tripitaka-mbu / 13 /130393.csv
uisp's picture
add data
3c90236
Book,Page,LineNumber,Text
13,0393,001,พระมุนี คือ พระพุทธเจ้า. บทว่า <B>อชฺฌตฺตรโต</B> คือ ยินดีภายในแน่นอน.
13,0393,002,บทว่า <B>สมาหิโต</B> คือ ตั้งมั่นแล้ว ด้วยอุปจารสมาธิ และ อัปปนาสมาธิ.
13,0393,003,บทว่า <B>อภินฺทิ กวจมิว</B> ได้แก่ทำลายกิเลส ดุจเกาะ. บทว่า อตฺตสมฺภวํ
13,0393,004,ได้แก่กิเลสที่เกิดแล้วในตน. ท่านอธิบายไว้ว่า พระมุนีทรงปลดปล่อยโลกิย-
13,0393,005,กรรม กล่าวคือตุลกรรมและอตุลกรรม ที่ได้ชื่อว่า สัมภวะ เพราะอรรถว่ามี
13,0393,006,วิบาก ว่าภวสังขาร เพราะอรรถว่า ปรุงแต่งภพและทรงยินดีภายใน ตั้งมั่น
13,0393,007,แล้ว ทำลายกิเลสที่เกิดในตน เหมือนนักรบใหญ่ในสนามรบทำลายเกาะ
13,0393,008,ฉะนั้น.
13,0393,009,อีกนัยหนึ่ง บทว่า <B>ตุลํ</B> ได้แก่ ชั่งคือ พิจารณา. บทว่า <B>อตุลญฺจ
13,0393,010,สมฺภวํ</B> ได้แก่ พระนิพพานและภพ. บทว่า <B>ภวสงฺขารํ</B> ได้แก่กรรมที่ไปสู่
13,0393,011,ภพ. บทว่า <B>อวสฺสชฺชิ มุนี</B> ความว่า พระมุนีคือพระพุทธเจ้าทรงพิจารณา
13,0393,012,โดยนัยเป็นอาทิว่า ปัญจขันธ์ไม่เที่ยง ความดับปัญจขันธ์คือ นิพพานเป็นของ
13,0393,013,เที่ยงแล้ว ทรงเห็นโทษในภพ และอานิสงส์ในนิพพานแล้วทรงปลดปล่อยด้วย
13,0393,014,อริยมรรค อันกระทำความสิ้นกรรมที่ท่านกล่าวไว้อย่างนี้ว่า กรรมเครื่องปรุง
13,0393,015,แต่งภพ อันเป็นมูลแห่งขันธ์ทั้งหลายนั้น เป็นไปเพื่อความสิ้นกรรมดังนี้.
13,0393,016,พระองค์ทรงยินดีในภายใน ตั้งมั่นแล้ว ทรงทำลายกิเลสที่เกิดในตน เหมือน
13,0393,017,เกราะได้อย่างไร. ความจริง พระมุนีนั้น ทรงยินดีในภายใน ด้วยอำนาจ
13,0393,018,วิปัสสนา ทรงตั้งมั่นด้วยอำนาจสมถะ รวมความว่า พระองค์ทรงทำลายข่าย
13,0393,019,คือกิเลสทั้งหมด ที่ตั้งรึงรัดอัตภาพดุจเกราะ ที่ได้ชื่อว่า อัตตสัมภวะ เพราะ
13,0393,020,เกิดในตนด้วยกำลังสมถะและวิปัสสนา ตั้งแต่เบื้องต้น และละกรรมด้วยการ
13,0393,021,ละกิเลสอย่างนี้ว่า กรรมที่ทำโดยไม่มีกิเลส ชื่อว่ายังเหลืออยู่ เพราะไม่มีปฏิสนธิ.
13,0393,022,พึงทราบว่า ชื่อว่าความกลัวของผู้ละกิเลสได้แล้วไม่มี เพราะฉะนั้น พระมุนีไม่
13,0393,023,ทรงกลัวแล้ว จึงทรงปลงอายุสังขาร เพราะเหตุนั้น จึงทรงเปล่งอุทาน เพื่อ
13,0393,024,ให้รู้ว่าไม่ทรงกลัว.