไป แม้แต่นักบัญชีที่ยังไม่กระจ่างในเรื่องเหล่านี้ ก็จะเข้าใจได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ตอนที่ 1 ประโยชน์ต่อนักลงทุน ตอนที่ 2 มาเลิกนั่งเทียนซื้อหุ้นกันเถอะ ตอนที่ 3 วิธีอ่านรายงานผู้สอบบัญชี ตอนที่ 4 งบดุลบอกได้ ตอนที่ 5 ภาพรวม ตอนที่ 6 กำไรไม่ใช่สูตรสำเร็จ ตอนที่ 7 สลึงดีกว่าห้าสิบ ตอนที่ 8 งบกำไรขาดทุนหลอกได้ ตอนที่ 9 งบกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จ ตอนที่ 10 งบกระแสเงินสด ตอนที่ 11 การด้อยค่าของสินทรัพย์ ตอนที่ 12 ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการด้อยค่าของสินทรัพย์ ตอนที่ 13 ทางเลือก ตอนที่ 14 ราคาทุนเดิมกับราคาที่ดีใหม่ ตอนที่ 15 ต้นทุนการกู้ยืม ตอนที่ 16 ต้นทุนการกู้ยืม - เหตุผลของนักบัญชี ตอนที่ 17 หมายเหตุประกอบงบการเงิน ตอนที่ 18 ใช้แทนยานอนหลับได้ ตอนที่ 19 แปลไทยเป็นไทย ตอนที่ 20 งบการเงินรวม ตอนที่ 21 แม่บทการบัญชี - รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรบัญชี ตอนที่ 22 แม่บทการบัญชีที่นักบัญชีต้องเข้าใจ ไปเจอบทความเก่า ที่ไม่เห็นในหนังสือ แต่อยู่ในคอลัมน์ที่ web เืศรษฐศาสตร์ nida http://www.nidambe11.net/ekonomiz/2003q ... eb10p5.htm รู้บัญชีมีประโยชน์ ปู่โสมเฝ้าทรัพย์ กรุงเทพธุรกิจ Biz & Money หน้า 2 วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2546 มนุษย์เรามี ความอยากได้ ด้วยกันทั้งนั้น ความอยากได้ เป็นแรงจูงใจขั้นพื้นฐานที่ส่งเสริมให้มนุษย์มี ไฟ ที่จะสู้และสร้างความเป็นปึกแผ่นให้กับตัวเอง แต่ความอยากได้ก็อาจกลายเป็น ความโลภ ที่กลับมาบ่อนทำลายสังคมให้เสื่อมลง ตามปกติวิสัย มนุษย์มักต้องการเพิ่มความมั่งคั่งให้ตัวเองมากที่สุดเท่าที่จะมากได้ภายใต้ข้อจำกัดที่มีอยู่ เช่น พยายามทำให้เกิดรายได้สูงสุดแต่ไม่สามารถทำงานเกิน 15 ชั่วโมงต่อวัน เรียกว่าเป็นการ Maximize Wealth (ในวิชาเศรษฐศาสตร์จุลภาค นักทฤษฎีมักต้องสมมติให้ Maximize อะไรสักอย่างหนึ่ง เนื่องจากสมการที่ใช้ เช่น สมการรายได้ มักเป็นสมการเส้นโค้งยอดสูง ปลายยอดแสดงตำแหน่งของตัวแปรที่จุด Maximum เช่น จำนวนชั่วโมงทำงานที่ทำให้เกิดรายได้สูงสุด ตัวแปรนี้สามารถหาค่าได้ เพียงแต่ต้องนำวิชา Calculus มาช่วยในการ take derivatives สมการเส้นโค้ง เพื่อหาตำแหน่งระนาบที่ปลายยอดหรือจุดที่การเปลี่ยนแปลงเท่ากับศูนย์ จากนั้นเราจะสามารถแกะสมการหาค่าตัวแปรที่จุด maximum ได้) หาก ความอยากได้ อยู่ในระดับสูงและสถานการณ์เอื้ออำนวย ผู้มีอำนาจอาจเกิด ความโลภ จนทำให้ตัดสินใจหันหลังให้จริยธรรมและทำในสิ่งที่ไม่ถูกไม่ควร ทั้งที่ทราบดีว่าสิ่งนั้นไม่เป็นที่ยอมรับ ต่อคนส่วนใหญ่หรือต่อข้อกำหนดของกฎหมาย (เรียกว่า Moral Hazard หรือ คุณธรรมวิบัติ ได้เกิดขึ้น) คุณธรรมอาจวิบัติได้ในองค์กรธุรกิจ เช่น บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (ไม่ว่าจะเป็นของประเทศไหนก็ตาม) เนื่องจากบริษัทเหล่านี้กระจายขายหุ้นให้แก่นักลงทุนทั่วไป ตามปกติ ผู้ถือหุ้นทุกคนของบริษัทจดทะเบียน (โดยเฉพาะผู้ถือหุ้นรายย่อย) จะไม่เข้ามาบริหารบริษัทด้วยตัวเอง แต่จะมอบหมายให้ ผู้บริหาร มืออาชีพ (หรือ ผู้ถือหุ้นรายใหญ่) เข้ามาบริหารงานแทน กรณีนี้เท่ากับว่า ผู้ถือหุ้นได้มอบความไว้วางใจให้แก่ผู้บริหาร (ที่จ้างมาด้วยราคาแพงๆ) ให้เข้ามาดูแลความเป็นไปในบริษัท และมอบ อำนาจ ในการสั่งการ และดำเนินธุรกิจให้แก่ผู้บริหาร ประหนึ่งว่าผู้บริหารนั้นเป็น ตัวแทน (Agency) และผู้ถือหุ้นนั้นเป็น ตัวการ (Principal) ตาม หน้าที่ ของการเป็นตัวแทน ผู้บริหารสามารถใช้ อำนาจ ที่ได้รับมอบหมายเข้ากระทำการแทนผู้ถือหุ้น แต่ผู้บริหารก็มี ความรับผิดชอบ ที่จะต้องดูแลผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้นไม่ให้เสียหาย เรียกว่ามี Fiduciary Duty หรือมีหน้าที่ในการพิทักษ์รักษาทรัพย์สินและเพิ่มผลประโยชน์ที่ผู้ถือหุ้นทั้งหลายนำมารวมกันไว้ให้ดูแล คำว่า Fiduciary Duty จึงไม่ได้มีความหมายแคบๆ เพียงแค่ เขามอบหน้าที่ให้ทำ ก็สักแต่ทำๆ ให้เสร็จไป แต่คำว่า Fiduciary Duty ให้ความหมายลึกซึ้งไปถึงการที่ คนส่วนรวม ได้ให้ ความไว้วางใจ (ฝรั่งเรียกว่า Trust) แก่คนๆ หนึ่งหรือคนกลุ่มหนึ่งให้ดูแลทรัพย์สมบัติอันมีค่าของพวกเขา (สถาบันการเงินหรือกองทุนที่เรียกว่า Trust มีพื้นฐานมาจากความหมายนี้) ดังนั้น คำว่า Fiduciary Duty โดยนัยแล้ว จึงมีความหมายครอบคลุมไปถึง การปฏิบัติหน้าที่เพื่อคนส่วนรวม และแฝงไว้ซึ่ง คุณธรรม หรือ จริยธรรม ที่ทำให้ผู้ได้รับมอบหมายต้องปฏิบัติหน้าที่อย่างดีที่สุด เพื่อให้สมกับความไว้วางใจที่ได้รับและเพื่ออำนวยประโยชน์แก่คนส่วนรวม แต่ก็แปลกที่คำว่า Fiduciary Duty ไม่มีคำแปลตรงๆ ในภาษาไทยที่จะทำให้มองเห็นภาพของคุณธรรมหรือจริยธรรมที่แฝงอยู่ (เหมือนกับคำว่า เกรงใจ ที่ไม่มีคำแปลตรงๆ ในภาษาอังกฤษ คำที่ใกล้เคียงที่สุดน่าจะเป็นคำว่า Being courteous) ที่นึกออกตอนนี้ อาจมีแต่สำนวนไทย ปู่โสมเฝ้าทรัพย์ ที่จะพอกล้อมแกล้มไปได้ แม้ว่าจะไม่ตรงกับความหมายเสียทีเดียว แต่มีข้อแม้ว่า เราต้องสมมติให้ปู่โสมได้รับการมอบหมายให้เฝ้าทรัพย์สมบัติของผู้อื่น เช่น ของเจ้านายหรือของหลวง เพื่อที่เราจะได้เห็นภาพของปู่โสมที่ยึดมั่นต่อหน้าที่ หวงแหนทรัพย์สมบัติที่เฝ้าอยู่ แม้ว่าทรัพย์สมบัตินั้นจะเป็นของผู้อื่น มิฉะนั้น ภาพของปู่โสมอาจผิดเพี้ยนไป กลายเป็นคนแก่ที่ใกล้จะลงโลงแล้ว แต่ยังไม่ยอมปล่อยวาง วันๆ ได้แต่นั่งตะบันเฝ้าทรัพย์สมบัติของตัวเอง (เดี๋ยวเลยจะกลายเป็นเรื่องของ ไก่ตามงู ไป) ทีนี้ เมื่อปู่โสมได้รับความไว้วางใจให้เฝ้าสมบัติ สิ่งที่เราคาดหวังจาก ปู่โสม คือความซื่อสัตย์สุจริต แต่อย่าลืมว่า ปู่โสม ก็เป็นปุถุชนธรรมดา ในเมื่อปู่มองเห็นและจับต้องทรัพย์สมบัติของคนอื่นอยู่ทุกวัน ปู่อาจเกิดความโลภจนต้องพยายามหาทางทำให้ทรัพย์สมบัตินั้นกลายมาเป็นของตัวเอง ถ้าปู่โสมเริ่มมองเห็นประโยชน์ส่วนตนมากกว่าประโยชน์ส่วนรวม ปู่โสมอาจพยายาม Maximize Wealth จนลืมนึกถึงหน้าที่และความรับผิดชอบ และยักย้ายถ่ายเททรัพย์สมบัติบางส่วนมาเป็นของตน หรือที่เรียกกันว่าการ โอนถ่ายความมั่งคั่ง (Transfer of Wealth) ซึ่งในฐานะผู้เฝ้าสมบัติ ปู่โสมอาจทำได้อย่างไม่ยากเย็นนัก การเห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนตนจนไปขัดแย้งต่อหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย (ให้ดูแลผลประโยชน์ของผู้อื่น) ถือเป็น ความขัดแย้งทางผลประโยชน์ (Conflict of Interests) รูปแบบหนึ่ง โดยเฉพาะเมื่อการเพิ่มผลประโยชน์ให้แก่ตัวเองเกิดจากการไปเบียดบังผลประโยชน์ของผู้อื่น ในกรณีของบริษัทจดทะเบียน ความขัดแย้งทางผลประโยชน์ที่เกิดขึ้น ทำให้ผู้บริหารต้องตัดสินใจว่าจะเลือกเดินทางไหน จะซื่อสัตย์ต่อผู้ถือหุ้นหรือจะปฏิบัติตามอำนาจฝ่ายต่ำของตัวเอง อิทธิพลที่มีต่อการตัดสินใจมาจากปัจจัยหลายประการ เช่น ปัจจัยทางสังคมว่าสังคมยอมรับคนที่ไม่มีจริยธรรมในระดับไหน ปัจจัยทางกฎหมายว่าบทลงโทษรุนแรงและได้ผลเพียงใด หรือปัจจัยทางสิ่งแวดล้อมว่าในอดีต คนผู้นั้นได้รับการอบรมเลี้ยงดูมาอย่างไร (สมัยก่อนเวลาเขาก่นด่ากันเขาจึงมักใช้คำว่า พ่อแม่ไม่สั่งสอน อยู่เสมอ แต่ปัจจุบัน เนื่องจากสภาพสังคมทำให้พ่อแม่เกือบทุกคนไม่มีเวลา สั่งสอน ลูก คำก่นด่านั้นก็เป็นอันตกไป เพราะถ้าขืนขุดขึ้นมาด่า ก็อาจจะไปกระทบกับคนทั้งบาง (กอก) ได้) ก่อนที่จะตัดสินใจ ปัจจัยทางสังคมและสิ่งแวดล้อมเหล่านี้จะเป็นตัวชี้ว่าผู้บริหารจะเลือกเดินทางไหน ถ้าผู้บริหารเลือกทางแรก ผู้ถือหุ้นก็ถือว่าโชคดีไป (ถือว่ากรรมดีที่ทำไว้ในอดีตส่งผล) แต่เมื่อไรที่คุณธรรมวิบัติ ผู้บริหารจะตัดสินใจเลือกที่จะยักย้ายถ่ายเทผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้นให้มาเป็นของตน (ซึ่งถือเป็นกรรมเก่าของผู้ถือหุ้น) การยักย้ายถ่ายเทผลประโยชน์นั้นมีอยู่หลายรูปแบบ ตั้งแต่ระดับเบี้ยวเล็กๆ น้อยๆ ไปจนถึงการตั้งใจโกง ซึ่งตอนนี้ การตกแต่งบัญชีมักจะเข้ามามีบทบาทไม่มากก็น้อย จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความสามารถส่วนบุคคลและปัจจัยอีกหลายประการ เช่น โครงสร้างการบริหารของบริษัท การควบคุมภายใน อำนาจที่ผู้บริหารได้รับ การตรวจสอบ บทลงโทษ ไปจนถึงความจำเป็นด้านวัตถุและด้านการเงิน และที่จะลืมเสียไม่ได้คือ พื้นฐานนิสัย (Nature) และการอบรมเลี้ยงดูที่ได้รับมาแต่เยาว์วัย (Nurture) ของผู้บริหารเอง ดังนั้น การสอนในโรงเรียนจึงต้องเน้นไปที่การเสียสละและการเล่านิทานจึงต้องจบด้วย นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เพราะนั่นคือการสอนจริยธรรมควบคู่ไปกับเนื้อหา ถ้าผู้ใหญ่ สอนลูกให้เป็นโจร พร้อมกับทำตัวอย่างให้เด็กดู เมื่อเติบใหญ่ เด็กคนนั้นก็จะกลายเป็น โจร อย่างช่วยไม่ได้ ถ้าอาจารย์สอนศิษย์ให้ เอาชนะโดยไม่ต้องคำนึงถึงอะไรทั้งนั้น ศิษย์ก็จะยึดมั่นในปรัชญานั้นและถ่ายทอดคำสั่งสอนให้ศิษย์รุ่นหลังต่อไป สรุปว่า ผู้บริหารในฐานะ ตัวแทน ได้เข้ามามี อำนาจ ในการบริหารบริษัทแทนผู้ถือหุ้นซึ่งเป็น ตัวการ ความขัดแย้งทางผลประโยชน์อาจทำให้ผู้บริหารลืม Fiduciary Duty ที่ได้รับมอบหมาย จนทำให้ Moral Hazard เกิดขึ้น เมื่อผู้บริหารเลือกที่จะ Maximize Wealth ของตัวเอง ผู้บริหารจะทำการเบียดบังผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้น และในที่สุดก็จะหาทางออกโดยการตกแต่งตัวเลขทางบัญชีเพื่อความอยู่รอด ที่กล่าวมาทั้งหมด อย่าเข้าใจผิดว่าผู้เขียนจะลึกซึ้งถึงขนาดคิดทฤษฎีขึ้นมาเอง ทฤษฎี ตัวการ-ตัวแทน ที่นำมาเล่าให้ฟังข้างต้นเรียกว่า Agency Theory ซึ่งถือกำเนิดขึ้นในปี 1958 โดยยอดฝีมือสองท่านคือ Franco Modigliani (รางวัลโนเบลปี 1984) และ Merton Miller (รางวัลโนเบลปี 1990) หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า M&M (ชื่อเหมือนช็อกโกเเลตยี่ห้อหนึ่ง) Agency Theory ได้รับการยกย่องว่าสามารถสะท้อนพฤติกรรมของคนและความเป็นไปในองค์กรได้อย่างลึกซึ้ง จนสามารถนำมาปรับให้เข้ากับองค์กรทุกองค์กรได้ (ไล่ตั้งแต่รัฐบาลลงมา) แถมทฤษฎีนี้ยังสามารถนำมาใช้อธิบายมูลเหตุจูงใจในการตกแต่งบัญชี ที่มักเป็นบ่อเกิดแห่งการยักย้ายถ่ายเทผลประโยชน์ที่ควรเป็นของ ผู้ถือหุ้น ให้กลายมาเป็นของ ผู้บริหาร แม้ทฤษฎี ตัวการ-ตัวแทน จะสามารถอธิบายมูลเหตุจูงใจในการตกแต่งบัญชีได้ส่วนหนึ่ง แต่มูลเหตุจูงใจในการตกแต่งบัญชีของผู้บริหารอาจเกิดมาจากสาเหตุอื่น เช่น ผู้บริหารเห็นบริษัททำท่าจะไปไม่รอด และด้วยความกลัวที่จะสูญเสียรายได้แพงๆ โบนัสงามๆ (ที่ได้รับจากผู้ถือหุ้น) ผู้บริหารอาจตัดสินใจตกแต่งตัวเลขทางบัญชีเพื่อประวิงเวลาให้แก่ตัวเอง ก่อนที่บริษัทจะล่มหรือตัวเองจะได้งานใหม่ หรือผู้บริหารที่เป็น ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ อยากปั่นราคาหุ้นที่ซื้อขายกันในตลาดเพื่อเพิ่มมูลค่าหุ้นที่ตัวเองถืออยู่ จึงพยายามหลอกลวงนักลงทุนใหม่ให้เข้าซื้อหุ้น และเพิ่มความมั่งคั่งให้แก่ตัวเองโดยการตกแต่งบัญชีเพื่อลวงตา แต่ไม่ว่าจะเป็นกรณีไหน ผู้บริหารก็ได้ละเลย Fiduciary Duty ที่ได้รับมอบหมายจนคุณธรรมวิบัติไป เมื่อผู้บริหารสามารถ Maximize Wealth ของตัวเองได้ ก็หมายความว่า Wealth ของนักลงทุนจะถูกโอนถ่ายไปอยู่ในกระเป๋าของผู้บริหาร น่าเสียดายที่ทฤษฎีไม่ได้ทำนายต่อว่า ผู้บริหารเหล่านี้มีความสุขในบั้นปลายชีวิตขนาดไหน เมื่อ: 2011-08-22T11:00:31+00:00 Paul VI: ขอบคุณคุณ Dome คุณ Ii'8N ครับ ผมพิมพ์ไม่ผิดแล้วนะครับ คุณ Ii'8N เมื่อ: 2011-08-22T11:02:38+00:00 baggyman: ขอบคุณครับ เมื่อ: 2011-08-22T11:28:24+00:00 torpongpak: ขอบคุณพี่โดมมากๆ ที่เผื่อเเผ่ความรู้ ขอให้ "ยิ่งให้ ยิ่งได้" นะครับ เมื่อ: 2011-08-22T11:28:49+00:00 Ii'8N: Paul VI เขียน:ขอบคุณคุณ Dome คุณ Ii'8N ครับ ผมพิมพ์ไม่ผิดแล้วนะครับ คุณ Ii'8N ไม่ผิดครับ คุณหมอ ผมอาจต่างจากคนอื่น ที่เพิ่งหัดแนว VI ไม่นาน (ยังเป็น VI ครึ่งๆ กลางๆ ครึ่งบกครึ่งน้ำด้วยสิ ) เลยต้องขวนขวายอ่านเยอะๆ และสนใจที่ VI รุ่นพี่เอามาฝาก ผมไปเจออะไรมาเลยเอามา share กลับ จะได้ช่วยๆ กันให้บอร์ดคึกคัก... บางที สิ่งที่เราแปะ เหมือนนั่งอ่านซ้ำๆ เข้าใจดีขึ้นไปอีกกว่าเก่า เมื่อ: 2011-08-22T14:38:58+00:00 torpongpak: Ii'8N เขียน:Paul VI เขียน:ขอบคุณคุณ Dome คุณ คร ผมไปเจออะไรมาเลยเอามา share กลับ จะได้ช่วยๆ กันให้บอร์ดคึกคัก... บางที สิ่งที่เราแปะ เหมือนนั่งอ่านซ้ำๆ เข้าใจดีขึ้นไปอีกกว่าเก่า ประโยคนี้ให้+1ไปเเล้วครับ เเละขอขอบคุณพี่ Ii'8N อีกคนด้วยครับ(Cut Paste เลยจะได้พิมพ์ชื่อไม่ผิด) เมื่อ: 2011-08-22T14:59:22+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
อยากได้ราคาปิดหุ้นย้อนหลังทั้งตลาด เราสามาหาได้จากที่ไหนครับ mibtrex: ผมอยากได้ราคาปิดหุ้นย้อนหลังทั้งตลาด แบบที่ออกมาเป็น list มีครบทุกตัวในหน้าเดียวกันเลยครับ ผมตั้งใจจะเอามาดูราคาหุ้นทุกตัวว่าขึ้นมากี่% ตั้งแต่ต้นปีนะครับ ไม่ทราบว่าจะหาได้ที่ไหนครับ ขอบคุณล่วงหน้าครับ ^^ เมื่อ: 2011-12-08T05:01:10+00:00 trap: ไฟล์ excel ของพี่ครรชิต มีข้อมูลนี้อยู่ครับ ไปดูที่นี่ได้ http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=1&t=1294 แต่ผมอยากเสนอว่าการ เอาราคาที่ขึ้นมาแล้วเท่าไหร่เป็นเกณในการซื้อขายไม่ควรทำนะครับ เพราะเป็นการคาดการตลาด ราคาขึ้นแล้วก็ขึ้นอีกได้ ราคาลงก็ยังลงได้อีก แล้วแต่ความโลภและความกลัวของผู้คนในตลาด สิ่งสำคัญคือเรารับรู้คุณค่าที่แท้จริงของบริษัทที่จะลงทุนหรือไม่ โซรอส กับบัฟเฟต ไม่ได้ใช้วิธีนี้ในการหาหุ้นนะครับ ถ้าสนใน ผมแนะนำให้ลองอ่าน หนังสือเล่มนี้ดูนะครับ บัฟเฟตต์ โซรอส ลงทุนถูกนิสัย ยังไงก็ชนะ http://www.se-ed.com/eShop/Products/Det ... tegoryId=4 เมื่อ: 2011-12-10T10:04:36+00:00 mibtrex: ขอบคุณครับ ^^ ผมต้องการข้อมูลนี้เอาไปศึกษาว่าหุ้นที่มันขึ้นมาเยอะๆ หรือว่าลงไปเยอะๆ มันจะมีสาเหตุหรือสัญญาณอะไรจากงบการเงินรึป่าวนะครับ ไม่ได้เอาข้อมูลนี้ไปซื้อตามครับ เมื่อ: 2011-12-10T10:38:39+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
งบกระแสเงินสด snonglak1: ขอถามเกี่ยวกับงบกระแสเงินสดของแต่ละบริษัทที่ update  ไม่ทราบว่าจะอ่านได้จากตรงไหนคะ    เพราะงบการเงินที่แสดงไว้  มีแต่ งบดุล และ งบกำไรขาดทุนเท่านั้น                          ขอบคุณมากค่ะ เมื่อ: 2006-06-30T23:13:26+00:00 ลูกอิสาน: ดาวโหลดได้จาก set.or.th หรือที่ sec.or.th ครับ ปกติ งบดุล งบกำไร-ขาดทุน และงบกระแสเงินสด ก็มาพร้อมกันอยู่แล้วครับ อาจจะเป็นไปได้ว่าหาไม่เจอ เพราะหลายบริษัทงบกระแสเงินสดจะอยู่ส่วนล่างสุดของหน้า และหลายบริษัทก็อยู่ใน sheet สุดท้ายที่ชื่อ CF หรือบางบริษัทจะออกงบก่อนสอบทาน ซึ่งยังไม่มีงบกระแสเงินสด แต่กรณีหลังนี้พบได้น้อยมากๆ เมื่อ: 2006-07-01T09:11:19+00:00 miracle: หายากครัวพี่ลูกอีสานที่บริษัทไม่มีcash flowมาให้ ต้องสงสัยไว้ก่อนว่ามีอะไรในกอไผ่หรือเปล่า เพราะcash flowเป็นตัวที่ตรวจสอบสุขภาพบริษัทได้ดีที่สุด มีอะไรสงสัยในงบดุลหรือกำไรขาดทุน ไปอ่านในcash flowมันตอบได้หมดว่า บริษัทในช่วงนั้นมันทำอะไรของมันอยู่ เมื่อ: 2006-07-02T14:35:53+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
ช่วงนี้ทูน่าว่ายตามน้ำแฮะ Dr.T: ขึ้นเอา ๆ 2 วันเกือบสองบาท ค่อยหน้าชื่นตาบานหน่อย แต่มันขึ้นเพราะอะไรหว่า ใครทราบมั่งครับ เมื่อ: 2005-01-18T09:31:29+00:00 ปรัชญา: ขึ้นมากับคลื่นหรือเปล่า คลื่นเก็งนะครับ ไม่ช่ายคลื่นซูนามิ เมื่อ: 2005-01-19T02:47:35+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
SWOT ของประเทศ กับการเลือกหุ้น teetotal: เคยลอง นั่งพินิจ พิเคราะห์ หุ้นที่ซื้อทีละตัวไหมครับ ว่า สอดคล้องกับ จุดแข็ง ของ ประเทศไทย ขนาดไหน แบบที่ว่า แม้ การเมืองจะมีปัญหาอย่างไร มันก็ได้รับผลกระทบไม่มาก สร้างรายได้ ได้ในระดับที่ดี แม้ว่า จะไม่มีมาตรการส่งเสริมอุดหนุนจากรัฐบาล หุ้นที่ รัฐบาลเปลี่ยน ความน่าสนใจของหุ้นก็ยังไม่เปลี่ยน เมื่อ: 2011-07-19T00:33:58+00:00 densin: คงต้องเป็นหุ้นผู้นำจะได้แนวโน้มตามภาพรวมมากกว่าตัวเล็ก อยากหาว่าอะไรที่เราแข่งขันกับประเทศอื่นๆได้ มีหลายวิธี เช่น พวกส่งออก ก็ลองไปดูว่าประเทศอื่นมีกำแพงภาษีอะไรป้องกันเราไปบุกตลาดเขา แล้วFTAกำลังบังคับให้ประเทศอื่นลดภาษีลงเรื่อยๆ เราจะบุกตลาดเขาได้เพิ่ม กลับกันอะไรที่เรามีกำแพงภาษี แล้วเราต้องโดนลด กลุ่มนั้นจะโดนคู๋แข่งต่างชาติบุกเข้ามา เมื่อ: 2011-07-19T03:41:02+00:00 green-orange: densin เขียน:คงต้องเป็นหุ้นผู้นำจะได้แนวโน้มตามภาพรวมมากกว่าตัวเล็ก อยากหาว่าอะไรที่เราแข่งขันกับประเทศอื่นๆได้ มีหลายวิธี เช่น พวกส่งออก ก็ลองไปดูว่าประเทศอื่นมีกำแพงภาษีอะไรป้องกันเราไปบุกตลาดเขา แล้วFTAกำลังบังคับให้ประเทศอื่นลดภาษีลงเรื่อยๆ เราจะบุกตลาดเขาได้เพิ่ม กลับกันอะไรที่เรามีกำแพงภาษี แล้วเราต้องโดนลด กลุ่มนั้นจะโดนคู๋แข่งต่างชาติบุกเข้ามา ขอบคุณมากๆครับพี่เด่น สำหรับมุมมองต่างๆ เมื่อ: 2011-07-19T07:50:32+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
งบการเงิน (ปรับปรุงใหม่) แปลว่าอะไรครับ Iceberg_s: เมื่อ: 2009-08-29T08:50:16+00:00 krisy: แปลว่า มีการปรับปรุงตัวเลขจากที่รายงานไว้หนก่อน แต่จะปรับเพราะเรื่องอะไร ต้องไปดูในหมายเหตุค่ะ เมื่อ: 2009-08-29T14:41:13+00:00 Iceberg_s: ขอบคุณครับ เมื่อ: 2009-08-29T23:01:03+00:00 miracle: งบการเงิน(ปรับปรุงใหม่) เกิดจากหลายสาเหตุ 1 ปรับปรุงทางด้านบัญชีใหม่ ทำรายการบัญชีใหม่ในบ้างหมวด ทำให้ต้องเกิดปรับปรุงกระทบยอดกันใหม่ 2 ปรับปรุงตามมาตราฐานทางบัญชี เพื่อให้งบการเงินในรอบบัญชีที่ประกาศ สามารถเปรียบเทียบได้กับงบการเงินในรอบบัญชีเดิมที่นำมาเปรียบเทียบ 3 เกิดจากการนำมาตราฐานบัญชีมาใช้ใหม่ในรอบบัญชีนั้น (อันนี้มีบอกไว้ใน หมายเหตุประกอบงบการเงินว่า กรอบของการจัดทำบัญชีในรอบบัญชีนั้นมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมบ้าง) เมื่อ: 2009-08-30T02:47:18+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
ถ้า ปตท. โดนเอาออกจากตลาดหุ้นจริง ตลาดหุ้นไทยจะเป็นยังไงหนอ. i_sarut: เห็น พันธมิตร ฮึ่มๆจะให้ยกเลิก พรบ.แปรรูป ( ส่วนตัวไม่เห็นด้วยกับพันธมิตร "ในเรื่องนี้" ) แถมยังเน้นว่าต้องเอารัฐวิสาหกิจที่แปรรูปกลับคืนมาโดยเฉพาะ ปตท. ถ้า ปตท. โดนเอาออกจากตลาดหุ้นจริง ตลาดหุ้นไทยจะเป็นยังไง Market Cap. , Set Index ขนาดจะลดลงไปขนาดไหน คิดว่ามีความเป็นไปได้ขนาดไหนกับเรื่องนี้ครับ แล้วตัว PTTEP , PTTCH , PTTAR จะโดนหางเลขไปด้วยรึเปล่า ขอบคุณมากครับ   :lol: เมื่อ: 2008-09-12T12:13:30+00:00 ปรัชญา: คงเป็นไปได้ค่อนข้างยากครัับ เนื่องจาก  มีต่างชาติและรายย่อยถือหุ้น การที่จะเอาออกจากตลาดก็ต้องทำเทรนเดอร์   ราคาไม่รูู้ว่าจะหมาะสมตรงไหน จะหาเรื่องยึดคือเป็นของรัฐ  แบบITV  คงต้องทำผิดสัมปทาน ไม่มีเงินจ่ายนั่นล่ะ  ถึงจะพอจะยึดได้ แต่ถ้าหุ้นกลุ่มนี้ถูกเอาออกจากตลาด ต่างชาติคงต้องคิดหนักกับการเข้ามาลงทุนในประเทศไทย โดยความเห็นส่วนตัว  ผมปิดประตูเรื่องนี้นานแล้วครับ เมื่อ: 2008-09-13T02:43:18+00:00 กาละมัง: แม้จุดมุ่งหมายพันธมิตรจะดี  แต่การปราศรัยในบางเรื่องก็เพื่อเรียกเสียงจากมวลชนมากกว่า อย่างเช่นเรื่องต้องการให้ PTT ออกจากตลาด.....ซึ่งเชื่อว่ารัฐก็คงไม่ได้ใส่ใจอะไร วันนี้หุ้นได้เปลี่ยนไปไม่รู้กี่มือแล้วจะมาเปลี่ยนแปลงอะไรตอนนี้ สายไปแล้วต๋อย ดังนั้นในทางปฏิบัติรัฐคงไม่เลือกที่จะถอด PTT ออกจากตลาดแน่  แต่ถ้ายืนยันจะทำจริงก็น่าจะทำได้ แต่คงต้องยุติธรรมกับผู้ถือหุ้น   ไม่งั้นท้ายที่สุดจะเป็นภาครัฐเองที่จะเสียหายอย่างมากในที่สุด ในเชิงผู้ลงทุนคงไม่ได้เดือดร้อนอะไรมากนัก  เราน่าจะปรับตัวได้กับทุกระบวนท่าอยู่แล้ว เมื่อ: 2008-09-13T04:26:35+00:00 metro: รู้สึกว่าศาลตัดสินแล้วนะครับว่า ปตท ไม่ต้องออกจากตลาดครับ เมื่อ: 2008-09-14T07:57:13+00:00 กระบี่เก้าสําเนียง: ตลาดจะเป็นยังไงไม่รู้ รู้แต่ว่าพวกเขาจะอู้ฝู่แบบสุดๆและทำให้ ปตท เป็นแดนสนธยา เมื่อ: 2008-09-14T08:23:20+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
ด้านธุรกิจขนส่งน่าจะดีมากในปีนี้ tanate: ผมสังเหตุว่าตั้งแต่มีรัฐบาลใหม่ปลายปี จนถึกต้นปีนี้ รถขนส่งของ10ล้อ วิ่งได้ทั้งวันเลย โดยอยากให้ทุกท่านสังเกตให้ดี ผมเจอสิบล้อวิ่งเส้นถนนสุขสวัสดิ์ ตั้งแต่07:00 น. ซึ่งในอดีตจะเห็นในช่วง 9:00 น.และตอนดึก แค่ 1 ทุ่ม ก็เห้นรถสิบล้อขนส่งของวิ่งแล้วครับ แสดงว่า ธุรกิจขนส่งไม่ถูกจำกัดเรื่องเวลาแล้ว วิ่งได้ทั้งวัน ขนส่งได้รอบมากขึ้น ผมจึงเห็นว่าธุรกิจนี้รุ่งแน่ในรัฐบาลนี้ ปล. ไม่เห็นตำรวจกักรถสิบล้อที่วิ่งไม่ตรงเวลาเลย หรือมียันต์ทำให้มองไม่เห็นก็เป็นได้ เมื่อ: 2007-01-11T15:49:30+00:00 ssuwan: ตำรวจต้ิองกินข้าวด้วยมั้งครับ ทหารกินอิ่มไปแล้วนี่ เมื่อ: 2007-01-12T04:31:08+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
"คลัง" เตรียมยึดอำนาจแบงค์ชาติ โป้ง: น.ส.พ.แนวหน้า คลังตั้งแท่นยึดอำนาจแบงก์ชาติ ขอกำกับดูแลสถาบันการเงินเอง 'สมคิด' แบไต๋แผนปฏิรูประบบราชการ ลดอำนาจแบงก์ชาติ ปล่อยให้ทำแค่ งานกำหนด นโยบายการเงิน ส่วนการกำกับดูแลแบงก์โอนให้คลังคุมพร้อมดึงงาน ประกันเข้ามาดูแลแทนพาณิชย์ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ได้หารือกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีถึงเรื่องการปฎิรูป ระบบ ราชการ โดยในส่วนของกระทรวงการคลัง จะโอนการกำกับดูแลสถาบันการเงินที่ ปัจจุบันอยู่ภาย ใต้การดูแลธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)มาอยู่ภายใต้กระทรวงการคลัง ซึ่งจะทำให้ธปท.มี ภารกิจและหน้าที่ในการปฏิบัติงานอยู่เพียงด้านเดียวคือ การกำหนดนโยบาย การเงิน 'ที่ผ่านมา ธปท.มีอำนาจมากเกินไป เพราะเป็นทั้งผู้กำหนดนโยบายการเงิน และยัง เป็นผู้ตรวจสอบและกำกับสถาบันการเงิน นายกรัฐมนตรี จึงไม่ต้องการให้ธปท.มีบทบาทในการ บริหารงานของธนาคารพาณิชย์มากเกินไป จึงมอบหมายการกำกับดูแลสถาบันการเงินให้คลัง เป็นผู้ควบคุมแทน โดยมองว่าการกำกับดูแลสถาบันการเงินเป็นเรื่องของการบริหารงาน ดังนั้น ถ้าผู้บริหารออกหลักเกณฑ์ใดๆ ที่สถาบันการเงินไม่สามารถปฏิบัติได้ก็จะเกิดปัญหา ตามปัจจุบัน ผู้บริหารธนาคารพาณิชย์ตัวแข็งไปหมดแล้ว' นายสมคิดกล่าวว่า อย่าไปพูดว่าประเทศไทยเป็นประเทศแรกที่กระทรวงการคลัง กำกับ ดูสถาบันการเงิน แต่เนื่องประเทศไทยมีดอกเตอร์อยู่มาก ก็น่าจะมีการเปลี่ยนแปลงเพื่อ ให้ ประเทศอื่นๆ มานำไปใช้เป็นตัวอย่างบ้างก็ดี ทั้งหมดนี้เป็นการตัดสินใจของนายกรัฐมนตรี ที่ ต้องการเปลี่ยนแปลงการทำงานของธปท. จะดำเนินการเสร็จเร็วหรือช้าขึ้นอยู่กับนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ที่กำกับดูแลคณะกรรมการพัฒนาระบบข้าราชการพลเรือน (ก.พ.ร.) ทั้งนี้ ในอนาคตนอกจากกระทรวงการคลัง จะต้องรับหน้าที่ในการดูแลธุรกิจประกันทั้ง ประกันวินาศภัยและประกันชีวิต ซึ่งปัจจุบันอยู่ภายในการกำกับดูแลของกระทรวงพาณิชย์ และจะ รับภารกิจงานด้านงบประมาณที่เกี่ยวกับการเบิกจ่ายงบประมาณบางส่วนมาจากสำนักงบ ประมาณ ซึ่งเป็นไปโครงสร้างใหม่ของกระทรวงการคลัง เมื่อ: 2005-05-31T04:00:29+00:00 por_jai: โป้ง wrote: อย่าไปพูดว่าประเทศไทยเป็นประเทศแรกที่กระทรวงการคลัง กำกับ ดูสถาบันการเงิน แต่เนื่องประเทศไทยมีดอกเตอร์อยู่มาก ก็น่าจะมีการเปลี่ยนแปลงเพื่อ ให้ ประเทศอื่นๆ มานำไปใช้เป็นตัวอย่างบ้างก็ดี อ่านเหตุผลแล้วมันไม่ค่อย ลอจิก อ้างอย่างนี้มัน ลอจิ๋ง มากกว่า เมื่อ: 2005-06-01T02:08:34+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
