tripitaka-mbu / 13 /130222.csv
uisp's picture
add data
3c90236
Book,Page,LineNumber,Text
13,0222,001,ปกติอยู่ด้วยสติปัฏฐาน ผู้เป็นการกบุคคล จึงตรัสคำเป็นอาทิว่า ภิกษุย่อมไม่
13,0222,002,พิจารณาเห็นเวทนาว่าเป็นอัตตา ดังนี้.
13,0222,003,จริงอยู่ ภิกษุเห็นปานนี้ย่อมไม่พิจารณาเห็นเวทนาว่าเป็นอัตตา ย่อมไม่
13,0222,004,พิจารณาเห็นธรรมเหล่าอื่น เพราะความที่เป็นไปในธรรมทั้งปวง ด้วยสามารถ
13,0222,005,แห่งสัมมสนญาณที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้แล้วโดยนัยมีอาทิว่า รูปอย่างใด
13,0222,006,อย่างหนึ่งที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน ในภายในหรือในภายนอก หยาบ
13,0222,007,หรือละเอียด เลวหรือประณีต ไกลหรือใกล้ ภิกษุย่อมกำหนดรูปทั้งปวง
13,0222,008,โดยความเป็นของไม่เที่ยง พิจารณาครั้ง ๑ ย่อมกำหนดโดยความเป็นทุกข์
13,0222,009,พิจารณาครั้ง ๑ ย่อมกำหนดโดยความเป็นอนัตตา พิจารณาครั้ง ๑ ดังนี้ ภิกษุ
13,0222,010,นั้น เมื่อไม่พิจารณาอยู่เสมออย่างนี้ ว่าอะไรๆ ในโลกไม่น่ายึดมั่นดังนี้ อะไร ๆ
13,0222,011,แม้ธรรมข้อหนึ่งในธรรมทั้งหลายมีรูปเป็นต้น ในโลก อันต่างด้วยขันธโลก
13,0222,012,เป็นต้น ไม่น่ายึดมั่นว่าเป็นอัตตาหรือเกิดในอัตตา ดังนี้. บทว่า <B>อนุปาทิยํ
13,0222,013,จ น ปริตสฺสต</B> ความว่า ภิกษุเมื่อไม่ยึดมั่น ย่อมไม่สะดุ้ง แม้ด้วยความ
13,0222,014,สะดุ้งคือ ตัณหา ทิฐิและมานะ. บทว่า <B>อปริตสฺสํ</B> คือ เมื่อไม่สะดุ้ง. บทว่า
13,0222,015,<B>ปจฺจตฺตญฺเว ปรินิพฺพายติ</B> ความว่า ย่อมปรินิพพานด้วยการดับกิเลส
13,0222,016,ด้วยตนเอง. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า <B>ขีณา ชาติ</B> ดังนี้เป็นต้น เพื่อทรง
13,0222,017,แสดงถึงความเป็นไปแห่งปัจจเวกขณะของผู้ปรินิพพานแล้วอย่างนี้.
13,0222,018,บทว่า <B>อิติ สา ทิฏฺ€ิ</B> ความว่า ทิฐิของพระอรหันต์ผู้หลุดพ้นแล้ว
13,0222,019,อย่างนั้นชื่อว่าทิฏฐิอย่างนี้ บาลีว่า <B>อิติสฺส ทิฏ€ิ</B> ดังนี้บ้าง. อธิบายว่า ผู้นั้น
13,0222,020,เป็นผู้ไกลจากกิเลสเป็นผู้หลุดพ้นแล้วอย่างนั่น พึงมีทิฐิอย่างนี้. บทว่า ตทกลฺลํ
13,0222,021,คือ ข้อนั้นไม่สมควร. เพราะเหตุไร. เพราะเมื่อเป็นอย่างนั้นควรกล่าวว่า
13,0222,022,พระอรหันต์ย่อมไม่รู้อะไร ๆ ครั้นรู้อย่างนี้แล้วไม่ควรกล่าวกะพระอรหันต์