Book,Page,LineNumber,Text 13,0218,001,คือมีปกติ ได้รูปเป็นกสิณ. บทว่า ปริตฺตตฺตานุทิฏฺ€ิ อนุเสติ ความว่า 13,0218,002,ความเห็นนี้ว่าอัตตานิดหน่อย ย่อมนอนเนื่องในสันดาน ก็พึงทราบความเห็น 13,0218,003,นั้นว่า ความเห็นนั้นย่อมไม่นอนเนื่องดุจเถาวัลย์และลดา คือชื่อว่าย่อมนอน 13,0218,004,เนื่องในสันดานโดยอรรถว่าละไม่ได้. บทว่า อิจฺจาลํ วจนาย ความว่า ควร 13,0218,005,เพื่อจะกล่าวว่าความเห็นเห็นปานนี้ ย่อมนอนเนื่องในบุคคลนั้น ในบททั้งหมด 13,0218,006,มีนัยนี้ ก็ในบทว่า อรูปึ นี้ คือมีปกติ ได้อรูปเป็นกสิณ พึงทราบความอย่าง 13,0218,007,นี้ว่า หรือมีอรูปขันธ์เป็นโคจร. 13,0218,008,ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ เป็นอันท่านแสดงพวกถือทิฐิ ๑๖ จำพวกโดยเนื้อ 13,0218,009,ความว่า พวกมีลาภ ๔ พวกลูกศิษย์ของผู้มีลาภ ๔ พวกมีความเห็นผิด ๔ ลูก 13,0218,010,ศิษย์ของพวกมีความเห็นผิด ๔ พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงแสดงถึงผู้ที่ 13,0218,011,บัญญัติอัตตาอย่างนี้แล้ว บัดนี้เพื่อทรงแสดงถึงผู้ที่ไม่บัญญัติอัตตาจึงตรัสคำ 13,0218,012,เป็นอาทิว่า กิตฺตาวตา จ อานนฺท ดังนี้ ถามว่า ก็พวกไหนไม่บัญญัติ ตอบว่า 13,0218,013,โดยที่แท้พระอริยบุคคลทั้งหมดเท่านั้นไม่บัญญัติ อนึ่ง พระอริยบุคคลผู้ที่ 13,0218,014,เป็นพหูสูต ทรง ๓ ปิฎก ๒ ปิฎก ๑ ปิฎก โดยที่สุดวินิจฉัยแม้นิกายเดียว 13,0218,015,ด้วยดี บุคคลผู้แสดงธรรมตามที่ได้เรียนบ้าง ผู้ปรารภวิปัสสนาบ้าง ย่อมไม่ 13,0218,016,บัญญัติ เพราะท่านเหล่านั้นมีสัญญาอยู่ว่า กสิณที่มีส่วนเปรียบเทียบในกสิณที่ 13,0218,017,มีส่วนเปรียบเทียบดังนี้ อธิบายว่า อรูปขันธ์ในอรูปขันธ์นั้นแล พระผู้มีพระ 13,0218,018,ภาคเจ้าทรงแสดงถึงผู้ที่ไม่บัญญัติอย่างนี้แล้วบัดนี้ เพราะผู้ที่พิจารณาเห็นด้วย 13,0218,019,อำนาจทิฐิย่อมบัญญัติ ก็การพิจารณาเห็นนี้นั้นย่อมมีได้ เพราะยังไม่ละสักกาย 13,0218,020,ทิฐิมีวัตถุ ๒๐ ฉะนั้นเพื่อทรงแสดงถึงสักกายทิฐิมีวัตถุ ๒๐ นั้น จึงตรัสอีกว่า 13,0218,021,กตฺตาวตา จ อานนฺท ดังนี้เป็นต้น. 13,0218,022,ในบทเหล่านั้นท่านกล่าวสักกายทิฐิอันมีเวทนาขันธ์เป็นวัตถุ ด้วยบทว่า 13,0218,023,ว่า เวทนํ วา หิ ดังนี้.