สงสัยเรื่อง TFUND และ freehold ตัวอื่นๆ Pn3um0n1a: ถ้าผิดห้องก็ย้ายเลยครับ คือ TFUND เท่าที่ทราบ ก็จะ ซื้อโรงงานจาก Ticon มา เพื่อให้เช่า แล้วเก็บค่าเช่ามา   ค่าซื้อโรงงานก็ไม่ได้หักค่าเสื่อม โรงงานมีอายุการใช้งานนาน การบำรุงรักษาไม่ยาก ไม่หักค่าเสื่อมก็ไม่ว่ากัน ถือว่าเอาค่าเช่านั้นมาจ่ายเป็นปันผล... ที่สงสัยคือ 1. มีคนบอกว่า ค่าเช่าน่าจะเพิ่มได้เรื่อยๆ พอๆ กับเงินเฟ้อ คือ TFUND ก็จะเก็บค่าเช่าแพงขึ้นตามความเหมาะสม สัญญาเช่าเฉลี่ยๆ ก็ 3 ปี ไม่น่ามีปัญหาอะไร แต่ว่า ถ้าเป็นอย่างนั้น ปันผลก็น่าจะเพิ่มเรื่อยๆ โดย สามัญสำนึก หุ้นอย่างนี้ ราคาก็น่าจะไปเรื่อยๆ ตามปริมาณปันผล คือ ราคา TFUND น่าจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ (ราคาหุ้นนะคับ) แต่ถ้า TFUND เพิ่มทุนเรื่อยๆ ซื้อโรงงานจาก ticon เรื่อยๆ ที่หุ้นละ 10 บาทไปเรื่อยๆ - -''    แล้ว ราคามันจะไปไหนได้เหรอครับ งง ครับ ดูมันขัดแย้งกัน 2. แล้วมีอะไรมาเป็นหลักประกันว่า โรงงานที่ TFUND ซื้อจาก ticon จะมีคนเช่าเรื่อยๆ ถ้าตามหลัก demand supply เมื่อโรงงานเยอะจนถึงจุดหนึ่ง ที่ supply มากกว่า ค่าเช่าก็น่าจะถูกลง เป็นไปได้หรือว่า โรงงานจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีวันสิ้นสุด .....  ไม่น่าเป็นไปได้ แล้วถ้า ticon ขาย โรงงานให้ TFUND เพิ่มขึ้นทุกปีๆ เกิดโรงงานเยอะเกิน เก็บอัตราค่าเช่าได้เท่าเดิม คนเช่าน้อยลง ปันผล (yield) ก็น้อยลงสิครับ แล้ว อย่างนี้ จะไว้ใจได้อย่างไร ว่า จะได้ยีลด์ ที่ 7-8% ไปเรื่อยๆ ซื้อแล้วเก็บไว้ให้ลูกหลานได้หรือไม่ครับ ไม่ต่อเนื่องนะครับ 3. แล้วนอกจาก ticon แล้วมี PF ตัวไหนที่เป็น freehold อีกหรือไม่ครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณทั้งถ้าจะตอบเองหรือ ตอบว่าให้ไปอ่านที่ไหนดี   เมื่อ: 2007-08-31T17:49:16+00:00 Pn3um0n1a: Pn3um0n1a เขียน: 3. แล้วนอกจาก ticon แล้วมี PF ตัวไหนที่เป็น freehold อีกหรือไม่ครับ : ขอโทษครับ หมายถึง TFUND เมื่อ: 2007-08-31T18:17:58+00:00 bigshow: http://www.bbznet.com/scripts3/board.ph ... r=numtopic ถามพี่ invisible_hand  เลยคับ เมื่อ: 2007-09-01T00:08:33+00:00 Pn3um0n1a: ,มีใครแนะนำอะไรอีกมั้ยอ่ะครับ เมื่อ: 2007-09-02T16:37:25+00:00 wj: ผมก็ว่างันครับ รายได้ที่ผู้ลงทุนมองว่าเป็นกำไร แต่ไม่หักค่าเสื่อมดูแล้วแปลกดีครับ ยังไงวันหนึง ถ้าผู้เช่าเดิมเลิกไป ก็ต้องปรับปรุงอาคารให้ดีเพื่อรองรับผู้เช่าใหม่ แล้วกำไรคงลดลงมากทีเดียว และโครงสร้างอาคารที่เป็นเหล็กก็ต้องมีอายุการใช้งาน และบำรุงรักษา และวันหนึง Ticon คงต้องหยุดขายโรงงาน(ระดับจำนวนเดิม)เำพราะคงไม่มีความต้องการใดไม่มีที่สิ้นสุด สิ่งที่ผมเห็นว่ามีดี แค่อย่างเดียวคือที่ดิน แต่ไม่สามารถชดเชยกับราคาหุ้นที่แพงได้ เมื่อ: 2007-09-03T00:13:49+00:00 BKP: คุณ IH เคยตอบเกี่ยวกับเรื่องค่าเสื่อมของกองทุนอสังหา ไว้ที่ greenbull ว่าเป็นเรื่องของหลักการทางบัญชี ลองอ่านดูแล้วกัน ขออนุญาต คุณ IH นำมาให้เพื่อนๆ ที่นี้อ่านกันนะ http://www.bbznet.com/scripts3/view.php ... &key=tfund เมื่อ: 2007-09-03T12:13:13+00:00 Pn3um0n1a: Pn3um0n1a เขียน:ค่าซื้อโรงงานก็ไม่ได้หักค่าเสื่อม โรงงานมีอายุการใช้งานนาน การบำรุงรักษาไม่ยาก ไม่หักค่าเสื่อมก็ไม่ว่ากัน ถือว่าเอาค่าเช่านั้นมาจ่ายเป็นปันผล... ที่สงสัยคือ... 3 ข้อด้านบนครับ   เมื่อ: 2007-09-03T13:11:26+00:00 Pn3um0n1a: อ้อมีคำถามต่อ 4. แล้วทำไม ปี 49 จ่ายปันผลน้อยจังครับ                                       31/08/2550  29/12/2549  30/12/2548         อัตราราคาปิดต่อกำไรต่อหุ้น(เท่า) 10.61         9.78            N.A.         อัตราส่วนเงินปันผลตอบแทน(%) 6.78            2.68             -         ราคาล่าสุด(บาท)                       10.80           9.35         10.00         มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด 4,104.00    3,553.00     1,750.00   ปี 49 ตก ทั้งปี 25 สตางค์เอง 5. ปันผล tfund credit ภาษี คืนได้รึเปลาครับ ที่อัตรา กี่ % ครับ เมื่อ: 2007-09-03T13:38:56+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
mcs ไมตอนปิดช่วงหลัง ดันไกลตลอดเลย phobenius: มีใครลองสังเกตมั้งครับ ปล. ว่าจะซื้อ สักที ไม่ได้ซื้อสักที เมื่อ: 2006-09-26T15:50:39+00:00 ม้าเฉียว: "ว่าจะซื้อสักที่ แต่ไม่ได้ซื้อสักที" ผมชอบคำพูดนี้มากครับ เป็นปริศนาดี เมื่อ: 2006-09-27T00:41:57+00:00 nanchan: เค้าเรียกว่า ยึกยัก ไงครับ เมื่อ: 2006-09-27T01:32:28+00:00 CK: ม้าเฉียว เขียน:"ว่าจะซื้อสักที่ แต่ไม่ได้ซื้อสักที" อย่างนี้ ต้องพยายาม "ว่าจะซื้อสักสองที่ จะได้ซื้อสักที" เมื่อ: 2006-09-27T01:41:51+00:00 greenstock: เป็นมาตั้งนานแล้วครับ ก่อนจะประกาศปันผล ลองตรวจสอบราคาย้อนหลังก่อนปันผลดูสิครับ  วิ่งเท่าไหร่ก็ไม่ผ่าน 3.8 ซักที ดร.ก็ยังขายไม่ครบตามที่ประกาศ เมื่อ: 2006-09-27T02:51:02+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
RPC ปีนี้ น่าจะ PE 6 ใช่หรือเปล่า Jeng: และเห็นผู้รู้บอกว่า ถ้าปิโตรราคายังสูง จะไม่เป็นผลดีต่อ RPC ในเมื่อตอนนี้ RPC กำไรเพิ่มขึ้น ยอดขายเพิ่มขึ้น ในขณะที่ปิโตรเคมี ราคาสูง ถ้าปิโตรเคมีราคาต่ำ RPC ก็ต้องยิ่งได้ประโยชน์ซิ ถ้าปีนี้ PE 6 RPC จะเป็นหุ้นตีแตกได้หรือไม่ เพื่อนๆช่วยวิจารณ์กันเบาๆหน่อยซิ เมื่อ: 2005-01-27T04:39:23+00:00 Jeng: เมื่อ: 2005-01-27T04:47:08+00:00 hot: แสดงว่าp/e ในเครื่องหลายคน ยังเป็นข้อมูลเก่าอยู่หรือคับ เมื่อ: 2005-01-27T05:00:16+00:00 Jeng: คุณ hot ดูกำไรก็พอ 9 เดือน 367 มันเกิน 10 % ของ market cap แล้ว เมื่อ: 2005-01-27T05:11:01+00:00 Jeng: คุณ hot ใช้เครื่องอะไรครับ อยากรู้ ทำไมมันโบราณจัง แซวเล่นนะ เมื่อ: 2005-01-27T05:13:20+00:00 Jeng: เมื่อ: 2005-01-27T05:20:34+00:00 harry: ผู้บริหารเคยบอกว่า ตัว cr ที่เอามากลั่น ทำได้ทั้งน้ำมัน และปิโตรเคมี ถ้าอะไรกำไรดี ค้าขายดีกว่า ก็ทำตัวนั้นออกมาขายมากกว่า เมื่อ: 2005-01-27T06:28:45+00:00 hot: ระยองโอเลฟินส์ (ROC นี่อยู่ประเทศอะไรคับ ใช่ไทยหรือเวียดนามคับ ทำไมคำว่าระยองนี่ผมได้ยินนำหน้าหลายบริษัทกันเยอะเหมือนกัน เป็นคำที่มีความหมายถึงอะไรคับ เมื่อ: 2005-01-27T08:16:13+00:00 harry: ส่วนใหญ่ ตั้งที่จังหวัดระยอง ไม่แน่ใจว่า จะเป็นแบบอื่น เมื่อ: 2005-01-27T08:29:51+00:00 Ont: eps 2 ไตรมาสแรกราว 2.4 บาท แต่เฉพาะไตรมาส 3 ทำได้ประมาณ 2 บาทที่ก่อนแตกพาร์ครับ ไม่รู้ว่าไตรมาส 4 นี้จะออกมาเท่าไหร่ เมื่อ: 2005-01-27T10:18:18+00:00 bigshow: น่าจะกำไรน้อยนะเพราะต้องขาดทุนจากสต็อกน้ำมันอีก แต่ผมเองซื้อไปบ้างแล้ว เมื่อ: 2005-01-27T16:23:52+00:00 Jeng: ตกลง ไป 8.25 แล้วนะ วิ่งใหญ่เลย อิอิ เมื่อ: 2005-03-01T08:39:43+00:00 taro23: hot เขียน:ระยองโอเลฟินส์ (ROC นี่อยู่ประเทศอะไรคับ ใช่ไทยหรือเวียดนามคับ ทำไมคำว่าระยองนี่ผมได้ยินนำหน้าหลายบริษัทกันเยอะเหมือนกัน เป็นคำที่มีความหมายถึงอะไรคับ อยู่ที่ระยองครับ นิคมมาบตาพุต เป็น Cracker ของปูน ครับ TOC/NPC เป็น Cracker ของ PTT ROC ใช้ Naphta เป็นวัตถุดิบเหมือนโรงแรกของ TOC ครับ แต่กำไรผลงานต่างกันเยอะ เป็นอีกบทหนึ่งที่พิสูจน์ว่า Naphta Cracker ก็ทำกำไรได้ เยอะด้วย ผมอยากให้ กลุ่ม PTT เปลี่ยนผู้บริหารมากเลย กำไรที่เยอะก็เพราะตลาดดี ผูกขาด แต่จ้องจะออกแต่ ESOP โบนัสเยอะๆ ผลัดกันเป็นกรรมการในบริษัทในเครือ ลองcheck ชื่อดูสิครับ กลุ่มเดิมๆ ทั้งนั้น สงสารประเทศไทยครับ เมื่อ: 2005-03-01T11:20:31+00:00 วัวแดง: ยังไม่หยุดพี่ อิอิ เมื่อ: 2005-03-01T12:20:31+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
การลงทุนหุ้นต่างประเทศผ่านDR amornkowa: แนวทางใหม่ในการลงทุนตลาดหุ้นเวียดนามผ่านตลาดหลักทรัพย์ พึ่งเปิดตัวไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้วสำหรับ DR ในการเข้าลงทุน ETF ในตลาดหุ้นต่างประเทศ ซึ่ง บล บัวหลวงได้มาแนะนำว่า DR ( Depositary Receipt ) คือ ตราสารแสดงสิทธิการฝากหลักทรัพย์ต่างประเทศ เป็นตราสารที่ออกแบบมาเพื่อให้นักลงทุนในไทยสามารถซื้อหรือขายหุ้นหรือETFต่างประเทศ ได้ผ่านตลาดหลักทรัพย์ไทยในรูปแบบของDR โดยผู้ถือDR เสมือนถือหลักทรัพย์ต่างประเทศ ผู้ออกคือหลักทรัพย์ หรือ ธนาคารพาณิชย์ไทย ตอนนี้ตลาดหุ้นเวียดนาม สามารถซื้อโดยลงทุนผ่าน บล ไทย ไปซื้อหุ้นเองได้ หรือ ซื้อ ETF VN30 ได้ หรือ จะซื้อผ่านกองทุนรวมของ บลจ ไทย ก็ได้ ข้อแตกต่างระหว่างการซื้อผ่าน DR กับ การไปซื้อหุ้นต่างประเทศ ซื้อผ่านDR 1.วิธีการซื้อขาย DR: เหมือนซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ , 2.เวลาซื้อขาย เหมือนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ไทย 3.Board lot หนึ่งหน่วย 4.ค่าธรรมเนียมการซื้อขาย เหมือนซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งส่วนนี้จะขยายความในบทความหน้า การไปซื้อหุ้นต่างประเทศ 1.วิธีการซื้อขาย เปิดบัญชีซื้อขายหุ้นต่างประเทศในโบรคที่สามารถทำได้ 2.เวลาซื้อขาย ขึ้นกับเงื่อนไขของตลาดหลักทรัพย์ต่างประเทศ 3.Board lot ขึ้นกับเงื่อนไขของตลาดหลักทรัพย์ต่างประเทศ 4.ค่าธรรมเนียมการซื้อขาย ตามที่โบรกกำหนด จะเห็นได้ว่า ถ้าคุณเป็นคนที่ซื้อขายหุ้นอยู่แล้ว แทบไม่ต้องปรับตัวอะไรเลย ตอนหน้าจะมาพูดถึงข้อแตกต่างสำหรับการซื้อDRกับการซื้อกองทุนเวียดนามครับ เมื่อ: 2018-12-02T17:58:08+00:00 amornkowa: มาต่อเรื่อง DR ในตอนที่สอง คราวนี้จะเปรียบเทียบกับ กองทุนรวมเวียดนามที่มีขายในหลายบลจในไทย 1. การจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ไทย DR สามารถซื้อขายได้เหมือนหุ้น แต่ กองทุนรวมเวียดนามไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ถ้าจะขายต้องตรวจสอบเงื่อนไขของแต่ละบลจก่อนว่าจะขายได้ช่วงไหน 2. มีการกระจายการลงทุนเหมือนกันทั้งสองแบบ 3. มีผู้ดูแลสภาพคล่องสำหรับ DR ส่วน กองทุนรวม ก็ขึ้นกับแต่ละบลจ 4. ช่องทางการซื้อขาย DR สามารถซื้อขายผ่าน บล ส่วนกองทุนรวม ซื้อขายผ่านบลจ 5. ราคาซื้อขาย DR ราคาซื้อขายณ ราคาตลาดขณะนั้นแต่ ราคาของกองทุนรวม ณ วันสิ้นทำการ 6. Board lot : DR 1 หน่วย ส่วนกองทุนรวม ขึ้นกับ บลจแต่ละที่กำหนด 7. ค่าธรรมเนียมซื้อขาย DR: เหมือนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ไทย ส่วน กองทุนรวมแล้วแต่บลจ กำหนด 8. วันที่ซื้อขายได้ DR: ซื้อขายได้ทุกวันทำการของตลาดหลักทรัพย์ ส่วนกองทุนรวม ขึ้นกับ บลจ กำหนด ค่าธรรมเนียมในการซื้อขายทั้งสามประเภท ขออธิบายวิธีลงทุนผ่านทาง DR E1VFVN3001 ของบัวหลวง ซึ่งอันนี้จะจดทะเบียนใน SET ของไทย จะเสียค่า fee = DR issuer transaction fee ในตลาดเวียดนาม + trading commission กับโบรกไทย + spread ของ ETF ที่ชาร์ตโดย Thai market maker สรุปแล้ว ลงทุนผ่านDRจะสะดวกในการลงทุน แต่ค่าธรรมเนียมโดยรวมจะแพงกว่าไปลงทุนเองผ่านโบรคไทยและโบรคต่างประเทศ เมื่อ: 2018-12-02T17:58:56+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
สถานการณ์บ้านเมืองตอนนี้ จะกระทบ ผลประกอบการ Q3 หุ้นไรมั่ง Quantum of Solace: ทั้งลบ และ บวก  แต่อย่าพาดพิงการเมืองนะครับ กระทบใน ด้านลบ น่าจะเยอะ AOT - รายได้หายจากการปิดสนามบิน THAI - คล้าย AOT แต่น่าจะหนักกว่า คนมาท่องเที่ยวน้อยลง major - คนดูหนังน้อยลง คนเที่ยวห้างน้อยลง ด้าน+ คนอยู่บ้าน ดูทีวี ติดตามข่าวสารมากขึ้น หรือเปล่า เมื่อ: 2008-09-05T13:33:09+00:00 กล้วยไม้ขาว: โรงแรมบางแห่ง ส่งออกของสด โลจิสติก เมื่อ: 2008-09-05T19:14:32+00:00 สวนหย่อม: มีบริษัทที่ได้ประโยชน์ ถ้าจะมีการทำประชามติหรือเลือกตั้งใหม่ ไหมครับ อิอิ เดี๋ยวจะมีเลือกตั้งผู้ว่าแล้วด้วยสิ? เช่น โรงพิมพ์? อาจจะมีรายได้เข้ามาเยอะนะครับใน q นี้ เมื่อ: 2008-09-06T01:19:23+00:00 Oatarm: ADVACE   DTAC น่าจะได้ประโยชน์กระมัง  เหตุการณ์บ้านเมืองแบบนี้  คงโทรเช็คกันวุ่นไปหมด เมื่อ: 2008-09-06T03:28:46+00:00 chode: [quote="Oatarm"]ADVACE เมื่อ: 2008-09-06T14:41:16+00:00 thawattt: dtac ครับ http://www.manager.co.th/Politics/ViewN ... 0000104597 :lol: เมื่อ: 2008-09-07T03:12:57+00:00 Linzhi: thawattt เขียน:dtac ครับ http://www.manager.co.th/Politics/ViewN ... 0000104597 :lol: :lol:  :lol: ผมว่าภาพเล็กไปรึเปล่าครับ วิแคะไปก็ไม่ค่อยมีผลอะไรหรอกครับ ถ้าจะเก็งกำไรระยะสั้น ปกติตลาดจะมองข้ามช็อต ไปซักปีอย่างน้อยนะครับ เมื่อ: 2008-09-08T04:56:06+00:00 miracle: โปรดใช้วิจารณ์ก่อนอ่าน กระทบด้านบวก - บันเทิง เมื่อคนเครียดต้องผ่อนคลาย - ส่งออก เพราะค่าเงินลดลง ทำให้ ต่างชาติมองแล้ว สินค้าเราถูก - ของกิน เพราะ คนกลัวว่ามีเรื่อง ก็ต้องกักตุนของกิน ไว้ในบ้าน กระทบด้านลบ - เรือ ท่าเรือกรุงเทพปิด ต้องไปใช้ท่าเรือที่ไกลกว่าเดิม - ส่งออก พวกที่เป็นของใหญ่ ต้องใช้เรือ และตู้ - เครื่องบิน ท่าเรือ และ สนามบิน อันนี้เพราะ คนไปปิด และ คนไม่ทำงาน - ยางพารา เพราะ  เส้นทางรถไฟปิด ทำให้ส่งสินค้าไม่ได้ ถึงส่งได้ ไม่กระทบตอนนี้คิดไม่ออก เมื่อ: 2008-09-08T10:47:00+00:00 K o S o L: thawattt เขียน:dtac ครับ http://www.manager.co.th/Politics/ViewN ... 0000104597 :lol: ถ้าไปเกี่ยวกับการเมืองแล้วมันจะมีสองด้านเสมอครับ  :roll: http://www.pantip.com/cafe/rajdumnern/t ... 81955.html http://www.pantip.com/cafe/mbk/topic/T6 ... 81831.html เมื่อ: 2008-09-09T15:48:07+00:00 สวนหย่อม: http://www.pantip.com/cafe/mbk/topic/T6 ... 80547.html มีอีกอันครับ จดหมายเปิดใหญ่จากคุณ ธนา คราวนี้ถึงขั้นยุติการสัมภาษณ์สื่อเกี่ยวกับเรื่องการเมืองไปเลย เมื่อ: 2008-09-09T17:46:08+00:00 tachikoma: สวนหย่อม เขียน:http://www.pantip.com/cafe/mbk/topic/T6 ... 80547.html มีอีกอันครับ จดหมายเปิดใหญ่จากคุณ ธนา คราวนี้ถึงขั้นยุติการสัมภาษณ์สื่อเกี่ยวกับเรื่องการเมืองไปเลย ขอโทษ ช้าไปแล้วล่ะครับ หลายคนที่ผมรู้จักเขาเปลี่ยนเบอร์ไปแล้วครับ เมื่อ: 2008-09-15T02:45:10+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
จัดหมวดหุ้น : Discussion Amadeus: หากเปิดดูหนังสือพิมพ์หน้าตารางหุ้น เราจะเห็นว่าหุ้นถูกจัดหมวดไว้แล้ว แต่ว่า หุ้นบางตัวแม้จะอยู่ในหมวดเดียวกัน เราก็ไม่สามารถนำ PE, %margin ฯลฯ มาเปรียบเทียบกันได้ อาจจะเพราะ business model ต่างกัน หรืออื่นๆ     เช่นรพ.บำรุงราษ(เปิดแห่งเดียว) กับรพ.กรุงเทพ(กระจายไปหลายๆที่)โมเดลก็ต่างๆกัน แล้วจริงๆมันเอามาเทียบกันได้ไหม   หรือการเอา mint ไปไว้กลุ่มอาหาร แต่เอา centel ไว้ท่องเที่ยว ซึงในมุมมองผมสองตัวนี้แทบจะเป็นแฝดกัน   แต่ละคนก็คงชำนาญหุ้น คนละกลุ่มกัน เลยอยากถามว่า หุ้นตัวไหนสามารถนำมาเปรียบเที่ยบกันได้บ้าง เผื่อจะรวบรวมเป็นตารางหุ้นแบบหยาบๆได้ครับ ปล. หากในอดีตเคยมีกระทู้ประมาณนี้แล้วรบกวนพี่ๆ ช่วยแปะลิ๊งค์ให้หน่อยได้ไหมครับ เมื่อ: 2009-11-23T11:49:53+00:00 Amadeus: กลุ่มพลังงาน (ถ่านหิน) Banpu Lanna Age Ums กลุ่มอาหารและโรงแรม Mint Centel ดิสทริบิวเตอร์อุปกรณ์ไอที Sis Synex ธนาคาร BBL Kbank Scb (ผม คิดว่า Tcap เหมือนพอร์ตการลงทุนในสินเชื่อต่างๆ จึงไม่รวมด้วย ส่วนแบงค์อื่นๆ ไม่เข้าใจครับ) ผิดถูกอย่างไร คุยกันได้นะครับ แก้ไขเพิ่มเติมได้ เมื่อ: 2009-11-23T12:03:12+00:00 Amadeus: หุ้นที่ไม่เข้าใจโมเดล (และคิดว่าคงไม่สามารถเข้าใจได้ หากผมเป็นนักลงทุนเน้นคุณค่า คงไม่สามารถลงทุนกับหุ้นกลุ่มนี้ได้ เพราะทำความเข้าใจธุรกิจเหล่านี้ไม่ได้จริงๆครับ  ) EE (Sh เก่า) Rich Bland Brock Singha Live Bliss SST IEC JMART EMC เมื่อ: 2009-11-23T12:16:52+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
พรุ่งนี้ rpc แตกพาร์แล้วครับ rpc_lover: มีใครในบอร์ดถือบ้างครับ หวังว่าแตกพาร์แล้วสภาพคล่องเยอะขึ้นนะครับ ปีนี้ rpc ยังไม่ไปไหนเลย แต่ยังดีที่มีปันผลแจก เมื่อ: 2004-11-30T16:48:16+00:00 pong: เมื่อ: 2004-12-01T02:31:15+00:00 วัวแดง: 8) เมื่อ: 2004-12-01T05:01:19+00:00 CK: เมื่อ: 2004-12-01T05:10:11+00:00 hot: เมื่อ: 2004-12-01T05:12:51+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
ตลท.แจ้งลูกค้า บงล. 32 แห่งที่ถูกปิดกิจการในปี 40รับเงินปันผ vichit: ตลท.แจ้งลูกค้า บงล. 32 แห่งที่ถูกปิดกิจการ ในปี 40 ให้ติดต่อรับหุ้นและเงินปันผลคืน หน้า 8 http://www.efinancethai.com/investor_st ... 260411.pdf เมื่อ: 2011-04-25T15:59:36+00:00 vision: มันคืออะไร ลูกค้าที่ขาดการติดต่อยังไม่ได้ย้ายพอร์ตเหรอ หรือลูกค้าที่มีหุ้นแต่อยู่ในชื่อของบงล.(มีแบบนี้ด้วยเหรอ) เห็นพอร์ตแฟนผมก็ย้ายจาก CMIC ไปที่อื่นได้ตั้งแต่แรกแล้วนี่ เมื่อ: 2011-04-26T01:13:25+00:00 vichit: แจ้งลูกค้า 32 ไฟแนนซ์ รับหุ้น-ปันผลคืน นางนงราม วงษ์วานิช รองผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ ดูแลงานด้านนายทะเบียนหลักทรัพย์ เปิดเผยว่า บริษัท ศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ (ประเทศไทย) จำกัด รับมอบหมายจากกรมบังคับคดีให้เป็นผู้ติดตามลูกค้าที่มี การลงทุนในบัญชีซื้อขายกับบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ (บงล.) ผู้ล้มละลายทั้ง 32 แห่ง จำนวน 2,300 ราย เพื่อรับหุ้นและเงินปันผลคืน โดยมีมูลค่ารวม 30 ล้านบาท โดย บ.ศูนย์รับฝากฯ ได้ทำหนังสือแจ้งไปยัง ลูกค้าทุกรายของบงล.ดังกล่าวแล้ว ซึ่งหากผู้ถือหุ้นได้รับหนังสือแจ้งหรือเคยเป็นลูกค้าของบริษัทเงินทุนหลัก ทรัพย์ผู้ล้มละลาย สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมและติดต่อขอรับหุ้นและเงินปันผลคืนได้ทันที ติดต่อและสอบ ถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ TSD Call Center 0ื2229ื2888 หรืออีเมล์ [email protected] และติดต่อขอรับหุ้นและเงินปันผลคืนด้วยตนเองที่ TSD Counter Service ทุกวันทำการเวลา 08.30- 17.00 น. ที่อาคารตลาดหลักทรัพย์ ถ.รัชดาภิเษก เมื่อ: 2011-04-26T01:21:03+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
ดูประวัติหุ้นย้อนหลังเป็น 10 ปีทำไงอ่ะครับ k_menti: ดูได้ที่ไหนอ่ะครับเช่น ว่า P/E เป็นไง จ่ายปันผล เป็นไง หุ้นมี split บ้างหรือป่าว มี milestone แต่ละปีด้วยว่าเกิดอะไรขึ้นด้วยย่ิิ่งดีครับ จะได้รู้ว่าปีที่กำไรตกเป็นเพราะอะไร หรือกำไรสูงผิดปกติเพราะอะไร ขอบคุณล่วงหน้าครับ เมื่อ: 2009-12-20T02:54:55+00:00 Hughes: เมื่อก่อนดูเว็บ http://www.thaiset.com/stock/ จะดูราคาย้อนไปได้เยอะๆครับ แต่ว่าเดี๋ยวนี้รู้สึกว่าเว็ปเจ๊งไปเรียบร้อยเพราะเปิดไม่เคยได้เลย ถ้าอยากดูข้อมูลการเงินย้อนหลังใช้ไฟล์ที่พี่ครรชิตทำไว้ครับ ส่วนถ้าอยากดูราคาหุ้นย้อนหลังมากๆตอนนี้ผมเหลือแต่ efinance thai แต่ข้อเสียมันคือย่อส่วนให้ดูกราฟทีเดียวบนจอไม่ได้ต้องกดปุ่มย้อนไปดูทีละส่วน ถ้ามีเว็ปอะไรดีๆก็บอกด้วยนะครับ เมื่อ: 2009-12-20T09:30:18+00:00 moonchild: เว็บนี้ย้อนหลังไป 5 ปีนะครับ http://investing.businessweek.com/resea ... r=spali:TB ที่มาจากพี่ tok ครับ http://www.thaivi.com/webboard/viewtopic.php?t=40266 เมื่อ: 2009-12-21T10:00:46+00:00 k_menti: จะลองดู เมื่อ: 2009-12-21T14:38:44+00:00 chocobee: ดูปัจจัยพื้นฐานประกอบด้วยน่ัะครับ เมื่อ: 2009-12-21T15:48:13+00:00 winzer: ควรศึกษาย้อนหลังครับ แต่อันดับแรกๆก็ควรดูพื้นฐาน ณ ปัจจุบันก่อนนะครับ ขอบคุณครับ  :D เมื่อ: 2009-12-28T18:02:24+00:00 theerasak24: ผมดูที่ www.bloomberg.com แล้ว search ชื่อหุ้นตามด้วย :tb ครับแต่ว่าข้อมูลจะได้แค่ 5 ปีครับผม เมื่อ: 2010-01-05T17:37:15+00:00 large: มาบอกกล่าวกันเฉยๆ ครับเผื่อใครไม่รู้ bloomberg กับ businessweek เครือเดียวกันครับ ข้อมูลมาจากของ bloomberg เหมือนกัน ดังนั้นก็อยู่ที่ชอบหน้าตาแบบไหนมากกว่าครับ เมื่อ: 2010-01-07T07:27:45+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
คิดอย่างไรกับการทุนในกองทุนโครงสร้างพื้นฐานที่กำลังจะเปิดๆ ก WaayVI: คิดเห็นอย่างไรกันบ้างครับ เมื่อ: 2013-03-04T12:14:08+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
ภัทรลิสซิ่ง (PL) และ ฐิติกร (TK) ChAiJiT:  ผมมีข้อสงสัยในบอร์ดร้อยคนร้อยหุ้น ว่าทำไมไม่มีหุ้นลิสซิ่งแนะนำเลย หรือว่าหุ้นลิสซิ่งเป็นหุ้นที่ VI พึงหลีกเลี่ยงครับ  :?:  เข้าใจว่าที่ผ่านมามีบริษัทลิสซิ่งหลายบริษัท ที่งบการเงินไม่น่าประทับใจ หรือบางแห่งก็ไม่แน่ใจในธรรมาภิบาลของผู้บริหาร   แต่สำหรับ ภัทรลิสซิ่ง (PL) ซึ่งเป็นผู้นำด้านลิสซิ่งรถยนต์อันดับหนึ่ง(เน้นลูกค้านิติบุคคลเป็นหลัก) ส่วน ฐิติกร (TK) ก็เป็นผู้นำด้านลิสซิ่งรถมอเตอร์ไซค์อันดับหนึ่งของไทย ที่ก่อตั้งมายาวนานแล้วเช่นกัน กลับไม่มีบทวิเคราะห์จากนักวิแคะตามโบรกเกอร์ และไม่มีข้อแนะนำในบอร์ด thaivi.com เลยครับ ทั้ง ๆ ที่เป็นบริษัทในระดับผู้นำของวงการ อีกทั้งผู้บริหารก็ดีมากและงบการเงินก็ดีใช้ได้  :?  ต้องขอรบกวนพี่ ๆ ในบอร์ดช่วยชี้แนะด้วยครับ เมื่อ: 2006-11-30T13:52:31+00:00 ลูกอิสาน: อาจจะเป็นเพราะความผิดหวังและความเสื่องหลายเรื่องครับ กรณี pl ในอดีตเป็นหุ้นที่มีการพูดถึงบ่อย ต่อมาเงินกู้ซึ่งเป็นต้นทุนหลักสูงขึ้น ภาษีรถทำให้รถมือสองราคาลดลง คู่แข่งเข้ามามากขึ้น kcar pe และบริษัทนอกตลาดอีก รวมถึง dilution effect จากการเพิ่มทุน ส่วน tk สูญเสียส่วนแบ่งการตลาดติดต่อกันหลายปี นอกจากนั้นการแข่งขันที่สูง(มีผู้เล่นในตลาดประมาณ 15 ราย  รวมถึง gl และกลุ่มจีอีแคปิตอล)  ทำให้ปล่อยรถกันง่ายๆ เกิดหนี้เสีย หนี้สูญ รถที่ยึดคืนมือสอง ก็ราคาตก เหตุผลก็ดังที่ว่ามาครับ สรุปง่ายคือธุรกิจไม่มีความสามารถในการแข่งขันที่โดดเด่น ไม่มี growth ชัดเจน และราคาหุ้นก็ไม่ได้ถูกมากจนจูงใจ.. เมื่อ: 2006-11-30T15:21:09+00:00 ChAiJiT: ขอบคุณสำหรับคำชี้แนะครับ  :D เมื่อ: 2006-11-30T17:01:24+00:00 beammy: ลูกอิสาน เขียน:สรุปง่ายคือธุรกิจไม่มีความสามารถในการแข่งขันที่โดดเด่น ไม่มี growth ชัดเจน และราคาหุ้นก็ไม่ได้ถูกมากจนจูงใจ.. BV สูงแบบไม่มีเหตุผลด้วย ครับ ... ไม่มี Barrier to entry ด้วย ครับ ... เมื่อ: 2006-12-01T09:21:40+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
กระทู้ครูเฒ่าเกาะช้างหายไปไหนแล้วครับ beammy: กระทู้ครูเฒ่าเกาะช้างหายไปไหนแล้วครับ หายไม่เจอ เมื่อ: 2004-09-22T03:26:54+00:00 buglife: อยู่เว็บตลาดหุ้นครับ ไทยวา..........ลู่ลม ต้อง ตะแลงแกง เอ้ย ตะแกรงร่อน ครับ หุหุ เมื่อ: 2004-09-22T06:23:36+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
รายงาน การได้มา/จำหน่าย หลักทรัพย์ มีปัญหาหรือไม่ chatchai: เห็นรายงานจากเวบกลตไม่ Update มาหลายวันแล้ว เมื่อ: 2011-11-28T07:26:06+00:00 บูรพาไม่แพ้: ที่เซ็ตผมไม่ได้ดูครับแต่ที่นี่มีลงแบบนี้ครับ ผมก็อปมาไม่ได้ขอโทษนะครับ เมื่อ: 2011-11-28T08:58:08+00:00 chatchai: รายงายนั้นเป็นรายงานของผู้บริหารครับ ไม่ใช่รายงานสำหรับผู้ที่ถือหุ้นเกิน 5% เมื่อ: 2011-11-28T09:09:43+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
รบกวนคุณครรชิต ขอกำไรสะสมกับ MarketCap ของ CPI และ MINOR ForrestGump: ย้อนหลังซัก10 ปีมีมั้ยครับ ขอบพระคุณมากครับ เมื่อ: 2004-09-10T02:51:02+00:00 ครรชิต ไพศาล: เมื่อ: 2004-09-10T03:37:59+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
