Book,Page,LineNumber,Text 13,0216,001,นามรูป จึงยังเกิด แต่ ตาย จุติหรืออุบัติ ชาติเป็นต้น หรือจุติปฏิสนธิอื่นๆ 13,0216,002,พึงปรากฏ. 13,0216,003,บทว่า อธิวจนปโถ (ทางแห่งชื่อ) ความว่า ทางแห่งโวหาร ซึ่งไม่ 13,0216,004,เห็นความของคำเป็นต้นว่า สิริวัฑฒกะ ธนวัฑฒกะ ตั้งขึ้นไว้เพียงเรียก 13,0216,005,ชื่อเท่านั้น. บทว่า นิรุตฺติปโถ (ทางแห่งนิรุติ) ความว่า เป็นทางแห่ง 13,0216,006,โวหารซึ่งเป็นไปด้วยสามารถการอ้างเหตุแห่งคำเป็นต้นว่า ผู้มีสติเพราะระลึกได้ 13,0216,007,ผู้มีสัมปชัญญะเพราะรู้ตัว. บทว่า ปญฺตฺติปโถ (ทางแห่งบัญญัติ) ความว่า 13,0216,008,ทางแห่งโวหารซึ่งเป็นไปด้วยสามารถแห่งการให้รู้โดยประการต่าง ๆ ของคำเป็น 13,0216,009,อาทิว่า ผู้รู้ ผู้ฉลาด ผู้มีปัญญา ผู้ชำนาญ ผู้คัดค้าน แม้ขันธ์ทั้งหลาย 13,0216,010,อันเป็นวัตถุแห่งชื่อเป็นต้น ท่านก็กล่าวด้วยบททั้ง ๓ ด้วยประการฉะนี้. บทว่า 13,0216,011,ปญฺาวจรํ (การคาดคะเนด้วยปัญญา) ความว่า พึงคาดคะเนคือพึงรู้. บทว่า 13,0216,012,ปัญญา. บทว่า วฏฺฏํ วฏฺฏติ คือ สังสารวัฏ ย่อมเป็นไป. บทว่า อิตฺถตฺตํ 13,0216,013,คือความเป็นอย่างนี้ คำนี้เป็นชื่อของขันธบัญจก (หมวด ๕ แห่งขันธ์). บทว่า 13,0216,014,ปญฺาปนาย คือเพื่อบัญญัติ ชื่อ อธิบายว่า แม้ขันธปัญจกก็ย่อมปรากฏ 13,0216,015,ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ เพื่อต้องการบัญญัตินาม ด้วยบทว่า เวทนา สญฺา 13,0216,016,เป็นต้น. บทว่า ยทิทํ นามรูปํ สหวิญฺาเณน ความว่า นี้คือนามรูปกับ 13,0216,017,วิญญาณย่อมเป็นไป เพราะเป็นปัจจัยของกันและกัน ท่านอธิบายว่าด้วยเหตุ 13,0216,018,เพียงเท่านี้ดังนี้ นี้เป็นคำที่ถูกนำออกไปในบทนี้. 13,0216,019,ด้วยประการดังนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงแสดงอนุสนธิแห่งบทว่า 13,0216,020,ดูก่อนอานนท์ ก็ปฏิจจสมุปบาทนี้เป็นของลึกซึ้ง และปรากฏเป็นของลึกซึ้ง ดังนี้ 13,0216,021,แล้ว บัดนี้เมื่อจะทรงแสดงอนุสนธิแห่งบทว่า ตนฺตากุลกชาตา (ยุ่งดุจด้าย 13,0216,022,ของช่างหูก) ดังนี้ ทรงปรารภเทศนามีอาทิว่า กิตฺตาวตา จ (ด้วยเหตุมี 13,0216,023,ประมาณเท่าใด) ดังนี้ ในบทเหล่านั้น ในบทว่า รูปึ วา หิ อานนฺท ปริตฺตํ