SPCGIF pakapong_u: กองทุนโครงสร้างพื้นฐาน SPCG ตั้งช่วงราคาขายเบื้องต้น 10.70-11 บ./หน่วย ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- ศุกร์ที่ 13 กันยายน 2556 15:51:26 น. กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานพลังงานแสงอาทิตย์เอสพีซีจี(SPCGIF) ระบุในแบบแสดงรายการข้อมูล(ไฟลิ่ง) ที่ยื่นต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ กำหนดช่วงราคาซื้อขายหน่วยลงทุนเบื้องต้นที่ 10.70-11.00 บาท/หน่วย จำนวนหน่วยลงทุน 519 ล้านหน่วย อายุกองทุนนรวม 10 ปี จำนวนเงินทุนโครงการ 5,553,000,000-5,709,000,000 บาท กองทุนรวมจะลงทุนในรายได้ในอนาคตสุทธิที่เกิดและจะเกิดขึ้นจากการประกอบการกิจการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ขนาดเล็กมาก(VSPP) 7 แห่งในจังหวัดนครราชสีมาและขอนแก่น โดยมีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นหน่วยลงทุนเมื่อรวมแล้วในแต่ละรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 90% ของกำไรที่ปรับปรุงแล้ว อินโฟเควสท์ โดย ศศิธร ซิมาภรณ์/กษมาพร โทร.02-2535000 อีเมล์: [email protected]-- เมื่อ: 2013-09-13T11:17:03+00:00 miracle: ตอบคำถามเดียวที่ค้างคาใจคือ ค่า Added ในกรณีที่เป็นพลังงานทางเลือก ว่ามีการปรับเพิ่มหรือลดลงอย่างไงละ ขายให้กฟผ/กฟภ เหมือนกัน ขายได้แพงในระยะต้น จากนั้นปรับลดลงตามเวลาหรือเปล่า จุดนี้ที่สงสัยมากๆๆ เพราะ ประชาชนใช้ไฟฟ้าแพง เพราะ พลังงานทางเลือกหรือเปล่า เมื่อ: 2013-09-13T18:54:20+00:00 shin_jung49: หนังสือชี้ชวนมาแล้วคร้าบ http://market.sec.or.th/public/mrap/MRA ... 7&PYR=2556 เมื่อ: 2013-09-15T07:47:44+00:00 pakapong_u: SPCGยื่นไฟลิ่งตั้งอินฟราฯฟันด์ Source - ข่าวหุ้น (Th) Monday, September 16, 2013 04:09 กรุงเทพฯ--16 ก.ย.--ข่าวหุ้น กำหนดช่วงราคาขาย10.70-11บาทต่อหน่วย "SPCG" ยื่นไฟลิ่งตั้งกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน กำหนดช่วงราคาขาย 10.70-11 บาทต่อหน่วย ยันปันผลไม่น้อยกว่า 90% ของกำไร ผู้บริหารคาดก.ล.ต. อนุมัติกองทุนฯประมาณวันที่ 23 ก.ย.นี้ คาดเข้าเทรดภายในสิ้นต.ค.นี้ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานพลังงานแสงอาทิตย์เอสพีซีจี (SPCGIF) ระบุในแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) ที่ยื่นต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กำหนดช่วงราคาซื้อขายหน่วยลงทุนเบื้องต้นที่ 10.70-11.00 บาทต่อหน่วย จำนวนหน่วยลงทุน 519 ล้านหน่วย อายุกองทุนรวม 10 ปี จำนวนเงินทุนโครงการ 5,553-5,709 ล้านบาท ทั้งนี้ กองทุนรวมจะลงทุนในรายได้ในอนาคตสุทธิที่เกิดและจะเกิดขึ้นจากการประกอบการกิจการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ขนาดเล็กมาก (VSPP) 7 แห่งในจังหวัดนครราชสีมาและขอนแก่น โดยมีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นหน่วยลงทุนเมื่อรวมแล้วในแต่ละรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 90% ของกำไรที่ปรับปรุงแล้ว ก่อนหน้านี้ นางออมสิน ศิริ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสพีซีจี จำกัด (มหาชน) หรือ SPCG กล่าวว่า ความคืบหน้าการตั้งกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Fund) ปัจจุบันได้ปรับขนาดกองทุนเพิ่มเป็น 5,600 ล้านบาท จากเดิม 5,500 ล้านบาท เนื่องจากทางการไฟฟ้าฯได้มีการปรับอัตราค่าไฟฟ้า (FT) เพิ่มขึ้น ทั้งนี้คาดว่าจะได้รับอนุมัติจากก.ล.ต.ประมาณวันที่ 23 ก.ย.นี้ หลังจากนั้นจะนำเสนอข้อมูลแก่นักลงทุน (โรดโชว์) กับนักลงทุนสถาบันในประเทศ และคาดว่าจะเสนอขายหน่วยกองทุนได้ในช่วงกลางเดือน ต.ค.นี้ ซึ่งเบื้องต้นจะเสนอขายให้กับนักลงทุนสถาบันในสัดส่วน 60% และเสนอขายให้กับนักลงทุนรายย่อย 40% และคาดว่าจะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ภายในสิ้นเดือน ต.ค.นี้--จบ-- เมื่อ: 2013-09-16T01:59:30+00:00 offshore-engineer: I had a quick glance through the first version of SPCGIF prospectus published on SEC website. In essence the fund will be established to buy seven solar power plants, each with a contracted 5.88MW power generation, from SPCG, the operator of the plants. The fund size will range from 5500MB to 5700MB depending on the final unit price. Each of the solar plant has an equity of 157MB. Assuming D/E ratio of 3, each plant would have funded with debt of 471MB (financed by KBANK). In total, SPCG forked out 1099MB and took 3297MB loan from KBANK to finance these seven solar power plants. If SPCGIF could be sold at the upper end of the price range, i.e. 5700MB, SPCG will pocket about 2400MB cash into its balance sheet (after paying KBANK the loan) and make a handsome profit of 1300MB. For unit holders, the return is expected to be about 7% (cost of equity used by the independent financial advisory firms to derive the asset values). The unit price at the end of year 10 could be “zero”. Using SPCGIF value as a benchmark, asset value per contracted MW is approx. 138.5 MB/MW [5700/(5.88x7)]. Thus value of the solar power plant business of SPCG could be derived as follows: Plant 17-36 Equity generation capacity = 20x5.88 = 117.6MW Value = 16287MB Plant 1-9 Equity generation capacity = 9x5.88x0.55 = 29MW Value = 4000x0.8 = 3200MB (0.8 factor is to account for the remaining adder life of 8 years – rough estimate) Cash raised from SPCGIF 5700MB Debt 16000MB (Could be more as the construction of Plant 17-36 is still ongoing) Value of solar power plant business attributed to SPCG is approx. 9200 MB. Assuming all warrants will be converted at the end of this month, other businesses would have to be worth in the north of 10000MB. เมื่อ: 2013-09-18T15:28:54+00:00 syj: ^^ However, the IFF owns only the 10-Year Cash Flows from those 7 solar farms, not including all the Equipments and more importantly the lands. Those CFs after 10th year might not be attractive but still worth something and the land prices are expected to be at least keeping up with the inflation (usually higher than inflation in long term). Hence, you evaluation isn't complete without taking the above future earnings and values into consideration. Just my 2 cents worth. PS. I think all IFFs (including BTSGIF) issuing are illegal under Thai law (just my thought) because the concession/permit/etc. was made to specific corporation (company). The company cannot transfer its specific right to any other 3rd party. Each company can sell its subsidiary associated with the concession/permit to another company/individual. However, the company may sell its future CFs to other parties. Therefore, each owner of the IFF will own only the CFs but not IFF's assets. เมื่อ: 2013-09-18T16:24:26+00:00 offshore-engineer: Value of the land needs to appreciate and surpass the WACC, otherwise it won't create any "value". เมื่อ: 2013-09-18T16:35:33+00:00 offshore-engineer: Correction on my previous post. "The fund is established to acquire the right of future net revenues the seven solar power plants are expected to be generated over the next 10 years." เมื่อ: 2013-09-18T20:43:41+00:00 offshore-engineer: Another observation of mine. Establishment of Infrastructure Fund allows SPCG to monetize its solar power operating licenses very much quicker as well as reduce the financial risks tremendously. Taking the SPCGIF as an example, the equity value of all seven solar farms is 157x7 = 1099MB. Once the rights (and other operation risks) are transferred to SPCGIF, SPCG would make a handsome profit of approx. 1300MB. Give or take, SPCG would double the invested money within 1-2 years – a return rate very much higher than the expected IRR of approx. 10%-15% (based on the D/E ratio of 3). If SPCG could successfully transfer the right in revenues generated by the remaining 18-20 solar farms under construction, its financial balance sheet would be greatly improved – from debt-overburden company with huge exposure to operational risks to virtually debt-free company with minimum exposure. SPCG would then transform itself to the fund holders in SPCGIF (possibly 30%) earning steady dividends over the next 10 years. The remaining cash received after investing in the infrastructure fund can be used to grow other businesses especially the Solar Roof to where much of the value of the company is tied. เมื่อ: 2013-09-19T04:13:13+00:00 pakapong_u: SPCGIF : กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานพลังงานแสงอาทิตย์เอสพีซีจี สินทรัพย์ลงทุน สิทธิในการรับผลประโยชน์จากรายได้ในอนาคตสุทธิจากการดำเนินกิจการผลิตและจำหน่ายกระแสไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ขนาดเล็กมาก (VSPP) 7 โรงในเขตจังหวัดนครราชสีมาและขอนแก่นของเจ้าของทรัพย์สิน 7 แห่ง ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัท เอสพีซีจี จำกัด (มหาชน) สิทธิดังกล่าวมีระยะเวลา 10 ปีนับจากวันแรกของเดือนที่มีการซื้อขายรายได้ในอนาคตเสร็จสมบูรณ์ ตลาดรอง ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) สถานะ รอ Filing มีผลบังคับใช้ จำนวนหน่วยลงทุน (ล้านหน่วย) 519,000,000 หน่วย กลุ่มอุตสาหกรรม / หมวดธุรกิจ ทรัพยากร / พลังงานและสาธารณูปโภค ระยะเวลาเสนอขายหน่วยลงทุน n/a ราคา IPO (บาทต่อหน่วย) 10.70 - 11.00 บาท ราคาพาร์ (บาทต่อหน่วย) n/a วันที่เริ่มซื้อขาย n/a ที่ปรึกษาทางการเงิน ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด ข้อมูลหนังสือชี้ชวนกองทุน เมื่อ: 2013-09-20T17:40:16+00:00 pakapong_u: ข้อมูลหนังสือชี้ชวนกองทุน http://market.sec.or.th/public/mrap/MRA ... 7&PYR=2556 เมื่อ: 2013-09-20T17:42:43+00:00 offshore-engineer: ผมกลับไปเรียบเรียงเนื้อหาที่ได้โพสต์ไว้ก่อนหน้านี้ สามารถดูได้จากบล็อคของผมครับ เมื่อ: 2013-09-21T01:54:55+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
ใครหว่า.....บทความของ ดr นิเวศน์ เรื่อง ความพอเพียงของศรัทธา ลุงขวด: ความพอเพียงของศรัทธา โลกในมุมมองของ Value Investor ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร เรื่องที่ผมจะเล่าต่อไปนี้  เป็นเรื่องที่ผมได้ฟังมาจากเพื่อนที่เป็น Value Investor อีกต่อหนึ่ง  ผมจึงไม่สามารถรับรองความถูกต้องได้ร้อยเปอร์เซ็นต์  นอกจากนั้น  การวิเคราะห์ต่อของผมก็อาจจะผิดจากความเป็นจริงได้เช่นเดียวกัน  อย่างไรก็ตาม  ผมเชื่อว่า  โดยภาพรวมแล้ว  สิ่งที่ผมจะพูดน่าจะใกล้เคียงกับความเป็นจริง  และน่าจะสามารถนำไปอ้างอิงได้  ถ้าจะพูดแบบนักลงทุนก็คือ  เรื่องนี้น่าจะ Approximately Right  นั่นคือ  ประมาณว่าถูกต้อง                นี่คือเรื่องของการใช้ชีวิตของคน ๆ หนึ่งซึ่งตัดสินใจทิ้งงานประจำในฐานะของมนุษย์เงินเดือนมายึดอาชีพเป็นนักลงทุนแบบเน้นคุณค่าเต็มตัวตั้งแต่อายุ 30 กว่าปี โดยที่ครอบครัวไม่ได้ร่ำรวยมาก่อน  เขาน่าจะเริ่มต้นลงทุนด้วยเงินเก็บออมจำนวนไม่มากนัก  แต่ถึงวันนี้  ผมคิดว่าเขาน่าจะมีความมั่งคั่งจากหุ้นในระดับประมาณ 10 ล้านบาทขึ้นไป   เขาคือคุณศรัทธา (ชื่อสมมุติ)  ที่ผมคิดว่า  คือรูปแบบของ Value Investor พันธุ์แท้คนหนึ่งที่ยึดมั่นแนวทางการลงทุนและการใช้ชีวิตแบบพอเพียงจนน่าทึ่ง          ศรัทธานั้น  โดยพื้นฐานการศึกษาและการทำงานก็เป็นเช่นเดียวกับ Value Investor หลายคนที่เรียนจบปริญญาตรีและทำงานเป็นวิศวกร  เขาเคยทำงานกับบริษัทปิโตรเคมีขนาดใหญ่ทางภาคตะวันออกของประเทศ  แต่ครอบครัวของเขานั้น  อาศัยอยู่ทางภาคใต้  และขณะนี้  หลังจากทำงานประจำมากว่า 10 ปี  เขาอาศัยอยู่ในกรุงเทพ  ในซอยสุขุมวิทต้น ๆ  ซึ่งเป็นห้องเช่าที่เขาจ่ายค่าเช่าเพียงเดือนละ 2,000 บาทเศษ   ห้องเช่านี้  แน่นอน  คงไม่มีแอร์  แต่เขามีคอมพิวเตอร์เพื่อใช้ติดต่อกับแหล่งข้อมูล  เอาไว้ใช้ดู และซื้อขายหุ้น                เราไม่สามารถติดต่อพูดคุยกับศรัทธาได้ง่ายนัก  เพราะเขาไม่มีโทรศัพท์มือถือ  และถ้าจะโทรไปหาเขาที่ห้องพัก  โอกาสที่จะได้คุยกับเขาก็คงเป็นไปได้ยาก  เพราะเขาใช้มันเพื่อการต่ออินเตอร์เน็ตตลอดเวลาที่เขาอยู่                การใช้จ่ายแบบประหยัดอย่างไม่น่าเชื่อของศรัทธานั้น  รวมถึงการแต่งตัวที่เขามักสวมเสื้อยืดตัวเก่าและใช้รองเท้าผ้าใบราคาถูกแต่ทนทานที่ไม่ใช่ยี่ห้อไนกี้หรือรีบ็อค  แต่เป็นแบบนันยาง  เขาไม่มีรถยนต์  การเดินทางไปไหนมาไหนของเขานั้น  เขาไม่ใช้แท็กซี่หรือรถไฟฟ้าที่มีราคาแพง  เขาชอบที่จะอาศัยรถของคนที่รู้จักและเดินทางด้วยรถเมล์มากกว่า   แต่ถ้าระยะทางไม่เกิน 2-3 ก.ม. เขาจะเดินด้วยเท้า   เวลาไปฟังการสัมมนาเรื่องการลงทุนที่ไหนหรือไปประชุมผู้ถือหุ้นที่มีบริการเรื่องอาหาร  เขาชอบที่จะรับประทานอาหารฟรี   แต่ถ้าเขาต้องซื้ออาหารกินเอง  เขาจะสั่งเฉพาะอาหารถ้าบริเวณใกล้เคียงมีออฟฟิสที่เขาจะหาน้ำสะอาดดื่มได้                ศรัทธาเป็นนักลงทุนที่ขยัน  เขาศึกษาและวิเคราะห์หุ้นเกือบทุกตัวในตลาด  เขาแกะงบของบริษัทจดทะเบียนกว่า 300 ตัว  เขาทำตารางข้อมูลและเปรียบเทียบหุ้นต่าง  ๆ  เพื่อหาเป้าหมายที่เขาสนใจ  และหุ้นตัวไหนที่เขาสนใจ  เขาจะทำวิเคราะห์อย่างละเอียด  เช่น  ถ้าหุ้นตัวนั้นเป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์  เขาก็จะเดินทางไปดูโครงการแทบทุกโครงการถ้าทำได้  ในช่วงที่มีงานผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนพบนักลงทุนหรืองาน  Opportunity Day นั้น  เขาจะไปฟังเกือบทุกวัน  เช่นเดียวกัน  ถ้าเขาเป็นผู้ถือหุ้น  เขาจะไม่ขาดการประชุมผู้ถือหุ้นเลย                บ่อยครั้ง  ศรัทธาพบหุ้นที่ถูกใจในด้านของตัวธุรกิจแต่ราคาหุ้นนั้นยังสูงเกินกว่าที่เขาคิดว่าจะมีความปลอดภัยหรือ  Margin of Safety พอ  เขาก็จะรอจนกว่าราคาหุ้นจะตกลงไปจนถึงจุดที่เขาต้องการซึ่งค่อนข้างต่ำมากจนเรารู้สึกว่าคงจะนานมากหรือไม่เกิดขึ้นเลย  แต่เขาบอกว่าเขารอได้  เขาไม่ยอมซื้อหุ้นแพงไม่ว่าในกรณีใด                พฤติกรรมการใช้ชีวิตที่พอเพียงทั้งหลายที่กล่าวถึงนั้น  คงไม่ใช่เฉพาะศรัทธาเท่านั้นที่ทำ  เพราะดูเหมือนว่าศรัทธาจะมีเพื่อนกลุ่มหนึ่งที่มีพฤติกรรมที่คล้าย ๆ กันที่มักจะมาเจอกันในงานเกี่ยวกับการลงทุนทั้งหลาย  อย่างไรก็ตาม  ศรัทธาดูเหมือนจะพอเพียงมากเป็นพิเศษ  เหตุผลหนึ่งอาจจะเป็นเพราะว่า  ศรัทธานั้นยังเป็นโสด  ดังนั้น  เขาจึงสามารถคิดและทำทุกสิ่งทุกอย่างได้โดยไม่ต้องคำนึงถึงคนในครอบครัวอื่นที่อาจจะมีความคิดไม่เหมือนกัน                ผมเองคิดว่าศรัทธาคงไม่รู้สึกลำบากอะไรกับการใช้ชีวิตอย่างนั้น  เพราะในฐานะที่เป็นนักลงทุนโดยอาชีพ  เราย่อมจะเป็นคนที่สามารถเลือกทำอะไรต่าง ๆ  ได้เองค่อนข้างมาก  ยิ่งถ้าไม่มีครอบครัวด้วยแล้ว  คุณแทบจะไม่ต้องสนใจกับใครเลย  ดังนั้น  Value Investor คงไม่เลือกทำอะไรที่ตนเองทำแล้วไม่สบายใจ   ว่าที่จริงการที่สามารถทำอะไรได้ตามใจตนเองนั้น  เป็นคุณค่าที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งของการเป็นนักลงทุนอาชีพนอกเหนือจากความมั่งคั่งที่อาจจะตามมา  และนี่น่าจะเป็นสิ่งที่ทำให้ศรัทธาเลือกเดินอย่างเต็มใจ          เรื่องของ Value Investor พันธุ์แท้ที่ใช้ชีวิตพอเพียงอย่างน่าทึ่งแบบศรัทธานั้น  ผมคิดว่าน่าจะมีอยู่ไม่น้อยทั้งในเมืองไทยและต่างประเทศ  เรื่องของพวกเขาส่วนใหญ่ไม่มีคนรู้จัก   แต่ผมเองเชื่อว่า  ถ้าจะหาคนที่ใช้ชีวิตอย่างพอเพียง  ใช้ชีวิตต่ำกว่ามาตรฐานความมั่งคั่งที่มีทั้ง ๆ ที่เป็นคนร่ำรวยแล้วละก็  ไม่มีวงการไหนเท่ากับ  Value Investor   .................................... ผมอ่านบทความนี้ในกรุงเทพธุรกิจเมื่อวันอังคาร  แล้ว คิดถึงเพื่อน คนหนึ่ง ตรงตามที่ ดร.นิเวศน์ เขียนมาเลย มีความรู้ดี อ่านหนังสือพิมพ์อังกฤษ จบวิศวะเพราะไม่อยากทำงาน ห้องเช่า 2 พันบาทต่อเดือน  ไม่มีมือถือ  ชอบเดินมากกว่านั่งรถ  ใส่รองเท้าผ้าใบ ชอบเสื้อยืด เพราะเมื่อวันก่อนผมไปเจอเขาที่ตลาดหลักทรัพย์  ในงาน opp day ไปฟัง TSTH จบตอนประมาณ 16.30  ผมบอกว่า จะไปประชุมวิสามัญที่ BH... เวลา 19.00 มีเวลาเหลืออีกมากเลย ก็ คุยกัน  เขาบอก ว่า เดินไปกันไหม จากตลาดหลักทรัพย์ไปถึง BH นี่ หลายกิโลเลยนะครับ เขาบอก เดินลัดไปทางสวนโรงงานยาสูบก็ได้ ... เอา เดินก็เดิน เดินคุยกันไปกับเพื่อนอีกคน รวมกัน 3 คน ไปถึง BH ประมาณ 18.15 ได้  ... ผมไม่ได้ถามว่า มีหุ้นเท่าไหร่ แต่คิดว่า คิดว่าคงไม่มาก  เพราะเขาถือหุ้น เกือบทุกบริษัทฯ ในตลาด  เขามีความสนุกกับการลงทุน.... เขารอราคาหุ้นได้ คิดว่า ส่วนใหญ่แล้ว เขา ชนะตลาด เพราะการรอ คือ นิสัยของเขา  งานนี้ ถ้าเขามี BH เป็นเศษหุ้น   สิ่งที่เขาได้กำไรเห็น ๆ เลย คือ  รับประทานอาหารเย็นฟรี แถมของชำร่วยในการประชุมครั้งนี้ คือ ปากกา parker สวย ๆ หนึ่งด้าม....ผมเคยทดลองซื้อหุ้น cpf จำนวน 100 หุ้น ...ผมไม่ชอบหุ้นฆ่าสัตว์ เลยถือนิดหน่อย เพื่อความรู้ ไป ประชุมกับเขา ตอนแรก ได้กระเป๋าเก็บความเห็นคงกว่าร้อยบาท แถม อาหารการกินเพียบ  เอ.... ผมซื้อตอนนั้นประมาณ 3.80  ลงทุนไป 380 บาท ได้ของแถมก็น่าจะคุ้มแล้ว ในกระเป๋ามี ไส้กรอกที่เขาขายอีก คงคุ้มและกำไร ถ้าไปประชุมเรื่อย ๆ  กำไรในหุ้นไม่พอ ยังกำไรของชำร่วยอีก  ผมว่า สนุก ไม่ เบานะครับ.... ผมไม่ค่อยมีเวลา ไป ประชุมกับบริษัท ที่ถือน้อย ๆ ชอบไปประชุม กับบริษัทฯ ที่ถือมาก ๆ เพราะ ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด...... เขาเป็นคนแข็งแรง ก่อนหน้านี้ ชอบขี่จักรยานไปประชุม หรือมา ที่ตลาด แต่ปรากฎว่า จักรยานถูกขโมยไป 2 คันแล้ว เลยเลิก ซื้อ เดินเอาดีกว่า ... เขาบอก เขาลงทุนใน spali เขาเดินไป ชมทุกโครงการณ์ที่เปิด   แถว รามอินทรา เขาเดินมาหลายหมู่บ้านแล้วที่บอกเปิด เขาจึงรู้ว่าแต่ละโครงการเป็นอย่างไร เขามีหุ้นที่ดินแทบทุกตัว  นี่แหละครับ การออกหาข้อมูลและความจริงในเวลาว่างของเขา ... เขายังโสด และสนุก กับการลงทุน และพอใจ พอเพียงในการลงทุนของเขา......ยืนยันว่า มีคนแบบนี้ แต่จะใช่เขาหรือไม่ ผมยังสงสัยอยู่ครับ  น่าจะใช่ เพราะข้อมูลใกล้เคียงกันมาก นายศรัทธา....มาแสดงตัวเร็ว ๆ หน่อยครับ :lol:  :lol: เมื่อ: 2007-03-21T00:37:24+00:00 MarginofSafety: แบบนี้ที่ทายกันไว้ในห้องนั่งเล่น คงไม่ถูกกันซักคน ใครหนอ ... คุณศรัทธา เมื่อ: 2007-03-21T00:43:55+00:00 javidol: มารอพี่ศรัทธาครับ   เมื่อ: 2007-03-21T02:26:27+00:00 gonzalez: น่านับถือจริงๆครับ เมื่อ: 2007-03-21T02:31:39+00:00 chartchai madman: สุดยอดเลยครับ นับถือๆ เน้นคุณค่าทั้งเรื่องของการลงทุน และเรื่องของการใช้ชีวิต เมื่อ: 2007-03-21T04:34:03+00:00 สุรพล: ขอเดาเล่นๆ ครับ อาจจะเป็นพี่ "นักดูดาว" หรือพี่ "ลูกอิสาน" ฮิ ฮิ :lol:  :lol: เมื่อ: 2007-03-21T04:45:45+00:00 ลูกอิสาน: คงไม่ใช่ผมแน่ครับ เพราะตรงกับผมแค่ประมาณ 40% คงเป็นเพื่อนของลุงขวดมากครับ เพราะตรงกัน 100% อยากรู้จักเหมือนกันครับ น่านับถือมากทีเดียว.. เมื่อ: 2007-03-21T05:11:11+00:00 นายสต็อก: ท่านนักลงทุนเค้ามีหลายสไตล์นะครับ...บางท่านก็เดินเนิบนาบๆ บางท่านก็ มาดผู้ดีๆหน่อย บางท่านก็มาดเจ๊เจ้าของกิจการ แต่ที่แน่ๆ ของผมให้ดูมาดแมน มาดมั่น หน่อยก็โอเคแล้วครับ ปกติสาวๆ เค้าก็ไม่ค่อยจะมองอยู่แล้วหล่ะคุณลุงขวด!!! (ฮะๆ):roll: เมื่อ: 2007-03-21T05:25:00+00:00 aiko: นายศรัทธา....มาแสดงตัวเร็ว ๆ หน่อย ใช่คนผมยาว เคยใส่เสื้อUMS? เมื่อ: 2007-03-21T05:39:42+00:00 ADAM SMITH: ผมต้องขอโทษคุณศรัทธาด้วย ผมเป็นหนึ่งในแหล่งข่าวของดร. ผมทราบว่าคุณศรัทธาโกรธมาก ที่นำเรื่องของเขาไปลงโดยไม่ได้รับอนุญาติ  ผมไม่มีเจตนาที่จะล้อเลียน และขอยอมรับว่าบางข้อมูลก็ไม่เป็นเรื่องจริงทั้งหมด   พวกเราเพียงแต่ศรัทธาในแนวทางการรลงทุนและการใช้ชีวิตของเขา จึงเล่าให้ท่านดร.ฟัง ผมจึงขออภัยคุณศรัทธามาที่นี้ด้วย ผมหวังว่าคุณศรัทธาคงให้อภัยผม เมื่อ: 2007-03-21T16:09:01+00:00 dragonfly: ถ้าให้เดาผมคิดว่าผมเคยเห็นเขานะครับ เห็นบ่อยๆตอนตลาดหลักทรัพย์จัดงาน Opp Day น่าจะเป็นผู้ชายคนที่ตัวใหญ่ๆหน่อย ชอบใส่รองเท้าผ้าใบ เสื้อยืดคอปก ผมสั้น หัวเถิกๆหน่อย ขอบตาคล้ำๆ คิดว่าคนนี้แน่นอน เห็นชอบถือขวดน้ำเดินไปเดินมาในห้องสมุดตลาดหลักทรัพย์บ่อยๆ โดยส่วนตัวผมไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไหร่กับการใช้ชีวิตที่อัตคัต ขนาดนี้ ทั้งๆที่มีเงินขนาด 10 ล้านขึ้นไป ใช้ชีวิตแบบพอเพียงมากเกินไป ผมว่ายังไงๆก็เดินสายกลางไว้เป็นดีที่สุด ถ้ารวยมีเงิน เป็น 100 ล้าน 1000 ล้าน แต่ตอนแก่ไปแล้วไม่ได้ใช้ ที่ทำมา 10 ปี 20 ปี ก็ไม่มีประโยชน์หรอกครับ ตายไปแล้วก็เอาเงินติดตัวไปไม่ได้ กลายเป็นว่ารู้จักหาเงินใช้ แต่ใช้เงินไม่เป็น... (เป็นความคิดเห็นส่วนตัวครับ ไม่ได้ฟันธงว่าสิ่งที่ผมคิดจะถูกต้อง 100 %) คุณ ADAM SMITH ครับ ผมว่าถ้าคุณศรัทธาเขาโกรธคุณเรื่องที่คุณไปเล่าให้ ดร. นิเวศน์ ฟัง ผมคิดว่าเขามีจิตใจที่คับแคบมากเลยครับ ผมไม่เห็นว่ามันจะเสียหายตรงไหนเลยครับ เรื่องแค่นี้เอง เมื่อ: 2007-03-26T19:10:10+00:00 terati20: dragonfly เขียน: โดยส่วนตัวผมไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไหร่กับการใช้ชีวิตที่อัตคัต ขนาดนี้ ทั้งๆที่มีเงินขนาด 10 ล้านขึ้นไป ใช้ชีวิตแบบพอเพียงมากเกินไป ผมว่ายังไงๆก็เดินสายกลางไว้เป็นดีที่สุด ถ้ารวยมีเงิน เป็น 100 ล้าน 1000 ล้าน แต่ตอนแก่ไปแล้วไม่ได้ใช้ ที่ทำมา 10 ปี 20 ปี ก็ไม่มีประโยชน์หรอกครับ ตายไปแล้วก็เอาเงินติดตัวไปไม่ได้ กลายเป็นว่ารู้จักหาเงินใช้ แต่ใช้เงินไม่เป็น... (เป็นความคิดเห็นส่วนตัวครับ ไม่ได้ฟันธงว่าสิ่งที่ผมคิดจะถูกต้อง 100 %) คุณ ADAM SMITH ครับ ผมว่าถ้าคุณศรัทธาเขาโกรธคุณเรื่องที่คุณไปเล่าให้ ดร. นิเวศน์ ฟัง ผมคิดว่าเขามีจิตใจที่คับแคบมากเลยครับ ผมไม่เห็นว่ามันจะเสียหายตรงไหนเลยครับ เรื่องแค่นี้เอง คุณศรัทธาเขาอาจมีความสุข อย่างที่เขาเป็นอยู่ก็ได้ครับ เราไม่อาจตัดสินว่า เขามีความสุขหรือเปล่าจากมุมมองเราเอง ได้ ต้องถามเขาครับ  8) เขามีสิทธิจะโกรธนะ ครับ เพราะเป็นเรื่งชีวิตของเขา เอ้าคุณศรัทธามาตอบหน่อย   เมื่อ: 2007-03-27T00:24:02+00:00 lychee: ผมจำได้ว่า ตอนผมทำงานครั้งแรกหลังจบ ACC อายุ19 เมื่อปี 2521 ผมได้เงินเดือนครั้งแรก 1700 บาท ผมให้คุณแม่ 5-600 บาท ไม่แน่ใจ ที่เหลือก็ไว้ใช้ครึ่งหนึ่ง โดยมีพาหนะเป็นมอเตอร์ไซด์ ซึ่งคุณแม่ซื้อให้ และ ฝากธนาคารครึ่งหนึ่ง  ตอนนั้นก็ต้องประหยัดสุด ๆ แต่ก็มีความสุขตามสภาพ แต่พอเงินเดือน เพิ่มขึ้นผมก็ปรับสภาพการใช้ชีวิต และ ใช้เงินตาม ซึ่งก็แน่นอน ชีวิตดีขึ้น ปัจจุบันก็ได้ลงทุน และ มีรายได้มากขึ้น มีเงินเหลือเก็บมากขึ้น ก็ใช้จ่ายมากขึ้น และ ก็มีความสุขสบายมากกว่าเดิม เพราะมีครอบครับที่สมบูรณ์ และก็ใช้จ่ายอยู่ในกรอบที่ตัวเองมีความสามารถ  และ มีเงินสะสมเผื่อเกิดปัญหาในภายหน้า ผมเห็นด้วยว่าคนเราควรจะประหยัด และ รู้จักคุณค่าของเงิน และ จะต้องเก็บสะสมเงินไว้เพื่ออนาคต  แต่ก็ไม่ควรกระเหม็ดกระเหม่เกินเหตุ จะเป็นการทำร้ายตัวเองเกินไป อันนี้เป็นความเห็นส่วนตัวนะครับ เมื่อ: 2007-03-27T02:46:59+00:00 sunrise: ผมคิดว่าคุณศรัทธา เป็นคนที่ยอดเยี่ยมและมีความสุขแน่นอน การใช้ชีวิตของแต่ละคน มีลักษณะที่ไม่เหมือนกัน เอาตัวเองไปวัดได้ลำบากนะ ถ้าคุณศรัทธาจะโกรธ ผมว่าเค้ามีสิทธินะครับ แต่ผมอยากบอกคุณศรัทธาครับ ถ้าคุณศรัทธาได้มาอ่านว่า ผมนับถือมากๆ และเชื่อว่าคุณมีความสุขกับชีวิตแน่ๆ การที่ ดร. เขียนถึงน่าจะเป็นอะไรที่ทำให้หลายๆคนได้ฉุกคิดอะไรบางอย่างในชีวิต ดังนั้น การที่คุณศรัทธาเป็น role model ให้กับคนอื่นๆ จะเป็นการทำบุญอย่างดียิ่งครั้งหนึ่งในชีวิตครับ ดังนั้น ถ้าคุณศรัทธาโกรธน้อยลง น่าจะดีนะครับ ถือซะว่าทำบุญครั้งใหญ่ครับ ปล. ผมไม่ได้รู้จักเป็นการส่วนตัวกับคุณศรัทธา แต่ไม่อยากให้มีการโกรธกัน เพราะเป็นข้อความที่ดีและทำให้หลายคนมองเห็นทางของชีวิตครับ เมื่อ: 2007-03-27T02:48:21+00:00 Reminiscence of 3 Dogs: เอ ศรัทธานี่ชื่อจริงเหรอครับ   จริงๆไม่น่าจะโกรธมากนะครับ ถ้าไม่ได้เอ่ยชื่อจริง เมื่อ: 2007-03-27T03:10:34+00:00 sunrise: [quote="Reminiscence of 3 Dogs"]เอ ศรัทธานี่ชื่อจริงเหรอครับ เมื่อ: 2007-03-27T04:26:37+00:00 aiko: เงินกับความสุข โลกในมุมมองของ Value Investor ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร               คนส่วนใหญ่เชื่อว่าถ้าเรามีเงินเราจะมีความสุขมากขึ้น  คนเชื่อว่าคนรวยย่อมมีความสุขมากกว่าคนจน  ยิ่งรวยมากเท่าไร  ความสุขก็มากขึ้นเท่านั้น  เพราะคนเชื่อว่า  เงินสามารถซื้อความสุขได้แม้ว่าจะไม่ใช่ความสุขทุกอย่างแต่ก็ซื้อได้มาก  เงินสามารถใช้ซื้ออาหารอร่อย ๆ รับประทานได้  เงินสามารถพาเราไปท่องเที่ยวได้มากขึ้นและไกลขึ้น  เงินทำให้เราซื้อบ้านและซื้อรถยนต์ที่ทำให้เรามีหน้ามีตาในหมู่เพื่อนฝูงและคนรู้จัก  เงินทำให้เราส่งลูกไปเรียนโรงเรียนดี ๆ หรือไปเรียนต่างประเทศได้  เพราะฉะนั้น  อย่ามาพูดเลยว่าเงินกับความสุขไม่เกี่ยวกัน                นั่นคือสิ่งที่คนที่ยังไม่ค่อยมีเงินหรือคิดว่าตนยังมีเงินไม่พอมักจะคิด  คนเหล่านั้นมักจะ  "ฝัน" ว่า  ถ้าเขามีเงินมากขึ้น  เขาคงจะมีความสุขมาก  เพราะสิ่งที่เขาคิดอยากจะได้แต่ยังทำไม่ได้เพราะมีเงินไม่พอ  เขาก็จะสามารถซื้อหามาได้  และนั่นคือความสุขที่เขากำลังพยายามไขว่คว้า   แต่เชื่อไหมครับว่าวันที่เขามีเงินพอและได้ใช้หรือบริโภคสิ่งที่เขา "ฝัน" ไว้แล้ว  สิ่งนั้นก็จะไม่ใช่ "ความสุข" อีกต่อไป  เขาจะเริ่ม  "ฝัน" ถึง  "ความสุข"  ใหม่  ที่จะต้องใช้เงินมากขึ้นไปอีก   เงินคือความสุขหรือเงินเป็นสิ่งที่หลอกลวงกันแน่? เมื่อ: 2007-03-27T16:51:23+00:00 dragonfly: เห็นด้วยกับบทความนี้ครับ เงินกับความสุข ของ ดร. นิเวศน์ ถูกต้องแล้วครับบางครั้งเงินก็ซื้อความสุขไม่ได้ "การได้รับการยอมรับในหมู่ญาติมิตรและเพื่อนฝูงนั้น  ผมคิดว่าเงินไม่น่าจะมีส่วนมากนัก  การมีน้ำจิตน้ำใจเอื้ออารีน่าจะมีความสำคัญกว่าและสิ่งนี้ไม่สามารถซื้อได้ด้วยเงิน  ดังนั้น  ความสุขจากการที่เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มจึงเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับเงินเลย" เมื่อ: 2007-03-27T18:48:22+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
หนังไทยช่วงนี้ออกมากจังคับ hot: หรือวงการหนังกำลังสู่วรจรขาขึ้น เมื่อ: 2005-01-14T03:59:01+00:00 genie: ผมว่าคงไม่ใช่ว่าจะขาขึ้นขนาดนั้นหรอกครับ แต่มันเป็นกลยุทธ์ในการวางประชาสัมพันธ์ในลักษณะหนึ่งเพื่อสร้างยอดขายให้แก่หนังแผ่น หรือพูดง่ายๆก็คือหนังเรื่องที่เข้าโรงมักจะขายแผ่นได้ดีกว่าหนังที่ไม่เข้า เมื่อ: 2005-01-14T04:18:47+00:00 ปุย: เค้าว่า ปีที่แล้ว หนังไทยได้กำไร น้อยเรื่อง ปีนี้น่าจะ จำนวนลดลงนะครับ แต่ว่าโฆษณานานขึ้น เมื่อ: 2005-01-14T10:07:04+00:00 Dech: หนังไทย เยอะ แต่กำไร น้อย เพราะว่าตัวหนังไทย หรือคนดูหนังครับ แล้วส่วนใหญ่กำไร ที่ได้ ได้จากส่วนไหน ครับ ขายแผ่น หรือ ขายตั่วหน้าโรงหนัง สำหรับผมรู้สึกว่าดูหนังไทยในโรงหนัง แล้วไม่ค่อยคุ้ม เลยไม่ค่อยได้ดู เรื่องสุดท้ายที่ดูในโรงหนัง คือ โหมโรง ครับ เมื่อ: 2005-01-14T10:58:39+00:00 ch_army: ขำดีออกครับ แต่มันไม่คุ้มค่าเงินอ่ะ ขอแบบมี ดรามาประกอบ นิดนึงได้ไหมอ่ะ ลงทุนกันหน่อยนะ แบบ องค์บากก็ดีครับ ผมชอบ เมื่อ: 2005-01-14T16:30:16+00:00 chatchai: ถาม RS ดูซิครับ ว่าธุรกิจภาพยนต์ไทยเป็นอย่างไร เมื่อ: 2005-01-15T08:58:10+00:00 Dech: RS คงบอกแย่ แต่อีกฝั่งอาจบอกว่าดีนะครับ เมื่อ: 2005-01-15T15:06:10+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
อยากขอไอเดียการจัดพอร์ทครับ cashxe: สวัสดีครับ ผมทำงานอยู่ต่างประเทศ ล่าสุดย้ายกลับมาที่ไทย แต่เงินเก็บ/ลงทุนส่วนใหญ่อยู่ต่างประเทศ เลยถือโอกาสในการวางแผนการกระจายการลงทุนใหม่ครับ - ศึกษาการลงทุนมาแค่ 3-4 ปีครับ ยังค่อนข้างใหม่มาก ดีที่ว่าเก็บเงินเดือนได้เยอะครับ - ปกติไม่ค่อยได้เทรดครับซื้อมาเก็บเหมือนฝากเงิน จะมีซื้อๆขายๆไทยบ้างในสัดส่วนเงิน 5%-10% ครับ - เพื่อนในวงการ Finance หลายคน แนะนำว่าไม่ต้องเอาเงินกลับไทย ให้ลงทุนหุ้นต่างประเทศไว้อย่างนั้น ข้อมูลประกอบ สัดส่วนหุ้น/ประเทศ สิ่งที่คิดว่าจะทำ 1. ลดขนาด ของ US (หุ้น / เงินสด) ให้เหลือ ~50% 2. คงจีนไว้ ~20% (สัดส่วนตอนแรก คือ ~30-40% แต่หุ้จีน ลงมาเยอะ เลยเหลือแค่ครึงเดียว) 3. เพิ่มสัดส่วน VN 15% port แต่ลงเป็น Diamond Fund ของที่ไทย (FUEVFVND) หรืออาจจะจากต่างประเทศ (VEIL-Vietnam Enterprise Investments Limited (LON:VEIL)) > ไม่รู้ว่าเรื่อง Crisis ต่างๆใกล้จะจบหรือยัง หรือเราควรจะ DCA ไปเลย 4. เพิ่มสัดส่วนหุ้นไทยให้เยอะขึ้น >15% และอยาก active ในการเลือกหุ้นมากขึ้นของหุ้นไทย 5. ไม่ถือเงินสด (ตอนนี้ถืออยู่ประมาน 24% หรือต่ำกว่า) > Mindset ในการถือเงินสดรอซื้อของในจังหวะที่ดีมันเป็นอย่างไร / ทำจริงได้อย่างไรครับ - จะได้เป็นสัดส่วน US:CN:VN:TH = 50:20:15:15 > แบบนี้ผมกระจายเยอะไปไหมครับ ? อยากขอความเห็นจากพี่ๆในบอร์ด เผื่อจะได้ไอเดียใหม่ๆ ในการปรับพอร์ทครับ ขอบคุณครับ เมื่อ: 2023-05-28T02:55:38+00:00 วัวทะโมน: scinario อาจจะต่างกัน ผมอายุ50ละ และต้องลดความเสี่ยง น้องน่าจะ30+ โอกาสอีกเยอะ แผนจึงอาจจะต่างกัน ประสบการณ์ตรงคือไม่รู้จักหุ้นต่างประเทศ(รายตัว)ดีเท่าหุ้นไทยเลยยอมแพ้ และซื้อตามภาพใหญ่ของต่างประเทศบางประเทศแค่ 10+%ของ port ..ที่อยากจะแชร์คืออย่าลืมเรื่องของ 1.สินทรัพย์ที่จะเปลี่ยนเป็นเงินได้ในกรณีฉุกเฉิน(ส่วนตัวให้นิยามว่าขายแล้วได้เงินใน7วัน) 2.หนี้(ทั้งที่กู้มาลงทุนและใช้จ่าย)ต้องอยู่ในเกณฑ์ที่ควบคุมได้...ตอนก่อนหน้านี้ผมตั้งเกณฑ์ไว้ 30-40%ของassetนี้เหลือ10% เมื่อ: 2023-05-31T01:33:17+00:00 cashxe: พี่วัวเดาถูกเลยครับ ผม 30+ ขอบคุณสำหรับ ข้อแนะนำ และแชร์ สัดส่วน และแชร์ Tracker ให้ดูนะครับผม - REIT & PF นี่เป็นของไทยหรือครับผม Benchmark ผลตอบแทนที่ไทยที่คาดหวังไว้อย่างหรือครับ(ผมสามารถซื้อพวก SG REIT ที่่เคยบูมมากๆ ตอนนี้กำลังดูเหมอนจะกำลังฟื้น) - ชอบการ Track Asset risk / cash equivalent ครับเดี๋่ยวจะไปลองทำตาม - Debt ที่เคยอยู่ 30-40% คือเอามา Leverage ใช่ไหมครับ - พี่เคยทำงานประจำ/ทำอยู่ แล้วถือพวก SSF LTF RMF พวกนี้ไหมมครับ แล้วมันยังอยู่ไหม หรือรวมไปในพวก Thai stock ครับ ขอบคุณมากครับที่มาตอบ และโชว์ของจริง เห็นภาพเยอะเลยครับ เมื่อ: 2023-06-01T17:14:15+00:00 วัวทะโมน: -REIT&PF ผลตอบแทนคาดหวัง 10+% -DEPT เป็น Leverage ครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งเป็นผ่อนบ้านครับ -SSF LTF RMF ผมมีแทบทุก categoryเลยครับ แต่ช่วงดอกขึ้นทะยอยปล่อยกองพันธบัตร/หุ้นกู้เกือบหมดแล้ว หุ้นต่างประเทศ(ทั้งที่เป็นและไม่เป็น RMF)ที่ช่วยผมชีวิตไว้คือพวก Healthcareครับ 1-2ปีที่ผ่านมาตัดสินใจถูกที่ switch มากอง REIT/PFเรื่อยๆโดยเฉพาะช่วงตลาดกลัวดอกขึ้น IRRของกองบางกองพุ่งขึ้นเยอะเลย ในทางกลับกันหุ้นส่วนใหญ่ร่วงระนาว ก๊วนเดียวกันเล่นหุ้นตามโบรคขาดทุนกันเยอะ ไม่ต้องพูดถึง ตปท.+Crypto. ตอนนี้ผมเล่นแบบคนแก่ครับ เมื่อก่อนค่อนข้าง aggressive เพิ่งมาเน้น REIT/PFช่วงปีกว่าๆนี่เอง ปี2011-2021 เป็นปีทองของผมเพราะแทงถูกบ่อยและหลายตัว(และถือน้อยตัว) จาก 7หลักต้นๆเลยมาเป็น 8หลักปลายๆ , asset ทะลุ 9หลัก ตั้งแต่ต้นปีเลยลาออกจากงานประจำเพื่อมาทำอย่างอื่นที่น่าสนุกกว่า จริงๆงานประจำผมก็ได้เดือนละเกือบๆ6 หลัก แต่ไม่เสียดายเลยที่ออกมา ชีวิตดีขึ้นเยอะครับ ว่างๆก็เป็นจิตอาสาไปช่วยที่ทำงานเก่า1-2วันต่อสัปดาห์ เมื่อ: 2023-06-03T06:29:37+00:00 cashxe: ขอบคุณมาก สำหรับประสบการรณ์ ที่แชร์ให้แบบไม่กั๊กเลย ยินดีด้วยนะครับที่เปลี่ยน Phase ชีวิตแล้ว ผมตั้งเป้าว่าถ้าได้ครึ่งนึงของ 9 หลัก ก็จะออกมาทำอะไรใหม่ๆบ้างครับ แต่ประสบการณ์ลงทุนยังห่างไกลมาก เงินยังเติบโตจากเงินเดือนมากกว่าลงทุน น่าจะต้องอีกซักยก ยาวๆ สอบถามเพิ่มครับ - ตอนที่ยังลงทุนแบบ aggressive นี่ถือกี่ตัวหรือครับ - ที่พี่ปรับพอร์ทกระจายแบบตอนนี้ เพราะหวังความมั่นคงขึ้น แล้วลดผลตอบแทนคาดหวังใช่่ไหมครับ (แนว ปรับพอร์ทกินปันผล) เมื่อ: 2023-06-04T15:48:56+00:00 วัวทะโมน: - ตอนที่ยังลงทุนแบบ aggressive นี่ถือกี่ตัวหรือครับ>>> ผมถือแค่5-10 ตัวครับ แต่ที่เน้นๆจะประมาณ3-4ตัว...Big shot ของผมเท่าที่จำได้มี SPCG-W1 ได้บทเรียนเลยว่าให้มองหา Warrant ที่ in-the-money แล้วค่อยมาดูบริษัทอีกที ตอนนั้นจำได้ว่า gap มันเยอะมาก แต่คนก็ไม่ซื้อ อาจจะยังไม่มั่นใจเรื่อง solar farm ในสมัยนั้นเพราะเป็นเรื่องใหม่และยัง COD ไม่ครบ บริษัทต้องกู้+ระดมทุนเยอะ ตอนแรกบริษัทว่าจะออก IFF ไปๆมาๆลดเวลาแปลงwarrant ซะงั้นจาก2ปีกว่ามาแปลงเลยราคาพุ่งขึ้นมาถ้าจำไม่ผิดเกือบ80-90%มั้ง ผมพุงกางเลย อีกตัวคือ seafco ซื้อจนติดผู้ถือหุ้นรายใหญ่เพราะเก็งว่าราคาต้องมา และก็มาจริงๆ ช่วงนั้นมีผู้เล่นในตลาดฐานรากแค่ seafco กับ pylon ส่วน crane เหมือนจะยังไม่ค่อยดัง อีกตัวคือ MCS ครับ แต่ตัวหลังนี่สอนให้รู้เลยว่า ดูกราฟบ้างก็ดี เพราะดูกราฟ month แล้วมันใช่เลย(ไม่อยากเขียนมากเดี๋ยวจะโดนว่า) - ที่พี่ปรับพอร์ทกระจายแบบตอนนี้ เพราะหวังความมั่นคงขึ้น แล้วลดผลตอบแทนคาดหวังใช่่ไหมครับ (แนว ปรับพอร์ทกินปันผล)>>>แน่นอนครับผมกะว่าให้ได้ 10 กว่า%ต่อปีทุกปีจากนี้ก็พอใจแล้ว เมื่อ: 2023-06-08T08:07:22+00:00 cashxe: - ซื้อจนติดผู้ถือหุ้นใหญ่ ดูเป็น achievement แบบนึงเลยครับ 55 - เวลาที่พี่่สมัยทำงานใช้ทำการบ้านหุ้น เยอะไหมครับต่อสัปดาห์ แล้วถ้าเทียบกับตอนนี้ต่างกันไหมครับ - เวลาเราเริ่ม valuation เริ่มจาก template ของท่านไหนดีครับ - กำลังไล่อ่านกระทู้เก่าๆอยู่ครับ เสียดายมากๆ มีรุ่นพี่แนะนำให้รู้จักตั้งแต่ปี 2012 ครับ สมัยเรียนอยู่ ตอนนั้นเราใกล้เกลือกินด่าง กว่าจะมาเริ่มอ่าน ปาไปปี 2021 เมื่อ: 2023-06-11T14:49:51+00:00 ksanasen: สมัยที่ผมยังยืมจมูกคนอื่นลงทุนผ่าน funds ต่าง ๆ นั่นคือใช้ model portfolios ของ Citibank/Citigold เป็น guideline ซึ่งเขาทำ asset allocation ไว้ให้เลือกหลายประเภท และสำหรับ equity ก็มีหลาย geographical loactions นั้น ลองซักพักแล้วคิดว่าไม่ค่อย work ฮะ พอมาลองเริ่มหัดลงทุนเอง เลยกำหนดคร่าว ๆ ไว้แค่เรื่องเงินสดใน port โดยรวม กับ local -vs- international ซึ่งทำไว้เป็น range min & max ไว้ แล้วในแต่ละปี ค่อยมากำหนดเป้าภายใน ragne เหล่านั้นอีกที ปัจจุบันผมกำหนดไว้อย่างนี้ฮะ เงินสด: Min 12.50% Max 33.33% Planned Target (now) 23% Thai / Local Port: Min 30% Max 60% Planned Target (now) 37% International Port: Min 40% Max 70% Planned Target (now) 63% แล้วระหว่างไทย/เทศ ผมก็เลือกหุ้นแบบ bottom up ทีละบริษัทกันอีกทีฮะ โดยหลักทรัพย์ ตปท. บางอันที่มอง ๆ ไว้ใน watchlist ที่อยากได้ก็มีที่เป็น regional หรือ sector ETFs บ้าง เช่น MSCI India หรือ Semiconductors เพราะมันมีหุ้นหลายตัวเกินที่จะติดตามเอง ไม่ค่อยกังวลว่าเป็นหุ้นที่ มี home base อยู่ในประเทศอะไรนัก เพราะต้องมาดูรายละเอียดอีกทีว่า sales contibution ของแต่ละบริษัทที่ค้าขายทั่วโลกนั้น มาจากตรงไหน เท่าไหร่อยู่ดีครับ แล้วค่อยเอา macro factors ของแต่ละประเทศ / regions มาวิเคราะห์ (เดาซะมากกว่า) ร่วมอีกทีครับ ปล. ผมลงทุนแต่ใน equity ล้วน ๆ ไม่งั้นก็ถือ cash/near-cash ที่เป็น THB กับ USD ไปเลย ไม่ลงทุนใน bond หรือ commodity ใด ๆ ฮะ เมื่อ: 2023-06-13T15:01:00+00:00 วัวทะโมน: Valuation นี่หัวใจเลยนะ แต่ยากและขึ้นกับสมมติฐาน ผมเลยไม่ค่อยให้ความสำคัญมากแต่จะดูแนวโน้มบริษัท/อุตสาหกรรมมากกว่าและอาศัย assumptionจาก paper บ้าง ถ้า cyclical ก็ดู P/BVเป็นหลัก ใช้PEบ้านๆ DCFนี่ผมว่ามันแล้วแต่คนจะใส่ตัวเลข มันเหมือนนั่งเทียนบอกตรงๆเห็นนักวิเคราะห์เขียน paper ก็ใส่ตามที่อยากจะให้เป็น ตอนสมัยก่อนวันหนึ่ง3-4ชม.ต้องมีเดี๋ยวนี้ลดลงเยอะ คอยหากอง IFF/PF ที่IRRสูงๆ +รอจังหวะเข้าหุ้นที่เป็น cyclical บางตัวอยู่ น่าจะแบ่งจากกอง IFF/PFมาได้เยอะเพราะถือว่าชนะ SET อยู่เยอะเลย อ้อ อีกอย่าง ตั้งแต่ต้นปีลอกการบ้านปู่ Warren Buffet เข้า DCA หุ้นญี่ปุ่น กำไรดีจริงๆครับ เมื่อ: 2023-06-18T18:31:07+00:00 cashxe: ขออภัยครับหายไปนานเลย พอดีไปเริ่มงานที่ใหม่ครับ วันนี้พึ่งไปงานของ Thaivi มา ทั้งสองท่านได้ไปไหมครับ พี่ ksanasen ทำไมถึงมองว่า geographical loactions ไม่เวิร์คหรือครับ (มันต้องใช้เวลาศึกษาเยอะแต่ละที่แบบนี้หรือครับ) - ETF ผมเคยเป็นแฟนตัวยงเลยครับ เคยกะว่าจะไป US ETF ยาวๆ ถ้าไม่ได้มา stock picking แต่ก็รู้สึกว่าไหนๆแล้ว มาหัดตกปลาด้วยเลยดีกว่าเลยขายพวก ETF ไปหมดเลยครับช่วงปี 21 (ตอนนั้นจะมี FTEC , VTI) - แต่คิดว่าจะไปกอง VN แน่ๆครับ วันนี้มางาน Thaivi อ.นิเวศน์ท่านอธิบายได้จนคิดว่าต้องมีให้ได้ต่ำๆ 20% ของ wealth เลยครับ - ประเด็น บริษัทที่รายได้หลายประเทศไม่เคยคิดถึงเหมือนกันครับ ดูเป็นการกระจายความเสี่ยง / หา upside อีกแบบ (ที่หุ้นไทยไม่ค่อยมี) พี่ วัวทะโมน Paper ที่ดูนี่ของพวกโบรคหรือครับ ถ้าเราเอามาตั้งโครงแล้วแก้สมมุติฐานเองแบบนี้มันจะเวิร์คไหมครับ - ลอกหุ้นหุ้นญี่ปุ่นปู่่ นลท ตปท นี่เค้าตามช้ากว่า เวลาเป็นหุ้นตัวๆ ไหมครับ เคยอ่านบทความวิเคราะห์อยู่เหมือนกันว่าเค้าซื้อไปทำไม แต่ก็ไม่ไ่ด้ทำอะไร พอไปดูราคา new high ละครับ ปีนี้จะโฟกัสการศึกษาหุ้นไทยง่ายๆซัก 1-2 ตัว แล้วก็หา Timing เข้าเวียดนาม / DCA (Diamond fund จะได้ตัดเรื่องการศึกษาลึกๆออกไปก่อน) / รวมถึง Balance port US ลงมาครับ เมื่อ: 2023-06-24T16:43:26+00:00 ksanasen: cashxe เขียน: ↑เสาร์ มิ.ย. 24, 2023 11:43 pm พี่ ksanasen ทำไมถึงมองว่า geographical loactions ไม่เวิร์คหรือครับ (มันต้องใช้เวลาศึกษาเยอะแต่ละที่แบบนี้หรือครับ) อย่างที่เรียนครับ ว่าหุ้นที่จดทะเบียนจัดตั้งบริษัท / มีหุ้นเทรดอยู่ในตลาดไหน แล้วแบ่งหรือนิยามกันตามประเทศนั้น ๆ แล้วมาอยู่ในกองทุน หรือใน ETF บางทีไส้ใน บริษัทเหล่านั้นอาจจะทำธุรกิจหรือมียอดขาย/กำไร ที่มาจาก geographical location นอกเหนือจากที่เขานิยามไว้ในกองก็ได้ แต่ถ้าไม่ใช่อย่างนั้น คือกองทุน/ETF เขามีหุ้นที่มี exposure ใน region นั้นจริง ๆ เป็นส่วนใหญ่ แล้วหากเราคาดการณ์แนวโน้มเรื่อง macro factors ของ regions ต่าง ๆ ได้ดี ก็คงยัง diversify ตามนั้้นได้ครับ เพียงแต่ผมไม่ค่อยถนัด ชอบลองศึกษา ดูแนวโน้มการทำธุรกิจของหุ้นรายตัวมากกว่าฮะ : ) เมื่อ: 2023-07-17T05:55:39+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
ขอนอกเรื่องหุ้นหน่อยนะครับ เกี่ยวกับภาษี รบกวนด้วยครับ หนุ่มพะเยา: เรื่องมีอยู่ว่า  ภรรยาผมได้รับการร้องขอเอกสารการเสียภาษีเพื่อนำไปตรวจสอบ  โดยภรรยาผมยื่นเสียภาษีทางอินเตอร์เน็ท ผมกับภรรยาแยกกันยื่นแบบครับ  ภรรยาทำงานพยาบาล จดทะเบียนสมรสกันแล้ว ผมก็ได้ส่งเอกสารไปให้ทางสรรพากร  1 อาทิตย์ต่อมาทางสรรพากรได้โทรศัพท์มาขอเอกสารเกี่ยวกับ เบี้ยประกันชีวิต และหนังสือรับรองการจ่ายเงินปันผลของบริษัทต่างๆของผม  โดยแจ้งว่า  การแยกคำนวณภาษีนั้น  สามารถทำได้เฉพาะส่วนที่เป็นเงินเดือน   ส่วนที่เป็นรายได้จากเงินปันผลนั้นจะต้องนำมาคำนวณร่วมกัน  ไม่สามารถแยกยื่นแบบได้  มันจริงหรือเปล่าครับ ผมละงง เมื่อ: 2006-11-21T22:58:11+00:00 cha: เรื่องการยื่นเสียภาษีนั้น สามารถแยกยื่นได้ค่ะ  แต่รายได้อื่นของภรรยา เช่น รายได้จากเงินปันผล     ดอกเบี้ยจากเงินฝากธนาคาร  จะต้องนำไปคำนวนเป็นรายได้ของสามี ภรรยาจะยื่นเสียภาษีเงินได้เฉพาะในส่วนที่เป็นเงินเดือนเท่านั้น  :) เมื่อ: 2006-11-22T04:07:14+00:00 fantasia: มายืนยันอีกคนครับ สามีภรรยาแยกยื่นแบบ ภรรยาใช้แบบ ภงด 91 ได้อย่างเดียวครับ ใช้ ภงด 90 ไม่ได้ ซึ่ง ภงด 91 มันมีให้กรอกแค่รายได้เงินเดือนอย่างเดียว ส่วนเงินปันผล หรือ รายได้อื่น ๆ ของภรรยา ให้ถือเป็นเงินได้ของสามี สรุปง่าย ๆ ว่ากรณีที่ฝ่ายชายและหญิงมีรายได้จากทางอื่นนอกจากเงินเดือนทั้งคู่ การจดทะเบียนจะทำให้ภาษีรวมของสองคนสูงขึ้นกว่าการไม่จดทะเบียนกันครับ เป็นเรื่องแปลกแต่จริงครับ เมื่อ: 2006-11-22T04:15:12+00:00 BHT: งั้นควรรีบไปเจรจาตกลงโดยเร็วนะครับ บอกว่าเราไม่รู้จริงๆ ไม่งั้นโดนข้อหาหลีกเลี่ยงภาษีล่ะก็ ไม่คุ้มนะครับ เมื่อ: 2006-11-22T06:19:33+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
ถ้าดอกเบี้ยไม่ขึ้น hot: จะไหลไปทางไหน เมื่อ: 2004-09-10T02:16:22+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
singha ถ้าพื้นฐานตามบทวิเคราะห์อยู่แถว32 hot: ผมกำลังสงสัยว่ากำไรจะมีโอกาสก้าวกระโดดทุกปี หรือเฉพาะปีนี้จะก้าวกระโดด แล้วปีถัดไปจะเป็นอย่างไรคับ เสมอ กัน หรือดีกว่า เพราะสินค้าที่ออกใหม่ เป็นระบบคลิ้ง นี่ ถ้าติดตลาดขึ้นมา รูปแบบการทำกำไรจะดีขึ้นมากไหมคับ เมื่อ: 2004-03-11T02:55:35+00:00 Mon money: รอไปประชุมก่อนครับจะเอามาเล่าให้ฟัง พรุ่งนี้ XDแล้วเด้อ เมื่อ: 2004-03-11T15:55:53+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
เด็กที่เล่นในทศกัณฐเด็ก นี่เก่งมากเลยคับ hot: ทำไมเด็กสมัยเก่งขนาดนี้  สมัยผมเป็นเด็กไม่เห็น มีเด็กแสดงความสามารถเรื่องความจำได้ขนาดนี้เลย รายการที่work จัดนี้ผมว่าดีนะคับ  ทำให้เรา รู้ และเด็กที่มีความสามารถ  ได้แสดงออก เมื่อ: 2006-04-29T12:14:20+00:00 ครรชิต ไพศาล: เก่งครับเด็กคนนี้ จำหน้าได้มากจริงๆ ผมก็ดูเขาทุกอาทิตย์ แม่เขาสอนเก่ง จริงๆ เมื่อกี้ขำ ๆ ที่เขาบอกว่าไม่รู้จักหน้าคุณปัญญา ตอนหนุ่มๆ พอคุณปัญญา ถามว่าถ้าเจอตัวจริง จะบอกเขาว่าอย่างไร เด็กก็บอกว่า จะบอกว่า ขี้เหร่ ดูไปขำไป เมื่อ: 2006-04-29T12:40:20+00:00 hot: คนยุคหน้า  ถ้าจะมีคนมีคุณภาพในสังคมกำลัง เติบโต ไปข้างหน้าอีกมา  เราผู้ใหญ่วันนี้ต้อง หาทางให้เขาเติบโต  ไม่ให้อะไรมาให้เขาเสีย โอกาส  นะคับ  ผมว่า เมื่อ: 2006-04-29T12:43:31+00:00 Soontaree: คุณพ่อ คุณแม่ คุณครูอบรมสั่งสอนดีมาก เป็นเด็กที่มีคุณภาพมาก โตขึ้นเป็นทรัพยากรที่มีค่ามากของชาติแน่นอน  ดีใจที่มีรางวัล ใหญ่ ๆ รอให้เค้าอยู่มากมาย  เด็กเก่ง ๆ อย่างนี้ สมควรที่จะ สนับสนุนเค้าค่ะ  ที่บ้านจะติดตามดูน้องหนูคนนี่ตลอดเพราะ ภาพบางภาพเราไม่รู้จักแต่น้องคนนี้รู้จัก ขอปรบมือให้แรง ๆ และเป้นกำลังใจในน้องและครอบครัวค่ะ  :) เมื่อ: 2006-04-30T13:41:17+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
อัตราส่วนทางการเงินที่ควรรู้"ธุรกิจเช่าซื้อ"??? iamtherang: อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญในธุรกิจ"เช่าซื้อ"ที่ควรรู้นอกจากอัตราส่วนพื้นฐานอย่างเช่น roa roe d/e หรือ profit margin มีอะไรบ้างครับ เมื่อ: 2013-08-14T17:21:14+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
บาทแข็งอย่างงี้ ... ผู้นำเข้าก็อาจซวยได้ jojosati: ดูเผินๆ ก็คล้ายกับว่า พวกผู้นำเข้าน่าจะดี แต่หลังจาก กรีนสแปน ออกมาบอกว่า ดอลล่าร์จะต้องอ่อนลงไปอีกเป็นปี กลายเป็นว่า ผู้นำเข้าก็ไม่กล้าสั่งของมาสต็อกมาก ผู้ซื้อสินค้าก็รอจังหวะ เพื่อจะได้ของถูกกว่าเดิม เพราะรอให้ดอลล่าร์อ่อนลงไปกว่านี้อีก สินค้าเทคโนโลยี่ อย่างคอมพิวเตอร์ ก็นำเข้าเหมือนกัน ดูเหมือนว่าจะได้ประโยชน์จากบาทแข็ง มาคิดอีกที ก็น่าจะซวยพอๆ กับผู้ส่งออก คนที่ยังไม่จำเป็นต้องซื้อคอมพิวเตอร์ ก็ต้องคิดว่า รอไปก่อน ปีหน้าจะถูกลงไปกว่านี้อีก กลายเป็นว่าของที่สั่งเข้ามาขาย ในช่วงนี้ก็ขายไม่ออกอีก อย่างที่รู้ๆ กันว่าสินค้าเทคโนโลยี่เอง ยิ่งค้างสต๊อกนาน ราคามันถดถอยลงไปเร็ว อืม หัวเราะดีกว่า... .... ปีหน้า คงได้เห็นฝีมือผู้บริหารกันว่า ใครเป็นตัวจริง ใครไม่ใช่ สงสัยต้องย้ายไปถือหุ้นพวกบริษัทญี่ปุ่น น่าจะรัดเข็มขัดเก่งกว่า .... มองโลกในแง่ดี ในวิกฤตคือโอกาส ... ปรับปรุงโรงงาน สั่งซื้อเครื่องจักรใหม่ ทันสมัย ... ชำระหนี้เงินกู้ต่างประเทศ ฯลฯ เมื่อ: 2006-12-14T12:57:30+00:00 chatchai: ผมว่าถ้าคิดจะซื้อ คอมพิวเตอร์  กล้องถ่ายรูป  โทรทัศน์  แล้วกลัวว่าราคาจะถูกลง ชีวิตนี้คงไม่ต้องซื้อละครับ  เพราะถึงค่าเงินบาทไม่อ่อน  ไม่แข็ง  ราคาของสินค้าเหล่านี้ก็ลดลงเป็นปรกติอยู่แล้วครับ มีเพื่อนบอกว่า  เมื่อซื้อคอมพิวเตอร์ที่พันธ์ทิพย์  แค่ขับรถออกจากพันธ์ทิพย์  คอมที่ซื้อไว้ก็ตกรุ่นซะแล้ว เมื่อ: 2006-12-14T13:01:46+00:00 ปรัชญา: สินค้า  ทีวี  กล้อง  คอมพิวเตอร์  ที่ถูกลงไม่ใช่ค่าเงินแข็งเพียงอย่างเดียว พอบริษัทจะวางสินค้าตัวใหม่ เขาก็โยนโปรโมชั่น  ลด  แลก  แจก  แถม  ผ่อนสบายๆไม่คิดดอกเบี้ย แล้วก็นำสินค้ารุ่นใหม่มาวางตลาด กลยุทธเดิม  แต่ก็ได้ขายทุกที เมื่อ: 2006-12-14T14:05:32+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
เล่นหุ้นแล้วเป็นโรคนี้กันมั่งเปล่าอ่า ลูกไม่ท้อ: "Hyperinflux of informations" หนะ ประมาณว่า นั่งดูทีวีไปพร้อมๆกับดูอินเตอร์เน็ตไปด้วย แล้วกลายเป็นว่าในบางทีดูทีวีก็ไม่รู้เรื่อง หรือบางทีก็ดูเน็ตก็ไม่รู้เรื่อง  หรือแย่กว่านั้นก็ไม่รู้เรื่องทั้งสองอัน เหอๆ เมื่อ: 2007-01-26T17:40:39+00:00 Jeng: เคยนานแล้ว เดี๋ยวนี้ไม่เป็นแล้ว เมื่อ: 2007-01-27T01:56:36+00:00 beammy: ไม่เคยเป็นครับ ... เมื่อ: 2007-01-27T02:11:33+00:00 javoel: เคยเเต่อ่านหนังสือ ตอนสอบ อ่านจนมึน มึน เเละก็มึน รู้ว่าไม่ได้อะไร  เต่ก็ยังอ่าน อ่านไปงั้นๆ ขอให้ได้อ่านไว้ก่อน (ผลสอบออกมาก็พอเอาตัวรอดได้) ตอนนั้นไม่รู้เพราะอะไร เหมือนทำอนันตริยกรรมกับตัวเอง (ระยะหลัง อ่านได้เท่าไหร่ เอาเท่านั้นครับ เเล้วเเต่เวรเเต่กรรม) เมื่อ: 2007-01-27T04:06:57+00:00 2 dogs: ของผมเป็นว่า เล่นเกมส์ พร้อม ดูจอหุ้น พร้อมเปิดช่องbloomberg แต่ฟังแต่เสียง สลับกับอ่าน 56-1 และ กระทู้พันทิบ   เมื่อ: 2007-01-27T05:06:05+00:00 นายสต็อก: แสดงว่า... สมาธิ หรือ พลังจิตในการลงทุนของคุณยังอ่อนอยู่ครับ ต้องฝึกฝนต่อไปครับ 8) อาจต้องใช้เวลาเป็นเดือนๆ หรือ เป็นปี ก็ได้แล้วแต่ความ สามารถของแต่ละบุคคลครับ เมื่อ: 2007-01-27T06:18:37+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
คุณคาดหวังEPSของUMSกันสักเท่าใหร่ Rocker: อยากจะทราบว่าเพื่อนๆที่ซื้อumsคาดหวังepsต่อหุ้นกันเท่าใหร่ ประเด็นคือ 1 ถ้ากําไรไม่เป็นไปตามคาดพวกคุณยังจะถือกันใหม                 2 ถ้ากําไรได้ดังคาด                 3 ถ้ากําไรเกินคาด รบกวนบางท่านที่สามารถforcast  eps ของUMSแสดงวิธีให้ข้าน้อยดูคร่าวๆด้วยนะครับเพื่อเป็นกรณีศึกษา เมื่อ: 2007-07-18T11:23:29+00:00 Rocker: ลืมถามต่อ คาด Growth epsของUMSสักเท่าใหร่กันเพื่อนๆ เมื่อ: 2007-07-18T11:27:22+00:00 ลูกอิสาน: ผมหวัง 55 ล้าน +- 5 หรือประมาณ 0.4 บาท/หุ้นครับ เมื่อ: 2007-07-18T12:01:39+00:00 Rocker: พี่ลูกอีสานครับ เดี๋ยวไงพี่โทรคุยกับผมละกันนะ55555+ เมื่อ: 2007-07-18T13:14:32+00:00 naris: ผมประมาณการไว้คร่าวๆ 56-60ล้านบาทครับ ใกล้เคียงกับคุณลูกอิสานครับ และปีนี้ทั้งปีราวๆ240ล้านบาท ส่วนปีหน้ามีนำถ่านหินบดอัดมารวมในรายได้ และค่าใช้จ่ายบริหารถูกลง ผมตีคร่าวๆว่าลูกค้าได้แค่300ราย(ขยายรองรับไม่ทัน) น่าจะได้GPMเท่าๆปี50 และรายได้โตได้ประมาณ30% กำไรก็ราวๆ312ล้านบาทครับ เมื่อ: 2007-07-18T14:02:51+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
ใครซื้อหุ้นเพื่อหวังจะเข้าไปบริหารธุรกิจที่ถือหุ้นบ้าง superboy: ผมไม่คิดจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการบริหารนะ แต่เห็นทั้งเซียน ทั้งเทพ ซื้อหุ้นกันทีเยอะ เป็นเงินมาก อยากรู้ว่า หวังตำแหน่งหรือหวังฮุบ เลยหรือป่าว ถ้าบริษัทดี กำลังเติบโต แต่ว่า ราคาหุ้นถูก เมื่อ: 2009-07-08T04:06:55+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
คลิป "ทรัมป์ ผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทย" ดร.วิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล doctorwe: คลิป "ทรัมป์ ผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทย" โดย ดร.วิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล กูรูด้านฟันด์โฟลว์ และ MD บล.ทรีนิตี้ https://www.facebook.com/CsiSociety/vid ... 653023142/ https://www.facebook.com/CsiSociety/vid ... 366094904/ https://www.facebook.com/CsiSociety/vid ... 739428100/ https://www.facebook.com/CsiSociety/vid ... 289428045/ https://www.facebook.com/CsiSociety/vid ... 679427906/ และอีกมากกว่า 10 ตอน ติดตามต่อได้ที่นี่ http://www.facebook.com/CsiSociety เมื่อ: 2017-01-23T00:33:08+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
หุ้นกลุ่มอาหาร nearly_vi: มีเหตุผลอะไรหรือไม่ที่ D/E ค่อนข้างสูง เห็นหุ้นในกลุ่ม สูงๆ ทั้งนั้น มันมีเหตุผลอะไรคล้ายๆ กับพวกรับเหมาก่อสร้างหรือไม่ครับ ขอความรู้ เมื่อ: 2006-10-03T04:59:36+00:00 javoel: หุ้นกลุ่มนี้กระเเสเงินสดเยอะครับ ผมคิดว่า สินค้ากลุ่มนี้ มีการหมดอายุ ทำให้ต้องรีบขาย ทำให้มีกระเเสเงิน เข้ามาเยอะ เมื่อ: 2006-10-03T08:08:21+00:00 nearly_vi: แล้วการที่มีสัดส่วน D/E สูงๆ นี่เป็นผลเสียมั้ยครับ หรือว่ามันเป็นไปตามระบบการบริหารธุรกิจอาหารอย่างนั้น เป็นธรรมดาครับ เมื่อ: 2006-10-03T09:41:02+00:00 LOSO: ตํ่าๆก้อมีนะครับ ....................... น่าดูตัวเลขการเงินอื่นประกอบด้วยนะครับ .................. ผมว่าน่าสนใจดูกว่าตั้งเยอะ .............. เมื่อ: 2006-10-04T14:16:05+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
เอามาฝาก เล่นหุ้นสูตร"ปลอดภัย" สไตล์ "โกศล ไก my: เล่นหุ้นสูตร"ปลอดภัย" สไตล์ "โกศล ไกรฤกษ์" นับวันที่ตลาดหุ้น "ซึม" กับ "ทรุด" ลงทุกวัน ภาวะจิตใจของนักลงทุนหลายคน "ห่อเหี่ยว" ทำให้รำลึกสไตล์การเล่นหุ้นสูตร "โกศล ไกรฤกษ์" ขึ้นมาทันใด จนต้องนำกลับมาถ่ายทอดอีกครั้ง ...เพื่อเตือนสติ ให้นักลงทุน ได้ทบทวนบทเรียนบทหนึ่ง ของชายคนหนึ่ง ที่เขาผ่านร้อนผ่านหนาว ในวงการหุ้นมาอย่างโชกโชน และรอดพ้นวิกฤติมาได้อย่างไร? ตราบชีวิตยังดำรงอยู่ แสงเทียนแห่งชีวิตย่อมเปล่งประกายเจิดจ้า แต่การดำรงอยู่มิอาจยืนยง ดั่งคำกล่าวที่ว่า "ชีวิตควรมุ่งมั่น แต่ไม่ควรยึดมั่น" คำกล่าวนี้ไม่เคยเลือนหาย ....ชีวิตของคนทุกคนก็มิอาจฝืนกฎธรรมชาติ นั่นคือ "ความตาย" "จิต" ของลุงโกศลโบกมือลาสังขารด้วยวัย 78 ปี ของคืนวันที่ 2 ก.ค.2547 ที่ รพ.พร้อมมิตร จากอาการโรคไตที่ลุงปลุกปล้ำกับมันมาอย่างยาวนานจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต การจากไปของ "โกศล ไกรฤกษ์" สิ่งที่ทิ้งเอาไว้ก็คือ "แก่นคิด" การเล่นหุ้นที่ไม่เคยถูกกาลเวลากลืนหาย ***************************** A12 หัวรับ..."ขายเอาทุนขึ้น....เหลือไว้แต่กำไร" นอกตำราสูตร "โกศล ไกรฤกษ์" ชื่อของ "โกศล ไกรฤกษ์" หายไปนาน หลังจาก บงล.ตะวันออกฟายแนนซ์(1991) ถูกแบงก์ชาติเข้าแทรกแซงกิจการ เมื่อกลางปี 2540 ทรัพย์สินชิ้นสุดท้ายมูลค่าหลายพันล้านบาทหายวับไปกับตา สมการชีวิตของชายคนนี้ผ่านร้อนหนาวทางการเมืองมาอย่างโชกโชน เป็น ส.ส. พิษณุโลกหลายสมัย และเป็นรัฐมนตรีมาแล้วหลายกระทรวง เป็นผู้ที่ก่อตั้งพรรคกิจสังคมร่วมกับ ม.ร.ว.ศึกฤทธิ์ ปราโมช มีอุปนิสัยพูดจาโผงผางจนได้รับขนานนามว่า "นักเลงโบราณ" แม้ว่าลุงโกศล จะลดบทบาทการเป็นนักลงทุนรายใหญ่ในตลาดหุ้นไปนานแล้ว แต่แนวทางการลงทุนที่เน้นความ "ปลอดภัย" ของลุงโกศลไม่เคยล้าสมัย โดยเฉพาะคำพูดที่เคยกล่าวเอาไว้ว่า "ถ้าอยากสบายตอนแก่ต้องมีรายได้ประจำไว้กิน 3 อย่าง" แกบอกว่าได้ความรู้มาจากเจ๊ก (นักธุรกิจชาวจีน) สอนแกมาอีกทีหนึ่ง สมัยตอนเป็นรัฐมนตรี เจ๊กมันบอกว่า....!!! อย่างแรก "ต้องมีเงินฝากประจำเอาไว้กินดอกเบี้ย" อย่างที่สอง "ต้องมีบ้านให้เขาเช่า เอาไว้เก็บค่าเช่ากินตอนแก่" อย่างที่สาม "ต้องมีรายได้จากเงินปันผล" นี่แหละรายได้ 3 อย่าง สูตรขนาดแท้ของลุงโกศลเลยล่ะ ลุงโกศลเล่าให้ฟังว่า แกได้เงินปันผลจากตลาดหุ้นอย่างเดียวปีละเกือบ 2 ล้านบาท(เมื่อปี 2543) หุ้นจะขึ้นหรือจะลงแกก็ไม่เดือดร้อน คนส่วนใหญ่เจ๊งหุ้นกันหมด แต่ลุงโกศลกลับหัวเราะร่า หุ้นที่ลุงซื้อแต่ละตัว เป็นหุ้นที่ชาวบ้านชาวเมืองเขาไม่ค่อยเล่นกัน แกจะเลือกเฉพาะหุ้นปันงามๆ พื้นฐานแน่นๆ และผู้บริหารต้องโปร่งใสเท่านั้น หุ้นปันผลที่ลุงโกศลเล่นส่วนใหญ่จะมีสภาพคล่องการซื้อขายน้อย เป็นหุ้นประเภท "เสือนอนกิน" เก่าเก็บไม่ค่อยมีใครอยากขาย หาซื้อก็ไม่ง่ายนัก ลุงโกศลยกตัวอย่างให้ฟังว่า หุ้นในพอร์ตของแก(ตอนนั้น) ประกอบด้วย หุ้นห้องเย็นโชติวัฒน์(CHOTI) หุ้นไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์(TF) หรือหุ้น"มาม่า" หุ้นไทยยูเนี่ยนโฟรเซ่นส์(TUF) ขายปลาทูน่าส่งออกรายใหญ่ที่สุดของประเทศ หุ้นน้ำมันพืชไทย(TVO) หุ้นอาหารสยาม(SFP) และหุ้นไทยวาโก้(WACOAL) ลุงโกศลแกเล่าให้ฟังว่า เคยไปฉะกับผู้บริหารบริษัทกู๊ดเยียร์(GYT) และบริษัทคาร์โนต์เมตัลบ๊อกซ์(CMBT)มาแล้ว เพราะบริษัทกำไรดีแต่จ่ายปันผลนิดเดียว เหมือนกับให้เงินขอทาน ตอนนั้นกู๊ดเยียร์ประกาศจ่ายปันผลหุ้นละ 2 บาท จากกำไรต่อหุ้น 52.03 บาท ส่วน คาร์โนต์เมตัลบ๊อกซ์(ออกจากตลาดหุ้นไปแล้ว) กำไรหุ้นละ 22.38 บาท ทีแรกประกาศจ่ายปันผลหุ้นละ 1 บาท แกไปต่อรองกับผู้บริหารหลายชั่วโมง จนต้องเพิ่มให้เป็นหุ้นละ 5 บาท อีกตัวหนึ่งคือ หุ้นคาร์เปทอินเตอร์ฯ(CIT) ตอนนั้นประกาศคำเสนอซื้อหุ้นคืนจากนักลงทุนก่อนจะขอเพิกถอนออกจากตลาดหลักทรัพย์ ซื้อคืนในราคาหุ้นละ 45 บาท ต่ำกว่ามูลค่าหุ้นตามบัญชี(Book Value)ของบริษัทมาก ลุงโกศลประกาศเลยว่าใครมาเอาเปรียบกันอย่างนี้แกไม่ยอมเด็ดขาด แกบอกว่าจะถือหุ้นเอาไว้ไม่ยอมขาย เอาไว้สู้กับผู้บริหารให้รู้ดำรู้แดง ไม่ยอมทิ้งลายนักเลงโบราณให้ใครมาหยามเกียรติได้ง่ายๆ "เงินแค่นี้กูไม่เอา แต่กูจะถือหุ้นไว้สู้กับมึง" กฎการเล่นหุ้นของนักเลงโบราณท่านนี้นับว่าไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือน ข้อแรก...แกบอกว่าอย่าไปแตะต้องหุ้นสถาบันการเงิน เพราะไม่มีวันรวยได้นาน ประสบการณ์ที่ลุงโกศลเจอมากับตัวเอง โดยเฉพาะหุ้นบงล.ตะวันออกฟายแนนซ์ (DEFT) แกบอกว่าตัวเองเป็นทั้งเจ้าของ(ถือหุ้นใหญ่) เป็นเจ้ามือ(โบรกเกอร์) และเป็นคนแทง(เล่นหุ้นเอง) สุดท้ายเจ๊งหมด ก่อนหน้าที่จะถูกทางการสั่งระงับการดำเนินกิจการเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2540 เพียงไม่กี่สัปดาห์ ลุงโกศลได้เจรจาลับๆ กับนักลงทุนต่างชาติ เพื่อขายหุ้นทั้งหมดในส่วนของตระกูลไกรฤกษ์ จำนวน 67 ล้านหุ้น ใน บงล.ตะวันออกฟายแนนซ์ โดยต้องการขายกิจการที่ 6.7 พันล้านบาท แต่การต่อรองราคายังไม่ทันคืบหน้าทุกอย่างก็ต้องปิดฉากลงโดยไม่เหลืออะไรเลย ประสบการณ์กับหุ้นสถาบันการเงินอีกแห่งหนึ่งที่เจอมา ก็คือ หุ้นบงล.กรุงเทพธนาทร(BFIT) หุ้นที่ถืออยู่เคยมีมูลค่าสูงกว่า 300 ล้านบาท ถือเอาไว้ไม่ได้ขายราคามันร่วงลงมาเหลือแค่ 43 ล้านบาท "ผมอยากจะบอกว่าถ้าใครอยากฉิบหายเหมือนผมให้เล่นหุ้นสถาบันการเงิน" แกพูดประชด ข้อสอง...ให้เน้นลงทุนในหุ้นที่จ่ายเงินปันผลดี เราจะรู้ได้ยังไงว่าจ่ายปันผลดี ก็ต้องไปค้นประวัติว่าบริษัทนี้มีกำไรดีต่อเนื่องมาแล้วกี่ปี เราจะได้รู้ว่าบริษัทนี้มีรายได้มั่นคงแค่ไหน มีประวัติการจ่ายปันผลสม่ำเสมอมาแล้วกี่ปี ควรเลือกหุ้นที่มีหนี้น้อยๆ หุ้นหลายบริษัทจ่ายเงินปันผลดีมาก ดีกว่าฝากเงินกินเยอะ หุ้นอย่างนี้แหละที่น่าซื้อ พอซื้อแล้วให้ถือยาวไปเลย ข้อสาม...ต้องไปสืบดูประวัติผู้บริหารว่าซื่อสัตย์สุจริตหรือไม่ ข้อนี้สำคัญมากทุกอย่างดีหมดถ้าผู้บริหารเอาเปรียบผู้ถือหุ้น หรือไม่โปร่งใส หุ้นอย่างนี้อย่าไปซื้อมัน บางบริษัทมีผู้บริหารไม่กี่คนจ่ายเงินเดือน จ่ายโบนัสกันเองปีละ 30-40 ล้าน แต่จ่ายปันผลให้ผู้ถือหุ้นนิดเดียว พวกมันเล่นรวยกันเองคนเดียว อย่างนี้เขาเรียกว่าพวก "โจร" แฝงตัวมานั่งบริหาร ระยะยาวหุ้นอย่างนี้ฉิบหายแน่ๆ ข้อสี่...ต้องลดต้นทุนให้ต่ำลงตลอดเวลา นั่นคือ ต้องรู้จักดึงเงินทุนออกเหลือเอาไว้แต่กำไร ลุงโกศลเล่าว่าถึงหุ้นจะตกหนักแค่ไหน สาเหตุที่แกไม่เจ๊งก็เพราะรู้จักดึงทุนเก่าออก หุ้นที่ถืออยู่ส่วนใหญ่แทบไม่มีต้นทุนเหลืออยู่แล้ว เพราะถือมานาน ตัวไหนมีกำไรก็ขายออกเอาเงินไปซื้อหุ้นตัวอื่น หรือเอาเงินปันผลของมันนั่นแหละซื้อหุ้นตัวเอง พอหุ้นลงก็ค่อยๆ ซื้อกลับ ต้นทุนของหุ้นก็จะค่อยๆ ต่ำลง สมมุติว่าซื้อหุ้นไว้ที่ราคา 30 บาท ได้เงินปันผลปีละ 10% ก็เท่ากับปีละ 3 บาท เอา 3 บาทไปซื้อหุ้นตัวมันเอง ถ้าทำอย่างนี้ 3 ปี เราก็จะได้หุ้นมากขึ้น ต้นทุนถูกลง ถ้าถือมา 3 ปี ราคาหุ้นขึ้นไป 60 บาท เราก็ขายหุ้นออกไปครึ่งหนึ่ง เท่ากับว่าหุ้นที่เราถืออยู่เป็นกำไรทั้งหมด เราไม่ต้องขายถือต่อไปยาวเลย แล้วก็เอาปันผลของมันซื้อตัวมันเอง ส่วนทุนเดิมของเราก็เอาไปลงทุนซื้อหุ้นตัวอื่นอีก ถ้าราคาลงมาเราก็ค่อยๆ ซื้อกลับเข้าไปอีก ไม่ต้องรีบร้อนซื้อตอนราคาแพง "ผมเข้าตลาดหุ้นเมื่อปี 2530 จากคนไม่มีประสบการณ์เลย ค่อยๆ ศึกษาเอา หุ้นที่ซื้อเอาไว้ขึ้นไปหลายร้อยเปอร์เซ็นต์ ผมก็ขายเอาทุนไปลงซื้อหุ้นตัวอื่น เหลือแต่กำไรเอาไว้ ผมบอกได้เลยว่าหุ้นส่วนใหญ่ที่ยังถืออยู่เหลือแต่กำไร อย่างหุ้นคาร์เปทอินเตอร์ฯ(เพิกถอนไปแล้ว) ที่ถือเป็นแสนหุ้นมีต้นทุนเหลือแค่หุ้นละ 7 บาท ทุนเก่าผมดึงขึ้นมาหมดแล้ว ขาย 45 บาทยังไงก็มีกำไร แต่ผมไม่ขายจะถือเอาไว้สู้กับมัน" ในช่วงที่ตลาดหุ้นปรับตัวลดลงมามากๆ ลุงโกศลแนะนำว่า นี่แหละคือ ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการซื้อหุ้นดีราคาถูกเก็บเอาไว้ แกย้ำว่า "ถ้าไม่เล่นเก็งกำไรซะอย่าง ไม่ต้องไปกลัวเจ๊ง แต่ขอเตือนว่าอย่าไปเชื่อโบรกเกอร์มากไอ้พวกนี้มันหวังค่าต๋ง ใครเชื่อมันรับรองว่าเจ๊งหุ้นหมด" แม้อายุจะมากแล้วแต่ลุงโกศล ยังทำการบ้านเรื่องหุ้นไม่เคยขาด แกจะเก็บสถิติหุ้นเอาไว้อย่างสม่ำเสมอ นอกจากเคล็ดไม่ลับที่เปิดเผยแล้ว ยังมีคติในการลงทุนที่เรียนรู้มาจากประสบการณ์ อีกหลายอย่าง คติแรก...เสียดายดีกว่าเสียใจ การเล่นหุ้นเราต้องถือคติว่า ถ้าไม่แน่ใจก็อย่าลงทุน ถ้าหุ้นขึ้นไม่ได้ลงทุนก็ไม่เป็นไร อย่าเสียดาย ดีกว่าไปเชื่อคำโฆษณาชวนเชื่อแล้วมานั่งเสียใจทีหลัง เพราะถ้าพลาดท่าจะเสียใจ คติที่สอง...อย่าโลภ สมมติว่าฝากแบงก์ได้ดอกเบี้ย 5% แต่ลงทุนในหุ้นเราตั้งเป้าหมายไว้ที่ 20% เราก็ต้องพอใจแค่นี้ บางคนพอได้ 20% ก็ขอ 30% พอได้ 30% ก็ขอ 40% ยังงี้ยังไงก็ไม่พอสักที ก็เลยไม่ได้ขาย รอจนหุ้นตกก็ยังหวังว่าหุ้นมันจะขึ้นมาถึงที่เดิมอีก คติที่สาม...ต้องรู้ไส้รู้พุงหุ้น คนที่จะซื้อหุ้นตัวไหนต้องรู้จักสินค้าของบริษัทนั้นทุกแง่มุม หุ้นดีราคาหุ้นก็จะขึ้นไปเองตามธรรมชาติ เวลาหุ้นตกไปเจอหุ้นพื้นฐานไม่ดีก็ต้องกล้าตัดความเสี่ยงทิ้ง คติที่สี่...หุ้นขึ้นให้ขายหุ้นลงให้ซื้อ พอหุ้นลงคนอื่นเขาเมินหน้า เราต้องติดตามความก้าวหน้าของบริษัท เมื่อมีความก้าวหน้าดีแต่ราคาต่ำ ไม่มีคนสนใจ เราก็ซื้อเอาไว้ พอหุ้นขึ้นคนแย่งกันซื้อเราก็ทยอยขาย ซื้อมาขายไปจะทำให้เราได้หุ้นมาเปล่า (ไม่มีต้นทุน) เก็บเอาไว้ ยกเว้นว่าหุ้นดีจริงๆ เราก็ถือยาวเอาไว้กินปันผล คติที่ห้า...อย่าเล่นหุ้นแบบนักพนัน การเล่นหุ้นต้องเล่นแบบนักบริหาร ต้องมีความอดกลั้น อย่าเชื่อข่าวลือ บทเรียนการเล่นหุ้นสไตล์ "ปลอดภัย" ของลุงโกศล คงไม่มีคำว่า "ล้าสมัย" สิ่งที่ลุงทิ้งเอาไว้ก็คือ "แก่นคิด" การลงทุนที่ไม่เคยถูกกาลเวลากลืนหาย แม้สังขารของลุงจะจากไปไม่มีวันกลับก็ตาม....นอนหลับให้สบายเถอะครับ!!!"คุณลุง" เมื่อ: 2004-08-15T03:34:07+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
📍(ประกาศแบ่งกลุ่ม 90 คน) หลักสูตรอบรมฯ รุ่นที่ 18 Thai VI Officer: **แบ่งกลุ่ม**หลักสูตรอบรมการลงทุนแบบเน้นคุณค่า รุ่นที่ 18 Group 1 Bankiji, kittiphonane, pukidol, Peerapng.sk, Lew168, chor3500, PEK NATASA, pintwtk, ajk Group 2 pee430, AerwinTL, ammie, Fonduebetter, คนมีแผน, asakuranote, AFUNDY, Gflying, asialinda Group 3 growthinvest, Witch7, TuTah, ktytower, MeMollie, PithPth, nutsuke, sphamm, Martina Group 4 New.ing, Airmd, hughhill, phamon, tulatui, 190218, BlueWorld, SuiSei, Ashi_Donk Group 5 Cafalo, chanakannn, happykub, thiyaphat, ไก่ทอดหาดใหญ่, Thusthana4569, ron4422, Goonchaing, ncrazii Group 6 getget, keep_, Oommy.ctc, phanthawat, Wavetanadol, Paewrblue, Thaned.Lao, Loiloi18, phoenixinw Group 7 Smithsuek, ppswandee, titikorn, toyspanner, isomer13, CTRL, thanutmail, norice, kritso Group 8 Meist, rhythm, eskop42, Tatchpong, IamYou, m23, 211411, TJMIM, VILIN Group 9 Sasiwimol, mostock, charnchu, Possawee, bb1881, kanin02, profires, kluey159, Mani mani Group 10 jongpaisansilp, oonuunsmile, netkantapong, Kiattisakv, tinnjaru, addot02, anant26397, HappyPants, Mr.Serotonin รายละเอียดหุ้นที่แต่ละกลุ่มต้องนำเสนอ ช่วงเช้าของวันที่ 22 ต.ค. 65 ทางคุณมานะชัย ตันติกาญจนากุล (คุณตู้) / ผอ.หลักสูตร จะแจ้งให้ทราบอย่างเป็นทางการอีกครั้งค่ะ รายชื่อหุ้น SET แต่ละกลุ่มอุตสาหกรรม https://classic.set.or.th/mkt/sectorquo ... country=TH หุ้นในตลาด mai https://classic.set.or.th/mkt/sectorquo ... country=TH การแบ่งกลุ่ม เป็นไปตามความสนใจแบบสุ่มรวมถึงคำนึงการกระจายประสบการณ์ทำงาน การลงทุนของผู้เรียนแต่ละกลุ่ม และผู้เรียนบางคนอาจจะได้ที่ตัวเองถนัดหรือชอบ บางคนอาจจะไม่ใช่ วัตถุประสงค์ในการเรียนรู้ การทำงานกลุ่ม อยู่ที่การวิเคราะห์ในเชิงปฏิบัติ มากกว่าตัวหุ้นนั้น ๆ ซึ่งต้องการให้เกิดความหลากหลายในการอภิปราย และแลกเปลี่ยนแนวคิดซึ่งกันและกัน การคัดเลือกหุ้นในแต่ละกลุ่ม เป็นไปตามข้อตกลงอย่างอิสระโดยผู้อบรมในกลุ่ม โดยสามารถปรึกษาคณาจารย์ทุกท่านเป็นแนวทางได้ อย่างไรก็ดี การคัดเลือกหุ้น ให้ยึดแนวทางความสนใจ ความเข้าใจต่อกิจการที่ไม่ยากจนเกินไปเพื่อศึกษาความรู้เป็นสำคัญ ดังนั้นหุ้นที่คัดเลือกไม่จำเป็นจะต้องเป็นหุ้นที่น่าสนใจในการลงทุนที่สุดในเวลาปัจจุบัน ------------------------------------------ (วันที่จัดอบรม - สถานที่) วันที่ 22-23, 30 ตุลาคม และ 5-6, 12-13 พฤศจิกายน 2565 (รวม 7 วัน) ทุกวันจะใช้ห้อง Ballroom 1 (ชั้น5) ...เฉพาะในวันที่ 12 พ.ย. ใช้ ห้อง Chamber (ชั้นใต้ดิน).. เวลา 9.00-17.00 น. ที่โรงแรม S31 (สุขุมวิท 31) ► อาจารย์บางท่านอาจจะสอนเกินเวลา และมี Q&A หลังเลิกเรียน ถ้าใครมีธุระให้เผื่อเวลาไว้ด้วยค่ะ การลงทะเบียนหน้างาน - เตรียมบัตรประชาชนเพื่อยืนยันชื่อ -นามสกุล ที่ห้อง Ballroom 1 (ชั้น5) - สมาคมฯ จัดเตรียม เอกสารการอบรมฯ + ป้ายชื่อ ให้กับผู้เข้าร่วมสัมมนา - สมาคมฯ จัดเตรียม อาหารว่างช่วงเช้าและบ่าย และรับประทานอาหารกลางวันร่วมกันค่ะ - ให้ผู้เรียนเตรียม เสื้อกันหนาว ด้วยนะคะ (กรณีอุณหภูมิห้องเย็น) การเดินทาง BTS Phrom-Phong Station (Exit 5) MRT Sukhumvit Station (Exit 2) รถยนต์ส่วนตัว: นำมาจอดที่อาคารจอดรถได้ที่ชั้น 2A - ชั้น 4 พิกัด: https://goo.gl/maps/scJDiDsZAHrkW1co7 ตารางวันเรียน - หลักสูตรอบรมฯ รุ่น 18 https://drive.google.com/file/d/1xgnmc3 ... sp=sharing หมายเหตุ: - ผู้เรียนไม่สามารถโอนสิทธิ์ให้กับผู้อื่นทุกกรณี - หลักสูตรไม่อนุญาตให้อัดวีดีโอ หรือบันทึกเสียงโดยเด็ดขาด - สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม อีเมล [email protected] หรือโทรศัพท์ 02-619-1355 วันจันทร์-ศุกร์ เวลา 08.00 - 17.00 น. (หยุดเสาร์-อาทิตย์-นักขัตฤกษ์) ---------------------------------- Relate Link กระทู้รับสมัคร: https://bit.ly/3TkUbx8 กระทู้ประกาศรายชื่อ : https://bit.ly/3QKTtHw เมื่อ: 2022-09-23T10:56:34+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
อนาคตกับรถยนต์ไฟฟ้า / คนขายของ คนขายของ: อนาคตกับรถยนต์ไฟฟ้า / โดย คนขายของ “ตู้เย็น” เริ่มเป็นที่รู้จักกันว่าเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าประจำบ้านราวๆปี 1920 ในช่วง 15 ปีแรกของการออกสู่ตลาด ยอดขายของตู้เย็นนั้นโตแต่คิดเป็นมูลค่าไม่มาก ทั้งนี้เพราะปัจจัยเช่น ราคายังสูง ผู้บริโภคยังไม่คุ้นเคย ทำให้มูลค่าตลาดยังเล็ก แต่หลังจากนั้น ในช่วงปี 1935-1960 ยอดขายตู้เย็นทั่วโลก ได้เติบโตขึ้นเป็น อย่างมาก เรียกว่าเป็นยุคทองของการขายตู้เย็น แต่ในยุคต่อมาตลาดดูเหมือนจะอิ่มตัว ทุกบ้านเริ่มมีตู้เย็น กันหมดแล้ว การเติบโตสูงๆในอดีตก็หมดไป ตลาดตู้เย็นกลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่ขายได้ แต่ไม่ได้ขายดีเหมือน แต่ก่อน วัฏจักรทำนองนี้มีมาต่อเนื่องหลายยุคสมัย ไม่ว่าจะเป็นโทรทัศน์สี ที่เริ่มในปี 1960 หรือ โทรศัพท์ มือถือ ในปี 1985 วงจรที่มีลักษณะที่ เติบโตในตอนต้น พุ่งขึ้นด้วยอัตราเร่งที่สูงมากในตอนกลาง และชะลอ ตัวลงในตอนท้ายนั้น เป็นวงจรที่ฝรั่งเขาเรียกว่า “S-Curve” อุตสาหกรรมรถยนต์พลังงานไฟฟ้า หรือ ที่รู้จักกันดีในนาม Electric Vehicle (EV) เป็นอีกอุตสาหกรรมหนึ่ง ที่ถูกกล่าวถึงว่าอยู่ในช่วงต้นของ S-Curve ที่ตลาดกำลังเติบโต แต่ยังเป็นช่วงเริ่มต้นเท่านั้น ขนาดของมูลค่าตลาดจึงยังไม่ใหญ่มาก ข้อมูลจากสถาบัน ZSW ของเยอรมันได้รวบรวมว่า จำนวน EV ในโลกในช่วง ปี 2013 อยู่ที่ หนึ่งแสนคัน ในปี 2014 ตลาดขยายตัว 100% ปี 2015 ขยายตัว 83% และในปี 2016 ตลาด EV คาดว่าจะขยายตัว 76% มาอยู่ที่ราวๆ 560,000 คัน แล้วบริษัทไหนที่ผลิต EV ออกมาแล้วมี ยอดขายสูงสุด? ใช่ค่ายรถยนต์ชื่อดังหรือเปล่า? คำตอบที่ได้อาจจะทำให้หลายคนแปลกใจ เพราะ TESLA ซึ่งเป็นบริษัทที่ผลิตรถยนต์ราวห้าหมื่นคันในปี 2015 ซึ่งน้อยมากเมื่อเทียบกับแชมป์ระดับโลกอย่าง TOYOTA ที่ผลิตรถถึงสิบล้านคัน แต่ TESLA กลับได้เป็นแชมป์โลกในตลาดของรถไฟฟ้า (ในด้าน ยอดขายเป็นตัวเงิน ไม่ใช่จำนวนคัน) จากยอดขายรถยนต์ทั่วโลกในปี 2015 ที่ราว 83 ล้านคัน เราจะเห็นได้ว่าส่วนแบ่งการตลาดของ EV ตอนนี้อยู่ที่แค่ราว 0.4% เท่านั้นเอง TESLA ประเมินว่าในปีนี้จะสามารถส่งมอบรถยนต์ได้เกือบ 1 แสนคัน หรือโตขึ้น 100% จากปี 2015 สำนักข่าว Bloomberg รายงานว่า ภายในปี 2040 รถ EV จะมีส่วน แบ่งราว 35% ของรถยนต์ทั้งหมด ทำไมตลาด EV ถึงมีการขยายตัวที่สูงมาก? ผมคิดว่าเป็นเพราะ หนึ่ง แรงจูงใจเรื่องสิทธิประโยชน์ทางภาษีจากรัฐบาลในหลายประเทศ อย่างเช่นที่นอร์เวย์ ซึ่งเป็นประเทศที่มี สัดส่วนของ EV มากที่สุดในโลก ราว 25% ของรถใหม่ในตลาด รัฐบาลยกเว้นภาษี VAT 25%, ค่าผ่านทาง (Toll Road) ฟรี, วิ่งเข้าเลนรถเมล์ได้ และ จอดรถในตัวเมืองได้ฟรี ประเด็นผลักดันที่สอง คือ ราคารถ EV ที่มีแนวโน้มที่ลดลง ทั้งนี้เนื่องจากราคาของ Lithium-ion Battery ซึ่งเป็นเหมือนหัวใจของรถยนต์ EV มีราคาลดลงจาก 1,000$ ต่อ KWH ในปี 2010 มาเหลือเพียง 380$ ในปี 2015 และ ประเด็นที่สาม คือการตื่นตัวเรื่องโลกร้อน ของรัฐบาลและประชาชน ทำให้มีกฎควบคุมเรื่องการปล่อยมลพิษของรถยนต์ ซึ่ง EV ไม่มีปัญหาเรื่องมลพิษของไอเสีย เพราะไม่มีเครื่องยนต์ที่มีการจุดระเบิด แต่ถึงกระนั้นโลกของ EV ก็ไม่ได้สวยหรูไปหมดทุกอย่าง ยังมีอีกหลายปัญหาที่ต้องแก้ไขไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ ระยะทางที่วิ่งต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง ซึ่งในตอนนี้รถ EV ในเซกเมนท์ประหยัด วิ่งได้แค่ 250 กิโลเมตร เมื่อเทียบกับรถยนต์ทั่วไปที่ใช้น้ำมันในตอนนี้ วิ่งได้ถึง 500-600 กิโลเมตรเมื่อเติมน้ำมันเต็มถัง นอกจากนั้น เรื่องแท่นชาร์จไฟ ก็ยังเป็นปัญหาหลักเมื่อวิ่งออกไปนอกเมือง ตอนนี้ TESLA ต้องมาลงทุน เรื่องสถานีชาร์จไฟเองเพื่อตอบสนองลูกค้า ระยะเวลาในการชาร์จก็ยังเป็นปัญหา ในตอนนี้เครื่องชาร์จแบบเร็วที่สุดจะใช้เวลาราว 30 นาที แต่ก็ยังเป็นเวลาที่ยาวนานกว่าการเติมน้ำมันเป็นอย่างมาก ซึ่งส่วนใหญ่ ในปัจจุบัน ที่ชาร์จที่พบทั่วไปในที่สาธารณะจะเป็นแบบ 2.5 ชั่วโมง ซึ่งก็ดูเหมือนจะไม่สะดวกเท่าไรนัก และประเด็นอีกอย่างหนึ่งคือเรื่องราคา รถ EV ส่วนใหญ่ยังมีราคาสูง อย่าง BMW i8 ที่อเมริกาขายราคา 4.9 ล้านบาท TESLA Model S ราคา 2.45 ล้านบาท หรือ แบบประหยัดอย่าง Nissan Leaf ก็ตกราว 1.15 ล้านบาท เมื่อเทียบกับราคา Honda Civic ที่ 7 แสนบาท ก็ดูเหมือนว่า EV ยังเป็นรถราคาสูงอยู่ อุตสาหกรรม EV ยังคงอยู่ในช่วงเริ่มต้นของ S-Curve ดูเหมือนว่าตลาดนี้กำลังเติบโตขึ้นเรื่อยๆจากแรง ผลักดันจากหลายภาคส่วน โดยส่วนตัวคิดว่าเป็นอุตสากรรมที่น่าจับตามองเป็นอย่างมาก เพราะศักยภาพของ ตลาดนี้ยังสามารถโตไปได้อีกยี่สิบปี บริษัทอย่าง TESLA ซึ่งหันมาโฟกัสทางด้านนี้ ในปี 2010 มียอดขาย แค่เพียง 117 ล้านเหรียญ แต่กลายมาเป็น 4 พันล้านเหรียญในปี 2015 ถึงแม้ว่าตอนนี้บริษัทยังไม่มีกำไร เนื่องจากค่าใช้จ่ายทางด้านวิจัยและพัฒนาที่สูงขึ้น แต่อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทในปีล่าสุด สามารถทำได้ ในระดับเดียวกับ TOYOTA และ HONDA ณ เวลานี้คงยังเร็วเกินไปที่จะบอกว่าใครจะเป็นผู้ชนะในศึก EV ของวงการรถยนต์ เพราะในช่วงแรกของ S-Curve เมื่อทุกคนเห็นว่าตลาดเติบโต จะมีผู้สนใจเข้ามา ร่วมแข่งขันกันเป็นอย่างมาก หากเรานึกถึงตลาดชาเขียวในเมืองไทยเมื่อราวสิบปีก่อน จะเห็นได้ว่ามีหลาก หลายแบรนด์ แต่ตอนนี้หลักๆคือแค่สองแบรนด์ ตลาด EV นั้นคงต้องผ่านการต่อสู้กันอย่างดุเดือดเช่นกัน ก่อนที่จะรู้แน่ชัดว่า ใครกันจะได้ขึ้นเป็นผู้นำตลาดเมื่อการดีดตัวอย่างรุนแรงของ S-Curve มาถึง เมื่อ: 2016-05-19T10:22:58+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
หุ้นหลักทรัพย์สายสิงคโปร์ คนขายของ: จะโดนต่อต้านด้วยหรือเปล่าเนี่ย พวก UOBKH .. เมื่อ: 2006-03-18T06:00:31+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
ตลาดโทรศัพท์มือถือ chatchai: ที่สวนดุสิต  จะมีนักศึกษาหูหนวกและเป็นใบ้จำนวนมาก คุณเชื่อไหมครับว่า  หลายคนมีโทรศัพท์มือถือใช้กันครับ หรือว่าตลาดโทรศัพท์มือถือจะถึงทางตันแล้ว  แม้คนหูหนวกและเป็นใบ้ยังมีแล้ว เมื่อ: 2005-09-19T02:56:24+00:00 ต.หยวนเปียว: ใกล้อิ่มตัวแล้ว เมื่อ: 2005-09-19T03:22:57+00:00 คัดท้าย: ผมกลับมองว่า การอิ่มตัว นั้น ไม่น่ากลัวเท่า การถูกแทนที่ครับ ผมเคยโพสต์ เทคโนโลยีใหม่ๆที่กำลังจะออกมาแล้วดูค่อนข้างน่ากลัวสำหรับบริษัทมือถือ ไว้ที่ http://www.thaivi.com/webboard/viewtopic.php?t=10107 ตอนนี้เทคโนโลยี เครือข่าย IP ที่ออกมาใหม่ๆ รวมถึง Voice Over IP ก้าวหน้าไปมากๆครับ เมื่อไม่นานมานี้ มีบริษัทนึง ทำระบบ Voice Over IP ออกมาเป้นระบบคล้ายๆ กับ MSN ที่เราใช้กันอยู่เนี่ยแหละครับ แต่เป็นการใช้เสียงคุยแทนที่จะพิมพ์ ซึ่งออกมาไม่นานก็ดังเป็นพลุแตก บริษัทนั้นคือ Skype ผมว่า บางท่านอาจจะเคยใช้แล้วด้วยซ้ำ ด้วยเทคโนโลยีนี้ เราสามารถคุยกันข้ามประเทศโดยใช้เสียง โดยไม่ต้องเสียค่าโทรศัพท์ทางไกลเลย !!! SceenShot เพิ่มเติม : http://www.skype.com/products/screenshots.html แล้วต่อไป บริษัท ที่ให้บริการ ระบบโทรทางไกลระหว่างประเทศ จะทำอย่างไร ? เมื่อ: 2005-09-19T09:01:16+00:00 hot: Voice Over IP  กำลังสนใจอยู่คับ  เห็นคนเสนอขายเป็นฮาด์แวร์เลย แบบยกหูแล้วคุยกัน  ผมว่าทันสมัยดี  แต่เสียงไม่ใส ชัด ในทุกระบบนะคับ แล้ว  สินค้าแต่ละชนิด ไม่เหมือนกัน เมื่อ: 2005-09-19T09:04:05+00:00 คัดท้าย: ทีนี้ มาถึงตรงนี้ หลายๆท่านคงคิดว่า เอ ... แล้วมันเกี่ยวอะไรกับมือถือ ? ใครจะพก PC หรือ Laptop เพื่อไปโทรศัพท์ ? เจ้า Skype มีให้เลือกใช้งานหลาย Platform ครับ ทั้ง PC, Linux, Mac และ PocketPC ลองไปดูที่ http://www.skype.com/products/ คงไม่น่ากลัวครับ ถ้าไม่มี Pocket PC Phone ออกมาเกลื่อนกลาดตอนนี้ครับ ผมเองก็ใช้ O2Mini ที่เป็น Pocket PC Phone อยู่ คิดดูเองแล้วกัน ว่าทุกวันนี้ Pocket PC Phone ทยอยออกตัวกันมาเยอะขนาดไหน แม้แต่ Palm One ที่ทำ Treo ก็จะเปลี่ยนไปใช้ PocketPC เทคโนโลยีแล้ว (MSFT น่าจะขึ้นนะ อิอิ) เมื่อ: 2005-09-19T09:07:33+00:00 CK: ebay ซื้อ skype ไปแล้วครับ คุณคัดท้าย จะเป็น synergy กันหรือเปล่า ยังสงสัยอยู่ เมื่อ: 2005-09-19T09:08:27+00:00 คัดท้าย: CK เขียน:ebay ซื้อ skype ไปแล้วครับ คุณคัดท้าย จะเป็น synergy กันหรือเปล่า ยังสงสัยอยู่ ครับกำลังจะโพสต์เลยครับ คุณ CK .............. http://www.ecommercetimes.com/story/sIM ... iant.xhtml EBay Looks to Become Phone Giant By Gene J. Koprowski UPI 09/16/05 5:00 AM PT "The deal with eBay and Skype is a prime example of the ability to provide the emerging quad-play -- voice, video, data, wireless," said Eyal Bartfeld, chief executive officer of Integra5 Communications, a telecom-technology developer based in Burlington, Mass. "Service providers of all types are trying to get a piece of the action." The motivation for eBay's (Nasdaq: EBAY)  acquisition of Internet  telephony upstart Skype may be a mystery to most. Technology analysts first speculated that eBay's US$2.6 billion purchase of the free Voice over Internet Protocol provider, based in Luxembourg, was designed to enhance the multimedia capabilities of the auctioneer -- making its online auctions more like the open outcry auctions of the real world, featuring both bidding strategy and sound. Future of Telecom "The ease of communications would enhance eBay's trading business," said J. Kevin Gray, an intellectual-property attorney with the Dallas office of Fish & Richardson, "especially for a complicated transaction, such as real estate or automobiles, where detailed conversations between a buyer and seller might be desired." But now, telecom experts are saying that they think the move by eBay may actually have little to do with auctions and may be more of a play to become a telecom provider, a more agile version of the Bell companies. "The deal with eBay and Skype is a prime example of the ability to provide the emerging quad-play -- voice, video, data, wireless," said Eyal Bartfeld, chief executive officer of Integra5 Communications, a telecom-technology developer based in Burlington, Mass. "Service providers of all types are trying to get a piece of the action." Blogger and Internet telecom visionary Jeff Pulver, founder of Pulver.com, went even further in a recent posting to his own blog. The eBay and Skype deal "turns the entire telecom industry picture on its head," he wrote. The deal "demonstrates that voice, presence, text messaging and other IP-based applications will be essential for the company of the future." Keeping Up With the Google's Bartfeld believes eBay is moving into the telecom territory -- just like Google (Nasdaq: GOOG)  did in recent weeks when it announced it was going to be offering voice-enabled services with its Google Talk project. "To succeed and differentiate themselves in the marketplace, these cable, Internet and telecom service providers will need to provide unique services, service bundles and low costs," said Bartfeld. That will enable them to avoid becoming "just another" service provider, he added. The moves by eBay, Google and even Microsoft (Nasdaq: MSFT) , with its MSN Messenger, are changing the telecom industry in a dramatic fashion. The strategies will push the development of new technologies. "And the companies providing these solutions to the service providers need to be prepared to handle the many different types of service protocols traveling over rapidly changing networks," said Bartfeld. Some Not Buying It There are some extreme critics of the deal, however. Last Friday a Goldman Sachs analyst, Anthony Noto, sent clients a memorandum saying that the purchase made little sense, and the objective of obtaining the VoIP technology could have been accomplished through a licensing deal. The auctioneer has some 100 million customers and sellers, and Skype has about 53 million users of its free Internet telephony service, about half of whom reside in Europe. Observers said that portals like Google, Yahoo (Nasdaq: YHOO) , MSN and eBay make a major portion of their revenues through advertising today. By providing free telephony for those who visit eBay.com, the auctioneer might be able to significantly boost that component of its revenue stream. To be sure, the free Internet telephone services could still be blocked by firewalls and other security  measures. Look for other deals like this eBay and Skype acquisition in the coming months, however. "This is the first wave of consolidation in the IP telephony business," said Roland Van der Meer, senior partner at ComVentures, a venture-capital firm based in Palo Alto, Calif. "Every major player in the Internet space, from Google to Yahoo, has an IP telephony play in the works." เมื่อ: 2005-09-19T09:14:17+00:00 คัดท้าย: [quote="hot"]Voice Over IP เมื่อ: 2005-09-19T09:19:29+00:00 คัดท้าย: PDA Phone ทุกวันนี้ มีความสามารถเทียบเท่า PC ใน 5 ปีที่แล้ว หรือเปล่าครับ ? ถ้าต่อไป Wi-Max หรือ เทคโนโลยีอื่นๆ ที่คล้ายๆกัน เกิดบูมขึ้นมาละครับ ? ต่อไป เราอาจเทรดหุ้น โดยใช้มือถือเป็นหลัก หรือเปล่านะ ? เมื่อ: 2005-09-19T09:21:08+00:00 คัดท้าย: เมื่อ 10 ปีก่อน ใครบอกว่า บริษัทที่ทำโทรศัพท์บ้าน  อย่าง TT&T หรือ TA จะแย่ เพราะคนไปใช้มือถือหมด คงเป็นไอ้บ้า  :lovl:  :lovl:  :lovl: ไม่แน่อีก 10 ปี ... บิลเกต เปลี่ยนไปขาย Microsoft Window Mobile Edition กับ Microsoft Mobile Office เป็น Product หลัก .. Macfee ทำรายได้หลักจาก Scan Virus บน PDA Phone ... เทรดหุ้นกันบน PDA Phone เป็นหลัก ... PDA Phone มี Harddisk 10 - 20 Gb,  CPU 1.5 Ghz ... พร้อมกล้อง 5 M พิเซล เป็นมาตรฐาน... ... etc.. วันนี้ O2 ออกรุ่นใหม่นะครับ O2 XDA Exec http://www.siamphone.com/catalog/o2/xdaexec.htm จุดเด่นและคุณสมบัติพิเศษ (Feature) กล้องดิจิตอล 1.3 ล้านพิกเซล พร้อมแฟลช (Digital Camera) - ซูมดิจิตอล 4 เท่า (4x Digital zoom) - แสดงรูปถ่าย ขณะมีสายเข้า (Photo Contacts) - โปรแกรมตกแต่งรูปภาพ (Picture Editor) บันทึกวีดีโอ ภาพเคลื่อนไหว (VDO capture) โปรแกรม Windows Media Player Mobile เวอร์ชั่น 10 - ฟังเพลง MP3, วีดีโอ (MP3 player & Video) ลำโพงเสียงคู่ (Dual Speaker) โปรแกรมติดตั้งมาตรฐานในเครื่อง (Standard applications) - Pocket Excel, Pocket Word : พิมพ์, อ่านงานเอกสาร - ClearVue PDF + PPT : อ่าน E-book, PowerPoint - Pocket Outlook : โปรแกรมรับ-ส่งอีเมล์ (Email) - Pocket Internet Explorer : ท่องโลกอินเตอร์เน็ต - MSN Messenger, ActiveSync : CHAT + โอนถ่ายข้อมูล - Windows Media Player : ฟังเพลง MP3, วีดีโอ ระบบสำรองข้อมูล (xBackup) เมื่อ: 2005-09-19T09:36:34+00:00 คัดท้าย: ถ้าอยากลองอ่าน Skype กับ PDA Phone ผมเพิ่งอ่านเจอพอดีเลยครับใน Pocket PC Magz ฉบับเดือนกันยายน นี้ครับ เมื่อ: 2005-09-19T09:38:11+00:00 Dech: ทันสมัยมากๆ ครับ เจ้า Voice Over IP นี้คุ้นๆว่า TOT กับ CAT กำลังจะลงมาทำไม่ใช่หรือครับ ไม่รู้ไปอ่านที่ไหนมา จำผิดมั้ยเนี้ย ถ้าคุยผ่าน net ได้ฟรี แล้วเจ้า skype จะเอากำไรมาจากไหนละครับ แต่ถ้าเป็น hardware แบบที่คุณ hot ว่าก็คงได้กำไรแน่ๆ เมื่อ: 2005-09-19T09:41:39+00:00 คัดท้าย: CopyWriter เขียน:ทันสมัยมากๆ ครับ เจ้า Voice Over IP นี้คุ้นๆว่า TOT กับ CAT กำลังจะลงมาทำไม่ใช่หรือครับ ไม่รู้ไปอ่านที่ไหนมา จำผิดมั้ยเนี้ย ถ้าคุยผ่าน net ได้ฟรี แล้วเจ้า skype จะเอากำไรมาจากไหนละครับ แต่ถ้าเป็น hardware แบบที่คุณ hot ว่าก็คงได้กำไรแน่ๆ Model Business ด้านนี้ มามากมายหลายแบบครับ ถามว่า Google, Yahoo , MSN คุณเคยเสียตังหรือไม่ เค้าหาเงินได้อย่างไร ? มีคำตอบครับ แต่จะยาวไป eBay ที่ซื้อ Skype ไปผมเห็นหลายสถานถึงประโยชน์เลยครับ ผมได้ยินมาว่า Microsoft และ Google ก็เหล่ๆ VoIP กันอยู่ครับ ส่วน VoIP แบบเสียตัง ผมเสียวแทนครับ แถมด้วย PDA Phone ของ Motorolla ตัวใหม่ Motorola Q รุ่นนี้เค้าว่าของเค้าบางที่สุดในขณะนี้ ที่เล่าๆมานี่ ไม่ได้แนะนำให้ขาย Advanc หรือ Ucom นะครับ เพียงแค่บอกว่า การลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี หรือ กลุ่มที่ซื้อเทคโนโลยีมาให้บริการ ล้วนมีความเสี่ยง เหมือนที่ลุงบัฟ ว่าไว้เลยครับ แม้แต่ SATTEL บอกตรงๆ ผมเสียวครับ ถ้าจะซื้อแบบลงทุน แต่อาจเล่นเก็งกำไรนะ อิอิ  :mrgreen: เมื่อ: 2005-09-19T09:54:44+00:00 Onokung:     สุดยอดครับ พี่คัดท้าย กระทู้เดียวข้อมูล เยอะเลย เมื่อ: 2005-09-19T10:12:24+00:00 stp: สะดวกและใช้ง่ายดีครับ Skype นี่ conference call ข้ามทวีปยังได้เลย เคยลองถามพนักงาน  CAT ตอนไปจ่ายตังค์ เขาบอกว่าผิดกฏหมาย จริงหรือเปล่าก็ไม่รู้แต่ก็ยังใช้อยู่ครับ ข้อด้อย Skype นี่ถ้า internet ช้าเสียงที่คุยมันจะ lag lag ไปหน่อย  :mrgreen:  :mrgreen:  :mrgreen:  :mrgreen: เมื่อ: 2005-09-19T10:20:27+00:00 คัดท้าย: [quote="stp"]สะดวกและใช้ง่ายดีครับ Skype นี่ conference call ข้ามทวีปยังได้เลย เคยลองถามพนักงาน เมื่อ: 2005-09-19T10:32:55+00:00 harry: น่าสนใจนะ เมื่อ: 2005-09-19T10:40:54+00:00 stp: ผมเชื่อว่า รายได้ จากค่าโทรทางไกล .. คงหายไปไม่น้อย อาจจะเหลือจากค่า SMS ตอนนัดคุย กับค่า log in internet นะผมว่า  :mrgreen:  :mrgreen:  :mrgreen:  :mrgreen: เมื่อ: 2005-09-19T10:50:10+00:00 chokch5: ผมขอแชร์ประสบกราณ์จากการทำงานทั้งบ. มือถือ และบ. ที่ทำเกี่ยวกับ internet ครับ คงต้องถามคำถามแรกเลยว่าทำไมมือถือ ถึงเป็นที่นิยมกันทั่วไปในปัจจุบันนี้ คำตอบร้อบละ เกือบ 95% (จากการสำรวจครับ) เพราะว่าสามาถโทรได้เกือบทุกที่ที่ต้องการ ในตึก, ลิฟท์ หรือแม้กระทั่ง ที่จอดรถชั้นใต้ดินของห้าง ซึ่งในสมัยก่อนไม่มีใครคิดว่ามือถือสามารถมาทดแทนโทรศัพท์บ้านได้ ซึ่งทั้งระบบมือถือและโทรศัพท์บ้านต้องใช้เงินลงทุนที่สูงมาก จะเห็นว่าทุก บ.มีการกู้เงินที่สูงดังนั้นถ้าจะมีระบบโทรศัพท์อะไรก็แล้วแต่ก็ต้องใช้เงินลงทุนที่สูงเช่นกัน - ถ้าลงทุนในการขยายเครือข่ายไม่มาก พื้นที่การให้บริการก็จะไม่มาก ซึ่งทำให้ผู้ซื้อ ก็จะไม่ซื้อบริการของระบบนั้นๆ (ลองคิดดูว่าระบบไหนบ้างครับ) คราวนี้ดูระบบต่างๆดังนี้ครับ มือถือ (ระบบที่มีพื้นที่ครอบคลุมทั้งประเทศ) ข้อดี ใช้งานได้ทุกที่ ข้อเสีย  ลงทุนขยายเครือข่ายสูง Skype เป็นระบบที่ใช้การเชื่อมต่อแบบ VoIP ซึ่งหมายความว่าต้องทำการเชื่อมต่อกับ internet ข้อดี  ค่าโทรศัพท์ถูกมาก แค่สามารถเชื่อมต่อกับ internet เท่านั้น  เหมาะกับการโทรไปต่างประเทศ ข้อเสีย  ไม่สามารถใช้ได้ทุกที่ที่ต้องการ ต้องหาจุดที่สามารถเชื่อมต่อกับ internet เท่านั้น เช่น ระบบ Wi-Fi ในปัจจุบัน, ข้อเสียอีกอย่างคือ เสียงโทรศัพท์ที่ได้ยินมีคุณภาพที่ไม่ดี เพราะว่าการเชื่อมกับ internet จะไม่มีการ guarantee คุณภาพการส่งและรับ สำหรับ WiMax คงต้องรออีกประมาณ 2 ปีครับ ถึงสามารถใช้ได้จริงจริง (แบบเคลื่อนที่ได้) พิมพ์เหนื่อยแล้วครับ เมื่อ: 2005-09-19T13:35:29+00:00 Onokung: [quote="คัดท้าย"][quote="stp"]สะดวกและใช้ง่ายดีครับ Skype นี่ conference call ข้ามทวีปยังได้เลย เคยลองถามพนักงาน เมื่อ: 2005-09-19T14:28:36+00:00 chokch5: คือถ้ามาใช้เอง โดยการสมัครกับทางต่างประเทศ เช่น skype แล้วโทรต่างประเทศ ตอนนี้สามารถทำได้ครับ (จริงๆ ก็ไม่ถูกกฎหมาย แต่ใช้ส่วนบุคคล แล้วยังใช้กันไม่แพร่หลาย) แต่ถ้ามาเปิดให้บริการกับบุคคลทั่วไป ถูกตามจับแน่นอนครับ ซึ่งก็เกิดขึ้นแล้ว เมื่อ: 2005-09-19T15:08:57+00:00 คัดท้าย: chokch5 เขียน:คือถ้ามาใช้เอง โดยการสมัครกับทางต่างประเทศ เช่น skype แล้วโทรต่างประเทศ ตอนนี้สามารถทำได้ครับ (จริงๆ ก็ไม่ถูกกฎหมาย แต่ใช้ส่วนบุคคล แล้วยังใช้กันไม่แพร่หลาย) แต่ถ้ามาเปิดให้บริการกับบุคคลทั่วไป ถูกตามจับแน่นอนครับ ซึ่งก็เกิดขึ้นแล้ว ใช่ครับ ถ้าไม่ได้ใช้ในเชิงพานิชย์ คงว่าอะไรไม่ได้ ... ว่าแต่พอทราบมั้ยครับว่า เปิดเสรี โทรคม จะต้องเปิดปีไหนครับ ? เมื่อ: 2005-09-19T15:33:23+00:00 Onokung: คัดท้าย เขียน: ใช่ครับ ถ้าไม่ได้ใช้ในเชิงพานิชย์ คงว่าอะไรไม่ได้ ... ว่าแต่พอทราบมั้ยครับว่า เปิดเสรี โทรคม จะต้องเปิดปีไหนครับ ? ถ้าเป็นเรื่อง ใกล้ตัวผมเรื่อง การเปิดเสรี ISP จากแต่เดิม กำหนดให้มีแค่ 18 ราย   เปิดไปแล้วครับ ไม่นานนี้เอง (ไม่รู้ว่า เสรีอันนี้รวมกับเสรีของ พี่คัดท้ายมั๊ย) เมื่อ: 2005-09-19T16:03:36+00:00 Raphin Phraiwal: คัดท้าย เขียน:... ว่าแต่พอทราบมั้ยครับว่า เปิดเสรี โทรคม จะต้องเปิดปีไหนครับ ? 2550 ครับ (ค.ศ. นะครับ ) เมื่อ: 2005-09-19T16:13:32+00:00 por_jai: 8) ขอบคุณท่านคัดท้าย สำหรับการอัพเดทข่าวสารที่มีประโยชน์     ผมนั่งอ่านเรื่องฮาร์ดดิสก์จิ๋วกะ แนนแฟลช จนพอรู้ว่าถ้าจะเลือกใช้     ควรจะเลือกทางไหน จะได้คุ้มค่ากว่า     -ก่อนหน้านี้ในชีวิตไม่เคยพิมพ์ดีดเป็นเลย      ตอนทำงานก็อาศัยสารบรรณแผนกตลอด     -มาหัดพิมพ์ก็เมื่อปลายปีที่แล้วด้วย2เหตุผล      1.มารู้จัก TVI อยากโพสเป็น      2.อีหนูไปเรียนต่อโท ก็เลยให้เค้าสอนใช้เอ็มเอสเอ็นให้จะได้คุยกัน      ไม่ต้องใช้โทรศัพท์ทางไกล  ก็ได้ใช้เอ็มสักพัก       ต่อมาได้คุยกะเพื่อนที่ทำงานคอม เค้าก็ถามว่าทำไม่ไม่ใช้skype(อ่านว่าสไก๊ป์)       โอ สดวกกว่าเยอะ ไม่ต้องพิมพ์ด้วย       ผมว่าไอ้สไก๊ป์มันเก่งนะ ใช้adslตัว256/128kbps คุยกันสบายๆ       ถ้าไม่ใช้ร่วมกะwebcam มันก็ไม่กระตุก       แต่แปลกแฮะไปๆมาๆก็กลับมาพิมพ์คุยกันในเอ็มเหมือนเดิม เมื่อ: 2005-09-19T16:31:05+00:00 chokch5: ตอนนี้มี กทส (คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่จะดูแลการออกใบอนุญาติต่างๆ ครับ ทั้งระบบ มือถือ โทรศัพท์บ้าน internet (ซึ่งได้ออกใบอนุญาติไปแล้ว) ซึ่ง VoIP ก็ต้องออกใบอนุญาติเหมือนกัน จะเห็นว่าทางกทช มีงานมากมายในเรื่องของการออกใบอนุญาติ ซึ่งคงด้องทำเรื่องที่เร่งด่วนก่อน ผมว่า VoIP คงอีกนานเลยครับ ตอนนี้แค่สะสางการออกให้บ. มือถือก็ลำบากแล้วครับ  สามารถเปลี่ยนจากขากทุนเป็นกำไรได้เลยครับ ไม่รู้ว่าตอบคุณคัดท้ายหรือเปล่า ???  ถ้าหมายถึงการเปิดเสรี ก็คงหมายถึงการออกใบอนุญาติครับ คือใครก็สามารถขอใบอนุญาติได้ เช่นคุณคัดท้ายอยากทำธุรกิจมือถือก็ขอได้ (น่าจะประมาณสิ้นปี) แต่คงต้องมีเงินลงทุนประมาณ หมื่นล้าน (ผมพูดจริงๆ) และก็รายละเอียดการแบ่งรายได้ให้กับประเทศ ไม่ใช่ TOT หรือ CAT ถ้ามีเงินมากขนาดนี้จะทำมั๊ยครับ เมื่อ: 2005-09-19T16:33:50+00:00 คัดท้าย: [quote="chokch5"]ตอนนี้มี กทส (คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่จะดูแลการออกใบอนุญาติต่างๆ ครับ ทั้งระบบ มือถือ โทรศัพท์บ้าน internet (ซึ่งได้ออกใบอนุญาติไปแล้ว) ซึ่ง VoIP ก็ต้องออกใบอนุญาติเหมือนกัน จะเห็นว่าทางกทช มีงานมากมายในเรื่องของการออกใบอนุญาติ ซึ่งคงด้องทำเรื่องที่เร่งด่วนก่อน ผมว่า VoIP คงอีกนานเลยครับ ตอนนี้แค่สะสางการออกให้บ. มือถือก็ลำบากแล้วครับ เมื่อ: 2005-09-19T16:58:49+00:00 CK: เรื่อง skype ผิดกฎหมาย ขอออกความเห็นดังนี้ครับ 1. กฎหมายไม่มีโดยตรงครับ ตอนนี้ CAT เป็นแค่ "ผู้ได้สัมปะทานรายหนึ่งเท่านั้น" 2. skype ไม่ได้เชื่อมต่อตรงเข้าโทรศัพท์ในเมืองไทย จึงไม่ผิดประเด็นเรื่องทศท. 3. การโทรทางไกลด้วย skype ไปต่างประเทศบน notebook หรือ desktop ไม่ผิดกฎหมายครับ เพราะไม่ได้ใช้เครือข่ายโทรศัพท์ แต่ใช้ internet รับส่ง multimedia data packet -- อันนี้เป็นการตีความ แต่ CAT ต้องพยายามเอา สีข้างเข้าถู เพราะเขาเสียรายได้ ส่วนประเทศปลายทาง จะผิดกฎหมายของเขาหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละประเทศ แต่ในอเมริกาไม่ผิดแน่ๆ เพราะ skype ในตอนแรก ไม่ใช่ US Company ไม่โดนปัญหาเรื่องสัมปะทาน และ network operators ก็ไม่รู้จะใช้กฎอะไรปิดกั้น 4. การทำตู้โทรศัพท์โดยใช้เครื่องโทรศัพท์ธรรมดาต่อกับ network และทำ VOIP เลย (คนใช้แค่จิ้มหมายเลขปลายทางในโทรศัพท์) น่าจะผิดครับ เพราะคนที่ให้บริการนี้ ต้องได้รับสัมปะทานจากกทช. ตอนนี้มีแค่ TRUE TT&T กับ TOT ที่ทำได้ เมื่อ: 2005-09-19T17:18:02+00:00 Onokung: เมื่อวันที่ 29 สค 48 จากประชาติธุรกิจ http://www.matichon.co.th/prachachart/p ... 2005/08/29 "กทช." ระบุชัด บริการ "แคท ทู คอล พลัส" ผิดกฎหมาย ชี้ใบอนุญาตใหม่ "กสทฯ" ไม่รวมถึงบริการ "VOIP" เตรียมส่งเจ้าหน้าที่ตรวจสอบด่วน พร้อมออกไลเซนส์อินเทอร์เน็ตเพิ่มให้อีก 3 เจ้า "ทีทีแอนด์ที-อคิวเม้นต์ และเคิร์ช" รศ.สุธรรม อยู่ในธรรม กรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) กล่าวว่า กรณีที่บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) เปิดบริการ CAT2Call Plus ซึ่งมีลักษณะเป็นการให้บริการโทรศัพท์ผ่านระบบอินเทอร์เน็ตโปรโตคอล (VOIP) ถือเป็นบริการที่ผิดกฎหมาย เนื่องจากในใบอนุญาตให้บริการอินเทอร์เน็ตที่ กสทฯได้รับไม่ได้รวมถึงบริการ VOIP ทั้งยังมีระบุไว้ชัดเจนในประกาศ กทช.เรื่องหลักเกณฑ์และวิธีการขอรับใบอนุญาตบริการอินเทอร์เน็ต ข้อ 5 วรรค 2 ว่าไม่รวมถึงการให้บริการเสียงผ่านระบบอินเทอร์เน็ต ซึ่งในขณะนี้ กทช.ยังไม่ได้ออกหลักเกณฑ์ เงื่อนไขการให้บริการดังกล่าว หาก กสทฯอ้างว่าเป็นบริการที่เคยทำอยู่เดิมก็ต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าเป็นบริการที่เปิดก่อนการประกาศใช้ พ.ร.บ.การประกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2544 ขณะที่ พล.อ.ชูชาติ พรหมพระสิทธิ์ ประธานคณะกรรมการ กทช. กล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ตนจะสั่งการให้เจ้าหน้าที่สำนักงาน กทช.เข้าไปตรวจสอบการเปิดให้บริการดังกล่าวของ กสทฯด้วย เพราะถือเป็นบริการในลักษณะที่เรียกว่า VOIP ซึ่ง กทช.ยังไม่ได้ประกาศหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการให้บริการ VOIP แต่อย่างใด "แม้จะบอกว่าเป็นบริการที่เคยทำอยู่เดิม แต่ถ้าจะมีการขยายบริการเพิ่มก็ต้องแจ้งให้ กทช.ทราบ การไม่แจ้งให้ทราบถือว่าไม่ได้ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่กำหนดไว้ ตัวผมเองก็ยังไม่ได้รับรายงานว่า กสทฯส่งหนังสือแจ้ง กทช.ว่าจะเปิดให้บริการนี้" พล.อ.ชูชาติกล่าวและว่า ส่วนกำหนดการเกี่ยวกับการออกใบอนุญาตให้บริการ VOIP กทช.มีแผนที่จะประกาศหลักเกณฑ์ เงื่อนไขการขอใบอนุญาตในเดือนธันวาคมปีนี้พร้อมกับไลเซนส์การประกอบธุรกิจดาวเทียม ธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ และเกตเวย์ ทั้งนี้ ในการประชุมคณะกรรมการ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) เมื่อวันที่ 24 ส.ค.2548 ที่ผ่านมา คณะกรรมการ กสทฯได้อนุมัติการเปิดให้บริการ CAT2Call Plus ซึ่งเป็นบริการโทรศัพท์ทางไกลระหว่างประเทศผ่านโครงข่ายไอพีเน็ตเวิร์ก โดยให้เหตุผลว่าเป็นบริการที่ กสทฯเคยทำอยู่เดิมและมีพื้นฐานอยู่บนใบอนุญาตให้บริการอินเทอร์เน็ตและโทรศัพท์ระหว่างประเทศที่เพิ่งได้รับจาก กทช. ขณะเดียวกัน นายสุรนันท์ วงศ์วิทยกำจร เลขาธิการสำนักงาน กทช.เปิดเผยว่า คณะกรรมการ กทช.ได้อนุมัติในหลักการให้มอบใบอนุญาตบริการอินเทอร์เน็ตแบบที่ 1 เพิ่มอีก 3 ราย ประกอบด้วย 1.บริษัท ทีทีแอนด์ที จำกัด (มหาชน) 2.บริษัท อคิวเม้นต์ จำกัด และ 3.บริษัท เคิร์ช จำกัด "ในส่วนของบริษัททีทีแอนด์ที ซึ่งเป็นคู่สัญญากับบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) นั้น สามารถรับใบอนุญาตได้ เนื่องจากในสัญญาร่วมการงานหมายถึงบริการโทรศัพท์พื้นฐานเท่านั้น ซึ่งกรณีที่ไม่ใช่ใบอนุญาตโทรศัพท์พื้นฐาน ทีทีแอนด์ทีก็มีสิทธิมาขอจาก กทช.ได้ เพียงแต่ต้อง verify ตัวเองให้ได้ว่าจะไม่มีปัญหาอะไรกับคู่สัญญาเดิม" นายสุรนันท์กล่าวและว่า อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่ กทช.ต้องให้ความสำคัญคือใบอนุญาตแบบที่ 1 ไม่มีโครงข่าย ผู้รับใบอนุญาตต้องไปเช่าใช้โครงข่าย ซึ่งในกรณีที่เจ้าของโครงข่ายมีบริษัทลูกที่เป็น ISP ต้องเปิดให้บริษัทอื่นเข้ามาใช้โครงข่ายของตนเองได้ในหลักเกณฑ์ที่เท่าเทียมกัน ขณะที่ ดร.สุพจน์ เธียรวุฒิ ผู้อำนวยการสายงานวางแผนกลยุทธ์ บริษัท ทีทีแอนด์ที จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงที่ทีทีแอนด์ทีให้บริการอยู่ในขณะนี้ มีลักษณะเป็นการให้บริการ access ไม่ใช่ ISP ดังนั้น การขอรับใบอนุญาต ISP จาก กทช.จึงไม่ได้ขัดกับสัญญาร่วมการงานแต่อย่างใด ส่วนแผนการทำตลาดนั้น ทีทีแอนด์ทีจะแตก แบรนด์ใหม่ในส่วนของใบอนุญาตที่บริษัท ทีทีแอนด์ที ซับสไคร์สเบอร์ แอนด์ เซอร์วิสเซส จำกัด ได้รับให้บริการโดยเน้นกลุ่ม consumer เป็นหลัก ในขณะที่ใบอนุญาตที่ทีทีแอนด์ที จำกัด (มหาชน) ได้รับ จะบันเดิลไปกับโซลูชั่นต่างๆ ให้ครบวงจรมากขึ้น และคาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการในส่วนของลูกค้า consumer ได้ในเดือนหน้า ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กทช.ได้มีมติแต่งตั้งคณะกรรมการที่ปรึกษาด้านการคุ้มครองผู้ใช้บริการโทรคมนาคม ประกอบด้วย 1.ศาสตราจารย์อมรา พงศาพิชญ์ 2.นางสาวสุภา ปิยะจิตติ 3.รองศาสตราจารย์สมคิด เลิศไพฑูรย์ 4.รองเลขาธิการ กทช.ด้านการบริการอย่างทั่วถึง 5.เลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค หรือตัวแทน 6.อธิบดี กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ หรือตัวแทน 7.นายกสมาคมโทรคมนาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ หรือตัวแทน 8.ผู้จัดการสหพันธ์องค์กรผู้บริโภค หรือตัวแทน 9.ผู้อำนวยการสำนักคุ้มครองผู้ใช้บริการ และ 10.พนักงานสังกัดสำนักคุ้มครองผู้ใช้บริการ เมื่อ: 2005-09-20T02:27:27+00:00 edd: ผมพึ่งกลับจากสวิส อาทิตย์ก่อน ก็ใช้เจ้า skype โทรกลับเมืองไทยจาก Notebook ราคานาทีละ 5 เซนต์ us$ ซึ่งจริงๆก็ไม่ได้ถูกกว่าราคาค่าโทร Voip จาก Swisscom หรอก แต่สะดวกกว่ามาก เพราะใช้ Swisscom ต้องเสียค่า access ให้โรงแรมครั้งละ 2.4 สวิสฟรังส์ หรือเกือบ 80 บาท แต่ใช้ skype ไม่ต้องเสียเพราะที่โรงแรมที่โน่นส่วนมากมี wi-fi ให้ใช้ฟรีแล้ว ยิ่งถ้าบางโรงแรมไม่ block พวก sib server ใครที่ register ไว้กับพวก sib server ก็สามารถโทรกับบ้านได้ฟรีไม่เสียตังค์เลย เพื่อนๆที่ไปด้วยบางคน ลงทุนต่อระบบ switching ไว้ที่บ้าน (ลงทุนเยอะพอควร แต่มันบอกว่าเอามัน) พออยากโทรหาใครที่เมืองไทย มันก็ connect sib server มาที่บ้านฟรี และค่อยให้ที่บ้านต่อไปยังปลายทาง เสียเป็น local ในประเทศ ถ้าคุยกับลูกที่บ้านก็ฟรีครับ เมื่อ: 2005-09-20T05:23:32+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
แนะนำโปรแกรม tradeหุ้น Android2.2 ขึ้นไปครับ คนอุดร: สามารถไปโหลดได้จาก market ได้เลยชื่อว่า i2trade ครับ หรือที่ https://market.android.com/search?q=i2trade&so=1&c=apps จะมีให้เลือก mobile กับ tablet ครับ แต่มีแค่ 2 โบรก CNS กับ กิมเอ็ง โบรกอื่นรอก่อน เมื่อ: 2011-06-04T17:15:17+00:00 คนอุดร: ส่วนตัวผมไม่ได้ใช้ทั้ง 2 โบรกเลยอดแต่ใช้ blue ครับ ลองหาดูใน market กราฟข้อมูลย้อนหลังให้เลือกพอควร แก้ขัดเวลาออกนอกบ้านได้เหมือนกันครับ เมื่อ: 2011-06-04T17:21:40+00:00 MO101: มือถือสวยนะท่าน แอบเห็นไว้เล็บด้วย ไม่รู้มือใคร 555 เมื่อ: 2011-06-05T03:31:47+00:00 Dekfaifah: โบรกผมก็เห็นว่าจะเข้าร่วมครับ รอข่าวเดือนนี้อยู่ ไ่ม่รู้จะเริ่มใช้ได้เมื่อไหร่ เมื่อ: 2011-06-05T13:25:27+00:00 sylph: ใช้ Blue ?? บลูป้าน นะสิครับ ถึงว่าเห็นหุ้น บ้านปู เมื่อ: 2011-06-05T14:56:36+00:00 ส.สลึง: ถ้าไม่ได้ใช้ android phone เวลาเทรด ใช้โปรแกรมพวก web browser เข้าไปใช้บริการได้แทบทุกโบรกได้ที่นี่ครับ http://www.settrade.com/s เมื่อ: 2011-06-05T16:04:00+00:00 indevidal: ขอบคุณมากครับ ในที่สุดน้องดรอย์ก็มีให้เทรดซักที TT^TT หลังจากเทรดโดยใช้ของpdaมานาน เมื่อ: 2011-06-08T14:27:09+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
ถึงลุงครรชิตครับ tenkafubu: ครับ ผมขออนุญาตเรียกลุงน่ะครับ... ผมสงสัยครับ ทำไมบัฟเฟตถึงลงทุนในธุรกิจโฆษณา?? ในมุมมองของผม (ไม่ได้อยู่ในแวดวงนี้ครับ) ผมมองว่าธุรกิจโฆษณาความยั่งยืนของบริษัทเหล่านั้น อยู่ที่ "คนคิดไอเดียโฆษณา" ทรัพยากรมนุษย์ ที่สามารถคิดหรือทำให้สินค้า/บริการของบริษัทเหล่านั้น สื่อมาโดนใจผู้บริโภค ทำให้ส่งผลต่อยอดขายและกำไรของบริษัทได้ เหมือนกับที่ผมอ่าน the new buffetology ที่ว่า เกี่ยวกับ IBM ซึ่งต่างจากโค้ก ที่ความยั่งยืน ก็คือตัวโค้กนั่นเอง หรือว่ามันเป็นอย่างอื่นเป็นมุมมองอื่นๆ หรือว่ามันคือ Software ที่มีมูลค่าสูงมาก หากเป็นชิ้นแรก แต่จะมีค่าน้อยลงเมื่อมีปริมาณมากขึ้น ยังไงๆรบกวนลุงครรชิต และพี่ๆ ทั้งหลายช่วยชี้แนะด้วยครับ เมื่อ: 2004-03-10T09:53:41+00:00 harry: สำหรับผมแล้วบริษัทโฆษณา เค้าก็มีคนเก่าๆที่มีแนวคิดหลักไว้เป็นแนวให้คนใหม่ๆอยู่แล้ว และก็ในเรื่องเทคโนโลยีความพร้อมต่างๆในการผลิตงานด้วย บางครั้งยังมีเรื่องความสัมพันธ์อันดีของลูกค้าด้วย คงต้องเลือกเป็นรายตัวไปนะ เช่น บริษัทโฆษณาของญี่ปุ่นในไทย บริษัทญี่ปุ่นที่มาขายสินค้าในไทยก็เลือกใช้บริการเพราะว่าคนญี่ปุ่นด้วยกัน อย่างหุ้นของพี่ปรัชญา ก็มีเครือสหพัฒน์ถือหุ้นอยู่มากพอควร ก็ส่งงานให้เพราะว่าบริษัทในเครือ ส่งเสริมกัน ทำนองนี้ครับ เมื่อ: 2004-03-10T10:53:30+00:00 ครรชิต ไพศาล: ผู้คนบริโภคสินค้าทุกชิ้น ที่ต้องจ่ายค่าโฆษณารวมไปในทุกชิ้นของสินค้า บริษัทโฆษณาชั้นนำ ที่ได้เปรียบเชิงการแข่งขันที่ยังยืน จึงเป็นสิ่งที่น่าสนใจ แน่นอนมีการแย่งซื้อตัว นักทำโฆษณาที่มีฝีมือกัน ผมได้อ่านในรายงานประจำปีของ P-FCB เขาก็บอกไว้ ว่านี้เป็นปัญหา แต่เขามีแผนกฝึกฝนอบรมของบริษัทเอง ทำให้คนของเขารักองค์กรของเขา NAME ราคา18/9/03 LAST10/3/04 +/-(%) (%)วันนี้ EPS P/E P/BV D/P% P-FCB 130.00 155.00 19.23 0.00 15.78 9.82 1.56 3.87 หนี้สิน ผู้ถือหุ้น หนี้/EQ ทุน รายได้ กำไร ROA(%) ROE(%) PM(%) PAR MarCap 377.25 596.98 0.63 60.00 748.60 94.66 9.72 15.86 12.64 10 930.00 เติบโต% EPS03 EPS02 EPS01 EPS00 EPS99 EPS98 EPS97 EPS96 61.02 15.78 9.80 9.12 8.99 6.08 8.45 8.73 10.65 วันXD ปันผล วันจ่าย หมวด 2/5/2003 6.00 21/5/2003 PROF NAME ราคา18/9/03 LAST10/3/04 +/-(%) (%)วันนี้ EPS P/E P/BV D/P% FE 83.00 93.00 12.05 3.33 10.52 8.84 1.28 8.42 หนี้สิน ผู้ถือหุ้น หนี้/EQ ทุน รายได้ กำไร ROA(%) ROE(%) PM(%) PAR MarCap 299.69 545.47 0.55 74.79 561.69 60.13 9.31 14.42 10.71 10 695.55 เติบโต% EPS03 EPS02 EPS01 EPS00 EPS99 EPS98 EPS97 EPS96 35.74 10.52 7.75 6.87 5.25 -0.54 3.79 2.56 8.00 วันXD ปันผล วันจ่าย หมวด 4/4/2003 7.83 23/5/2003 PROF EPS ของ FE ปรับแต่งตามหุ้นเพิ่มทุนแล้ว เมื่อ: 2004-03-10T23:59:15+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
สุขสรรค์วันปีใหม่ไทยทุกท่านครับ iscssn: วันนี้บอร์ดเงียบเหงา สงสัยว่าหลาย ๆ ท่านกำลังเดินทาง หรือเตรียมตัวเดินทาง ขอให้ทุกท่านเดินทางด้วยความปลอดภัยนะครับ เมื่อ: 2005-04-11T03:52:40+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
ด่วน!!! สหรัฐฯตัดสิทธิ์ GSP กุ้งไทย Oo_sora: สหรัฐคืนสิทธิ GSP สินค้าไทย 9 รายการ แต่ถูกตัดสิทธิสินค้ากุ้ง-ยางรถยนต์แทน กรุงเทพฯ 1 ก.ค.-นางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า สหรัฐอเมริกาได้ประกาศการทบทวนการให้สิทธิพิเศษทางภาษี (GSP) ประจำปี 2553-2554 แก่ประเทศต่าง ๆ โดยประเทศไทยได้รับสิทธิ GSP สินค้า 9 รายการ ส่งผลให้ภาษีเหลือร้อยละ 0 อาทิ สินค้าดอกกล้วยไม้สด ทุเรียน มะละกอตากแห้ง ข้าวโพดปรุงแต่ง และซอสปรุงแต่งอาหาร เป็นต้น นอกจากนี้ ยังได้พิจารณาคงสิทธิ GSP 1 รายการ คือ สินค้าเครื่องประดับทำจากเงิน โดยสินค้าดังกล่าวประเทศไทยได้รับการผ่อนผันมาแล้ว 5 ปี ถึงแม้ว่าจะมีมูลค่าการส่งออกเกินเพดานที่กำหนดก็ตาม อย่างไรก็ตาม การพิจารณาในครั้งนี้ทางสหรัฐได้ตัดสิทธิ GSP สินค้าไทย 2 รายการ ประกอบด้วย สินค้ากุ้งปรุงแต่ง เนื่องจากส่งออกเกินกว่าสัดส่วนที่กำหนดร้อยละ 50 ซึ่งจากนี้ไปผู้ประกอบการไทยจะต้องเสียภาษีนำเข้าสินค้าในอัตราร้อยละ 5 และ สินค้ายางเรเดียลรถยนต์นั่ง เนื่องจากมีการส่งออกเกินเพดานที่กำหนด ซึ่งจะต้องเสียภาษีในอัตราร้อยละ4 ทำให้การแข่งขันของผู้ประกอบการไทยยากขึ้น โดยการทบทวนดังกล่าวจะมีผลกับการส่งออกสินค้าไทยตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป จนกว่าจะมีการทบทวนใหม่ในช่วงกลางปีหน้า.-สำนักข่าวไทย ที่มา : สำนักข่าวไทย http://news.impaqmsn.com/articles.aspx?id=339404&ch=ec1 เมื่อ: 2010-07-02T00:06:59+00:00 Croyoty: เชอะ ฮึ! ขนาดประเทศตัวเองลำบากน้ำมั่นรั่ว จับกุ้งได้ลดลง 30-50 % ยังมาตัดสิทธิกุ้งไทย บ้ารึเปล่า   1-2 ปีหน้าแกไม่มีกุ้งกินกันแน่นอน ตอนนั้นก็โขกราคาส่งออกก็ได้ เพราะสตอกกุ้งfreeze -18 c อายุ ประมาณ 1 ปี เมื่อ: 2010-07-02T13:01:45+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
พวกเราเคยคิดกันบ้างไหมครับว่าการเลือกรัฐบาลก็คล้ายๆกับการ- CEO: เลือกหุ้น นายก ก็เปรียบได้กับ ประธานบริษัท ผู้บริหารต่างๆ ก็เปรียบเหมือนรัฐมนตรี กรรมการบริษัทก็เปรียบเหมือน สส สว ประธานกรรมการตรวจสอบก็เหมือนประธานรัฐสภา แต่ฝ่ายค้านนี่ เปรียบได้กับอะไร ?? ใครทราบช่วยบอกทีครับ :lol: เมื่อ: 2004-07-20T16:57:59+00:00 harry: ผมว่าเป็น สคบ. แต่ไม่ได้คุ้มครองผู้บริโภคนะ จ้องจับผิดอย่างเดียว เมื่อ: 2004-07-20T18:40:04+00:00 CK: เหมือนผู้ตรวจสอบบัญชีกับฝ่าย Financial Comptroller ครับ ซึ่งสมัยนี้รู้สึกจะไม่ค่อยมีคนอ่านความเห็นผู้ตรวจสอบกันแล้ว เมื่อ: 2004-07-21T01:09:11+00:00 Jeng: ผมคิดว่าการมีฝ่ายค้านดีมากครับ เพราะจะทำให้ฝ่ายรัฐบาล โกงกินแบบเงียบๆ ทำให้ภาพพจน์ประเทศไม่เสีย เมื่อ: 2004-07-21T02:46:30+00:00 CEO: คิดดูอีกที ถ้ามีฝ่ายค้านจริงในบริษัท คงจะยุ่งพิลึก อยู่ไม่นานคงโดนไล่ออกหมด ถ้าใช้คำว่าฝ่ายตรวจสอบน่าจะเหมาะกว่า แต่ สส นี่ผมยังไม่อยากให้ ทรท ได้เสียง มากไป เมื่อ: 2004-07-21T12:56:29+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
วอนผู้รู้ช่วยตอบทีคับ เกี่ยวกับข้อมูลตลาดหุ้นไทย toro: คือผมอยากได้ข้อมูลย้อนหลังของตลาดหุ้นไทย ในหุ้นแต่ละตัว หรือเรียกว่า historical data (Quote) จะไปหาโหลดจากที่ไหนคับ เพราะอย่างข้อมูลหุ้นของต่างประเทศก็จะมีให้โหลดฟรี เช่นที่ quote.com , yahoo finance ในไทยเราพอจะมีข้อมูลตรงนี้ให้มั๊ยครับ ขอบคุณมากครับ ปล.กระทู้นี้เป็นกระทู้แรกของผลเลยนะเนี่ย  :oops: เมื่อ: 2007-01-03T17:57:24+00:00 NinjaTurtle: มาเจิมกระทู้แรก  :lol: ไม่รู้ของใครทำไว้เอามาจาก file พี่ครรชิตอีกที http://www.thaiset.com/stock/ ไม่รู้ประมาณนี้หรือเปล่า ปรกติแล้วโบรกที่คุณเปิดพอร์ทไว้น่าจะมีlink จาก Setsmart หรือ efiancethaiให้ดูข้อมูลย้อนหลังได้ ลองสอบถามดูนะครับ เมื่อ: 2007-01-04T02:10:54+00:00 toro: อ้อ ขอบคุณมากครับคุณ NinjaTurtle ผมมือใหม่จิงๆ เพิ่งจะเข้ามาศึกษาเรื่องหุ้นเมื่อเดือนสองเดือนนี้เองครับ ยังไม่ได้เปิดพอร์ตกับโบรคเกอร์ที่ไหน... วันนี้ลองไปสมัครของ KimEng ที่ให้ลองใช้ได้ฟรี 14 วัน ก็โอเคนะครับมีข้อมูลที่ต้องการครบ..ตามที่ผมต้องการทราบแล้ว ไว้พรุ่งนี้ไปเปิดพอร์ตไว้เลยดีกว่า   เมื่อ: 2007-01-04T14:56:23+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
จะหาราคาหุ้นต่ำสุด ในรอบ 26 สัปดาห์ ได้จาก Web ไหนครับ archie: พี่ๆครับ ถ้าไม่มี นสพ. แล้วเราจะสามารถหาข้อมูลราคาหุ้นต่ำสุดในรอบ 26 สัปดาห์ได้จากแหล่งไหน ใน Internet ได้บ้างครับ ขอบคุณล่วงหน้าครับ เมื่อ: 2007-01-27T05:22:44+00:00 ครรชิต ไพศาล: ลองเอา EPS12YEAR.XLS ของผมไปลองใช้ดู ผมทำ ไว้ใน Sheet ราคา&PE ราคาสูงสุด ราคาต่ำสุด ในรอบ 25 วันทำการ 50 วันทำการ 100 วันทำการ และ จากต้นปี2006 พร้อมด้วย %เปลี่ยนแปลงของราคาปัจจุบัน เทียบกับราคาในรอบเหล่านั้น ถ้าจะเอา EPS12YEAR.XLS ของผมไปลองดู ไปลงชื่อและ แจ้ง E-mail ในกระทู้ http://www.thaivi.com/webboard/viewtopi ... start=6960 เมื่อ: 2007-01-27T07:09:26+00:00 archie: ขอบคุณครับ เมื่อ: 2007-01-28T03:52:35+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
tpi ปัจจุบันใช้กำลังผลิตเต็มกำลังหรือยังคับ hot: เรียนถาม เมื่อ: 2006-01-04T03:09:05+00:00 kla: เท่าที่ทราบ 117% คับ เมื่อ: 2006-01-04T05:12:32+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
คิดกันอย่างไรคับ hot: ปี48 อสังหาริมทรัพย์จะขยายตัวต่อทั้งแรงซื้อและบ้าน ธปท.เชื่อว่า ปีหน้าภาคอสังหาริมทรัพย์จะเติบโตต่อเนื่องทั้งด้านผู้ที่ต้องการซื้อและผู้ผลิตบ้านขาย ในขณะที่ปี 2547 ตลาดอสังหาริมทรัพย์โตอย่างสมดุล และมีเสถียรภาพมากขึ้นและเกิดจากความต้องการซื้อจริงไม่ใช่ความต้องการซื้อเทียมหรือการเก็งกำไร ซึ่งเป็นผลจากมาตรการรัฐ และดอกเบี้ยต่ำ รวมทั้งการแข่งขันกันปล่อยสินเชื่อบ้านของธนาคารพาณิชย์ พร้อมยอมรับว่าอัตราดอกเบี้ยของไทยจากนี้ไปจะเป็นขาขึ้น ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า อัตราการขยายตัวของอสังหาริมทรัพย์ของไทยยังขยายตัวในระดับที่ดีต่อเนื่องหลังจากที่ตื่นตัวอย่างจริงจังในปี 2545 จากแรงกระตุ้นจากมาตรการของภาครัฐทั้งการลดภาษีการโอนที่ดิน การออกโครงการการให้สินเชื่อข้าราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจซื้อบ้าน 60,000 ล้านบาทโครงการบ้านเอื้ออาทรของธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.)และโครงการบ้านเอื้ออาทรของธนาคารออมสิน สำหรับมูลค่าการซื้อขายที่ดินปี 2546 มี 437,000 ล้านบาทเพิ่มขึ้นร้อยละ 64.4 จากปีก่อน และในปี 2547 นี้ภาคอสังหาริมทรัพย์ยังคงขยายตัวได้ดีต่อเนื่องแต่ไม่เท่ากับปีก่อนหน้าอย่างไรก็ตาม มูลค่าการซื้อขายที่ดิน 8 เดือนแรกยังสูงถึง 337,000 ล้านบาทเพิ่มขึ้นร้อยละ 51 จากปีก่อนพื้นที่ขอจดทะเบียนการก่อสร้างทั่วกรุงเทพและต่างจังหวัดเพิ่มขึ้นร้อยละ 36 สินเชื่อที่ให้กับผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ 8เดือนแรกเพิ่มขึ้นร้อยละ 34 และสินเชื่อบุคคลเพื่อที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นร้อยละ 16 ซึ่งทำให้ภาคการก่อสร้าง ภาควัสดุก่อสร้างและวัสดุที่ใช้ตกแต่งบ้านขยายตัวตามไปด้วยส่งผลให้เกิดการฟื้นตัวของระบบเศรษฐกิจ จากตัวเลขเหล่านี้ทำให้เห็นว่าภาคอสังหาริมทรัพย์ยังเติบโต ทั้งตัวความต้องการซื้อและสินค้าที่อยู่ในตลาดโดยโครงการในสินเชื่อเพื่อซื้อบ้านของข้าราชการและรัฐวิสาหกิจ มียอดของกู้เต็มวงเงินแล้ว 60,000 ล้านบาทโดยมีการปล่อยสินเชื่อไปแล้ว 34,000 ล้านบาทและโครงการบ้านของออมสิน 4 แสนหลัง ทยอยปล่อยสินเชื่อไปแล้ว 2,000 ล้านบาท ผู้ว่าการ ธปท. กล่าวว่า จากที่มีการศึกษาโดย ธปท.เห็นว่าในปี 2548 อสังหาริมทรัพย์จะยังขยายตัวได้ทั้งในด้านความต้องการซื้อและสินค้าโดยตลาดในปี 2547นั้น แม้ว่าจะโตขึ้นไม่พรวดพราดอย่างปี 2546 แต่เป็นการโตที่มีความสมดุล และมีเสถียรภาพมากขึ้นศึกษาแล้วพบว่าเกิดจากความต้องการซื้อจริงไม่ใช่ความต้องการซื้อเทียมหรือการเก็งกำไร ซึ่งเบาใจได้เพราะนอกจากมาตรการของรัฐแล้ว ที่ผ่านมายังมีอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำและการหันมาปล่อยแข่งขันกันปล่อยสินเชื่อบ้านของธนาคารพาณิชย์ในขณะที่สินเชื่ออื่นยังปล่อยไม่ได้มาช่วยสนับสนุนภาคอสังหาฯด้วย" ผู้ว่าการ ธปท. กล่าวต่อว่า ปัญหาที่จะต้องดูแลคือทำอย่างไรที่จะคงความต้องการซื้อบ้านและสินค้าในตลาดให้ยังคงสมดุลกันต่อไปได้ซึ่งในส่วนของภาครัฐคงไปกะกณฑ์ว่าผู้ประกอบการจะสร้างเท่าไรในแต่ละปีคงทำไม่ได้แต่ธปท.จะช่วยผ่านการดูแลการปล่อยสินเชื่ออสังหาฯของธนาคารพาณิชย์ให้ปล่อยในบริษัทหรือโครงการที่มีความเป็นไปได้และช่วยดูแลผ่านการประกาศดัชนีราคาที่อยู่อาศัยซึ่งจะเสร็จในอีกไม่นานนี้หวังว่าผู้ประกอบการจะมีความระมัดระวังมากขึ้นจากบทเรียนในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจที่ผ่านมา สำหรับเรื่องอัตราดอกเบี้ยนั้น ต้องยอมรับว่าอัตราดอกเบี้ยของไทยในช่วงต่อไปจะต้องเป็นขาขึ้นเพราะอยู่ในระดับต่ำมานานมากแล้วแต่หลังจากการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย(อัตราดอกเบี้ยในตลาดซื้อคืนพันธบัตร 14 วัน) มา 2 ครั้งแล้ว การขึ้นดอกเบี้ยต่ำจากน้คงจะไม่ต้องห่วงอัตราเงินเฟ้อมากนักแต่จะดูทั้งอัตราเงินเฟ้อ เศรษฐกิจต่างประเทศอัตราดอกเบี้ยต่างประเทศ การขยายตัวของเศรษฐกิจไทยรวมทั้งการขยายตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ด้วย โดยจะเป็นการขึ้นอัตราดอกเบี้ยแบบค่อยเป็นค่อยไปไม่ให้เป็นอุปสรรคต่อกำลังซื้อบ้านเพราะต้องยอมรับว่าหากอัตราดอกเบี้ยขึ้นต้องกระทบอสังหาฯอย่างช่วยไม่ได้แต่จะทยอยขึ้นให้ไม่กระเทือนต่อกำลังส่งต่อเดือนของผู้ซื้อบ้านเพื่อไม่ให้กำลังซื้อและความต้องการซื้ออสังหาฯชะงักหรือกระตุกอย่างรุนแรง (สำนักข่าวไทย เมื่อ: 2004-11-29T01:57:40+00:00 ch_army: แล้วมันจะจริงเหรอครับ คนต้องการบ้านมากขนาดนั้นเชียว แล้วไหง หุ้นบ้านทั้งหลายที่ PE Pb ต่ำๆ ไหงกำไรลดลงมาก แถมราคาดิ่งเหวอีกต่างหากล่ะครับ แต่ระดับชติออกมาพูดต้องฟังไว้มั้งแฮะ เมื่อ: 2004-11-29T14:52:24+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
compare avg vol scan ของ eFinanch มีประโยชน์อะไรและใช้ยังไง aroonsawat: อยู่ใน eFin Smart Portal 3.3.14 เข้าไปดูแล้วตาลาย ไม่รู้เรื่องเลยครับ ทั้งช่อง compare avg vol scan และช่อง spread price analysis ขอบคุณครับ เมื่อ: 2011-02-07T05:34:12+00:00 o-bo-ja-ma: ไม่รู้จะบอกอย่างไร ส่วนตัวผมว่าไม่ค่อยมีประโยชน์ครับ เอาเวลาไปเยี่ยมบริษัท วิเคราะห์บริษัทดีกว่าไหมครับ ... ที่บอกอย่างนี้เพราะผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันครับ อย่าว่างั้นงี้เลย เมื่อ: 2011-02-08T10:52:14+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
มีผลดีมากกว่าผลเสีย hot: http://www.thannews.th.com/detialNews.p ... issue=2150 เมื่อ: 2006-09-21T01:35:46+00:00 hot: ถ้าวันนี้หุ้นขึ้นได้  คงทำสถิติใหม่ ที่ผิดคาด นะผมว่า เมื่อ: 2006-09-21T01:37:05+00:00 CK: ผมสังหรณ์ว่าวันนี้จะเห็น set เป็นสีเขียวอยู่เหมือนกัน ก็สีเขียวเดินกันเพ่นพ่านเต็มเมือง set จะไม่มีสีเขียวเข้าไปเดินเลยเหรอ เมื่อ: 2006-09-21T03:19:33+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
gg hot: bb เมื่อ: 2004-04-02T05:35:25+00:00 hot: คุณ hot ครับผมไม่มีข้อมูลของหุ้นตัวนี้ แต่อยากเสนอประเด็นสำคัญดังนี้ครับ 1.ตอนนี้น้ำมันเบนซิน แพงและมีกำไรมากกว่าดีเซล RPC คาดว่าผลิตน้ำมันดีเซล 2.ควรตรวจสอบเงื่อนไขการซือวัตถุดิบจาก ATC จะได้ทราบว่าเหตุการณ์ใดเป็นประโยชน์หรือโทษกับ RPC การขยายของATC จะช่วยRPC หรือเปล่า เมื่อ: 2004-04-02T13:09:20+00:00 hot: fdsd เมื่อ: 2004-04-03T11:40:21+00:00 hot: ถ้ามองการลงทุนในระยะยาวน่าสนใจมากครับเป็นบริษัทเล็กที่มีอนาคตที่ดีครับล่าสุดเห็นว่าเข้าไปลงทุนขยายธุรกิจในเวียดนามเพิ่มน่่าจะเป็นโอกาสทางธุรกิจได้ดีครับโรงกลั่นrpcแม้จะขนาดไม่ใหญ่แต่เป็นโรงกลั่นที่ัทันสมัยมากครับ เมื่อ: 2004-04-03T13:07:26+00:00 hot: ผมว่าก็เป็น บริษัทดีที่ มีอนาคตและ ตามความรู้สึกก็มี Good Governance ค่อนข้างดี นะครับ จากเท่าที่เคยคุยกับผู้บริหาร(ตอนเรียนที่ ม. นะครับไปสัมภาษณ์มา) แต่ระยะยาวมากๆผมไม่แน่ใจนะครับว่า จะแข่งขันกับ โรงกลั่น บางจาก , ระยองรีไฟเนอรี่, สตารีไฟเนอรี่ ได้หรือไม่ครับ เพราะเท่าที่ทราบมา ทั้ง 3 โรงกลั่นยังผลิตไม่เต็มกำลังเลย เพราะ ตอนสร้างโรงงานมาเมื่อ เศรษฐกิจกำลังบูม เลย forecast demand ไว้เยอะมาก อีกทั้ง ปั้มน้ำมันใหญ่ๆเช่น PTT ก็ซื้อน้ำมันจาก บางจาก +RRC + SPRC SHELL ซื้อจาก RRC เพราะถือหุ้นใหญ่ CELTEX ซื้อจาก SPRC เหมือนกัน อีกทั้ง เท่าที่ผมเข้าใจนะครับ RPC จะผลิตน้ำมัน grade ต่ำครับ เมื่อ: 2004-04-03T13:57:07+00:00 hot: ผมว่าก็เป็น บริษัทดีที่ มีอนาคตและ ตามความรู้สึกก็มี Good Governance ค่อนข้างดี นะครับ จากเท่าที่เคยคุยกับผู้บริหาร(ตอนเรียนที่ ม. นะครับไปสัมภาษณ์มา) แต่ระยะยาวมากๆผมไม่แน่ใจนะครับว่า จะแข่งขันกับ โรงกลั่น บางจาก , ระยองรีไฟเนอรี่, สตารีไฟเนอรี่ ได้หรือไม่ครับ เพราะเท่าที่ทราบมา ทั้ง 3 โรงกลั่นยังผลิตไม่เต็มกำลังเลย เพราะ ตอนสร้างโรงงานมาเมื่อ เศรษฐกิจกำลังบูม เลย forecast demand ไว้เยอะมาก อีกทั้ง ปั้มน้ำมันใหญ่ๆเช่น PTT ก็ซื้อน้ำมันจาก บางจาก +RRC + SPRC SHELL ซื้อจาก RRC เพราะถือหุ้นใหญ่ CELTEX ซื้อจาก SPRC เหมือนกัน อีกทั้ง เท่าที่ผมเข้าใจนะครับ RPC จะผลิตน้ำมัน grade ต่ำครับ เมื่อ: 2004-04-03T13:57:29+00:00 hot: มีคนบอกว่าให้ดูสารตั้งต้นของ RPC................. จำไม่ได้ว่าใครบอก ซึ่งจะมีผลกระทบทำให้ไม่ได้ส่วนต่างของราคาที่ดี ตามราคาน้ำมันครับ เห็นบอกว่าจะทำให้ต้นทุนแพงตามราคาน้ำมันที่ขึ้นไปนะครับ เมื่อ: 2004-04-05T01:55:18+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
ทรัมป์จะประสบความสำเร็จในการกระตุ้นเศรษฐกิจหรือไม่ (2) Thai VI Article: ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ โค้ด: เลือกทั้งหมดครั้งที่แล้วผมเขียนถึงความล้มเหลวในการปฏิรูประบบประกันสุขภาพว่าประธานาธิบดีทรัมป์ และนายพอลล์ ไรอัน คงจะต้องปรับเปลี่ยนยุทธวิธีที่พึ่งพาเสียงของพรรครีพับลิกันเป็นหลักในการผ่านกฎหมายมาเป็นการเชื้อเชิญให้สส.พรรคเดโมแครทมาร่วมสนับสนุนแผนการปฏิรูปและกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยการลดภาษีและลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเพื่อมิให้ถูกกลุ่มขวาจัดในพรรครีพับลิกันประมาณ 30-40 คนสามารถขัดขวางการผ่านกฎหมายได้ ซึ่งหากพิจารณาจากจำนวนสส.ที่รีพับลิกันมีอยู่ในสภาผู้แทนราษฎร 237 คนนั้น โดยปกติจะต้องมีเสียงสนับสนุนกฎหมายเกินกึ่งหนึ่งของสภาที่มีสส.ทั้งสิ้น 435 คนคือ 218 คน แต่ปัจจุบันนั้นมีว่างอยู่ 5 ตำแหน่ง ทำให้คะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่งเท่ากับ 216 คน ดังนั้นสส.พรรครีพับลิกันจะแปรพรรคไปลงคะแนนเสียงค้านกฎหมายของพรรคเองเกินกว่า 21 คนไม่ได้ ซึ่งกลุ่มขวาจัดคือ Freedom Caucus นั้น เข้าใจว่าสามารถคุมเสียงได้ประมาณ 30-40 เสียง บางคนอาจข้องใจว่าทำไมประธานาธิบดีทรัมป์และประธานสภาพอลล์ ไรอันจึงจะไม่สามารถ “สั่ง” สส.กลุ่มดังกล่าวได้ แต่ระบบการเมืองของสหรัฐนั้นมีความแตกต่างจากระบบรัฐสภาของอังกฤษ ซึ่งฝ่ายนิติบัญญัติมีความเป็นอิสระจากฝ่ายบริหารและเป็นระบบที่เน้นการคานอำนาจซึ่งกันและกันมากกว่า นอกจากนั้นก็ยังมีประเด็นเฉพาะที่ทำให้ประธานาธิบดีทรัมป์มีบารมีไม่มากนัก กล่าวคือ เป็น “คนนอก” ที่หาเสียงและได้รับการเลือกตั้งเพราะเป็นคนนอก เพราะกล่าวโจมตีดูถูกนักการเมืองมาโดยตลอดและเมื่อมารับตำแหน่งและต้องปกครองประเทศ ก็จึงไม่ได้รู้จักนักการเมืองหรือมีเครือข่ายที่จะประสานผลประโยชน์ได้ แม้จะเลือกรองประธานาธิบดี ไมค์ เพ็นซ์ ซึ่งมีจุดยืนอนุรักษ์นิยม แต่ก็ถือว่านายทรัมป์มีความคุ้นเคยกับนักการเมืองน้อยมาก ความน่าเชื่อถือของประธานาธิบดีทรัมป์ถูกบั่นทอนลงไปมากเมื่อกล่าวหาว่าประธานาธิบดีโอบามาสั่งให้หน่วยข่าวกรองแอบดักฟังตึกทรัมป์ที่นิวยอร์ก แต่ปรากฏว่าหน่วยข่าวกรอง รวมทั้งเอฟบีไอยืนยันว่าไม่เคยมีคำสั่งดังกล่าวและไม่มีการกระทำดังกล่าว แต่ทรัมป์ก็ยังเบี่ยงประเด็นไปอ้างว่าหน่วยข่าวกรองสหรัฐใช้ให้หน่วยข่าวกรองอังกฤษช่วยดักฟังให้ ซึ่งต่อมารัฐบาลอังกฤษก็ออกมาปฏิเสธอย่างทันควัน การออกคำสั่งประธานาธิบดีห้ามประชาชนจากประเทศมุสลิม 7 ประเทศเข้าประเทศสหรัฐ ก็เป็นคำสั่งที่ทำให้ความนิยมในประธานาธิบดีทรัมป์ตกต่ำลง นอกจากนั้นการที่ศาลสหรัฐพิพากษาแย้งคำสั่งดังกล่าว ทำให้ต้องออกคำสั่งใหม่ห้ามประชาชนจากประเทศมุสลิม 6 ประเทศเข้ามายังสหรัฐ (จาก 7 ประเทศ) แต่ก็ยังถูกศาลพิพากษาแย้งคำสั่งดังกล่าวอีก ทำให้ความน่าเชื่อถือของทรัมป์ตำต่ำลงไปอีก การสำรวจความเห็นของประชาชนโดย Gallup พบว่าล่าสุดมีเพียง 40 % เท่านั้นที่พอใจ (approve) กับการบริหารประเทศของทรัมป์ ในขณะที่ 54% ไม่พอใจ (disapprove) ซึ่งตกต่ำลงมากจากวันที่รับตำแหน่งประธานาธิบดี ซึ่ง 45% พอใจและ 45% ไม่พอใจเท่ากัน ความนิยมชมชอบประธานาธิบดีทรัมป์ที่ลดลงนั้น ทำให้สส.รีพับลิกัน “เกรงใจ” ประธานาธิบดีน้อยลง แต่การจะไปหาเสียงจากสส.พรรคเดโมเครทมาเติมก็ไม่ได้เป็นเรื่องง่าย เพราะแนวคิดของ 2 พรรคแตกต่างกันแบบฟ้ากับดิน แนวคิดหลักของพรรคเดโมแครทคือ Big Governmentหมายความว่ารัฐบาลจะต้องมีขนาดใหญ่ เพราะมีหน้าที่ดูแลประชาชนให้ทั่วถึง จะต้องมีเงินช่วยเหลือประชาชนและเป็นแกนนำในการลงทุนขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ตลอดจนกำหนดกฎเกณฑ์ด้านต่างๆ เพื่อความปลอดภัยและกินดีอยู่ดีของประชาชนซึ่งต้องใช้เงินงบประมาณมาก และต้องเก็บภาษีจากคนร่ำรวยให้มากๆ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมในสังคม แต่สำหรับพรรครีพับลิกันนั้นต้องการ Small Government หมายความว่ายิ่งสามารถจำกัดการที่รัฐบาลจะเข้ามาก้าวก่ายในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนได้มากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งเป็นประชาธิปไตยและนำไปสู่ระบบตลาดเสรี ที่จะนำมาซึ่งความมั่งคั่งให้กับประชาชนอย่างแท้จริง ในส่วนของการเก็บภาษีนั้นพรรครีพับลิกันมองว่าเป็นสิ่งที่ควรทำน้อยที่สุด เพราะเป็นการเบียดเบียนประชาชน หากจะขอเสียงพรรคเดโมแครทมาสนับสนุนการปฏิรูปภาษีและลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานนั้น เดโมแครทน่าจะยืนยันให้ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเป็นหลักใหญ่ และอาจต้องการให้มีการลงทุนก่อนการลดภาษี การลดภาษีรายได้นิติบุคคลและลดขั้นบันไดภาษีบุคคลธรรมดาตามที่ทรัมป์เสนอนั้น เดโมแครทคงจะรับไม่ได้ เพราะจะเป็นประโยชน์กับคนรวยเป็นหลัก แต่เว้นแต่จะต้องมีการเก็บภาษีคนรวยในด้านอื่นมาทดแทน รวมทั้งการลงโทษบริษัทที่ฝากกำไรเอาไว้ในต่างประเทศ ไม่เห็นด้วยกับการเก็บภาษีที่ชายแดน 20% หรือที่เรียกว่า Border Adjustment Tax (BAT) แต่หากไม่รับตรงนี้รัฐบาลจะขาดดุลงบประมาณเพิ่มขึ้นอย่างมาก กล่าวโดยสรุปคือร่างกฎหมายปฏิรูประบบภาษี และการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน คงจะมีความหลากหลายอย่างมาก และอาจต้องการเป็นนโยบายขนาดย่อมไม่ใช่นโยบายขนาดใหญ่ ดังที่ประธานาธิบดีทรัมป์เคยหาเสียงเอาไว้ ตัวอย่างเช่น แทนที่จะลดภาษีรายได้นิติบุคคลจาก35% เหลือ 15% ตามที่ทรัมป์เคยสัญญาเอาไว้ก็อาจลดลงให้เหลือ 30% เพื่อมิให้ขาดดุลงบประมาณมากเกินไป[/size] เมื่อ: 2017-04-10T12:28:05+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
รบกวนถามลุงขวดครับ Phayaoman: เคยอ่านเจอว่าลุงขวด ถือ RGR ไม่ทราบว่าลุงขวดพอจะมีประวัติการจ่ายปันผลของ RGR ไหมครับ เมื่อ: 2003-07-27T03:32:36+00:00 ลุงขวด: ตามประวัติที่ผมตามเก็บมาได้ดังนี้ ปี 42 จ่ายปันผล 0.75 บาท ปี 43 จ่ายปันผล 0.80 บาท ปี 44 จ่ายปันผล 1.00 บาท ปี 45 จ่ายปันผล 0.70 บาท ได้มีการเปลี่ยน พาร์ จาก 10 บาท เป็น 5 บาท เมื่อ เดือน พฤษภาคม ปี 45 บาท......นี่เขาพึ่งประกาศว่าจะแจก warrant ให้ แต่ให้สิทธิ เพียง 42 วันเอง ที่จะเปลี่ยน เป็นหุ้นสามัญ ให้ฟรี 1 warrant ต่อ 1 หุ้นสามัญ เสียอย่างที่ให้อายุสิทธิ น้อยเกินไป ใครมีหุ้นมาก ๆ ก็ต้องหาเงินไปใช้สิทธิ จึงเกิดว่า บางคนเห็นว่าไม่ชอบใจเท่าไหร่ ส่วนผม มีไม่มาก ก็ พา เตรียมหาเงินได้ หุ้น rgr เหมาะถือยาว เขามีมติ ออกหุ้นกู้แล้ว จึงคิดว่า อนาคตคงไม่ต้องเพิ่มทุน แล้ว หุ้นโรงแรมตัวนี้ชอบขยายกิจการไปซื้อ โน่นซื้อ นี่ อยู่เรื่อย หาทางใช้เงินเพื่อขยายกิจการต่อไปตลอด เท่าที่ไปประชุมใหญ่คราวที่แล้วก็เห็นว่า เขามีกิจการหลายจังหวัด ทางเหนือ ทางใต้ มี ครอบคลุมไปหมด ถ้าการตลาดเขาดี ก็คงทำกำไรได้ ดี.....หุ้นตัวนี้เป็นหุ้นสถาบัน ชอบมาก ผมไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ สำหรับ ปี 46 เขา คาดว่า จะปันผล ได้ 0.46 บาท ต่อหุ้น ก็ ลองติดตามดู เมื่อ: 2003-07-27T10:31:48+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
หลักการและเหตุผลของแนวโมเมนตัม โดยพี่โจ๊ก (สุมาอี้) ครับ noooon010: อ้างอิงจาก blog ของพี่โจ๊ก ใน settrade คิดว่าา น่าจะมีประโยชน์ต่อเพื่อนๆนักลงทุนบ้าง ไม่มากก็น้่อยนะครับผม (ขออนุญาติพี่โจ๊กเรียบร้อยแล้วนะครับ ^^) http://www.settrade.com/blog/1001ii/2011/01/14/973 ในตลาดหุ้นมีวลีหนึ่งที่บอกว่า ถ้าอยากได้เงิน จง buy low and sell high แต่ พวกโมเมนตัมเชื่อว่า การซื้อหุ้นที่ "ขึ้น" ในช่วงที่ผ่านมาจะมีโอกาสทำเงินมากกว่า พูดอีกน้ยหนึ่งก็คือ หุ้นยิ่งขึ้นยิ่งน่าซื้อ ยิ่งลงยิ่งน่าขาย การวิจัยจำนวนมากพบว่า การเลือกซื้อหุ้นที่เพิ่งจะให้ผลตอบแทนที่ดีในช่วงที่ผ่านมาเป็นวิธีที่ทำ ให้ได้ผลตอบแทนที่ดี ไม่ว่าจะเป็นตลาดหุ้น ตลาดคอมโม หรือตลาดอัตราแลกเปลี่ยน และเป็นเช่นนั้นอย่างคงเส้นคงวามานานมากแล้วด้วย นับว่าเป็นปรากฏการณ์ที่ขัดกับความเชื่อเรื่องตลาดมีประสิทธิภาพ ซึ่งเชื่อว่าการอาศัยข้อมูลราคาในอดีตใดๆ ย่อมไม่สามารถสร้างผลตอบแทนที่เหนือตลาดอย่างต่อเนื่องได้ ที่ สำคัญ การเลือกหุ้นตามแนวโมเมนตัมสามารถให้ผลตอบแทนที่เหนือตลาดได้อย่างมีนัย สำคัญ มากกว่าพวก market abnomaly ที่เป็นที่รู้จักทั้งหลาย อย่างเช่น January Effect ซึ่งเอาชนะตลาดได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ตัวอย่างเช่น การทดลองโดย London School of Economics ซึ่ง ซื้อหุ้นที่เป็น top 20 performer ในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา แล้วปรับพอร์ตใหม่ทุกหนึ่งเดือน จะให้ผลตอบแทนสูงกว่า การใช้วิธีเดียวกันแต่เลือก worst 20 performer ถึง 10.3% ต่อปีเมื่อ back test กับข้อมูลตลาดหุ้นลอนดอนในรอบ 100 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นระดับความแตกต่างที่ไม่น่าจะเป็นแค่ noise อย่างแน่นอน กองทุน AQR ได้ทำการขยายผลการทดลองนี้ โดยทดลองกับข้อมูลตลาดหุ้นอีก 19 ประเทศพบว่า 18 ประเทศให้ผลลัพธ์แบบเดียวกันด้วย ปรากฏการณ์ โมเมนตัม เป็นปรากฏการณ์ที่แปลก เพราะแม้ว่าปัจจุบันจะมีกองทุนขนาดใหญ่มากมาย ที่พยายาม exploit ตลาดด้วยวิธีการนี้อยู่ แต่ผลกำไรจากวิธีการนี้ก็ยังไม่หายไป ราวกับว่ากลไกตลาดไม่สามารถกำจัด bias อันนี้ออกไปได้เลย มีหลายทฤษฏีที่พยายามอธิบายว่า abnormal return ของแนวโมเมนตัมเกิดขึ้นจากอะไร แนวคิดหนึ่งเชื่อว่าอาจมาจาก lag time ในการปรับ "ความเห็น" ของนักลงทุนเกี่ยวกับหุ้น เช่นเวลาที่ตลาดมองหุ้นตัวหนึ่งว่าไม่ดีมาตลอด เมื่อบริษัทดีขึ้นแล้ว พอมีข่าวดีเกิดขึ้น นักลงทุนจะยังไม่สามารถปรับเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อหุ้นตัวนั้นได้ทันที เพราะยังยึดติดกับสิ่งที่เคยเชื่ออยู่ จึงมีแนวโน้มที่จะมองว่า ข่าวดีนั้นเป็นแค่เรื่องชั่วคราว ความช้าอันนี้ก่อให้เกิด trend ในราคาหุ้นขึ้น เมื่อราคาหุ้นมีลักษณะเป็น trend ก็จะเกิด bandwagon effect ตามมาอีก เช่น เมื่อหุ้นตัวไหนขึ้นมาตลอด fund managers ที่อยากแสดงให้ลูกค้าเห็นว่าตัวเองก็มีหุ้นเหล่านั้นอยู่ในพอร์ตก็จะซื้อ gainers และขาย losers ทำให้ trend ยิ่งไปต่อ หรือ fund manager คนไหนที่เพิ่งทำผลงานได้ดีในช่วงที่ผ่านมา ก็มักดูดเงินจากลูกค้าได้มากกว่าคนอื่น เงินจึงไหลเข้าสู่หุ้นตัวเดิมที่พวกเขาเลือกมากขึ้น ทำให้ trend ย่ิงขยายผลต่อไปอีก เป็นต้น ทั้งหมดเกิดขึ้นจากความบกพร่องในการตัดสินใจของสมองมนุษย์ ปรากฏการณ์ โมเมนตัมทำให้เกิดกลยุทธ์การลงทุนที่เป็นที่นิยมมากมายที่มุ่งหวังจะใช้ ประโยชน์จากปรากฏการณ์อันนี้ ตัวอย่างที่ง่ายๆ ก็เช่น เลือกหุ้นที่เส้น 20 วันอยู่เหนือ 200 วัน ซึ่งแสดงว่ากำลังเป็นเทรนด์ขาขึ้นอยู่นั่นเอง อย่างไรก็ตาม มีเรื่องต้องระวังอย่างมากเกี่ยวกับการหาประโยชน์จากโมเมนตัม คือเรื่องของ time frame เราพบว่า กลยุทธ์โมเมนตัมที่เล่นสั้นเกินไปมักไม่ได้ผล เนื่องจากในช่วงเวลาที่สั้นมากๆ เช่น intraday ราคาหุ้นมี noise มากเกินไป จึงบดบัง trend แทบทั้งหมด หรือกลยุทธ์ที่มี time frame ที่ยาวมากเกินไป เช่น 3 ปี ก็มักใช้ไม่ได้ผลด้วย เพราะเทรนด์ส่วนมากมักไม่กินเวลายาวนานมากขนาดนั้น เป็นต้น (นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ momentum มักได้ผลดีในระยะสั้น แต่ value มักได้ผลดีในระยะยาว) ดังนั้นแนวโมเมนตัมก็ยังไม่ง่ายเสียทีเดียว เพราะยังขึ้นอยู่กับความสามารถของเราที่จะเลือก time frame ได้อย่างเหมาะสม ซึ่งยังไม่มีสูตรตายตัว สรุปย่อจาก "Momentum in Financial Market", the Economist, Jan 6, 20011 เห็นว่ามีประโยชน์กับนักลงทุนเลยหยิบมาฝากกันนะครับ) เมื่อ: 2011-09-30T12:51:12+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
งบบริษัทไหนที่ยังไม่ออกกัน hot: suc stpi chuo ck itd stec มีอะไรอีกคับ เมื่อ: 2006-08-15T06:11:20+00:00 Mr. Big: คุณ hot CHUO ออกแล้วนะครับ กำไรไม่ดี ประมาณ 1-2 ล้านถ้าจำไม่ผิด ตอนนี้ที่ยังไม่ออกก็ BGH SAT AH YNP SUC เมื่อ: 2006-08-15T06:32:27+00:00 hot: drt ออกยัง เมื่อ: 2006-08-15T06:43:06+00:00 Mr. Big: DRT ออกแล้ว กำไรดีทีเีดียวครับ TEAM กำไรไตรมาสล่าสุดหลัก 100 ล้านเลย เมื่อ: 2006-08-15T07:03:00+00:00 hot: กำไรออกมาดีหลายบริษัทเหมือนกันนะเนี่ย แต่วันนี้ดัชนีลง วอลุ่มหายเพราะอะไรกัน หรือ  อนุพันธ์ทำผิด เมื่อ: 2006-08-15T07:14:03+00:00 hot:  บริษัท ทีมพรีซิชั่น จำกัด (มหาชน) ขอเรียนชี้แจงถึงผลการดำเนินงานสำหรับงบการเงิน    ระหว่างกาลสำหรับงวดสิ้นสุดวันที่  30 มิถุนายน 2549 ซึ่งแสดงผลกำไรสุทธิ จำนวนเงิน 120.87 ล้าน    บาท เพิ่มขึ้นจากกำไรสุทธิสำหรับงวดสิ้นสุดวันเดียวกันของปีก่อน ที่มีผลกำไรสุทธิ จำนวนเงิน 32.64    ล้านบาท   โดยคิดเป็นผลต่างกำไรสุทธิเท่ากับ ร้อยละ 270.32   อันมีผลมาจากมีคำสั่งซื้อเพิ่มมากขึ้น    ประกอบกับความร่วมมือระหว่างบริษัทกับลูกค้าในการป้องกันปัญหาที่อาจจะเกิดจากผู้ผลิตวัตถุดิบผลิตไม่ทัน    กับความต้องการของตลาดอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิคส์ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจึงเป็นเหตุให้ลูกค้าส่งคำสั่งซื้อ    สินค้าล่วงหน้ามายังบริษัทเร็วขึ้น  ส่งผลให้รายได้จากการขายเพิ่มมากขึ้นคิดเป็นอัตราการเจริญเติบโต    ของรายได้ถึงร้อยละ161.44  อัตรากำไรขั้นต้นในไตรมาสนี้ คิดเป็นร้อยละ 22.09  ของรายได้ ซึ่ง    เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนที่ร้อยละ 19.72 ของรายได้ ส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร    ในไตรมาสนี้ มีจำนวนเพิ่มขึ้นซึ่งมีสาเหตุหลักมาจากการที่บริษัทฯได้กำหนดนโยบายการตั้งสำรองค่าเผื่อ    มูลค่าวัตถุดิบให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงการใช้วัตถุดิบประเภทไร้สารตะกั่ว (Lead free ) ตาม    ระเบียบข้อบังคับของสภายุโรปและคณะกรรมาธิการของสหภาพยุโรปที่ 2002/96/EC เพื่อให้เป็นไปตาม    หลักแห่งความระมัดระวังของหลักการบัญชีที่รับรองทั่วไป  แต่อย่างไรก็ตามอัตรากำไรสุทธิในไตรมาสนี้คิด    เป็นร้อยละ 13.98  ยังคงเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนที่ร้อยละ 9.87 แบบนี้ไตรมาสหน้า จะเป็นไงคับ เมื่อ: 2006-08-15T07:16:06+00:00 hot: สรุปผลการดำเนินงานของบจ.และบริษัทย่อยไตรมาสที่2(F45-2)                          บริษัท เอสวีไอ จำกัด (มหาชน)                                                          สอบทาน                                 สิ้นสุดวันที่  30 มิถุนายน      (หน่วย : พันบาท)                                       ไตรมาสที่ 2         งวด 6 เดือน              ปี                    2549        2548        2549        2548   กำไร (ขาดทุน) สุทธิ              71,700          0        122,077        0   กำไร (ขาดทุน) สุทธิต่อหุ้น (บาท)    0.50          0.00        0.85        0.00 สรุปผลการดำเนินงานของบจ.ไตรมาสที่2(F45-1)                           บริษัท ทีมพรีซิชั่น จำกัด (มหาชน)                                                          สอบทาน                                 สิ้นสุดวันที่  30 มิถุนายน      (หน่วย : พันบาท)                                     ไตรมาสที่ 2          งวด 6 เดือน              ปี                    2549        2548        2549        2548   กำไร (ขาดทุน) สุทธิ              120,876    32,641    181,622    40,507   กำไร (ขาดทุน) สุทธิต่อหุ้น (บาท)       0.40      0.11       0.61      0.14 เมื่อ: 2006-08-15T07:18:36+00:00 Saran: S&P ก็ยังไม่ออกครับ รอร๊อรอ... เมื่อ: 2006-08-15T07:46:05+00:00 Frankie: BGH BH GRAMMY GMMM และก็ APURE  :shock: เมื่อ: 2006-08-15T08:28:30+00:00 Mr. Boo: Saran เขียน:S&P ก็ยังไม่ออกครับ รอร๊อรอ... สงสัย สาขา ตปท ส่งมาช้า และ audit inventory ช้าๆๆๆๆมากกกก เมื่อ: 2006-08-15T08:56:17+00:00 miracle: grammy gmmmออกไปแล้วครับ ตั้งแต่วันศุกร์เช้าแล้วครับ มีน้ำจิ้มให้ด้วยสำหรับใครถือต่อไป เมื่อ: 2006-08-15T09:57:57+00:00 Capo: Pranda ครับ เมื่อ: 2006-08-15T11:06:09+00:00 pawiga: หลายตัวนี่ เละไม่เป็นท่า เลยน่ะ ไตรมาส นี้ เมื่อ: 2006-08-15T12:49:59+00:00 tanate: ตามอยู่ไมรู้ ออกหรือยังครับ LH FANCY CM เมื่อ: 2006-08-15T13:03:25+00:00 phobenius: เรื่อง      ชี้แจงงบการเงินไตรมาส 2 ปี 2549     เรียน      กรรมการและผู้จัดการ                   ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย                       ตามที่บริษัท เอสทีพี แอนด์ ไอ จำกัด (มหาชน) ได้นำส่งงบการเงินไตรมาส 2 ปี 2549     สำหรับงวดสามเดือน สิ้นสุด ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2549 จึงใคร่ขอเรียนชี้แจงสาเหตุ     และผลการดำเนินงานดังนี้            * รายได้จากการรับจ้างผลิต, การขายและบริการ เท่ากับ 733.13 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.22%     เมื่อเทียบกับ 671.24 ล้านบาท สำหรับระยะเวลาเดียวกันในปี 2548            * กำไรขั้นต้นจากการผลิต, การขายและบริการ เท่ากับ 257.40 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 240.12%     เมื่อเทียบกับ 75.68 ล้านบาท สำหรับระยะเวลาเดียวกันในปี 2548            * กำไรขั้นต้นที่เพิ่มขึ้นมีสาเหตุหลักมาจาก ในไตรมาส 2 ปี 2549 โครงการที่บริษัทย่อย     แห่งหนึ่งเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างได้เสร็จสิ้นลง ทำให้บริษัทย่อยสามารถรับรู้กำไรของโครงการ     ดังกล่าวได้ทั้งจำนวน เป็นผลให้กำไรขั้นต้นรวมเพิ่มขึ้นในอัตราส่วนที่ค่อนข้างสูง            *  จากสาเหตุดังกล่าวทำให้บริษัทแสดงผลกำไรสุทธิ 169.42 ล้านบาท ในไตรมาส 2 ปี 2549              นอกจากนี้ บริษัทฯ ขอรายงานให้ทราบว่า บริษัท เอ็ม.ซี.เอส.สตีล จำกัด (มหาชน)     ได้เข้ามาถือหุ้นในบริษัทฯ จำนวน 25,000,000 หุ้น หรือ 10% โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ     เจรจาความเป็นไปได้ในการร่วมเป็นพันธมิตรทางการค้า ส่งผลให้รายชื่อผู้ถือหุ้นรายใหญ่     10 รายแรกของบริษัทฯ เปลี่ยนแปลงไป ดังนี้           รายชื่อผู้ถือหุ้นรายใหญ่ 10 รายแรก ณ. วันปิดสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้น เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2549            ชื่อ / กลุ่มผู้ถือหุ้น                                                                       จำนวนหุ้น        ร้อยละ     1.   MORGAN STANLEY & CO INTERNATIONAL LIMITED            15,048,200.00      6.02     2.   DAIWA SECURITIES SMBC CO.LTD.-CLIENTS ACCOUNT  12,475,000.00      4.99     3.   บริษัท เบสท์ ควอลิตี้ สกิลส์ จำกัด                                                     12,000,000.00      4.80     4.   บริษัท อิควิตี้ พลัส จำกัด                                                                   11,980,000.00       4.79     5.   นายชำนิ จันทร์ฉาย (กรรมการบริษัทฯ)                                          11,500,000.00       4.60     6.   นางอนิลรัตน์ นิติสาโรจน์                                                                 10,000,000.00       4.00     7.   นายชวลิต ลิ่มพานิชย์ (ผู้บริหารบริษัทฯ)                                          10,000,000.00      4.00     8.   บริษัทศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ (ประเทศไทย) จำกัด เพื่อผู้ฝาก          7,193,600.00      2.88     9.   บริษัทไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด                                                                5,192,400.00      2.08     10. นายวีระ นภาพฤกษ์ชาติ                                                                      4,360,200.00      1.74         รายชื่อผู้ถือหุ้นรายใหญ่ 10 รายแรก หลังการเข้าถือหุ้นของ บริษัท เอ็ม.ซี.เอส.สตีล จำกัด     (มหาชน)            ชื่อ / กลุ่มผู้ถือหุ้น                                                                         จำนวนหุ้น      ร้อยละ     1.   M.C.S. STEEL PUBLIC COMPANY LIMITED                              25,000,000.00     10.00     2.   MORGAN STANLEY & CO INTERNATIONAL LIMITED             15,048,200.00      6.02     3.   DAIWA SECURITIES SMBC CO.LTD.-CLIENTS ACCOUNT   12,475,000.00      4.99     4.   บริษัท เบสท์ ควอลิตี้ สกิลส์ จำกัด                                                      12,000,000.00      4.80     5.   บริษัท อิควิตี้ พลัส จำกัด                                                                    11,980,000.00      4.79     6.   นายชำนิ จันทร์ฉาย                                                                            11,500,000.00      4.60     7.   นางอนิลรัตน์ นิติสาโรจน์                                                                  10,000,000.00      4.00     8.   นายชวลิต ลิ่มพานิชย์                                                                         10,000,000.00      4.00     9.   บริษัทศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ (ประเทศไทย) จำกัด เพื่อผู้ฝาก          7,193,600.00      2.88     10. บริษัทไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด                                                                5,192,400.00      2.08              ทั้งนี้ หลังการเข้าถือหุ้นของ MCS บริษัทฯ ได้สอบถามผู้ถือหุ้นกลุ่มกรรมการและ     ผู้บริหารแล้ว พบว่า รายชื่อผู้ถือหุ้นและจำนวนหุ้นยังคงไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ซึ่งในขณะนี้     บริษัทฯ อยู่ระหว่างการเจรจาความเป็นไปได้ในการร่วมเป็นพันธมิตรทางการค้าต่อกัน     หากผลการเจรจาคืบหน้าประการใด จะรายงานให้ทราบอีกครั้ง         จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบ เมื่อ: 2006-08-15T13:12:58+00:00 007-s: mbk เขาไม่คิดจะส่งงบหรอคะ ง่วงแล้วนะ เมื่อ: 2006-08-15T15:01:31+00:00 chatchai: tanate เขียน:ตามอยู่ไมรู้ ออกหรือยังครับ LH FANCY CM ออกมาทั้ง 3 บริษัทแล้วครับ LH และ FANCY เละเลยครับ ส่วน CM ไม่ได้ดู เมื่อ: 2006-08-15T15:17:42+00:00 miracle: prandaออกไปแล้วครับ โดนเรื่องค่าเงินบาทที่แข็งยิ่งกว่าเหล็กครับ โดนไปเต็มๆๆๆ สรุปสามตัวในกลุ่ม สว่าง โกล์ไพน์ แพนด้า ดีที่สุดเป็นแพนด้าครับ โดนเรื่องค่าเงินเดือนเดียว เมื่อ: 2006-08-15T15:25:38+00:00 BHT: 007-s เขียน:mbk เขาไม่คิดจะส่งงบหรอคะ ง่วงแล้วนะ ดูเหมือนงวดไตรมาสและงวดปี จะไม่ใช่ปีปฏิทินปกติเหมือนบริษัทส่วนใหญ่นะครับ ลองโทรไปสอบถามกับบริษัทดูสิครับ ว่าเดือนไหน ยังงัย เมื่อ: 2006-08-15T17:16:22+00:00 Saran: BHT เขียน: ดูเหมือนงวดไตรมาสและงวดปี จะไม่ใช่ปีปฏิทินปกติเหมือนบริษัทส่วนใหญ่นะครับ ลองโทรไปสอบถามกับบริษัทดูสิครับ ว่าเดือนไหน ยังงัย ของ MBK งบที่กำลังจะออกเป็นงบปีครับ ไม่แน่ใจว่าจะออกสิ้นเดือนหรือไปเดือนหน้าเลย เมื่อ: 2006-08-15T18:03:17+00:00 Kao: Saran เขียน: ของ MBK งบที่กำลังจะออกเป็นงบปีครับ ไม่แน่ใจว่าจะออกสิ้นเดือนหรือไปเดือนหน้าเลย งบปีออกภายใน60วันครับ รอไม่เกินสิ้นเดือนสิงหานี้ครับ เมื่อ: 2006-08-15T18:18:58+00:00 007-s: Kao เขียน: งบปีออกภายใน60วันครับ รอไม่เกินสิ้นเดือนสิงหานี้ครับ อ้าวลืมไปค่ะ จริงๆด้วย งบปีให้ยืดได้อีก ขอโทษค่ะ ดูหลายตัวจนมึนค่า  :lovl: เมื่อ: 2006-08-16T02:37:20+00:00 tanate: Fancy Q2 ออกแล้ว ติดลบด้วย จึงคิดว่าพื้นฐานเปลี่ยนแน่ๆเลย เมื่อ: 2006-08-16T15:16:51+00:00 tainara: suc ออกแล้ว เมื่อ: 2006-08-16T18:25:34+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
คุณมนตรีเก็บตกสำหรับคนที่ยังสนใจเรียน "บัญชีพื้นฐาน Jinny Wan: 8) คุณมนตรีเก็บตกสำหรับคนที่ยังสนใจเรียน "บัญชีพื้นฐาน" คุณมนตรีฝากถามชาว VI ที่ยังตกสำรวจหรือพลาดโอกาสเรียน"บัญชีพื้นฐาน" ในรอบที่ผ่านๆมา เมื่อ: 2006-01-18T01:32:07+00:00 ส้มโอ: ในที่สุด ก็ มาถึงซักที ขอจองเลยนะ จองก่อนเยย เด๋วจะเต็มซะก่อน ส้มโอ ขอจอง 1 ที  :oops: ปริยวัจน์ 1 ที่ วิทยาพร 1 ที่ และ ช่วยแจ้งรายละเอียด และค่าใช้จ่าย ด้วยนะ ครับ  :shock: ขอบคุณ คราบบบบ เมื่อ: 2006-01-18T05:56:42+00:00 alexx: จองด้วยหนึ่งที่ครับ :lol:  :lol: เมื่อ: 2006-01-18T06:09:49+00:00 b37skp: ไปด้วยคนครับ 1 ที่ เมื่อ: 2006-01-18T06:16:22+00:00 Jinny Wan: ตรวจสอบรายชื่อการจองได้ที่ด้านบนค่ะ เมื่อ: 2006-01-18T06:52:31+00:00 Jinny Wan: ต้องขออภัยท่านที่จองเข้ามาแล้ว เรามีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลเรื่องวันที่อบรม ขอเปลี่ยนเป็นวันที่ 25-26 กุมภาพันธ์ 2549  หากท่านต้องการยกเลิกการจอง กรุณาแจ้งกลับมาอีกครั้ง  ขอบคุณอย่างสูงค่ะ ขออภัยมั๊กๆๆค่ะ เมื่อ: 2006-01-18T07:22:16+00:00 Pornthep: ขอจอง 1 ที่ครับผม พรเทพ เหลือทรัพย์สุข [email protected] เมื่อ: 2006-01-18T08:12:33+00:00 rote4058: จองด้วยคนครับ เพื่อป้องกันความผิดหวัง เมื่อ: 2006-01-18T08:27:05+00:00 VI Jr.: จอง 1 ที่ครับ เมื่อ: 2006-01-18T08:31:37+00:00 amsittichai: ผมสนใจสำรองที่นั่งการอบรมเก็บตกในครั้งนี้ครับ รอมานานแล้ว พลาดทุกที ยังงัยรบกวนขอรายละเอียดวัน เวลา หัวข้อ และขั้นตอนการโอนเงินและจ่ายเงินให้ด้วยนะครับ แต่วันที่จะจัดอบรมชนกับหลักสูตรที่ผมจะไปเรียนกับ tsi อ่า แต่ไม่เป็นไรเรียนกับคุณมนตรีดีก่า 555 สิทธิชัย ([email protected]) ขอบคุณครับ เมื่อ: 2006-01-18T09:12:35+00:00 munata: ขอจองด้วยอีก 1 ที่ครับ เมื่อ: 2006-01-18T10:57:46+00:00 p_chinnaboon: จองด้วย 1 ที่ครับ พงษ์ศักดิ์ ครับ [email protected] เมื่อ: 2006-01-18T12:31:03+00:00 POMB: 1 seat please , kindly e-mail to [email protected] ka. เมื่อ: 2006-01-18T12:34:12+00:00 chatchai: อบรมเสร็จ  มีความรู้  ทันวิเคราะห์งบการเงินงวดสิ้นปี 2548 พอดีเลย เมื่อ: 2006-01-18T13:06:17+00:00 race_maddog: ขอจองด้วย 1 ที่ครับ ชื่อพงศ์เทพคับ [email protected] เมื่อ: 2006-01-18T13:30:40+00:00 bank_kriss: ขอจอง1ที่ครับ [email protected] เมื่อ: 2006-01-18T13:56:38+00:00 NT: นพชัย ตั้งไตรธรรม [email protected] เมื่อ: 2006-01-18T14:42:03+00:00 Mr. Boo: Please reserve 2 sittings for me. [email protected] เมื่อ: 2006-01-18T14:51:15+00:00 mikan171: สนครับสน [email protected]เลยครับ เมื่อ: 2006-01-18T15:24:49+00:00 nam: ผมขอจองหนึ่งที่ครับ เมื่อ: 2006-01-18T15:56:10+00:00 Blueblood: เอาด้วยครับ ขอจอง 2 ที่ครับ เมื่อ: 2006-01-18T16:11:23+00:00 amsittichai: ลืมไป ขอจอง 1 ที่เหมือนกันครับ สิทธิชัย อมรโรจน์วรวุฒิ [email protected] เมื่อ: 2006-01-19T01:49:54+00:00 ขงเบ้ง: thaivi.comจะเข้าตลาดไหมครับ ถามเล่นเล่นงับ ผมว่าgrowthในไม่ช้าโตมหาศาลครับ ฮา..... :lovl: :lovl: :lovl: :lovl: :lovl: :lovl: :lovl: :lovl: :lovl: :lovl: แซวเล่นนะครับ คุณมนตรีอย่าโกรธกันนะครับ     เมื่อ: 2006-01-19T01:57:04+00:00 ขงเบ้ง: ผมว่าการตลาดมาถูกทางแล้วงับ ว่าแต่เมื่อไรจะเปิดturtle trading systemง่ะท่านพี่ck ผมรอเรียนอยู่งับ     เมื่อ: 2006-01-19T02:00:05+00:00 Mr.K: จองที่นั่ง  1  ที่ครับ ชื่อ พรเทพ  เทพาอภิรักษ์ [email protected] เมื่อ: 2006-01-19T02:10:09+00:00 witweew: กำลังอยากขอร้องให้พี่มนตรีจัดอบรมอีกซักรอบพอดีเลยครับ ขอจองสมัครเรียน 1 ที่ครับ  :lol: email address: [email protected] จะเตรียมตัวไปเรียนอย่างตั้งใจเลยครับ เมื่อ: 2006-01-19T02:36:35+00:00 The Emporer: สนใจมากเลยครับ รบกวน PM มาได้เลย ขอบคุณมั่กๆ เมื่อ: 2006-01-19T02:51:24+00:00 babee: ขอ reserve ไว้ 1 ที่ค่ะ เมื่อ: 2006-01-19T02:54:17+00:00 tummeng: ขอจอง 1 ที่ครับผม [email protected] เมื่อ: 2006-01-19T02:59:05+00:00 greenspan: จอง  1 ที่ครับ [email protected] เมื่อ: 2006-01-19T03:48:49+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
ไม่นึกว่า จะได้ ศุภาลัย ที่ 3.00 teetotal: ตั้งไว้ แล้วก็ เข้ามา check ดู ปรากฏ ว่า ได้ไปแล้ว   ราคา นี้ lowest 52 weeks เลย อีกตัวได้ mint 14.7 ตอนเช้า พี่ๆเพื่อนๆ ซื้อกันบ้างไหมครับ วันนี้ เมื่อ: 2008-06-13T09:40:09+00:00 beammy: ได้เรือแขกมานิดหน่อยครับ  :8)  ... เมื่อ: 2008-06-13T09:43:53+00:00 Caffein: ได้มาเหมือนกันครับ นิดหน่อย ไว้ถัวกับของเก่าครับ เมื่อ: 2008-06-13T10:18:48+00:00 wr: อมมาเหมือนกันครับ เรือแขกนั่นก็ด้วย แอร์ ก็มี แต่เกรงว่า ตราบที่รายย่อยยังมีแรงซื้อ รายใหญ่ก็คงยังชอร์ทครับ เมื่อ: 2008-06-13T10:23:19+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }